ย้อนรอยกรรมกับหลวงปู่โง่น โสรโย ตอน ประวัติส่วนตัวหลวงปู่โง่นโสรโย

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 14 มีนาคม 2016.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    ย้อนรอยกรรมกับหลวงปู่โง่น โสรโย ตอน ประวัติส่วนตัวหลวงปู่โง่นโสรโย
    [​IMG]
    “ตามรอยกรรมนำเที่ยวโลกวิญญาณ

    กัมมุนา วัตตะตี โลโก (สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม)”

    อันเวรกรรมที่กระทำเอาไว้จะให้ผลแน่นอน จึงขอย้อนกล่าวไปถึงบุพกรรมของผู้เขียนเพื่อเรียนเจริญพรให้ท่านผู้อ่านเรื่องย้อนรอยถอยหลังอีกนาน อันประวัติการณ์ย้อนรอยกรรมที่ไปเกี่ยวกับพระประวัติของพระนางสุพรรณกัลยา ที่กล่าวมา ซึ่งท่านผู้อ่านได้ทราบเรื่องมาแล้วนั้น อันเรื่องพื้นเพเดิมของมารดาโยมแม่ของผู้เขียนเอง มีภูมิลำเนาอยู่แถบรัฐฉานไทยใหญ่ ได้ถูกกวาดต้อนมาอยู่เขตเมืองโยนก เชียงใหม่ และแม่มาเกิดที่จังหวัดลำพูน แถวบ้านปาง อำเภอป่าซาง ส่วนตระกูลของโยมบิดาเป็นคนอยุธยา มีอาชีพรับจ้าง เป็นหัวหน้าล่องแพไม้สักให้กับบริษัทบางกอกด๊อก แล้วไปมีความสัมพันธ์ความรักกันแล้วแต่งงาน เมื่อตั้งท้องได้สามเดือนคุณโยมมารดาเข้าวัดจำศีลอุโบสถอยู่วัดบ้านปาง

    เมื่อท้องแก่ได้เก้าเดือนคุณพ่อก็ขึ้นไปรับ ล่องแพมาตามลำน้ำแม่ปิงใช้เวลาร่วมเดือนจึงมาถึงปากน้ำโพ จอดแพไว้แบบเอาแพเป็นบ้าน ข้าพเจ้าผู้เขียนก็ได้เกิดลืมตาดูโลกในกลางสายน้ำนี้เอง ดังนั้นชีวิตเบื้องต้นของผู้เขียนจึงไม่มีบ้านเลขที่เกิด คือเกิดในแม่คือแม่น้ำและแม่จริงเป็นคนแปลกที่เกิดขึ้นมาจากสองแม่ ระหว่างแม่ปิงกับแม่น้ำน่านรวมกัน และเวลาเกิดก็เกิดโดยอุบัติเหตุคือแม่ไม่รู้ตัวว่าลูกจะออก เพราะอุ้มท้องมาได้ 11 เดือนกว่า เมื่อปวดท้องปัสสาวะแม่ก็ถ่ายปัสสาวะบนร่องแพนั่นเอง เจ้าลูกอยู่ในท้องคือผู้เขียนเองก็หลุดออกไป ตกลงในน้ำ ขณะนั้นสุนัขชื่อเจ้าเก่งเพื่อนรักของพ่อเองก็กระโจนลงไปคาบขาเอาไว้ พาว่ายน้ำขึ้นมาออกเสียงว่า อุแว๊ อุแว๊ โยมพ่อกระโดดลงไปช่วยเอาไว้ ถ้าไม่มีสุนัขชื่อเจ้าเก่งแล้ว ผู้เขียนคงจะมรณัง มรณาเป็นเยื่อปลาไปแล้ว แม่จึงสั่งไว้ว่า ให้รักหมาเลี้ยงหมา เพราะเขาเป็นผู้มีบุญคุณแก่เราเอง แม่ก็ตั้งชื่อให้ว่า เจ้าเก่ง ชื่อเดียวกับหมา ตกลงว่าหมากับฉันมีชื่อเดียวกัน

    เมื่ออายุได้สิบกว่าปีท่าน Dermonsh (เดียร์มองเซ) ผู้มีหุ้นใหญ่ในบริษัท และใหญ่ในทางการเมืองในด้านเอเซียตะวันออกทั้งหมด ขอไปเป็นบุตรบุญธรรม แล้วนับถือศาสนาคริสต์จนเติบใหญ่อายุได้ 25 ปี

    เมื่อกลับเมืองไทย แม่ก็ขอร้องให้ถือศาสนาพุทธ ก็รู้สึกฝืนความนึกคิดเพราะติดพระคริสต์เสียแล้ว แต่นี่แม่ขอ ขอให้ไปศึกษาทางศาสนาพุทธ จึงขึ้นไปทางเหนือถิ่นเดิมของแม่ ก็รู้สึกว่าน่าศึกษาในความเป็นมาของตุ๊เจ้าองค์หนึ่งคือ ตุ๊เจ้าครูบาศรีวิชัย เพราะในชีวิตของท่าน มีแต่การต่อสู้ ท่านสู้เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา วัฒนธรรม สังคม แต่ท่านก็มีแต่เรื่องถูกจับกุมคุมตัวมาสอบสวนที่กรุงเทพถึง 5 ครั้ง อันนี้เองทำให้เราน่าเลื่อมใสเพราะปฏิปทาของท่านองค์นี้จะเป็นที่ยอมรับของคำสอนทางฝ่ายคริสต์ เพราะพระคริสต์ท่านสอนว่า พระผู้เป็นเจ้า ท่านเกิดมาเพื่อประโยชน์สุขของชาวโลก ผู้ได้เสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อความอยู่รอดของสังคมของมวลมนุษยชาติ เป็นชีวิตที่มีค่า จึงตัดสินใจบวช

    ปีแรกในฝ่ายมหานิกายอยู่กับตุ๊เจ้าครูบาศรีวิชัย ได้รับโอวาทจากท่านว่า ชีวิตที่มีค่าแก่สังคม เราต้องฆ่าตัวเอง คือฆ่าความเห็นแก่ตัว ฆ่ากิเลส ต่อไปคุณจะเป็นคนร่ำรวย มั่งมีศรีสุข แต่คุณอย่าติดมัน ทรัพย์สมบัติคือ ตัวทุกข์ ยศคือตัวผี ผีร้าย ผีหลอก สังคมเขาหลอกใหัติดมัน สรรเสริญคือตัวมาร สุขอันเป็นโลกียะคือตัวหลุมเลนในส้วม พระอริยเจ้าท่านเบื่อหน่ายเหม็นเน่าเจ้าจงจำไว้เน้อ แต่อย่าลืมเรื่องเวรกรรมที่ทำไว้มันจะเป็นเงาตามตัว ตามสนองผล

    เมื่อปี พ.ศ. 2481 ข้าพเจ้าได้ 1 พรรษา ตุ๊เจ้าครูบาศรีวิชัยก็มรณภาพไปสู่อนาคามี นี้ท่านกล่าวในขณะที่ท่านจะสิ้นใจว่า อนาคามีๆผู้ไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว

    ตัวข้าพเจ้าเองก็เร่ร่อนรอนแรมเป็นพระธุดงค์ทรงกลด พระธุดงค์ทรงรถยนต์บ้าง ทรงรถไฟบ้าง พระธุดงค์ทรงเรือไฟ ไปทุกแห่งจนถึงธิเบตและทั่วเมืองไทย อีกใจหนึ่งนึกอยากเป็นหมอสอนศาสนาเข้าหาคริสต์อีก จึงไปเจอหลวงพ่อครูบาวัง ที่วัดบรมนิวาส เห็นท่านสั่งสอนเข้าหลักธรรมชาติประยุกต์เข้ากับวิทยาศาสตร์ที่เราได้ศึกษามาก่อน พระเถระองค์นี้ มีพุทธัง สะระณัง คัจฉามิ จริงๆ ไม่เหมือนที่เราเห็นมามากต่อมากที่บอกแต่ปาก ส่วนจิตใจกลับไปเป็น พุทธัง เอาสะตังสะระณัง และเป็นพระที่มีตัวแฝงอยู่มากยากที่จะหาพระนักปฏิบัติสมัยนั้นเหมือนท่าน เรื่องลาภ ยศ สรรเสริญ สุข อันเป็นโลกียะ ท่านลดละแทบทั้งหมดมีแต่ความรู้ถึงภาวะจิตใจคนที่เรียกว่า มโนมยิทธิญาณ เพราะข้าพเจ้าเองชอบทดสอบ ทดลอง ท่านทายความรู้สึกนึกคิดว่าอะไรเป็นอะไร คิดอยู่ในใจ ท่านรู้หมด แล้วเรียกให้เข้าพบ ท่านจะแก้ไข แก้ความข้องใจ ในเรื่องเราคิดแบบธรรมชาติกับหลักวิทยาศาสตร์ ทั้งฟิสิกส์และเคมีมาอธิบายให้ฟังจนหายสงสัย อันพระสงฆ์ทั่วๆไปที่ได้พบมาจะไม่มีความรู้อย่างนั้น จึงติดตามท่านไป ท่านชวนให้ยัติเป็นธรรมยุตเมื่อ พ.ศ. 2485 ที่วัดศรีเทพ จังหวัดนครพนม แล้วขึ้นเขารังกา เพราะเห็นว่าปฏิปทาของพระอาจารย์วังใกล้ชิดกับตุ๊เจ้าครูบาศรีวิชัย เพราะนิสัยท่านไม่ต้องการลาภ ยศ สรรเสริญ และสุขทางโลกียะวิสัย ไม่เหมือนพระสงฆ์ไทยบางท่านที่เราเห็นมา

    ต่อมาภายหลัง เมื่อปี พ.ศ.2489 ข้าพเจ้าไปธุดงค์ทางภาคเหนืออีกหลายแห่งในเขตเมืองโยนก เชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน แล้วมาปักกลดอยู่ที่วัดพระบาทตากผ้า ในคืนวันหนึ่งได้ฝันนิมิตไปเห็นตุ๊เจ้าครูบาศรีวิชัย ท่านมาให้โอวาทว่า ชีวิตที่ไม่มีอุปสรรค ไม่มีเรื่อง เป็นชีวิตที่ไม่มีบทเรียน ชีวิตที่ไม่เคยผ่านกับความทุกข์ เป็นชีวิตที่โง่

    เราอยากจะให้คุณไปแสวงหาต้นกรรมของคุณที่เมืองอยุธยาโน่น จะได้รู้ได้สู้กับกรรมเวรที่คุณทำมาแต่อดีตชาติ จึงขึ้นรถไฟจากลำพูนถึงอยุธยา ลงจากรถไฟแล้วเดินต่อเข้าเมืองเก่าที่มีแต่วัดวาอาราม เวียงวังเก่าๆที่ชำรุดทรุดโทรมเพราะถูกเผาทำลายมาหลายครั้งจากน้ำมืออันโหดร้ายของข้าศึกในสมัยก่อน

    เราพักนอน ทำความเพียรทางจิตอยู่ที่นั่น 7 วัน ซึ่งแต่ละวันเมื่อจิตฝันไปก็เห็นแต่พวกมนุษย์มีเวรมีภัย รบราฆ่าฟันกันไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น อีกสองวันต่อมาจึงเดินธุดงค์ข้ามทุ่งนาไปปักกลดอยู่ที่ภูเขาทอง ในคืนแรกนั้นเองฝันไปว่า ตัวเองไม่ได้เป็นพระภิกษุแต่เป็นนักรบเคยสู้รบกับข้าศึกมาครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วที่สุดก็แพ้เขา แล้วเราก็ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยอยู่ต่างแดนทางทิศตะวันตก แล้วมองเห็นภาพชัดเจนว่าเราไปไหน เขาทำทารุณกรรมอย่างไรกับเราและกับคณะของเรา ว่าได้รับความทุกข์ ความทรมาน อย่างแสนสาหัสสากันอย่างไร ขณะนั้นได้ยินเสียงก้องเข้ามาในโสตประสาทว่า ท่านต้องรีบไป ไปตามรอยกรรม ไม่ไปไม่ได้จะไม่มีใครแก้ไขในภาวะวิกฤตอย่างนี้

    จึงรีบไปเมืองพะโคคือเมืองหงสาวดีโน้น เพราะถ้าไม่ไป ผู้เป็นมิ่งขวัญ ดวงตา ดวงใจ ของคนไทย จะมาไม่ได้ และมีท่านองค์เดียวเท่านั้นที่จะช่วยให้คนไทยให้พ้นภัย

    เมื่อตื่นเช้าขึ้นมา หลังจากฉันภัตตาหารแล้วก็ออกเดินทางเมื่อวันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2490 ขึ้น 12 ค่ำ เดือนห้า ปีกุล ซึ่งมีเครื่องบริขารของพระธุดงค์ ทั้งสะพาย แบก หิ้วพะรุงพะรัง เดินรอบประทักษิณพระเจดีย์ภูเขาทอง แล้วก็ออกเดินทางมุ่งสู่เมืองวิเศษชัยชาญ ศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี ล่องใต้สู่เขาพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี เราไปพักค้างคืนอยู่วิเวกที่นั้น เราพักปักกลดอยู่ระหว่างเจดีย์สามองค์ ซึ่งนับว่าเป็นสถานที่ท้องถิ่นดินแดนที่มีการรบราฆ่าฟันกันมากที่สุดในพื้นแผ่นดินสยาม เพราะในนิมิต ฝันไปเห็นผู้คนล้มตายเกลื่อนกลาด ตลอดสัตว์คือช้าง ม้า ก็ล้มตายกันน่าสยดสยองยิ่งนัก หากนักประวัติศาสตร์และนักธรณีวิทยาพากันมาขุดค้นหากันจริงๆก็คงจะเจอกองกระดูกของคนและสัตว์มากที่สุด และจะมากกว่าทุกๆแห่งในพื้นแผ่นดินสยามไทย แต่ในนิมิตจิตใจของเราเองก็ยังอยากจะเดินทางไปให้ถึงที่สุด

    รุ่งขึ้นวันหลังก็เดินธุดงค์ต่อแบบ เอกะจาริโก (เดินคนเดียว) ใช้เวลา 3 วัน ถึงถ้ำมะเกลือ เมืองปิล๊อก ซึ่งเคยมาก่อนแล้ว พักค้างคืนได้สองวันแล้วออกเดินทางต่อ ผ่านอำเภอไทรโยค เข้าเมืองสังขละบุรี ใช้เวลาเดินทางจากเขาพนมทวนถึงด่านเจดีย์สามองค์ใช้เวลา 7 วันแล้วพักเอาแรงอยู่ที่นั่น 7 วัน เพราะเราไปแบบไม่รีบร้อน ไปตายเอาดาบหน้า โดยไม่มีจุดหมายปลายทาง แต่ที่ฝันเอาไว้ว่าจะต้องไปเมืองพม่าให้ได้ตามนิมิตฝัน

    นี่แหละท่านผู้อ่าน อันคนที่ชอบเชื่อความฝัน สักวันหนึ่งจะเจอเรื่องดี แถมจะเอาชีวีไม่รอด ดังจะกล่าวต่อไป คือ ได้ตั้งปัญหาถามตัวเองว่า มันเรื่องอะไรที่ต้องเข้าไปเมืองพม่าอันเป็นเมืองไร้ค่า ล้าหลัง ไร้อิสระภาพ ต้องตกเป็นเมืองขึ้นของมหาอำนาจตะวันตกเป็นร้อยๆปีเพราะความระยำอัปรีย์ของมันที่มาเข่นฆ่าทารุณคนอื่นแล้วเผาผลาญเมืองอโยธยาซึ่งแต่ก่อนรุ่งเรืองมั่งคั่งดังเมืองฟ้าเมืองสวรรค์ มันมาเผาผลาญให้เหลือแต่ซาก เราผ่านอุทยานเมื่อไรมันดลใจให้น้ำตาไหลทุกทีเพราะความแค้น แค้นที่มันมาเข่นฆ่าราวีพี่น้องไทยให้เหลือแต่กระดูกฝังไว้ใต้พื้นพสุธา

    ที่ผ่านมาในชีวิต เราได้ไปอยู่ไปรู้ไปเห็นเมืองที่เขาเจริญรุ่งเรืองมาแล้วทุกมุมโลก คือยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เราไปเห็นมาแล้วและอยู่มาแล้ว แห่งละหลายปี นี้มันเมืองพม่าเมืองล้าหลัง เพราะคงเป็นเวรกรรมของมันแท้ๆที่ยกทัพมารังแกคนไทยละลอกแล้วละลอกอีก นี้เราจะไปทำไม ไปแล้วจะได้อะไรมา แต่เราจะไปเพราะฝัน (ก็ฝันบ้าละซิ) ฝันไปหาเหตุ ดีไม่ดีตายเอากลางทาง จึงมาคิดได้ว่า...

    นานเหลือเกินเดินทางกลางความทุกข์ ทั้งล้มลุกคลุกคลานซมซานขวัญ
    ใจรอนๆอ่อนล้ามานิรันดร์ เหลือแต่ฝันพอแฝง เลี้ยงแรงใจ

    จึงตกลงว่า เอ๊า ไปก็ไปเป็นไรเป็นกัน ก็ความฝันมันจะให้ไป ไปใช้กรรมใช้เวรที่ตัวเองก่อไว้แต่ปางก่อน มันคงย้อนกลับมา เวรานุเวร มันหนีไม่พ้นต้องตามสนองไม่เร็วก็ช้า นับว่าเป็นเรื่องที่แน่นอนที่สุด เท่าที่ฝันไปเห็นเรื่องว่า ในอดีตชาติเราเคยเป็นนักรบผู้มีฝีมือและเป็นนายช่าง เป็นหมอผี หมอยา หมอเทวดา สารพัด ยอดตลบตะแลง เมื่อแพ้สงครามสมัยพระเจ้ามหินทราธิราชครองเมืองอโยธยา เมื่อเขากวาดต้อนไป ทั้งพระประยูรญาติ เจ้าเหนือหัวคือ พระมหินทราธิราช ก็สิ้นพระชนม์ชีพที่เมืองอังวะ เราได้เป็นพิธีกรเผาพระศพท่าน แล้วก็เอาอัฐิไปฝังไว้ที่พระธาตุ เจ้าบุเรงนองจึงแต่งตั้งให้พระมหาธรรมราชาซึ่งเดิมเป็นเพียงมหาอุปราชเท่านั้นขึ้นครองราชแทน

    เจ้าหม่องกวาดต้อนเอาไป และเขาจัดเราไปอยู่ใกล้ชิดกับหน่อกษัตริย์ทั้งสามพระองค์ที่ยังทรงเป็นทารก เขายกให้ดูแลรักษาเวลาท่านเจ็บไข้ได้ป่วยและรับภาระทุกอย่างในสิ่งที่ท่านต้องการ เขาจึงได้แต่งตั้งให้ข้าพเจ้าเป็น (ขุนอนุรักษ์ศักดิ์เสนา) มีหน้าที่ดูแลรักษาทุกๆคนที่เป็นเชลย แล้วชาตินี้ก็ต้องไปใช้กรรมนำเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่ตกค้างอยู่ในเมืองพะโคคือเมืองหงสาวดีมาให้หมด

    และเรื่องที่จะถูกจับกุมตัวในสมณะเพศที่ผ่านมาก็เพราะเราเป็นตัวการวางแผนให้เจ้าบุเรงนอง ผู้เป็นบิดากับเจ้ามังไชยสิงหะราช (นันทบุเรง) ทะเลาะกัน ถึงกับสั่งลูกน้องเข่นฆ่ากันตายเป็นใบไม้ร่วง นึกว่าเพื่อแก้ลำมัน จนถึงกับมันต้องเปลี่ยนแผ่นดินกัน เพราะเราวางแผนแท้ๆ แล้วกรรมนั้นก็มาสนองให้เราต้องถูกจองจำเพราะโทษทัณฑ์ทางการเมืองในชาตินี้เมื่อปี 2490 อย่างแสนสาหัสแทบจะเอาตัวไม่รอด แต่ถ้าทวยเทพเทวาไม่มาเข้าฝันให้หันเข้าหาตัวแฝง เราก็คงแย่ แพ้เขาไปเลยหรืออาจจะถูกเก็บเงียบไปเลย ใครจะรู้
    ที่มา http://palungjit.org/threads/ขอเชิญร่วมบุญฉลองพระพุทธรูปรับวัตถุมงคล.561939/
     

แชร์หน้านี้

Loading...