พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,780
    ค่าพลัง:
    +16,092
    ผมความจำสั้น จำกันให้ได้ก็แล้วกาน.... เพราะสงสัยจะขอบารมีเสกนานเป็นพิเศษ ด้วยเหตุผลที่อจินไตยของท่านที่บัญชาการที่เป็นทิพย์ มิอาจล่วงรู้ได้จริงๆ ส่วนเรื่องพระพิมพ์วัดระฆัง หรือพระพิมพ์สมเด็จปีระกาป่วงใหญ่ ที่จองกันไว้ พี่วุฒิยืนยันว่ามีพระครบแล้วทั้ง 10 องค์แต่อย่างล่ะกี่องค์ยังไม่รู้ เตรียมเงินไว้ละกัน ไว้เจอที่บ้าน อ.ประถมค่อยนำไปให้ องค์ละ 300.-บาท ถ้าจะให้เกินก็ไม่ว่า จะได้มองหน้าไว้ ยกเว้นคุณนายขุนท้าว เดี๋ยวจะยืนต่อคิวให้...
     
  2. drmetta

    drmetta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +752
    ขอคุณมากนะครับที่แจ้งให้ทราบ ช่วยแจ้งอีกทีหนึ่งว่าเมื่อไหร ผมจะคอยวันที่ให้ไปรับพระได้
     
  3. drmetta

    drmetta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +752

    ขอเข้าแถวที่จะจองด้วย ๑ องค์นะครับ
     
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,780
    ค่าพลัง:
    +16,092

    นี่แหละท่านเจ้าประคุณเสกเต็มกำลังด้วยล่ะ หายากชะมัด
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,444
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01you07141050&day=2007-10-14&sectionid=0122


    วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10809​

    "มิตรภาพที่มั่นคง จะดำรงความเป็นเพื่อนให้"


    คอลัมน์ ข้อความ...ชวนคิด



    พี่นะโมสะดุดข้อความนี้พอดี จึงนำมาให้อ่านกัน เชื่อว่าทุกคนย่อมมีเพื่อนอยู่แล้ว เพื่อนในโรงเรียน นอกโรงเรียน ไม่ว่าใครก็ตามที่เข้ามาดีกับเรา จริงใจกับเรา สร้างมิตรภาพที่สวยงาม ย่อมเป็นเพื่อนที่ดีได้เสมอ แต่ก็น้อยคนนักที่จะมีเพื่อนดีๆ จริงไหม เพื่อนบางคนเข้ามาคบกับเราเพราะหวังผลตอบแทน ไม่ได้มอบความจริงใจให้ อย่างนี้เรียกว่าเป็นเพื่อนไม่ได้ ซึ่งเด็กๆ เวลาคบเพื่อนก็ต้องดูดีๆ ถ้าเพื่อนพาไปในทางที่ดีอย่างเล่นกีฬา อ่านหนังสือ พี่นะโมสนับสนุนให้คบเลย แต่ถ้าพาไปในทางที่ไม่ดี ชวนกันหลงผิด พี่นะโมว่าเด็กๆ อย่าเข้าไปยุ่งเลย ควรบอกเพื่อนว่าสิ่งไหนดีไม่ดี ถ้าเขาเชื่อเราก็จะดีสำหรับเพื่อน แต่ถ้าเขาไม่เชื่อเด็กๆ ก็ควรถอยหลังออกมา อย่าไปหลงผิดตามเพื่อนคนนั้น พี่นะโมเชื่ออย่างข้อความข้างต้นเลยว่าหากเรามีความมั่นคง จริงใจต่อเพื่อน พากันไปในทางที่ดี เชื่อว่าความเป็น "เพื่อน" ย่อมอยู่กับพวกเราเสมอ

    พี่นะโม
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,444
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01you05141050&day=2007-10-14&sectionid=0122

    วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10809​

    ก้าวเดิน เพื่อสุขภาพ


    คอลัมน์ เกร็ดความรู้



    สัปดาห์นี้จะชวนเด็กๆ มาออกกำลังกายกัน ซึ่งไม่ยากเลย เพียงแค่เดิน 1 ก้าวเท่านั้น เริ่มต้นกันเลย

    1.เริ่มจากหารองเท้าที่ใส่สบาย เดินนานๆ แล้วไม่เจ็บ หาสถานที่กว้างๆ อย่างสวนสาธารณะ หรือพื้นที่ในหมู่บ้าน

    2.เดินทุกๆ 30 วินาทีให้เพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนถึงระดับความเร็วที่คิดว่าพอสำหรับการเดินเร็ว

    3.เดินรักษาระดับนี้ไปเรื่อยประมาณ 30 นาที ครั้งแรกอาจใช้เวลาประมาณ 10 นาที

    4.นึกไว้อยู่เสมอว่าเดินอย่างไร ต้องรู้ว่าตัวเองเดินอย่างถูกต้องหรือยัง เพราะถ้าไม่อาจจะเจ็บข้อเท้าได้และปวดเมื่อย วิธีเดินให้ถูกต้องคือ ให้ส้นเท้าแตะพื้นก่อนแล้วค่อยๆ วางฝ่าเท้า และนิ้วเท้าหลังสุด ก่อนเดินต่อไปด้วยฝ่าเท้าทั้งหมด

    เท่านี้ก็เป็นการออกกำลังกายแล้ว และอย่าลืมชวนพ่อแม่มาร่วมด้วยนะจ้ะ

    ที่มา : สำนักหอสมุดกลาง ม.รามคำแหง
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,444
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01fun03141050&day=2007-10-14&sectionid=0140


    วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10809​

    เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า....

    คอลัมน์ แท็งก์ความคิด

    โดย นฤตย์ เสกธีระ max@matichon.co.th



    เคยเห็นคนมีความสุขแล้วเรารู้สึกมีความสุขด้วยบ้างไหม?

    เชื่อว่าหลายคนเคย แต่หลายคนลืมความรู้สึกเช่นนั้นไปแล้ว

    แต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ความสุขเช่นที่ว่าได้เกิดขึ้น เมื่อได้เห็นน้องคนหนึ่งมีความสุขมากๆ ในวันเกิดของตัวเอง

    ความสุขที่ว่าไม่ได้เกิดจากอาหาร เครื่องดื่ม เค้กวันเกิด หรือของขวัญที่มีคนลงขันกันซื้อไปให้

    หากแต่ความสุขนั้นเกิดขึ้นจาก "เพื่อน" ที่มาร่วมอวยพรวันเกิด

    ด้วยความจริงใจ !

    บรรยากาศทุกอย่างจึงสนุกครึกครื้น มีพี่ มีเพื่อน คอยพูดกระเซ้าหยอกล้อ ไม่มีใครเสแสร้งแกล้งทำ ไม่มีใครใส่หน้ากากหลอกลวง ทุกคนเอาความจริงใจแลกเปลี่ยนพูดคุย

    บรรยากาศเช่นนี้อุดมไปด้วย "มิตรสหาย" ไร้ผลประโยชน์แอบแฝง

    ทุกคนที่มาร่วมงาน ล้วนต้องการ "ให้" ด้วยความเต็มใจ

    คิดแล้วเหมือนกับบรรยากาศตอนทำกิจกรรมสมัยยังอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย ที่อุดมไปด้วยเพื่อนที่ลงแรงทำงาน ด้วยความรักและความเชื่อว่าสิ่งที่ทำนั้น...ส่วนรวมได้ประโยชน์

    บรรยากาศแบบนี้นี่เองที่ทำให้คนเรามีความสุข

    น้องคนที่เป็นเจ้าของวันเกิดก็คงมีความสุข

    เมื่อเห็นคนมีความสุข เราก็พลอยมีความสุขไปด้วย...

    รุ่งขึ้น หลังจากงานเลี้ยงวันเกิดผ่านพ้นไป ทุกคนกลับเข้าประจำการ ทำงานในหน้าที่เหมือนปกติ

    วันนั้น บนโต๊ะตัวเขื่องที่ตั้งอยู่มุมด้านหนึ่งของกองบรรณาธิการ มีจดหมายฉบับหนึ่งวางไว้

    จดหมายฉบับนี้สร้างความสุขให้เกิดแก่ผู้เขียนมากถึงมากที่สุด

    เพราะจดหมายฉบับนี้เขียนถึงคอลัมน์ "แท็งก์ความคิด" และเป็นจดหมายฉบับแรกที่ได้รับหลังจากเขียนคอลัมน์นี้ไปได้ 2 สัปดาห์

    ที่สำคัญคือ เจ้าของจดหมาย แสดงความเห็นตรงตามเป้าหมายของคอลัมน์

    คือช่วยๆ กันแลกเปลี่ยนประสบการณ์เพื่อแก้ไขปัญหา

    จดหมายฉบับนี้มีความยาว 3 หน้ากระดาษ

    ใช้เวลาอ่านจดหมายไม่นานนัก แต่ใช้เวลาเอาจดหมายไปโชว์ให้คนในกองบรรณาธิการมากกว่า

    จนหลายคนที่มองเห็น คงสงสัยว่าไอ้นี่มันบ้าไปแล้ว

    แต่มันไม่ใช่ความบ้าคลั่งนะครับ

    มันเป็นความบ้าที่เกิดจากความสุข

    มันเป็นความสุขที่พิสูจน์ได้อีกครั้งหนึ่งว่าหาได้ไม่ยาก

    เพียงแค่ทำงานของตัวเองให้เสร็จ

    ความสำเร็จกำเนิด

    ความสุขก็เกิดขึ้น

    บังเอิญเนื้อความในจอมอ จดหมายมีความยาว 3 หน้ากระดาษ จึงขอสรุปเฉพาะเนื้อหาที่ท่านผู้อ่านอยากนำเสนอ ดังนี้



    ถึงแท็งก์ความคิด

    ความรุนแรงหยุดความรุนแรงได้



    "...ผู้เขียน (หมายถึงผู้เขียนจดหมายฉบับนี้) เคยเป็นทั้งศิษย์และอาจารย์อยู่โรงเรียน... โรงเรียนโจรที่คนเขากล่าวขานกันในอดีตเมื่อ 40-50 ปีที่แล้ว เพราะมีเด็กเกเรซ่องสุมกันมากที่สุดในประเทศไทย

    พฤติกรรมร้ายๆ ของเด็กๆ ที่นั่น จึงมีให้เห็นจนเป็นเรื่องธรรมดา

    ครั้งคราหนึ่ง ต้องมีหน้าที่ไปควบคุมดูแลเด็กเชียร์ฟุตบอลเตรียมอุดม ระหว่างโรงเรียน...กับโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ที่สนามต้นโพธิ สนามหน้าวิทยาลัยพลศึกษาในอดีต หรือปัจจุบันคือสถานที่ตั้งของยิมเนเซียมนั่นเอง

    ชื่อเสียงในด้านเกเรของเด็กนักเรียนโรงเรียน...เป็นที่ระบิลระบือ จึงถูกกำหนดให้นำเด็กซึ่งมาร่วมเชียร์กันประมาณพันกว่าคนไปเก็บไว้ก้นกรุอัฒจันทร์หลังโกล์ด้านวิทยาลัยพละ เพื่อว่าเมื่อแข่งเสร็จแล้วโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาคู่แข่งขันจะได้กลับบ้านได้ก่อน

    เป็นการแข่งในแมทช์สุดท้ายในรอบแรก โรงเรียน...ต้องชนะจึงจะเข้ารอบ

    ส่วนเตรียมอุดมศึกษานั้นไม่ว่าผลจะออกมาเช่นไรตกรอบลูกเดียว จึงไม่มีเรื่องน่าห่วงอันใดมากนัก ที่เด็กเรียบร้อยเตรียมอุดมศึกษาจะกระทบกระทั่งกับเด็กฟากฝั่งเกเร

    แต่กาลไม่เป็นเช่นนั้น ผลสุดท้ายสกอร์ออกมาเสมอ 0-0

    ต่างฝ่ายต่างทำประตูกันไม่ได้ ความพาลของเด็กเกเรผู้คาดหวังในผลชัยชนะก็ปรากฏ

    เด็กนักเรียนจำนวนร้อยกว่าคนกระโดดลงจากอัฒจันทร์ท่ามกลางเสียงห้ามปรามของครูบนอัฒจันทร์แต่ไร้ผล

    โห่ร้องวิ่งฝ่าครูบาอาจารย์วิ่งลงกลางสนามหมายไปไล่ตีเด็กนักเรียนเตรียมอุดมศึกษาให้สมแค้นที่ทำให้ทีมตนเองตกรอบ

    เห็นไหม เรื่องไม่พึงใจเพียงนิดเดียว ผิดเพราะผลที่ตนทำสกอร์ไม่ได้ ยังพาลไปถึงคนอื่น

    ดีแต่ยังมีอาจารย์รุ่นพี่ที่ผมต้องจารึกชื่อไว้ อาจารย์ชำนะ ชนะภัย ยืนอยู่ข้างล่างอัฒจันทร์ หลังโกล์ฟุตบอล ผงะอยู่ชั่วขณะ เพราะห้ามปรามเด็กๆ ไม่ไหว จึงได้ตัดสินใจวิ่งร่วมไปกับเด็กๆ ด้วย

    พอถึงกลางสนามฟุตบอล จึงหันมาตบเด็กที่วิ่งอยู่ใกล้ที่สุดเสียงดัง "ผัวะ" ลั่นสนาม ทำให้เด็กทุกคนต้องหยุดหันมามองเสียงประหลาดที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งพูดสำทับว่า กลับเดี๋ยวนี้นะ

    ทุกคนเดินกลับโดยดุษณี

    ลองคิดดู ถ้าไม่มีอาจารย์ชื่อชำนะ ชนะภัย ในวันนั้น เด็กนักเรียนเตรียมอุดมศึกษาที่มีทั้งหญิงและชายจะต้องบาดเจ็บกันอีกเท่าไหร่

    เป็นการใช้ความรุนแรงหยุดความรุนแรงอย่างได้ผล

    เลยไม่รู้ว่า การเลิกใช้ไม้เรียวเฆี่ยนตีเด็กนั้น มันถึงเวลาในวันนี้แล้วใช่ไหม เด็กถึงได้ก่อเหตุร้ายรุนแรงได้อย่างต่อเนื่อง

    เรื่องเดินตามก้นฝรั่งชาวอารยะนั้นเป็นเรื่องดี แต่มันอยู่ที่คุณภาพยีนว่าตอนนี้คุณธรรมจริยธรรมความเป็นผู้คนของเราคนไทยพร้อมจะศิวิไลซ์กันเต็มร้อยแล้วใช่ไหม...

    ลงชื่อ บริสุทธิ์ จิณวุฒิ



    จดหมายฉบับนี้สอนให้รู้ว่า ทุกอย่างในโลกนี้ล้วนมีประโยชน์และมีโทษ

    ยาปฎิชีวนะใช้พอดีก็รักษาโรค ใช้เกินขนาดก็เกิดโทษต่อร่างกาย

    อาวุธปืน แม้สามารถปกป้องชีวิตได้ แต่ก็สามารถทำลายชีวิตได้เช่นกัน

    เช่นเดียวกับความรุนแรง ที่สามารถเป็น "คุณ" และเป็น "โทษ" ได้

    ทั้งนี้ทั้งนั้น ทุกอย่างมันขึ้นกับ "ผู้ใช้"

    ผู้ใช้มีความน่าเชื่อถือในเจตนาดีหรือไม่

    ใช้เพื่อตัวเอง หรือเพื่อคนอื่น

    ใช้เพื่อส่วนตัว หรือเพื่อส่วนรวม

    ใช้เหมาะกับบุคคล สังคม และสถานการณ์แค่ไหน

    อย่างกรณีอาจารย์ชำนะ ถือว่าเป็นผู้ใช้ที่ได้รับความเชื่อถือ สามารถเอาความรุนแรงมาใช้เพื่อคนอื่น เพื่อส่วนรวม และเหมาะสมแก่สถานการณ์

    ทุกอย่างจึงลงเอยด้วยดี
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,444
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=142792&NewsType=1&Template=1

    เปิดจองแบงก์ที่ระลึก 80พรรษา
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR></TBODY></TABLE>

    แบงก์ชาติเปิดจองแบงก์ที่ระลึก 80 พรรษา สนใจสั่งได้ที่ธนาคารไม่จำกัดจำนวน ชี้ชุด 100 บาท ยังเหลืออีก 70% พร้อมเปิดตัวบรรจุภัณฑ์ลายปักภาพฝีพระหัตถ์ 200 บาท เป็นทางเลือก หลังคนแห่จองชุด 300 บาทจนล้น

    ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 11 ต.ค. นายนพพร ประโมจนีย์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายออกบัตรธนาคาร ธปท. เปิดเผยว่า ได้นำตัวอย่างธนบัตรที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธ.ค. 50 ชนิดราคา 1 บาท 5 บาท และ 10 บาท ซึ่งจัดพิมพ์ 15 ล้านชุด มาเผยแพร่ให้สาธารณชนได้เห็น โดยธนบัตรที่ระลึกฯ มีจุดเด่นคือ จัดทำเป็นชุด ไม่ตัดเป็นรายฉบับ ด้านหน้ามีรูปแบบย้อนยุค โดยเชิญพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นภาพประธาน ด้านหลังเป็นภาพลำดับเรื่องราวพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในเนื้อกระดาษมีลายน้ำรูปรัฐธรรมนูญประดิษฐานเหนือพานแว่นฟ้า อยู่ภายในวงกลมสีเหลืองอ่อน มองเห็นได้เมื่อยกธนบัตรขึ้นส่องดูกับแสงสว่าง

    ทั้งนี้ประชาชนยังสามารถจองได้ในราคาชุดละ 100 บาท ซึ่งประกอบด้วยธนบัตรที่ระลึก และแผ่นพับบรรจุธนบัตรได้อยู่ เนื่องจากยังมีเหลืออยู่ 70% ส่วนธนบัตรชุดราคา 300 บาท ซึ่งประกอบด้วย ธนบัตรที่ระลึก เลขหมายธนบัตรขึ้นต้นด้วยเลข 9 และบรรจุภัณฑ์ของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ที่จัดพิมพ์ 1 ล้านชุดนั้นปิดจองไปแล้ว โดยประชาชนจะได้รับธนบัตรที่ระลึก วันที่ 28 พ.ย. เป็นต้นไป

    อย่างไรก็ตามประชาชนมีความต้องการสั่งจองธนบัตรชุดราคา 300 บาทมาก เนื่องจากมีบรรจุภัณฑ์สวยงาม ธปท. จึงได้อนุญาตให้มูลนิธิกรมหลวงสงขลานครินทร์ จัดทำกรอบอะคริลิก บรรจุชุดธนบัตรที่ระลึกเพิ่มเติม โดยจำหน่ายพร้อมถุงผ้าฝ้ายปักลายกระต่ายภาพฝีพระหัตถ์ของโครงการส่งเสริมอาชีพตามพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในราคาชุดละ 200 บาท เพื่อนำรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และมอบให้มูลนิธิกรมหลวงสงขลานครินทร์ ไปช่วยเหลือโรงพยาบาลต่าง ๆ ใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้

    สำหรับผู้สนใจสอบถาม และสั่งจองธนบัตรชุดราคา 100 บาท และบรรจุภัณฑ์ชุดใหม่ราคา 200 บาท ได้ที่ธนาคารพาณิชย์ไทย ธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ และสถาบันการเงินของรัฐทุกแห่ง โดยไม่จำกัดจำนวนการจองซื้อต่อคน ทั้งนี้ผู้ที่สั่งจองบรรจุภัณฑ์ชุดใหม่ 500,000 ชุดแรกจะได้รับบรรจุภัณฑ์ภายในเดือน ธ.ค. นี้ แต่หากสั่งจองหลังจากจำนวนดังกล่าว จะได้รับบรรจุภัณฑ์ในเดือน ม.ค. 51.
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,444
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.budpage.com/fight.shtml

    "หมดหวัง ท้อแท้ แพ้ชีวิต" คิดอย่างไรให้ใจสู้


    สงสารน้อง ๆ จัง ! ช่วงนี้ได้รับจดหมายปรึกษาหารือจากหนุ่มสาวหลายคนที่เขียนมาปรับทุกข์ อาทิเช่น " ช่วยทีเถอะ ทนไม่ไหวแล้ว ..พลาดหวังในความรัก ตัดใจไม่ได้ " บางคนก็บอกว่า " ตัวเองเจอปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำเป็นหนี้เป็นสิน ปฏิบัติธรรมข้อไหนดีให้หมดหนี้เร็ว ๆ รู้สึกท้อแท้ใจมาก ทำไงดี " บ้างก็ปรับทุกข์ว่า "ตกงานมา ๒ ปีแล้ว ป่านนี้ยังหางานทำไม่ได้เลย รู้สึกว่าชีวิตตัวเองไม่มีคุณค่า ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ช่วยหางานให้ทำหน่อยดิ " เป็นต้น
    เพราะเหตุใดสังคมไทยจึงเต็มไปด้วยปัญหาทำให้คนหนุ่มสาวคิดท้อแท้สิ้นหวังกันมากมาย เครือข่ายชาวพุทธฯ จะได้หาโอกาสนำบทความวิเคราะห์ปัญหาทางสังคมตามแนวพุทธธรรมนำมาเสนอแด่ท่านเร็ว ๆ นี้ แต่สำหรับวันนี้ เราขอเสนอวิธีสร้างกำลังใจให้คนหนุ่มสาวสู้ชีวิตตามแนวทางพุทธศาสนาแด่คนหนุ่มสาว ด้วยวิธีคิด ๕ ขั้นตอนง่าย ๆ ดังต่อไปนี้

    ๑.ให้รู้จักความทุกข์ของคุณให้ชัดเจน

    1. คุณวิตกกังวล หรือ กลุ้มใจเรื่องอะไร ลองคิดดูให้ชัด ๆ คิดให้กระจ่างออกมาว่าคุณกำลังวิตกกังวลกับปัญหาเรื่องอะไรบ้าง ให้ใช้วิธีเขียนลงในไปกระดาษก็ได้ แจงออกมาให้เห็นเป็นข้อ ๆ นี่เป็นวิธีกำหนดรู้ตัวปัญหาให้ชัดเจน คือทำให้รู้ว่าเรากำลังมีปัญหาอะไรอยู่ในใจ ที่มันทำให้เราเกิดความทุกข์อยู่ในขณะนี้ (การกำหนดรู้ความทุกข์ เป็นขั้นตอนแรกในอริยสัจ ๔ ภาษาพระท่านเรียกขั้นตอนนี้ว่า "ปริญญา" ) คือให้รู้จักมันในฐานะตัวปัญหา ที่เรากำลังจะศึกษาเพื่อทำการแก้ไขต่อไป

    1. ยกตัวอย่าง
    1. คุณติ่งศักดิ์รู้สึกแย่มากเลย ท้องใส้ปั่นป่วน ไม่สบายใจมาเป็นเดือนแล้ว กินเหล้าเป็นขวด ๆ เพื่อให้หายกลุ้มกลับยิ่งแย่หนักเข้าไปอีก แต่ต่อมาภายหลังคุณติ่งลองตั้งคำถามกับตนว่าตนเองมีทุกข์เรื่องอะไร บ้าง ในที่สุดแกก็เขียนลำดับทุกข์ของแกออกมาเป็นข้อ ๆ ดังต่อไปนี้
      1. ก. รถยังผ่อนไม่หมด เขากำลังจะยึดไปแล้ว
      1. ข. บริษัทกำลังมีนโยบายปลดพนักงาน รู้สึกกังวลว่าตนเองอาจจะโดนปลด
        ค. แฟนที่ดูใจกันมานาน ได้ข่าวว่ามีเสี่ยมาติดพัน หึงนะ
      เป็นอันว่าสำเร็จในขั้นตอนแรก คือ คุณติ่งเห็นตัวปัญหาว่ามีทั้งหมด ๓ ข้อ ที่ทำให้แกเกิดความทุกข์มาตลอดเดือน

    1. ในการแก้ไขปัญหา เราต้องรู้จักตัวปัญหาให้ชัดเจน ด้วยการกำหนดรู้ก่อน ไม่อย่างนั้นเราจะคลุมเครือ ไม่รู้ว่าตัวเองมีความทุกข์อะไรบ้าง (บางคนอาจจะมีปัญหาในใจเยอะ เป็น สิบ ๆ เรื่อง โดยไม่รู้ตัว ทำให้ทุกข์ใจ ทนไม่ไหว ถึงกับฆ่าตัวตายก็มี)
    ๒. ให้คิดว่าตัวเองเป็นคนที่โชคดีอยู่เสมอ
    1. หากคนเรายังรู้สึกถูกปัญหาบีบคั้นจิตใจอยู่ สภาพจิตจะไม่แจ่มใส ขุ่นมัว หมองเศร้า เป็นอกุศล ทำให้สติปัญญาจะไม่สามารถทำงานได้โดยสะดวก การคิดว่าเรายังโชคดีอยู่เสมอ เป็นเทคนิคคิดเร้ากุศล คือมองโลกในแง่ดี ทำให้จิตใจของเราหลุดพ้นจากการบีบคั้นของปัญหา มีสุขภาพจิตดี พร้อมที่จะแก้ไขปัญหาต่อไป
      ในขั้นตอนแรกของฝึกคิดมองโลกในแง่ดีนี้ (อ่านตัวอย่างวิธีคิดแบบนี้ในพระไตรปิฎก เรื่อง พระพุทธเจ้าทดสอบความคิดพระปุณณะก่อนที่จะไปเผยแผ่ธรรมที่ สุนาปรันตชนบท) ท่านให้เราหัดพูดให้กำลังใจกับตนเองในทำนองว่า เรายังโชคดีที่ไม่พบกับเหตุการณ์ที่เลวร้ายไปกว่านี้ หรือ นี่เป็นโอกาสอันดีที่ชีวิตจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นในอนาคต การบอกตัวเองว่ายังเป็นคนโชคดีเช่นนี้ จะทำให้เราเกิดความเชื่อมั่น ปลื้มปีติยินดี พร้อมที่จะต่อสู้แก้ไขปัญหาสืบต่อไป ไม่ท้อถอย
      1. ยกตัวอย่าง เมื่อคุณติ่งกำหนดรู้ปัญหาได้ชัดเจนแล้ว แกก็ใช้วิธีคิดขั้นที่สอง ทันที โดยแกได้พูดกับตัวเองออกมาดัง ๆ ว่า (วิธีพูดให้กำลังใจตัวเองดัง ๆ เป็นอุบายที่ดี เพราะทำให้คิดได้ชัดเจนและมีพลังมากขึ้น)
        1. ก. ถึงเราจะโดนยึดรถก็ไม่เป็นไร ยังดีที่บ้านเราไม่ได้โดนยึดไปด้วย เย้..โชคดี เรายังมีบ้านอยู่
          ข. ถ้าเราโดนให้ออกจากงาน เราก็ยังโชคดีกว่าโดนไล่ออก บริษัทยังมีเงินจ่ายให้เรามา เป็นทุนสำรอง เราจะได้มีเวลาพักผ่อน เตรียมวางแผนหางานทำใหม่
          ค. ถึงแฟนจะทิ้งเราไป ก็ถือว่าเราโชคดีอีกนั้นแหละ เพราะเราตอนนี้เรามีข้อมูลมากมาย ที่จะสามารถหาคนที่ดีกว่านี้ได้อย่างแน่นอน เย้..! (ทั้งน้ำตา) เราโชคดีที่สุดในโลกเลย
    ๓. คิดถึงคนอื่นที่ได้รับความทุกข์มากกว่าคุณ
    1. หากคิดในขั้นตอนที่สองแล้ว ยังเอาไม่อยู่ เราก็สามารถใช้วิธีคิดขั้นตอนที่สามต่อไปได้เลย คือ ให้คิดถึงคนอื่น ๆ ที่มีความทุกข์มากกว่าเรา เช่น คนอดอยากในเอธิโอเปีย , ชาวเขมรนับล้านคนที่ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธ์ , คนจรจัดที่นอนใต้สพาน , คนจนที่ถูกแย่งที่ทำกินจนต้องมาอดข้าวประท้วงที่กรุงเทพฯ ฯลฯ ให้พยายามนึกจินตนาการถึงความทุกข์ยากของคนเขาเหล่านั้น แล้วนำมาเปรียบเทียบกับความทุกข์ของเรา เราจะเห็น ได้เลยว่า ถ้าเปรียบเทียบกันแล้ว คนเป็นจำนวนมากเขาต้องเจอทุกข์หนักหนากว่า เรามาก แทบจะเรียกได้ว่า ทุกข์ของเรากลายบเป็นเรื่องขี้ผงไปเลย ทีนี้ถ้าขืนมานั่งท้อแท้ใจ มันก็อายเขาแย่ ให้พูด ล้อตัวเองให้เกิดความละอายบ่อย ๆ จะช่วยได้มาก ( การสอนใจให้ตัวเองเกิดความละอายใจ เป็นเทคนิคป้องกันตนเองไม่ให้คิดไปในทางที่ผิด ๆ ตามหลักธรรมชุด "หิริโอตตัปปะ " ในพระไตรปิฎก)
    ๔. สร้างกำลังใจตนเองให้สู้ชีวิต
    1. แม้วิธีคิด ๑- ๓ ขั้นตอนที่ผ่านมา จะทำให้เราหายทุกข์ใจไปได้มาก แต่ถ้าปัญหาไม่ได้รับการแก้ไข มันก็จะ สร้างความทุกข์ให้กับเราไปได้เรื่อยไป ดังนั้นเราจึงต้องก้าวเข้าสู่ขั้นตอนสำคัญคือ สร้างกำลังใจให้ตนเองในการ เผชิญหน้าต่อปัญหา เพื่อแก้ไขให้มันลุล่วงไปด้วยดี
      เรือแตกกลางมหาสมุทร พระมหาชนกลอยคออยู่กลางมหาสมุทร แม้มองไม่เห็นฝั่ง ท่านยังใจสู้ เพียรว่ายน้ำมุ่งเข้าหาฝั่ง เพื่อทำการงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ให้จงได้ โดยไม่หวาดหวั่น ไม่คิดหวังพึ่งใคร ฉันใด
      ชาวพุทธไทย เมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาแม้จะใหญ่โตเพียงไร ก็มีจิตใจสู้ คิดแก้ไขให้มันลุล่วงไปให้จงได้ แม้ฉันนั้น
      คนไทยยุคนี้ต้องมีใจสู้เหมือนพระมหาชนกครับ ไม่อย่างนั้นเราคงจะต้องกลายเป็นผู้พ่ายแพ้ เสียชื่อชาวพุทธแย่เลย วิธีปฎิบัติคือให้ใช้คำพูดปลุกใจตัวเองให้สู้อยู่เสมอ ถ้าจะให้ดี เอากำปั้นทุบฝ่ามือ สร้างความรู้สึก มั่นใจ สู้ตายถวายชีวิต ให้มันเกิดความเข้มแข็งขึ้นมา การที่เราคิดในใจเฉย ๆ ในขณะที่จิตใจไม่เคยคิดสู้มาก่อน บางทีอาจจะไม่มีพลังใจพอที่จะคิดได้เอง ดังนั้นใช้วิธีพูดปลุกใจตัวเอง จึงเป็นเทคนิคสร้างกำลังใจที่ดี หรือว่าง ๆ เราอาจจะไปหาอ่านชาดกในพระไตรปิฎกเรื่อง "พระมหาชนก" เพื่อเป็นคาถาสู้ชีวิตประจำตัวก็ได้นะครับ ( ขอเชิญอ่านบทความประยุกต์เรื่อง
      บทสนทนาระหว่างเทวดากับชาวพุทธ ที่ดัดแปลงมาจากบทสนทนาระหว่างเทวดากับพระมหาชนก)
    หลังจากที่มีใจสู้คิดแก้ไขปัญหาแล้ว จึงค่อยเข้าสู่กระบวนการคิดเพื่อแก้ไขปัญหาตามลำดับต่อไป คือ เริ่มจากการคิดสืบสาวหาเหตุปัจจัย คิดวิเคราะห์ปัญหา แยกแยะองค์ประกอบต่าง ๆ ออกมาให้ชัดแจ้ง จนสามารถกำหนดเป้าหมายได้ชัดเจน ขั้นตอนสุดท้ายจึงกำหนดแนวทางในการปฏิบัติ หรือ วางแผนให้เป็นขั้นเป็นตอน เป็นรูปธรรมในการแก้ไขปัญหาสืบต่อไป (วิธีตามหลัก อริยสัจ ๔ )
    ซึ่งรายละเอียดในกระบวนการคิดแก้ไขปัญหาในขั้นตอนของการใช้ "ปัญญา" นี้ ทางเครือข่ายชาวพุทธฯจะได้นำบทความมาเสนอแด่ท่านในโอกาสต่อไป โปรดติดตามนะครับ สวัสดี
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,444
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder id=post754897 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#10786 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>sithiphong<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_754897", true); </SCRIPT>
    สมาชิก ยอดนิยม
    สมาชิกยอดฮิต

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 02:57 PM
    วันที่สมัคร: Dec 2005
    ข้อความ: 15,923 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 19,114 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 89,485 ครั้ง ใน 12,169 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 10570 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_754897 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->ท่านใดที่ร่วมทำบุญแล้วยังไม่ได้รับพระพิมพ์ หรือรับไม่ครบ ขอความกรุณาช่วยแจ้งมาให้ผมทราบด้วยนะครับ เผื่อผมหลงลืมไป

    รบกวนส่งมาให้ผมอีกรอบนะครับ ก็มีคุณdrmetta ,คุณเทพารักษ์ ,คุณatha ส่วนของคุณactive ,คุณตั้งจิต ,น้องchaipat และน้องเอ ไว้เจอกันแล้วค่อยให้พระ ส่วนท่านอื่นๆ ขอให้แจ้งมาอีกครั้งนะครับ จะได้รีบจัดส่งให้ ขอบคุณมากครับ


    หลังจากนี้จนถึงปีใหม่ ผมยุติการมอบพระพิมพ์กับผู้ร่วมทำบุญสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งไปก่อน หลังปีใหม่แล้วผมจะมาแจ้งให้ทราบอีกครั้งนะครับ

    โมทนาสาธุครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,444
    ค่าพลัง:
    +141,948
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,444
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>"ในหลวง"ทรงพระประชวร ผิวพระสมองด้านซ้ายขาดเลือด</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>13 ตุลาคม 2550 19:42 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]


    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ ระบุ “ในหลวง” ทรงพระประชวร มีพระอาการพระวรกายด้านขวาอ่อนแรง ภายหลังแพทย์ถวายตรวจพบ ผิวพระสมองด้านซ้ายขาดเลือดเล็กน้อย จึงขอพระราชทานให้ประทับที่โรงพยาบาลศิริราช เบื้องต้นพระอาการดีขึ้น

    วันนี้(13 ต.ค.) สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ฉบับที่ 1 ระบุว่า เวลาเช้านี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระอาการพระวรกายด้านขวาอ่อนแรง แพทย์ประจำพระองค์จึงได้กราบบังคมทูลเชิญเสด็จพระราชดำเนินจากพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต ไปยังโรงพยาบาลศิริราช เพื่อถวายตรวจพระสมองด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

    “พบว่ามีผิวพระสมองด้านซ้ายขาดเลือดเล็กน้อย คณะแพทย์จึงขอพระราชทานให้ประทับที่โรงพยาบาล เพื่อถวายพระโอสถรักษาและสังเกตพระอาการ หลังจากถวายการรักษาประมาณ 8 ชั่วโมง ปรากฏว่าพระอาการอ่อนแรงของพระเพลา(ขา) ดีขึ้น”

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,444
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>“พระราชินี” ทรงมีพระราชเสาวนีย์ “ในหลวง” ทรงมีพระวรกายดีขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>14 ตุลาคม 2550 14:10 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD><TD><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมพระอาการประชวรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ โรงพยาบาลศิริราช โดยมีพสกนิกรพร้อมใจกันสวมใส่เสื้อสีเหลืองเฝ้ารับเสด็จฯ อยู่บริเวณโถงชั้นล่างของอาคารเฉลิมพระเกียรติเป็นจำนวนมาก


    วันนี้ (14 ต.ค.) เมื่อเวลา 10.30 น. สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมพระอาการประชวรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 16 โรงพยาบาลศิริราช โดยมีพสกนิกรเฝ้ารอรับเสด็จฯ และชื่นชมพระบารมีอยู่บริเวณโถงชั้นล่างของอาคารเป็นจำนวนมาก โดยต่างพร้อมใจกันสวมใส่เสื้อสีเหลือง พร้อมถือธงชาติโบกสะบัดไปมาอย่างสวยงาม

    ขณะที่บรรยากาศการลงนามถวายพระพรที่ศาลาศิริราช 100 ปี อาทิ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ คณะผู้แทน พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผู้บัญชาการทหารอากาศ และรักษาการประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) นำกระเช้าดอกไม้ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมร่วมลงนามถวายพระพรให้ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ว

    นอกจากนี้ยังมีบุคคลสำคัญ เช่น พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ เกยานนท์ ผู้บัญชาการทหารเรือ นายปัญญา ถนอมรอด อดีตประธานศาลฎีกา นายแพทย์สุชัย เจริญรัตนกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายธงทอง จันทรางศุ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และกลุ่มพรรคประชาธิปัตย์ เดินทางเข้าร่วมลงนามถวายพระพรด้วยเช่นกัน

    และก่อนหน้านี้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงได้เดินทางถึงยังศาลา 100 ปี โรงพยาบาลศิริราช เพื่อร่วมลงนามถวายพระพรแล้ว

    ขณะที่พสกนิกรเริ่มทยอยติดตามพระอาการประชวรอย่างใกล้ชิดที่บริเวณโถงชั้นล่าง อาคารเฉลิมพระเกียรติ และร่วมลงนามถวายพระพรกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนต้องเพิ่มเจ้าหน้าที่เวรยามเป็นพิเศษ และเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สน.บางกอกน้อย ตำรวจสันติบาล และเจ้าหน้าที่ทหารเรือ เข้ามาเสริมเพื่อดูแลความสงบเรียบร้อย

    อย่างไรก็ตาม ในส่วนของประชาชนที่จะเดินทางมาที่โรงพยาบาลศิริราช สามารถมาร่วมลงนามถวายพระพรได้ที่บริเวณศาลาศิริราช 100 ปี ตั้งแต่เวลา 08.00-20.00 น.

    ล่าสุด ดร.สุวิทย์ ยอดมณี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชเสาวนีย์ว่าขณะนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระวรกายที่ดีขึ้น
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,444
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ในหลวงพระราชทานแจกันดอกไม้แก่ผู้ป่วยรพ.ศิริราช</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>14 ตุลาคม 2550 16:18 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ พระราชทานแจกันดอกไม้ ที่บุคคลสำคัญและกลุ่มบุคคลนำมาทูลเกล้าเยี่ยมพระอาการประชวร ให้คณะพยาบาลศิริราชพยาบาลนำไปพระราชทานให้แก่ผู้ป่วยในของโรงพยาบาลศิริราช ยังความปลาบปลื้มแก่ผู้ป่วย ที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระองค์

    เวลาประมาณ 15.00น. ได้มีฝนตกลงมาอย่างหนัก แต่ประชาชนจำนวนมากยังคงกางร่มปักหลักอยู่บริเวณหน้าบรมราชานุสาวรีย์พระบรมราชชนก แล้วสายตาของประชาชนส่วนมากคอยเฝ้ามองไปยังชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติซึ่งเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างต่อเนื่อง

    ขณะที่จุดลงนามถวายพระพร อาคารศิริราช 100 ปี ก็มีบุคคลสำคัญและกลุ่มบุคคลเดินทางมาร่วมลงนามถวายพระพร อย่างต่อเนื่อง อาทิ นายอานันท์ ปันยารชุน อดีต นายกฯ นายกรณ์ จาติกวณิช สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เดินทางมาพร้อมครอบครัว คณะกรรมการอิสลามประจำกรุงเทพมหานคร นำโดยนายสมัย เจริญช่าง ท่านผู้หญิงบุญเรือน ชุณหะวัณ เดินทางมาพร้อม นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หม่อมหลวงอัศนี ปราโมช เป็นต้น

    ทั้งนี้ ฝ่ายประชาสัมพันธ์โรงพยาบาลศิริราชได้จัดเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ ผลัดเปลี่ยนกันมาประจำจุดลงนามถวายพระพร เพื่อคอยรับรองประชาชนและให้ข้อมูลแก่ผู้ที่เดินทางมาร่วมลงนามถวายพระพรตลอดทั้งวัน อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะมีฝนตกลงมาอย่างหนัก ก็ยังมีประชาชนเดินทางมาร่วมลงนามถวายพระพรอย่างต่อเนื่อง

    ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ พระราชทานแจกันดอกไม้ ที่บุคคลสำคัญและกลุ่มบุคคลนำมาทูลเกล้าเยี่ยมพระอาการประชวร ให้คณะพยาบาลศิริราชพยาบาลนำไปพระราชทานให้แก่ผู้ป่วยในของโรงพยาบาลศิริราช ที่พักรักษาตัวอยู่ภายในตึกผู้ป่วยอัษฎางค์ด้านทิศเหนือ ซึ่งเป็นผู้ป่วยด้านอายุรศาสตร์ยังความปลาบปลื้มแก่ผู้ป่วยที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระองค์

    นางยุพา วันแย้ม อายุ 37 ปี ผู้ป่วยมีอาการมีก้อนเนื้องอกที่ต่อมใต้สมอง เป็นตัวแทนผู้ป่วยชั้น 10 ตึกอัษฎางค์ รับพระราชทานแจกันดอกไม้ พร้อมกล่าวว่า รู้สึกดีใจ และในฐานะตัวแทนของผู้ป่วยรู้สึกว่าเป็นสิริมงคลของตนเองและผู้ป่วยทุกคน ขอให้พระองค์ทรงมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงและหายจากอาการประชวรโดยเร็ว

    ด้านนางวรรณี เกื้อกูลพีรทรัพย์ อายุ 43 ปี บุตรสาวของผู้ป่วย เอี่ยวเพียงเฮียง แซ่เฮ้ง อายุ 73 ปี ซึ่งเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราชด้วยอาการตับแข็ง กล่าวด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่า รู้สึกดีใจแทนคนป่วยและเป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อผู้ป่วยและครอบครัวซึ่งก่อนหน้านี้พระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพวงมาลัยที่มีคนนำมาเยี่ยมพระอาการประชวรให้กับผู้ป่วยซึ่งตนได้บอกกับแม่ว่า ได้รับพวงมาลัยแล้วนะ แม่ก็พยักหน้ารับด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ ถือว้าเป็นผลของผู้ป่วยและครอบครัวผู้ป่วยทุกคนได้รับพระมหากรุณาธิคุณครั้งนี้ ขอให้พระองค์หายประชวรโดยเร็ว
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  15. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    เรียนคุณ sithiphong
    เมื่อวันที่13ตค50 เวลา 14.04น.ผมได้ฝากเงินผ่าน adm ktb central bangna เข้าบัญชี 1890131288 จำนวนเงิน 1000บาท เพื่อร่วมทำบุญสร้างเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ตามที่ได้บูชาพระพิมพ์ไว้ และยังมียอดคงค้างจำนวน 6933บาทครับ
    ขอบคุณและโมทนาสาธุครับ
    nongnooo...
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,444
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.wangdermpalace.com/wangderm/thai_history.html

    [​IMG]

    ประวัติพระราชวังเดิม

    [FONT=Georgia, Times New Roman, Times, serif]
    [/FONT][FONT=Georgia, Times New Roman, Times, serif]
    [/FONT]ภายหลังจากที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงกอบกู้เอกราชจากพม่าได้สำเร็จในปี พ.ศ. 2310 พระองค์ได้ทรงเลือกกรุงธนบุรีเป็นราชธานีแห่งใหม่ แทนกรุงศรีอยุธยา ที่อยู่ในสภาพทรุดโทรมจนไม่สามารถบูรณะให้กลับมาสู่สภาพเดิมได้ การที่ทรงเลือก กรุงธนบุรีเป็นราชธานีนั้น สันนิษฐานว่าเนื่องจากเป็นเมืองขนาดเล็ก เหมาะสมกับกำลังไพร่พล ที่พระองค์มีอยู่ในขณะนั้น ทั้งยังเป็นเมืองหน้าด่านที่สำคัญ อยู่ใกล้ทะเลทำให้สามารถควบคุม เส้นทางเดินเรือเข้าออก มีป้อมปราการเป็นชัยภูมิที่ดี และตั้งอยู่ใกล้ปากแม่น้ำ หากเพลี่ยง พล้ำ ก็สามารถหลบหลีกศัตรูออกสู่ทะเลได้สะดวก

    หลังจากนั้นจึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชวังหลวง ขึ้นทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำ เจ้าพระยา ในพื้นที่ที่เคยเป็นที่ตั้งของป้อมวิไชยเยนทร์เดิม (ซึ่งภายหลังได้รับการเปลี่ยนชื่อ เป็นป้อมวิไชยประสิทธิ์) อาณาเขตของพระราชวังเดิมในสมัยนั้นมีพื้นที่ตั้งแต่ป้อมวิไชย ประสิทธิ์ขึ้นมาจนถึงคลองเหนือวัดอรุณราชวราราม (คลองนครบาล) โดยรวมวัดแจ้ง (วัดอรุณราชวราราม) และวัดท้ายตลาด (วัดโมลีโลกยาราม) เข้าไปในเขตพระราชวัง ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ได้ทรงย้ายราชธานีมาอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา และได้ทรงสร้างพระบรม มหาราชวังขึ้นเป็นที่ประทับ พระราชวังกรุงธนบุรีจึงได้รับการเรียกขานว่า "พระราชวังเดิม" นับแต่นั้นมา

    พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงกำหนดเขตของพระราชวัง กรุงธนบุรีให้แคบกว่าเดิม โดยให้วัดทั้งสองอยู่ภายนอกพระราชวัง รวมทั้งให้รื้อตำหนักแดง ซึ่งเคยเป็น ที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชในพระราชวังเดิม ไปปลูกสร้างให้ เป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช (ศรี) ที่วัดบางหว้าใหญ่ (วัดระฆังโฆสิตาราม) และโปรดเกล้าฯ ให้พระราชวงศ์ชั้นสูง ที่ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัย มาประทับที่ พระราชวังเดิม เนื่องจากพระราชวังเดิมและกรุงธนบุรีมีความสำคัญทางด้านยุทธศาสตร์ จึงจำเป็นต้องมีผู้ดูแลรักษา

    [​IMG] [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    เจ้าน้องรัก chaipat ไหนว่าสนใจองค์ไหนจะช่วยเชียร์สุดขั้วไง สงสัยจะเป็นขั้วโลกให้ไปดูดลมเย็นแทนไอติมแน่เลย บอกแล้ว ใกล้ๆเอา ร้าน31ก็ได้ คุณตั้งใจก็รออยู่ ดูดลมจนเบื่อแล้วจ๊ะ
    nongnooo...
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,444
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    ท่านใดที่ร่วมทำบุญแล้วยังไม่ได้รับพระพิมพ์ หรือรับไม่ครบ ขอความกรุณาช่วยแจ้งมาให้ผมทราบด้วยนะครับ เผื่อผมหลงลืมไป

    รบกวนส่งมาให้ผมอีกรอบนะครับ ก็มีคุณdrmetta ,คุณเทพารักษ์ ,คุณatha ส่วนของคุณactive ,คุณตั้งจิต ,น้องchaipat และน้องเอ ไว้เจอกันแล้วค่อยให้พระ ส่วนท่านอื่นๆ ขอให้แจ้งมาอีกครั้งนะครับ จะได้รีบจัดส่งให้ ขอบคุณมากครับ


    หลังจากนี้จนถึงปีใหม่ ผมยุติการมอบพระพิมพ์กับผู้ร่วมทำบุญสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งไปก่อน หลังปีใหม่แล้วผมจะมาแจ้งให้ทราบอีกครั้งนะครับ

    โมทนาสาธุครับ

    .

    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    น้องchaipat บอกว่า ให้อัดเป็นรูป 8*10นิ้ว แล้วใส่กรอบรูป พร้อมที่ห้อยคอให้คุณnongnoooครับ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    สงสัยจะเลี้ยงไอติม เดือนหน้าละมั้งครับ

    .
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,444
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระบรมวงศานุวงศ์ที่ได้โปรดเกล้าฯ ให้มาประทับที่พระราชวังเดิมมีดังนี้คือ

    <TABLE borderColor=#660000 cellSpacing=1 cellPadding=5 width=700 border=1><TBODY><TR><TD class=black_14_bold width=264 bgColor=#ebe8a5>สมัยรัชกาลที่ 1
    พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
    </TD><TD class=black_14_bold width=292 bgColor=#ebe8a5>เจ้าฟ้ากรมหลวงธิเบศร์บดินทร์
    สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร

    </TD><TD class=black_14_bold align=middle width=152 bgColor=#ebe8a5>พ.ศ. 2325-2328
    พ.ศ. 2328-2352
    </TD></TR><TR bgColor=#d5e0be><TD class=black_14_bold width=264>สมัยรัชกาลที่ 2
    พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
    </TD><TD class=black_14_bold width=292>สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี
    สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฏ

    </TD><TD class=black_14_bold align=middle width=152>พ.ศ. 2354-2365
    พ.ศ. 2366-2367
    </TD></TR><TR bgColor=#ebe8a5><TD class=black_14_bold width=264>สมัยรัชกาลที่ 3
    พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
    </TD><TD class=black_14_bold width=292>สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศเรศรังสรรค์</TD><TD class=black_14_bold align=middle width=152>พ.ศ. 2367-2394</TD></TR><TR bgColor=#d5e0be><TD class=black_14_bold width=264>สมัยรัชกาลที่ 4
    พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
    </TD><TD class=black_14_bold width=292>สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท</TD><TD class=black_14_bold align=middle width=152>พ.ศ. 2394-2413</TD></TR><TR bgColor=#ebe8a5><TD class=black_14_bold width=264>สมัยรัชกาลที่ 5
    พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
    </TD><TD class=black_14_bold width=292>สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี
    กรมพระจักรพรรดิพงศ์
    </TD><TD class=black_14_bold align=middle width=152>พ.ศ. 2424-2443</TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE class=paragraph1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=700 border=0><TBODY><TR vAlign=top align=middle><TD class=paragraph1 width=175 height=135><TABLE borderColor=#663300 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=1><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD class=paragraph1 width=175 height=135><TABLE borderColor=#663300 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=1><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD class=paragraph1 width=175 height=135><TABLE borderColor=#663300 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=1><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD class=paragraph1 width=175 height=135><TABLE borderColor=#663300 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=1><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR vAlign=top align=middle><TD class=brown_text_bold width=202>
    พระบาทสมเด็จ
    พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช

    </TD><TD class=brown_text_bold width=191>
    พระบาทสมเด็จ
    พระพุทธเลิศหล้านภาลัย
    ( สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ
    เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร )


    </TD><TD class=brown_text_bold width=166>
    พระบาทสมเด็จ
    พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว


    </TD><TD class=brown_text_bold width=141>
    พระบาทสมเด็จ
    พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
    (สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ
    เจ้าฟ้ามงกุฏ )
    </TD></TR><TR vAlign=top align=middle><TD class=paragraph1 width=202><TABLE borderColor=#663300 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=1><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD class=paragraph1 width=191><TABLE borderColor=#663300 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=1><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD class=paragraph1 width=166><TABLE borderColor=#663300 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=1><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD class=paragraph1 width=141><TABLE borderColor=#663300 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=1><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR vAlign=top align=middle><TD class=brown_text_bold width=202>
    พระบาทสมเด็จ
    พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
    (สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ
    เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศเรศรังสรรค์)


    </TD><TD class=brown_text_bold width=191>
    พระบาทสมเด็จ
    พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
    </TD><TD class=brown_text_bold width=166>
    สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ
    กรมหลวงวงศาธิราชสนิท
    </TD><TD class=brown_text_bold width=141>
    สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ
    เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี
    กรมพระจักรพรรดิพงศ์

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    นอกจากนี้ พระราชวังเดิมยังเป็นสถานที่ที่พระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรี 3 พระองค์ ทรงมีพระราชสมภพ ซึ่งทุกพระองค์เป็นพระราชโอรสใน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (ขณะยังทรงดำรงพระอิสริยยศ เป็นสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร) ได้แก่ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า เจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
    <TABLE borderColor=#660000 cellSpacing=1 cellPadding=5 width=700 border=1><TBODY><TR vAlign=top align=middle><TD width=120>
    <TABLE borderColor=#663300 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=1><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD><TD width=120>
    <TABLE borderColor=#663300 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=104 border=1><TBODY><TR><TD width=100>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD><TD width=120>
    <TABLE borderColor=#663300 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=1><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD><TD vAlign=center align=left>พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชสมภพ
    เมื่อวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2330

    พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชสมภพ
    เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2347

    พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชสมภพ
    เมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2351</TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=730 border=0><TBODY><TR><TD>[FONT=Arial, Helvetica, sans-serif] [/FONT] ภายหลังจากที่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์สิ้นพระชนม์ พลเรือโทพระชลยุทธโยธินทร์ ผู้บัญชาการกรมทหารเรือ ในขณะนั้น ได้กราบบังคมทูลขอพระราชวังเดิมเพื่อให้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนนายเรือ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานให้ตั้งแต่วันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2443 โดยทรงมีพระราชกระแสให้รักษาซ่อมแซมสิ่งที่ปลูกสร้างที่มีมาแต่เดิม ได้แก่ ท้องพระโรง, ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช, พระตำหนักของสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว และศาลศีรษะปลาวาฬ

    โรงเรียนนายเรือตั้งอยู่ที่พระราชวังเดิมเรื่อยมาจนกระทั่งในปี พ.ศ. 2487 จึงได้ย้ายไปอยู่ที่สัตหีบชั่วคราวในช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 และในปี พ.ศ. 2489 ได้ย้ายไปอยู่ที่เกล็ดแก้วก่อนจะย้ายมาตั้งที่สมุทรปราการ ในปี พ.ศ. 2495 จนถึงปัจจุบัน ส่วนอาคารเดิมของโรงเรียนนายเรือที่พระราชวังเดิมนั้น กองทัพเรือได้ดัดแปลงเป็นอาคารแบบทรงไทย แล้วใช้เป็นที่ตั้งของกองบัญชาการกองทัพเรือจนถึงปัจจุบัน สำหรับโบราณสถานที่ปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน ได้แก่ ท้องพระโรง พระตำหนักเก๋งคู่ ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช, พระตำหนักสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว และป้อมวิไชยประสิทธิ์ ซึ่งได้รับการบูรณะ ครั้งล่าสุดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 และเสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2545 โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เสด็จเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2545

    </TD></TR></TBODY></TABLE>[​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,444
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    [​IMG]

    <TABLE borderColor=#000000 cellSpacing=0 cellPadding=5 width=700 border=1><TBODY><TR align=middle bgColor=#000000><TD colSpan=2>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>
    <TABLE borderColor=#663300 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=200 border=1><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD><TD width=435>อาคารท้องพระโรงสร้างขึ้นในราวปี พ.ศ. 2311 พร้อมกับการสถาปนากรุงธนบุรี เป็นราชธานี อาคารนี้มีรูปทรงแบบไทยประกอบด้วยพระที่นั่งสององค์เชื่อมต่อกัน ได้แก่ พระที่นั่งองค์ทิศเหนือ เรียกว่าท้องพระโรง หรือ วินิจฉัย อยู่ทางทิศเหนือใช้เป็นที่เสด็จ ออกขุนนาง และประกอบพระราชพิธีที่สำคัญมาแต่ครั้งกรุงธนบุรี และพระที่นั่งองค์ทิศใต้ ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของพระที่นั่งองค์แรก เรียกกันว่า พระที่นั่งขวาง เป็นส่วนพระราชมณเฑียร อันเป็นที่ประทับส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์ ในปัจจุบัน กองทัพเรือได้ใช้โถงท้องพระโรงภายในพระที่นั่งองค์ทิศเหนือ เป็นสถานที่ที่จัดงาน และประกอบพิธีสำคัญเป็นประจำ ส่วนพระที่นั่งขวาง ได้ใช้เป็นห้องรับรองบุคคลสำคัญ และเป็นห้องประชุมในบางโอกาส

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE borderColor=#000000 cellSpacing=0 cellPadding=5 width=700 border=1><TBODY><TR align=middle bgColor=#000000><TD colSpan=2>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>
    <TABLE borderColor=#663300 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=200 border=1><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD><TD width=435>ป้อมนี้เดิมชื่อ "ป้อมวิไชยเยนทร์ " หรือ "ป้อมบางกอก" สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จ พระนารายณ์มหาราช โดยเจ้าพระยาวิไชยเยนทร์ กราบบังคมทูลแนะนำให้สร้างขึ้น พร้อม ป้อมทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงสถาปนา กรุงธนบุรีเป็นราชธานีได้ทรงสร้างพระราชวังในบริเวณป้อมแห่งนี้พร้อมกับปรับปรุงป้อม และพระราชทานนามใหม่ว่า "ป้อมวิไชยประสิทธิ์" ปัจจุบันป้อมวิไชยประสิทธิ์ใช้เป็นที่ ยิงสลุตในพิธีสำคัญต่างๆ และติดตั้งเสาธงเพื่อประดับธงราชนาวี และธงผู้บัญชาการทหารเรือ


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE borderColor=#000000 cellSpacing=0 cellPadding=5 width=700 border=1><TBODY><TR align=middle bgColor=#000000><TD colSpan=2>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>
    <TABLE borderColor=#663300 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=200 border=1><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD><TD width=435>อาคารหลังนี้รูปแบบเป็นสถาปัตยกรรมแบบจีน แต่ได้มีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุง โดย เฉพาะประตูหน้าต่าง เพื่อให้เข้ากับสภาพอากาศ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาท สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยและเมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ดำรงพระ อิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดฯ ให้ซ่อมแซมและดัดแปลงในช่วง พ.ศ. 2367 - 2394 พร้อมกับให้สร้างพระตำหนักเก๋งคู่หลังใหญ่ ในรูปแบบที่สอดคล้องกับอาคารหลังนี้ ปัจจุบัน อาคารนี้ใช้เป็นที่จัดแสดงเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจทางด้านการรบของสมเด็จพระเจ้าตากสิน มหาราช

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE borderColor=#000000 cellSpacing=0 cellPadding=5 width=700 border=1><TBODY><TR align=middle bgColor=#000000><TD colSpan=2>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>
    <TABLE borderColor=#663300 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=200 border=1><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD><TD width=435>อาคารหลังนี้มีรูปแบบสถาปัตยกรรม ที่ผสมผสานระหว่างไทยและจีน สันนิษฐานว่าสร้าง ขึ้นระหว่างรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า เจ้าอยู่หัว โดยสร้างขนานกับอาคารเก๋งคู่หลังเล็กที่อยู่ทางทิศเหนือ ส่วนหลังคาของอาคาร มีการเขียนสีตกแต่งเป็นลวดลายแบบจีน แต่กรอบหน้าต่างมีการจำหลักลายประดับแบบไทย ปัจจุบันอาคารหลังนี้ใช้เป็นที่จัดแสดงภาพนิทรรศการเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจในด้านการ ทำนุบำรุงบ้านเมืองในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE borderColor=#000000 cellSpacing=0 cellPadding=5 width=700 border=1><TBODY><TR align=middle bgColor=#000000><TD colSpan=2>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>
    <TABLE borderColor=#663300 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=200 border=1><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD><TD width=435>ตำหนักหลังนี้พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้สร้างขึ้นเมื่อครั้งยังทรงดำรง พระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ และประทับที่พระราชวังเดิม ในระหว่างปี พ.ศ. 2367 - 2394 แต่หลังจากที่พระองค์ทรงได้รับพระราชทานบวรราชาภิเษก ได้ทรงย้ายไปประทับ ณ พระบวรราชวัง อาคารหลังนี้จึงได้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้า น้องยาเธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท ตัวอาคารมีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมเป็นแบบตะวันตก หรือเรียกว่า "ตึกแบบอเมริกัน" และถือได้ว่าเป็นที่ประทับของพระบรมวงศานุวงค์ชั้นสูง ที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมเป็นแบบตะวันตกหลังแรกๆ ที่สร้างขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์



    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE borderColor=#000000 cellSpacing=0 cellPadding=5 width=700 border=1><TBODY><TR align=middle bgColor=#000000><TD colSpan=2>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>
    <TABLE borderColor=#663300 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=200 border=1><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD><TD width=435>ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (ศาลเจ้าตาก) หลังปัจจุบันนี้ สร้างขึ้น เมื่อครั้งสมเด็จ พระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์ เสด็จมาประทับที่พระราชวัง เดิมในระหว่างปี พ.ศ. 2424 - 2443 ตั้งอยู่ทางทิศเหนือ ของอาคารเก๋งคู่ ตั้งประชิดกำแพง ด้านทิศตะวันออกของพระราชวัง ภายในศาลหลังนี้เป็นที่ประดิษฐานพระบรมรูปของสมเด็จ พระเจ้าตากสินมหาราช ในท่าประทับยืนและทรงพระแสงดาบ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE borderColor=#000000 cellSpacing=0 cellPadding=5 width=700 border=1><TBODY><TR align=middle bgColor=#000000><TD colSpan=2>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>
    <TABLE borderColor=#663300 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=200 border=1><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD><TD width=435>ในระหว่างการขุดสำรวจครั้งล่าสุดได้พบฐานอาคารทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า บริเวณพื้นที่ที่ อยู่ระหว่างศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชและตำหนักเก๋งคู่หลังเล็ก ซึ่งเมื่อพิจารณาจาก หลักฐานทางเอกสารประกอบแล้ว สันนิษฐานว่าเป็นซากของอาคารศาลศีรษะปลาวาฬเดิม ที่สร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ก่อนรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า อยู่หัวและได้พังลงในคืนวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2443 ซึ่งเป็นคืนที่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์ สิ้นพระชนม์ รูปแบบสถาปัตยกรรมของอาคาร หลังเดิมตามที่ปรากฏหลักฐานทางประวัติศาสตร์เป็นอาคารโถงแบบจีน ส่วนศาลศีรษะปลา วาฬ หลังปัจจุบันทางมูลนิธิอนุรักษ์โบราณสถานในพระราชวังเดิมได้ปรึกษากับกรมศิลปากร และเห็นชอบให้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2542 บนฐานของศาลหลังเดิมที่ได้ขุดพบ เพื่อใช้เป็นที่ จัดแสดงกระดูกศีรษะปลาวาฬ (ที่ได้พบอยู่ใต้ถุนศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชในคราว สำรวจพื้นที่ทางโบราณคดี ในช่วงการบูรณะครั้งล่าสุด) รูปแบบของอาคารหลังปัจจุบันได้ ประยุกต์ให้เหมาะสมกับอาคารโบราณสถานโดยรอบ โดยยังคงรูปแบบเป็นเก๋งจีน


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE borderColor=#000000 cellSpacing=0 cellPadding=5 width=700 border=1><TBODY><TR align=middle bgColor=#000000><TD colSpan=2>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>
    <TABLE borderColor=#663300 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=200 border=1><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD><TD width=435>อาคารเรือนเขียวคืออาคารโรงพยาบาลเดิม เป็นอาคารไม้ชั้นเดียว ยกพื้นสูงจำนวน 2 หลัง ตั้งอยู่บริเวณ "เขาดิน" ซึ่งเป็นเนินดินตรงมุมทิศตะวันออกเฉียงใต้ ภายในเขตกำแพงชั้น ในของพระราชวังเดิม อาคารเรือนเขียวสร้างขึ้นในช่วงเวลาที่มีการปรับปรุงพระราชวังเดิม ให้เป็นโรงเรียนนายเรือและได้ใช้เป็นสถานพยาบาลของโรงเรียนนายเรือ


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...