เรื่องเด่น รวมหลวงพ่อตอบปัญหา/จากคำบอกเล่า

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย Wannachai001, 21 กรกฎาคม 2012.

  1. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    61
    ค่าพลัง:
    +225,340
    11.jpg 12.jpg


    พระพุทธรูป, หลวงปู่ปาน, หลวงพ่อ ที่ประดิษฐานในพระวิหารพระพุทธมหามงคลบพิตร (วิหารน้ำน้อย)


    ข้อคิดจากธรรมะ

    "ทีนี้การฝึกถ้าจะให้ดีนะญาติโยมนะ ทำให้เป็นเวลา เฉพาะเวลาที่
    ว่างจริงๆนะ คือเวลานอน ถ้าศีรษะถึงหมอนก็ตั้งใจกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้านึกว่า พุท หายใจออกนึกว่า โธ

    อันดับแรกให้นึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพระธรรม นึกถึงพระอริย
    สงฆ์ด้วยความเคารพ หลังจากนั้นก็ภาวนา สมมุติว่าภาวนาว่าพุทโธ หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ นับเป็นหนึ่ง หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ นับเป็นสอง ก็รวมความว่าทำอย่างนี้ 10 ครั้ง เราจะภาวนาอย่างนี้ แล้วรู้ลมหายใจเข้าออก 10 คู่ เป็น 10 ครั้งด้วยกัน ก่อนจะหลับต้องทำให้ได้ทุกวัน 10 ครั้ง

    ถ้าเวลาตื่นขึ้นมาใหม่ๆ ยังไม่ต้องลุกจากที่ เพราะสมาธิก่อนหลับ
    ยังทรงตัว ภาวนาพุทโธอย่างนี้ 10 ครั้งแล้วก็เลิกไป เพียงเท่านี้บรรดาท่านพุทธบริษัทถ้าทำทุกคืนนะ จิตจะมีสมาธิแค่ไหนไม่ต้องห่วง ไม่มีความจำเป็น เพียงแค่นี้เวลาก่อนที่ท่านจะตาย สมาธิทั้งหมดที่ทำได้ดีบ้างไม่ดีบ้าง รวมตัวบ้างไม่รวมตัวบ้าง สมาธิจะรวมตัวกันทั้งหมดเวลาใกล้จะตาย"

    "คนเราถ้าตายถ้าจะไปนรก ทุกขเวทนาจะไม่คลายตัว มันจะร้อน
    จะกลุ้มจะปวดจัดจนตาย ดิ้นไปดิ้นมาตาย

    ถ้าคนถ้าจะไปสวรรค์ขึ้นไป เวลาป่วยหนักๆจากเครียดๆ มันจะมีอาการมาก พอใกล้จะตายสัก 10-20 นาทีอาการจะคลายตัว จะมีอารมณ์สงบ จิตจะเยือกเย็น แล้วคนประเภทนี้ถ้าตายแล้วมีอาการยิ้ม เพราะก่อนตายเห็นภาพเทวดา เห็นภาพพรหมมารับ

    แต่ของฉันไม่เห็นนะ เห็นแต่ภาพพระ แต่ว่าพระสวยมาก ท่านยิ้มแย้มแจ่มใส จิตก็สดชื่น"


    (จากธัมมวิโมกข์ กุมภาพันธ์ 2555 หน้า 66)


    สุกรมัทวะคืออะไร

    "พระพุทธเจ้าท่านฉันเนื้อ"

    ฉันทุกอย่าง

    "ตามมีตามเกิด"

    ก็ตามมีตามเกิดซิ

    "แล้วอาหารมื้อสุดท้ายชื่อสุกรมัทวะคืออะไรกันแน่ เห็นคนยังถกเถียงกันอยู่"

    ก็ไอ้คนมันอยากเถียง เขาบอกว่าหมูก็หมูหมดเรื่อง เสือกอวดโง่ไปเอง ก็ดันเถียงกันอยู่นั่นแหละ ถ้าอยากจะรู้จริงๆก็ทำทิพจักขุญาณให้ได้ให้เกิดขึ้น ทำปุพเพนิวาสานุสสติญาณให้เกิดขึ้น ทำอตีตังสญาณ อนาคตังสญาณให้เกิดขึ้น ก็หมดเรื่อง ไม่ใช่ไปนั่งเถียงกัน เถียงกันไปเมื่อไหร่จะจบ ไอ้คนถ้าไม่เคยมาวัดท่าซุง แล้วก็เถียงกันอยู่ที่บ้าน มันจะรู้หรือว่าวัดท่าซุงมีรูปร่างลักษณะเป็นยังไง ใช่ไหม...

    "เขาว่าเป็นเห็ด"

    เปล่า...ใครจะเถียงกันก็เถียงกันไป ฉันเนื้อสุกรธรรมดา ไม่ใช่เห็ดเหิดอะไรหรอก ฉันเคยอ่านหนังสือแล้ว ไอ้พวกนี้บ้าไม่จบ ของเขามีให้พิสูจน์ในพระพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ใน "อุทุมพริกสูตร"

    ถ้าหากว่า...เอางี้ง่ายๆ เราฝึกทิพจักขุญาณให้เกิดขึ้น มันก็จะได้จุตูปปาตญาณ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ อตีตังสญาณ อนาคตังสญาณ ได้ตัวนี้ตัวเดียวมันก็ได้หมด

    เมื่อฝึกตัวนี้ให้เกิดขึ้น เราก็ไปดูที่พระพุทธเจ้าท่านฉันวันนั้นน่ะมันเห็ดหรือว่ามันหมูแท้ ใช่ไหม..นี่ ที่เราไม่รู้ว่าหมูแท้ คุณดันไปแก้กันเอง ดันเถียงกันเองเขาว่าหมูแท้กันมานานแล้ว เพิ่งจะมามีปัจจุบันนี่แหละ เมื่อไม่กี่ปีนี่ ดันเถียงกันได้ ก็ที่เนื้อสุกรอ่อนที่ไม่เหมาะแก่พระทั้งหลายในกาลนั้น ก็เพราะว่าเทวดาเอาของทิพย์โปรยลงมา ไอ้ของทิพย์นี่ไฟธาตุของพระอื่นย่อยไม่ได้ ย่อยได้แต่พระพุทธเจ้า อาหารสองวาระมันมีค่าเท่ากัน อย่างอาหารวันที่จะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณของนางสุชาดา กับอาหารวันนิพพานที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า

    "อานันทะ ดูก่อนอานนท์ ต่อไปภายหลังเมื่อตถาคตนิพพานไปแล้ว คนจะจ้วงจาบกล่าววาจาบริภาษนายจุลณฑ์ หาว่าถวายอาหารแก่ตถาคต แล้วตถาคตตาย จงบอกเขา บอกว่าอาหารสองวาระนี่มีอานิสงส์เท่ากัน มีอานิสงส์เลิศคือ

    ประการที่หนึ่ง อาหารก่อนที่จะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ คืออาหารอันนั้นเป็นเหตุให้บรรลุพระโพธิญาณ และ

    ประการที่สองอาหารวันที่จะนิพพาน เป็นอาหารที่มีอานิสงส์เลิศ ประเสริฐที่สุด อานิสงส์มาก

    แต่ว่าเมื่อท่านบอกว่านายจุลณฑ์เอาอาหารผสมเนื้อสุกรอ่อนมาถวายตถาคตแต่ผู้เดียว ทั้งนี้เพราะว่าอาหารชุดนี้เขาทำดีเป็นพิเศษ แต่เทวดาเอาของทิพย์โปรยลงมาด้วย ถ้าพระอื่นฉันตายหมด เ มื่อฉันเสร็จท่านก็สั่งฝัง ห้ามคนอื่นกินต่อไปอีก

    แต่ว่าก็ดีเหมือนกันนะ ถ้าพระฉันกับข้าวนายจุณฑ์ไปแล้ว ก็เป็นโรคขันธิกาพาธ ถ่ายเป็นเลือดสดๆ ไอ้ร่างกายมันจะพังซะอย่าง ก็หมดเรื่องกันไป

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 159 พฤษภาคม 2537 หน้า 20-21)



    ภาวนาไม่รู้สึกลมหายใจ

    ผู้ถาม : หนูเจริญภาวนาจนจิตเป็นสุข ไม่รู้สึกว่ากำลังหายใจอยู่ เมื่อนั้นลูกก็จะควานหาลมจนพบ ลูกจะทำอย่างไรจึงไม่ต้องควานหาลมอีกเจ้าคะ ?

    หลวงพ่อ : ก็ไม่ต้องควานหา ลมละเอียดจนไม่รู้สึกว่าหายใจ เวลานั้นจิตเป็น
    ฌาน 4 เขาไม่ต้องไปควานหาหรอก มันมาเองจิตมันแยกออกจนไม่รู้สึกลมหายใจเข้าออก

    ทีหลังไม่ต้องควานหานะ แต่ความจริงลมไม่ได้หายไป เราเข้าใจผิด เพราะการเจริญสมาธินี่เมื่อถึงญานที่ 1 จิตจะแยกห่างจากประสาทมานิดหนึ่ง เพราะตามธรรมดา ถ้าเราต้องการความสงัด จิตจะไม่รำคาญในเสียง พอถึงฌานที่ 1 หูจะไม่รำคาญในเสียง

    พอมาถึงฌานที่ 2 ก็ห่างไปอีกหน่อย ฌานที่ 3 ก็ห่างไปอีกหน่อย พอถึงฌาน 4 จิตกับประสาทตัดกันเด็ดขาดไม่รับทราบ คือร่างกายหายใจเป็นปกติแต่ว่าเราไม่รู้ว่าจิตกับประสาทตัดกันออกไป ทีหลังไม่ต้องควานหานะ



    จับภาพพระไม่จับลม

    ผู้ถาม : เวลาเราทำกรรมฐานเราจับแต่ภาพพระไม่จับลมหายใจ อย่างนี้จิตจะเข้าถึงฌานได้ไหมครับ ?

    หลวงพ่อ : คงไม่ได้ ขอยืนยันว่าไม่ได้แน่นอน

    ความจริงคนที่คล่องแล้วจริงๆ เขาเรียกว่า "ผู้ทรงฌาน" มันจับไปพร้อมกันทั้งรูปพระและลมหายใจเข้าออก พอจิตเข้าถึงฌานก็ตัดไปเลย ถ้าไม่ตัดลมหายใจเข้าออกนิวรณ์ก็กวน จิตเป็นสมาธิไม่ได้ จับแต่ภาพพระเฉยๆ จิตจะทรงตัวไม่ได้นาน

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 159 พฤษภาคม 2537 หน้า 52-53)


    ส้มมาสมาธิกับมิจฉาสมาธิ

    ผู้ถาม : กระผมมาจากราชบุรีครับ

    หลวงพ่อ : ออ ! เอาอะไรมาให้ล่ะ ?

    ผู้ถาม : เอาใจครับ..

    หลวงพ่อ : ดีเลยคุณ ! ควักมาชิ อยากได้มานานแล้ว ใจฉันนี่มันเหนื่อยเต็มที ว่าไงล่ะ ?

    ผู้ถาม : ขอนมัสการครับ กระผมขอทราบว่า สภาวะจิตสงบ จิตเป็นสมาธิ จิตเป็นภวังค์ จิตเป็นเอกัคคตารมณ์ มีสภาวะแตกต่างกันอย่างไรครับ ?

    หลวงพ่อ : ถามมา 4 ข้อ แต่ตอบได้ 2 ข้อ มันแตกต่างกันแค่จิตเป็นภวังค์อย่างเดียว นอกนั้นอย่างเดียวกัน จิตสงบ จิตเป็นสมาธิ จิตเป็นเอกัคคตารมณ์ก็คือ จิตเป็นสมาธิ


    สมาธิ ก็หมายความว่า จิตตั้งอยู่ในอารมณใดอารมณ์หนึ่ง อย่างโยมอยากจะไปขโมยควายเขา ตั้งใจว่าควายบ้านนี้กูขโมยแน่ นี่เป็นสมาธิคือตัวตั้งใจ อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งเขาเรียกว่า "สมาธิ"

    แต่ว่าสมาธิมันแบ่งออกเป็น 2 อย่าง คือ สัมมาสมาธิ กับ มิจฉาสมาธิ ตั้งใจขโมยควายเขา เป็น "มิจฉาสมาธิ" ถ้าตั้งใจสร้าง ความดี เป็น "สัมมาสมาธิ"

    ผู้ถาม : ตามที่กระผมอ่านในตำราเขาบอกว่า จิตขึ้นมารับอารมณ์ชั่วขณะจิต พอหมดไปแล้วบอกว่าจิตเป็นภวังค์ แต่ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ จึงขอเรียนถามหลวงพ่อว่า จิตเป็นภวังค์หมายความว่าอย่างไรครับ ?

    หลวงพ่อ : คำว่า "ภวังค์" นี่ก็คือ "อารมณ์ปกติ"

    ส่วนมากคนมักเข้าใจกันผิด พอจิตตกมีสภาพวูบดิ่ง จิตทรงตัว บอกว่าเป็นภวังค์ อย่างนี้ไม่ใช่นะ

    พูดง่ายๆ อารมณ์ธรรมดานี่แหละ อารมณ์ไม่ได้ความนี่เอง เอาเรื่องง่ายๆ ไม่ดีกว่ารึ พระพุทธเจ้าท่านสอนง่ายกว่านี้มีเยอะ ทำไมถึงชอบยากๆ กินหมูมีกระดูกมาก กินปลามีก้างมากมันจะดีรึ

    เอายังงี้ดีกว่า ทำยังไงที่จะไม่ให้จิตคบกับนิวรณ์ 5 ได้ มีประโยชน์มากกว่าตั้งเยอะ อย่างที่โยมว่ามาอีกหลายชาติก็ยังไม่ถึงนิพพาน ระวังมันจะมีมานะ ไปนั่งเถียงกัน แกไม่รู้จักขณะจิต พังเลย..เราแย่ !

    คนที่คิดน่ะแย่ มานะนี่หยาบมาก ยกยอดทิ้งไปเลย ไม่งั้นไม่มีทางไป ไอ้ที่ว่ามานะ ฉันอ่านมาแล้ว ฉันหมุนมาแล้วจึงเลิก โยมยังไม่เลิก เพราะว่าศัพท์ประเภทนี้มันเหมาะสำหรับคนสมัยนั้น คนสมัยนี้ไม่ควรจะใช้ศัพท์สมัยนั้นมาก เพราะว่าอุปนิสัยของคนไม่เท่าคนสมัยนั้น

    คำสอนแต่ละคำสอนแต่ละช่วงจะเหมาะสำหรับคนแต่ละสมัย คนที่สั่งสมอบรมมาดีแล้ว ถ้าเราไปพูดยาว แทนที่จะดีกลับทำให้รำคาญ เพราะคนพวกนี้ใกล้เต็มที ไอ้คนจะถึงประตู ไปอธิบายต้นทางมันก็รำคาญใช่ไหม ว่าไงโยม ! มีอะไรอีกไหม ?

    ผู้ถาม : ขออาราธนาหลวงพ่อเทศน์เรื่อยๆ ไปครับ

    หลวงพ่อ : ฉันก็เหนื่อยน่ะสิ เครื่องกัณฑ์มีรึยังล่ะ นิมนต์เทศน์ก็ต้องติดเครื่องกัณฑ์ ถ้าอธิบายไม่ต้องติด

    ผู้ถาม : (หัวเราะ) นิมนต์หลวงพ่ออธิบายต่อไปเรื่อยๆ ครับ

    หลวงพ่อ : เอายังงี้ดีกว่า คิดแต่เพียงว่าเราจะทำยังไงจึงจะวางภาระในขันธ์ 5 เสียได้ เอาตรงนี้แหละ นั่งดูว่าร่างกายเกิด แก่ เจ็บ ตาย ควรจะมีอีกไหม ถ้าเราต้องการมันอีก เกิดมากี่ชาติ เราก็มีสภาพแบบนี้ มีทุกข์แบบนี้ ทำยังไงจึงจะไม่มีทุกข์ ที่จะไม่มีทุกข์ได้ ก็คือ :-

    1. ตัดโลภะ ความโลภ โดยการให้ทานเจริญจาคานุสสติกรรมฐานเป็นอารมณ์

    2. ตัดโทสะ ความโกรธ ให้ทรงกสิณ 4 หรือพรหมวิหาร 4 หรือตัดมานะ ความถือตัวถือตน ว่าเราดีกว่าเขา เราเสมอเขา เราเลวกว่าเขา

    3. ตัดโมหะ ความหลง โดยการใช้ปัญญาพิจารณาและยอมรับนับถือตามความเป็นจริงคือว่าเกิดมาแล้วก็ต้องมีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย มันเป็นของธรรมดาก็เท่านี้แหละ ยากไหม ?


    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 207 เดือนมิถุนายน 2541 หน้า 85-86)


    ดวงชะตากับชีวิต

    ผู้ถาม : หนูอยากจะทราบว่าดวงชะตาหรือดวงเกิดมีความสำคัญอย่างไรกับชีวิตคนคะ ?

    หลวงพ่อ : ถ้าดวงเกิดก็มีความสำคัญ ดวงตายก็มีความสำคัญ ดวงตายนี่มีความสำคัญกับพระ พระมีโอกาสบังสกุล ใช่ไหม ก็ต้องถือว่าสำคัญซิ คือว่าชะตาชีวิตของคน วัน เดือน ปีเกิด มันน่าชัดว่าจะเป็นอะไร ความจริงนี้เป็นตำราของพราหมณ์แต่เขาถูกต้อง ไม่งั้นวิชาหมอดูก็ต้องเลิกไปจากโลกนานแล้ว

    ผู้ถาม : ทีนี้อยากจะเลือกเกิดแต่ที่ดีๆ จะทำยังไงคะ ?

    หลวงพ่อ : ได้ บ้านไหนพ่อบ้านชื่อดี แม่บ้านชื่อดี เราก็เกิดที่นั่น (หัวเราะ)

    ผู้ถาม : แล้วกรรมอะไรล่ะคะที่ทำให้มาเกิดเป็นเศรษฐีมาเกิดเป็นคนยากจน เป็นกรรมเก่าหรือเปล่าคะ ?

    หลวงพ่อ : ไม่ใช่กรรมเก่า เราอยากเป็นอย่างนั้น

    ผู้ถาม : ทุกคนก็อยากรวยทุกคนนี่คะ

    หลวงพ่อ : ไม่จริงหรอก คนอยากรวยทุกคนน่ะไม่จริง อย่างคนที่ทำมาหากินได้ แทนที่จะใช้กินตามปกติ ก็เอาเงินไปกินเหล้าเสียบ้าง เจ้าชู้เสียบ้าง ปวดเมื่อยมากๆบ้าง มันอยากจน ใช่ไหมล่ะ ถ้าอยากรวยมันต้องใช้ในขอบเขต

    ทีนี้การรวยหรือจนมันเป็นผลของทาน การให้ทานเป็นปัจจัยให้มีทรัพย์ แต่การให้ทานต้องดูว่า การให้ทานแบบไหนที่มีอานิสงส์มาก อย่างสังฆทาน เราถวายแล้วพระพุทธเจ้าทรงยืนยันเลยว่า คนที่ถวายสังฆทานด้วยศรัทธาแท้ แม้แต่ครั้งหนึ่งในชีวิต ถ้าไปเกิดใหม่ยังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด ขึ้นชื่อว่าความยากจนจะไม่มี

    ผู้ถาม : แล้วจะมีผลในชาติปัจจุบันไหมคะ ?

    หลวงพ่อ : มี ชาติปัจจุบันถ้ามันจะรวยนี่มันไม่ยาก เอาไหม ?

    ผู้ถาม : ทำยังไงคะ ?

    หลวงพ่อ : ได้มาแล้วไม่กินไม่ใช้ (หัวเราะ) รวยกันตาย ได้มา 10 บาท ก็เหลือ 10 บาท ได้มา 20 บาท ก็เหลือ 20 บาท ก็มีมากขึ้น ไม่กินไม่ใช้

    มันต้องถือทุนของอดีตด้วย จะไปถือผลของปัจจุบันอย่างเดียวไม่ได้ อดีตถ้ากรรมที่เป็นอกุศลส่วนใด เคยรักเคยขโมยเขามา เคยคดโกงเขามา มันก็ทำให้เรายากจน แต่ในชีวิตเดียวถ้ายังไม่ตาย ถ้ากรรมที่เป็นอกุศลมันถอยไป ผลทานที่เคยให้เข้ามาถึง เพราะชีวิตไม่แน่นอนนะ บางคนจนแสนจน แต่ไม่ช้าก็รวย บางคนเกิดมาอยู่ในฐานะลูกมหาเศรษฐี พ่อตาย แม่ตาย กลายเป็นมหาเศรษฐีไป ใช่ไหม ไม่มีกินไม่มีใช้

    ผู้ถาม : คนที่รวยมากแล้วกลับมาจนเพราะอะไรคะ ?

    หลวงพ่อ : นี่แหละ ขโมยเขามา กรรมนั้นมาถึง นั่นแหละดี เขามีความฉลาดขึ้น ถ้าเขารวยอย่างเดียว เขาก็โง่เรื่องความจน เขาต้องศึกษาให้ครบถ้วน

    (จากธัมมวิโมกข์ ปีที่ 6 ฉบับที่ 58 หน้า 47-48)


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กรกฎาคม 2021
  2. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    61
    ค่าพลัง:
    +225,340

    ตรุษจีน


    ต่อนี้ไปจะนำเอาอานิสงส์แห่งการทำตรุษจีนของบรรดาชาวจีนทั้งหลายมากล่าวไว้ให้บรรดาท่านพุทธบริษัทได้รับทราบ

    ชาวจีนแต่โบราณนั้นความจริงก็นับถือพระพุทธศาสนา คำว่าศาสนาหรือศาสดาใดๆนี้ ไม่ว่าประเทศใดทั้งหมดจะถือศาสนาเป็นอย่างเดียวกันทั้งหมดก็หาได้ไม่ ทั้งนี้ก็เพราะว่าย่อมเป็นที่ถูกใจของบุคคลบางประเภท บางท่านก็ชอบศาสดาองค์นี้ บางท่านก็ชอบศาสดาองค์นั้น

    ดูตัวอย่างในประเทศอินเดียเองก็มีศาสนาจริงๆ ก็เกือบร้อยศาสนา คำว่า ศาสนา แปลว่า คำสอน แสดงว่ามีคณาจารย์ผู้สอนเกือบร้อยลัทธิ ในประเทศจีนก็เช่นเดียวกัน ในสมัยเมื่อองค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาทรงอุบัติขึ้น และก็พระพุทธศาสนาได้แผ่ขยายเข้าไปในเขตประเทศจีน ความจริงประเพณีเดิมของเขาก็มีอยู่ แต่ว่าศาสนาขององค์สมเด็จพระบรมครูเข้าไปต่อเมื่อภายหลัง

    เราจะเห็นได้ว่าชาวจีนมักจะนิยมบูชารูปพระมหากัจจายนะ เขาถือว่าเป็นพระที่ประกอบด้วยลาภสักการะ มีความร่ำรวย และอีกประการหนึ่ง การทำวัตถุสิ่งของที่ปั้นขึ้นเป็นภาชนะมักจะมีรูปโป๊ยเซียน

    คำว่าเซียนนี่แปลว่าผู้วิเศษ โป๊ยแปลว่าแปด โป๊ยเซียนแปลว่ามีผู้วิเศษแปดท่าน ก็ได้แก่อรหันต์แปดทิศ ฉะนั้นในสมัยเมื่อองค์สมเด็จพระธรรมสามิสรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงมีชีวิตอยู่ เมื่อพระองค์ใดได้สดับพระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระบรมครูเป็นอรหันต์แล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ส่งไปประกาศพระศาสนาในทิศต่างๆ ในตอนต้นที่ยังมีพระน้อยอยู่ สมเด็จพระบรมครูก็ทรงแนะนำว่า

    "จงช่วยกันไปสอนคนละทิศคนละทาง แต่ทิศหนึ่งทางหนึ่งอย่าไปพร้อมกัน 2 องค์ให้แยกกันไป"

    ภายหลังเมื่อพระสาวกขององค์สมเด็จพระจอมไตรมีมาก ก็ย่อมไปอยู่ในแดนละหลายๆองค์ได้ อันแดนที่จะพึงทราบมาเท่าที่สังเกตได้ คือแดนทางเหนือของประเทศไทยตั้งแต่จังหวัดลำปาง ลำพูน เชียงใหม่ ได้ทราบว่าเป็นแดนของ พระมหาโมคคัลลาน์

    ถ้าเลยเชียงใหม่ไปในเขตเชียงรายถึงเชียงตุง อันนี้เป็นแดนของ พระมหากัสสปะ

    เข้าไปในเขตประเทศจีนเป็นแดนของ พระมหากัจจายนะ


    ฉะนั้นสัญลักษณ์แห่งการบูชาพระของชาวจีนจึงมีรูปของพระมหากัจจายนะมาก และที่ชาวจีนมีรูปโป๊ยเซียน คืออรหันต์ 8 ทิศ นั่นก็หมายความว่า

    สมัยที่องค์สมเด็จพระธรรมสามิสรประกาศเขตให้พระสงฆ์ทำสังฆกรรม เวลานี้เขาเรียกกันว่า อุโบสถ คำว่า อุโบสถ หรือที่ทำสังฆกรรม ก็หมายถึงว่า เป็นที่ประชุมของสงฆ์ ปรึกษาหารือกันหรือประกาศผลบางเหตุบางประการ อย่างนี้องค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงกระทำขึ้น ให้พระอรหันต์ 8 องค์ไปยืนอยู่ใน 8 ทิศ และองค์สมเด็จพระธรรมสามิสรก็ทรงถามว่า

    "ที่นั่นใครยืนอยู่"

    พระที่ยืนอยู่ก็ตอบองค์สมเด็จพระบรมครูตามชื่อท่าน เช่น พระสารีบุตรยืนอยู่ท่านถามว่านั่นใคร พระสารีบุตรก็ตอบว่า นี่พระสารีบุตร พระเจ้าข้า

    สมเด็จพระบรมศาสดาก็ทรงถามว่า

    "ตรงนั้นมีอะไรเป็นนิมิต" หรือมีเครื่องหมายอะไรเป็นเครื่องกั้นเขต

    พระที่ยืนอยู่ก็ตอบองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ว่า มีหินหรือต้นไม้ เป็นต้น

    เป็นอันว่าอาศัยที่องค์สมเด็จพระทศพลแนะนำบรรดาภิกษุสงฆ์ว่า ที่ๆควรจะทำสังฆกรรม ก็ให้ตั้งเขตประเภทนี้ไว้แล้วห้ามบุคคลอื่นไปยุ่งในเขตนั้น ขณะที่พระสงฆ์ประชุมกันเรียกว่าแดนสังฆกรรม

    เวลานี้เรียกว่าแดนอุโบสถเพราะฝังลูกนิมิต นิมิต แปลว่า เครื่องหมายเป็นการกั้นเขต

    การที่องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ทำครั้งแรกแบบนี้ ต่อไปบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายที่อยู่แยกกันไปในแดนไกลก็พากันกั้นเขตเช่นเดียวกับพระบรมโลกเชษฐ์ที่ตั้งไว้เป็นที่ประชุมสงฆ์

    ฉะนั้นอาศัยที่พระต้องยืนกั้นเขตหรือยืนรักษาเขตหรือชี้เขต 8 องค์ บรรดาชาวจีนจึงเรียกกันว่าโป๊ยเซียน แปลว่าผู้วิเศษ 8 ท่าน

    สมัยนั้นที่พระพุทธเจ้ากระทำก็มีพระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตร พระอนุรุทธ พระมหากัจจายนะ พระอานนท์ เป็นต้น ซึ่งเป็นพระที่มีความสำคัญทั้งหมด

    นี่ว่ากันถึงว่าชาวจีนที่เขานับถือพระพุทธศาสนา แต่ว่าในขณะเดียวกันที่นับถือพระพุทธศาสนา เขาก็นับถือศาสนาอื่นมาก่อน ในเมื่อพระพุทธศาสนาเข้าไปแล้ว ศาสนาอื่นก็ยังถืออยู่ ฉะนั้นจึงรวมความว่า ในเขตที่ศาสนาขององค์สมเด็จพระบรมครูเข้าไปถึง ก็มีทั้งพระพุทธศาสนาด้วย มีทั้งศาสนาดั้งเดิมด้วย


    (จากหนังสือคำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม 19 หน้า 3-5)


    สาเหตุที่พรหม เทวดา ห้ามเรียกชื่อ

    เวลานี้ก็เหมือนกันนะ เทวดาเขาก็ถือเหมือนกันนะ อาจารย์หง่า นะ อย่างพรหม เทวดา ชื่ออะไร รุกขเทวดาชื่ออะไร ที่เขาป้องกันบ้าน "ไปถามชื่อเขา เขาก็ถือว่าไม่แสดงความเคารพในเขาเหมือนกัน" เขาถือว่าทำตนเสมอเขา

    ถ้าทางที่ถูก

    ผู้ชายเขาเรียก "พ่อปู่" ไปเลยนะ

    ผู้หญิงเรียก "แม่ย่า" ไปเลย

    วันนี้เคยถามเทวดาเขา คือว่ามีบางคนถามว่า

    "พรหม เทวดาบ้านฉันชื่ออะไร รุกขเทวดาที่บ้านฉันชื่ออะไร อากาศเทวดาที่บ้านฉันชื่ออะไร"

    พอไปถามท่านเข้าท่านบอก

    "อย่าให้เรียกชื่อเลย ถ้าเรียกชื่อผมถือว่าตีตนเสมอผม ผมไม่ช่วยเหลือ"

    นี่จี้ตรงนะ ถ้าเรียก "พ่อปู่ แม่ย่า" อันนี้เขาช่วยเหลือ ถือว่าแสดงความเคารพ

    เวลานั้นก็เช่นเดียวกันคนเขาเรียกชื่อกัน ถือว่าตีตนเสมอกัน ในเมื่อเขายังไม่แสดงความเคารพอย่างนั้น

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 318 กันยายน 2550 หน้า 25-26)


    เรื่อง หลวงพ่อเตือนเรื่องสงครามใหญ่ของโลก (ตอนที่ 1)

    ในปีที่ญวนแตกอเมริกาหนีกลับบ้าน ปีนั้นก็ถามพระท่านว่า หลังจากนี้จะมีอะไรบ้าง สงครามใหญ่จะเกิดขึ้นไหม

    ท่านบอกว่า คำว่าสงครามโลก ยังไม่เกิด คำว่าสงครามโลกนั่นหมายถึงว่า ทั้งโลกแบ่งกันเป็น 2 พวก รวมกันทั้งหมด แล้วก็ตีกันในระหว่างฝ่ายต่อฝ่าย คือตีกันรบกันอย่างนี้เรียกว่า "สงครามโลก"

    แต่สงครามครั้งหลังที่จะเกิดทางด้านตะวันออกกลาง ท่านบอกตรงว่า จะเกิดที่ด้านตะวันออกกลาง เขายังไม่เรียกว่าสงครามโลก เขาเรียกว่า สงครามใหญ่ สงครามใหญ่คราวนี้จะมีความร้ายแรงไม่น้อย ร้ายแรงกว่าสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ว่าท่านก็ไม่ได้บอกอย่าง "ดามุส" ว่า ถึงแม้อเมริกาอาจจะถูกนิวเคลียร์ ท่านไม่ได้บอกไว้ คือไม่ได้ถาม

    รวมความว่าคำพยากรณ์ของท่านที่พยากรณ์ว่าจะเกิดที่ตะวันออกกลางก็ตรงแล้ว เวลานี้ตะวันออกกลางจะมีสงคราม อย่างน้อยที่สุดก็เป็นสงครามเศรษฐกิจ เริ่มบีบรัดกันขึ้นมา

    สงครามใหญ่ ท่านไม่ได้ยืนยันว่าจะเกิดแต่ถ้ามันจะเกิดมันจะมีภาพอย่างนี้ "เครื่องบินในอากาศขาวพรืดหมด เป็นเครื่องบินสัมพันธมิตรช่วย" คือประเทศเรามีฝ่ายช่วยเหลือ

    ท่าน "ดามุส" ท่านบอกว่า อำนาจของฝ่ายน้ำมัน มีอำนาจมาก สามารถเอาอาวุธใส่ในท้องปลา ไปยิงที่ไหนก็ได้ นั่นหมายถึง เรือดำน้ำ ถ้าเราส่งเรือไปซื้อของในเขตใดเขตหนึ่ง ซึ่งเป็นเขตของศัตรูของเขา เรือดำน้ำของเขาก็อาจจะยิงเรือพาณิชย์ของเราก็ได้

    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ คนที่พบระหว่างสงคราม จะมีความรู้สึกหนาวๆร้อนๆ แต่ว่าขอยืนยัน บรรดาท่านพุทธบริษัทว่า สิ่งที่เราไม่ต้องกลัวอย่างหนึ่งคือ เขาประกาศบอกว่า การสงครามนี้เขาจะใช้อาวุธเคมีบ้าง จะใช้นิวเคลียร์บ้าง จะใช้นิวตรอนบ้าง อาวุธทั้งหลายเหล่านี้ น่ากลัวจริงๆ แต่สำหรับความรู้สึกของผู้พูด ไม่มีความรู้สึกกลัวเลย

    เพราะว่าพระพุทธเจ้ามีความศักดิ์สิทธิ์ ของๆท่านทุกชิ้นที่ผลิตออกมา ท่านบอกว่า กันรังสีต่างๆได้หมด รังสีต่างๆจะไม่สามารถกระทบกาย หรือทรัพย์สินบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่มีของของท่านได้ ที่ท่านทำให้นะ

    เป็นอันว่า (สงครามที่จะเกิด ) ลูกปืนก็ไม่มาถึงประเทศไทย เครื่องบินก็ไม่มาถึงประเทศไทย แต่ต้องระวังจรวด เรื่องจรวดนี้ต้องระวังกันหน่อย เพราะจรวดมันมาจากใต้น้ำได้มันยิงทางไกลได้ ถ้ามันจะเกิดขึ้นบ้างก็เป็นขนาดย่อยๆตามจุดต่างๆ เป็นจุดเล็กๆ อาจจะโผล่จุดนี้บ้างจุดนั้นบ้าง เป็นการทำให้รวนกำลังของทหารรวน

    ติดตามตอนต่อไป

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 265 เมษายน 2546 หน้า 56 )

    เรื่อง หลวงพ่อเตือนเรื่องสงครามใหญ่ของโลก (ตอนที่ 2)

    การเตรียมตัวเตรียมใจ

    ท่านยืนยันมาตั้งแต่ พ.ศ. 2521 และท่านทำทุกครั้ง ท่านก็ยืนยันทุกครั้งว่า เกี่ยวกับรังสีต่างๆ ไม่ต้องกลัวเลย รังสีจะไม่เข้าใกล้บุคคลที่มีของที่ท่านทำให้ของนั้นอยู่ไหน ก็หาเอาเองก็แล้วกัน ของนั้นจะขอบอกเป็นนัยๆ เอาตรงๆเลยก็ได้คือ พุทธานุสสติ นั่นคือนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ และก็ภาวนาไว้ว่า "พุทโธ" เ วลาหายใจเข้านึกว่า "พุท" เวลาหายใจออกนึกถึง "โธ" ก่อนจะออกจากบ้าน ตื่นขึ้นมาใหม่ๆ บูชาพระก่อน ภาวนาว่า "พุทโธ" ก่อนอธิษฐานขอความปลอดภัย ก่อนจะไปก็เสกน้ำลาย ด้วยกำลังของพุทโธสัก 3 ครั้ง แล้วก็เดินออกจากบ้านไป หรืออยู่บ้านก็ได้ ภัยอันตรายจะไม่มีแก่ท่าน

    หรือว่าถ้าทำอย่างนั้น ยังไม่เกิดความมั่นใจ ก็เอาของที่องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงทำไว้ติดกับร่างกาย แต่ต้องอาราธนาทุกวันว่า "นะโม ตัสสะ 3 ครั้ง" แล้วก็ว่า "พุทโธ" เหมือนกัน และก็อธิษฐานให้ปลอดภัย อย่างนี้จะปลอดภัยจากรังสีต่างๆ แม้แต่สะเก็ดระเบิด หรือว่ากระสุนปืนของข้าศึก ก็จะไม่มีอันตรายกับท่าน ถ้าท่านทั้งหลายมี "พุทธานุสสติ" เป็นกำลังใจ

    ทางด้านพุทธศาสนาก็มี บอกไม่ได้จะบอกได้อย่างไรว่าเรานับถือพระพุทธเจ้าเท่ากันหรือเปล่า ถ้านับถือเท่ากัน ก็เอาของที่ท่านให้ไว้ ท่านให้ไว้นั่นก็คือความดี ของดีถ้ามีไว้ในรัศมีนั้นไม่มีอันตรายจากภัยระเบิดและภัยโจมตีต่างๆจะไม่เกิดขึ้น

    ถ้าเรานับถือพระพุทธศาสนาจริง และยอมรับนับถือพระพุทธเจ้าจริงสิ่งใดที่ท่านให้ไว้สิ่งนั้นเราเคารพด้วยความจริงใจแล้วทุกท่านจะปลอดภัยจากสงครามโลกครั้งที่ 3

    เหตุต่างๆจะเกิดขึ้นจะไม่พ้นวิสัยของรัฐบาล ถ้าถามว่าเขาใช้อาวุธเคมีใช้รังสีต่างๆ ก็ขอตอบว่าเป็นเรื่องเล็กๆ พุทธศาสนาป้องกันได้แน่อันนี้ขอยืนยัน จะเป็นนิวตรอน นิวเคลียร์ นิวอะไรก็ตามเถอะ ขอยืนยันว่าพระพุทธศาสนาป้องกันได้แน่ แต่ว่าทางนี้ท่านทั้งหลายต้องไปหาจากพระที่เป็นนักปฏิบัติทางด้านจิตใจที่ท่านเข้าถึงฌานโลกีย์ทรงตัว และก็ทรงความเป็นอภิญญา

    ถ้าถามว่า เวลานี้จะหาที่ไหน ก็ต้องขอตอบว่าเวลานี้อย่าเพิ่งหา อาจจะมีอยู่ที่ไหนบ้างก็ได้ แต่ไม่มีใครเขาบอกกัน ถ้าถึงเวลานั้นจะปรากฏตนเอง ท่านจะแสดงออกมา ให้เห็นถึงความปลอดภัยว่า ท่านสามารถจะป้องกันได้ ถ้าท่านองค์ไหนจะเป็นพระก็ดี จะเป็นฆราวาสก็ดี ไม่ได้หมายความว่าพระเสมอไป ฆราวาสที่มีความสามารถก็มีมาก ก็สามารถจะป้องกันได้ สามารถจะทำได้ ก็พึ่งท่านนั้น ท่านต้องให้เป็นที่พึ่งแน่นอน

    เวลานั้นก็ตามท่านที่ทรงอภิญญา จะเป็นพระก็ตามจะเป็นฆราวาสก็ตาม ไม่มีใครปกปิดความสามารถ สามารถจะป้องกันรังสีต่างๆได้และป้องกันสรรพวุธได้ตามกำลัง

    ก็รวมความว่า ประเทศไทยไม่ต้องหนักใจ ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านยอมรับนับถือความดีของพระพุทธเจ้าไว้ ความดีที่พระพุทธเจ้าให้ไว้ก็มี 4 อย่างเอาซักสอง 4 อย่างให้เป็นการใบ้หวยเลยนะ 4 ที่หนึ่ง ก็เอาอย่างง่ายๆก็คือ สังคหวัตถุ 4 คือ เป็นความดีขั้นต้น พรหมวิหาร 4 เป็นความดีขั้นสูงสุด

    ทีนี้ถ้าสงครามเกิดขึ้น ข่าวคราวก็ย่อมถึงกัน เวลานี้มีทั้งวิทยุ มีทั้งโทรทัศน์ถ่ายทอดจากดาวเทียม เราสามารถจะเห็นภาพได้ในเมื่อเห็นการสูญเสียความตายเกิดขึ้นความทุกข์ก็เกิดขึ้น จิตใจก็เริ่มเป็นกุศล เวลานั้นบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนก็จะมีความมั่นคงในพระพุทธศาสนามากขึ้น เพราะกลัวตาย

    สำหรับอีกด้านหนึ่ง ท่านนักปฏิบัติที่เจริญสมาธิจิต ก็จะเร่งรัดตัวเอง ให้ทำสมาธิให้ดีขึ้น โดยหวังอย่างเดียวว่า ถ้าตายแล้วไม่ขอเกิดใหม่ อย่างเร็วที่สุดตายจากความเป็นคนไปสวรรค์ก็เอา หรือถ้ากว่านั้น ไปเป็นพรหมก็ดี ถ้าดีกว่านั้นไปนิพพานได้ก็ดี

    ท่านจะเร่งรัดตัวเอง การเร่งรัดตัวเองประเภทนี้กำลังใจก็จะมีสมาธิ ในที่สุดอภิญญาก็จะเกิด ในเมื่ออภิญญาเกิด ก็จะใช้ผลของอภิญญาและญานต่างๆที่ได้จากสมาธิ และวิปัสสนาญาณ เอามาช่วยบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ให้มีความสุขปลอดภัย

    แต่ฉันไม่ยืนยันนะ แต่มันเริ่มไหวตัวตั้งแต่ พ.ศ 2530 นี้เป็นต้นไป ถ้าเกรงภัยพิบัติแบบนี้ ถ้าบังเอิญมันมีขึ้นรุนแรงจริงๆนะ คนที่มีผ้ายันต์มหาพิชัยสงคราม ผ้ายันต์แดงน่ะ ติดธงชาติเอาขึ้นปักไว้เหนือหลังคาบ้านจะปลอดภัยจากรังสีต่างๆพระท่านสั่งเลย

    การเตรียมตัวด้านวัตถุสิ่งของต่างๆ

    อันดับแรก เตรียมผ้าไว้ก่อน

    อันดับสอง เตรียมพื้นดินไว้ ถ้ามีอยู่บ้าง ไม่มากไม่มายก็อย่าเพิ่งขายไป (เว้นแต่ได้กำไรมาก)

    ประการที่สอง(สาม) ก็เตรียมเนื้อ เตรียมกาย เตรียมใจ เตรียมใจไว้นึกถึงความจริงตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนว่า โลกเต็มไปด้วยความทุกข์ โลกไม่มีความสุข โลกเป็นอนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้ ในเมื่อเป็นอนิจจังมันก็เป็นทุกข์ ในที่สุดก็เป็นอนัตตาตายหมด

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 265 เมษายน 2546 หน้า 58 - 59)


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มกราคม 2020
  3. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    61
    ค่าพลัง:
    +225,340
    (จากหนังสือ ราชพรหมยาโนวาท ที่ระลึกงานทำบุญวันเกิด 6 ตุลาคม 2538)1.jpg (จากหนังสือ ราชพรหมยาโนวาท ที่ระลึกงานทำบุญวันเกิด 6 ตุลาคม 2538)2.jpg (จากหนังสือ ราชพรหมยาโนวาท ที่ระลึกงานทำบุญวันเกิด 6 ตุลาคม 2538)3.jpg
    (จากหนังสือ "ราชพรหมยาโนวาท" ที่ระลึกงานทำบุญวันเกิด 6 ตุลาคม 2538)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ธันวาคม 2022
  4. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    61
    ค่าพลัง:
    +225,340
    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Views/DSC_0045_zps77lw3yei.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Views/DSC_0045_zps77lw3yei.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0045_zps77lw3yei.jpg"/></a>

    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Views/DSC_0051_zpstxsnejon.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Views/DSC_0051_zpstxsnejon.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0051_zpstxsnejon.jpg"/></a>

    (จากหนังสือ "ราชพรหมยาโนวาท" ที่ระลึกงานทำบุญวันเกิด 6 ตุลาคม 2538)


    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Views/DSC_0068_zpsv7pv0v0i.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Views/DSC_0068_zpsv7pv0v0i.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0068_zpsv7pv0v0i.jpg"/></a>

    (จากหนังสือโอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม 1)

    http://palungjit.org/threads/นานาเรื่องราวหลวงพ่อพระราชพรหมยาน.538477/page-451
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ตุลาคม 2020
  5. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    61
    ค่าพลัง:
    +225,340
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc 2014/DSC_0079-3.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc 2014/DSC_0079-3.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0079-3.jpg"/></a>

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 14 หน้า 12)

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/DSC05741-1.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/DSC05741-1.jpg" border="0" alt=" photo DSC05741-1.jpg"/></a>

    http://palungjit.org/threads/นานาเรื่องราวหลวงพ่อพระราชพรหมยาน.538477/page-452
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มกราคม 2021
  6. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    61
    ค่าพลัง:
    +225,340
    0001 (37).jpg
    (จากธัมมวิโมกข์ ปีที่ 4 ฉบับที่ 38 หน้า 299)

    ภาพบนนี้นำมาจากธัมมวิโมกข์ในส่วน E-Book ของเวบวัดท่าซุง ท่านสารมารถหาอ่านหนังสือเล่มอื่นๆได้จากลิงค์ url ด้านล่างนี้ครับ

    http://thasungmedia.com/wat/puy/ebook/index.php
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มกราคม 2020
  7. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    61
    ค่าพลัง:
    +225,340
    เป็นเรื่องประสบการณ์ลูกแก้วของหลวงพ่อครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    (จากธัมมวิโมกข์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 40 หน้า 27-29)

    ภาพบนนี้นำมาจากธัมมวิโมกข์ในส่วน E-Book ของเวบวัดท่าซุง ท่านสารมารถหาอ่านหนังสือเล่มอื่นๆได้จากลิงค์ url ด้านล่างนี้ครับ

    http://thasungmedia.com/wat/puy/ebook/index.php




    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กันยายน 2016
  8. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    61
    ค่าพลัง:
    +225,340
    ช่วยชีวิตสัตว์

    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Views/1472811046859_zpsf0abr7qc.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Views/1472811046859_zpsf0abr7qc.jpg" border="0" alt=" photo 1472811046859_zpsf0abr7qc.jpg"/></a>

    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Views/1472811067915_zpstkc1syf8.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Views/1472811067915_zpstkc1syf8.jpg" border="0" alt=" photo 1472811067915_zpstkc1syf8.jpg"/></a>

    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Views/1472811086675_zpspi2pzs9a.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Views/1472811086675_zpspi2pzs9a.jpg" border="0" alt=" photo 1472811086675_zpspi2pzs9a.jpg"/></a>

    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Views/1472811100923_zpsc4a8lc33.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Views/1472811100923_zpsc4a8lc33.jpg" border="0" alt=" photo 1472811100923_zpsc4a8lc33.jpg"/></a>


    (จากธัมมวิโมกข์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 40 หน้า 108 - 111)


    ภาพบนนี้นำมาจากธัมมวิโมกข์ในส่วน E-Book ของเวบวัดท่าซุง ท่านสารมารถหาอ่านหนังสือเล่มอื่นๆได้จากลิงค์ url ด้านล่างนี้ครับ

    http://thasungmedia.com/wat/puy/ebook/index.php
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ธันวาคม 2020
  9. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    61
    ค่าพลัง:
    +225,340
    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Views/DSC_0006_zpsfofqxiw4.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Views/DSC_0006_zpsfofqxiw4.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0006_zpsfofqxiw4.jpg"/></a>

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 14 หน้า 31)

    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Views/DSC_0010_zpst3hkitxi.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Views/DSC_0010_zpst3hkitxi.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0010_zpst3hkitxi.jpg"/></a>

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 14 หน้า 32)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มกราคม 2021
  10. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    61
    ค่าพลัง:
    +225,340
    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Doc/DSC_0013_zpsq9guhyyv.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Doc/DSC_0013_zpsq9guhyyv.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0013_zpsq9guhyyv.jpg"/></a>

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 14 หน้า 30)

    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Doc/DSC_0017_zps2cfuaqg8.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Doc/DSC_0017_zps2cfuaqg8.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0017_zps2cfuaqg8.jpg"/></a>

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 14 หน้า 16)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มกราคม 2021
  11. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    61
    ค่าพลัง:
    +225,340
    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Doc/DSC_0170_zpsbyvuguds.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Doc/DSC_0170_zpsbyvuguds.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0170_zpsbyvuguds.jpg"/></a>

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 15 หน้า 22)


    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Doc/DSC_0163_zps5k4vnfex.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Doc/DSC_0163_zps5k4vnfex.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0163_zps5k4vnfex.jpg"/></a>

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 15 หน้า 21)



    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Doc/DSC_0159_zpsgxu6ylrk.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Doc/DSC_0159_zpsgxu6ylrk.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0159_zpsgxu6ylrk.jpg"/></a>

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 15 หน้า 17)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กรกฎาคม 2021
  12. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    61
    ค่าพลัง:
    +225,340
    พิธีสะเดาะเคราะห์ที่วัดเราอยู่บ้านสามารถอาราธนารับได้เหมือนการเป่ายันต์เกราะเพชรครับ



    DSC_0176_zps7mdvylyj.jpg DSC_0182_zpskboggfsq.jpg

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 15 หน้า 374-375)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2020
  13. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    61
    ค่าพลัง:
    +225,340
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/wannachaiamulets/DSC06688.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/wannachaiamulets/DSC06688.jpg" border="0" alt=" photo DSC06688.jpg"/></a>
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/wannachaiamulets/DSC06690.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/wannachaiamulets/DSC06690.jpg" border="0" alt=" photo DSC06690.jpg"/></a>

    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Doc/DSC_0029_zpshiybrjg3.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Doc/DSC_0029_zpshiybrjg3.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0029_zpshiybrjg3.jpg"/></a>

    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Doc/DSC_0036_zpsjnterr1c.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Doc/DSC_0036_zpsjnterr1c.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0036_zpsjnterr1c.jpg"/></a>

    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Doc/DSC_0037_zpsavio4t60.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Doc/DSC_0037_zpsavio4t60.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0037_zpsavio4t60.jpg"/></a>



    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Doc/DSC_0042_zpsfkmnwqeb.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Doc/DSC_0042_zpsfkmnwqeb.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0042_zpsfkmnwqeb.jpg"/></a>


    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Doc/DSC_0052_zpso3f9yggk.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Doc/DSC_0052_zpso3f9yggk.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0052_zpso3f9yggk.jpg"/></a>

    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Doc/DSC_0058_zps0qoxwrhi.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Doc/DSC_0058_zps0qoxwrhi.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0058_zps0qoxwrhi.jpg"/></a>

    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Doc/DSC_0064_zps7mpjtxsy.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Doc/DSC_0064_zps7mpjtxsy.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0064_zps7mpjtxsy.jpg"/></a>

    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Doc/DSC_0067_zpsdp3ycqj9.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Doc/DSC_0067_zpsdp3ycqj9.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0067_zpsdp3ycqj9.jpg"/></a>

    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Doc/DSC_0071_zpsbradkcxb.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Doc/DSC_0071_zpsbradkcxb.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0071_zpsbradkcxb.jpg"/></a>


    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Doc/DSC_0079_zpsvm2dnxj5.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Doc/DSC_0079_zpsvm2dnxj5.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0079_zpsvm2dnxj5.jpg"/></a>


    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Doc/DSC_0082_zpst7d3exnj.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Doc/DSC_0082_zpst7d3exnj.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0082_zpst7d3exnj.jpg"/></a>

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 14 หน้า 326 - 336)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ตุลาคม 2020
  14. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    61
    ค่าพลัง:
    +225,340

    มีเกร็ดความรู้ในการปฏิบัติธรรมและเรื่องคาถาบารมี 30 ทัศน์ด้วยว่าป้องกันภัยรอบตัวทุกอย่าง ภาวนาคล่องตัวจิตแจ่มใสมาก มารต่างๆไม่รบกวน

    หลวงพ่อเคยบันทึกเอาไว้ว่ายันต์บารมี 30 ทัศน์ลงกระดานเรือน หรือ รอดบ้าน เงินไม่ขาดบ้าน


    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Doc/DSC_0115_zpsbflvuzab.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Doc/DSC_0115_zpsbflvuzab.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0115_zpsbflvuzab.jpg"/></a>

    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Doc/DSC_0118_zpsguu9mn5b.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Doc/DSC_0118_zpsguu9mn5b.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0118_zpsguu9mn5b.jpg"/></a>

    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Doc/DSC_0125_zpsqafse0qq.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Doc/DSC_0125_zpsqafse0qq.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0125_zpsqafse0qq.jpg"/></a>

    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Doc/DSC_0130_zps60rbneiw.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Doc/DSC_0130_zps60rbneiw.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0130_zps60rbneiw.jpg"/></a>

    (จากหนังสือบันทึกของชาโดว์ เล่ม 6 หน้า 151 - 154)



    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Amulets2015/DSC_0066.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Amulets2015/DSC_0066.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0066.jpg"/></a>
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Amulets2015/DSC_0068.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Amulets2015/DSC_0068.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0068.jpg"/></a>
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Amulets2015/DSC_0065.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Amulets2015/DSC_0065.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0065.jpg"/></a>
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Amulets2015/DSC_0062.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Amulets2015/DSC_0062.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0062.jpg"/></a>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2020
  15. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    61
    ค่าพลัง:
    +225,340
    อาการป่วยหลวงพ่อ/ประวัติวัดท่าซุง/หลวงพ่อขนมจีน/การบนหลวงพ่อขนมจีน/สร้างมณฑปหลวงพ่อขนมจีน/สร้างมณฑปหลวงพ่อสีวลี/พระครูอุดมสมาจารย์/หลวงปู่ปานเทศน์

    1_zpsuanldzw2.jpg

    2_zpsuszcso8b.jpg

    3_zpsasktnfuq.jpg




    4_zps0hmygg3x.jpg

    5_zpsevzj24xt.jpg

    6_zpsh555xipq.jpg

    7_zpsqmm5am1w.jpg

    8_zpsmiwifrhp.jpg

    9_zpsnafqizlu.jpg

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 69 พฤศจิกายน 2529 หน้าที่ 47 - 55)




    1444076969822.jpg


    ภาพทั้งหมดด้านบนจาก E-Book เวบวัดท่าซุง ท่านที่สนใจอ่านเรื่องอื่นๆเพิ่มเติมหาอ่านได้จากลิงค์ url ด้านล่างครับ


    http://thasungmedia.com/wat/puy/ebook/index.php


    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/D1/DSC03587.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/D1/DSC03587.jpg" border="0" alt=" photo DSC03587.jpg"/></a>
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Amulets2015/DSC_0057_1.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Amulets2015/DSC_0057_1.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0057_1.jpg"/></a>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กันยายน 2020
  16. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    61
    ค่าพลัง:
    +225,340
    การกินเจ, การฉันเอกา, การฉันสำรวม

    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Doc/DSC_0006_zpswhpbbsqp.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Doc/DSC_0006_zpswhpbbsqp.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0006_zpswhpbbsqp.jpg"/></a>


    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Doc/DSC_0009_zpszvwnt3dr.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Doc/DSC_0009_zpszvwnt3dr.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0009_zpszvwnt3dr.jpg"/></a>


    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Doc/DSC_0019_zpsfetsr7h9.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Doc/DSC_0019_zpsfetsr7h9.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0019_zpsfetsr7h9.jpg"/></a>

    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Doc/DSC_0024_zpssrlsqguf.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Doc/DSC_0024_zpssrlsqguf.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0024_zpssrlsqguf.jpg"/></a>


    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Doc/DSC_0025_zpsckcj85fa.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Doc/DSC_0025_zpsckcj85fa.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0025_zpsckcj85fa.jpg"/></a>

    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Doc/DSC_0036_zpse7lwdtt9.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Doc/DSC_0036_zpse7lwdtt9.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0036_zpse7lwdtt9.jpg"/></a>


    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Doc/DSC_0037_zps5g2vbs8c.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Doc/DSC_0037_zps5g2vbs8c.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0037_zps5g2vbs8c.jpg"/></a>

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 1 หน้า 452 - 458)


    การฉันเอกา

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/%201_2.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/%201_2.jpg" border="0" alt=" photo 1_2.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/%202.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/%202.jpg" border="0" alt=" photo 2.jpg"/></a>

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 1 หน้า 458-459)



    การฉันสำรวม

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/%201_3.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/%201_3.jpg" border="0" alt=" photo 1_3.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/%202_1.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/%202_1.jpg" border="0" alt=" photo 2_1.jpg"/></a>

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 1 หน้า 460 - 461)


    หลวงพ่อเคยลองฉันเจ

    <a href="http://s1259.photobucket.com/user/Onenachai005/media/Doc/DSC04470_zpssfz6kz0q.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1259.photobucket.com/albums/ii546/Onenachai005/Doc/DSC04470_zpssfz6kz0q.jpg" border="0" alt=" photo DSC04470_zpssfz6kz0q.jpg"/></a>



    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]

    (จากธัมมวิโมกข์เดือนมีนาคม 2537 หน้า 105 - 108)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กันยายน 2016
  17. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    61
    ค่าพลัง:
    +225,340
    [​IMG]


    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 1 หน้า 10 )

    [​IMG]

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 9 หน้า 25 )



    [​IMG]

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 9 หน้า 24 )


    [​IMG]

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 9 หน้า 27 )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2016
  18. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    61
    ค่าพลัง:
    +225,340
    [​IMG]

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 3 หน้า 22)

    [​IMG]


    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 3 หน้า 15)

    [​IMG]

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 3 หน้า 18)

    [​IMG]

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 3 หน้า 19)
     
  19. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    61
    ค่าพลัง:
    +225,340

    ชวนะ แปลว่าอะไร


    [​IMG]

    [​IMG]

    (จากธัมมวิโมกข์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 7 หน้า 41-42)

    หลวงพ่อตอบปัญหาด้านบนนำมาจาก E-Book เวบวัดท่าซุง ท่านสามารถหาอ่านหนังสือเล่มอื่นๆได้จากเวบลิงค์ด้านล่างครับ

    http://thasungmedia.com/wat/puy/ebook/index.php
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ตุลาคม 2016
  20. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    61
    ค่าพลัง:
    +225,340

    (สนทนาที่สายลม เดือนมกราคม 2538)
    เรื่อง การบวชอยู่ธุดงค์

    คุยเรื่องอะไรล่ะ คือธุดงค์วันแรกก็สวดคาถากันงูกันแมลงไม่ได้ โพยไปอยู่นอกกลดเสีย เราก็เอ๊...วิรูปักเข ปักเขแล้วมันอะไรว้า เราก็เคยสวดแต่สวดหมู่ก็ไปได้ สวดเดี่ยวมันสวดไม่ได้หรอก วิรูปักเขหิ เม เมตตัง เมตตัง อะไร นี่ เอราปะเถทิ เม ฉัพยาปุตเตหิ เม เมตตัง เขาเรียกคาถากันสัตว์

    พอสวดไม่ได้ตกกลางคืนมดมันก็เข้าในกลด มดมันก็ไต่ เราก็ฉายไฟดู ไม่ได้ใส่แว่น นึกว่ามดแดง พอไปจับมันต่อยเลย ต่อยปั๊บตกใจสะดุ้ง ทีนี้ไม่เอาแล้ว ต้องเปิดไฟ ต้องหาให้ได้ เดี๋ยวมันจะต่อยเรื่อยไป

    "นี่โทษฐานว่า วิรูปักเข ไม่ได้"

    นี่ ไม่ลองคาถา โอ้โฮ ตอนนี้เอง ก็ต้องเปิดกลดให้กว้าง ให้สว่าง หาให้หมดสิ มดตะนอยมันเข้าไปอยู่ในนั้นแล้วนี่ อานิสงส์ท่องคาถาไม่ได้ พอรุ่งขึ้นคืนวันที่สองก็ เอ๊ะ เมื่อวานมดมันต่อยนี่หว่า วันนี้ปิดกลดอย่างดี ไม๋ให้เข้า ก็สวดมนต์บทเมตตัญเสร็จ สมัยพระพุทธเจ้านี่ ท่านบอกว่าผีหลอกนี่ ไปปักกลดอยู่ที่ไหน อยู่ต้นไม้ใหญ่ เห็นมีความสบายดีก็ปักกลด เทวดาท่านก็แปลงเป็นผีบ้าง อสุรกายบ้างมาหลอก เราไปถึงเราก็ต้องสวดมนต์สิ กลัวผีจะมาหลอกเหมือนกัน

    คือสวดฝากคน เราก็บอกว่าฝากคนทั้งวัด เทวดาที่รักษาวัดฝากด้วย อาจจะมีเหตุไม่ดีพาไห้ลำบาก พอสวดไปสักประเดี๋ยวเดียวเอง พอสวดเสร็จก็บอกท่าน ก็นอน นอนแล้วแผ่นดินมันยวบยวบเดี๋ยวนั้นเลย อู้หู...เราก็นึกว่า...แต่รู้แล้วล่ะ หลวงพ่อเคยเล่าให้ฟัง

    หลวงพ่อเคยเล่าให้ฟังว่า ถ้ามีอะไรผิดปกตินี่ เมื่อกี้เราอธิษฐานใช่ไหม พอธิษฐานแล้วพอล้มตัวนอนแผ่นดินมันยวบ มันยวบลงไปในดินอย่างนี้ ยวบลึกๆ เราก็เอ๊ะ อ้อเมื่อกี้เราอธิษฐานไว้ เขาแสดงว่าให้รู้ว่าเขารับทราบแล้ว เทวดารักษาวัดนี่เขารับทราบแล้ว

    ทีนี้ ไอ้เรานี่มัน..โดยมากเชื่อยาก เป็นคนเชื่อยาก อีตะกี้ก็เชื่อแล้ว พอผ่านมา เอ..ไม่ใช่ กูฝาดไปหรือเปล่าวะตะกี้นี้ มันใช่หรือเปล่าวะ คือมันไหวไปแล้ว ตอนนั้นมันเชื่อเเต่พอเราใคร่ครวญ เอ๊ะ..มันหายไหวไปแล้วใช่ไหม มันจริงหรือว้า กูนี่มันเพ้อไปหรือเปล่าวะ

    พอตอนเช้าก็มาคุยกันกับพระสุรจิตน่ะ องค์โย่งๆน่ะ เป็นรองเจ้าอาวาส ก็นั่งติดๆกัน เมื่อคืนนี้เทวดามาทำยังไง ดินมันยวบ นอนงี้ยวบๆๆ สองสามครั้ง สุรจิตบอก เออ จริงๆ เมื่อคืนนี้ผมนึกว่าแผ่นดินไหวเสียอีก ผมก็ยวบเลยนะ บอกเออ เรามีเพื่อนแล้ว เรานึกว่าเราเพี้ยนคนเดียว

    ที่นี้พระมาเล่าให้ฟัง ได้เต็มกำลัง บอก เอ๊...เทวดาที่รักษา 100 ไร่อยู่นี่ มีอะไรยังไงก็อยากรู้ บอกยืนถือกระบองอย่างใหญ่เลย ยืนคุมอยู่ บอก เออ เอ้า ก็ยืนยันตรงกันหลายอย่าง ก็เรียกว่ามีพวก ทุกอย่างก็ปลอดภัยหมดทุกอย่าง ไม่มีอะไรหนักใจ เรียบร้อยหมดทุกอย่าง

    "ถ้าจะเปรียบเทียบการเป่ายันต์เกราะเพชรกับธุดงควัตรนี่ อันไหนจะมีผลดีกว่ากัน"

    พูดถึงว่าการเป่ายันต์เกราะเพชรนี่ก็มีอานิสงส์ อันที่จริงถ้าหากว่าถ้านึกถึงว่ามียันต์อยู่กับเราก็เป็นพุทธานุสสติ ใช่ไหม ถ้าเรามั่นใจตัวนั้นก็เป็นพุทธานุสสติ มีอานิสงส์สูงนี่ นึกว่า เออ ยันต์นี่อยู่กับเรา ยันต์นี่พระพุทธเจ้าเป่า หลวงพ่อพระสงฆ์ทำนี่ ก็เกิดความมั่นใจขึ้น ทีนี้ก็ถือว่าเป็น พุทธานุสสติ สังฆานุสสติ มีความมั่นคง

    แต่บางครั้งถ้าหากว่าคนอ่อนๆเป่ายันต์เกราะเพชร ก็ถือว่าดีนะ แต่บางครั้งจิตก็เป็นมิจฉาทิฏฐิได้ ยังเขว นี่การปฏิบัติธรรมนี่ มันอะไรล่ะ ม้นห็นจริงตามคำสั่งสอน
    ของพระพุทธเจ้าแล้วนี่ ความเป็นมิจฉาทิฏฐิมันไม่มี ก็เกิดความเชื่อมั่นมากกว่า

    เวลาเป่ายันต์ทีไร ของในวัด รองเท้านี่ต้องเตรียมไว้เลย มันจะลักกัน ล้วงกระเป๋า หลวงพี่จะจัดคนไว้หลายระดับ อยู่วัดจะรู้ กฐินนี่นะ กฐินนี่รองเท้าไม่ค่อยหาย คนดีคนมีศรัทธาถึงจะมา ไม่ค่อยหาย ถ้าเป่ายันต์เมื่อไร เตรียมไว้เถอะ รองเท้าติดตัวไว้ มันจะหายโน่นหายนี่ ล้วงกระเป๋าเอย รองเท้าหายเอย มีอะไรมันจะหายอยู่เรื่อย ถ้ากฐินแล้วได้แต่คนดี

    ถ้านั่งกรรมฐานนี่ยิ่งแล้วใหญ่เลย เรื่องหายนี่แทบไม่มีเลย ก็มีคนนอกเท่านั้นเอง ที่มาเที่ยวอาจจะเอาได้

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 168 มีนาคม 2538 หน้า 76-77)

    ธุดงค์ (ต่อ)


    ยกทรง คืนสุดท้ายนี่มีเรื่องอยู่เรื่องหนึ่งที่เรานอนอยู่ในป่า พอนอนไปมันหลับเต็มที่น่ะ มันอย่างกับมีใครเอาดอกไม้มาสุมที่เราเลย เราไม่เคยได้กลิ่นอย่างนี้ ทีนี้เราก็นึกว่า เอ๊ะ...ดอกไม้ป่านี่ เราก็ลืมตาก็ได้กลิ่น พอลืมตาแจ้งๆหนักเข้าๆ หายจางไปเลย

    อีตอนที่หลับตาอยู่แหม..หอม อย่างกับใครเอาดอกไม้ป่ามาโอบเราอยู่อย่างนี้ เราก็สูดไปเรื่อยอย่างนี้ นึกในใจว่าดอกไม้อะไรวะนี่ หาไม่เจอ ท่านช่วยเยอะ ท่านช่วย ไอ้เราไม่เห็นกับตาไม่ค่อยเชื่อ คอยจะรั้น

    ถือว่าเป็นบุญใหญ่นะ ทำงานตรงนี้บุญใหญ่ที่สุด เพราะคนทำก็ได้บุญ คนทำก็รักษาศีลภาวนา คนรับก็รักษาศีลภาวนา ก็มีอานิสงส์

    "โยมถามว่า ฉันมื้อเดียวกับฉันสองมื้อน่ะ อันไหนจะอิ่มทนกว่ากัน ฉันมื้อเดียวน่ะ หิวไหม โยมเขาเป็นห่วงกัน"

    ถ้าหิวก็มีน้ำปานะ ตอนจะออกไปอยู่กลดก็ฉันไป 2 แก้วก่อน กลับมาทำวัตรเย็นก็เอาอีกแก้วนึง ออกจากทำวัตรเย็นจะเข้ากลดก็เอาอีก 2 แก้ว (หัวเราะ) ตั้งโรงทาน เลี้ยงน้ำทุกอย่างเลย ญาติโยมเขาก็เอาพวกกาแฟโอวัลตินไปถวายไว้ ทางวัดเอาเงินให้กองทุนไปหมื่นหนึ่ง จะได้คล่องตัว ทำไปทำมาเขามาคืนเราหมื่นหนึ่ง

    "เสียใจหรือเปล่าครับ"

    ไม่เสียใจ เขาแถมมาให้อีก 5 หมื่นเลี้ยงไปเลี้ยงมาได้กำไร (หัวเราะ)

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 168 มีนาคม 2538 หน้า 77-78)

    ธุดงค์ที่ป่าไผ่

    ยังไง ธุดงค์ที่ป่าไผ่มีอะไร หรือเงียบไม่มีอะไร ธรรมดาจระเข้น้อยมันอยู่ข้างล่างเยอะนะ ขอภาวนาไปให้ไกลใช่ไหม ไม่เจออะไร ที่นั่นมันที่ลุ่ม

    สมัยก่อนมันมีอยู่คราวหนึ่ง หลวงพ่อนี่เขานิมนต์มาช่วยก่อสร้าง ทีนี้ตอนหลังนี่เจ้าอาวาสท่านพวกมากลากไปซะ แล้วเกิดแบ่งเป็นเขต เจ้าอาวาสก็อยู่เขตหนึ่ง เราก็อยู่เขตหนึ่ง แยก เขตเจ้าอาวาสเขาจะจัดมีผ้าป่า เขาจะเล่นรำวงกัน อู๊ย..เมากัน เมาไปมามาก็ยิงกันน่ะสิ ยิงกันตึ้มๆหน้าวัดน่ะ อีกคนวิ่งเข้าไปในป่านั่นเลย แต่ก่อนมันไม่มีกำแพงอะไรนี่ เขายังไม่ได้ถวาย ป่าหนามน่ะมันหนีเข้าไปได้ ป่าหนามไผ่น่ะ คนมันกลัวตายนี่หนีเข้าไปในนั้น

    สมัยโบราณนี่เขาจะนิยมฝังศพเด็กๆ เพราะคลอดตามชนบทใช้ไหม คลอดแล้วบางทีตายเลย ไม่สะดวก เขาก็ฝังอยู่แถวนี้น่ะพื้นล่างป่าไผ่น่ะ ป่ารกร้างว่างเปล่าติดกับวัด

    ที่นี้เราก็ไม่รู้ว่ามีผีมีอะไรยังไง เราก็ไม่รู้หรอก แต่หลวงตาท่านมีกุฏิอยู่แถวนั้น บอกว่าใครวะมันไกวเปล เอาลูกมาเลี้ยงในป่าไผ่นี่ บอก เออ หลวงตา ผีมั้ง แต่ก็ไม่มีแล้วนะ


    แต่อยากจะทำให้มันสะอาด ที่นั้นน่ะนอนสบายกว่าในป่าเยอะ ป่านะมันที่ลุ่มที่ดอน มดอะไรต่ออะไร ถ้ามดขึ้นต้องระวังศีล ระวังภาวนา ระวังใจ พระธุดงค์นี่รู้เลย ถ้ามดขึ้นกลด อู้หู..อยู่ไม่ไหวแล้ว ทีนี้ละก็ต้องพิจารณาศีลเรา ศีลดีก็ต้องพิจารณาจิตอีก ฟุ้งไปถึงไหนแล้ว กลับบ้านกลับช่องมากี่เที่ยวๆ แล้วไปเที่ยวบ้านใครต่อบ้านใครเรื่อยเปื่อยไปแล้ว อย่างนี้ก็เอาเหมือนกัน

    ธุดงค์นี่ก็ดี หากว่าตัดกังวลได้ก็ดี เขาไปอยู่กันน้อย ตรงนั้นน่ะนะ ไม่ต้องไปกวาดไปถู ไม่ต้องระแวงอะไรกับใคร ถ้าอยู่ห่างยิ่งดี กลางคืนจะภาวนาดี บางคนกลัวผี ก็เห็นปักกันเป็นปลาสร้อยก็มีเหมือนกันนะ มุ้งติดกันเลย คุยกันกระหนุงกระหนิงละทีนี้ มีไหมๆ มีนะ ธรรมดาต้องหาที่ปักให้หลีกเร้น หาที่สงัด

    ที่วัดเทวดาแรง เทวดาท่านช่วยเยอะนี่ ที่ยังไม่เข้าใจไม่เชื่อมั่นนี่ ท่านช่วยเยอะกระตุ้นให้กำลังใจเยอะ ไม่ใช่หลอก ทำให้ดูให้เราเกิดคิดว่า เออ ไอ้นี่มีจริงนะ ไม่ใช่เขาหลอกหลอนให้เรากลัว กระตุกใจนิดนึง

    หลวงพ่อท่านบอกว่า เทวดาเขาจะไม่ให้กลัวก็ได้ เขาจะให้รู้เฉยๆก็ได้ แต่ให้กลัวนี่โอ้โห..ขนกลับแล้วกลับอีก


    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 168 มีนาคม 2538 หน้า 78-79)


    ผีตากิ่ม

    ก่อนหลวงพ่อจะมรณภาพ ท่านรับแขกแล้วกลับไปเล่าให้ฟัง ก่อนมรณภาพสัก 20 วันได้ มีคนมาต่อว่า ว่าทำสังฆทานผีไม่ได้รับ ผีคงจะไปเข้าฝันอีก หลวงพ่อก็เล่าให้ฟังว่าคนนี้ทำบุญแล้วไม่เจาะจง ถ้าสัมภเวสีจริงๆต้องเจาะจง ห้ามให้คนอื่นเลย ท่านก็บอกว่าเวลาทำบุญให้สัมภเวสีหรือคนที่ตายไปแล้วขอให้เจาะจง บอกว่าบุญจะมีแก่ข้าพเจ้าเพียงใดออกชื่อคนนั้นให้มาโมทนา

    มีอยู่คราวหนึ่ง หลวงพ่อเล่าเรื่องผีตากิ่ม หลวงพ่อไปเทศน์ที่วัดท่าซุง ตอนนั่งกรรมฐานท่านบอกว่าสมัยอยู่จังหวัดชัยนาท อยู่วัดศีรษะเมือง สรรคบุรี ท่านไปอยู่ที่นั่น ก็มีคนชื่อตากิ่ม แต่ก่อนจะชั่วจะดีก็ไม่ทราบ แต่เช้าเอาปิ่นโตมาให้ เพลก็เอาปิ่นโตมาให้ มานอนอยู่ที่กุฏิ

    ตอนหลังหลวงพ่อมาอยู่ที่วัดท่าซุง ตากิ่มตาย ลูกสาวก็มานิมนต์ บอกหลวงน้าจะทำศพคุณพ่อ ขอให้หลวงน้าเป็นประธาน หลวงพ่อบอก อีหนู ถ้าจะให้หลวงน้าเป็นประธานละก็แม้แต่ไข่ใบเดียวก็ห้ามทุบนะ ลูกสาวก็รับปาก แล้วหลวงพ่อก็บอกอีกว่า อีหนู เวลาจัดงานไม่ต้องห่วงแขกเลยนะ ให้จัดเจ้าหน้าที่โดยเฉพาะไปเลย เจ้าภาพไม่ต้องไปรับแขก ให้อยู่จุดธูปเทียน อาราธนาศีลฟังพระสวด การรับแขกเป็นหน้าที่ของคนอื่น

    พอถึงเวลาจัดงานศพ พระหลานชายก็บวช เลี้ยงพระทั้งวัดเรียกว่าเป็นสังฆทานอย่างใหญ่ มีพระเทศน์ 2 ธรรรมาสน์ มีหลวงพ่อเทศน์กับพระองค์หนึ่งชื่ออะไรจำไม่ได้

    พอหลวงพ่อเริ่มเทศน์ อีกองค์ก็กล่าวอารัมภกถา หลวงพ่อก็เข้าสมาธิ ขณะนั่งสมาธิก็ควานหาตากิ่ม ตากิ่มอยู่ที่ไหนขอให้มา หาเท่าไรตากิ่มก็ไม่มา ตากิ่มไม่มี ท่านก็คิดได้ว่าตากิ่มคงได้รับเคราะห์หนักแล้ว หลวงพ่อก็บอกว่า เออ..ถ้าใครคุมตากิ่มอยู่ละก็ขออนุญาตสักครู่นะ ขอให้นำตากิ่มมาด้วย พออธิษฐานอย่างนั้นตากิ่มก็ปรากฏเลย โซ่ล่ามคอ ล่ามขา เดินหัวตกมาเลย

    พอตากิ่มมา หลวงพ่อถามอะไรก็ยังพูดไม่ได้อีก หลวงพ่อก็ถามคนคุม เป็นไง ลูกสาวทำบุญอย่างใหญ่โตรับบุญไม่ได้เหรอ บอกว่าไม่มีผลครับ กรรมหนักมากครับ แล้วทำยังไงถึงจะรับได้ล่ะ บุญของท่านน่ะครับ จะช่วยให้พ้นเคราะห์ได้

    พอหลวงพ่ออธิษฐาน บอกว่าตั้งแต่เริ่มปรารถนาพระโพธิญาณมาถึงบัดนี้จะมีบุญมากเพียงใด ขอตากิ่มจงโมทนา เท่านั้นเองโซ่ที่คอหลุด ตากิ่มกราบ พอกราบ 3 ครั้ง ร่างกายก็สว่าง ตากิ่มสบายแล้ว

    ทีนี้คนคุมก็ต้องการบ้าง บอก ท่านครับขอผมบ้าง หลวงพ่อก็บอกว่าแกไม่หนีงานเขาเหรอ เขาก็บอกว่าท่านครับ ถ้าใครมีบุญต่อเขาก็ปล่อยให้ไปได้ครับ หลวงพ่อก็อธิษฐานอย่างเดิม คนคุมมาก็มีร่างกายสว่างไสว

    จึงขอสรุปว่า บุญจากกรรมฐานนี่มีอานิสงส์มาก สามารถจะช่วยสงเคราะห์คนได้ ทำทานธรรมดาบางอย่างยังไปไม่ได้ ของเรานี่ทั้งสังฆทาน ทั้งกรรมฐานด้วย ยิ่งมีอานิสงส์มาก

    "หลวงพ่อท่านเคยพูดหรือเปล่าว่า ตากิ่มทำกรรมอะไรครับ"


    ท่านไม่ได้เล่า คงจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับวัดนี่แหละ

    "อย่างนี้ถ้าหากไม่เจอหลวงพ่อ หลวงพ่อไม่สงเคราะห์น่ากลัว....."

    เอวัง กิ่ม

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 149 กรกฏาคม 2536 หน้า 98-99)


    บ้านเราไม่ยอมเป็นขี้ข้าใคร

    มีสำนักหุบผาสวรรค์พิมพ์หนังสือเล่มหนึ่งต่อไปไทยจะสิ้นชาติ ตอนนั้นพาให้คนหวั่นไหวเหมือนกัน หลวงพ่อก็ทำหนังสือออกมาเล่มหนึ่ง "ไทยไม่มีวันสิ้นชาติ" เพราะว่าคนหวั่นไหวกันมาก

    ทีนี้หลวงพ่อไปไหนก็มีทหารตำรวจ ตอนนั้นรัสเซียยังเป็นคอมมิวนิสต์อยู่นี่ จ้างฆ่าพระ 50 องค์ (ตอนนี้รัสเซียไม่เป็นคอมมิวนิสต์แล้วนะ) หลวงพ่ออยู่เบอร์หนึ่งหรือสองนี่ เพราะว่ามันจะต้องทำลายจุดยึดเหนี่ยวของไทย คือ ศาสนา กับ พระมหากษัตริย์

    สองอย่างถ้าตีแตกเสียแล้ว คนอีกพวกหนึ่งจะได้ไปขอร้องเขามาช่วย อย่างเขมรตัวอย่าง ไปขอร้องเขามา มาช่วยหน่อยเถอะ คนพวกนี้ไม่ดีมาช่วยปราบให้หน่อย เขาก็เข้ามาได้โดยง่าย อย่างลาวก็ให้เวียดนามเข้ามา ตอนหลังลาวขายไม้ให้เวียดนาม เวียดนามก็ไม่จ่ายสตางค์ บอกว่าข้าไปช่วยแกเท่าไหร่แล้วนี่ นี่หลวงพ่อเล่านะ ตอนหลังก็มาขายให้ไทย

    "เป็นอันว่าแผนของคอมมิวนิสต์จะทำลายจุดรวมใจของคนก่อน"

    ใช่ๆ อย่าง "อาจารย์จำเนียร" ที่ถ้ำเสือ จ.กระบี่ มันเอาคนเข้าไปอยู่ในนั้น อาจารย์จำเนียรแกก็รู้ว่ามีคนเข้าไปจะฆ่าท่าน เข้าไปทางชีบ้างก็มี ต้องการทำลาย มีอยู่วันหนึ่ง อาจารย์จำเนียรท่านรู้ว่าจะมาฆ่าวันนี้ ท่านก็ทำหุ่นนอนในมุ้งท่าน เอาบาตรทำหัว จีวรคลุมให้ดีเลย

    มันเข้าไปก็แทงใหญ่ พอแทงก็สั่งคนล็อคเลย จับไปเลย เอาปืนของมันนั่นแหละขู่จะฆ่าเลย มันก็รับสารภาพว่ารับอาสาเขามา อาจารย์จำเนียรท่านเก่ง ท่านสู้กับคอมมิวนิสต์อยู่ในดงคอมมิวนิสต์เลยนี่ อาจารย์จำเนียรอยู่ในบัญชีกับเขาด้วย

    ทางหลวงพ่อท่านก็รู้ว่าจะมาทางนี้อย่างหนึ่ง ทางผู้หญิงอย่างหนึ่ง ถ้าเกิดมาทำสนิทสนมกับพระ ทำฉีกเสื้อฉีกผ้า หาว่าพระจะปล้ำใช่ไหม หลวงพ่อก็บอกถ้ามันทำอย่างนั้นแกแตะให้มันสลบไปเลยนะ เพราะเรื่องพระจะเสียหายนี่เกี่ยวกับผู้หญิงมาก แล้วก็เงินอีกอย่าง

    "แหม...แผนการร้ายมากนะ"

    ของเรามันก็มา ตอนนั้น พล.อ.พิจิตร กุลวณิชย์ ให้ทหารเอาของจะไปแจก เราเป็นศูนย์ฯใหญ่ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ให้ข้าวสารมา 2,000 กระสอบ น้ำตาล 200 กระสอบ แล้วก็มีปลาแห้ง ปลาเค็ม กะปิ น้ำปลา ทหารเขาไปทำ ป.จ.ว.เขาก็มาเอาของที่เรา

    เราก็มีตราของศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดาร วัดท่าซุง ทีนี้เวลาไปแจกพวกคอมมิวนิสต์ไปด้วย สงครามประชาชนมันมีนี่ เขาก็ต้องการยึดประชาชนเหมือนกัน เขาเห็นก็ไม่พอใจ ตามมาที่ศูนย์ของเรา จะเล่นต้นตอ เขาไม่ได้มาพร้อมกัน มาทีละคน นั่งตรงโน้นคน นั่งตรงนี้คน วางแผนกันมาแล้ว จะยิงจะฆ่าจะฟัน อย่างไรก็แล้วแต่

    แต่หลวงพ่อท่านก็รู้แล้ว ท่านก็บอกให้พระทหารหลายองค์ มี "สมศักดิ์ ชโลทัย ไตรรงค์ ทรงฤทธิ์" ท่านเป็นนักบินขับเอ.37 มาก่อน ศรัทธาหลวงพ่อลาออกหมด รู้ว่าหลวงพ่อมีอันตรายก็ช่วยกัน ระวังป้องกันเข้มแข็ง พระทหารก็วางแผนเลย ไปยืนมุมโน้นองค์ มุมนี้องค์ เอาเหล็กท่อนใส่ย่ามไว้

    เวลาไอ้พวก 4-5 คนมาก็วางย่ามกึ้งมันก็เหมือนปืนซิ เหล็กนี่ ไอ้พวกนั้นก็ชักหวั่นไหว เอ..กูทำแล้วจะรอดหรือเปล่าวะ พอมันไปกันแล้ว หลวงพ่อก็เล่าให้ฟัง มาอย่างนั้นอย่างนี้ มันจะจัดการเหมือนกันเพราะว่า เป็นศูนย์แย่งประชาชนแข่งกับมัน มันจะดึงไป เราก็จะดึงมา บางคนบอก แหม..พระยังกลัวตายอีก บอกเออ..พระยังกลัวตาย

    อย่างหลวงพ่อเล่าให้ฟัง ไปธุดงค์กลับมา ก่อนจะถึงวัดอีกไม่กี่กิโลควายมันขับพระ ควายกับพระมันไม่ถูกกัน เป็นยังไงไม่รู้ พระก็วิ่งโกยกันแน่บ อีกองค์บอก "ไหนว่ามึงถวายชีวิตแล้วไงล่ะ ทำไมยังวิ่งอีกวะ" หลวงพ่อบอก "กูไม่ได้ถวายชีวิตกับควายนี่หว่า กูถวายชีวิตกับพระพุทธเจ้า" ไอ้ควายเป็นฝูงมันเอาเรื่อง แปลกจริงๆ



    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 158 เมษายน 2537 หน้า 89-91)

    ผีอาละวาด

    เรื่องผี มีตัวอย่างที่หลวงพ่อเล่าให้ฟังรุ่นที่แล้วอาจจะเล่าไปแล้ว ขอเล่าซ้ำ เพื่อจะเป็นประโยชน์ในการใช้ของ คือหลวงพ่อนี่ท่านเป็นนักเทศน์ สมัยก่อนไปเที่ยวที่ไหนไม่ได้ไปด้วยรถเหมือนสมัยนี้ คือจะต้องเดินทาง เดินกลางคืนบ้าง เดินตอนเย็นบ้าง เดินตอนเช้าบ้าง ไม่เป็นเวลา

    มีวันหนึ่งถ้าเสร็จก็ต้องเดินกลางคืน เพื่อจะไปเทศน์อีกวัดหนึ่ง เดินไประหว่างทางฝนตก ชาวบ้านก็เห็นว่าพระเดินมาเย็นแล้ว เห็นหนาว ก็นิมนต์ให้พักที่บ้าน บ้านโบราณเขามี 3 หลัง เจ้าของบ้านให้นอนหลังเดียวกับเจ้าของบ้าน อีก 2 หลังนั้นเจ้าของบ้านไม่อนุญาตให้นอน หลวงพ่อเวลานอนกลางคืน ขอเล่าลัด ๆ เลยนะ หลวงพ่อก็สงสัยเจ้าของบ้านทำไมไม่ให้นอน บ้าน 2 หลังนั้นก็ไม่มีคนนอน

    ตกกลางคืนท่านก็แอบไปนอน แอบไปนอนบ้านที่เขาไม่ให้นอน พอนอนเท่านั้นเองที่มันกวน พี่มันมารออยู่ที่ห้องท่าน 3 คน 3 ตัวก็แล้วกัน หลวงพ่อก็บอกไล่ไป ๆ ข้าจะนอนมันก็ยังไม่ไป ไม่หนี พอไม่หนีท่านก็บอก ท่านก็ควักผ้ายันต์เกราะเพชรมาอธิษฐาน แล้วแกว่งไป 3 เที่ยว ผีหายออกไปหมดเลย คืนนั้นนอนหลับ

    ตื่นเช้ามา เจ้าของอยู่นอกบ้าน กลับมาไม่มีผีอยู่ที่บ้านเลย ผีหนีไปหมด เจ้าของบ้านก็ถามหลวงพ่อว่า ผีเขาไปไหนผีเขาไปไหน หลวงพ่อกำลังฉันข้าวอยู่ บอกแก นี่เมื่อคืนกวนฉัน เลยไล่ไปอยู่ข้างนอกเดี๋ยวมันก็กลับมา

    ทีนี้เราก็ถาม หลวงพ่อครับผ้ายันต์เกราะเพชรนี่สมัยหลวงปู่ปานหรือเปล่าครับ

    หลวงพ่อบอก สมัยหลวงปู่ปาน

    แล้วถามว่า สมัยนี้ยังใช้ได้อยู่หรือเปล่าครับ

    ท่านบอก ใช้ได้ ข้าไม่ได้ทำเองหรอกหลวงปู่ปานทำ มันอยู่ที่อธิษฐาน เอาผ้ายันต์มาอธิษฐาน นึกถึงบารมีของพระพุทธเจ้า ทีนี้ใครมีของอยู่ ขอให้ติดตัวไว้ก็แล้วกัน อาจจะมีผีหลอกบ้าง ใช้อธิษฐาน

    คือเคล็ดลับจะต้องอธิษฐานขอบารมีพระนี่แหละ

    ขนาดผ้ายันต์อยู่ในตัวท่านยังหลอกได้ สมัยก่อนโบราณเขาเลี้ยงผีกัน เรียกว่าผีโรงอะไรนี่


    (จาก ธัมมวิโมกข์ มกราคม 2562 หน้า 27-30)


    สมาธิ มี 2 แบบ

    เอ้อ..สมาธินี่มันมี 2 แบบ พระพุทธเจ้า ท่านสอนไว้ 2 แบบ คือ

    "แบบทรงอารมณ์" กับ "แบบคิด"

    บางครั้งถ้าจิตมัน "ต้องการทรงอารมณ์ ต้องการสงัดก็ต้องภาวนา" ท่านจะสบาย

    บางครั้งมันซ่าน "ต้องการคิด เราก็คิดอยู่ในขอบเขต"

    ไอ้คิดในขอบเขตมันคิดว่า "ร่างกายนี่มันก็เป็นทุกข์ทุกอย่าง"

    เกิด แก่ เจ็บ ตาย พลัดพรากจากของรักของชอบใจ การทำมาหากินก็เป็นทุกข์ทั้งหมด ความเป็นมนุษย์นี่มันเป็นทุกข์ ถ้าเป็นเทวดาหรือพรหมมันก็สุขชั่วคราว ไม่ช้าก็จุติอีก สู้เราไปนิพพานไม่ได้

    ก็คิดกันแบบนี้ง่ายๆ แบบนี้ที่ว่าการปฏิบัติจริงๆ เขาไม่ใช้ยาว เขาสั้นๆ

    แบบแม่ครัวทำกับข้าว ถ้าไปดูตำราชั่งโน้นชั่งนี่ ยังไม่ได้กินกันเลย ใช่ไหม สู้เอามือหยิบๆใส่ไม่ได้ อร่อยกว่าใช่ไหม ก็แบบเดียวกัน


    (จาก ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 290 พฤษภาคม 2548 หน้า 18-19)

    เล่าเรื่องพระพุทธรูป

    ใครมีพระพุทธรูปอยู่ที่บ้าน จะเป็นพระอิฐ พระปูน พระทองเหลือง พระแก้วก็ดี อย่านึกว่าไหว้แล้วพระพุทธเจ้าไม่รู้

    มันมีเรื่องๆหนึ่งอยู่ที่วัด มีคนมาขอพระพุทธรูปข้างโบสถ์ที่วัด พอขอไปแล้วพระพุทธเจ้ามาบอกกับหลวงพ่อว่า “ต่อไปนี้ใครมาขอฉันไป คุณอย่าให้นะ ไอ้พวกนี้มันไม่ไหว้ฉันหรอก มันเอาไปหากิน”

    พระพุทธเจ้าแม้จะปรินิพพานแล้ว ใครจะกราบท่าน ไหว้ท่าน ท่านรู้ สังเกตดู หลวงพ่อจะกราบพระอิฐพระปูนข้างวัดก็ช่างเถอะ เรางี้อาย ท่านกราบแบบนอบน้อม ยกมือแต่ละครั้งเหมือนกับว่าท่านไหว้พ่อไหว้แม่จริงๆ เห็นใครกราบพระไม่สวยเท่าหลวงพ่อเลย เราต้องอายเลยท่านกราบด้วยใจจริงๆ


    (จาก ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 146 เมษายน 2536 หน้า 107)


    การส่งจิต

    ผู้ถาม : ในเรื่อง "มโนมยิทธิ" คือวันนี้ผมคิดว่าจะส่งจิตไปถึงเขา แต่ว่ายังไม่ส่ง จะส่งอีก 3 อาทิตย์ แต่ทำไมเขาถึงรับได้ครับ

    หลวงพ่อ : คือว่าเรื่องของจิต มันทำงานเอง ไม่ต้องคุมหรอก ถ้าการควรเกิดขึ้นมันทำเลย ความรู้สึกทางร่างกายนี้หยาบกว่า

    ความเป็นทิพย์ของจิตเขาทำงานตามหน้าที่ ไม่ต้องใช้เวลาหรอก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน อย่างไป จุฬามณี ต้องใช้เวลาหรือเปล่า นึกปั๊บก็ถึงเลย

    มันมีเรื่องอยู่เรื่องหนึ่ง บางคนเขาไม่ได้ทำกรรมฐาน บางทีเราไปถึงเทวดาก็ดี พรหมก็ดี นิพพานก็ดี เราเจอะภาพเขาได้ ตัวเองเขาไม่รู้ ตัวนอกเขาไม่รู้ แต่ตัวในเขาทำงาน


    (จาก ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 248 พฤศจิกายน 2544 หน้า 60)


    การแต่งตัวสวย

    ผู้ถาม : หลวงพ่อคะ การแต่งตัวสวยๆ เพื่อปรับตัวให้เข้ากับสังคม อย่างนี้เรียกว่าเป็นพวก ราคจริต หรือเปล่าคะ?

    หลวงพ่อ : อันนี้เป็นถือว่าเป็น ราคจริต

    ความจริงการแต่งตัวนี่นะ แต่งตัวปกติ เขาไม่ถือว่าเป็น ราคจริต และเราก็ไม่ถือว่าขาดศีล 8 ถ้าสังคมนี้เขาแต่งตัวแบบนี้ เพื่อไม่ให้เก้อเขิน เราก็แต่งตัวแบบนั้น เราทำเพื่อความเหมาะสม

    ไอ้แต่งตัวเพื่อ ร าคจริต มันต้องเรียบร้อยเป็นพิเศษ ถ้าเป็นบ้าน อะไรนิดอะไรหน่อยต้องสะอาดหมด ทุกอย่างต้องเรียบร้อย

    แต่ ราคจริต เขาไม่ตำหนิว่าเลว ถือว่าเลวไม่ได้นะ คือเขาเป็นคนชอบสวยชอบสะอาด แต่บางคนคิดว่าคนที่มี ราคจริต เป็นคนมักมากในกามารมณ์ก็ยุ่งซิ มันคนละเรื่อง

    คือ ราคจริต แค่รักสวยรักงาม รักความสะอาดเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับกามารมณ์ บางคนเขาสวยแสนสวย แต่ก็ไม่ยุ่งอะไรมากเป็นไปตามกฏธรรมดา

    ตัวอย่างพระลูกชายนายช่างทอง เป็นคนสวยด้วย เป็นคนหนุ่มด้วย เป็นคนรวยด้วย พระสารีบุตร ท่านเข้าใจว่าเป็นคนที่มี ราคจริต ท่านจึงให้กรรมฐาน อสุภกรรมฐาน ท่านเลยไม่ได้อะไร แต่เนื้อแท้จริงๆ ท่านเป็นคน โทสจริต

    พอไปหาพระพุทธเจ้า ท่านให้เพ่งโลหิตกสิณ เดี๋ยวเดียวก็ได้ฌาน 4 อีกเดี๋ยวเดียวก็ได้เป็นอรหันต์ นี่คนละเรื่องเลย ใช่ไหม

    ผู้ถาม : ตอนแรกเข้าใจว่าอย่างนั้นค่ะ ก็นึกเสมอว่า ตัวเองยังเป็นพวก ราคจริต แล้วก็ยังตัด ราคจริต ไม่ได้ ตอนนี้เข้าใจแล้วค่ะ


    (จาก ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 247 ตุลาคม 2544 หน้า 78)


    ลูกศิษย์สมบูรณ์แบบ

    ผู้ถาม : กระผมปฏิบัติตามคำแนะนำของหลวงพ่อ แต่ว่าไม่ค่อยมีโอกาสได้ใกล้ชิดสนิทสนมหลวงพ่อ อย่างนี้จะเรียกว่าเป็นลูกศิษย์สมบูรณ์หรือเปล่าขอรับ ?

    หลวงพ่อ : คำว่าลูกศิษย์จริงๆ อยู่ใกล้หรืออยู่ไกลไม่สำคัญ ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำถือว่าเป็นลูกศิษย์สมบูรณ์แบบ ถ้าอยู่ใกล้ดื้อก็ไม่ถือว่า เป็นลูกศิษย์

    ดูตัวอย่างพระพุทธเจ้าที่ท่านตรัสกับพระอานนท์

    "อานันทะ ดูก่อนอานนท์ ในสมัยที่ตถาคตมีชีวิตอยู่ก็ดี หรือนิพพานแล้วก็ตาม บุคคลใดมีชีวิตอยู่ แล้วเกาะสังฆาฏิของตถาคตอยู่ แต่ว่าบุคคลนั้นไม่เคยเจริญพุทธานุสสติกรรมฐาน ก็ถือว่าบุคคลนั้นไม่เห็นตถาคตเลย

    ถ้าตถาคตมีชีวิตอยู่ก็ตาม นิพพานไปแล้วก็ตาม ถ้าบุคคลใดเจริญพุทธานุสสติกรรมฐานเป็นปกติ ตถาคตถือว่าบุคคลนั้นเกาะสังฆาฏิของตถาคตอยู่"

    คำว่าลูกศิษย์จริงๆ ก็ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำ ไม่เกี่ยวกับการอยู่ใกล้อยู่ไกล ถ้าอยู่ใกล้ไม่ปฏิบัติตามก็ตามกันไปไม่ได้ คนหนึ่งอยู่นิพพาน คนหนึ่งอยู่อเวจี

    ผู้ถาม : มีเหมือนกันหรือครับ ?

    หลวงพ่อ : เยอะเลย อย่างพระเทวทัต ไงล่ะ

    ผู้ถาม : อย่างนี้ใครปฏิบัติไม่ดีก็...

    หลวงพ่อ : ก็ช่วยอะไรไม่ได้ จะดีจะชั่วอยู่ที่ผลการปฏิบัติ ไม่ใช่เรื่องของคนสอน คนสอนแล้วไม่ปฏิบัติตามก็ไม่มีผล ใช่ไหม

    อย่างพระเทวทัตเป็นพี่เขย เป็นพี่พระนางพิมพา บวชแล้วได้อภิญญา 5 เหาะเหินเดินอากาศได้ ในที่สุดปฏิบัติชั่วก็ไปอเวจีมหานรก

    ฉะนั้นการเป็นลูกศิษย์ลูกหาไม่ได้อยู่ใกล้หรืออยู่ไกล

    ไกลแสนไกลถ้าปฏิบัติตามก็เหมือนอยู่ใกล้ตัว

    คนที่อยู่ใกล้แต่ไม่ปฏิบัติตามก็เหมือนกับคนไม่เห็นกันเลย


    (จาก ธัมมวิโมกข์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 40 หน้า 68-69)


    เถียงกันเรื่องนิพพาน

    ผู้ถาม : เรื่องนิพพานนั้นลูกต้องเถียงคอเป็นเอ็นกับพวกที่ไม่เชื่อถือ โดยให้เหตุผลว่านิพพานมีจริงนะ เขาก็บอกว่า นิพพานสูญ นิพพานว่าง ไม่มีอะไรเกิดอีกต่อไป เถียงกันอย่างนี้ไม่สิ้นสุด ลูกอยากจะหาเหตุผลจากหลวงพ่อ เพื่อไปต่อสู้กับพวกนี้สักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ

    หลวงพ่อ : (หัวเราะ) อย่าไปเถียงเขาเลย สิ่งที่ไม่สามารถจะหยิบมาให้เห็นกันได้น่ะ มันไม่ใช่วัตถุ เถียงกันไปมันก็ไม่มีประโยชน์ ในเมื่อเขาไม่เชื่อก็แล้วไป ไม่ต้องคุยกันให้มันเหนื่อย หมดเรื่องหมดราว

    ถ้าขืนเถียงไปก็แค่นั้น อารมณ์ก็ขุ่นมัว จิตใจก็เศร้าหมองไม่ได้เกิดประโยชน์ เขาดับก็ดับไป เขาสูญก็สูญไป ถ้าเราไม่ดับไม่สูญเราก็อยู่ก่อน "นิพพานัง ปรมัง สุญญัง" เขาแปลว่า "นิพพานเป็นธรรมว่างอย่างยิ่ง"

    คือว่างจากความชั่วทุกอย่าง ราคะก็ไม่มี โลภะก็ไม่มี โทสะก็ไม่มี โมหะก็ไม่มี มันหมดตัว ความชั่วไม่เหลือ ความชั่วเหลือนิดหน่อยจะไปนิพพานไม่ได้ จิตสะอาดจริงๆ

    ผู้ถาม : แล้วเวลาที่พระอรหันต์ก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดีเข้านิพพานแล้ว จิตยังเกิดต่อไปหรือว่าสูญหายไปครับ?

    หลวงพ่อ : จิตก็คืออทิสสมานกาย ภาษาหนังสือเราเรียกว่าจิต จริงๆ แล้วก็เป็นกายๆ หนึ่ง เขาเรียกว่ากายทิพย์ก็แล้วกัน ถ้าจากเทวดาขึ้นไปเรียกว่ากายทิพย์นะ ถ้าจากอบายภูมิเรียกกายทิพย์ไม่ได้ เขาจึงใช้ศัพท์ว่า "อทิสสมานกาย" แปลว่า กายที่ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเนื้อ เป็นนามธรรม

    ถามว่านามธรรมนั้นมีเมืองไหม ก็มี เมืองเป็นนามธรรมเหมือนกัน อย่างเทวดาเราก็เขื่อว่าเทวดามี ไม่สูญ ใช่ไหม เราก็เชื่อว่าพรหมมี ไม่สูญ แต่ใครไปจับเทวดากับพรหมมาให้ดูซิ แต่เราก็ไม่สามารถจะเอาเทวดาหรือวิมานของเทวดามาให้ดูได้ เพราะเขาเป็นนามธรรม

    นิพพานก็เหมือนกันเป็นนามธรรมที่ละเอียดกว่าชั้นพรหม นามธรรมนี่มันละเอียดไม่เท่ากัน อย่างคนกับสัตว์นี่มีร่างกายหยาบ ไปถึงขั้นเปรต เปรตนี่กายละเอียดกว่าคน แต่หยาบกว่าเทวดา ถ้าเปรตหรือผีไม่ต้องการให้เราเห็น เราก็จะเห็นไม่ได้ ถ้าเปรตหรือผีต้องการให้เราเห็นเราจึงเห็นได้

    ทีนี้ไปถึงเทวดา ถ้าเทวดาไม่ต้องการให้เปรตหรือผีเห็น เปรตหรือผีก็เห็นไม่ได้เหมือนกัน พรหมร่างกายละเอียดกว่าเทวดา ถ้าพรหมไม่ต้องการให้เทวดาเห็น เทวดาก็เห็นไม่ได้ ทีนี้พระอริยเจ้าที่เข้าพระนิพพานร่างกายละเอียดที่สุด คือว่าพรหมก็จะไม่สามารถเห็นได้ถ้าไม่ต้องการให้เห็น แตกต่างกันแบบนี้นะ

    รวมความว่านามธรรมเขามีจริง แต่ว่าถ้าคุยกับนามธรรมก็ใช้นามธรรมด้วยกัน คือ ใช้จิต คือทำจิตให้เป็นทิพย์ คืออทิสมานกาย ทำให้เป็นทิพย์เสีย แล้วก็ไปเที่ยวเมืองทิพย์ ทิพย์ต่อทิพย์มันเห็นกันได้


    (จาก ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 165 ธันวาคม 2537 หน้า 54-55)


    เรื่อง กรรมบท 10


    ลูกศิษย์ : ทีนี้ ถ้าพูดตลก กรรมบถ 10 ขาดไหม ศีลขาดไหม

    หลวงพ่อ : คือไม่ชนกับศีล ศีลไม่ขาดนะ เขาตลก จะหาว่าพูดไร้สาระยังไม่ได้นะ ตลกเพื่อความรื่นเริง ไม่มีอะไรเลย ทำใจคนอื่นให้ชุ่มชื่น ไม่มีอะไร

    พระพุทธเจ้าท่านเคยทำ พระสารีบุตรท่านเคยทำ พระสาวกหลายองค์เคยทำ ต้องทำถ้าสมาคมนี้จะเหงาเกินไป ก็ต้องทำให้เกิดความรื่นเริง แต่ไม่ผิดศีล ผิดธรรม

    ลูกศิษย์ : ...........

    หลวงพ่อ : นั่นเขารวมคำแล้ว เขารวมคำๆ ไว้นะ นั่นเขารวมไว้ในกลุ่ม มันไม่เป็นไร เขาพูดตลกคะนอง เขาพูดทำให้คนอื่นหัวเราะ เขาทำให้จิตใจเราชุ่มชื่น แต่ใจเขาเองน่ะเขาจะรู้ ถ้าเขาพูดดีน่ะ ใจเราสบาย อย่าลืมนะ

    ลูกศิษย์ : ...........

    หลวงพ่อ : ลามก ก็คนที่ลามกเขาก็ชอบนี่ เขาก็พูดให้ชอบ แกงต้มให้คนกิน ก็ต้องทำตามแต่ละคนใช่ไหม คนนี้กินเค็มชอบเค็ม เราทำเปรี้ยวเขาก็กินไม่ได้ เขาชอบเปรี้ยว เราทำเค็มเขาก็กินไม่ได้ ต้องทำให้เหมาะสม

    คนลามกก็ชอบภาษาลามกไม่เป็นไร คือไม่ได้โกหก ไม่โกหก ไม่สร้างความสะเทือนใจให้เกิดแก่เขานะ ทำใจให้สบาย ใช่ไหม

    แล้วประการที่ 2 เขาไม่ได้สร้างความแตกร้าวให้เกิดแก่ใคร อันนี้โทษเขาไม่ได้หนู อย่าหาว่าเขาบาป ผิด ถ้าถามผิดศีลข้อไหน บอกผิดทุกข้อ คือไม่ชนศีล ศีลไม่ขาด ศีลไม่ช้ำนะ หือหมอ ถ้าชนศีล ชนแรง ศีลขาด ชนเบา ศีลช้ำ เดี๋ยวมีเวลา 15 นาที

    ลูกศิษย์ : ...........

    หลวงพ่อ : หน้าบึ้งน่ะดี ไม่ทำชาวบ้านเขากลุ้ม เวลาไม่พูดด้วยช่างมัน บึ้งได้บึ้งไป จะได้หมดเรื่องหมดราว แกอยากบึ้งแกนั่งเฉยๆไปหมดเรื่อง ก็ไม่ต้องพูดกัน

    ลูกศิษย์ : ...........

    หลวงพ่อ : เขาไม่ได้ต้องการให้ชอบนี่ แต่คนชอบบึ้งอาจจะมีนะ อย่างน้อยที่สุด ตัวเขาเองเขาชอบ (หัวเราะ) มีหนึ่งคนคือเขาชอบบึ้ง หน้าบึ้งเกินไป ก็สุดแล้วแต่อารมณ์คน

    ทางที่ดีแล้วไม่ควรจะฝึก จิตใจมันเศร้าหมองนะ ถ้าเราหัวเราะได้อย่างน้อยที่สุด แกก็จะได้ชุ่มชื่น ใช่ไหม หัดหัวเราะให้มากดีกว่า มันทำลายโทสะไปในตัว หัวเราะได้ ยิ้มได้ ใจชุ่มชื่นมากกว่า


    (จากหนังสือ รวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 10 หน้า 295-296)


    พื้นฐานกรรมฐาน

    ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ การเจริญพระกรรมฐาน ต้องมีพื้นฐานอะไรบ้างครับ ?

    หลวงพ่อ : พื้นฐานเหรอ ถ้าเป็นผู้ชายต้องมีกางเกง "พื้นฐานจริงๆ ก็มีศรัทธาความเชื่อ ตัวนี้ตัวเดียว พระศาสนาเรา ถ้าไม่มีความเชื่อเสียอย่างเดียว ไม่มีอะไรเป็นผล และต้องใช้ปัญญาร่วมด้วยนะ"

    เขาแนะนำกันมาเราคิดดู มันควรหรือไม่ควร แต่อีกสิ่งที่เป็นฤทธิ์ มันเกินวิสัยที่เราจะคิด

    อย่างฤทธิ์ของ วิชชาสาม

    ฤทธิ์ของ อภิญญา

    ฤทธิ์ของ ปฏิสัมภิทาญาณ

    นี่เราคิดไม่ได้ เพราะขืนคิดบ้า คิดยังไงมันก็ไม่ลงตัว มันจะเหมือนกับที่เราคิดไม่ได้ เราจะตัดความสามารถของฤทธิ์ก็ตัดไม่ลง

    อย่าง "วิชชาสาม" มี "ทิพพจักขุญาณ" ถือว่า "มีฤทธิ์ทางใจ" ตามธรรมดาเราไม่สามารถเห็นสิ่งของที่ลี้ลับได้ใช่ไหม แต่ถ้าเขาได้ "ทิพพจักขุญาณ" คุณไม่มีอะไรหนีเขาเลย วางโลกไหนก็รู้ได้ทุกโลก นี่ถ้าเขารู้จักใช้นะ

    ที่ฝึกไปแล้วไม่รู้จักใช้นี่เยอะ 90 เปอร์เซ็นต์ เศษๆหน่อยๆ เอาไปแล้วไม่รู้จะใช้อะไรดีบางทีก็ปล่อยบูดไปเลย มีเยอะแยะจริงๆ

    แล้วถ้าทำได้แล้วเขาต้องฝึกซ้อม ทำอยู่เสมอๆ ได้ง่ายเกินไปเลยปล่อยหายเลย อย่างนี้มีเยอะแยะ


    (จาก ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 274 มกราคม 2547 หน้า 55-56)

    ตัดกิเลสรวบรัด

    ผู้ถาม : หลวงพ่อเจ้าขา จะมีวิธีรวบรัดอย่างไรจึงจะทำให้กิเลสหดตัวเร็วเจ้าค่ะ ?

    หลวงพ่อ : หดตัวนี่ทำไม่ยากนะ ใช้เตาใหญ่ เตาเท่ากระทะนะ เอาเหล็กวางทำขาเข้า เอาถ่านใส่ข้างล่าง เราไปนอนข้างบน กิเลสค่อยๆหดไปทีละน้อย ๆ (หัวเราะ)

    ถ้าถามอย่างนี้ก็ตอบได้ แต่มันทำไม่ได้ คำตอบที่พระพุทธเจ้าท่านตอบอยู่แล้วคือ

    1. การให้ทาน เป็นปัจจัยตัดความโลภ

    2. รักษาศีล มีเมตตา กรุณา 2 อย่างนะ เป็นปัจจัยตัดความโกรธ

    3. การภาวนา พิจารณาขันธ์ 5 ว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เป็นการตัดความหลง

    พระพุทธเจ้าสอนแล้วนะ ทำเอาก็แล้วกัน

    ผู้ถาม : ไอ้ที่ปฏิบัติอย่างหนึ่ง ปากพูดอย่างหนึ่งนี่มันไม่ตรงกัน มันยังไงครับ?

    หลวงพ่อ : ไอ้นั่นเป็นของธรรมดานะ ในเมื่อกิเลส ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรม ยังสิงอยู่มาก มันก็ทำจิตให้แปรปรวนได้ ก็ต้องค่อยๆข่มมัน เพื่อให้จิตทรงตัวนี่เป็นการข่ม ในเมื่ออารมณ์มันชินเป็นฌาน ขณะมันเป็นฌานมันก็ยังกวนอยู่

    แต่ขณะใดที่ทรงฌานมันก็เข้าไม่ได้เป็นพักๆ ไม่ช้านานเท่าไรก็เกิดอาการเพลีย พอปัญญาเกิดขึ้นก็ค่อยๆตัด พังไปเอง


    (จาก ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 84 กุมภาพันธ์ 2531 หน้า 10-11)




    เรื่อง สมาธิ

    "มีคำถามว่า สมาธิแบ่งออกได้หลายแบบ หลายวิธีการ แต่ละวิธีมีจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกันออกไป บ้างก็ว่าให้ถือกำหนดลมหายใจ บ้างก็ว่าให้คิดถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง บ้างก็ว่าคือการมองเข้าไปในสิ่งที่เป็นอยู่จริง

    อยากทราบว่าแท้ที่จริงแล้ว สมาธิคืออะไร และมีข้อควรปฏิบัติอย่างไร และจะถือหลักใดในการปฏิบัติ"

    เอ้อ สมาธิยกไปก่อน คุยถึงเรื่องกินก่อน คือคนกินข้าวนี่ กินข้าวก็อิ่มใช่ไหม กินก๋วยเตี๋ยวก็อิ่ม กินขนมปังก็อิ่ม กินกาแฟก็อิ่ม กินให้อิ่มเพื่อต้องการไม่ให้ร่างกายหิว ร่างกายมันหิวถึงกินใช่ไหม สมาธิก็เหมือนกัน ทำเพื่อต้องการให้จิตสงบ

    เพราะฉะนั้นจะจับภาพพระก็ดี จะภาวนา นะมะ พะธะ ก็ดี จะรู้ลมหายใจเข้าออกก็ดี เป็นอุบายอย่างหนึ่งให้จิตสงบ ฉะนั้น คนทุกคนนี่จริตไม่เหมือนกัน คือนิสัยของคนไม่เหมือนกัน บางคนก็ชอบสีเขียว บางคนก็ชอบสีแดง ใครพอใจสีไหนก็เอาสีนั้น ทีนี้การภาวนา ใครชอบอย่างใดก็เอาอย่างนั้น

    พระพุทธเจ้าจึงสอนกับคนทุกคนที่มีจริตทุกจริตได้หมด ฉะนั้นถึงแยกแยะการภาวนาให้ตรงกับนิสัยกับจริตของคน ภาวนาแบบไหนก็ไม่ผิด ขอให้จิตเป็นสมาธิก็แล้วกัน ถ้าภาวนาแบบไหนถ้าไม่มีสมาธิก็แสดงว่าผิดแล้ว ผิดทางเพราะสมาธินี่มีแค่ขณิกสมาธิ นี่จิตก็เริ่มสุขแล้ว ถ้าภาวนาไปจิตฟุ้งซ่านต้องหยุดหรือเครียดต้องหยุด แสดงว่าผิดทาง แค่เข้าไปถึงประตูนี่มันยังไม่เข้าทาง เข้าไปชิมหน่อยเดียวมันยังไม่สุข นี่แสดงว่าผิดแล้ว ผิดทาง ต้องหยุด กลับมาตั้งหลักใหม่

    อย่างอานาปานุสสติ อย่างนี้เป็นต้น อานาปาฯ คือรู้ลมหายใจเข้าออก รู้ลมหายใจนะ แต่เรากลัวมันจะไม่รู้ เอ๊ะ มันไม่รู้สักทีวะ สูดซะแรงๆ บางทีก็เกร็งลม คือรินลมน่ะ กลัวลมจะออกไม่เป็นธรรมชาติ รินออกรินเข้า หนักเข้าเหนื่อย เหนื่อยก็เครียด แสดงว่าผิดแล้ว พระพุทธเจ้าให้รู้ลมหายใจเข้าออกเฉยๆ หรือภาวนาควบไปด้วย

    แต่คนเราถ้าฝึกใหม่ๆ คล้ายกับมันจะแน่นหน้าอกไปหมด ตึงประสาทไปหมด แสดงว่าผิด ค่อยๆ รู้เข้ารู้ออกก่อน หยาบสุดต้องรู้เข้ารู้ออกเฉยๆก่อน ถ้าต่อไปถึงจะรู้อ้อ มันเข้าไปถึงไหนแล้ว มันออกไปถึงไหนแล้ว ต่อไปมันจะรู้ มันเข้าไปถึงนั่นมันละเอียด อ้อ เห็นสายลมแล้ว จิตก็จะเริ่มเบา จิตก็จะสุขขึ้น สุขแสดงว่าถูกทางแล้ว ถ้าเครียดต้องหยุด

    การปฏิบัติธรรมนี่จะยากอยู่ช่วงสมาธิต้นๆ เท่านั้นเอง ฉะนั้นที่ถามว่า ภาวนาอย่างไร อะไรอย่างไร คือว่าให้พอกับจริตของคน ใครชอบอย่างไรให้เอาอย่างนั้นนะ หลวงพ่อสอนนะ แต่สำนักบางสำนักอื่นเขาสอนให้ภาวนาพุทโธก็ดี หรือภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่งก็ดี ก็ภาวนาก็ไม่ผิด แต่ว่ามันเหมือนกับอะไรล่ะ

    อย่างวัดท่าซุง หรือหลวงพ่อของเรานี่มีแกง 40 หม้อ เลือกกินเอา แต่วัดอื่นมีแกงหม้อเดียว เราจะเลือกกินเอาร้านไหนก็แล้วแต่ กินอิ่มเหมือนกันนี่ แต่เราไปเลือกเอา กรรมฐานคือกรรมฐาน 40 ข้อ ชอบใจตัวไหนก็เอา

    “เอาเป็นว่าตอบข้อหนึ่ง ก็คือ สมาธิคืออุบาย เครื่องสงบใจ ทำให้ให้สงบ ควรจะปฏิบัติอย่างไร ก็บอกว่ากรรมฐาน 40 น่ะ ไปเลือกเอาเถอะ

    ทีนี้เขาถามว่า แล้วจะยึดหลักใดในการปฏิบัติ หรือว่าต้องให้ไปอ่านกรรมฐาน 40 เสียก่อน แล้วค่อยมาคุยกันใหม่”

    คือพื้นฐานจริงๆ แล้วนี่ท่านให้เอาอานาปาฯ เป็นหลักไว้ อานาปาฯ นี่เป็นต้น ตัวนี้ทำให้สงบง่ายขึ้น ถ้าได้ตัวนี้แล้วตัวอื่นจะง่ายขึ้น อานาปาฯ นี่เป็นกรรมฐานที่ละเอียด แล้วก็เป็นหลักใหญ่ ถ้าจับกสิณแล้วอานาปาฯ ไม่ทรง ก็จะทรงตัวยาก ถ้าได้อานาปาฯ เสียแล้ว ตัวอื่นจะง่ายหมด

    ไอ้ตัวอานาปาฯ มันตัวลบคลื่น จะจับกสิณสีแดงก็ต้องมาลงที่ศูนย์อานาปาฯ นี่ จะเปลี่ยนเป็นสีเขียว สีอะไรได้ อานาปาฯ คล่องเสียมันก็เปลี่ยนง่าย อานาปาฯ คือลบอารมณ์ฟุ้งซ่าน

    “ทีนี้พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเคยปรารภว่า ในกรรมฐาน 40 หรือว่า ถ้ารวมมหาสติปัฏฐานสูตรเป็น 41 นี่ เป็นกรรมฐานพิจารณาเสียตั้ง 29 เป็นกรรมฐานภาวนาแค่ 11

    คือ อานาปาฯ กับกสิณ 10 เป็นกรรมฐานภาวนา ในขณะที่อื่นๆนี่ ไม่ว่าจะเป็นอนุสสติก็ดี จะเป็นพรหมวิหาร 4 จะเป็นอะไรก็ตามแต่เถิด เป็นกรรมฐานพิจารณา ทีนี้แม้แต่กรรมฐานพิจารณาก็ต้องตั้งต้นที่อานาปาฯ ใช่ไหมครับ หรือว่าอย่างไรครับ”

    ใช่ๆ ท่านบอกว่าถ้าไม่มีอานาปาฯ อย่างอื่นไม่ทรงตัว

    “อย่างเช่นว่าจะเอาตัวเมตตาเป็นบทกรรมฐานอย่างนี้ จะพิจารณาเมตตาอย่างเดียวไม่ได้ ต้องตั้งต้นที่อานาปาฯ เสียก่อน พอกำลังใจนิ่งดีแล้ว ทีนี้ก็จะพิจารณาได้ทะลุปรุโปร่งใช่ไหมครับ”

    แต่บางอย่างท่านก็ให้คิดพิจารณาเสียก่อน พิจารณาจนจิตเย็นแล้ว อ่อนดีแล้ว อย่างเช่นหลวงปู่ปานสอนให้หลวงพ่อใช่ไหม หลวงพ่อชอบอิทธิฤทธิ์นี่ ชอบฤทธิ์ชอบเดช โอ๊ย...แกจะให้มีอภิญญาทรงตัวแกต้องพิจารณาเสียก่อนว่า

    เออ...ร่างกายนี่มันไม่เที่ยงนะ มันต้องตายนะ พิจารณาให้จิตยอมรับ หลวงพ่อก็เออ... จะให้มีฤทธิ์มีเดชใช่ไหม ก็ต้องพิจารณาตรงนี้ ที่แท้หลวงปู่ปานสอนวิปัสสนาญาณให้เสียจนชุ่มหมดแล้ว พอสมาธิทรงตัวมันก็ง่าย หลวงปู่ปานฉลาดกว่าหลวงพ่อ

    “เอ๊ะ แต่ได้ข่าวว่าท่านพระครูปลัดฯ ท่านเจ้าอาวาสนี่ท่านก็ชอบฤทธิ์ชอบเดชอยู่ไม่ใช่หรือครับ”

    ชอบ...โอ้โห ชอบจังเลย ชอบจนเขี้ยวเหี้ยนหมดเลย ไม่ได้สักอย่าง มันเป็นบุพกรรมต้องชอบสุกขวิปัสสโก คือตัวเองมันเกี่ยวกับกลัวจะตายเสียก่อน กลัวจะไม่ได้อะไรสักอย่างเลย คือมันเป็นคนคิดมากอยู่อย่างว่า ไอ้ที่เรารู้มันจริงหรือเปล่า บางทีมันก็จริงมั่ง บางทีก็ไม่จริงมั่ง เราก็ เอ๊ มันจะเสียเวลาเสียแล้ว

    “ชักจะมีมรณานุสสติ ว่าอย่างนั้นเถอะ”

    ใช่ กลัวจะเสียเวลาเกินไป สอง กลัวเราจะเสียพระเสียก่อน เลยต้องตัดออกไปให้หมด

    (่จากหนังสือ ที่ระลึกงานกตัญญูกตเวทิตามงคล หน้า 128-131)


    เรื่อง...คนตายแล้วฟื้นที่เวอร์จิเนีย

    เมื่อกลับมาวันนี้ไปบ้านจ่าปัญญา

    "เป็นยังไงครับไปบ้านนั้น"

    โยมเชิญก็มาบอกให้ฟังว่า ที่เวอร์จีเนียหรือไง เขาเกิดตายกัน เป็นลูกสะใภ้ของคุณถนัด คอมันตร์

    "โอ้โฮ"

    ลูกสะใภ้ของถนัด คอมันตร์นะเกิดตายเป็นมะเร็งที่ในตับหรือปอดอะไรนี่แหละนะ เกิดตายไป 4 ช.ม. แล้วฟื้นขึ้นมาอีก พอฟื้นขึ้นมาๆบอกกับพี่น้องว่าจะร้องไห้ทำไม บอกว่าไปกราบหลวงพ่อมา

    "อ๊อ"

    ไปกราบหลวงพ่อมา ไปเจอพระอะไรต่อมิอะไรอย่างนี้ หลังจากสี่ชั่วโมงก็ตายไปเลย พอตายไปก็เกิดเผากระดูกเป็นพระธาตุ เป็นแก้วใสไปหมด ก็ร่ำลือกันที่เวอร์จิเนียนี่ คนก็มาดูพระธาตุกัน เกิดจับกลุ่ม

    ทีนี้ก็เราไปทีนี้ก็จะไปสอนที่นี่นะ คนเขาเริ่มเห็นตายกันแล้วนี่ คนนี้หลวงพ่อไปคราวที่แล้วเขาก็ฝึกได้ สามีฝึกไม่ได้ลูกฝึกไม่ได้ แต่คนนี้ฝึกได้ แล้วเป็นมะเร็งทรมานมาก เพิ่งมาเห็นคุณต้อยบอกต้องการฝิ่นแก้ระงับอักเสบ

    "โอ้โฮ ทรมานมาก ที่สำคัญตรงฟื้นขึ้นมาสั่งความน่ะสิ"

    ฟื้นขึ้นมาสั่งความ กระดูกเป็นแก้วเลยเป็นสิ่งมหัศจรรย์มากที่เวอร์จิเนีย ก็ฟื้นมาบอกว่าไปกราบหลวงพ่อมา หลวงพ่อไปที่องค์ปฐม เขาไม่เคยมาวัดนี่ หลวงปู่ปานอยู่ที่นั่น
    กลับมาก็มาเล่าให้ฟัง

    ทีนี้ก็เกิดคนเขาก็รู้ เขาก็คุยกันน่ะนะ คุยกันเป็นสิ่งภายในเขาก็บอกว่าหลวงพ่อบอกว่า พ่อจะไปรับเองขอให้ทุกคนมั่นใจ ให้ปฏิบัติธรรมเถอะพ่อไม่ได้ทิ้งหรอก

    "ถึงเวลาก็จะมารับ"

    ยกทรงท่านจะมารับเมื่อไรก็ไม่รู้ ท่านก็มารับรองที่นี่นะเมื่อ 2-3 วันมานี่ เขาปิดนะ

    "ไมค์เสียงหายเลยนะพอถึงตอนนี้"

    (หัวเราะ) หลวงพ่อก็มารับรองว่าไม่ได้ทิ้งวัดนี่ ช่วยอยู่เสมอ ไอ้นันต์จะทำอะไรก็ให้ทำไปได้ สั่งว่าอย่างงั้น แต่ไม่ใช่ว่าทำเลวนะ ทำก่อสร้าง หรือจะทำอะไรก็ช่าง แต่ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์

    "ท่านก็ดูแลอยู่นะ เหมือนตอนที่หลวงพ่ออยู่ สมเด็จท่านก็มาคุมอยู่ คงจะคล้ายคลึงกัน"

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 159 เดือนพฤษภาคม 2537 หน้า 64-65)

    ปล่อยไก่สะเดาะเคราะห์

    ผู้ถาม : กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง หลังจากน้ำท่วมภาคใต้แล้ว ลูกได้มีโอกาสไปเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่ ในโอกาสนี้ผมก็ถือโอกาสปล่อยไก่ไปด้วย

    ทีนี้ทางวัดเขาบอกว่า คนมาปล่อยไก่ ไก่มันออกลูกออกหลานมาก แล้วก็ทำความยุ่งยากให้แก่พระสงฆ์องค์เณร พระก็เลยแนะนำว่าเอาอย่างนี้ชิโยม เอาคะนอร์ซุบไก่ถวายสังฆทาน เอาปลากระป้องปุ้มปุ้ยถวายสังฆทานแทนปล่อยปลาปล่อยไก่ อาตมาว่าอย่างนี้ดี ไม่เชื่อโยมไปถามหลวงพ่อดูก็ได้

    หลวงพ่อ : แหม... พระจะหม่ำไก่ในขวดน่ะซี กินไก่ในขวด กินปลาในกระป๋อง

    แต่ไม่ได้นะ เพราะว่าวันนั้น วันเป่ายันต์เกราะเพชร คือว่าลุงท่านมาบอกว่ามีคนอยู่ 4 คน จะขอร้องให้ท่านช่วยอุทิศส่วนกุศลให้ท่านเป็นพยานใช่ไหม ท่านบอกว่า 4 คนนี่ ผมช่วยไม่ได้ครับ ต้องแก้ให้คนวันเสาร์ปล่อยปลา ให้คนวันศุกร์ปล่อยไก่ ท่านว่าอย่างนี้นะ

    ก็เลยบอกว่าการแก้อย่างนี้เป็นของดี บอกทุกคนก็แล้วกันนะ ทั้งๆที่เขาไม่มีเคราะห์ตามนั้น แต่ทำให้เขาลอยตัวง่าย ช่วยง่ายขึ้น


    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 96 เดือนกุมภาพันธ์ 2532 หน้า 18)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มกราคม 2020

แชร์หน้านี้

Loading...