มหาปัญญากถา

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย งูๆปลาๆ, 28 มกราคม 2018.

  1. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    พระไตรปิฎก ฉบับธรรมทาน
    ปัญญาวรรค
    มหาปัญญากถา
    [๖๕๙] อนิจจานุปัสสนาที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังปัญญาอย่างไหนให้
    บริบูรณ์ ทุกขานุปัสสนา ... อนัตตานุปัสสนา ... นิพพิทานุปัสสนา...วิราคานุปัสสนา ... นิโรธานุ

    ปัสสนา ... ปฏินิสสัคคานุปัสสนาที่บุคคลเจริญแล้วทำให้มากแล้ว ย่อมยังปัญญาอย่างไหนให้

    บริบูรณ์ ฯ

    อนิจจานุปัสสนาที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังชวนปัญญา(ปัญญาเร็ว) ให้
    บริบูรณ์ ทุกขานุปัสสนา ... ย่อมยังนิพเพธิกปัญญา (ปัญญาทำลายกิเลส) ให้บริบูรณ์ อนัตตานุ

    ปัสสนา ... ย่อมยังมหาปัญญา (ปัญญามาก) ให้บริบูรณ์ นิพพิทานุปัสสนา ... ย่อมยังติกขปัญญา

    (ปัญญาคมกล้า) ให้บริบูรณ์วิราคานุปัสสนา ... ย่อมยังวิบูลปัญญา (ปัญญากว้างขวาง) ให้บริบูรณ์

    นิโรธานุปัสสนา ... ย่อมยังคัมภีรปัญญา (ปัญญาลึกซึ้ง) ให้บริบูรณ์ ปฏินิสสัคคานุปัสสนา ที่บุคคล

    เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังอัสสามันตปัญญา (ปัญญาไม่ใกล้)ให้บริบูรณ์ ปัญญา ๗ ประการนี้

    ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังความเป็นบัณฑิตให้บริบูรณ์ ปัญญา ๘ ประการนี้ ... ย่อม

    ยังปุถุปัญญา (ปัญญาแน่นหนา) ให้บริบูรณ์ ปัญญา ๙ ประการนี้ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว

    ย่อมยังหาสปัญญา (ปัญญาร่าเริง) ให้บริบูรณ์ หาสปัญญา เป็นปฏิภาณปฏิสัมภิทาอรรถปฏิสัมภิทา

    เป็นคุณชาติ อันบุคคลบรรลุแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา โดยการกำหนดอรรถแห่ง

    หาสปัญญานั้น ธรรมปฏิสัมภิทา เป็นคุณชาติอันบุคคลบรรลุแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วย

    ปัญญา โดยการกำหนดธรรมแห่งหาสปัญญานั้น นิรุติปฏิสัมภิทา เป็นคุณชาติอันบุคคลบรรลุแล้ว

    ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา โดยการกำหนดนิรุติแห่งหาสปัญญานั้นปฏิภาณปฏิสัมภิทา

    เป็นคุณชาติอันบุคคลบรรลุแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา โดยการกำหนดปฏิภาณ

    แห่งหาสปัญญานั้น ปฏิสัมภิทา ๔ ประการนี้เป็นคุณชาติอันบุคคลบรรลุแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว

    ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา เพราะหาสปัญญานั้น ฯ

    [๖๖๐] การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูป ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยัง
    ปัญญาอย่างไหนให้บริบูรณ์ ฯลฯ การพิจารณาเห็นความสละคืนในรูป ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มาก

    แล้ว ย่อมยังปัญญาอย่างไหนให้บริบูรณ์ ฯ

    การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูป ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังชวน
    ปัญญาให้บริบูรณ์ ฯลฯ การพิจารณาเห็นความสละคืนในรูป ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว

    ย่อมยังอัสสามันตปัญญาให้บริบูรณ์ ปัญญา ๗ประการนี้ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยัง

    ความเป็นบัณฑิตให้บริบูรณ์ปัญญา ๘ ประการนี้ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังปุถุปัญญา

    ให้บริบูรณ์ ปัญญา ๙ ประการนี้ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังหาสปัญญาให้บริบูรณ์

    หาสปัญญาเป็นปฏิภาณปฏิสัมภิทา ... ปฏิสัมภิทา ๔ ประการนี้เป็นคุณชาติอันบุคคลบรรลุแล้ว ทำ

    ให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา เพราะหาสปัญญานั้น ฯ

    การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จักษุ ฯลฯ ชราและ
    มรณะ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังปัญญาอย่างไหนให้บริบูรณ์ ฯลฯ การพิจารณา

    เห็นความสละคืนในชราและมรณะ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังปัญญาอย่างไหน

    ให้บริบูรณ์ ฯ

    การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในชราและมรณะ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อม
    ยังชวนปัญญาให้บริบูรณ์ ฯลฯ การพิจารณาเห็นความสละคืนในชราและมรณะ ที่บุคคลเจริญแล้ว

    ทำให้มากแล้ว ย่อมยังอัสสามันตปัญญาให้บริบูรณ์ ปัญญา ๗ ประการนี้ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้

    มากแล้ว ย่อมยังความเป็นบัณฑิตให้บริบูรณ์ ปัญญา ๘ ประการนี้ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มาก

    แล้ว ย่อมยังปุถุปัญญาให้บริบูรณ์ ปัญญา ๙ ประการนี้ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อม

    ยังหาสปัญญาให้บริบูรณ์ หาสปัญญาเป็นปฏิภาณปฏิสัมภิทา... ปฏิสัมภิทา ๔ ประการนี้ เป็นคุณชาติ

    อันบุคคลบรรลุแล้ว ทำให้แจ้งแล้วถูกต้องแล้วด้วยปัญญา เพราะหาสปัญญานั้น ฯ

    [๖๖๑] การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูป ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อม
    ยังปัญญาอย่างไหนให้บริบูรณ์ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูปทั้งเป็นส่วนอดีต อนาคตและ

    ปัจจุบัน ย่อมยังปัญญาอย่างไหนให้บริบูรณ์ การพิจารณาเห็นทุกข์ในรูป ... การพิจารณาเห็นทุกข์ใน

    รูปทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน ... การพิจารณาเห็นอนัตตาในรูป ... การพิจารณาเห็นอนัตตาใน

    รูปทั้งเป็นส่วนอดีต อนาคตและปัจจุบัน ... การพิจารณาเห็นความเบื่อหน่ายในรูป…การพิจารณาเห็น

    ความเบื่อหน่ายในรูปทั้งเป็นส่วนอดีต อนาคตและปัจจุบัน ... การพิจารณาเห็นความคลายกำหนัดใน

    รูป ... การพิจารณาเห็นความคลายกำหนัดในรูปทั้งเป็นส่วนอดีต อนาคตและปัจจุบัน ... การพิจารณา

    เห็นความดับในรูป ... การพิจารณาเห็นความดับในรูปทั้งเป็นส่วนอดีตอนาคตและปัจจุบัน ... การ

    พิจารณาเห็นความสละคืนในรูป ... การพิจารณาเห็นความสละคืนในรูปทั้งเป็นส่วนอดีต อนาคตและ

    ปัจจุบัน ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังปัญญาอย่างไหนให้บริบูรณ์ ฯ

    การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูป ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังชวน
    ปัญญาให้บริบูรณ์ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูปทั้งเป็นส่วนอดีตอนาคตและปัจจุบัน ... ย่อม

    ยังชวนปัญญาให้บริบูรณ์ การพิจารณาเห็นทุกข์ในรูป... ย่อมยังนิพเพธิกปัญญาให้บริบูรณ์ การ

    พิจารณาเห็นทุกข์ในรูปทั้งเป็นส่วนอดีตอนาคตและปัจจุบัน ... ย่อมยังชวนปัญญาให้บริบูรณ์ การ

    พิจารณาเห็นอนัตตาในรูป ... ย่อมยังมหาปัญญาให้บริบูรณ์ การพิจารณาเห็นอนัตตาในรูปทั้งเป็นส่วน

    อดีต อนาคตและปัจจุบัน ... ย่อมยังชวนปัญญาให้บริบูรณ์ การพิจารณาเห็นความเบื่อหน่ายในรูป ...

    ย่อมยังติกขปัญญาให้บริบูรณ์ การพิจารณาเห็นความเบื่อหน่ายในรูปทั้งเป็นส่วนอดีต อนาคตและ

    ปัจจุบัน ... ย่อมยังชวนปัญญาให้บริบูรณ์ การพิจารณาเห็นความคลายกำหนัดในรูป ... ย่อมยังวิบูล

    ปัญญาให้บริบูรณ์ การพิจารณาเห็นความคลายกำหนัดในรูปทั้งเป็นส่วนอดีต อนาคตและปัจจุบัน ...

    ย่อมยังชวนปัญญาให้บริบูรณ์ การพิจารณาเห็นความดับในรูป ... ย่อมยังคัมภีรปัญญาให้บริบูรณ์ การ

    พิจารณาเห็นความดับในรูปทั้งเป็นส่วนอดีต อนาคตและปัจจุบัน... ย่อมยังชวนปัญญาให้บริบูรณ์

    การพิจารณาเห็นความสละคืนในรูป ... ย่อมยังอัสสามันตปัญญาให้บริบูรณ์ การพิจารณาเห็นความ

    สละคืนในรูปทั้งเป็นส่วนอดีตอนาคตและปัจจุบัน ... ย่อมยังชวนปัญญาให้บริบูรณ์ ปัญญา ๗

    ประการนี้ ...ย่อมยังความเป็นบัณฑิตให้บริบูรณ์ ปัญญา ๘ ประการนี้ ... ย่อมยังปุถุปัญญาให้บริบูรณ์

    ปัญญา ๙ ประการนี้ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังหาสปัญญาให้บริบูรณ์ หาสปัญญา

    เป็นปฏิภาณปฏิสัมภิทา ... ปฏิสัมภิทา ๔ ประการนี้ เป็นคุณชาติอันบุคคลบรรลุแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว

    ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา เพราะหาสปัญญานั้น ในเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จักษุ ฯลฯ ฯ

    การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในชราและมรณะ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว
    ย่อมยังปัญญาอย่างไหนให้บริบูรณ์ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในชราและมรณะ ทั้งเป็นส่วน

    อดีต อนาคตและปัจจุบัน ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังปัญญาอย่างไหนให้บริบูรณ์

    ฯลฯ การพิจารณาเห็นความสละคืนในชราและมรณะ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยัง

    ปัญญาอย่างไหนให้บริบูรณ์ การพิจารณาเห็นความสละคืนในชราและมรณะทั้งเป็นส่วนอดีต อนาคต

    และปัจจุบัน ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังปัญญาอย่างไหนให้บริบูรณ์ ฯ

    การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในชราและมรณะ ... ย่อมยังชวนปัญญาให้บริบูรณ์ การ
    พิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในชราและมรณะทั้งเป็นส่วนอดีต อนาคตและปัจจุบัน ... ย่อมยัง

    ชวนปัญญาให้บริบูรณ์ ฯลฯ ปฏิสัมภิทา ๔ ประการนี้ เป็นคุณชาติอันบุคคลบรรลุแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว

    ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา เพราะหาสปัญญา ฯ

    [๖๖๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการนี้ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว
    ย่อมเป็นไปเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ๔ ประการเป็นไฉน คือสัปปุริสสังเสวะ คบสัตบุรุษ ๑

    สัทธรรมสวนะ ฟังสัทธรรมคำสั่งสอนของท่าน ๑โยนิโสมนสิการะ ไตร่ตรองพิจารณาคำสั่งสอน

    ของท่าน ๑ ธรรมานุธรรมปฏิปัตติปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมที่ได้ตรองเห็นแล้ว ๑ ดูกรภิกษุ

    ทั้งหลาย ธรรม ๔ประการนี้แล ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อทำให้แจ้งซึ่ง

    โสดาปัตติผล ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการนี้ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไป
    เพื่อทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล ฯลฯ ย่อมเป็นไปเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล ฯลฯ ย่อมเป็นไปเพื่อ

    ทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล ๔ ประการเป็นไฉนคือ สัปปุริสสังเสวะ ๑ สัทธรรมสวนะ ๑ โยนิ

    โสมนสิการ ๑ ธรรมานุธรรมปฏิปัตติ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการนี้แล ที่บุคคลเจริญ

    แล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล ฯ

    [๖๖๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการนี้ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว
    ย่อมเป็นไปเพื่อได้เฉพาะซึ่งปัญญา เพื่อความเจริญแห่งปัญญา เพื่อความไพบูลย์แห่งปัญญา เพื่อ

    ความเป็นผู้มีปัญญาใหญ่ เพื่อความเป็นผู้มีปัญญาหนาเพื่อความเป็นผู้มีปัญญากว้างขวาง เพื่อความเป็น

    ผู้มีปัญญาลึกซึ้ง เพื่อความเป็นผู้มีปัญญาไม่ใกล้ เพื่อความเป็นผู้มีปัญญาดังแผ่นดิน เพื่อความเป็น

    ผู้มีปัญญามากเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาเร็ว เพื่อความเป็นผู้มีปัญญาพลัน เพื่อความเป็นผู้มีปัญญา

    ร่าเริง เพื่อความเป็นผู้มีปัญญาแล่นไป เพื่อความเป็นผู้มีปัญญาคมกล้า เพื่อความเป็นผู้มีปัญญา

    ทำลายกิเลส ๔ ประการเป็นไฉน คือ สัปปุริสสังเสวะ ๑ สัทธรรมสวนะ ๑ โยนิโสมนสิการ ๑

    ธรรมานุธรรมปฏิปัตติ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม๔ ประการนี้แล ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มาก

    แล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อได้เฉพาะซึ่งปัญญา ฯลฯ เพื่อความเป็นผู้มีปัญญาทำลายกิเลส ฯ

    [๖๖๔] การได้เฉพาะซึ่งปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อได้เฉพาะซึ่งปัญญา เป็นไฉน ฯ
    การได้ การได้เฉพาะ การถึง การถึงพร้อม การถูกต้อง การทำให้แจ้ง การเข้าถึง
    พร้อม ซึ่งมรรคญาณ ๔ ผลญาณ ๔ ปฏิสัมภิทาญาณ ๔ อภิญญา ๖ญาณ ๗๓ ญาณ ๗๗ นี้

    เป็นการได้เฉพาะซึ่งปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อได้เฉพาะซึ่งปัญญา ฯ

    ความเจริญแห่งปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญแห่งปัญญาเป็นไฉน ฯ
    ปัญญาของพระเสขะ ๗ จำพวก และของกัลยาณปุถุชนย่อมเจริญ ปัญญาของพระ
    อรหันต์ย่อมเจริญ นี้เป็นความเจริญ นี้เป็นความเจริญแห่งปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความ

    เจริญแห่งปัญญา ฯ

    ความไพบูลย์แห่งปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความไพบูลย์แห่งปัญญาเป็นไฉน ฯ
    ปัญญาของพระเสขะ ๗ จำพวกและของกัลยาณปุถุชน ย่อมถึงความไพบูลย์ ปัญญา
    ของพระอรหันต์ เป็นปัญญาไพบูลย์ นี้เป็นความไพบูลย์แห่งปัญญาในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อ

    ความไพบูลย์แห่งปัญญา ฯ

    [๖๖๕] มหาปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาใหญ่เป็นไฉน ฯ
    ชื่อว่าปัญญาใหญ่ เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า กำหนดอรรถใหญ่ กำหนดธรรมใหญ่
    กำหนดนิรุติใหญ่ กำหนดปฏิภาณใหญ่ กำหนดศีลขันธ์ใหญ่ กำหนดสมาธิขันธ์ใหญ่ กำหนด

    ปัญญาขันธ์ใหญ่ กำหนดวิมุติขันธ์ใหญ่ กำหนดวิมุติญาณทัสนขันธ์ใหญ่ กำหนดฐานะและ

    อฐานะใหญ่ กำหนดวิหารสมาบัติใหญ่ กำหนดอริยสัจใหญ่ กำหนดสติปัฏฐานใหญ่ กำหนด

    สัมมัปปธานใหญ่ กำหนดอิทธิบาทใหญ่ กำหนดอินทรีย์ใหญ่ กำหนดพละใหญ่ กำหนดโพชฌงค์

    ใหญ่ กำหนดอริยมรรคใหญ่ กำหนดสามัญผลใหญ่ กำหนดอภิญญาใหญ่ กำหนดนิพพานอันเป็น

    ประโยชน์อย่างยิ่ง นี้เป็นมหาปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อเป็นผู้มีปัญญาใหญ่ ฯ

    [๖๖๖] ปุถุปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาแน่นหนาเป็นไฉน ฯ
    ชื่อว่าปัญญาหนา เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า ญาณเป็นไปในขันธ์ต่างๆ มาก ในธาตุต่างๆ
    มาก ในอายตนะต่างๆ มาก ในปฏิจจสมุปบาทต่างๆมาก ในความได้เนืองๆ ซึ่งความสูญต่างๆ

    มาก ในอรรถต่างๆ มาก ในธรรมต่างๆ มาก ในนิรุติต่างๆ มาก ในปฏิภาณต่างๆ มาก ใน

    ศีลขันธ์ต่างๆ มาก ในสมาธิขันธ์ต่างๆ มาก ในปัญญาขันธ์ต่างๆ มาก ในวิมุติขันธ์ต่างๆ มาก

    ในวิมุติญาณทัสนขันธ์ต่างๆ มาก ในฐานะและอฐานะต่างๆ มาก ในวิหารสมาบัติต่างๆ มาก

    ในอริยสัจต่างๆ มาก ในสติปัฏฐานต่างๆ มาก ในสัมมัปปธานต่างๆ มาก ในอิทธิบาทต่างๆ

    มาก ในอินทรีย์ต่างๆ มาก ในพละต่างๆ มาก ในโพชฌงค์ต่างๆ มาก ในอริยมรรคต่างๆ มาก

    ในสามัญผลต่างๆ มาก ในอภิญญาต่างๆ มาก ในนิพพานอันเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ล่วงธรรม

    ที่ทั่วไปแก่ปุถุชน นี้เป็นปุถุปัญญาในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาหนา ฯ

    [๖๖๗] วิบูลปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญากว้างขวาง เป็นไฉน ฯ
    ชื่อว่าปัญญากว้างขวาง เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า กำหนดอรรถกว้างขวาง กำหนดธรรม
    กว้างขวาง ... กำหนดอภิญญากว้างขวาง กำหนดนิพพานอันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกว้างขวาง นี้เป็น

    วิบูลปัญญา ในคำว่า เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญากว้างขวาง ฯ

    [๖๖๘] คัมภีรปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาลึกซึ้ง เป็นไฉน ฯ
    ชื่อว่าปัญญาลึกซึ้ง เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า ญาณเป็นไปในขันธ์ลึกซึ้ง ในธาตุลึกซึ้ง ...
    ในอภิญญาลึกซึ้ง ในนิพพานอันเป็นประโยชน์อย่างลึกซึ้ง นี้เป็นคัมภีรปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็น

    ไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาลึกซึ้ง ฯ

    [๖๖๙] อัสสามันตปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาไม่ใกล้ เป็น
    ไฉน ฯ

    อรรถปฏิสัมภิทา เป็นคุณชาติอันบุคคลผู้ใดบรรลุแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วย
    ปัญญา โดยการกำหนดอรรถ ธรรมปฏิสัมภิทา เป็นคุณชาติอันบุคคลผู้ใดบรรลุแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว

    ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา โดยการกำหนดธรรม นิรุติปฏิสัมภิทา เป็นคุณชาติอันบุคคลใดบรรลุแล้ว

    ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา โดยการกำหนดนิรุติ ปฏิภาณปฏิสัมภิทา เป็นคุณชาติอันบุคคล

    ผู้ใดบรรลุแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องด้วยปัญญา โดยการกำหนดปฏิภาณใครอื่นย่อมไม่สามารถจะ

    ครอบงำอรรถ ธรรม นิรุติและปฏิภาณของบุคคลผู้นั้นได้และบุคคลผู้นั้นก็เป็นผู้หนึ่งที่ใครๆ ครอบงำ

    ไม่ได้ เพราะเหตุนั้น ปัญญานั้นจึงเป็นปัญญาไม่ใกล้ ปัญญาของกัลยาณปุถุชนห่างไกลแสนไกล

    ไม่ใกล้ไม่ชิดกับปัญญาของบุคคลที่ ๘ พระอรหันต์ เมื่อเทียบกับกัลยาณปุถุชน บุคคลที่ ๘ มีปัญญา

    ไม่ใกล้ ปัญญาของบุคคลที่ ๘ ห่างไกลแสนไกล ไม่ใกล้ ไม่ชิดกับปัญญาของพระโสดาบัน เมื่อ

    เทียบกับบุคคลที่ ๘ พระโสดาบันมีปัญญาไม่ใกล้ปัญญาของพระโสดาบันห่างไกลแสนไกล ไม่ใกล้

    ไม่ชิดกับปัญญาของพระสกทาคามี เมื่อเทียบกับพระโสดาบัน พระสกทาคามี มีปัญญาไม่ใกล้

    ปัญญาของพระสกทาคามีห่างไกลแสนไกล ไม่ใกล้ ไม่ชิดกับปัญญาของพระอนาคามีเมื่อเทียบกับ

    พระสกทาคามี พระอนาคามีมีปัญญาไม่ใกล้ ปัญญาของพระอนาคามีห่างไกลแสนไกล ไม่ใกล้ ไม่

    ชิดกับปัญญาของพระอรหันต์ เมื่อเทียบกับพระอนาคามี พระอรหันต์มีปัญญาไม่ใกล้ ปัญญาของ

    พระอรหันต์ห่างไกลแสนไกล ไม่ใกล้ ไม่ชิดกับปัญญาของพระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อเทียบกับพระ

    อรหันต์พระปัจเจกพุทธเจ้ามีปัญญาไม่ใกล้ เมื่อเทียบกับพระปัจเจกพุทธเจ้าและโลกพร้อมทั้ง

    เทวโลก พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นผู้เลิศ ทรงมีปัญญาไม่ใกล้ ทรงฉลาดใน

    ประเภทแห่งปัญญา ทรงมีญาณแตกฉาน ทรงบรรลุปฏิสัมภิทา ทรงถึงเวสารัชชญาณ ๔ ทรงพละ ๑๐

    ทรงเป็นบุรุษองอาจ ทรงเป็นบุรุษสีหะทรงเป็นบุรุษนาค ทรงเป็นบุรุษอาชาไนย ทรงเป็นบุรุษนำธุระ

    ไป ทรงมีพระญาณหาที่สุดมิได้ ทรงมีพระเดชหาที่สุดมิได้ ทรงมีพระยศหาที่สุดมิได้ ทรงเป็นผู้มั่งคั่ง

    ทรงมีทรัพย์มาก ทรงมีอริยทรัพย์ ทรงเป็นผู้นำ ทรงเป็นผู้นำไปให้วิเศษ ทรงนำไปเนืองๆ ทรงบัญญัติ

    ทรงพินิจ ทรงเพ่ง ทรงให้หมู่สัตว์เลื่อมใส แท้จริงพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นทรงยังมรรคที่ยัง

    ไม่เกิดให้เกิดขึ้น ทรงยังมรรคที่ยังไม่เกิดพร้อมให้เกิดพร้อม ตรัสบอกมรรคที่ยังไม่มีใครบอก ทรง

    รู้จักมรรค ทรงทราบมรรค ทรงฉลาดในมรรค ก็แหละพระสาวกทั้งหลายในบัดนี้ และที่จะมีมาใน

    ภายหลัง ย่อมเป็นผู้ดำเนินไปตามมรรค แท้จริงพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเมื่อทรงทราบก็ย่อมทรง

    ทราบ เมื่อทรงเห็นก็ย่อมทรงเห็น ทรงมีจักษุ ทรงมีญาณทรงมีธรรม ทรงมีพรหม ตรัสบอก ตรัสบอกทั่ว

    ทรงนำอรรถออก ทรงประทานอมตธรรม ทรงเป็นธรรมสามี เสด็จไปอย่างนั้น บทธรรมที่พระผู้มี

    พระภาคพระองค์นั้นไม่ทรงรู้ ไม่ทรงเห็น ไม่ทรงทราบ ไม่ทรงทำให้แจ้ง ไม่ทรงถูกต้องแล้วด้วยปัญญา

    มิได้มี ธรรมทั้งปวงรวมทั้งที่เป็นส่วนอดีต อนาคตและปัจจุบันย่อมมาสู่คลองในมุข คือ พระญาณ

    ของพระผู้มีพระภาคผู้ตรัสรู้แล้วโดยอาการทั้งปวง ชื่อว่าบทที่ควรแนะนำซึ่งเป็นอรรถเป็นธรรมที่ควร

    รู้ อย่างใดอย่างหนึ่งและประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่น ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ประโยชน์ภพนี้

    ประโยชน์ภพหน้า ประโยชน์ตื้น ประโยชน์ลึก ประโยชน์ลับ ประโยชน์เปิดเผย ประโยชน์ที่

    ควรนำไป ประโยชน์ที่นำไปแล้ว ประโยชน์ไม่มีโทษ ประโยชน์ไม่มีกิเลส ประโยชน์ขาวผ่อง หรือ

    ทั้งหมดนั้นย่อมเป็นไปภายในพระพุทธญาณ พระญาณของพระพุทธเจ้า ย่อมเป็นไปตลอดกายกรรม

    ปรมัตถประโยชน์ วจีกรรม มโนกรรมทั่วหมด พระญาณของพระพุทธเจ้ามิได้ขัดข้องในอดีต อนาคต

    ปัจจุบัน เนยยบทมีเท่าใด พระญาณก็มีเท่านั้น พระญาณมีเท่าใดเนยยบทก็มีเท่านั้น พระญาณมีเนยยบท

    เป็นที่สุดรอบ เนยยบทมีพระญาณเป็นที่สุดรอบพระญาณไม่เป็นไปเกินเนยยบท เนยยบทก็ไม่เกิน

    พระญาณ ธรรมเหล่านั้นตั้งอยู่ในที่สุดรอบของกันและกัน เปรียบเหมือนผะอบสองชั้นสนิทกันดี

    ผะอบชั้นล่างไม่เกินผะอบชั้นบน ผะอบชั้นบนก็ไม่เกินผะอบชั้นล่าง ผะอบทั้งสองชั้นนั้นต่างก็ตั้ง

    อยู่ในที่สุดของกันและกัน ฉะนั้น พระพุทธญาณย่อมเป็นไปในธรรมทั้งปวงธรรมทั้งปวงเนื่องด้วย

    ความทรงคำนึง เนื่องด้วยทรงพระประสงค์ เนื่องด้วยทรงพระมนสิการ เนื่องด้วยพระจิตตุบาทของ

    พระผู้มีพระภาคผู้ตรัสรู้แล้ว พระพุทธญาณเป็นไปในสรรพสัตว์ พระพุทธเจ้าย่อมทรงทราบอัธยาศัย

    อนุสัย ความประพฤติ อธิมุติ ของสรรพสัตว์ ย่อมทรงทราบหมู่สัตว์มีกิเลสธุลีน้อยในปัญญา

    จักษุ ผู้มีกิเลสธุลีมากในปัญญาจักษุ ผู้มีอินทรีย์แก่กล้า ผู้มีอินทรีย์อ่อน มีอาการดี มีอาการทราม

    พระองค์พึงทรงให้รู้ได้ง่าย พระองค์พึงให้รู้ได้ยาก เป็นภัพพสัตว์ เป็นอภัพพสัตว์ โลกพร้อมทั้ง

    เทวโลก มารโลก พรหมโลก หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ย่อมเป็นไป

    ภายในพระพุทธญาณเปรียบเหมือนปลาและเต่าทุกชนิด โดยที่สุดตลอดจนปลาติมิและปลาติมิงคละ

    ย่อมว่ายวนอยู่ภายในมหาสมุทร ฉะนั้น เปรียบเหมือนนกทุกชนิด โดยที่สุดตลอดจนนกครุฑ

    ตระกูลเวนเตยยะ ย่อมบินร่อนไปในประเทศอากาศ ฉันใดดูกรสารีบุตร แม้บรรดาสัตว์ผู้มีปัญญา

    ก็ย่อมเป็นไปในประเทศพุทธญาณ ฉันนั้นเหมือนกัน พุทธญาณแผ่ไป แล่นไปสู่ปัญหาของเทวดา

    และมนุษย์แล้วตั้งอยู่บรรดากษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดี สมณะ ผู้เป็นบัณฑิต มีปัญญาละเอียด

    แต่งวาทะโต้ตอบ มีปัญญาเปรียบด้วยนายขมังธนูผู้สามารถยิงขนทราย เที่ยวทำลายปัญญาและทิฐิ

    ด้วยปัญญา บัณฑิตเหล่านั้นแต่งปัญหาแล้วพากันเข้ามาหาพระตถาคต ถามปัญหาทั้งลี้ลับและ

    เปิดเผย ปัญหาเหล่านั้นพระผู้มีพระภาคตรัสบอกและทรงแก้แล้ว มีเหตุที่ทรงแสดงไขให้เห็นชัด

    ปรากฏแก่พระผู้มีพระภาคความจริง พระผู้มีพระภาคย่อมทรงรุ่งเรืองยิ่งด้วยปัญญา เพราะทรงแก้ปัญหา

    เหล่านั้น เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงเป็นผู้เลิศ มีพระปัญญาไม่ใกล้ นี้เป็นอัสสามันตปัญญา

    ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาไม่ใกล้ ฯ

    [๖๗๐] ภูริปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาดังแผ่นดิน เป็นไฉน ฯ
    ชื่อว่าภูริปัญญา เพราะอรรถวิเคราะห์ว่าครอบงำอยู่ ครอบงำแล้วซึ่งราคะ ครอบงำอยู่
    ครอบงำแล้วซึ่งโทสะ ครอบงำอยู่ ครอบแล้วซึ่งโมหะ ครอบงำอยู่ครอบงำแล้วซึ่งโกธะ ฯลฯ

    อุปนาหะ มักขะ ปฬาสะ อิสสา มัจฉริยะ มายาสาเถยยะ ถัมภะ สารัมภะ มานะ อติมานะ

    มทะ ปมาทะ กิเลสทั้งปวงทุจริตทั้งปวง อภิสังขารทั้งปวง ฯลฯ ครอบงำอยู่ ครอบงำแล้ว

    ซึ่งกรรมอันเป็นเหตุให้ไปสู่ภพทั้งปวง ชื่อว่าภูริปัญญา เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า เป็นปัญญาย่ำยี

    ราคะอันเป็นข้าศึก เป็นปัญญาย่ำยีโทสะอันเป็นข้าศึก เป็นปัญญาย่ำยีโมหะอันเป็นข้าศึก เป็นปัญญา

    ย่ำยีโกธะอันเป็นข้าศึก ฯลฯ อุปนาหะ ฯลฯ อภิสังขารทั้งปวง ฯลฯ กรรมอันเป็นเหตุให้ไปสู่ภพ

    ทั้งปวง อันเป็นข้าศึก แผ่นดินท่านกล่าวว่า ภูริ บุคคลประกอบด้วยปัญญาอันกว้างขวางไพบูลย์

    เสมอด้วยแผ่นดินนั้น เพราะเหตุนั้น ปัญญานั้นจึงเป็นภูริปัญญา อีกประการหนึ่ง คำว่า ภูริ นี้เป็น

    ชื่อของปัญญา ปัญญาเป็นปริณายก เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าภูริปัญญา นี้เป็นภูริปัญญา ในคำว่า

    ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาดังแผ่นดิน ฯ

    [๖๗๑] ปัญญาพาหุลละ ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญามาก เป็นไฉน ฯ
    บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้หนักด้วยปัญญา เป็นผู้ประพฤติด้วยปัญญา มีปัญญาเป็น
    ที่อาศัย น้อมใจเชื่อด้วยปัญญา มีปัญญาเป็นธงไชย มีปัญญาเป็นยอดมีปัญญาเป็นใหญ่ มากด้วย

    การเลือกเฟ้น มากด้วยการค้นคว้า มากด้วยการพิจารณา มากด้วยการเพ่งพินิจ มีการเพ่งพิจารณา

    เป็นธรรมดา มีความประพฤติงดเว้นด้วยปัญญาที่แจ่มแจ้ง หนักในปัญญา มากด้วยปัญญา โน้ม

    ไปในปัญญาน้อมไปในปัญญา เงื้อมไปในปัญญา น้อมจิตไปในปัญญา มีปัญญาเป็นอธิบดีเปรียบ

    เหมือนภิกษุผู้หนักไปในคณะ ท่านกล่าวว่า มีคณะมาก ผู้หนักในจีวรท่านกล่าวว่า มีจีวรมาก

    ผู้หนักในบาตร ท่านกล่าวว่า มีบาตรมาก ผู้หนักในเสนาสนะ ท่านกล่าวว่า มีเสสนานะมาก

    ฉะนั้น นี้เป็นปัญญาพาหุลละ ในคำว่าย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญามาก ฯ

    [๖๗๒] สีฆปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาเร็วเป็นไฉน ฯ
    ชื่อว่าปัญญาเร็ว เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า ปัญญาเป็นเครื่องบำเพ็ญศีลให้บริบูรณ์ได้เร็วๆ
    เป็นเครื่องบำเพ็ญอินทรีย์สังวรให้บริบูรณ์ได้เร็วๆ เป็นเครื่องบำเพ็ญโภชเน มัตตัญญุตาให้บริบูรณ์

    ได้เร็วๆ เป็นเครื่องบำเพ็ญชาคริยานุโยคให้บริบูรณ์ได้เร็วๆ เป็นเครื่องบำเพ็ญศีลขันธ์ให้บริบูรณ์ได้

    เร็วๆ เป็นเครื่องบำเพ็ญสมาธิขันธ์ให้บริบูรณ์ได้เร็วๆ เป็นเครื่องบำเพ็ญปัญญาขันธ์ให้บริบูรณ์

    ได้เร็วๆเป็นเครื่องบำเพ็ญวิมุติขันธ์ให้บริบูรณ์ได้เร็วๆ เป็นเครื่องบำเพ็ญวิมุติญาณทัสนขันธ์

    ให้บริบูรณ์ได้เร็วๆ เป็นเครื่องแทงตลอดฐานะและอฐานะได้เร็วๆ เป็นเครื่องบำเพ็ญวิหารสมาบัติ

    ให้บริบูรณ์ได้เร็วๆ เป็นเครื่องแทงตลอดอริยสัจได้เร็วๆเป็นเครื่องเจริญสติปัฏฐานได้เร็วๆ

    เป็นเครื่องเจริญสัมมัปปธานได้เร็วๆ เป็นเครื่องเจริญอิทธิบาทได้เร็วๆ เป็นเครื่องเจริญอินทรีย์

    ได้เร็วๆ เป็นเครื่องเจริญพละได้เร็วๆ เป็นเครื่องเจริญโพชฌงค์ได้เร็วๆ เป็นเครื่องเจริญอริยมรรค

    ได้เร็วๆ เป็นเครื่องทำให้แจ้งซึ่งสามัญผลได้เร็วๆ เป็นเครื่องแทงตลอดอภิญญาได้เร็วๆ เป็น

    เครื่องทำให้แจ้งซึ่งนิพพานอันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งได้เร็วๆ นี้เป็นสีฆปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็น

    ไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาเร็วๆ ฯ

    [๖๗๓] ลหุปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาพลันเป็นไฉน ฯ
    ชื่อว่าปัญญาพลัน เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า ปัญญาเป็นเครื่องบำเพ็ญศีลให้บริบูรณ์ได้
    พลันๆ ... เป็นเครื่องทำให้แจ้งซึ่งนิพพานอันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งได้พลันๆ นี้เป็นลหุปัญญา ใน

    คำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาพลัน ฯ

    [๖๗๔] หาสปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาร่าเริงเป็นไฉน ฯ
    บุคคลบางคนในโลกนี้ มีความร่าเริงมาก มีความพอใจมาก มีความยินดีมาก มีความ
    ปราโมทย์มาก บำเพ็ญศีลให้บริบูรณ์ บำเพ็ญอินทรียสังวรให้บริบูรณ์... ซึ่งทำให้แจ้งนิพพานอันเป็น

    ประโยชน์อย่างยิ่งให้บริบูรณ์ด้วยปัญญานั้นๆ เพราะเหตุนั้น ปัญญานั้นๆ จึงชื่อว่าปัญญาร่าเริง นี้

    เป็นหาสปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาร่าเริง ฯ

    [๖๗๕] ชวนปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาแล่นไป เป็นไฉน ฯ
    ชื่อว่าชวนปัญญา เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า ปัญญาแล่นไปสู่รูปทั้งปวง ทั้งที่เป็นอดีต
    อนาคตและปัจจุบัน เป็นภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียดเลวหรือประณีต มีอยู่ในที่ไกล

    หรือมีอยู่ในที่ใกล้ โดยความเป็นของไม่เที่ยงไวแล่นไปโดยความเป็นทุกข์ไว แล่นไปโดยความเป็น

    อนัตตาไว แล่นไปสู่เวทนาฯลฯ สัญญา สังขาร วิญญาณ ทั้งปวง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและ

    ปัจจุบันเป็นภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต มีอยู่ในที่ไกลหรือมีอยู่ในที่

    ใกล้ โดยความเป็นของไม่เที่ยงไว แล่นไปโดยความเป็นทุกข์ไว แล่นไปโดยความเป็นอนัตตาไว

    แล่นไปสู่จักษุ ฯลฯ ชราและมรณะ ทั้งที่เป็นอดีตอนาคตและปัจจุบัน โดยความเป็นของไม่เที่ยง

    ไว แล่นไปโดยความเป็นทุกข์ไวแล่นไปโดยความเป็นอนัตตาไว ชื่อว่าชวนปัญญา เพราะอรรถว่า

    ปัญญาเทียบเคียง พินิจ พิจารณา ทำให้แจ่มแจ้ง รูปทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน ไม่เที่ยง

    เพราะอรรถว่าสิ้นไป เป็นทุกข์เพราะอรรถว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัว เป็นอนัตตาเพราะอรรถว่าไม่มีแก่น

    สาร แล้วแล่นไปในนิพพานเป็นที่ดับรูปไว ชื่อว่าชวนปัญญา เพราะอรรถว่า ปัญญาเทียบเคียง

    พินิจ พิจารณา ทำให้เห็นแจ่มแจ้งว่าเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จักษุ ฯลฯ ชราและ

    มรณะ ทั้งที่เป็นอดีตอนาคตและปัจจุบัน ไม่เที่ยงเพราะอรรถว่าสิ้นไป เป็นทุกข์เพราะอรรถว่า

    เป็นสิ่งที่น่ากลัว เป็นอนัตตาเพราะอรรถว่าไม่มีแก่นสาร แล้วแล่นไปในนิพพานเป็นที่ดับชราและ

    มรณะไว ชื่อว่าชวนปัญญา เพราะอรรถว่า ปัญญาเทียบเคียง พินิจพิจารณา ทำให้แจ่มแจ้งว่า รูป

    ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน เป็นของไม่เที่ยงอันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยกันเกิดขึ้น มีความสิ้น

    ไป เสื่อมไป คลายไป ดับไปเป็นธรรมดาแล้วแล่นไปในนิพพานเป็นที่ดับรูปไว ชื่อว่าชวนปัญญา

    เพราะอรรถว่าปัญญาเทียบเคียง พินิจ พิจารณา ทำให้แจ่มแจ้งว่า เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

    จักษุ ฯลฯ ชราและมรณะ ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน เป็นของไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่ง

    อาศัยกันเกิดขึ้น มีความสิ้นไป เสื่อมไป คลายไป ดับไปเป็นธรรมดา แล้วแล่นไปในนิพพาน

    อันเป็นที่ดับชราและมรณะไว นี้เป็นชวนปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาแล่น

    ไป ฯ

    [๖๗๖] ติกขปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาคมกล้า เป็นไฉน ฯ
    ชื่อว่าติกขปัญญา เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า ทำลายกิเลสได้ไว ไม่รับรองไว้ ย่อมละ
    บรรเทา ทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มีต่อไป ซึ่งกามวิตกที่เกิดขึ้นแล้วไม่รับรองไว้ ฯลฯ ซึ่งพยาบาท

    วิตกที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่รับรองไว้ ฯลฯ ซึ่งวิหิงสาวิตกที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่รับรองไว้ ฯลฯ ซึ่งอกุศล

    ธรรมอันลามกที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่รับรองไว้ ฯลฯ ซึ่งราคะที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่รับรองไว้ ย่อมละ บรรเทา

    ทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มีต่อไป ซึ่งโทสะ ฯลฯ โมหะ โกธะ อุปนาหะ มักขะ ปฬาสะ

    อิสสา มัจฉริยะ มายา สาเถยยะ ถัมภะ สารัมภะ มานะ อติมานะ มทะ ปมาทะ กิเลสทั้งปวง ทุจริต

    ทั้งปวง อภิสังขารทั้งปวง ฯลฯกรรมอันเป็นเหตุให้ไปสู่ภพทั้งปวง ที่เกิดขึ้นแล้ว ชื่อว่าติกขปัญญา

    เพราะอรรถว่า ปัญญาเป็นเครื่องให้บุคคลได้บรรลุ ทำให้แจ้ง ถูกต้องอริยมรรค ๔ สามัญผล ๔

    ปฏิสัมภิทา ๔ อภิญญา ๖ ณ อาสนะเดียว นี้เป็นติกขปัญญา ในคำว่าย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้

    มีปัญญาคมกล้า ฯ

    [๖๗๗] นิพเพธิกปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาเครื่องทำลาย
    กิเลส เป็นไฉน ฯ

    บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มากไปด้วยความสะดุ้ง ความหวาดเสียวความเบื่อหน่าย
    ความระอา ความไม่พอใจ เบือนหน้าออก ไม่ยินดีในสังขารทั้งปวง ย่อมเบื่อหน่าย ทำลายกอง

    โลภะ กองโทสะ กองโมหะ ที่ไม่เคยทำลายย่อมเบื่อหน่าย ทำลายโกธะ ฯลฯ อุปนาหะ มักขะ

    ปฬาสะ อิสสามัจฉริยะ มายา สาเถยยะ ถัมภะ สารัมภะ มานะ อติมานะ มทะ ปมาทะ

    กิเลสทั้งปวง ทุจริตทั้งปวง อภิสังขารทั้งปวง ฯลฯ กรรมอันเป็นเหตุให้ไปสู่ภพทั้งปวง ที่ไม่เคย

    เบื่อหน่าย ไม่เคยทำลายด้วยปัญญา เพราะเหตุนั้น ปัญญานั้นๆ จึงชื่อว่านิพเพธิกปัญญา นี้

    เป็นนิพเพธิกปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาเครื่องทำลายกิเลส ปัญญา ๑๖

    ประการนี้ ฯ

    [๖๗๘] บุคคลผู้ประกอบด้วยปัญญา ๑๖ ประการนี้ เป็นผู้บรรลุปฏิสัมภิทา บุคคลผู้
    บรรลุปฏิสัมภิทามี ๒ คือ ผู้หนึ่งถึงพร้อมด้วยความเพียรมาก่อนผู้หนึ่งไม่ถึงพร้อมด้วยความเพียรมา

    ก่อน ผู้ถึงพร้อมด้วยความเพียรมาก่อน เป็นผู้ประเสริฐ ยิ่ง วิเศษกว่าผู้ไม่ถึงพร้อมด้วยความเพียร

    มาก่อน และมีญาณแตกฉานบุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทามี ๒ ดังนี้ บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยความเพียร

    มาก่อนก็มี ๒คือ ผู้หนึ่งเป็นพหูสูต ผู้หนึ่งไม่เป็นพหูสูต ผู้เป็นพหูสูตเป็นผู้ประเสริฐ ยิ่ง วิเศษ

    กว่าผู้ไม่เป็นพหูสูต และมีญาณแตกฉาน บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทามี ๒ ดังนี้ บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทา

    ผู้ถึงพร้อมด้วยความเพียรมาก่อนมี ๒ แม้ผู้เป็นพหูสูตก็มี ๒ คือ ผู้หนึ่งมากด้วยเทศนา ผู้หนึ่งไม่

    มากด้วยเทศนา ผู้มากด้วยเทศนา เป็นผู้ประเสริฐ ยิ่ง วิเศษกว่าผู้ไม่มากด้วยเทศนา และมีญาณ

    แตกฉาน บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทามี ๒ ดังนี้ บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทาผู้ถึงพร้อมด้วยความเพียร

    มาก่อนมี ๒ ผู้เป็นพหูสูตมี ๒ และผู้มากด้วยเทศนาก็มี ๒ คือ ผู้หนึ่งอาศัยครู ผู้หนึ่งไม่อาศัยครู

    ผู้อาศัยครูเป็นผู้ประเสริฐ ยิ่งวิเศษกว่าผู้ไม่อาศัยครู และมีญาณแตกฉาน บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทา

    มี ๒ ดังนี้บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ผู้ถึงพร้อมด้วยความเพียรมาก่อนมี ๒ ผู้เป็นพหูสูตมี ๒ ผู้

    มากด้วยเทศนามี ๒ และผู้อาศัยครูก็มี ๒ คือ ผู้หนึ่งมีวิหารธรรมมากผู้หนึ่งไม่มีวิหารธรรมมาก

    ผู้มีวิหารธรรมมากเป็นผู้ประเสริฐ ยิ่ง วิเศษกว่าผู้ไม่มีวิหารธรรมมาก และมีญาณแตกฉาน บุคคล

    ผู้บรรลุปฏิสัมภิทามี ๒ ดังนี้ บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ผู้ถึงพร้อมด้วยความเพียรมาก่อนมี ๒ ผู้เป็น

    พหูสูตมี ๒ ผู้มากด้วยเทศนามี ๒ ผู้อาศัยครูมี ๒ และผู้มีวิหารธรรมมากก็มี ๒ คือ ผู้หนึ่งมีความ

    พิจารณามาก ผู้หนึ่งไม่มีความพิจารณามาก ผู้มีความพิจารณามากเป็นผู้ประเสริฐ ยิ่ง วิเศษกว่าผู้ไม่มี

    ความพิจารณามาก และมีญาณแตกฉาน บุคคลบรรลุปฏิสัมภิทามี ๒ ดังนี้ บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทา

    ผู้ถึงพร้อมด้วยความเพียรมาก่อนมี ๒ ผู้เป็นพหูสูตมี ๒ ผู้มากด้วยเทศนามี ๒ ผู้อาศัยครูมี ๒

    ผู้มีวิหารธรรมมากมี ๒ และผู้มีความพิจารณามากก็มี ๒ คือ ผู้หนึ่งเป็นพระเสขะบรรลุปฏิสัมภิทา

    ผู้หนึ่งเป็นพระอเสขะบรรลุปฏิสัมภิทา ผู้เป็นพระอเสขะบรรลุปฏิสัมภิทา ผู้เป็นพระอเสขะบรรลุ

    ปฏิสัมภิทาเป็นผู้ประเสริฐ ยิ่ง วิเศษกว่าผู้เป็นพระเสขะบรรลุปฏิสัมภิทา และมีญาณแตกฉาน

    บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทามี ๒ดังนี้ บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ผู้ถึงพร้อมด้วยความเพียรมาก่อนมี ๒

    ผู้เป็นพหูสูตมี ๒ ผู้มากด้วยเทศนามี ๒ ผู้อาศัยครูมี ๒ ผู้มีวิหารธรรมมากมี ๒ ผู้มีความพิจารณา

    มากมี ๒ และผู้เป็นพระอเสขะบรรลุปฏิสัมภิทาก็มี ๒ คือ ผู้หนึ่งบรรลุถึงสาวกบารมี ผู้หนึ่งไม่

    บรรลุถึงสาวกบารมี ผู้บรรลุถึงสาวกบารมีเป็นผู้ประเสริฐ ยิ่ง วิเศษกว่าผู้ไม่บรรลุถึงสาวกบารมี

    และมีญาณแตกฉาน บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทามี ๒ ดังนี้ บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ผู้ถึงพร้อมด้วย

    ความเพียรมาก่อนมี ๒ ผู้เป็นพหูสูตมี ๒ ผู้มากด้วยเทศนามี ๒ ผู้อาศัยครูมี ๒ ผู้มีวิหารธรรม

    มากมี ๒ ผู้มีความพิจารณามากมี ๒ และผู้เป็นพระอเสขะบรรลุปฏิสัมภิทาก็มี ๒ คือ ผู้หนึ่งบรรลุ

    ถึงสาวกบารมี ผู้หนึ่งเป็นพระปัจเจกสัมพุทธเจ้าผู้เป็นพระปัจเจกสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ประเสริฐ ยิ่ง

    วิเศษกว่าผู้บรรลุถึงสาวกบารมีและมีญาณแตกฉาน เมื่อเทียบกับพระปัจเจกพุทธเจ้า และโลก พร้อม

    ทั้งเทวโลก ดังนี้ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นผู้เลิศ ทรงบรรลุปฏิสัมภิทา ทรงเป็น

    ผู้ฉลาดในประเภทแห่งปัญญา มีพระญาณแตกฉาน ทรงได้ปฏิสัมภิทา ทรงบรรลุถึงเวสารัชชญาณ

    ทรงพละ ๑๐ ทรงเป็นบุรุษองอาจ ทรงเป็นบุรุษสีหะ ฯลฯ บรรดากษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดี

    สมณะ ผู้เป็นบัณฑิต มีปัญญาละเอียด แต่งวาทะโต้ตอบ มีปัญญาเปรียบด้วยนายขมังธนูผู้สามารถ

    ยิงขนทราย เที่ยวทำลายปัญญาและทิฐิด้วยปัญญา บัณฑิตเหล่านั้นแต่งปัญหาแล้วพากันเข้ามาหา

    พระตถาคต ถามปัญหาทั้งลี้ลับและเปิดเผย ปัญหาเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคตรัสบอกและทรง

    แก้แล้ว มีเหตุที่ทรงแสดงไขให้เห็นชัด ปรากฏแก่พระผู้มีพระภาค ความจริง พระผู้มีพระภาคย่อม

    ทรงรุ่งเรืองยิ่งด้วยพระปัญญา เพราะทรงแก้ปัญหาเหล่านั้น เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงเป็น

    ผู้เลิศ ทรงบรรลุปฏิสัมภิทา ฉะนี้แล ฯ

    จบมหาปัญญากถา
     

แชร์หน้านี้

Loading...