เรื่องเด่น พ้นทุกข์หรือยอมทุกข์: ปรัชญาพุทธกับขงจื่อ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย โพธิสัตว์ ชาวพุทธ, 1 ธันวาคม 2017.

  1. โพธิสัตว์ ชาวพุทธ

    โพธิสัตว์ ชาวพุทธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    5,297
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,273
    ค่าพลัง:
    +9,528
    พ้นทุกข์หรือยอมทุกข์: ปรัชญาพุทธกับขงจื่อ


    หากใครได้ศึกษาเกี่ยวกับปรัชญาและแนวคิดของขงจื่อมาบ้าง จะพอเข้าใจว่าขงจื่อจะมุ่งเน้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน ด้วยความหวังว่าการปกครองแบบมีมนุษยธรรม (เหริน) และการจัดระเบียบด้วยจารีต (หลี่) จะแก้ปัญหาการไร้จริยธรรม (เต้า) ในสังคมมนุษย์ได้

    ฝ่ายพุทธเถรวาทจะค่อนข้างต่างจากขงจื่ออย่างเห็นได้ชัด คือการเรียกร้องให้มนุษย์ละคลายความผูกพันและยึดมั่นถือมั่น อย่างเช่นครอบครัวหรือสิ่งที่เรารักก็ถือเป็น “ความผูกพัน” ที่ทางฝ่ายพุทธเถรวาทแนะนำให้ละทิ้งเพื่อให้ห่างไกลจากความทุกข์ ในขณะที่ขงจื่อเน้นให้คนอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขและมีวิธีประนีประนอมรักษาความสัมพันธ์เพื่อให้ความเป็นครอบครัวยังคงอยู่

    สมมติฐานของผู้วิจัยตั้งอยู่บนความคิดที่ว่าปรัชญาทั้งสองสาขามอง “ความทุกข์” ต่างกัน ทำให้การเสนอทางออกในการใช้ชีวิตแตกต่างกัน สำหรับผู้ที่นับถือพุทธเถรวาทมีแนวทางการใช้ชีวิตในอุดมคติคือ “การพ้นทุกข์” ในขณะที่ชีวิตในอุดมคติของขงจื่อคือ “การยอมทุกข์” เพื่อเป้าหมายอันทรงคุณค่า

    บทวิเคราะห์ถูกแบ่งเป็น 4 ส่วนใหญ่ ดังนี้

    1. “ทุกข์และการหลุดพ้น” – ความหมายในทางพุทธ

    2. ขอบเขตและความหมายของทุกข์ในปรัชญาขงจื่อ

    3. การยอมทนทุกข์เพื่อสร้างชุมชนที่มีมนุษยธรรม (เหริน) แบบขงจื่อ

    4. พุทธและขงจื่อ: สองวิถีสู่ชีวิตที่ดี

     “ทุกข์และการหลุดพ้น” – ความหมายในทางพุทธ

    วัลโพลา ราหุล ได้แบ่ง “ทุกข์” ในพุทธศาสนาไว้ 3 มิติหลัก ได้แก่ 1.ทุกข์ในมิติความเดือดร้อนทั่วไป (ทุกข์จากเกิดแก่เจ็บตาย ทุกข์จากสิ่งที่ไม่ชอบ ทุกข์กาย-ใจ) 2. ทุกข์จากการแปรเปลี่ยน (สุขอยู่ได้ชั่วคราว พอเปลี่ยนไปก็ทุกข์) 3. ทุกข์จากภาวะที่ขึ้นแต่เหตุปัจจัย (ขันธ์5 ทำให้เกิดทุกข์)

    จากทุกข์ 3 มิติที่วัลโพลา ราหุลเสนอไว้ด้านบน ทำให้ผู้วิเคราะห์พบว่าทุกข์ในแบบพุทธฯแบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ 1. ทุกข์ที่เปี่ยมด้วยอารมณ์ ความรู้สึก ความเป็นบุคคล และ 2. ทุกข์ที่ไม่มีลักษณะความเป็นบุคคล และเมื่อนำทุกข์ทั้งสองแบบมารวมกันจะเป็นทุกข์ในมิติที่ 3 คือความจริงเกี่ยวกับจักรวาลหรือทุกข์ที่เกิดจากขันธ์ 5 (การยึดขันธ์5 ทำให้เกิดทุกข์)

    ในบทความนี้ ผู้วิเคราะห์จำกัดคำว่า “ความทุกข์” อยู่ในความหมายที่ 1 และ 2 เท่านั้น (เนื่องจากไม่เห็นชัดเจนว่าขงจื่อได้กล่าวถึงความทุกข์ในแง่ความหมายที่ 3 ไว้หรือไม่)

    0b882e0b98ce0b8abe0b8a3e0b8b7e0b8ade0b8a2e0b8ade0b8a1e0b897e0b8b8e0b881e0b882e0b98c-e0b89be0b8a3.jpg

    เจ้าชายสิทธัตถะ (พระพุทธเจ้า) ทรงออกนอกวังไปพบเทวทูตทั้ง 4​

    (ภาพจาก http://bit.ly/2AhThJF )​

    เมื่อพระพุทธเจ้าผู้เป็นศาสดาของศาสนาพุทธพบสัจธรรมเกี่ยวกับความทุกข์แล้ว พุทธศาสนามองบัญญัติต่างๆที่มนุษย์กำหนดขึ้นมาว่าเป็นเพียงเครื่องมือสื่อสารในสังคมเท่านั้น การยึดบัญญัติจะนำมาซึ่งความทุกข์ เพราะฉะนั้นการจะพ้นทุกข์ได้ต้องละคลายความยึดถือบัญญัติ ยึดถือตัวตน อันเป็นเพียง “สิ่งสมมติ” ของชาวโลก ตัวอย่างง่ายๆ เช่น คนเคยรวยล้นฟ้าแล้วต้องล้มละลายจะมีความทุกข์มากกว่าคนที่จนอยู่แล้วเพราะเขามีอัตตาหรือมีการยึดติดกับสิ่งสมมติ หากอยากจะพ้นทุกข์ก็คือต้องเลิกยึดติดว่าเคยรวยมาก่อน เป็นต้น

    สำหรับ “มรรค8” ที่เป็นทางปฏิบัติให้ถึงความ “พ้นทุกข์” ไม่ว่าจะเป็น การมีความเพียรชอบ การมีสัมมาชีพ (เลี้ยงชีพชอบ) ยังเป็นหลักในการดำเนินชีวิตเพื่อให้สังคมอยู่ด้วยกันอย่างราบรื่น ส่วนเรื่องความสัมพันธ์กันทางสังคม ถึงแม้จะมีวิธีการปฏิบัติให้อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขสมานฉันท์แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาทุกข์ถึงแก่นแท้ได้ การพ้นทุกข์จึงต้องอาศัยการปฏิบัติด้วยตนเองและเป็นเรื่องของปัจเจกเท่านั้น

     ขอบเขตและความหมายของทุกข์ในปรัชญาขงจื่อ

    ย้อนกลับไปที่ความทุกข์ 3 มิติ เราจะเห็นได้ว่าขงจื่อเน้นความทุกข์ในมิติแรกเป็นหลัก อันได้แก่ ความทุกข์ทางกาย-ใจของมนุษย์ อันจะมีผลมาจากเงื่อนไขทางสังคมและวัฒนธรรมเป็นหลัก

    ปัญหาที่ขงจื่อวิตกกังวลมากคือ ความเสื่อมสลายของวัฒนธรรมและความสัมพันธ์ที่เคยราบรื่น หรือความเสื่อมของกติกาที่กำกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ไว้

    เพราะฉะนั้นการหาทางออกจากความทุกข์ในแนวของขงจื่อคือ “การฟื้นคืนจิตวิญญาณหรือหัวใจของบัญญัติ”

    882e0b98ce0b8abe0b8a3e0b8b7e0b8ade0b8a2e0b8ade0b8a1e0b897e0b8b8e0b881e0b882e0b98c-e0b89be0b8a3-1.jpg

    หลุนอี่ว์: คัมภีร์พื้นฐานของสำนักปรัชญาขงจื่อ​

    (ภาพจาก http://bit.ly/2zA0bbY )​

    ในปรัชญาขงจื่อ “บัญญัติ” ในที่นี้ น่าจะเทียบได้เท่ากับ “หลี่” หรือจารีตธรรม หากต้องการให้มนุษยธรรมเป็นหัวใจของจารีต เท่ากับ ทำให้ “เหริน” เป็นหัวใจของ “หลี่” นั่นเอง

    แนวทางของขงจื่อไม่ได้มุ่งให้ดับกิเลสตัณหา ไม่ได้บอกให้คนเราต้องดับทุกข์ด้วยการดับความต้องการ แต่ทว่าให้สนองกิเลสหรือความต้องการเหล่านั้นในทางที่เหมาะสม โดยใช้ “เหริน” และ “หลี่” เป็นตัวกำกับ หรืออาจจะพูดได้ว่า เราสามารถทำตามสิ่งที่ใจต้องการได้โดยไม่ละเมิดครรลองคลองธรรม

    สรุปโดยย่อว่า “ภาวะไร้ทุกข์” ในแบบขงจื่อคือการที่มนุษย์ต่างวัยต่างเชื้อชาติอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข ความสัมพันธ์ราบรื่น

     การยอมทนทุกข์เพื่อสร้างชุมชนที่มีมนุษยธรรม (เหริน) แบบขงจื่อ

    ปรัชญาขงจื่อนอกจากจะยอมรับในเรื่องความต้องการหรือกิเลสแล้ว ยังยอมรับอีกว่าเพื่อคุณค่าแห่งเป้าหมายหรือความรัก เรามีความชอบธรรมในการยอมทนทุกข์

    “รักแล้วสามารถไม่ทำงานหนักได้ด้วยหรือ ภักดีแล้วไม่ตักเตือนได้ด้วยหรือ” คือข้อความที่ปรากฏในหลุนอี่ว์ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าคนเราสามารถมีปณิธานหรือจุดมุ่งหมายที่ยิ่งใหญ่ และสมควรยอมทุกข์ยากเพื่อยืนหยัดคุณค่าแห่งเป้าหมายที่ตนได้เลือกแล้ว นอกจากนี้ ข้อความนี้ยังโต้แย้งกับแนวคิดที่ว่าปรัชญาขงจื่อมุ่งเอาใจอำนาจรัฐหรือเจ้านาย เนื่องจากถึงแม้จะมีความภักดีแต่หากเห็นสิ่งใดไม่ถูกไม่ควรก็ต้องมีการโต้แย้งตักเตือนนั่นเอง

    นอกจากนี้ยังมีการเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ด้วยการไม่แสดงออกให้กระทบความรู้สึกคนรอบข้างหรือยอมจำกัดการตอบสนองหรือความต้องการของตนเอง เช่น เมื่อกินข้าวข้างๆคนที่กำลังทุกข์ก็จะไม่กินจนอิ่ม เป็นต้น

    882e0b98ce0b8abe0b8a3e0b8b7e0b8ade0b8a2e0b8ade0b8a1e0b897e0b8b8e0b881e0b882e0b98c-e0b89be0b8a3-2.jpg

    ศิษย์รักกับท่านอาจารย์: เหยียนหุยและขงจื่อ​

    (ภาพจาก: http://bit.ly/2hZmErK )​

    ตัวอย่างที่โดดเด่นในการยอมทนทุกข์ของขงจื่อคือเมื่อตอนเหยียนหุยผู้เป็นศิษย์รักของเขาได้จากไป ขงจื่อร้องไห้คร่ำครวญอยู่นานจนมีศิษย์คนหนึ่งทักว่า “เกินไป” แต่ทว่าขงจื่อไม่ได้มองเห็นความ “เกินไป” ในการกระทำของตนเพราะเขามุ่งเน้นที่ “คุณค่าที่ได้เสียไป” มากกว่า กรณีนี้จะเห็นได้ว่าเขายอมทนทุกข์เพื่อ “ยืนยันคุณค่า” ของเหยียนหุยที่มีต่อชีวิตของตน สิ่งที่น่าสนใจเพิ่มเติมคือ ขงจื่อไม่ใช่มองไม่เห็นว่าทุกคนเกิดมาต้องตาย แต่เขามองว่าความตายมาเยือนเหยียนหุยไวเกินไป (เหยียนหุยยังไม่ทันแก่ก็ตายเสียแล้ว)

    (ผู้สนใจการวิเคราะห์เรื่องความรื่นรมย์ ความรักและความโศกเศร้าในปรัชญาขงจื่อ: บทวิเคราะห์เหยียนหุยของสุวรรณา สถาอานันท์สามารถอ่านบทความได้ทาง http://bit.ly/2iiCQs3 )

     พุทธและขงจื่อ: สองวิถีสู่ชีวิตที่ดี

    การนำเสนอในครั้งนี้ อาจารย์สุวรรณา สถาอานันท์ – ผู้วิเคราะห์มิได้มีวัตถุประสงค์ต้องการเปรียบเทียบหรือจัดลำดับคุณค่าของแนวคิดแต่อย่างใด โดยผู้วิเคราะห์มีความเชื่อว่า “ทัศนะต่อความทุกข์” เป็นพื้นฐานสำคัญในการเข้าใจแนวทางในการดำเนินชีวิตที่ดี ไม่ว่าจะแบบปรัชญาขงจื่อหรือแบบพุทธเถรวาท หากมองให้ลึกไปอีกขั้นเราอาจจะพบจุดร่วมเชิงจริยธรรมของแนวคิดทั้งสองระบบ ซึ่งก็ได้มีผู้ศึกษาวิจัยกันมาบ้างแล้ว

    ตัวอย่างเช่น “สิงคาลกสูตร” หรือ พระสูตรที่ว่าด้วยทิศทั้ง 6 หรือ บุคคล 6 ประเภทที่มีความสัมพันธ์ต่อบุคคลหนึ่งๆ การปฏิบัติต่อบุคคลเหล่านั้น มิตรแท้และมิตรเทียม ฯ โดยบุคคลทุกประเภทควรปฏิบัติดีต่อกันและไม่กดข่มกัน จะเห็นได้ว่า”สิงคาลกสูตร” ของพุทธฯ ซึ่งเน้นความสัมพันธ์ของมนุษย์ก็มีความสอดคล้องกับแนวคิดแบบขงจื่อที่เน้นความสัมพันธ์ของมนุษย์อยู่ไม่น้อย

    ข้อเสนอแนะสุดท้ายคือการศึกษาค้นคว้าปริศนามิติอื่นๆของสองแนวทางความคิดที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งจากเอเชียตะวันออก (จีน) และเอเชียใต้ (อินเดีย) ที่มาบรรจบและเจริญงอกงามในแผ่นดินที่ชื่อว่าสยามประเทศแห่งนี้

    882e0b98ce0b8abe0b8a3e0b8b7e0b8ade0b8a2e0b8ade0b8a1e0b897e0b8b8e0b881e0b882e0b98c-e0b89be0b8a3-3.jpg

    อ.สุวรรณา สถาอานันท์ ผู้นำเสนอบทความ “พ้นทุกข์หรือยอมทุกข์: ปรัชญาพุทธกับขงจื่อ”​

    เนื้อหาในบทความนี้นำมาจากการนำเสนอบทความวิชาการเรื่อง “พ้นทุกข์หรือยอมทุกข์: ปรัชญาพุทธกับขงจื่อ” โดยอาจารย์สุวรรณา สถาอานันท์ ในการประชุมวิชาการระดับนานาชาติ “ศาสนาและวัฒนธรรมความเชื่อของชาวจีนโพ้นทะเล” ที่ศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษาฯ ม.ธรรมศาสตร์เป็นเจ้าภาพ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2560

    เรียบเรียงและรายงาน: อรอนงค์ อรุณเอก 林敏儿

    ภาพ: ณจักร วงษ์ยิ้ม


    ขอขอบคุณที่มา
    http://thai.cri.cn/247/2017/12/01/242s261325.htm
     
  2. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,628
    การพ้นทุกข์ของทางศาสนาพุทธคือการ "หมดกิเลส" คือการละ สังโยชน์ 10 ได้
    พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนให้ละทิ้งครอบครัว หรือทิ้งสังคม
    ท่านสอนให้ละ กิเลส
     
  3. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,628
    การปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ที่พระพุทธเจ้าท่านสอน
    ขั้นต้น ต้องมีศีลครบ
    ขั้นกลาง ต้องฝึกสมาธิให้ถึงขั้นอัปปนาสมาธิให้ได้
    ขั้นสูงสุด มีปัญญารู้ถึงความจริงของจักรวาล ว่าสังโยชน์ทั้ง 10 นั้นเป็นกิเลสพาให้เวียนว่ายตายเกิดไม่สิ้นสุด มีปัญญาเห็นร่างกายนี้ว่าเป็นแต่เพียงสมบัติของโลก ไม่ใช่ตัวตนเราเขา

    ฉะนั้น เพียงแค่ทุกคนตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ในขั้นแรก คือ ทุกคนต้องมีศีล

    แค่นี้ มนุษย์ทุกคนก็จะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข ความสัมพันธ์ราบรื่น ตามสภาพ “ภาวะไร้ทุกข์” ในแบบขงจื่อแล้วครับ
     
  4. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,628
    พระพุทธเจ้าท่านให้สมบัติ ทั้ง
    มนุษยสมบัติ
    สวรรค์สมบัติ
    นิพพานสมบัติ

    1. ใครปราถนาที่จะได้มนุษย์สมบัติ ไม่อยากละกิเลสตอนนี้ ต้องการความสุขทางโลก ท่านก็สอนให้ทุกคน มี

    - ทาน
    - ศีล
    - ภาวนา


    2. ใครปราถนา สวรรค์ พรหมโลก ก็ปฏิบัติใน
    - ทาน
    - ศีล
    - ภาวนา (ถ้าจะไปพรหมโลก ก็ให้เน้นภาวนาหนัก ๆ หน่อย)

    - มีปัญญาบ้าง

    (ปล. ทั้ง ทาน ศีล ภาวนา ทำให้เราได้ทั้ง มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ พรหมสมบัติ)

    3. ใครปราถนาอยากจะพ้นทุกข์ ไม่อยากเวียนว่ายตายเกิดอีก เพราะเกิดเมื่อไหร่ โอกาสที่จะสร้างบาปกรรมจนทำให้ไปสู่อบายภูมิก็มีมาก อยากจะเข้านิพพาน ก็ให้ปฏิบัติตามนี้

    - ทาน
    - ศีล
    - สมาธิ (อย่างน้อยต้องได้ฌาน 1 ขึ้นไป แล้วละสังโยชน์ 3 ได้ ก็จะปิดอบายภูมิได้)

    - ปัญญา (ละสังโยชน์ 10 ให้ได้ โดยเฉพาะ สักกายทิฏฐิ คือ เห็นว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่ต้องการร่างกายนี้ เพราะถ้ายังมีร่างกายนี้เมื่อไหร่ เราก็ทุกข์เมื่อนั้น ความทุกข์ทุกอย่างมีได้ก็เพราะเรามีร่างกายนี้ เราจึงไม่ต้องการร่างกายที่เต็มไปด้วยทุกข์ เต็มไปด้วยความสกปรกแบบนี้อีก เราต้องการนิพพานอย่างเดียว เพราะนิพพานเป็นแดนบรมสุข ไม่มีเปลี่ยนแปลง

    การที่จะมีปัญญาเห็นจริงตามนี้ได้จริง ๆ เราจำเป็นต้องมีฌาน 4 หนุนหลัง ไม่อย่างนั้นจะมีกำลังไม่พอที่จะบรรลุขั้นสูงสุด)
     

แชร์หน้านี้

Loading...