มีบาปยังไงก็ต้องลงนรกเหรอครับ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย อินเดียหน้าโจร, 22 มีนาคม 2005.

  1. อินเดียหน้าโจร

    อินเดียหน้าโจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    226
    ค่าพลัง:
    +259
    อืม...คือว่าผมไปอ่านกระทู้เปิดนรกแล้วรู้สึกเหมือน
    กับว่าถ้าเรามีบาปเนี่ย นิดๆหน่อยๆไงก็ต้องไปใช้
    กรรมในนรกเหรอครับ หมายความว่าต่อให้ได้ขึ้น
    สวรรค์ถ้ายังมีบาปอยู่ก็ต้องไปใช้กรรมในนรกต่ออยู่
    ดี( ซึ่งผมคิดว่ามนุษย์ทุกคนมันก็ต้องมีผิดพลาดไป
    บ้างเป็นธรรมดา )มีวิธีไหนบ้างไม๊ที่เราไม่ต้องไปใช้
    กรรมในนรกแต่มาใช้ที่โลกแทนเพราะคงจะเบากว่า
    น๊ะผมว่า(b-wow)
     
  2. อินเดียหน้าโจร

    อินเดียหน้าโจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    226
    ค่าพลัง:
    +259
    -ตกไปครับหรือไม่ต้องลงไปเลยยิ่งดี แล้วบาปที่
    ทำเนี่ยบรรเทาได้ไม๊ครับ


    -แล้วถ้าทำอาชีพที่เหมือนๆจะบาปแต่ไม่ผิดศีลเนี่ย
    บาปป่าวครับ

     
  3. กระสือข้างส้วม

    กระสือข้างส้วม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2005
    โพสต์:
    1,212
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +392
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลเป็นทายาทรับผลกรรมที่ตนได้ทำไว้แล้ว ข้อนี้เป็นกฎธรรมดาข้อมาติกา คือแม่บท ไม่มีผิดเหมือนอย่างที่คำโบรารณว่า " กำปั้นทุบดิน " แต่ยังมีกฎประกอบอีกหลายข้อเหมือนอย่างดินที่ทุบนั้น ยังมีปัญหาต่อไปอีกหลายข้อว่า ดินที่ตรงไหน เป็นต้น



    เมื่อกล่าวว่าดินแล้วก็คลุมไปทั้งโลก คำว่ากรรมก็ฉันนั้นคลุมไปทั้งหมดเพราะคนทุกคนทำกรรมต่าง ๆ ซับซ้อนกันมากมายเหลือเกิน กรรมอันไหนจะให้ผลเมื่อไร จึงมีกฎแบ่งกรรมออกไปอีก สรุปลงว่า กรรมหนักหรือกรรมที่ทำบ่อย ๆ ให้ผลก่อนกรรมที่เบากว่า หรือที่ทำไม่บ่อยนัก คนเรานั้นทำมาทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว จึงมีสุขบ้างทุกบ้างสลับกันไป ผู้ที่มีสุขมากก็เพราะกรรมหนัก หรือกรรมที่ทำบ่อย ๆ ฝ่ายดีกำลังให้ผล ผู้ที่มีทุกข์มากก็ตรงกันข้าม


    ' และในปัจจุบันนี้ใครก็ตามมีความไม่ประมาท ประกอบกรรมที่ดีอย่างหนักหรือบ่อย ๆ กรรมดังกล่าวนี้จะสนองผลให้ก่อน กรรมชั่วในอดีตหากได้ทำไว้ ถ้าเบากว่าก็ไม่มีโอกาสให้ผล ฉะนั้น ผู้ที่ทำกรรมดีมากอยู่เสมอ ๆ จึงไม่ต้องกลัวกรรมชั่วในอดีต หากจะมีกุศลของตัวจะชูช่วยให้มีความสุขความเจริญสืบไป และถ้าแผ่เมตตาจิตอยู่เนือง ๆ ก็จะระงับคู่เวรในอดีตได้อีกด้วย ระงับได้ตลอดถึงปัจจุบัน


    ทั้งเมื่อได้ดำเนินในมรรคมีองค์ 8 ของพระพุทธเจ้าเพื่อความสิ้นทุกข์ ก็จะดำเนินเข้าสู่ทางที่พ้นจากกรรมเวรทั้งสิ้น พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า " ตัณหาเป็นกรรม สมุทัยคือเหตุให้เกิดกรรม มรรคเป็นทางดับกรรม ฉะนั้น จึงไม่ต้องกลัวอดีต แต่ให้ระวังปัจจุบันกรรม และระวังใจ ตั้งใจให้มั่นไว้ในธรรม ธรรมก็จะรักษาให้มีความสวัสดีทุกกาลทุกสถาน "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2005
  4. koymoo

    koymoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    2,067
    ค่าพลัง:
    +7,066
    ก้อยว่าไม่หรอกค่ะ บาปนิดๆหน่อยๆที่เราทำโดยไม่ตั้งใจก็ไม่บาปหรอก ไม่ต้องตกนรก ก้อยก็เคยคิดอย่างคุณล่ะ แต่ถ้าเราทำบุญมากกว่าบาปมากๆ บุญนั้นก็พาเราไปสวรรค์ได้ แต่ถ้าเราเคยฆ่าคน อกตัญญู แบบทำบาปที่หนักมากๆอย่างนี้ ก้อยว่าทำบุญยังไงก็ต้องไปใช้กรรมในนรกอยู่ดีค่ะ
     
  5. Catwater

    Catwater เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2005
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +142
    อืมมม ก็ไม่เสมอไปหรอกนะ ปกติแล้วจะรับบาปรับกรรมอะไรแถวๆนี้แหล่ะ แบบว่าทำเวรทำกรรมอะไรไว้กับใครก็จะโดนไอ่คนนั้นเอาคืนในชาติต่อๆไปเงี้ยอะนะ

    แต่ถ้าเวรกรรมมันเยอะมาก รับเอาบนโลกไม่ไหว อะไรประมาณนี้แหล่ะถึงจะต้องลงนรกอ่ะ พวกมนุษย์นี่ไม่รู้เรื่องบาปเรื่องกรรม ดังนั้นถ้าทำเวรทำกรรมมากๆจนตัวเองรับไม่ไหวก็จะส่งไปลงนรกให้เงี้ย แต่พวกเทพนี่ไม่เคยลงนรก ดังนั้นเวลาทำเวรทำกรรมอะไรก็ต้องคิดให้ดีคำนวณให้ดีก่อนว่าเวรนี้ไม่ส่งผลกระทบอะไรกับตัวเองมากนักจึงจะทำเงี้ยอ่ะ ถ้าคำนวณไม่ดีก็ซวยเต็มๆ [Embarrass

    ฆ่าคนน่ะ ไม่ตกนรกหรอกนะ ขนาดผู้ต่อต้านพระคริสต์ ( ที่มีสัญลักษณ์ 666 ) ที่สั่งตรึงกางเขนพระเยซูยังไม่ตกนรกเลย นั่นขนาดฆ่าลูกของพระเจ้านะนั่น ยังไม่ตกนรกเลย ฆ่าคนนี่ไม่ได้บาปอะไรมากมายนักหนาขนาดต้องตกนรกหรอก จริงๆแล้วการที่ทั้งสองคนนี่ตามฆ่ากันอยู่นั้นเป็นเพราะว่าพระศรีอารีย์ไปปล่อยให้เค้าฆ่าในชาติก่อนๆ ซึ่งหากว่าเราปล่อยให้เค้าฆ่า เค้าก็จะตามมาฆ่าเราต่อไปอีกเรื่อยๆอีกเป็นร้อยชาติพันชาติ เนื่องจากว่าถ้าเราปล่อยให้เค้าฆ่า เราเสือกเอาชีวิตของเราไปให้เค้าฆ่า เค้าก็จะคิดว่าชีวิตของเราเป็นของเค้า พอเค้าคิดว่าชีวิตของเราเป็นของเค้า เค้าจะทำยังไงกับชีวิตเราก็ได้ ดังนั้นถ้าเราทำอะไรที่ขัดแย้งกับเค้านิดๆหน่อยๆแล้วเค้าก็จะไม่รู้สึกว่าเค้าจะต้องทนขัดแย้งกับเรา ทางออกอีกทางหนึ่งที่จะกำจัดความรำคาญที่มีต่อเราได้นั้นก็คือฆ่าเราซะ และเมื่อเค้าคิดว่าอยากจะกำจัดเราให้พ้นๆไปและเค้าก็คิดว่าชีวิตของเราเป็นของเค้าด้วยแล้ว เค้าก็จะตัดสินใจฆ่าเราเลยทันที ซึ่งบาปนี้จะแก้ได้โดยจะต้องไม่มีเรื่องขัดแย้งอะไรกับเค้าเลยซักนิด ต้องไม่ทำให้เค้ารู้สึกรำคาญเราเลย ( ซึ่งคงไม่มีใครทำได้อ่ะนะ ถึงแฟนกันจะรักกันขนาดไหนก็ยังเบื่อๆกันบางเวลา ) ดังนั้นบาปนี้ก็จะแก้ไม่ได้ ดังนั้นยังไงยังไงเค้าก็ฆ่าเราอยู่ดี
    แต่ถ้าบาปลดกำลังลงบ้างแล้ว เค้าจะมีอารมณ์ที่จะทนเรามากขึ้นอีกนิดหน่อย ดังนั้นความน่าจะเป็นที่เค้าจะตัดสินใจฆ่าเราก็จะน้อยลงเรื่อยๆเมื่อเค้าฆ่าเราไปแล้วเรื่อยๆ จนไม่รู้กี่ร้อยชาติพันชาติบาปนี้ถึงจะหมดอ่ะนะ:'(

    ยูดาศิษย์ทรยศของพระเยซูก็เหมือนกัน คนนี้เป็นเนื้อคู่ของเมียพระศรีอารีย์ ก่อนที่พระศรีอารีย์จะเลือกคนนี้มาเป็นเมีย คนนี้ก็มีเนื้อคู่อยู่ก่อนแล้วแล้วพระศรีอารีย์ไปแย่งมา แย่งมาแบบเฉยๆเลยด้วย พอพระศรีอารีย์ลงมาเกิดคนนี้เลยตามมาทรยศเรื่อยๆไปทุกชาติ จนเมียพระศรีอารีย์มาเกิดด้วยไอ่คนนี้มันก็จะตามมาเอาเมียมันคืนอยู่ แต่ถ้าไม่ได้แย่งมาเฉยๆ แต่ว่าทำคุณความดีอะไรให้ด้วย มันก็จะไม่รู้สึกว่าโดนขโมย แต่จะรู้สึกว่าโดนซื้อไปแทน ซึ่งถ้าเราซื้อไปแทนที่จะขโมย บาปนี้ก็จะไม่เกิด ( แต่เนื่องด้วยว่าพระศรีอารีย์อยู่บนสวรรค์ การที่มนุษย์จะขึ้นไปทรยศหักหลังเทพถึงบนสวรรค์นั้นทำไม่ได้ พระศรีอารีย์จึงไม่สนใจที่จะซื้อเมียเค้ามา ก็เลยขโมยมาดื้อๆเลย )
    [bw-cry]
     
  6. Catwater

    Catwater เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2005
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +142
    แต่การที่พระเยซูยอมโดนตรึงกางเขนเพื่อล้างบาปให้แก่มนุษย์นั้นก็มีผลพวงโง่ๆที่ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าบาปดีรึป่าวอยู่ด้วยอ่ะนะ นั่นคือพระเยซูที่อ้างตัวว่าเป็นบุตรของพระเจ้าและได้แสดงอิทธิปาฎิหารย์มากมายต่อหน้าลูกศิษย์ทั้ง 12 ของตนเอง แน่นอนว่าลูกศิษย์ทั้ง 12 ของพระเยซูจะต้องแน่ใจและเชื่อใจเต็มที่ 100 เปอร์เซ็นต์แน่ๆว่าบุคคลผู้นี้คือพระบุตรของพระเจ้า และได้ไว้ใจเชื่อใจติดตามพระเยซูเพื่อว่าอนาคตข้างหน้าจะได้เป็นใหญ่เป็นโต ( พระบุตรของพระเจ้ามายังโลก ใครๆก็ต้องคิดว่าบุคคลผู้นี้แหล่ะ ที่จะเป็นจอมกษัตริย์เหนือจอมกษัตริย์ใดๆทั้งหมดทั้งปวง ดังนั้นบรรดาเหล่าลูกศิษย์ลูกหาของพระเยซูก็จึงจะยอมติดตามเผยแพร่ศาสนากับพระเยซูอย่างแน่นอน )

    แต่แล้ววันหนึ่ง พระเยซูผู้ทรงอภินิหาร ผู้ที่เหล่าลูกศิษย์คิดกันว่าคนๆนี้จะต้องเป็นจอมกษัตริย์ กลับถูกตัดสินให้ตรึงกางเขนเพราะการกดดันของเหล่าปวงชนชาวยิวทั้งหลาย และในขณะที่พระเยซูจะถูกตรึงกางเขนนั้น ก็ไม่ได้มีปาฏิหารย์ใดๆมาช่วยเหลือให้พระเยซูรอดชีวิตเลย พระเยซูถูกทรมานและถูกฆ่าตายบนกางเขนนั้นเหมือนๆกับนักโทษธรรมดาๆทั่วไป ผลจากเหตุการณ์ในครั้งนี้เนื่องจากว่าเหล่าบรรดาศิษย์ทั้ง 12 ของพระเยซูได้เห็นด้วยตาตัวเองว่าพระเยซูคือพระบุตรของพระเจ้า ได้เห็นปาฏิหารย์ต่างๆด้วยตาของตัวเอง และก็ได้เห็นด้วยตาของตัวเองอีกเหมือนกันในตอนที่พระเยซูถูกสั่งให้ตรึงกางเขนโดยมติของปวงชนชาวยิว ดังนั้นจึงจะเกิดข้อสรุปที่หนักแน่นลึกซึ้ง ฝังแน่นเข้าไปในทุกๆอณูในจิตใจของบรรดาศิษย์ของพระเยซูว่า " พลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ไม่อาจเอาชนะมติของคนหมู่มากได้ " และข้อสรุปนี้จะฝังลากลึกเข้าไปในใจอย่างลึกซึ้งที่สุดเนื่องจากเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับชีวิต ดังนั้นเหล่าบรรดาศิษย์ของพระเยซูทั้งหลายจึงจะเป็น weak man ที่ทนรับแรงกดดันจากคนหมู่มากไม่ได้ เพราะมันจะรู้สึกว่าเดี๋ยวตาย ถ้าขัดใจคนหมู่มากเดี๋ยวจะตาย ขนาดพระบุตรของพระเจ้ายังสู้ไม่ได้เลย แล้วเราล่ะ ถ้าเราขัดเสียงคนส่วนใหญ่เดี๋ยวตายเหมือนพระเยซู ประมาณนั้น(rose)

    แล้วเสียงส่วนใหญ่ มติมหาชนน่ะ มันได้เรื่องซะที่ไหน ใครๆก็คิดแต่เรื่องตัวเองทั้งนั้น ใครๆก็คิดแต่ประโยชน์สูงสุดของตัวเองโดยไม่คิดถึงผลเสียต่อคนอื่น ดังนั้นมติมหาชนจึงจะออกมาในแนว " ประโยชน์สูงสุดของคนหมู่มาก โดยไม่สนใจว่าคนส่วนน้อยจะตายหรือไม่ " เสมอ ถ้าเราจีบหญิงคนหนึ่ง แล้วหญิงคนนั้นเป็นคนสวยระดับดาวคณะ แน่นอนมติคนส่วนใหญ่มันจะต้องออกมาในแนว " ขวางมัน ทำยังไงก็ได้ให้มันแห้ว แล้วพวกเราค่อยเอามาแย่งกันต่อ หรือเอามาแบ่งกันต่อ " เพราะนั่นคือแนวทางที่อยู่ในลักษณะ " ประโยชน์สูงสุดของคนหมู่มาก โดยไม่สนใจว่าคนส่วนน้อยจะตายหรือไม่ " และถ้าหญิงคนนั้นเป็น weak woman ที่ไม่สามารถขัดขืนมติมหาชนได้ ก็จะต้องคิดในแนว ปล่อยให้พวกเพื่อนๆพี่ๆมาแย่งไป แล้วให้ไอ่คนที่มาจีบนั่นมาแข่ง แล้วก็ยอมหยวนๆกะพวกเพื่อนๆแก มันจะแย่งมันจะเอากำไรหาเศษหาเลยอะไรก็ปล่อยมัน ถ้าอยากแย่งก็ได้ไม่ขัด ถ้าแย่งได้ก็เอาไป ไอ่ผู้ชายที่มาจีบถ้ามันจีบไม่ติดก็เพราะมันกระจอก ซึ่งเป็นความคิดที่อยู่ในแนวที่จะตามเสียงส่วนมากแล้วโยนความผิดไปให้คนส่วนน้อย แกจะคิดว่า ถ้าเพื่อนๆพี่ๆมาแย่ง แสดงว่าเพื่อนๆพี่ๆเหี้ย ที่มาแย่งตัวเอง เห็นๆกันอยู่ว่าคนนี้มาจีบแล้วยังมีหน้ามาแย่งอีก คิดแบบนี้ไม่ได้ เพราะนั่นคือการคิดแบบตามเสียงส่วนน้อย แล้วโทษว่าคนส่วนมากผิด

    ยิ่งไอ่คนที่อยู่ด้วยตอนพระเยซูถูกตรึงกางเขนนี่ยิ่งเป็นหนักกว่าใครเพื่อน ถ้าเราทำธุรกิจอะไรขึ้นมาซักอย่างหนึ่ง คิดว่ามติของมหาชน ( ลูกน้อง ) ในองค์กรของเราจะอยู่แนวไหน แน่นอนว่าจะอยู่ในแนว " โกงให้มากที่สุด โกงให้เนียนที่สุด โดยที่ไม่ให้เราจับได้ " อย่างแน่นอน เพราะนั่นคือความคิดที่อยู่ในแนว " ประโยชน์สูงสุดของคนหมู่มาก โดยไม่สนใจว่าคนส่วนน้อยจะตายหรือไม่ " ดังนั้นแน่นนอนเลย ถ้าเราตั้งบริษัท ตั้งหน่วยงานอะไรขึ้นมา เราจะโดนลูกน้องจ้องจะโกงจ้องจะอู้งานอย่างแน่นอน แล้วเราจะต้องควบคุมมัน ให้มันโกงไม่ได้ทั้งๆที่มันจ้องจะโกง แต่ถ้าเราไปเป็น weak man ที่ไม่สามารถขัดมติมหาชนได้ เราก็จะคิดในแนวที่ว่า ปล่อยมันโกงไปเถอะ มันโกงก็เรื่องธรรมดาของมัน เป็นเรื่องปกติแล้วที่มันจะโกง แล้วก็ไปลดรายจ่ายในบ้านตัวเองเป็นการแก้ปัญหา เราจะไปคิดว่าถ้ามันโกงก็เอามันออก มันโกงไม่ได้ โกงแล้วเสียหาย คิดแบบนี้ไม่ได้ เพราะว่ามันขัดกับมติของคนส่วนมาก แกจะรู้สึกกลัวว่าถ้าแกไม่ตามเสียงคนส่วนใหญ่แล้วแกจะตายเหมือนกับพระเยซูผู้ทรงอิทธิฤทธิ์ยิ่งใหญ่ แต่ก็ยังไม่อาจจะเอาชนะมติของคนหมู่มากได้ แล้วก็ถูกฆ่าตายไปในที่สุด และก็จะรู้สึกสบายใจรู้สึกปลอดภัย ที่ได้ทำตามความเห็นของคนส่วนใหญ่ ทั้งๆที่มันอาจจะเกิดผลเสีย เสียประโยชน์ เกิดผลร้ายแก่ตัวเองและคนอื่น แต่ก็ยังจะคิดว่ายังจะต้องตามความเห็นของคนส่วนมากอยู่ จะคิดขัดขืนยังไงไม่ได้อยู่ดี :[
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มีนาคม 2005
  7. อินเดียหน้าโจร

    อินเดียหน้าโจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    226
    ค่าพลัง:
    +259
    -โอ้...ขอบคุณทุกท่านมากครับ สบายใจขึ้นแยอะเลย(b-smile)
     
  8. lotte

    lotte เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    726
    ค่าพลัง:
    +4,545
    จะทำบาปอะไรก็ตามถ้าไม่ได้ทำอนันตริยกรรมห้าอย่าง มีสิทธิขึ้นสวรรค์ได้หมดถ้าให้พญายมราชเป็นพยานในการทำบุญถึงฆ่าคนมาก็ไม่ดิ่งตกนรกทันทีแต่ได้พิจารณาคดีก่อน แล้วเผอิญคนๆนั้นเขาได้อนุโมทนาบุญกับพระอรหันต์เกินสิบองค์ขึ้นก็รอดครับ หรือคนๆนั้นเสียภาษีมีเจตนาช่วยชาติบุญที่เขาจะได้ก็ได้ดังนี้ มหาจุฬา 24 ที่ หนังสือธรรมะเข้ามหาจุฬาและโรงเรียนพระปริยัติธรรม โรงเรียน20000 ที่ มหาลัย ราชภัฎ ราชมงคล ฯลฯรวมแล้วหนังสือธรรมะเป็นเกือบห้าแสนเล่ม อันนี้ยังไม่รวมกับหนังสือธรรมะที่พิมพแจกประชาชนมาเป็นเวลาสามปีเป็นจำนวน3แสนกว่าเล่ม ซึ่งนับว่าบุญใหญ่มาก ทั้งให้เงินเดือนเจ้าอาวาสอีก ปีละแปดร้อยล้าน ซึ่งใครที่เสียภาษีก็ได้บุญทั้งหมดนี้ละครับ ถ้าใครแสดงความยินดี(อนุโมทนา)ก็ได้บุญ90% ครับ บุญมากกว่าบาปไม่ตกนรกเสมอยกเว้นทำอนันตริยกรรมครับ
     
  9. Catwater

    Catwater เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2005
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +142
    เออ นะ บาปกับบุญมันแยกกันอยู่นะ จะลงนรกรึไม่ลงนรกมันก็ขึ้นกับบาปอ่ะนะ ไม่ต้องเอาบุญมาคิดด้วยเลย คิดว่าจะเอาบุญมาหักล้างแล้วก็ไม่ต้องลงนรกน่ะ ลืมๆไปได้เลย

    พระศรีอารีย์ ตอนลงไปชาติที่ 6 มั้ง ก็สร้างเวรสร้างกรรมอะไรเอาไว้ แบบว่าเกิดแล้วตายเกิดแล้วตายตั้ง 5 รอบเงี้ย พระศรีอารีย์ก็เบื่อแย่ ยิ่งพอช่วยโลกเสร็จแล้วก็ว่างงานไม่มีอะไรทำ ก็อยู่ไปวันๆรอเวลาตายเงี้ย ยิ่งเบื่อเข้าไปใหญ่เลยอ่ะ พอมาชาติที่ 6 พอช่วยโลกเสร็จแล้วพระเจ้าก็เหนื่อยมากที่ต้องใช้พลังไปมาก ก็ปล่อยให้พระศรีอารีย์อยู่เอง พระเจ้าก็ถามว่า " อยู่ได้นะ " พระศรีอารีย์ก็บอกว่า " อยู่ได้ " พระเจ้าก็เลยไปพักแล้วก็ปล่อยให้พระศรีอารีย์อยู่เองคนเดียว ( เหมือนกับตอนชาติที่ 8 ที่ลงไปเป็นผู้ปลดปล่อย ตอนนั้นพอพระเจ้าช่วยเสร็จก็ตัดหางปล่อยวัดทันที ทำให้โมเสสเมื่อช่วยชาวยิวเสร็จแล้วกลับขึ้นไปหาพระเจ้าบนเขาอะไรนั่นจำชื่อไม่ได้ แต่พระเจ้าก็ไม่ตอบรับ ไม่พูดด้วยไม่เจรจาอะไรทั้งนั้น โมเสสจึงต้องไปให้ญาติซึ่งเป็นช่างแกะสลักไปสลักหินทำบัญญัติ 10 ประการขึ้นมา ทำให้แผ่นหินบัญญัติ 10 ประการจึงไม่ได้ถูกสร้างขึ้นจากมือของพระเจ้า แล้วก็ทำทีว่าไปเอามาจากภูเขาอะไรนั่น ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลให้โมเสสต้องขึ้นเขาไปถึง 40 วัน 40 คืน เพื่อไปแกะบัญญัติ 10 ประการขึ้นมา )

    ตอนชาติที่ 6 พอช่วยเสร็จพระเจ้าก็หยุดพัก พระศรีอารีย์ก็นอนเล่นไปวันๆ ซึ่งแถวๆนั้นมีคนที่มีสัญลักษณ์ 6 สามตัว ( 666 ) อยู่ด้วย ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจและปนกับโหดร้ายนิดๆ แต่พระศรีอารีย์ดูแล้วก็นึกว่า " อืมมม... โอ้โฮ มันจะโหดขนาดนี้เลยนี่หว่า แต่แค่นี้ยังฆ่ากูไม่ได้ " วันหนึ่ง พระศรีอารีย์ก็ไปมีเรื่องกับนาย 666 นี่ เรื่องจะบูชาเทพอะไรกันเนี่ยแหล่ะ แกก็ยืนยันว่าผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือเทพสายฟ้าอะไรพวกนั้นของแก พระศรีอารีย์ที่อยู่ในองค์ประชุมด้วยก็ดันไปเถียง
    พระศรีอารีย์ก็บอกว่า " ไม่ใช่นะ เทพผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคือพระเจ้า "
    เจ้านั่นก็โมโหอ่ะดิ ก็ต่อว่า " แล้วเจ้ารู้ได้ไงว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ที่สุด "
    พระศรีอารีย์ก็ตอบว่า " ก็เรานี่แหล่ะ เป็นพระบุตรของพระเจ้า "
    แน่นอน นาย 666 นั่นก็จะต้องตอบตามบทว่า " เจ้าเนี่ยนะ ลูกของพระเจ้า " แล้วก็ฆ่าพระศรีอารีย์เลยทันที ตอนนั้นพระศรีอารีย์ก็นึกในใจ เออ ดี กำลังเบื่อๆอยู่พอดี ก็เลยปล่อยให้ฆ่าหน้าตาเฉย

    พอกลับไปบนสวรรค์ไปอยู่หน้าพระเจ้า พระเจ้าก็งง แอ๊ะ มันกลับมาไปยังไงวะ มันยังไม่หมดอายุขัยนี่หว่า ก็เลยตรวจดูก็รู้ว่าเรื่องเป็นอย่างนี้
    พระเจ้าก็เลยต่อว่า " เจ้าไปบอกว่าเจ้าเป็นลูกเราได้ยังไง มันมีความจำเป็นอะไรยังไง ทำไมเจ้าต้องบอกเค้าว่าเจ้าคือลูกเรา " " แล้วทำไมเจ้าไปปล่อยให้เค้าฆ่า ทำไมเจ้าไม่สู้ "
    พระศรีอารีย์ก็ตอบว่า " อ้าว เราเป็นเทพ เขาเป็นมนุษย์ เราเป็นผู้มีอำนาจเหนือกว่าเขา เขาต้องตามเราไม่ใช่เหรอ "
    พระเจ้าก็ตอบว่า " ใช่ เราเป็นเทพ เป็นผู้มีอำนาจเหนือกว่า เค้าต้องตามเรา ถูกแล้ว " " แต่ที่ๆเรามีอำนาจ คือบนนี้เท่านั้น ข้างล่างนั่นเค้าเป็นผู้มีอำนาจ เจ้าจะต้องตามเค้า "
    พระศรีอารีย์ก็ตอบ อ้าวเหรอ ก็ไม่รู้นิ

    แล้วพระเจ้าก็ถามว่า " แล้วทำไมเจ้าถึงปล่อยให้เค้าฆ่า ไหนเจ้าลองว่าเหตุผลของเจ้ามาซิ "
    พระศรีอารีย์ก็ตอบว่า " ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย เราปล่อยให้เขาฆ่า แป๊บเดียวเราก็มาอยู่นี่แล้ว "
    ตอนนั้นพระเจ้าก็ด่าเลย " ไอ้เจ้าลูกโง่ " " ถ้าเจ้าปล่อยให้เขาฆ่า เค้าก็จะตามไปฆ่าเจ้า ไปอีกร้อยชาติพันชาติ "
    พระศรีอารีย์ก็ตกใจ " หา จริงด้วย โห แย่ละ ทำยังไงดีล่ะ "
    พระเจ้าก็ตอบ " ทำยังไง เจ้าก็ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น เจ้าก็ลงนรกไปเลยป่ะ "
    แล้วก็แก้กายทิพย์ให้ใช้พลังไม่ได้ แล้วก็รับความรู้สึกเจ็บปวดร้อนหนาวได้ แล้วก็ส่งไปทัวร์นรกสามวันสองคืน นับจากนั้นมาก็จึงบังเกิด " ผู้ต่อต้านพระคริสต์ " ผู้ที่มีสัญลักษณ์ 666 คอยตามไล่ฆ่าพระศรีอารีย์ทุกชาติทุกชาติไป

    ซึ่งการที่พระศรีอารีย์ตกนรกนี้ ไม่ใช่ว่าบาปที่ทำกับคนเพียงคนเดียวนั้น มากมายมหาศาลกว่าบุญกุศลที่ได้ช่วยโลกไว้ถึง 6 ครั้งเลย บาปกับบุญนั้นต่างกันคนละโยชน์เทียบกันไม่ได้เลย แต่ที่ต้องลงนรกนั้นเพราะว่าบาปนี้แรงมาก เป็นบาปที่ถ้ามีติดอยู่กับตัวจะถูกฆ่าอย่างแน่นอนแก้ไขอะไรไม่ได้ จึงต้องลดกำลังของบาปลง เพื่อให้สามารถที่จะรอดชีวิตจากการตามฆ่าได้อ่ะนะ

    การที่จะตกนรกหรือไม่ตกนั้น ไม่เกี่ยวกับว่าบาปหรือบุญมีมากกว่ากัน แต่ขึ้นกับว่าความรุนแรงของบาปนั้นมีมากขนาดไหนอ่ะ คือถ้าบุญมากจริง ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตดีหมดเลย แต่มีเรื่องที่เลวร้ายอย่างสุดๆอยู่เพียงเรื่องเดียวเท่านั้น นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ชีวิตเราเหมือนกับตกอยู่ในนรกทั้งเป็นได้ ดังนั้นอย่าคิดว่าถ้าบุญเยอะๆแล้วมันจะดี ถ้ามีบุญเยอะแต่บาปก็เยอะด้วย ก็จงเตรียมตัววิ่งหนีความบาปไปทั้งชีวิต โดยที่ไม่มีเวลาจะคิดเสวยบุญที่มีได้เลยละกัน
    (b-green)
     
  10. Kamen rider

    Kamen rider เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    3,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,998
    .แมวน้ำ........

    [​IMG]
     
  11. PalmPlamnaraks

    PalmPlamnaraks เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2005
    โพสต์:
    764
    ค่าพลัง:
    +5,790
    รีบเร่งทำกุศลเข้าครับ เปรียบเหมือนเอาเกลือละลายน้ำ ความชั่วคือเกลือ ความดีเป็นน้ำ เราเอาน้ำมาละลายเกลือ น้ำมากเกลือก็ไม่เค็ม แต่เกลือไม่ได้หายไปไหน แต่ถ้าน้ำน้อยลงหรือหมดไปเมื่อไหร่เกลือจะกลับมาเค็มได้ดังเดิม รีบทำบุญกุศลให้มากหนีวิบากชั่ว รีบๆขี่บุญหนีไปเรื่อยๆทำต่อยอดไปเรื่อยๆ ทำดีทุกกาลทุกเมื่อ เมื่อกรรมชั่วไล่ให้วิบากไม่ได้สักที นานเข้าก็หมดระยะการให้ผลกลายเป็นอโหสิกรรมหรือกรรมหยุดให้ผลไป แต่ต้องไม่ใช่พวกครุกรรมนะครับหรืออนันตริยกรรม เพราะกรรมเหล่านี้ถ้าล่วงไปแล้วทำดีมากเท่าใด ก็ดึงขึ้นยากวิบากลงนรกอย่างเดียว
    หรือไม่ก็รีบละกิเลสออกให้หมดซะ จะได้ไม่ต้องมาทุกข์อีกเลย ไม่ต้องมาสร้างกรรมดีกรรมชั่วอีก ไม่ต้องมาร้อนรนหมองไหม้เพราะกิเลสอีก เป็นสุขที่สงบแท้จริงไม่ปรุงแต่งต่อไป
     

แชร์หน้านี้

Loading...