ประสบการณ์มโนมยิทธิ และญาณ ๘

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย White Sage, 29 มกราคม 2014.

  1. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    ขอบคุณนะคะ ^__^ คุณphutsaทำให้รู้สึกมีกำลังใจในการเล่าประสบการณ์ขึ้นเยอะเลยค่ะ เพราะโดยส่วนตัว ตั้งแต่ฝึกมโนมยิทธิมา เวลารู้อะไร เราไม่ค่อยบอกคนอื่นอ่ะค่ะ กลัวคนอื่นเค้าหาว่าบ้า อีกอย่างเราเป็นเด็กด้วย ดังนั้นคำพูดเราจึงไม่ค่อยมีน้ำหนักเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้ ด้วยเหตุที่มีวิบากกรรมเข้ามา และเป็นจริงดังที่พระท่านพยากรณ์ไว้ทุกประการ จึงได้กล้าพอที่จะออกมาเล่าเรื่องราว เพื่อยืนยันคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในเรื่องของภพภูมิ การเวียนว่ายตายเกิด กฎแห่งกรรม ญาณ ฌาน และการบำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพระอริยเจ้าค่ะ

    ทั้งนี้ปัจจุบันเป็นเพียงแค่คนธรรมดา ที่ไม่ได้มีคุณธรรมใดๆ มีแค่ศีล ๕ เท่านั้น หากทำอะไรที่ผิดพลาดไป ต้องขออภัยทุกๆท่านด้วยนะคะ ^__^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กุมภาพันธ์ 2014
  2. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    เรียน ท่านผู้อ่านทุกท่านคะ

    ไว้ว่างๆจากภารกิจการงานทางโลก จะขอเล่าเรื่อง " ยถากัมมุตาญาณ-ผลกรรมในอดีตชาติที่ผิดศีลข้อ ๓ " และ " พระท่านมาสงเคราะห์ข้อธรรม-พรหมวิหาร ๔-มานะกิเลส " ซึ่งเป็นช่วงที่ได้มีโอกาสเรียนรู้ข้อธรรมในมโนมยิทธิเต็มกำลังและครึ่งกำลังจากการนำฝึกมโนมยิทธิของอ.ฆราวาส จนได้ข้อธรรมที่ทำให้ชีวิตการปฏิบัติธรรมเปลี่ยนไปตลอดกาลค่ะ ^__^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤษภาคม 2014
  3. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    " ยถากัมมุตาญาณ-ผลกรรมในอดีตชาติที่ผิดศีลข้อ ๓ "


    เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นขณะที่ข้าพเจ้ากำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยปี 1 โดยข้าพเจ้าได้รู้จักกับเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งจากการแนะนำของเพื่อนๆในกลุ่ม หลังจากที่แนะนำตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าได้นั่งพูดคุยกับเพื่อนๆอย่างสนุกสนาน จนเมื่อมาถึงหัวข้อของการปฏิบัติธรรมและการรักษาศีล ๕ เพื่อนผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกันก็ได้เกิดความสงสัยเกี่ยวกับการรักษาศีล ๕ โดยเค้ามองว่าการรักษาศีล ๕ ในข้อสุดท้ายนั้นไม่ค่อยมีเหตุมีผลเท่าใดนัก ทั้งนี้เพราะว่าการดื่มสุรานั้นถือเป็นการกระทำที่มีผลกับตัวเองและไม่ได้ไปเบียดเบียนใคร ดังนั้นจึงไม่น่าจะผิดและเป็นสาเหตุให้ต้องตกนรกเพื่อรับผลแห่งอกุศลกรรมถึงขนาดนั้น


    เมื่อข้าพเจ้าได้ฟังความคิดเห็นจากเพื่อนชายคนนั้นแล้ว ก็ได้พยายามค้นหาคำตอบเพื่ออธิบายข้อสงสัยดังกล่าว ซึ่งในที่สุดข้าพเจ้าไม่สามารถตอบปัญหาเหล่านี้ได้ เนื่องจากเรื่องดังกล่าวถือเป็นเรื่องของกรรมวิสัย อันเป็นเรื่องราวว่าด้วยวิสัยของกฎแห่งกรรมและการให้ผลของวิบากกรรม ซึ่งในทางพระพุทธศาสนานั้นถือเป็นหนึ่งในเรื่องของ"อจินไตย"อันหมายถึง สิ่งที่ไม่ควรคิด และไม่อาจเข้าใจได้ด้วยตรรกะของปุถุชน เพราะเป็นเรื่องของการรับรู้ด้วยจิตนั่นเอง


    "อจินไตย หมายถึง เรื่องที่ไม่ควรคิด และไม่อาจเข้าใจได้ด้วยตรรกะของปุถุชน เพราะเป็นเรื่องของจิต มี 4 อย่างได้แก่


    ๑.พุทธวิสัย คือ วิสัยของความเป็นพระพุทธเจ้า เช่น การที่ทรงรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่างอันเกินกว่าวิสัยของปุถุชนจะสามารถรับรู้ได้(พระสัพพัญญุตญาณ)

    ๒.ฌานวิสัย คือ วิสัยของผู้ที่ได้ฌาณอภิญญา

    ๓.กรรมวิสัย คือ วิสัยของกฎแห่งกรรม เช่น การให้ผลของกรรม

    ๔.โลกวิสัย คือ วิสัยของโลก เช่น การเกิดขึ้นของโลกและจักรวาล"



    [​IMG]


    "สัพพัญญูวิสัย (ความเป็นผู้รอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง) ถือเป็นหนึ่งในพุทธวิสัย"



    ดังนั้นข้าพเจ้าจึงได้แต่ตอบไปว่าการละเมิดศีลข้อที่ ๕ นั้นเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนเราไม่สามารถครองสติได้ และจะนำไปสู่การละเมิดศีลข้อที่เหลืออีก ๔ ข้อ อันเป็นการสร้างปัญหาทั้งต่อตนเองและผู้อื่นอย่างแน่นอน


    [​IMG]


    "ตามโพทนะนรก" ขุมนรกสำหรับผู้ที่ละเมิดศีลข้อ 5 (น่ากลัวมากๆค่ะ T^T)​



    และแล้วเหตุการณ์ที่น่าแปลกก็เกิดขึ้น กล่าวคือในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังนั่งสนทนาเกี่ยวกับการละเมิดศีลข้อที่ ๕ อยู่นั้น ก็ได้เกิดความรู้สึกและเห็นภาพว่าเพื่อนผู้ชายคนนี้จะชวนข้าพเจ้า ขึ้นหอพักของเขา ในลักษณะที่จะชวนขึ้นไปนั่งกินเหล้าด้วยกัน และหลังจากกินเหล้าแล้วก็จะทำมิดีมิร้ายกับข้าพเจ้า ซึ่งเมื่อข้าพเจ้าเห็นภาพดังกล่าวก็มีความรู้สึกว่าเป็นอุปาทานเข้ามา ทั้งนี้เนื่องจากขณะนั้นข้าพเจ้าและเพื่อนๆกำลังนั่งสนทนากันในเรื่องดังกล่าวนั่นเอง


    หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ข้าพเจ้าและพี่ๆที่ฝึกมโนมยิทธิด้วยกันก็ได้มารวมตัวกันที่ห้องพักของพี่ท่านหนึ่งเช่นเคย โดยหลังจากที่พูดคุยพักผ่อนหย่อนใจและสนทนาธรรมกันตามสมควรแล้ว พวกเราก็จะมานั่งล้อมวงดูไพ่พรหมญาณกันอย่างสนุกสนาน (หลังจากที่สมาชิกคนหนึ่งซื้อไพ่พรหมญาณมา อิอิ) และเมื่อถึงคิวของข้าพเจ้า หลังจากที่ทำตามขั้นตอนต่างๆเสร็จแล้วข้าพเจ้าก็เลือกไพ่ตามปกติอย่างที่เคยทำมา ซึ่งในครั้งนั้น ไพ่ใบหนึ่งที่ปรากฎออกมาก็คือ ไพ่พญาครุฑอุ้มนางกากี


    [​IMG]


    "ไพ่พรหมญาณ : ไพ่พญาครุฑอุ้มนางกากี"


    ในตอนนั้น พี่ที่ดูไพ่พรหมญาณให้กับข้าพเจ้าได้พูดขึ้นมาว่า เหตุการณ์อันนี้ค่อนข้างน่ากลัวมาก ข้าพเจ้าจะต้องระวังผู้ชายคนหนึ่งที่มีสีผิวออกคล้ำๆ เพราะเค้าจะคิดไม่ดีกับข้าพเจ้าในเรื่องชู้สาว โดยจะใช้การมอมเหล้าข้าพเจ้า ข้าพเจ้าฟังแล้วก็รู้สึกงงๆ และคิดว่าคงจะไม่รุนแรงถึงเพียงนั้น โดยที่ข้าพเจ้าก็ลืมไปแล้วว่าตัวเองเห็นอะไรก่อนหน้านั้นเพียงไม่นาน


    หลังจากที่ข้าพเจ้าดูไพ่พรหมญาณแล้ว ข้าพเจ้าก็พบว่าเพื่อนผู้ชายคนนี้มีอาการแปลกๆกับข้าพเจ้า กล่าวคือ ในช่วงนั้นข้าพเจ้าจะพบกับเพื่อนคนนี้บ่อยมาก และเค้าก็จะชอบมองมาทางข้าพเจ้าบ่อยๆ คล้ายกับอยากจะเข้ามาพูดคุยกับเรา ซึ่งข้าพเจ้าก็รู้สึกแปลกๆและอึดอัดเป็นอย่างมาก งานนี้เลยหนีลูกเดียว


    โดยในช่วงนั้น ข้าพเจ้าได้เล่าให้เพื่อนสนิทคนหนึ่งฟัง โดยเล่าเรื่องตั้งแต่ครั้งแรกที่ข้าพเจ้ารู้จักกับเพื่อนผู้ชายคนดังกล่าว รวมถึงการดูไพ่พรหมญาณ ซึ่งเพื่อนก็พยายามปลอบใจไม่ให้ข้าพเจ้าคิดมาก และได้บอกกับข้าพเจ้าว่าจะคอยสังเกตให้อีกทางหนึ่ง ซึ่งในครั้งนั้น เพื่อนสนิทของข้าพเจ้าก็ได้ตั้งข้อสังเกตว่า เพื่อนผู้ชายคนนั้นมีพฤติกรรมแปลกๆกับข้าพเจ้าจริงๆ จึงบอกข้าพเจ้าว่าให้ระวังตัวและทำตัวตามปกติไป สุดท้ายเรื่องราวก็จบลงด้วยดี กล่าวคือเพื่อนผู้ชายคนนั้นก็ค่อยๆหายไปและไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างที่ข้าพเจ้ากังวล


    [​IMG]


    "ฉิมพลีนรก" ขุมนรกสำหรับผู้ที่ละเมิดศีลข้อ 3 (น่ากลัวมากๆค่ะ T^T)


    หลังจากที่ข้าพเจ้าใช้ชีวิตตามปกติต่อมาอีก 3 ปี วันหนึ่งเพื่อนสนิทของข้าพเจ้าได้ทำหน้าตื่นมาบอกกับข้าพเจ้าว่า เพื่อนผู้ชายคนนั้นได้เล่าให้เพื่อนของเค้าฟัง ซึ่งเพื่อนของเค้าได้มาเล่าต่อให้แฟนของเพื่อนสนิทข้าพเจ้าฟังว่า เพื่อนผู้ชายคนนั้นเคยคิดจะมอมเหล้าข้าพเจ้า ซึ่งเค้าก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงคิดแบบนั้น กลายเป็นว่าข้าพเจ้ารู้สึกโล่งอกที่ไม่ได้คิดไปเอง


    สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถือเป็นอุทาหรณ์สอนใจข้าพเจ้าได้เป็นอย่างดีว่า ในอดีตชาตินั้น ข้าพเจ้าได้เคยผ่านการละเมิดศีล ๕ มานับชาติไม่ถ้วนเช่นเดียวกับคนทุกๆคน ดังนั้นเมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ เศษกรรมทั้งหลายเหล่านี้ย่อมจะส่งผลกับข้าพเจ้าเป็นเรื่องปกติ และสิ่งเดียวที่จะทำได้ก็คือ การพยายามตั้งใจรักษาศีล ให้ทาน และทำสมาธิภาวนา เพื่อให้เราสามารถเข้าถึงการหลุดพ้นได้ในที่สุดค่ะ


    [​IMG]


    "ท่านพร่องในศีลด้วยเจตนาเพียงนิดเดียว

    ท่านไม่มีหวังที่จะทรงสมาธิ เพื่อฌานสมาบัติได้เลย

    เพราะเพียงศีล มีการรักษาแบบหยาบๆ ท่านยังรักษาไม่ได้

    ท่านจะเป็นผู้ทรงสมาธิ ที่มีอารมณ์ละเอียดกว่านี้ได้อย่างไร"


    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)


    *** โปรดใช้วิจารณาญาณในการอ่านนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤษภาคม 2014
  4. therd2499

    therd2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +3,209
    เอาอีกปูเสื่อรอครับ
     
  5. นายเก่ง

    นายเก่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    127
    ค่าพลัง:
    +218
    อาจารย์ท่านที่สอน คุณWhite Sage ท่านยังสอนหรือป่าวติดต่อท่านได้ที่ไหนบ้างครับ
     
  6. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    ขออนุญาตไม่บอกตอนนี้นะคะ ไว้จะเล่าให้ฟังในตอนที่พระท่านมาสงเคราะห์และ

    พยากรณ์เรื่องต่างๆให้ในมโนมยิทธิเต็มกำลังค่ะ ^^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2014
  7. นายเก่ง

    นายเก่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    127
    ค่าพลัง:
    +218
    ครับผมบ่เป็นหยัง ^^ รอได้ครับ
     
  8. เมธาวี1

    เมธาวี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    692
    ค่าพลัง:
    +1,051
    มารออ่าน เมื่อคืนฝันเห็นรูปภาพหลวงพ่อ เหมือนจะถูกทิ้งไว้ใต้ถุนบ้านฝุ่นจับ ผมก็หยิบขึ้นมาปัดฝุ่นออก เห็นยันต์กระเพชรด้วยเหมือนจะเอาไว้ไล่ผี ผีกระเจิง 55
     
  9. choto

    choto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +330
    เข้ามาติดตามด้วยครับ
     
  10. joolong

    joolong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +283
    อ่านไปอ่านมา ชักจะงง ตกลงเป็นเรื่องของพุทธภูมิหญิงท่านหนึ่ง ที่จขกท ฟังมา และ นำมาเล่า หรือว่าเป็นเรื่องของ จขกท เองครับ

    ปล. จขกท อายุเท่าไหร่ มีแฟนยังครับ
     
  11. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    555
     
  12. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    สาธุค่ะ ^^
     
  13. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    จขกท. เป็นพุทธภูมิหญิงท่านนั้นเองค่ะ (ตอนแรกกะว่าจะไม่ประสงค์ออกนาม แต่ทำไปทำมาหลุดซะงั้น ต้องขออภัยทุกๆท่านนะคะ)


    เรื่องบางอย่าง เราไม่ได้อยากเล่าให้ใครฟังค่ะ แต่ไฟท์บังคับ ขอให้ทุกท่านโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 เมษายน 2014
  14. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    " พระท่านมาสงเคราะห์ข้อธรรม-พรหมวิหาร ๔-มานะกิเลส "


    หลังจากที่อ.ฆราวาสได้นำพาพวกเราไปฝึกเจโตปริยญาณแล้ว ในการฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังครั้งหนึ่ง อ.ได้ให้ผู้ฝึกทุกคนลดกำลังจิตลงมาในอุปจารสมาธิ หลังจากนั้นอ.ก็ได้กราบอาราธนาบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อสอนข้อธรรมที่เหมาะสมกับผู้ฝึกในขณะนั้นๆ


    หลังจากที่อ.ท่านกราบอาราธนาบารมีพระท่านแล้ว อ.ได้กล่าวว่าในครั้งนี้ พระท่านจะสงเคราะห์ข้อธรรมในเรื่องของพรหมวิหาร ๔ และมานะกิเลส ทั้งนี้เพื่อให้จิตของผู้ฝึกซึ่งเป็นพุทธภูมิทรงอยู่ในพรหมวิหารธรรม ๔ ประการโดยเฉพาะมุทิตาจิต เพื่อแก้ไขอารมณ์จิตที่อิจฉา เปรีบบเทียบระหว่างนักปฏิบัติด้วยกัน ว่าเราดีกว่าเขา เราเสมอเขา เราเลวกว่าเขา จนเป็นมานะกิเลสที่พอกพูน อันทำให้นักปฏิบัติไม่ก้าวหน้า และหลงตน


    [​IMG]


    "พระท่านสงเคราะห์ข้อธรรม"



    หลังกจากนั้นอ.ฆราวาสท่านก็ได้บรรยายข้อธรรมพรหมวิหาร ๔ และมานะกิเลสให้ผู้ฝึกฟังพร้อมกับคิดพิจารณาตามไปด้วย โดยเฉพาะในเรื่องของมานะกิเลส พระท่านได้สงเคราะห์ให้เห็นอารมณ์จิตในสภาวะพระนิพพานว่ามีมานะกิเลสหรือไม่อย่างไร โดยให้ผู้ฝึกดูสภาวะที่ว่า "องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลายนั้น ท่านไม่เคยถือเลยว่าท่านดีกว่า แย่กว่า หรือเสมอกัน ทั้งนี้เพราะท่านมีแต่อารมณ์จิตที่เคารพในความดีของกันและกันนั่นเอง"


    หลังจากที่พระท่านได้สงเคราะห์ให้เห็นสภาวะดังกล่าวแล้ว อ.ฆราวาสท่านได้บอกให้ผู้ฝึกพยายามจำจดอารมณ์นั้นไว้ และเมื่อมีมานะกิเลสเกิดขึ้นในใจของผู้ฝึกเมื่อใด ก็ให้นึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลายที่ท่านไม่มีมานะกิเลส เพื่อเป็นการเตือนใจ และขัดเกลามานะกิเลสของตนเองต่อไป


    [​IMG]


    "สภาวะพระนิพพาน กับ มานะกิเลส"​



    การฝึกในครั้งนี้ได้สร้างความประทับใจแก่ข้าพเจ้าเป็นอย่างมาก เพราะจิตในตอนนั้นมีอารมณ์เปรียบเทียบระหว่างตนเองกับผู้อื่น โดยข้าพเจ้าได้พยายามจดจำทุกๆสิ่งที่ท่านสอน และรับเอามาปฏิบัติตลอดในการปฏิบัติธรรมค่ะ


    ทั้งนี้โดยส่วนตัวแล้วข้าพเจ้าเป็นคนโทสะจริต(ตามที่ได้กล่าวไว้ในตอน"พุทธภูมิ-พรหมวิหาร๔-งานสาธารณะประโยชน์") จึงมีนิวรณ์ตัวปฏิฆะ(ความรู้สึกไม่ชอบใจ ขุ่นเคืองใจ)และโทสะกิเลสเข้ามารบกวน อีกทั้งยังเป็นคนที่ไม่ค่อยขยันในการนั่งสมาธิเท่าใดนัก(จะนั่งสมาธิหรือฝึกมโนมยิทธิก็เฉพาะตอนที่ไปเรียนกับอ.ฆราวาสซึ่งสอนเพียงเดือนละครั้งเท่านั้น) ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนทำให้ก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมได้ยาก


    ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเริ่มต้นจากการค่อยๆฝึกฝนตนเองไปเรื่อยๆ โดยเริ่มจากศีล ๕ อันเป็นพื้นฐานที่สำคัญก่อน เพราะสมาธิจะเกิดไม่ได้เลยถ้าหากว่าเรายังเป็นผู้ละเมิดศีลอยู่ และยุงยงส่งเสริมให้คนอื่นละเมิดศีล รวมถึงยินดีที่ผู้อื่นละเมิดศีล และเมื่อเราสามารถรักษาศีลได้อย่างมั่นคงแล้ว ข้าพเจ้าก็จะอาศัยการไปฝึกมโนมยิทธิกับอ.ฆราวาสทุกเดือน เรียกได้ว่าไปแทบทุกเดือนไม่เคยพลาด ทั้งนี้เพราะข้าพเจ้ารู้ตัวเองว่าถ้าให้มานั่งสมาธิหรือฝึกมโนมยิทธิเองที่บ้าน ข้าพเจ้าคงไม่ได้ฝึกเหมือนคนอื่นๆแน่ เนื่องด้วยมีนิสัยค่อนข้างขี้เกียจนั่นเอง


    เมื่อข้าพเจ้าไปฝึกมโนมยิทธิกับอ.ฆราวาสหลายๆครั้งเข้า จิตก็จะเริ่มชินกับการทำสมาธิให้ปราศจากนิวรณ์ ๕ และเริ่มชินกับการพิจารณาในวิปัสสนาญาณเพื่อตัดกิเลสมากขึ้นๆ และผลจากการชินนี้เอง ทำให้จิตข้าพเจ้าเริ่มมีฉันทะ(ความชอบ)ในการทำสมาธิทีละเล็กทีละน้อยตามมา ซึ่งการที่เราเริ่มชอบทำสมาธิทีละเล็กทีละน้อยในยามว่างระหว่างวัน จะช่วยให้เราเริ่มเห็นความจริงว่า จิตที่มีปฏิฆะหรือมีโทสะนั้นเป็นอย่างไร เมื่อเปรียบเทียบกับจิตที่ทรงอยู่ในสมาธิ ไม่มีนิวรณ์ ๕ เข้ามารบกวน ซึ่งภาษาวัยรุ่นต้องบอกว่า "ฟิน" กว่ากันเยอะค่ะ ฮ่าๆ


    [​IMG]


    "จิตที่ปราศจากนิวรณ์ ๕ ย่อมนำความสุข(ฟิน)มาให้ อิอิ :p"


    ตรงนี้หลายๆท่านอาจสงสัยว่า จิตที่ปราศจากนิวรณ์ ๕ (หรือที่เรียกว่าจิตทรงฌานในลำดับต่างๆ)นั้น เข้ามาเกี่ยวข้องกับการทรงพรหมวิหาร ๔ ได้อย่างไร ตรงนี้ขอให้ท่านผู้อ่านลองพิจารณาคำสอนของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ดังรายละเอียดข้างล่างนี้ค่ะ


    " ความจริงพรหมวิหาร ๔ นี้เป็นธรรมะกลาง ที่ว่ากลางก็เพราะว่า ถ้าบุคคลใดมีอารมณ์ใจทรงอยู่ในพรหมวิหาร ๔ เป็นปกติ บุคคลนั้นจะมีศีลบริสุทธิ์อยู่ตลอดเวลา จะมีจิตทรงฌานอยู่ตลอดเวลา แล้วก็จะเป็นคนมีความฉลาดในด้านปัญญา สามารถตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานได้โดยง่าย ถ้าจะกล่าวกันว่า กรรมฐานบทนี้เป็นกรรมฐานใหญ่ก็ว่าได้

    นี้กล่าวกันโดยอีกนัยหนึ่ง ก็ถือว่า พรหมวิหาร ๔ เป็นอาหาร อาหารเลี้ยงศีลให้อ้วนมีกำลัง เป็นอาหารเลี้ยงสมาธิให้มีกำลัง อาหารเลี้ยงปัญญาให้มีคมกล้า สามารถจะฟาดฟันกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหานเมื่อไหร่ก็ได้

    จึงขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ท่านจะดี หรือว่าท่านจะเลว ท่านจะเป็นคน หรือว่าท่านจะเป็นมนุษย์ ความจริงมนุษย์นี่ เขาแยกไว้หลายอย่าง

    คำว่า มนุสโส แปลว่า ผู้มีใจสูง มีศีลบริสุทธิ์ หรือ มีกรรมบท ๑๐ บริสุทธิ์

    มนุสสเทโว ร่างกายเป็นมนุษย์ แต่ว่ากำลังใจเป็นเทวดา คือ มีหิริ และโอตตัปปะ

    มนุสสพรหมา หมายความว่า ร่างกายเป็นมนุษย์ แต่ใจประกอบไปด้วยพรหมวิหาร ๔ อย่างนี้ตายแล้วเป็นพรหม

    แล้วก็ มนุสสติรัจฉาโน ร่างกายเป็นมนุษย์ ใจไม่ยอมมาเคารพนับถือในสิทธิซึ่งกันและกัน ขาดความเมตตาปรานี ร่างกายเป็นมนุษย์ ใจเป็นสัตว์เดรัจฉาน ตายแล้วเป็นสัตว์เดรัจฉาน

    มนุสสนิรยโก มนุษย์สัตว์นรก หมายความว่า คนประเภทนี้หาความดีอะไรไม่ได้ ไม่มีความรู้สึกตัว ไม่รู้ดีไม่รู้ชั่ว ขาดความเมตตาปรานี คนประเภทนี้ร่างกายเป็นมนุษย์ ใจเป็นสัตว์นรก ตายแล้วก็เป็นสัตว์นรก"


    - ข้อความส่วนหนึ่งจากเทปเรื่อง พรหมวิหาร ๔ ปี ๒๕๒๑ (ม้วน ๑ หน้า ก) โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)



    [​IMG]


    "องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ครั้นเมื่อทรงเสวยพระชาติเป็น สุวรรณสาม ผู้บำเพ็ญเมตตาบารมีอย่างยิ่งยวดด้วยชีวิต(ปรมัตถบารมี)


    ในพระชาตินั้นพระโพธิสัตว์ต้องรับภาระเลี้ยงดูบิดามารดาผู้ตาบอด โดยวันหนึ่งขณะที่กำลังหาผลไม้ในป่าอยู่นั้น พระราชาแห่งเมืองพาราณสี พระนามว่า

    "กบิลยักขราช" ได้เสด็จออกล่าสัตว์และแผลงศรมาถูกพระโพธิสัตว์จนได้รับบาดเจ็บสาหัส พระโพธิสัตว์มิได้ถือโทษโกรธต่อท้าวกบิลยักขราช แต่กลับ

    มีจิตประกอบไปด้วยเมตตา และได้เทศนาทศพิธราชธรรมให้ฟัง จนในที่สุดด้วยอำนาจแห่งความดีและเมตตาบารมีที่พระโพธิสัตว์ทรงกระทำ

    ก็ได้ดลบันดาลให้พระโพธิสัตว์หายจากอาการบาดเจ็บ อีกทั้งยังดลบันดาลให้บิดาและมารดาสามารถกลับมามองเห็นได้ดังเดิม"


    ดังนั้นเราจึงสามารถสรุปได้ว่าพรหมวิหาร ๔ นั้นเป็นกรรมฐาน ๑ ใน ๔๐ กอง ที่มีผลให้ผู้ฝึกสามารถทรงอยู่ในสมาธิ(ฌานสมาบัติ) เราจึงกล่าวได้ว่าผู้ที่สามารถทรงพรหมวิหาร ๔ ได้นั้น อีกนัยหนึ่งก็คือผู้ที่สามารถทรงฌานได้นั่นเอง ซึ่งผลในท้ายที่สุดพรหมวิหาร ๔ นี่แหละจะเป็นพื้นฐานอันสำคัญในการใช้ปัญญาเพื่อการตัดกิเลสต่อไป


    และเมื่อข้าพเจ้าเห็นความ"ฟิน"ของจิตที่ไม่มีนิวรณ์ ๕ มารบกวนแล้ว ข้าพเจ้าก็จะเริ่มชอบทำสมาธิมากขึ้นๆ โดยอาศัยช่วงเวลาที่ว่าง เช่น เวลานั่งรถกลับบ้านก็จะนั่งทำสมาธิภาวนาไปด้วย โดยขั้นแรก ข้าพเจ้าจะหาวิธีผ่อนคลายความเครียดจากการเรียนในแต่ละวันก่อน โดยอาศัยการฟังเพลงที่ชื่นชอบจนจิตรู้สึกผ่อนคลาย และเมื่อจิตรู้สึกผ่อนคลาย จิตก็จะอยากได้ความสุขที่มากกว่า"กามฉันทะ" (ความพอใจในรูปสวย เสียงเพราะ ฯลฯ) ทั้งนี้เนื่องจากจิตเริ่มจะติดใจในความ"ฟิน"ของการไม่มีนิวรณ์ ๕ มารบกวนแล้วนั่นเอง และตรงนี้ถือเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้จิตเรียกร้องอยากจะทำสมาธิภาวนาเองโดยธรรมชาติ และในท้ายที่สุดเราก็จะเริ่มเห็นจิตของเราว่า ในบางครั้งจิตก็จะหันกลับไปฟังเพลงเพราะๆตามความเคยชินเดิม และกลับมาสนใจทำสมาธิภาวนาต่อด้วยความเคยชินกับความ"ฟิน"สลับกันไปอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งตรงนี้เองเป็นพื้นฐานสำคัญของ"เจโตปริยญาณ"การรู้วาระจิตของตนเองค่ะ


    [​IMG]


    "เมื่อได้ทำกิจกรรมที่ชอบ อาทิเช่น การฟังเพลง จิตก็จะค่อยๆคลายอารมณ์จากความเครียด

    และอยากจะทำสมาธิภาวนาเพื่อความ"ฟิน"ที่ละเอียดประณีตยิ่งขึ้นโดยธรรมชาติค่ะ :) "



    และเมื่อเราทรงอยู่ในสมาธิหรือพรหมวิหารธรรม ๔ มากขึ้น จิตของเราก็จะเยือกเย็นและละเอียดมากขึ้น จนเห็นกิเลสต่างๆที่ซ่อนอยู่ในจิตของเรา ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่เราเกิดปฏิฆะ(ความไม่พอใจ)เพราะมีคนมาต่อว่าเรา เราจะรู้เลยว่าอารมณ์ปฏิฆะอันนี้ เมื่อมองให้ลึกลงไปแล้ว มีที่มาจากการที่เราถือตัวถือตนว่าเราดีและวิเศษกว่าคนอื่นนั่นเอง ซึ่งการที่เราถือตัวถือตนว่าเราดีและวิเศษกว่าคนอื่นนั้น เป็นผลมาจากการที่เรายังมีสักกายทิฐิ(การเห็นว่าร่างกายนี้เป็นเรา เป็นของๆเรา) และมีมานะกิเลส(ความถือตัวถือตน ว่าเราดีกว่าเขา เราเสมอเขา เราเลวกว่าเขา) อันเป็นกิเลสในสังโยชน์ ๑๐ ประการ และเมื่อเรารู้ที่มาของกิเลสเหล่านี้แล้ว เราก็จะเริ่มแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ โดยการเริ่มพิจารณาในวิปัสสนาญาณเพื่อการละสังโยชน์นั่นเอง


    และด้วยความที่ปรารถนาพุทธภูมิ เราจึงมองว่าคนที่ทำบารมีมาทางพุทธภูมิจะมีมานะกิเลสค่อนข้างเยอะ ซึ่งเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้การทำบารมีพุทธภูมิไม่ก้าวหน้า ดังนั้นนอกจากพุทธภูมิจะต้องหมั่นทรงสมาธิและพรหมวิหารธรรม ๔ แล้ว จะต้องหมั่นรู้จักใช้ปัญญาในการพิจารณาใคร่ครวญในวิปัสสนาญาณ เพื่อละกิเลสที่เป็นรากเหง้าอันสำคัญ ซึ่งก็คือมานะกิเลสของตัวเองนั่นเอง


    และวิธีการอันหนึ่งที่ใช้ในการฝึกฝนตนเองในเรื่องของมานะกิเลสก็คือ การยึดหลักคำสอนของหลวงพ่อพระราชพรหมยานที่ว่า "อัตตนา โจทยัตตานัง" จงกล่าวโทษโจทย์ความผิดของตัวเองไว้เสมอ อันหมายถึง ให้นักปฏิบัตินั้นเห็นความเลวของตนอยู่เสมอๆ เพราะถ้าเราคิดว่าเราดีเมื่อไหร่ เราเลวเมื่อนั้น และ"จงอย่าสนใจในจริยาของบุคคลอื่น"


    [​IMG]


    "จงมีความรู้สึกอยู่เสมอว่า.. ถ้าเรายังไม่เป็นพระอรหันต์เพียงใด ในเวลานั้นก็ชื่อว่าเรายังไม่เป็นคนดี

    เราจะพยายามเก็บความชั่วทุกอย่างที่มันขังอยู่ในจิต ทำลายให้มันตายสนิท อย่าให้เกิดขึ้นมา

    เมื่อกิเลส คือ ความชั่วตายหมด ชื่อว่าจิตว่างจากความชั่ว จงทรงไว้แต่ความดี และก็ว่างจาก

    ความทุกข์ จะทรงไว้แต่เพียงความสุขอย่างเดียว...หวังว่าลูกรักของพ่อคงจำไว้"


    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)


    *** โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 สิงหาคม 2014
  15. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    " คำถามและข้อสงสัยเกี่ยวกับพุทธศาสนา "


    ก่อนที่จะเล่าประสบการณ์มโนมยิทธิเต็มกำลังที่พระท่านมาสงเคราะห์และได้มีพุทธพยากรณ์บางอย่าง ขออนุญาตนำเรื่องราวการสนทนาระหว่างข้าพเจ้ากับเพื่อนสมาชิกเว็บพลังจิตท่านหนึ่ง(ขออนุญาตไม่เอ่ยนาม)มาให้ท่านผู้อ่านได้ลองพิจารณากัน เนื่องจากเห็นว่าน่าจะเกิดประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อยค่ะ


    (ขออนุญาตไม่เอ่ยนาม) : เรื่องพวกนี้ที่พูดมานั้น ทำไม ไม่นำพา พุทธบริษัทหรือ คนที่เขาอยากรู้เห็น ไปพิสูจน์ให้เห็นจริงตาม ล่ะครับ เรื่องที่ผม บอกว่า หนังสือที่สาวกออกมาเป็น ประวัติประจำตัวหรือ แสดงคุณวิเศษประจำตัว ว่า เห็นนั่นเห็นนี่ นรก สวรรค์ พระยานาค ยักษ์


    White Sage : ประเด็นแรก มโนมยิทธิที่หลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)ท่านได้เมตตานำมาสั่งสอนแก่พุทธบริษัทนั้น ถือเป็นหลักสูตรในสายวิชชาสามและอภิญญา ที่ทำให้ผู้ฝึกสามารถพิสูจน์นรก สวรรค์ และภพภูมิต่างๆ สามารถระลึกชาติ รู้อดีต รู้ปัจจุบัน และรู้อนาคต เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการปฏิบัติเพื่อพิสูจน์คำสอนในพระไตรปิฏกทั้งสิ้น


    ทั้งนี้การฝึกมโนมยิทธินั้น หลวงพ่อท่านได้วางแนวทางวิธีการฝึกให้กับพุทธบริษัทเป็นอย่างดี แต่ทุกอย่างย่อมขึ้นอยู่กับผู้ฝึกท่านนั้นๆด้วยว่าได้เคยสั่งสมบุญบารมีมาทางนี้หรือไม่ และในขณะที่ฝึกนั้น กำลังจิตอยู่ในสมถะภาวนาและวิปัสสนาญาณหรือไม่ค่ะ


    ส่วนตัวเวลาที่รู้เห็นสิ่งต่างๆจะยังไม่เชื่อนะคะ แต่จะยึดหลักกาลามสูตร แล้วรอเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นตามที่ท่านนั้นๆบอกมา ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นเครื่องยืนยันให้เราได้รู้เองค่ะ(เป็นปัจจัตตัง)



    [​IMG][​IMG]


    "วิชามโนมยิทธิ เป็นหลักสูตรทางพระพุทธศาสนาทางด้านวิชชา ๓ กึ่งอภิญญา​



    คำว่า มโนมยิทธิ แปลว่า มีฤทธิ์ทางใจ เป็นวิชาที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)นำมาสอน จุดประสงค์เพื่อให้คนได้พิสูจน์พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ในเรื่อง นรก สวรรค์ พรหม พระนิพพาน เป็นสิ่งที่มีจริงเป็นจริง เป็นการตัดตัววิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นการละสังโยชน์ข้อที่ ๒ ในสังโยชน์ ๑๐

    คนที่ฝึกได้ สามารถใช้จิตหรืออทิสสมานกายท่องเที่ยวไปตามภพภูมิต่างๆ ได้ เมื่อเขาไปเห็นแดนอบายภูมิ เห็นโทษจากการละเมิดศีล เขาก็จะตั้งใจและรักษาศีลได้บริสุทธิ์ เป็นการละสังโยชน์ข้อที่ ๓ คือสีลัพพตปรามาส

    คนที่ฝึกมโนมยิทธิได้ การทรงอารมณ์พระโสดาบันจะได้ผลอย่างรวดเร็ว เพราะพระโสดาบันตัดสังโยชน์ได้ ๓ ข้อ คือ สักกายทิฐิ, วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส และพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง ท่านกล่าวไว้ว่า สักกายทิฐิของพระโสดาบันคือ คิดว่าตัวเราจะต้องตายแน่ และให้นึกถึงความตายอยู่เสมอ คิดว่าเราอาจจะตายวันนี้พรุ่งนี้ จะได้ไม่ประมาทในชีวิต


    ส่วนหนึ่งจากบทความ "การรักษาอารมณ์ของมโนมยิทธิ" ในเว็บไซต์ศูนย์พุทธศรัทธา สำนักปฏิบัติพระกรรมฐานสาขาวัดท่าซุง"




    (ขออนุญาตไม่เอ่ยนาม) : ผมกล่าวเน้นที่เรื่องนี้ มากกว่าครับ ว่า ทำไม มีพระไตรปิฏกแล้ว ยังไม่พออีกหรือครับ เพราะพระไตรปิฏกคือคำสอนของพระพุทธเจ้าแท้ๆ


    White Sage : สำหรับประเด็นเรื่องพระไตรปิฏก ต้องยอมรับในทางโลก(ถ้าคุณทราบ) จะมีประเด็นเรื่องที่ว่า พระไตรปิฏกนั้นถูกเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาหรือไม่ ถ้าใครเรียนประวัติศาสตร์จะทราบดีว่าหลักคิดของประวัติศาสตร์เป็นอย่างไร ซึ่งตรงนี้คือที่มาของคำถามเกี่ยวกับความสมบูรณ์ถูกต้องของพระไตรปิฏก ว่าการถูกถ่ายทอดแบบมุขปาฐะ คุณจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเรื่องราวไม่ถูกเปลี่ยนแปลงไปตามยุคตามสมัย


    แล้วทราบไหมค่ะว่าเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า รวมถึงเรื่องราวเกี่ยวกับภพภูมิต่างๆนั้น กลับถูกมองว่าเป็นสิ่งแต่งขึ้นมาเพื่อต่อสู้และพยายามดำรงพุทธศาสนาในสังคมที่มีศาสนาพราหมณ์เป็นศาสนาดั้งเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของภพภูมิต่างๆ ถูกมองว่าเป็นการอนุโลมตามอิทธิพลความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ที่มีมาแต่ดั้งเดิม ซึ่งสิ่งนี้ทำให้กลายเป็นว่าบางคนมองพระพุทธศาสนาเป็นปรัชญา และเป็นศาสนาที่ยึดหลักมนุษย์นิยม(Humanism)ไปแทน


    ทำให้คนรุ่นปัจจุบันศึกษาพระไตรปิฏกแบบปรัชญาบ้าง หรือปริยัติบ้าง และไม่สามารถตอบคำถามได้ว่า กฎแห่งกรรมมีจริงหรือไม่ การเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆมีจริงหรือเปล่า แล้วเราชาวพุทธจะพิสูจน์ได้อย่างไร เพราะพระพุทธเจ้าท่านก็สอนให้เราปฏิบัติเพื่อพิสูจน์ ไม่ให้เชื่อท่าน ให้ยึดหลักกาลามสูตร แล้วคุณ...ล่ะค่ะ ถ้ามีคนมาถามว่า ที่พระพุทธเจ้ากล่าวในพระไตรปิฏก ว่านรกมีจริง สวรรค์มีจริง ไม่ต้องพูดถึงนิพพานก็ได้ คุณ...จะตอบอย่างไร แล้วจะพิสูจน์ให้เค้าเห็นได้อย่างไรว่ามีจริง โดยที่คุณเองก็ไม่ได้เชื่อโดยปราศจากเหตุผลหรืองมงาย


    ดังนั้นสิ่งที่ชาวพุทธควรทำก็คือ การปฏิบัติตนตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยตนเอง พิสูจน์ด้วยตนเองตามหลักกาลามสูตรว่า ภพภูมิต่างๆที่พระพุทธองค์ทรงสอนนั้นมีจริงหรือไม่ ฌาน ญาณ อภิญญา และวิปัสสนาญาณนั้นเป็นอย่างไร จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้เห็นชอบ(สัมมาทิฏฐิ)ประกอบด้วยปัญญาค่ะ



    [​IMG]


    "พื้นฐานวิปัสสนา"


    "บางท่านบอกว่า สุกขวิปัสสโก ไม่ต้องใช้สมถะเลย ใช้แต่วิปัสสนาญาณ ตัวเดียว อันนี้ผิด ถ้าพูดอย่างนั้นแสดงว่า

    ท่านผู้พูดไม่ได้อะไรเลย ความจริงศีลก็ดี สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดี สามประการ นี้จะแยกกันไม่ได้ อันแรกปรับปรุงศีลให้ดี

    เมื่อปรับปรุงศีลดีแล้วสมาธิก็ทรงตัว เมื่อสมาธิทรงตัว ปัญญามันก็เกิด นี่เป็นพื้นฐานของการเจริญวิปัสสนาญาณ"



    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี



    (ขออนุญาตไม่เอ่ยนาม) : แต่ทำไม สาวก มาออกหนังสือ ฝึกมโน ฝึกกรรมฐาน ที่ตนเองทำที่ตนเองปฏบัติล่ะครับ ประมาณเหมือนว่า สร้างสำนักเป็นของตนเอง ใครไม่เชื่อไม่ศรัทธาที่ตนเองฝึกมา ก็ เป็นสำนักอื่น (สำนักคือ การแบ่งว่า เป็นลูกศิษย์พระรูปนั้น สายนั้น สายนี้ สายไหนที่ ไม่ดัง ก็ ไม่จริง ) มันคือ เพื่ออะไรกันครับ บางวัดก็เน้นไม่เหมือนกัน ถ้าไม่ชอบ ไม่เชื่อ ก็ แบ่งพรรคพวก ว่า คนละสำนัก คนละครูอาจารย์


    White Sage : ส่วนตัวมองว่า หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านต้องการให้คนธรรมดาอย่างเราๆท่านๆสามารถเข้าถึงพระพุทธศาสนาได้ง่าย โดยวางแนวทางปฏิบัติเพื่อให้พุทธศาสนิกชนสามารถพิสูจน์ความรู้เบื้องต้น(basic)ในทางพระพุทธศาสนา คือ การมีอยู่ของภพภูมิต่างๆ การเวียนว่ายตายเกิด กฎแห่งกรรม และการปฏิบัติตนให้เกิดฌานสมาบัติ ญาณ(เครื่องรู้) และวิปัสสนาญาณ อันจะนำไปสู่การละสังโยชน์เพื่อเป็นพระอริยเจ้าต่อไปค่ะ


    ซึ่งหลักการที่ท่านสอนไม่ได้ผิดแผกแปลกไปจากคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่อย่างใด ถ้าใครปฏิบัติแล้วตรวจสอบหลักธรรมจะทราบดี แต่ก็เป็นเรื่องปัจจัตตังอีก พิสูจน์ยากว่าคนๆนั้นคิดเข้าข้างตัวเองและหลวงพ่อท่านหรือไม่ ยังไงก็ตัวใครตัวมัน กรรมใครกรรมมันค่ะ ฮ่าๆๆ


    ส่วนตัวตั้งแต่ปฏิบัติธรรมในสายวิชชาสามและอภิญญาแบบมโนมยิทธิมา ยังไม่เคยแบ่งสำนักนะคะ เพราะทุกๆสายนั้นสามารถนำไปสู่การหลุดพ้นได้ทั้งสิ้นค่ะ ถ้าปฏิบัติได้ถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธองค์ ทั้งนี้โดยส่วนตัวแล้วเป็นผู้ปรารถนาพุทธภูมิ จึงต้องเรียนรู้ทั้งสายสุขวิปัสสโก วิชชาสาม และอภิญญาค่ะ และต้องรู้องค์ความรู้ทางโลกด้วยว่า ยุคปัจจุบันศาสตร์ต่างๆทางโลกไปถึงไหนแล้ว แล้วเราจะเอามาปรับเพื่ออธิบายพุทธศาสนาที่เป็นเรื่องของจิต ให้คนทั่วๆไปทราบได้อย่างไรค่ะ



    ยอมรับนะคะ เท่าที่ดูคร่าวๆแล้ว


    1. จุดอ่อนของสายสุขวิปัสสโก ที่เป็นกลุ่มบุคคลที่เน้นศึกษาแบบปรัชญาหรือปริยัติศึกษาก็คือ การใช้หลักเหตุหลักผล(คิดจากสมอง)มากเกินไป และเป็นพวกประจักษ์นิยมที่ต้องพิสูน์สิ่งต่างๆให้เห็นอย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม(ในลักษณะของวิทยาศาสตร์) ซึ่งการฝึกจิตไม่สามารถทำได้อย่างนั้นค่ะ และปัญหาที่ตามมาก็คือ จะยึดตัวบทจากพระไตรปิฏกแล้วตีความผ่านกิเลส(ภูมิธรรม)และองค์ความรู้ที่ตนเองมี ซี่งทำให้ไม่สามารถเข้าถึงสภาวะธรรมที่ซ่อนอยู่ภายในตัวหนังสือเหล่านั้นได้ เพราะสภาวะธรรมนั้นเป็นภาษาจิต ภาษาของนักปฏิบัติ สุดท้ายผลที่ตามมาก็คือ จะยึดเอาสิ่งที่ตัวเองเข้าใจ มาวิเคราะห์วิจารณ์คนอื่นที่ไม่ยึดพระไตรปิฏกเหนียวแน่นเหมือนตนเอง


    2. สำหรับจุดอ่อนของสายสุขวิปัสสโก ที่เน้นศึกษาแบบดูจิตและไม่สามารถรู้เห็นสิ่งต่างๆแบบสายวิชชาสามและอภิญญาก็คือ จะเข้าใจว่าตนเองนั้นปฏิบัติถูกต้อง ไม่หลงทางหรือหลงนิมิตเหมือนกับสายวิชชาสามและอภิญญา ทำให้เกิดความรู้สึกว่าตนเองนั้นดีกว่าสายอื่น จนลืมสิ่งที่สำคัญในการปฏิบัติธรรมซึ่งก็คือ การหมั่นดูจิตของตนเองจนเกิดปัญญา(วิปัสสนาญาณ)อันนำไปสู่การละสังโยชน์ได้ในที่สุดนั่นเอง


    3. สำหรับจุดอ่อนของสายวิชชาสามและอภิญญาก็คือ การเห็นนิมิตที่ไม่ได้เกิดจากกำลังจิตที่มีสมถะภาวนาและวิปัสสนาญาณ(หรือที่เรียกกันว่า"เฝือ"นั่นเอง) หรือกรณีที่สามารถเห็นนิมิตและมีญาณหยั่งรู้ต่างๆจริง แต่ไม่นำสิ่งต่างๆที่รู้มานั้นไปใช้พิจารณาในวิปัสสนาญาณเพื่อการละกิเลสต่อไป จนเป็นเหตุให้ยึดติดกับสิ่งที่รู้และเกิดมานะกิเลสคิดว่าตนเองดีและวิเศษกว่าผู้อื่นค่ะ


    ทั้งนี้ทุกๆสายต่างมีท่านที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทั้งนั้นค่ะ และไม่เสียเวลามาหลงทางกับเรื่องเหล่านี้เลย เนื่องจากท่านเหล่านั้นจะคอยรักษาอารมณ์จิตของตนอยู่เสมอๆนั่นเอง

    ส่วนตัวมองว่าเรื่องบางอย่างถ้าเรายังไม่ถึง เราก็ไม่รู้ค่ะ ถ้าอยากรู้จริงๆต้องมีอภิญญาแล้วไปดูด้วยกายเนื้อ ตาเนื้อเลย อันนั้นพิสูจน์ได้ชัดๆเลยค่ะ



    [​IMG]


    "วิปัสสนาญาณ"


    "จงอย่าลืมว่า ก่อนพิจารณาทุกครั้ง ต้องเข้าฌานก่อน แล้วถอยจากฌาน มาหยุดอยู่เพียงอุปจารฌาน แล้วพิจารณา

    วิปัสสนาญาณ จึงจะเห็นเหตุ เห็นผลง่าย ถ้าท่านไม่อาศัยฌานแล้ว วิปัสสนาญาณก็มีผลเป็นวิปัสสนึกเท่านั้นเอง"​



    "วิปัสสนาญาณสามนัย"


    วิปัสสนาญาณที่พิจารณากันมานั้น ท่านสอนไว้เป็นสามนัย คือ


    ๑.พิจารณาตามแบบวิปัสสนาญาณ ๙ ตามนัยวิสุทธิมรรคที่ท่านพระพุทธโฆษาจารย์ รจนาไว้

    ๒.พิจารณาตามนัยอริยสัจ ๔

    ๓.พิจารณาขันธ์ ๕ ตามในพระไตรปิฎก ที่มีมาในขันธวรรค


    ทั้งสามนัยนี้ ความจริงก็มีอรรถ คือความหมายเป็นอันเดียวกัน โดยท่านให้เห็นว่า ขันธ์ ๕ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาเหมือนกัน

    ท่านแยกไว้เพื่อเหมาะแก่อารมณ์ของแต่ละท่าน เพราะบางท่านชอบค่อยทำไปตามลำดับตามนัยวิปัสสนาญาณ ๙ เพราะเป็นการค่อยปลด ค่อยเปลื้องตามลำดับทีละน้อย ไม่หนักอกหนักใจ

    บางท่านก็ชอบพิจารณาแบบรวม ๆ ในขันธ์ ๕ เพราะเป็นการสะดวกเหมาะแก่อารมณ์

    บางท่านที่ชอบพิจารณาตามแบบอริยสัจ อริยสัจนี้พระพุทธเจ้าทรงค้นพบเอง และนำมาสอนปัญจวัคคีย์เป็นครั้งแรก ท่านเหล่านั้นได้มรรคผลเป็นปฐม ก็เพราะได้ฟังอริยสัจ

    แต่ทว่าทั้งสามนี้ก็มีความหมายอย่างเดียวกัน คือ ให้เห็นอนัตตาในขันธ์ ๕ เหมือนกัน ท่านกล่าวไว้ในวิสุทธิมรรค และในขันธวรรค ในพระไตรปิฎกว่า ผู้ใดเห็นขันธ์ ๕ ผู้นั้นก็เห็นอริยสัจ

    ผู้ใดเห็นอริยสัจ ก็ชื่อว่าเห็นขันธ์ ๕



    "พิจารณาขันธ์ ๕ ตามในพระไตรปิฎก ที่มีมาในขันธวรรค"


    "ขันธ์ ๕ ตัวเดียวเท่านั้นแหละเป็นเหตุละกิเลสได้ทุกตัว ในขันธวรรคแห่งพระไตรปิฎกเท่าที่ดูผ่านมา เคยรู้แล้วที่พระพุทธเจ้าบอกว่า ธรรมะส่วนหนึ่ง หรือ

    ธรรมะอย่างหนึ่ง กองหนึ่ง ที่สามารถทำลายกิเลสได้ทั้งหมด ท่านวิจัยชื่อของกิเลสทั้งหมดเข้าไว้ มีธรรมะกองนี้เท่านั้นที่ทำลายกิเลสทั้งหมดนี้ได้ นี่พระสารีบุตรกับพระพุทธเจ้าพูดเป็น

    เสียงเดียวกัน ท่านไม่ยักเถียงกันนะขอรับ น่าแปลกใจไหม เพราะคนที่เข้าถึงจริงๆ แล้วไม่มีใครเขาเถียงกัน ไอ้ที่ยังเถียงกันอยู่นะ มันยังไม่ได้อะไร"


    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี




    *** โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ

    *** หากท่านใดสนใจเรื่องราวเกี่ยวกับมโนมยิทธิ สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์ศูนย์พุทธศรัทธา สำนักปฏิบัติพระกรรมฐานสาขาวัดท่าซุง นะคะ :)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 สิงหาคม 2014
  16. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    " มโนมยิทธิเต็มกำลังและครึ่งกำลัง-พุทธญาณในอนาคตังสญาณ ตอนที่ ๑ "


    ประสบการณ์ในเรื่องนี้ ถือเป็นเรื่องเดียวที่ผู้เขียนไม่เคยคาดคิดว่าจะมีอยู่จริง แต่ได้เกิดขึ้นกับผู้เขียนในมโนมยิทธิเต็มกำลังและครึ่งกำลัง ขอให้ทุกๆท่านได้โปรดใช้วิจารณญาณในเรื่องราวดังต่อไปนี้


    หลังจากที่ปฏิบัติธรรมเรื่อยมา ในวันหนึ่งขณะุที่ข้าพเจ้ามีอายุ 19(ย่าง20) และกำลังเข้าสู่ปีที่ 2 ของการศึกษาในมหาวิทยาลัย ได้เกิดเหตุไม่คาดคิดกับข้าพเจ้าคือ ในการฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังครั้งหนึ่ง หลังจากที่ภาวนาจนจิตออกจากร่าง ข้าพเจ้าได้ไปยังเบื้องหน้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐมต้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน และหลวงปู่ปาน หลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) รวมถึงพระองค์อื่นๆอีก2-3 องค์ เมื่อได้แยกกายกราบทุกๆพระองค์แล้ว จิตของข้าพเจ้าได้อาราธนาบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐมต้น และองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน เพื่อขออาราธนาบารมีท่านไปยังสถานที่ที่ต้องไป


    [​IMG]


    "อันนี้เป็นภาพที่ใกล้เคียงกับที่จขกท.เห็นมากที่สุด โดยสภาวะที่เห็นจริงๆจะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐมอยู่เบื้องหลัง

    และมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันอยู่เบื้องหน้า และทางขวามือจะเป็นหลวงปู่ปานอยู่ใกล้กับพระพุทธองค์ ถัดมาจะเป็นหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ส่วนทางซ้ายมือนั้นจะเป็นท่านอื่นๆอีกประมาณ 2-3ท่าน"


    ในวาระนั้น จิตของข้าพเจ้าก็ได้ตามติดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเพียงพระองค์เดียวมายังสถานที่แห่งหนึ่ง มีสภาพเป็นชายหาดริมทะเล มีสายลมพัด และมีคลื่นซัดเข้าหาฝั่งเป็นระลอกๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันทรงเดินบนชายหาดไปเรื่อยๆ โดยมีข้าพเจ้าเดินตามหลังท่านด้วยความเคารพ และทันใดนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า ที่แห่งนี้จะมีคนตายกันมาก ขอให้เธอแผ่เมตตาในสถานที่แห่งนี้ ข้าพเจ้ามีความสงสัยเป็นอันมากว่าเหตุใดจึงมีคนตายกันมาก จะเป็นซึนามิหรือเปล่า จึงได้กราบทูลถามท่าน ท่านจึงตอบว่า ไม่ใช่ซึนามิ แต่จะเป็นฝนตกน้ำท่วมตายโดยคนจะตายกันมากเหมือนซึนามิ


    [​IMG]


    "ในสภาวะที่จขกท.เห็น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันทรงเดินไปเรื่อยๆริมชายหาดแห่งนั้น

    โดยมีคลื่นซัดเข้าหาฝั่งเป็นระลอก ตัวของจขกท.เองก็เดินตามท่าน จนทรงมีพุทธดำรัสดังที่ได้กล่าวมา"


    และด้วยความวิตกกังวลว่าจะเป็นเหตุการณ์อันตรายอะไรหรือเปล่า เพราะปีนั้นข้าพเจ้าเป็นคนจัดงานรับน้องปีหนึ่งซึ่งจัดที่ริมทะเล จึงได้กราบทูลถามพระพุทธองค์ว่า เป็นสถานที่ในประเทศไทยหรือเปล่า ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันได้ตรัสตอบว่า ไม่ใช่ประเทศไทย ข้าพเจ้าจึงถามว่าเป็นที่ใด ก็เกิดภาพด้วยพุทธานุภาพเป็นสถานที่ในประเทศพม่า โดยทรงวงกลมไว้ตรงจุดที่เป็นอ่าวของประเทศพม่า โดยทรงตรัสกับข้าพเจ้าว่า ที่ตรงนี้จะเกิดเหตุฝนตกน้ำท่วมและมีคนตายมากนับแสนคน เหมือนกับที่เกิดซึนามิ และหลังจากนั้นทรงตรัสต่อไปว่า และเหตุการณ์ต่อไปก็จะเป็นแผ่นดินไหวที่มณฑลเสฉวนที่ประเทศจีน โดยทรงทำวงกลมไว้ที่มณฑลเสฉวน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ได้สร้างความงุนงงให้กับข้าพเจ้าเป็นอันมาก เพราะตั้งแต่ฝึกมโนมยิทธิมา ไม่เคยเจออุปาทานเช่นนี้มาก่อน จึงได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ


    เมื่อฝึกเสร็จ ข้าพเจ้าจึงใช้มโนมยิทธิครึ่งกำลัง อาราธนาบารมีพระท่านสงเคราะห์ โดยถามท่านว่า เหตุใดจึงต้องรู้เรื่องนี้ ท่านได้บอกกับข้าพเจ้าว่า ต่อไปเธอจะต้องออกจากการปฏิบัติธรรม โดยจะมีเหตุให้เธอกลับเข้ามาอีกครั้ง ขอให้เธอเชื่อนะว่าเรื่องเหล่านี้มีอยู่จริง ข้าพเจ้าจึงถามต่อไปว่าเป็นกรรมอันใด ท่านได้ตอบมาเป็นสภาวะกรรมคร่าวๆ (ไม่ขอตอบว่าอะไรนะคะ)


    *** โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ


    บันทึกพิเศษท้ายเรื่อง


    *** จขกท.ยอมรับว่าแม้จะเป็นมโนมยิทธิเต็มกำลัง แต่นิวรณ์ก็เข้ามารบกวน ภาพที่เห็นจึงไม่ได้ชัดเจนแจ่มใสแต่จะเป็นลักษณะเงาตะคุ่ม บางครั้งก็จะเป็นภาพสลัวๆในความมืด ไล่ไปจนถึงภาพที่มีสีสันและปรากฎความสว่างเหมือนตอนเช้าที่เริ่มมีแสงอาทิตย์นิดๆ ซึ่งทั้งหมดนี้จะเห็นสลับกัน บางครั้งจิตก็ตกกลับมาที่กายเหมือนเดิม เป็นต้น


    *** สำหรับท่านอื่นๆอีก 2-3 ท่าน จขกท.ได้ทูลถามพระท่านในสมาธิแล้ว แต่ท่านไม่ตอบ ซึ่งน่าจะเป็นเพราะไม่ควรรู้ หรือจขกท.สมาธิไม่ดีก็ไม่อาจทราบได้ ทั้งนี้ตั้งแต่จขกท.ฝึกมโนมยิทธิมา จขกท.ยังไม่เคยฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังแล้วเห็นภาพที่หลายๆพระองค์ท่านมาปรากฎอย่างพร้อมเพรียงกันขนาดนี้ โดยเฉพาะหลวงปู่ปาน จขกท.แทบไม่เคยไปหาท่านเลยค่ะ เรียกได้ว่าแทบจะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวเลยก็ว่าได้


    *** ความคิดของจขกท.ตอนนั้นมองว่า ฝนตกน้ำท่วมแล้วคนตายมากเหมือนซึนามิไม่น่าจะเป็นไปได้ค่ะ เพราะไม่น่าจะทำให้เกิดภัยต่อมนุษย์ขนาดนั้น และปัญหาแผ่นดินไหวที่มณฑลเสฉวน จขกท.มองว่าน่าจะเป็นอุปาทานส่วนตัวมากกว่า เพราะจขทก.เคยเรียนหนังสือเกี่ยวกับกำเนิดชนชาติไทยแล้วรู้สึกชอบอะไรที่เกี่ยวกับมณฑลเสฉวนมากโดยไม่รู้สาเหตุ จขกท.จึงมองว่าน่าจะเป็นอุปาทานมาเจือปนค่ะ ใจจึงไม่เชื่อเลย


    *** สำหรับมโนมยิทธิครึ่งกำลังที่พระท่านบอกว่าจะต้องออกจากการปฏิบัติธรรมนั้น จขกท.ยิ่งไม่เชื่อค่ะ เพราะทุกๆอย่างในตอนนั้นไม่มีวี่แววอะไรเลยที่จะทำให้จขกท.ออกจากการปฏิบัติธรรมค่ะ เพราะจขกท.มีศรัทธาจากการปฏิบัติธรรมแล้วเห็นผลค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กรกฎาคม 2014
  17. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    " มโนมยิทธิเต็มกำลังและครึ่งกำลัง-พุทธญาณในอนาคตังสญาณ ตอนที่ ๒ "


    หลังจากข้าพเจ้าถามท่านในมโนมยิทธิครึ่งกำลังแล้ว ก็เกิดความสงสัยอีก และต้องการสอบถามเหตุที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้า โดยขณะนั้นตั้งใจว่าจะเดินเข้าไปหาอ.ฆราวาส แต่สิ่งที่ประหลาดและไม่เคยเจอมาก่อนก็เกิดอีกครั้ง คือจิตของข้าพเจ้าไม่รู้สึกอยากเดินเข้าไปหาแบบประหลาด ขาก็รู้สึกหนักเหมือนเวลาก้าวขาแล้วไม่ใคร่อยากจะก้าวออกไป ทำให้ท้ายที่สุด ข้าพเจ้าก็ไม่ได้สอบถามจากอ.ฆราวาสเลย


    หลังจากนั้นต่อมาอีกประมาณ2-3เดือน(ถ้าจำไม่ผิด) สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นคือ ประเทศพม่ามีปัญหาจากพายุนาร์กิส และต่อจากนั้นในเวลาใกล้ๆกันก็เกิดแผ่นดินไหวที่ประเทศจีนที่มณฑลเสฉวนตามที่รู้มา โดยข้าพเจ้าอึ้งเมื่อทราบข่าว เริ่มคิดว่าที่ตัวเองเคยได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่านมาว่าการเกิดเหตุการณ์ต่างๆนั้น จะมีท่านที่ทรงคุณธรรมทราบได้ แต่ตอนนี้ได้มาให้รู้ให้เห็นกับตัวเองทำให้เกิดความรู้สึกที่ยากจะบอก ทั้งมีมานะกิเลสเข้ามาว่าตนเองสามารถรู้ได้ ทำให้ต้องรีบระงับความรู้สึกนั้นอย่างรวดเร็ว และหมั่นพิจารณาวิปัสสนาญาณ จนสุดท้ายจิตจึงเห็นว่าเพราะพุทธบารมีนั่นเองที่มาสงเคราะห์ให้ทราบ


    [​IMG]


    "พระพุทธองค์ทรงแสดงอิทธิปาฎิหารย์
    ในที่ประชุมหมู่พระญาติ ณ กรุงกบิลพัสดุ์
    เพื่อให้หมู่พระญาติสิ้นทิฏฐิมานะ ถวายบังคมพร้อมกัน" ​



    [​IMG]


    "อันนี้เป็นภาพที่ใกล้เคียงกับที่จขทก.เห็นมากที่สุด โดยขณะที่พระท่านทำภาพวงกลมที่ประเทศพม่าตรงจุดที่จะเกิดฝนตกน้ำท่วมแล้วมีคนเสียชีวิตจำนวนมากนั้น

    ท่านได้ทำวงกลมไว้ที่ปากแม่น้ำที่ไหลลงสู่อ่าว ซึ่งจขกท.เพิ่งเช็คข่าวจาก google วันนี้(10/5/2557) และเพิ่งทราบว่าจุดที่มีผลกระทบหนักที่สุดคือส่วนที่เป็นปากแม่น้ำอิระวดี

    ซึ่งตรงนี้ทำให้จขกท.ยิ่งมั่นใจมากขึ้น เพราะพระท่านได้ระบุอย่างชัดเจน และจขกท.ไม่ทราบมาก่อนค่ะ"



    "ส่วนตอนที่พระท่านทำภาพวงกลมไว้ที่จุดที่จะเกิดแผ่นดินไหวที่เสฉวนนั้น ภาพที่จขกท.เห็นจะเป็นแผ่นดินส่วนที่เป็นตอนกลางของประเทศจีน

    แล้วถ้าจำไม่ผิดพระท่านจะบอกว่าถ้าในแผนที่จริงๆต้องเยื้องไปทางตะวันตกเฉียงเหนืออย่างในภาพที่เห็นค่ะ"


    ทั้งนี้ หลังจากที่ข้าพเจ้าประสบเหตุการณ์ดังกล่าวมาให้พิสูจน์แล้ว จึงได้ใช้สมถะภาวนา(พรหมวิหาร ๔) และวิปัสสนาญาณทำบารมีต่อไป โดยลืมเรื่องราวเกี่ยวกับมโนมยิทธิครึ่งกำลังไปเลย เนื่องจากมองว่าแม้มโนมยิทธิเต็มกำลังจะจริง แต่สำหรับครึ่งกำลังนั้นไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ เพราะขณะนั้นชีวิตการปฏิบัติธรรมของข้าพเจ้าไม่มีแนวโน้มใดๆที่จะมีเหตุการณ์ดังกล่าวได้เลย


    *** โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ


    บันทึกพิเศษท้ายเรื่อง


    *** ภาพประเทศพม่า และประเทศจีนที่พระท่านทำให้ดู ท่านไม่ได้ทำให้ดูพร้อมๆกันเหมือนในภาพนะคะ แต่ท่านทำให้ดูทีละประเทศตามลำดับการเกิดเหตุการณ์ค่ะ


    *** ทั้งนี้ตอนที่สิ่งต่างๆเกิดขึ้นแล้วจขกท.ออกจากการปฏิบัติธรรม จขกท.วิเคราะห์ว่าน่าจะเป็นเพราะตัวเองเป็นคนชอบภูมิศาสตร์ประเทศต่างๆมาตั้งแต่เด็ก แล้วจำภาพแผนที่ประเทศพม่าและจีนได้ ดังนั้นตรงนี้น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้จขทก.สามารถเห็นภาพตามที่พระท่านทำให้ดูได้ ซึ่งถ้าเกิดเป็นคนอื่นๆที่ไม่มีข้อมูลเรื่องภูมิศาสตร์แล้ว สิ่งที่รับรู้มาอาจจะเป็นแค่ข้อมูลตามคำบอกของท่านอย่างเดียวก็ได้ค่ะ (อันนี้จขกท.วิเคราะห์เองนะคะ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤษภาคม 2014
  18. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    " มโนมยิทธิเต็มกำลังและครึ่งกำลัง-พุทธญาณในอนาคตังสญาณ ตอนที่ ๓ "


    จากนั้นผ่านไปราวๆหนึ่งปี สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดกับข้าพเจ้า กล่าวคือ ในเช้าวันหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้ากำลังแต่งตัวเพื่อจะไปเรียนหนังสือตามปกติ ข้าพเจ้าได้มองมาที่เสื้อของข้าพเจ้าซึ่งมีสีดำ และได้เกิดจิตคิดขึ้นมาว่า วันนี้จะมีคนตาย ข้าพเจ้ารู้สึกตกใจมาก และคิดว่าจิตไม่น่าจะรู้สึกอย่างนี้ จึงได้ใช้มโนมยิทธิครึ่งกำลังถามท่านว่าจะมีใครตาย จิตในตอนนั้นอยู่ในอารมณ์ที่นิวรณ์๕เข้ามากินใจมาก คำตอบจึงมีอยู่ 3 คำตอบ หนึ่งในนั้นคืออ.ฆราวาสของข้าพเจ้า ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกแปลกแต่ไมเชื่อ


    ปรากฎว่าขณะที่ข้าพเจ้ากำลังนอนพักผ่อนอยู่ที่หอพักเย็นวันนั้น ได้มีโทรศัพท์จากพี่ที่ฝึกมโนมยิทธิมาด้วยกันโทรเข้ามาด้วยน้ำเสียงร้องไห้ และบอกกับข้าพเจ้าว่าอ.เสียชีวิตแล้ว ข้าพเจ้ารู้สึกตกใจมาก และรีบเดินทางไปเชียงใหม่เพื่อหาอ.ในค่ำวันนั้นทันที (โดยที่ข้าพเจ้าลืมไปแล้วว่าพระท่านได้ตรัสว่าอะไรในมโนมยิทธิครึ่งกำลังนั้น)


    [​IMG]


    "ฉันขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุข

    พร้อมด้วยพระอริยสงฆ์ทั้งหมด และพระพรหม และเทพเจ้าทั้งหมด ขอทุกท่านจงกำหนดจิต จดจำลูกหลานของฉันไว้

    ว่าบุคคลใดก็ตาม เมื่อเวลาจะตาย ขอให้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ มีจิตน้อมไปในกุศลกรรม

    และขอให้ได้รับผล ที่ฉันได้ทำไปแล้วทุกประการ แก่ลูกหลานของฉันทุกคน"


    และด้วยเหตุที่อ.ฆราวาสต้องมาเสียชีวิตอย่างปัจจุบันทันด่วน ท่ามกลางความตกใจของบรรดาลูกศิษย์เป็นอันมาก เพราะไม่เคยมีใครคาดคิดเลยว่าท่านจะมาด่วนจากไปแบบกระทันหันเช่นนี้ ทำให้ข้าพเจ้าตัดสินใจออกจากการปฏิบัติธรรม และเตรียมตัวเพื่อรับผิดชอบหน้าที่ทางโลกต่อไป โดยอธิษฐานบอกพระท่านว่าข้าพเจ้าขอทำหน้าที่ทางโลกและขอกลับไปใช้ชีวิตแบบทางโลกเพื่อเรียนรู้ โดยการตัดสินใจของข้าพเจ้าในครั้งนั้น ข้าพเจ้ารู้ว่าพระท่านได้มาบอกแล้วทุกอย่าง แต่คงด้วยวาระกรรม และหน้าที่ในทางโลกที่ต้องรับผิดชอบ ทำให้ข้าพเจ้าบอกพระแบบนั้นจริงๆค่ะ โดยตัดสินใจว่าจะขอไปใช้ชีวิตทางโลก ขอใช้เหตุใช้ผลอย่างเดียว ไม่ขอใช้ญาณอีก เพื่อเป็นการพิสูจน์บางอย่าง


    *** โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤษภาคม 2014
  19. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    " มโนมยิทธิเต็มกำลังและครึ่งกำลัง-พุทธญาณในอนาคตังสญาณ ตอนที่ ๔ "


    ชีวิตหลังจากนั้น ข้าพเจ้าได้กลับมาสู่การใช้ชีวิตแบบคนปกติทั่วๆไปทางโลก โดยนำความรู้ทางโลกมาใช้วิเคราะห์ประสบการณ์การฝึกมโนมยิทธิทั้งหมดของข้าพเจ้า ทั้งรัฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ มนุษยศาสตร์ จิตวิทยา เศรษฐศาสตร์ ปรัชญา ชีวิตในช่วงนี้ของข้าพเจ้ากลับมาอยู่ในส่วนของการใช้เหตุและผลจากการคิด โดยปฏิเสธการมีอยู่ของสิ่งเหล่านี้อย่างสิ้นเชิง ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจมุมมองหลายๆอย่างจากการคิดเช่นนี้

    สำหรับการกลับมาใช้ชีวิตปกติแบบคนทั่วๆไปนี้ ข้าพเจ้าได้ละเมิดศีลต่างๆ เช่น การดื่มสุราเมรัย เป็นต้น และวิพากษ์วิจารณ์ญาณ และสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้เหล่านี้หลายอย่างด้วยตรรกะ ด้วยเหตุและผลอย่างเดียว ทั้งนี้เพราะต้องการพิสูจน์บางอย่าง ว่าการใช้ญาณทำให้เราเป็นคนไม่มีเหตุไม่มีผลจริงหรือไม่ ตามที่ได้ขอกับพระท่านเอาไว้ว่าขอมาใช้ชีวิตแบบนี้ค่ะ

    หลังจากนั้นต่อมาอีก 3 ปี (ซึ่งเราลืมไปแล้วว่าพระท่านได้ทำนายอะไรไว้) ด้วยความที่เราใช้ชีวิตไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางธรรมเลย เราจึงมีชีวิตด้วยความประมาท หาความสุขไม่ได้เลย โดยที่เราเองก็ไม่รู้ตัว จนในที่สุดวาระกรรมบางอย่างก็ได้เข้ามาจริงๆ จนเราตระหนักรู้ทันทีว่าสิ่งที่พระท่านได้ทำนายไว้นั้นถูกต้องทุกประการค่ะ

    สุดท้ายนี้ อยากจะเรียนท่านผู้อ่านทุกๆท่าน ให้เชื่อว่ากฎแห่งกรรม และภพภูมิต่างๆ และพุทธบารมีของพระพุทธเจ้านั้นมีจริง และสงเคราะห์พวกเราอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะด้วยพุทธญาณ พุทธบารมี หรือพระธรรมคำสอนของท่าน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นแนวทางใด ก็ล้วนแล้วแต่สามารถนำทุกๆท่านเข้าถึงการหลุดพ้นได้ทั้งนั้นค่ะ ซึ่งท่านสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตัวท่านเอง และเมื่อใดที่ท่านรู้และเห็นด้วยตัวเอง เมื่อนั้นท่านก็จะทราบเองว่าพุทธบารมีนั้นเป็นเช่นไร

    บทความนี้ ขอถวายความดีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย พรหม เทวดา และครูอาจารย์ทั้งหลาย มีหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค และพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง เป็นที่สุด รวมถึงครูอาจารย์ทางโลกและทางธรรมคืออ.ไก่ คนเมืองบัวค่ะ


    [​IMG]


    "พระพุทธองค์ทรงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ “โลกรวิวรรณ”

    พระพุทธองค์ทรงเสร็จลงจากเทวโลกหลังจากแสดงพระอภิธรรมโปรดพระพุทธมารดาตลอด ๓ เดือนบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
    โดยทรงประทับจงกรมบนอากาศ มีพระรัศมีเป็นปริมณฑล ทรงแสดงกิริยาพระหัตถ์เปิดโลกให้พุทธบริษัทได้เห็นภพสูง ภพกลาง และภพต่ำ
    กล่าวคือ ทรงเปิดโลกให้เทวดา มนุษย์ และสัตว์นรก ได้มองเห็นกัน เพื่อให้ชนเหล่านั้นตั้งมั่นอยู่ในความไม่ประมาท ศรัทธาในพระรัตนตรัย"


    *** โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กรกฎาคม 2014
  20. ไร้ตัวตน

    ไร้ตัวตน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2006
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +410
    สาธุ ขออนุโมทนาในความเสียสละและกตัญญููครับ /\

    บุญใดที่คุณ White Sage ทำมาแล้วตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...