ราชพรหมยานมหาเถรานุสรณ์

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 27 มิถุนายน 2010.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    เมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานมรณภาพแล้ว คำสอนที่มีอยู่ในเทปธรรมะ และหนังสือธรรมะของหลวงพ่อทั้งหมด จะเป็นครูสอนลูก ๆ ทุกคน

    หลวงพ่อสอนลูกทุก ๆ คน

    โบราณท่านว่า ถ้าลงบันได ๓ ขั้นไปแล้ว ลงบันได้บ้านไปแล้ว จงอย่าคิดว่าที่นั้น ๆ มีความสุข ความสุขที่เราจะเลือกได้ก็คือบนบ้านของเรา

    ขอลูกทุกคนจงจำไว้ว่า ถ้าการนินทาและสรรเสริญเกิดขึ้น ขอลูกจงทำใจเฉย ๆ เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งนี้ เพราะนินทาและสรรเสริญไม่ใช่ของดี มันเลวทั้ง ๒ อย่างนะลูก นินทาก็เลว สรรเสริญก็เลว ลูกจงปล่อยนินทาและสรรเสริญไปตามสภาพของมัน เขานินทาว่าเราเลว ถ้าเราเป็นคนดีมันก็เลวไปไม่ได้ ถ้าเราเป็นคนเลว เขาสรรเสริญว่าเราเป็นคนดีเราก็ดีไปไม่ได้

    ขอลูกทุกคน จงทำใจของตนต่ออาการต่าง ๆ ในโลกนี้ ให้มีสภาพเหมือนความรู้สึกของลมหายใจ บางครั้งรู้สึกว่ามันหายใจเราก็ไม่หนักใจ บางครั้งรู้สึกว่ามันไม่หายใจ เราก็ไม่หนักใจ ใจเราไม่เคยเข้าไปยุ่งกับลมหายใจฉันใด ขอลูกรักทุกคนจงทำใจของลูกไม่เข้าไปยุ่งกับโลกธรรม ๘ ประการ ฉันนั้น แล้วลูกจะมีความสุข ถือว่า พอ ตัวเดียว

    สำหรับพระอริยเจ้านี่ อยู่ที่ไหนก็สงัด เพราะว่าอารมณ์จิตของท่านสงัดแล้ว อยู่ในป่าท่านก็สงัด อยู่ในป่าช้าก็สงัด อยู่ในบ้านร้างก็สงัด อยู่ในบ้านซึ่งมีคนก็สงัด อยู่ในเมืองก็สงัด เพราะจิตสงัดจากกิเลส

    พ่อขอแนะนำว่า สักกายทิฐิตัวเดียว ลูกรัก คือ อย่าสนใจในรูป รูปเราก็ดี รูปเขาก็ดี รูปวัตถุธาตุก็ดี ตัดกันเสียที เรื่องการเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา หรือพรหมเลิกกัน เราไม่ต้องการมันต่อไป เพราะว่ามันเป็นของไม่ดี เราไปนิพพานกันดีกว่า นอนให้เป็นสุข

    ชีวิตของคนทุกคนไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน ภาวะของโลกทั้งหมดไม่มีความหมาย ตายแล้วเกิด เกิดแล้วก็ตาย เกิดแต่ละคราวเต็มไปด้วยความทุกข์ จงวางภาระอันนี้เสีย


    พระราชพรหมยาน
    คัดจากหนังสือเรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    “จิตของลูกอย่าร่าเริงในกามารมณ์ อย่าร่าเริงในโทสะ อย่าร่าเริงในความหลง ตั้งจิตตรงเฉพาะพระนิพพาน ชีวิตเป็นของไม่แน่นอน ความเกิด ความตายเป็นของธรรมดา เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว ก็เป็นของยุ่งยาก ในที่สุดมันก็ต้องตาย ถ้ากิเลสเรายังไม่หมดเพียงใด ก็ต้องกลับมาเกิดใหม่ มาใช้ชีวิตที่ไม่มีความสุข”

    ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พ่อไว้ พ่อถ่ายทอดให้แก่ลูก ทรัพย์สมบัติทั้งหมดนี้ขอลูกจงถือว่านั่นคือตัวแทนของพ่อ เพราะว่าชีวิตของพ่อนี่ พ่อไม่แน่ใจนักว่าจะมีอายุยืนยาวอีกสักกี่ปี ขอลูกทั้งหลายจงอย่าถือขันธ์ ๕ ของพ่อนี้เป็นสำคัญ

    “ปฏิปทาใดที่เป็นที่ชอบใจ ไม่เกินวิสัยลูก ขอลูกจงทำและจงรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ ขณะใดที่ใจของลูกยังรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ รักษาปฏิปทาสาธารณประโยชน์ ขณะนั้นลูกจงภูมิใจว่า พ่ออยู่กับลูกตลอดเวลา ถึงแม้ว่าร่างกายกายาของพ่อจะสลายไป แต่ใจของพ่อยังอยู่กับใจของลูก ลูกจะไปไหนก็ชื่อว่าพ่อไปด้วย ช่วยลูกทุกประการ”

    อย่าเมากายจนเกินไป อย่าเมาชีวิต จงอย่าคิดว่าร่างกายของใครดี ดูร่างกายของเรานี้ มันสกปรกโสมม และมีความเสื่อมโทรมไปเป็นธรรมดา ในไม่ช้ามันก็พัง อยู่คนเดียวมีความสุข สุขอย่างมีคนเดียว แต่ก็ทุกข์อย่างมีขันธ์ ๕ ฉะนั้นขอลูกทุกคนจงตั้งหน้าตั้งตาปลงจิตคิดว่า อนิจจา วตสังขารา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ อุปปาทวยธัมมิโน เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็แก่ไปทีละน้อยคือทรุดโทรมไป อุปปัชชิตวา นิรุชฌันติ เมื่อเกิดขึ้นแล้วในที่สุดก็ตาย ให้เอาใจนึกถึงภาพคนตายว่าเวลานี้คนที่เขาตายมานอนอยู่ข้างหน้าเรา สภาพมันเป็นยังไง เตสัง วูปสโม สุโข ร่างกายที่เปื่อยเน่าอย่างนี้ ถ้าเรางดไม่มีเสียได้แล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วตรัสว่า จะมีกายแก้ว คือ พระนิพพาน


    พระราชพรหมยาน
    คัดจากหนังสือเรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)

     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    “ชาตินี้พวกเราควรจะพอกันเสียที เกิดทุกชาติ ก็ตายทุกชาติ เคยเป็นใหญ่ เคยเป็นกษัตริย์ มีทรัพย์สมบัติมากมายเอาติดมาไม่ได้เลย”

    พระหรือคนก็ตาม ถ้าทำอารมณ์จิตถึงที่สุดได้ ก็อย่าลืมว่า ถ้าขันธ์ ๕ มันยังอยู่ ภาระก็ยังมี นี่เราไม่ห่วงจริง แต่เราก็ต้องทำงานตามหน้าที่ ฉะนั้น ความหนักในขณะที่ยังทรงขันธ์ ๕ มันจึงยังมีอยู่ แต่ทว่าจิตที่ยังทรงขันธ์ ๕ อยู่ควรจะทำอารมณ์ให้เบา เหมือนกับที่มาอยู่นิพพาน

    ให้พยายามรักษากำลังใจว่า ที่เราทรงขันธ์ ๕ อยู่ ให้เหมือนกับว่าเราละขันธ์ ๕ ไปอยู่ที่นิพพาน คือ อย่าให้มีอารมณ์ยุ่ง หน้าที่ก็ให้มันเป็นหน้าที่ จิตจงอย่ายุ่ง ทำทุกอย่างเพื่อเราละโลกนี้ เทวโลก พรหมโลก ซึ่งเหมือนพยัคฆ์ร้ายที่คอยทำอันตรายเรา เราต้องการอย่างเดียว คือ พระนิพพาน

    ข้อสำคัญจงจำไว้ว่า จงอย่าคิดว่าเราดีไว้เสมอ มองดูความบกพร่องของจิตว่าจิตเราบกพร่องตรงไหน พยายามแก้ไขให้สู่ระดับความดี อย่างนี้เป็นความดีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงต้องการ

    จำไว้ว่าโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยง ถ้าเราเกาะความไม่เที่ยง มันก็ทุกข์ แต่ทว่าจะสุขหรือทุกข์ก็ตาม อนัตตามันก็เข้ามาถึง อย่ายึดอย่าถือว่า มันเป็นเรา เป็นของเรา คิดไว้เสมอว่า ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายที่เราจะอยู่กับมัน


    พระราชพรหมยาน
    คัดจากหนังสือเรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    จงมีความรู้สึกอยู่เสมอว่า ถ้าเรายังไม่เป็นพระอรหันต์เพียงใด ในเวลานั้นก็ชื่อว่า เรายังไม่เป็นคนดี เราจะพยายามเก็บความชั่วทุกอย่างที่มันขังอยู่ในจิต ทำลายให้มันตายสนิท อย่าให้เกิดขึ้นมา เมื่อกิเลส คือ ความชั่วตายหมด ชื่อว่าจิตว่างจากความชั่ว จงทรงไว้แต่ความดี และก็ว่างจากความทุกข์ จะทรงไว้แต่เพียงความสุขอย่างเดียว หวังว่าลูกรักของพ่อคงจำไว้

    ขึ้นชื่อว่าชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง ก่อนที่เราจะตาย จงคิดว่าเราจะตายครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย และไม่มีการตายต่อไปนั่นคือ พระนิพพาน พ่อมั่นใจในกำลังใจและความดีของลูกว่า พระนิพพานสมบัติ จะไม่ขาดไปจากกำลังจิตของลูก และสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ลูกของพ่อต้องได้แน่นอน นี่เป็นความหวังของพ่อ แต่ทว่าถ้าลูกรักของพ่อลืมความดีนี้เมื่อไร จิตใจไปพัวพันอยู่ในราคะก็ดี ความหลงก็ดี เป็นอันว่าลูกกับพ่อนี้ต้องแยกทางเดินกัน ไม่ใช่พ่อโกรธลูก แต่ว่าเวลาตายจริง ๆ เราตามกันไม่ไหว
    ในสายตาของคนอื่นเขาอาจจะเห็นว่าลูกเลว แต่ขอลูกทั้งหลายจงคิดว่า นั่นเป็นเรื่องความรู้สึกนึกคิดของบุคคลแต่ละคน แต่พ่อเองมีความรู้สึกว่า คนจะดีหรือคนจะเลวมันขึ้นอยู่กับกฎของกรรม ก่อนที่เราจะเกิดมานี่ เราทำทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ขณะใดถ้ากรรมที่เป็นอกุศลมันให้ผล ขณะนั้นลูกของพ่อก็อาจจะมีความคิดผิด พูดผิด กระทำผิดไปได้ เป็นของธรรมดา แต่ขณะใดกรรมที่เป็นกุศลกรรมให้ผล บรรดาลูกรักของพ่อก็จะทำถูก คิดถูก พูดถูกอยู่เสมอ

    เรื่องนี้ถึงแม้ว่าตัวของพ่อเองก็ประสบมามาก จึงไม่มีความรู้สึก เมื่อลูกรักบางท่าน บางคน คิดพลาด พูดพลาด กระทำพลาดไป ถือว่านั่นเป็นกฎของกรรมเดิมที่เราทำมาแล้วไม่ดี ในชาตินี้เรามาแก้ตัวกันใหม่ พยายามทำความดีเสียทุกอย่าง เพื่อเป็นการหักล้างความชั่วเดิม เพื่อผลที่เราจะพึงได้ต่อไป นั่นคือพระนิพพาน


    พระราชพรหมยาน
    คัดจากหนังสือเรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ลูกรักทั้งหลายจงจำไว้ว่า ความดีเกิดขึ้นกับเรามากคนเขาก็รักเรามาก แต่ถ้าความดีเกิดขึ้นกับเราน้อย คนเขาก็รักเราน้อย เมื่อคนรักร้อย คนเกลียดมา เราก็มีความทุกข์กายทุกข์ใจมากกว่าความสุข เดินไปพบคนที่เรารัก หรือเขารักเรา เราก็ยิ้มแย้มแจ่มใส มีความชื่นบาน แต่ถ้าไปพบคนที่เกลียดเราเมื่อไร เมื่อนั้นแหละความกลุ้มใจกำเริบใจมันก็เกิดขึ้น เราจะหาความสุขไม่ได้

    เรื่องขันธ์ ๕ พ่อยึดถือไม่ได้ เพราะอะไร ๆ มันก็ไม่ใช่ของพ่อ ขันธ์ ๕ มันจะพัง มันก็เป็นเรื่องของขันธ์ ๕ แต่ที่พยายามรวบรวมกำลังใจให้อยู่เช่นนี้ ก็เพราะห่วงลูกห่วงหลาน เพราะลูกหลานของพ่อทุกคน ถ้าลูกหลานของพ่อไม่ดีขนาดนี้ละก็ลูกเอ๋ย ไม่ต้องห่วง อย่าว่าแต่เสียงของพ่อเลย แม้แต่ร่างกายของพ่อ ลูกก็จะไม่ได้เห็น บางทีลูกจำนวนมากอาจจะไม่รู้จักแม้แต่ชื่อของพ่อเสียด้วย เวลานี้พ่อก็มาคิดถึงร่างกายของพ่อว่ามันแก่มากแล้ว สงสารลูกรักที่มีความดี เพราะบรรดาลูกทั้งหลายคงจะคิดว่าที่พึ่งใหญ่ของเธอนี้ก็คือพ่อ แต่ลูกจงอย่าลืมว่าที่พึ่งจริง ๆ ที่ลูกจะพึงได้ ก็คือ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พ่อได้ศึกษามา และก็ปฏิบัติมาพอมีผล

    จงเห็นว่าชีวิตมีความหมายน้อยกว่าความดี เราเกิดมาแล้วคราวนี้ เราก็ต้องตายไหน ๆ จะตาย ขอให้เราตายอยู่กับความดีเท่านี้เป็นพอ และถ้าความดีนี้เป็นความดีสูงสุด ลูกรักทั้งหมดของพ่อก็จะไปพระนิพพานได้


    พระราชพรหมยาน
    คัดจากหนังสือเรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ถ้าเราต้องการหมดทุกข์ ต้องการมีความสุขก็จงอย่าคิดว่าโลกนี้เป็นของเรา ทรัพย์สินทั้งหมดในโลกนี้เป็นของเรา ร่างกายนี้เป็นเราเป็นของเรา ร่างกายของบุคคลอื่นเป็นพวกเราเป็นของเรา จงคิดว่าร่างกายมันเป็นแต่เพียงธาตุ ๔ เข้ามาประชุม เห็นร่างกายภายใน คือ ร่างกายของเราก็ทำความรู้สึกแต่เพียงสักแต่ว่าเห็น คือ ไม่สนใจ ไม่ยึดถือว่ามันกับเราจะอยู่ด้วยกันตลอดกาลตลอดสมัย ตัดความโลภเสียด้วยการให้ทาน ตัดความโกรธเสียด้วยการเห็นใจซึ่งกันและกัน ตัดความหลงคือยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง ลูกชายและลูกหญิงของพ่อถ้ามีอารมณ์ได้อย่างนี้ทั้งหมด ก็ปรากฏว่าทุกคนจะมีกำลังใจเป็นสุข ทุกคนจะหาความทุกข์ไม่ได้

    ถ้าลูกรักทั้งหลายและหญิงพยายามตัดโลภะ คือ ความโลภ โทสะ คือ ความโกรธ โมหะ คือ ความหลงเสียได้แล้ว ลูกทุกคนจะมีแต่ความสุข และก็เป็นความสุขที่เราคิดไม่ถึง มีบางคนว่ามันจะมีความสุขได้อย่างไร ความสุขอันนั้นจะมีความรู้สึกประการใด อันนี้ อธิบายไม่ได้จริง ๆ ลูกรัก ถึงแม้ร่างกายมันจะปั่นป่วน ร่างกายมันจะผันผวน อาการต่าง ๆ มันจะรุกราน แต่รู้สึกว่าถ้าใจของเรานี้นั้นเป็นใจที่ปราศจากความโลภ เป็นใจที่ปราศจากความโกรธ เป็นใจที่ปราศจากความหลง ขึ้นชื่อว่าความผันผวนใด ๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกายหรืออารมณ์ต่าง ๆ ที่มากระทบกระทั่ง มันจะเป็นยังไงก็ช่าง ใจมีความสุข

    พวกเราทุกคน จงอย่าให้องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องผิดหวัง คำว่าต้องผิดหวัง ก็หมายความว่า กลายเป็นคนเมาในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข อันนี้พระพุทธเจ้าผิดหวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นพระ พระทุกองค์จงอย่าเมาในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข และก็จงอย่าเมาในใบลาน หรืออย่าเมาในตำรา จงใช้กำลังใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเป็นแบบฉบับ แล้วก็ปรับกำลังใจของเราให้เท่าหรือคล้ายคลึงกำลังใจของพระองค์


    พระราชพรหมยาน
    คัดจากหนังสือเรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    จงอย่าลืมว่าเราฝึกฝนกันที่ใจ เรื่องกายนี้ไม่มีความหมาย กายมันเป็นที่อาศัยของใจ ความบริสุทธิ์ผุดผ่องจะมีขึ้นมาได้หรือไม่ได้ มันอยู่ที่ใจเป็นสำคัญ ถ้าใจดีเสียอย่างเดียว ปากก็พูดดี กายก็ทำดี ถ้าใจเลว ปากก็พูดเลว กายก็ทำเลว ฉะนั้น เวลาที่ฝึกจะต้องใช้มัชฌิมาปฏิทา คือ ทำปานกลาง หมายถึงว่า ทำแบบสบาย ๆ อารมณ์ฝืนทางกายอย่าให้มี ปล่อยกายมันไปตามปกติ มันอยากจะนอนก็ให้มันนอน มันอยากจะนั่งก็ให้มันนั่ง มันอยากจะเดินก็ให้มันเดิน มันอยากจะยืนก็ให้มันยืน

    ฉะนั้น เราจะทำลายทุกข์ให้พ้นไป และก็จะไม่มีกายขึ้นมาได้ก็ต้องทำลายตัวเหตุที่สร้างกายมารับความทุกข์ ตัวเหตุที่สร้างกายมารับความทุกข์ นั่นก็คือ สมุทัย คำว่า สมุทัย ด้วยเหตุให้เกิดทุกข์ก็ได้แก่ ตัณหา ๓ ประการ คือ

    ๑. อารมณ์ความอยากได้ในสิ่งที่ไม่มี อยากจะให้มีขึ้น
    ๒. สิ่งที่มันมีขึ้นแล้ว ก็ตะเกียกตะกายป้องกันไม่ให้มันทรุดโทรม
    ๓. พอทรุดโทรม จะพัง ก็ป้องกันไม่ให้พัง ในที่สุดก็ป้องกันไม่ได้ มันก็เป็นทุกข์

    ฉะนั้น เราต้องตัดจุดนี้ การตัดก็ตัดด้วยอริยมรรค คือ สัมมาทิฐิ ตัวปัญญาความเห็นชอบ และก็สัมมาสมาธิเป็นตัวสุดท้าย ตั้งใจไว้ชอบ การตั้งใจทรงอารมณ์เป็นของสำคัญ ถ้าอารมณ์มีความมั่นคงของจิต การทรงอารมณ์จะดีหรือไม่ดี อยู่ที่ร่างกายสมบูรณ์หรือไม่สมบูรณ์ ถ้ากำลังร่างกายดี ประสาทดี จิตก็มีกำลังดี กำลังกายไม่ดี จิตก็มีกำลังไม่ดี ฉะนั้นก็ควรจะใช้ทั้งสองอย่าง คือ กำลังของจิตใจ ในเมื่อร่างกายสมบูรณ์ ได้แก่ สมาธิเป็นตัวสนับสนุน สร้างกำลังให้มีอำนาจเหนือกว่าความต้องการที่เรียกกันว่า ฌานโลกีย์

    นอกจากนั้น องค์สมเด็จพระชินสีห์ก็ตรัสว่า ต้องใช้ปัญญาพิจารณาด้วย ให้เห็นตามความเป็นจริงว่าร่างกายทั้งชายและหญิงมันเป็นอนิจจัง เป็นของไม่เที่ยง มันเป็นทุกขัง มันเป็นทุกข์ มันเป็นอนัตตา พังไปในที่สุด เมื่อร่างกายเป็นโรคนิทธัง มันเป็นรังของโรค ปภังคุณัง เน่าเปื่อยไปในที่สุด ขณะเมื่อทรงตัวอยู่ ร่างกายก็มีแต่ความสกปรกโสมมหาอะไรดีไม่ได้ เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเทศน์จบ ทรงชี้เหตุว่าเหตุอันนี้แหละบรรดาเธอทั้งหลาย ถ้าเธอสามารถปฏิบัติได้ตามนี้ กิจที่จะต้องทำของเธอก็ไม่มีอีกแล้ว


    พระราชพรหมยาน
    คัดจากหนังสือเรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    จงอย่ายึดถือร่างกายว่าเป็นของเรา เป็นของเรา อย่าถือทรัพย์สินว่าเป็นเราเป็นของเรา อย่ามัวเมาในชีวิตและทรัพย์สิน ในที่สุดความระทมทุกข์มันก็จะเกิด

    พ่อก็ขอให้ลูกทุกคนดูตัวของตัวเอง ว่าพอลูกทุกคนฝึกมโนมยิทธิไดเแล้ว ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยศึกษาเรื่องราวของพระสงฆ์มาก่อน ไปดูใจลูกเองว่ามีความรู้สึกอะไรขึ้นมาบ้าง นี่แหละธรรมะขององค์สมเด็จพระชินวร เมื่อได้แล้วก็เกิดปัญญา เหมือนกับเราไม่เคยไปอินเดีย พอไปที่อินเดียก็รู้ว่า กรุงราชคฤห์อยู่ที่ไหน พาราณสีอยู่ที่ไหน อย่างนี้เป็นต้น ข้อนี้ฉันใด ธรรมะขององค์สมเด็จพระจอมไตรถ้าบรรลุมรรคผล ทุกคนก็มีความเข้าใจ
    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสว่า อานันทะ ดูก่อนอานนท์ ตถาคตก็ทรมานตนมาถึง ๔๕ ปีแล้ว ธรรมส่วนใดที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจะต้องสอน ที่เราจะปกปิดไว้ไม่มี เราสอนหมดทุกอย่าง เมื่อเรานิพพานแล้วธรรมวินัยส่วนนี้ทั้งหมดจะเป็นศาสดาสอนเธอ ในเมื่อขันธ์ ๕ มันทรงไม่ไหว ตถาคตก็สอนเธออยู่เสมอว่าขันธ์ ๕ เป็นของธรรมดา มันเกิด แก่ เจ็บ และในที่สุดมันก็ต้องตายเหมือนกัน เธอจะเกาะองค์สมเด็จพระบรมสุคตอยู่อย่างนี้ตลอดกาลตลอดสมัยไม่ได้ ความดีที่จะเกิดขึ้นนั้นไซร้ก็คือ การปฏิบัติตนเอง ฟังแล้วก็จำ จำแล้วก็คิด คิดแล้วก็ปฏิบัติตาม ถ้าสามารถทำได้ในที่สุดไม่ช้าก็บรรลุมรรคผล เป็นพระอริยบุคคล คือเป็น พระอรหันต์

    คนมีบุญอยู่ที่ไหน ที่นั่นไม่ขาดแคลนด้วยอาหารการบริโภคหรือความเป็นอยู่ จะมีอยู่บ้างก็เป็นกฎของกรรมบีบบังคับในบางกรณีเท่านั้น ต้องถือว่าเป็นกรณีพิเศษ

    พระอรหันต์นี่ตัดดีจากความนิยมของชาวโลก หมายความว่า ไอ้ความดี ความเด่นที่มีชื่อมีเสียง ท่านตัดไปเสียแล้ว ท่านไม่มีความต้องการ ฉะนั้นญาณที่อยากจะรู้เล็กรู้น้อยสำหรับพระอรหันต์จึงไม่มี ญาณน่ะมีแต่ความต้องการไม่มี เมื่อความต้องการไม่มีก็เลยไม่รู้


    พระราชพรหมยาน
    คัดจากหนังสือเรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ในเมื่อพระพุทธเจ้าทรงเป็นอัจฉริยมนุษย์ เป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐกว่าคนทั้งปวงกว่าเทวดาและพรหม ก็ยังไม่สามารถฝืนกฎธรรมดาของโลก กล่าวคือ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของขันธ์ ๕ ได้ฉันใด และพวกเราทั้งหลายจะสามารถทรงกายอยู่ได้อย่างไร ในไม่ช้าก็ต้องตายเช่นเดียวกัน

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นโรคถ่ายเป็นโลหิตสด ๆ แต่ว่าถ้าจะมีบางคนนอกคอกเขาจะถามว่า พระพุทธเจ้ามีฤทธิ์ทำไมจึงไม่ห้ามโรค ก็ต้องบอกว่าฤทธิ์ไม่ได้มีไว้ห้ามโรค ฤทธิ์เขามีไว้ใช้เพื่อศรัทธาของพุทธบริษัท แต่เรื่องธรรมดาของขันธ์ ๕ ไม่มีพระอริยะองค์ใดไปยุ่งกับขันธ์ ๕ มันอยากจะเป็นยังไง ก็ให้มันเป็นไปตามปกติ พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสว่า อานันทะ ดูก่อน อานนท์ การบูชาด้วยอามิสบูชานั้นเป็นของดี แต่ว่าจะดีจริง ๆ ต้องเป็นปฏิบัติบูชา หมายความว่า เคารพถวายอามิสแล้ว ก้องปฏิบัติความดีที่ตถาคตสอนด้วยเช่นกัน ถ้าบูชาอย่างนี้ ศาสนาของตถาคตจะทรงกาลอยู่ตลอดกาลนาน แล้วทุกท่านก็จะมีความสุขจริง ็ต

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า อานันทะ ดูก่อนอานนท์ ผิวพรรณของเราที่สวยที่สุดมีอยู่ ๒ วาระ คือ วาระแรก วันบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ระหว่างที่อยู่ด้วยอำนาจของปีติ วันนี้ผิวพรรณของเราจะสวยเป็นพิเศษตอนหนึ่ง และอีกตอนหนึ่งที่จะสวยเป็นพิเศษ คือ วันที่ใกล้นิพพาน ก็หมายความว่า องค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงรวบรวมกำลังใจทั้งศีล สมาธิ ปัญญา เป็นกรณีพิเศษ กำลังใจก็ผ่องใส เมื่อกำลังใจผ่องใสกายก็ใสไปด้วย ช่วยให้ใสด้วยกันทั้งสองฝ่าย เหมือนคนที่มีทุกข์ หน้าตาร่างกายก็ซูบซีด คนที่มีความสุข หน้าตาก็ชื่นบาน ร่างกายเป็นตามกำลังใจเหมือนกัน


    พระราชพรหมยาน
    คัดจากหนังสือเรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ[FONT=Cordia New,Cordia New][FONT=Cordia New,Cordia New])

    [/FONT]
    [/FONT]
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ความจริงถ้าจะถือว่าพ่อเป็นพระมีฌานสมาบัติ หรือว่าพ่อเป็นพระอภิญญาพ่อไม่เคยบอกว่าใครว่าพ่อมีอย่างนั้น พ่อมีอารมณ์อย่างเดียว คือ ความรักพระพุทธเจ้า และก็ชอบพระพุทธเจ้าเป็นกรณีพิเศษ มีความสนใจในพระพุทธเจ้ามาตั้งแต่เด็ก เพราะว่าพ่อเคยเห็นพระพุทธเจ้าตามภาพนิมิตก่อนที่จะตายวาระแรก เห็นพระองค์สวยสดงดงามมาก ฉะนั้นภาพจึงติดตาติดใจพ่ออยู่ตลอดเวลา

    การบูชาใช้ ๒ อย่าง คือ อามิสบูชา บูชาด้วยของมีวัตถุ ดอกไม้ ธูปเทียน เป็นต้นก็ดี หรือว่าจะบูชาด้วยปฏิบัติบูชา ด้วยช่วยกันทั้งสองอย่าง ถ้าการบูชาทั้งสองอย่างนี้เราไหว้พระพุทธเจ้าตรงไหนก็ถึงที่นั่น

    ตอนนี้ พ่อก็อยากขอชมลูก ลูกทุกคนที่ไปเที่ยวมาแล้ว แล้วก็ใช้กำลังสมาธิพิสูจน์เหตุการณ์ต่าง ๆ และก็หลายคนบันทึกรายงานเข้ามา รู้สึกว่าถูกต้องดี คือ ว่าทุกอย่างให้เป็นไปตามอัธยาศัยนั่นแหละดีที่สุด และชื่อว่าทำดีและก็ถูกต้องด้วย ถ้าหากว่าทุกคนจะพยายามใช้อารมณ์แบบนั้น เห็นอะไรขึ้นมาก็ใช้กำลังใจทันที ให้มันใช้ได้โดยฉับพลันแบบนี้จะมีคุณเป็นประโยชน์ แทนที่จะมีโทษ ประโยชน์มันจะใหญ่

    เราก็มานั่งพิจารณากันถึงว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทำเพื่อเราทุกคน พระองค์ต้องทรงบำเพ็ญมาถึง ๔ อสงไขยกับแสนกัป และต้องต่อสู้กับการความลำบาก องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าต่อสู้มาตามลำดับตั้งแต่ต้น ถอยหลังไปตั้งแต่เรื่องพระเวสสันดรหรือทศชาติ จะเห็นว่าองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถทรงมีความลำบากมาก ต้องอดทนทุกอย่าง ต่อสู้กับอุปสรรคทุกอย่างเพื่อเรา

    ฉะนั้น ถ้าหากว่าเราเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเกิดมาสร้างความเลว ไม่เชื่อฟังพระพุทธเจ้า มันจะสมไหมกับที่องค์สมเด็จพระสวัสดิโสภาคย์ ต้องใช้ความเพียรพยายามอย่างมากเพื่อจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ให้มีความสุข


    พระราชพรหมยาน
    คัดจากหนังสือเรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ขณะใดถ้าเราสั่งสนทนาธรรม ขณะนั้นจิตก็ว่างจากิเลส ถ้าจิตว่างจากกิเลส มันก็เกิดอารมณ์รู้ ก็สามารถจะรู้อะไรต่ออะไรได้”

    ที่พ่อมีความรื่นเริง มีกำลังกายกำลังใจ ทำได้ทุกอย่างก็เพราะลูกทุกคนของพ่อเป็นคนดี อยู่ในโอวาทขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ฉะนั้น ลูกทุกคนจึงเป็นที่รักของพ่อ ใครเขาจะเกลียด ใครเขาจะชังลูก เป็นเรื่องของเขา แต่ว่าพ่อรักลูกทุกคนเสมอกัน ต้องการอย่างเดียว คือ จะนำทางให้ลูกพ้นทุกข์ เข้าไปหาแดนความสุขที่ไม่มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใด ๆ ไม่มีความหนักใจแม้แต่นิดเดียว นั่นคือ พระนิพพาน

    เพราะความดีของลูกของพ่อทุกคน ทั้งลูกหญิงลูกชาย ตลอดจนกระทั่งลูกที่เป็นพระและเณร เป็นคนดีทั้งหมด ภาระทุกอย่าที่พ่อหนักอยู่ เป็นอันว่าทุกคนก็ช่วยกันแบกและแบกจนกระทั่งพ่อคาดไม่ถึง เป็นอันว่าความดีของลูกมันเกินกว่าที่พ่อจะพรรณนาถึงความดี คำว่า เหนื่อยเพื่อลูกจึงไม่มีสำหรับพ่อ มันเหนือความเหนื่อย และเหนือความเบื่อหน่ายของพ่อ ถึงแม้พ่อจะเหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็ตาม ไม่มีความสำคัญ เพราะว่าพ่อเห็นว่า ชีวิตของพ่อไม่มีความสำคัญไปกว่าความดีของลูก ลูกของพ่อทุกคนมีความดี พึงดี ลูกทุกคนรักพ่อ ลูกทุกคนยอมเหน็ดเหนื่อยเพื่อพ่อ ลูกทุกคนพยายามสละผลประโยชน์ทุกอย่างเพื่อพ่อ ความดีของลูกอย่างนี้เป็นปัจจัยให้พ่อรักลูกทุกคนยิ่งกว่าชีวิตของพ่อ
    ฉะนั้น ขอบรรดาลูกทุกคน จงรักษาความดีของลูกไว้ เหมือนเกลือรักษาความเค็ม ชีวิตและร่างกายของพ่อไม่มีความสำคัญ ถ้าห่วงมันมากเท่าไร ประโยชน์ที่ลูกจะพึงได้ ก็จะน้อยไปเท่านั้น เพราะวันเวลาที่เราพึงจะต้องตาย เราห้ามมันไม่ได้ มันมีเวลาแน่นอน พ่อไม่อยากจะจากลูกไป พ่อรักลูกทุกคนมาก พ่อสงสารลูกทุกคน เห็นน้ำใจของลูก แต่ลูกรัก ขันธ์ ๕ พ่อห้ามมันไม่ได้

    ฉะนั้น สิ่งใดก็ตามถ้าเป็นประโยชน์แก่ลูก พ่อจะทำทุกอย่างเพื่อลูกของพ่อและพ่อจะไม่ห่วงใยอาลัยในชีวิตของพ่อ ถึงแม้ว่าเลือดและเนื้อของพ่อ จะเหือดแห้งไปก็ตามทีหรือว่าชีวิตนทรีย์ของพ่อจะสลายไปก็ตาม พ่อทำทุกอย่างได้เพื่อลูก


    พระราชพรหมยาน
    คัดจากหนังสือเรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    คนที่มีความวุ่นวายติโน่นตินี่ ไอ้โน่นไม่ดี ไอ้นี่เสีย คนประเภทนี้ก็คือคนที่ไม่รู้จักธรรมดา พูดภาษาไทย ๆ เขาเรียกว่า กิเลสมันยังเลยหัวอยู่ ปลดอารมณ์นั้นเสีย ถ้าจิตของเรายอมรับนับถือกฎของธรรมดา อะไรมันจะมาก็ถือว่าเป็นเรื่องของมันอย่างนั้นไม่ต้องไปติ สิ่งใดที่แก้ไขไม่ได้อย่าไปแก้มัน อย่าไปแก้ที่วัตถุ อย่าไปแก้ที่บุคคล มาแก้ที่ใจเรา ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นธรรมดา ทำไมเราจึงต้องเดือดร้อน ทำไมเราจึงจะต้องดิ้นรน อย่าเป็นคนช่างติ ถ้าจะติกก็ติตัวเรา ตาที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า อัตตนา โจทยัตตานัง จงกล่าวโทษโจทก์ความชั่วของตัวเองให้เป็นปกติ

    (คัดจากเทปคำสอนนวสี ๙ ในมหาสติปัฏฐานสูตร)


    จงอย่าสนใจในจริยาของบุคคลอื่น และการเจริญสมาธิตงอย่าทำเพื่อโอ้อวด การเจริญสมาธิที่จะทำให้ได้ดี ให้ถือใจความพระพุทธเจ้าว่า ใครเขาจะกินมาก ใครเขาจะกินน้อย ใครเขาอ้วนมาก ใครเขาอ้วนน้อย ใครเขาจะมีสาวกมาก ใครเขาจะมีสาวกน้อย คนนั้นมีสมบัติมาก คนนั้นมีสมบัติน้อย คนนั้นเจริญสมาธิจิตวิปัสสนาญาณยังแต่งตัวสวย ยังผัดหน้า ยังทาแป้ง ใครเขาจะดีจะชั่วอย่างไรเป็นเรื่องของเขา จงอย่าไปสนใจ เราจะนั่งสมาธิก็จงอย่านั่งให้บุคคลอื่นเห็น ถ้าหากไปทำอย่างนั้นพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ยังมีอุปกิเลสอยู่มาก

    (คัดจากคำสอนที่สายลมเดือนสิงหาคม ๒๕๒๒)


    คนที่ติดในรสอาหารก็เป็นคนโง่นั่นเอง ไม่ใช่เป็นคนฉลาด อาหารประเภทไหนจะมีรสประเภทใดก็ตาม กินเข้าไปแล้วมันก็ป่วย มันก็แก่ มันก็ตายเหมือนกัน ร่างกายเต็มไปด้วยความสกปรก เราก็ไม่ควรติดในรสอาหาร ถือว่ากินเพื่อยังชีพยังอัตภาพให้เป็นไป

    (คัดจากหนังสือกรรมฐาน ๔๐)


    จงอย่าสนใจในกายของเรา จงอย่าสนใจกายบุคคลอื่น จงอย่าสนใจในวัตถุธาตุใด ๆ ทั้งหมด ถ้าเราไม่สนใจ อารมณ์ติดมันก็ไม่มี เมื่อไม่สนใจกายเรา ไม่สนใจกายเขา ไม่สนใจในวัตถุธาตุ จิตมันก็โปร่งจากกิเลส ความโกรธ ความโลภ ความหลง มันจะมาจากไหน คำว่า ไม่สนใจ ไม่ใช่โยนทิ้ง มีเก็บรักษาไว้ทำให้มันเป็นประโยชน์เท่านั้นพอ ตายแล้วเลิกกัน

    (คัดจากเทปคำสอนอานาปานุสสติ ม้วนที่ ๙)

    พระราชพรหมยาน
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    คำสอนหลวงพ่อ (ใบแทรก)

    เรา คือ จิตที่สิงในกายหรือที่เรียกว่า อทิสมานกาย เราจริง ๆ คือ จิต ร่างกายเป็นแต่เพียงเรือนร่างมีอาศัยชั่วคราว เมื่อเรานึกถึงอารมณ์ของจิต คำว่า เรา คือ จิต เราไม่เคยคิดเลยว่า ต้องการให้ร่างกายของเราแก่ ไม่ต้องการให้หิว ไม่ต้องการให้ปวดอุจจาระ ปัสสาวะ ไม่ต้องการให้ป่วยไข้ไม่สบาย ไม่ต้องการให้มีทุกข์อย่างอื่น ไม่ต้องการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ไม่ต้องการในที่สุด แล้วร่างกายมันตามใจเราไหม เรา คือ จิต ร่างกายมันเป็นร่างที่อาศัย อารมณ์ที่เราต้องการแบบนี้ มีความปรารถนาเหมือนกันหมดทุกคน แล้วก็ร่างกาย มันตามใจเราไหม

    ลองนึกดู เวลานี้ เราอายุเท่าไรแล้ว ถ้าร่างกายมันเป็นของเราจริง เราพอใจอยู่แค่ไหน ถึงความเป็นหนุ่มเป็นสาว ร่างกายสมบูรณ์บริบูรณ์ก็เพราะว่าเราไม่อยากจะไม่แก่แล้วมันเชื่อไหมละ อยากจะกินอาหารอย่างไหนที่ว่ามันดีที่สุดที่มันมี ประโยชน์แก่ร่างกายที่สุด ร่างกายจะได้ไม่ทรุดโทรม แต่กินเข้าไปเท่าไรก็โทรม ก็แก่ ยาขนาดไหนดีที่สุดกินแล้วไม่แก่ ไม่ป่วย ไม่ตาย กินเข้าไปเถอะ ไม่ช้ามันก็ตาย มันก็แก่ นี่เป็นอันว่าเราห้ามร่างกายไม่ได้

    ในเมื่อร่างกายเราห้ามมันไม่ได้แล้ว เราก็ต้องรู้ว่าร่างกาย ความจริงมันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เรา คือ จิต ที่เรียกว่า อทิสมานกาย ที่เข้ามาอาศัยร่างกายเป็นเรือนร่างที่อาศัย อันนี้ ร่างกายมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา แล้วมันก็ไม่อยู่ ในอำนาจของเรา เราจะปรนเปรอบังคับบัญชามันอย่างไรก็ตาม มันจะไม่ยอมปฏิบัติตามด้วยประการทั้งปวง ถึงเวลาที่มันจะแก่ มันก็ต้องแก่ ถึงเวลาที่มันจะป่วยก็ต้องป่วย ถึงเวลาเวทนาต่าง ๆ เวทนาจะเกิดขึ้นมันก็เกิด ถึงเวลามันจะตาย จ้างมันเท่าไรมันก็ไม่เอา

    [FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC][FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]แต่พอตายแล้ว ไปสวรรค์บ้าง ไปนรกบ้าง ไปเกิดเป็นเปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานบ้าง ไปเป็นพรหมบ้าง ไปนิพพานกันบ้าง ไอ้ที่ไปจริง ๆ ร่างกายมันไปด้วยรึเปล่า มันก็เปล่า ร่างกายเน่าทับถมพื้นแผ่นดินอยู่ บางทีเขาก็เผา บางรายไม่ได้เผาก็จะเละกระจาย เป็นกรวด เป็นดิน อันนี้ ร่างกายไม่ได้ไป ผู้ที่ตกนรก ไปสู่สวรรค์ มันเป็นใคร นั่นแหละ คือ เราที่เรียกกันว่า อทิสมานกาย หรือจิตที่สิงในกายนี่มาถึงตรงนี้เราจะเห็นได้ทันที

    ถ้าไม่โง่เกินไป หรือว่าไม่ฉลาดเกินพอดีก็จะเห็นว่าร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราจริง ๆ ในเมื่อมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราจริง ๆ จะไปนั่ง เมาเพื่อประโยชน์อะไร ต้องการมันหรือเกิดมา ชาตินี้ความทุกข์ถมเต็มกำลังอยู่แล้ว เกิดในชาติ ต่อ ๆ ไปมันก็เป็นรูปนี้ ไม่ว่าชาติไหน แต่เกิดเป็นคนมันก็ยังดี แต่ถ้าเป็นคนเลวลงนรกไป มันก็นานนักถึงจะกลับมา นี่พระพุทธเจ้าพิจารณาเห็นว่าร่างกาย ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราก็จงวางภาระเสีย ทำใจให้สบาย ว่าร่างกายนี้เกิดขึ้นมาในเบื้องต้น แล้วมีความเสื่อมโทรมไปในท่ามกลาง มีการแตกสลายไปในที่สุดเป็นของธรรมดา เอาใจเข้าไปรับตัวธรรมดาเข้าไว้
    [/FONT]
    [/FONT]
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ตนของตนเองก็ยังไม่มี ทรัพย์หรือบุตรจะมีแต่ไหน

    “เจ้าจงใคร่ครวญอย่างนี้ จงคิดว่าเราเป็นผู้ไม่มีอะไรเลย ทรัพย์สิน ก็ไม่มี ญาติ เพื่อน ลูก หลาน เหลนไม่มี แม้ร่างกายเราก็ไม่มี เพราะทุกอย่างที่กล่าวมามีสภาพพังหมด เราจะทำกิจที่ต้องทำตามหน้าที่ เมื่อสิ้นภาระ คือ ร่างกายพังแล้ว เราจะไปพระนิพพาน เมื่อความป่วยไข้ ปรากฏจงดีใจว่า วาระที่เราจะมีโอกาสเข้าสู่พระนิพพานมาถึงแล้ว เราสิ้นทุกข์แล้ว คิดไว้อย่างนี้ทุกวันจิตจะชินจะเห็นเหตุผล เมื่อจะตายอารมณ์จะสบายดีแล้วก็จะเข้านิพพานได้ทันที”


    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    วิมาลี – ประพัฒน์ – [FONT=Cordia New,Cordia New][FONT=Cordia New,Cordia New]พัรรภา พิมพ์ถวาย

    [/FONT][/FONT]
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ประวัติหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    ประวัติหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ​
    (วีระ ถาวโร เปรียญธรรม ๔ ประโยค)

    พระเดชพระคุณหลงพ่อพระราชพรหมยาน เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๔๖๐ ตรงกับวันขึ้น ๙ ค่ำเดือน ๘ ปีมะเส็ง (ตามใบสุทธิ) เดิมชื่อสังเวียน เป็นบุตรคนที่ ๓ ของ นายควง นางสมบุญ สังข์สุวรรณ เกิดที่ตำบลสาลี อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันรวม ๕ คน คือ

    ๑. นายวงษ์ สังข์สุวรรณ เกิดปี พ.ศ. ๒๔๕๓ ปีจอ ถึงแก่กรรม ๓ พฤศจิกายน ๒๕๑๓

    ๒. นางสำเภา (สังข์สุวรรณ) ยาหอมทอง เกิดเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๗ ปีขาล

    ๓. พระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ (สังข์สุวรรณ) ถาวโร) เดิมชื่อสังเวียน เกิดปี พ.ศ. ๒๔๖๐ ปีมะเส็ง

    ๔. พระครูพิศาลวุฒิธรรม (พระมหาเวก (สังข์สุวรรณ) อกกวํโส) เดิมชื่อหวั่น เกิดปี พ.ศ. ๒๔๖๓ ปีวอก อยู่วัดดาวดึงษาราม กรุงเทพมหานคร

    ๕. ด.ญ.อุบล สังข์สุวรรณ เดิมชื่อพัว เกิดปี พ.ศ. ๒๔๖๘ ปีฉลู ถึงแก่กรรมตั้งแต่อายุ ๔ ขวบ

    พ.ศ. ๒๔๖๖ เข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนประชาบาล วัดบางนมโค จนจบชั้นประถมปีที่ ๔ อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

    พ.ศ. ๒๔๗๕ เข้ามาอยู่กับยายที่บ้านหน้าวัดเรไร อำเภอตลิ่งชัน จังหวัดธนบุรีในสมัยนั้น และได้ศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณ

    พ.ศ. ๒๔๗๙ เข้าเป็นเภสัชกรทหารเรือ สังกัดกรมการแพทย์ทหารเรือ

    พ.ศ. ๒๔๘๐ อุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๐ เวลา ๑๓.๐๐ น. ณ วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมี

    พระครูรัตนาภิรมย์ เป็นพระอุปัชฌาย์
    พระครูวิหารกิจจานุการ เป็นพระกรรมวาจาจารย์
    พระอาจารย์เล็ก เกสโร เป็นพระอนุสาวนาจารย์
    พ.ศ. ๒๔๘๑ สอบได้นักธรรมตรี
    พ.ศ. ๒๔๘๒ สอบได้นักธรรมโท ​
    พ.ศ. ๒๔๘๓ สอบได้นักธรรมเอก
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๘๐–๒๔๘๔ ได้ศึกษาพระกัมฏฐานจากครูบาอาจารย์หลายท่าน อาทิเช่น พระครูวิหารกิจจานุการ (ปาน โสนันโท) วัดบางนมโค หลวงพ่อจง พุทธสโร วัดหน้าต่างนอก พระอาจารย์เล็ก เกสโร วัดบางนมโค พระครูรัตนาภิรมย์ วัดบ้านแพน พระครูอุดมสมาจารย์ วัดน้ำเต้า หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ หลวงพ่อเนียม วัดน้อย หลวงพ่อโหน่ง วัดอัมพวัน (วัดคลองมะดัน) และหลวงพ่อเรื่อง วัดใหม่พิณสุวรรณ
    พ.ศ. ๒๔๘๔ เข้ามาจำพรรษาที่วัดช่างเหล็ก อำเภอตลิ่งชัน จังหวัดธนบุรี เพื่อเรียนบาลี ต่อมาได้ย้ายมาอยู่วัดอนงคาราม

    พ.ศ. ๒๔๘๗ สอบได้เปรียญธรรม ๓ ประโยค ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “พระมหาวีระ” (เพื่อไม่ให้คล้ายกับพระมหาสำเนียง วัดช่างเหล็ก ด้วยกัน) ย้ายมาอยู่วัดประยุรวงศาวาส และเริ่มเป็นนักเทศน์ เป็นรองเจ้าคณะ ๔ วัดประยุรวงศาวาส

    พ.ศ. ๒๔๘๘ สอบได้เปรียญธรรม ๔ ประโยค

    พ.ศ. ๒๔๙๒ ออกจากวัดประยุรวงศาวาส ไปอยู่วัดลาวทอง จังหวัดสุพรรณบุรี

    พ.ศ. ๒๔๙๔ กลับไปเป็นเจ้าอาวาสวัดบางนมโค

    พ.ศ. ๒๕๐๐ อาพาธหนักต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลกรมแพทย์ทหารเรือ ๒ ปี

    พ.ศ. ๒๕๐๒ ออกจากโรงพยาบาลมาพักฟื้นที่วัดชิโนรส กรุงเทพมหานคร

    พ.ศ. ๒๕๐๓ ย้ายจากวัดชิโนรสมาอยู่ที่วัดโพธิ์ภาวนาราม อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท ขณะนั้นยังเป็นสำนักสงฆ์อยู่

    พ.ศ. ๒๕๐๖ ไปอยู่วัดพรวน อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท หนึ่งพรรษา

    พ.ศ. ๒๕๐๗ กลับมาอยู่วัดโพธิ์ภาวนาราม เริ่มรับศิษย์เรียนกรรมฐาน

    พ.ศ. ๒๕๐๘ ไปอยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่า อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท

    พ.ศ. ๒๕๑๐ ไปสอนกรรมฐานและจำพรรษาที่วัดสะพาน อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี

    พ.ศ. ๒๕๑๑ ย้ายมาอยู่วัดจันทาราม (ท่าซุง) ต.น้ำซึม อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี บูรณะ ซ่อมสร้าง และขยายวัดท่าซุงจากเดิมมีที่ดิน ๖ ไร่เศษ จนกระทั่งเป็นวัดที่มีบริเวณพื้นที่ ๒๘๙ ไร่เศษ มีอาคารและถาวรวัตถุต่าง ๆ สิ้นค่าก่อสร้างทั้งสิ้น ๖๑๑ ล้านบาทเศษ

    พ.ศ. ๒๕๒๐ ตั้งศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดาร ตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๒๔ เมษายน ๒๕๒๐ ตั้งมูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร ๓๑ ตุลาคม ๒๕๒๐ สร้างโรงพยาบาลแม่และเด็กท่าซุงมอบให้กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
    พ.ศ. ๒๕๒๖ สร้างตึกพักคนไข้อีก ๒ ตึก และมอบให้โรงพยาบาล
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พ.ศ. ๒๕๒๗ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญเปรียญวิ. (ป.ธ.๔ น.ธ.เอก) ที่ “พระสุธรรมยานเถระ”

    พ.ศ. ๒๕๒๘ สร้างโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา

    พ.ศ. ๒๕๓๒ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ “พระราชพรหมยานไพศาลภาวนานุสิฐ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี”

    ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ได้อาพาธด้วยโรคปอดบวมอย่างแรง และติดเชื่อในกระแสโลหิต ได้เข้ารักษาในโรงพยาบาลศิริราช และมรณภาพที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันศุกร์ที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๕ เวลา ๑๖.๑๐ น.

    ตลอดระยะเวลาที่อุปสมบทอยู่ หลวงพ่อพระราชพรหมยานได้ทำหน้าที่ของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาอย่างสมบูรณ์ กล่าวคือ

    ทางด้านชาติ ได้สร้างโรงพยาบาล สร้างโรงเรียน จัดตั้งธนาคารข้าว ออกเยี่ยมเยียนทหารหาญของชาติและตำรวจตระเวนชายแดนตามหน่วยต่าง ๆ เพื่อปลุกปลอบขวัญและกำลังใจและแจกอาหาร ยา อุปกรณ์อำนวยความสะดวก และวัตถุมงคลทั่วประเทศ

    ทางด้านพระศาสนา ได้สั่งสอนพุทธบริษัท ศิษยานุศิษย์ ให้มุ่งพระนิพพานเป็นหลัก โดยให้ประพฤติปฏิบัติ กาย วาจา ใจ ในทาน ในศีล และในกรรมฐาน ๔๐ ทัศ และมหาสติปัฏฐานสูตร ได้พิมพ์หนังสือคำสอนกว่า ๔๕ เรื่อง และบันทึกเทปคำสอนกว่า ๑,๐๐๐ เรื่อง นอกจากนี้ยังได้แสดงพระธรรมเทศนาทางสถานีวิทยุกระจายเสียง และวิทยุโทรทัศน์เป็นครั้งคราว นอกจากนี้ยังเดินทางไปสงเคราะห์คณะศิษย์ในต่างจังหวัดและต่างประเทศทุก ๆ ปี

    ทางด้านวัตถุ ท่านได้ช่วยสร้างพระพุทธศาสนาและถาวรวัตถุไว้ในพระพุทธศาสนามากว่า ๓๐ วัด รวมทั้งการบูรณะฟื้นฟูวัดท่าซุงด้วยเงินกว่า ๖๐๐ ล้านบาท ได้สร้างพระไตรปิฏก หนังสือมูลกัจจายน์ และถวายผ้าไตรแก่วัดต่าง ๆ ปีละไม่ต่ำกว่า ๒๐๐ ไตร

    ทางด้านพระมหากษัตริย์ ท่านได้สนองพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยการจัดตั้งศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดาร ตามพระราชประสงค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ศูนย์ฯ นี้ได้ดำเนินการสงเคราะห์ราษฎรในถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ งานของศูนย์ฯ รวมถึงการแจกเสื้อผ้า อาหาร และยารักษาโรคแก่ราษฎรผู้ยากจน การช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางธรรมชาติ การส่งหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกรักษาพยาบาลราษฎรผู้เจ็บป่วย การให้ทุกนักเรียนที่เรียนดีแต่ยากจน การบริจาคทุนทรัพย์ให้แก่มูลนิธิและโรงพยาบาลต่าง ๆ ฯลฯ
    นับได้ว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรมยาน เป็นปูชนียบุคคลผู้อยู่ด้วยความกรุณาเป็นปกติ พร่ำสอนธรรมะและสิ่งที่เป็นประโยชน์ และสงเคราะห์เกื้อกูลมหาชนด้วยเมตตามหาศาล สมกับเป็น ศายกบุตรพุทธชิโนรส แท้องค์หนึ่ง

    ดร.ปริญญา นุตาลัย
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ธรรมเทศนา

    อนิมิตตกถา
    พระอุบาลีคุณูปมาจารย์
    วัดสุวรรณาราม กรุงเทพฯ
    เนื่องจากในวันบำเพ็ญกุศลสัตตมวาร
    ถวายพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    วันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๓๕​

    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    ชีวิตัง พยาธิ กาโล จะ เทหะนิกเขปะนัง คติ
    ปัญเจเต ชีวะโลกัสสมิง อนิมิตตา นะ นายะเร ติ ฯ

    บัดนี้จะได้แสดงพระธรรมเทศนาใน อนิมิตตกถา อนุโมทนากุศล ทักษิณานุประทานที่ท่านทานบดีทั้งหลาย ซึ่งมีทั้งฝ่ายวัดและฝ่ายบ้าน มีท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา เจ้าคณะใหญ่หนกลาง เป็นประธาน แล้วก็มีพระครูปลัดอนันต์ รักษาการเจ้าอาวาสวัดจันทาราม หรือว่าวัดท่าซุงนี้เป็นรองประธาน

    วันนี้เป็นวันครบสัตตมาวาร คือ ครบ ๗ วัน นับตั้งแต่วันที่ ท่านเจ้าคุณพระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร) ซึ่งได้มรณภาพ ณ โรงพยาบาลศิริราช ดังที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้ว วันนี้เป็นวันครบ ๗ วัน ทางคณะเจ้าภาพจึงได้จัดการบำเพ็ญกองการกุศลตามประเพณีนิยม คือว่าครบ ๗ วัน ครึ่งหนึ่ง ครบ ๕๐ วันครั้งหนึ่ง และครบ ๑๐๐ วันอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นจะพระราชทานเพลิงศพหรือเก็บไว้ไม่พระราชทานเพลิงศพ ก็แล้วแต่คณะท่านเจ้าภาพทั้งหลายเห็นพ้องต้องกัน

    ท่านเจ้าคุณพระราชพรหมยาน ท่านเป็นพระเถระที่มั่นคงในทางพระพุทธศาสนาหลังจากอุปสมบทแล้ว ก็ได้สอบเป็นเปรียญได้นามว่า พระมหาวีระ ครั้งหนึ่งที่ควรจะกล่าวถึงก็คือว่า เมื่อพระมหาวีระอยู่วัดบางนมโค เป็นศิษย์ของหลวงพ่อปาน เรื่องนี้ท่านทั้งหลายก็ทราบกันดีโดยทั่วไป อาตมาเองก็คุ้นเคยกัน ตั้งแต่เมื่อพระมหาวีระอยู่วัดบางนมโค คุ้นเคยกันในเรื่องเทศน์ เคยไปเทศน์ด้วยกันสองธรรมาสน์บ้าง สามธรรมาสน์บ้าง โดยเฉพาะในเขตจังหวัดอยุธยาและเขตจังหวัดสุพรรณบุรี

    เพราะฉะนั้นนับครั้งไม่ถ้วนว่าจะกี่ครั้งกี่หน แต่เมื่อท่านได้มาอยู่ที่วัดท่าซุงหรือวัดจันทารามนี้ อาตมาก็ถูกนิมนต์ให้มาในพิธี ดูเหมือนจะเป็นวันฝังลูกนิมิตรผูกพัทธสีมาโบสถ์หรือไง

    ปรากฏว่าท่านเห็นอาตมาแล้วก็ท่านตรงเข้ากอด คือพระที่กอดพระนี่ไม่ค่อยปรากฏนัก แต่อาตมาเห็นว่าเป็นกรณีพิเศษ ควรจะบอกให้ญาติโยมได้รู้บ้าง ว่าพระกอดพระนั้นเนื่องมาจากเหตุอะไร กอดเอาจริงเอาจังและไม้ได้กอดที่กุฏินะ กอดที่ลานวัดนะ และก็พูดปากก็พูดพร่ำไปว่า “อย่าฟ้องผมนะ อย่าฟ้องผมนะ” อาตมาก็นึกไม่ออกว่า เอ๊ะ? มีคดีอะไรที่จะต้องฟ้องพระมหาวีระ อาตมาก็ฟังเรื่อยไป

    นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่าอาตมากับมหาวีระ ที่ไม่ให้ฟ้อง นั้นก็เพราะว่าผมได้ขโมยเลียนแบบท่านเจ้าคุณนี้เอาไปเทศน์ โดยไม่ได้บอกไม่ได้อนุญาตก่อน ลีลาการเทศน์ของท่านเจ้าคุณนี่ผมเอาไปใช้เกือบทั้งหมดเลยนะ อาตมาก็หัวร่อ…เรื่องอะไร จะไปฟ้องเล่า มันไม่ใช่เรื่องเสียหายนี่ ดีเสียอีกที่ท่านมหาเอาการเทศน์ผมไปปฏิบัติเอาไปใช้นี่ แสดงว่าไอ้ที่ผมเทศน์ไป ๆ เทศน์ไปที่แล้ว ๆ มา นะไม่ตาย

    นี่เป็นเรื่องส่วนตัวที่อาตมาไม่เคยไปเผยแพร่ที่ไหนเลย ว่าท่านมหาวีระนี่กอดอาตมา และก็ขอร้องอย่าฟ้อง เรื่องอะไรจะฟ้องล่ะ ดีเสียอีกน่ะซิ ที่อาตมาเทศน์แล้วท่านชอบใจแล้วก็เอาลีลาการเทศน์นั้นไปใช้ เมื่อเทศน์สมัยด้วยกันนั้น
    เพราะฉะนั้น ท่านเจ้าคุณพระราชพรหมยานนี้ ได้ทราบก็ยังไม่แน่นัก แต่ว่ายังไงก็อ่อนกว่าอาตมาแน่ อาตมาเกิด พ.ศ. ๒๔๕๐ ปีมะแม เดือนมีนา แต่ได้ทราบว่าท่านเจ้าคุณพระราชพรหมยาน เกิดเดือนมิถุนา แล้วก็วันเสาร์ พ.ศ. ๒๔๖๐ ถ้าเกิดตามนี้จริงก็อ่อนกว่าอาตมา ๑๐ ปีพอดี อาตมาแก่กว่า ๑๐ ปี เพราะท่านเจ้าคุณมรณภาพนั้นก็ได้ทราบว่า ๗๖ อาตมา ๘๕ เวลานี้จะย่าง ๘๖ ไม่กี่ปีข้างหน้านี้แล้ว จะอยู่ไปอีกสักกี่ปีก็ไม่ทราบ

    ท่านเจ้าคุณพระราชพรหมยาน ก็ได้ปฏิบัติหน้าที่อันมีอยู่ครบถ้วนทุกอย่าง คือ คนเรานี่มีหน้าที่และไม่ใช่หน้าที่เฉพาะอย่างเดียวนะ บางทีหลายอย่าง มีอายุมาก็มีหน้าที่มาก ไม่ว่าจะเป็นนักบวชหรือว่าจะเป็นผู้ครองเรือนฆราวาสก็ตามนะ ต่างก็มีหน้าที่ด้วยกันทั้งนั้น ในเมื่อมีหน้าที่แล้วนี่ จะต้องปฏิบัติตามหน้าที่ที่มีอยู่ ถ้าไม่ปฏิบัตินั้นไม่ได้ไม่เกิดประโยชน์ เหมือนอย่างว่าอาหารนี่ หน้าที่ของคนเราก็มีตาดู รู้ว่าอะไรเป็นอะไร มีหูฟังเสียงต่าง ๆ โดยเฉพาะเสียงคน ดีบ้างไม่ดีบ้าง หูได้ฟัง อย่างนี้เป็นต้น

    แต่ถ้าหาว่ามีตา แต่ไม่ใช้ตาดู มีหูไม่ใช้ฟัง นี่มันจะเป็นไปได้เรื่องอะไร มันก็ไม่ได้เรื่องเหมือนอาหารที่เรารับประทานน่ะ อาหารก็ตั้งอยู่ตรงหน้า แต่มือเราไม่หยิบอาหารนั้นเข้าปาก เราจะไปโทษอาหาร ให้มันเดินเข้าปากเองนะ มันเป็นไปไม่ได้ ต้องใช้มือหรือใช้ช้อนมันจึงได้ประโยชน์

    ฉะนั้น คนที่มีหน้าที่ต่าง ๆ นั้น เช่น เป็นบุพการี เป็นบิดามารดาของลูก ครูก็เป็นบุพการีของลูกศิษย์ และก็พระเจ้าแผ่นดินก็เป็นบุพการีของพสกนิกร พระพุทธเจ้าก็เป็นบุพการีของชาวพุทธทั้งหลาย ทั้งหญิงและชาย เรียกว่ามีหน้าที่ต่างก็ทำหน้าที่ของกันและกันไป

    ฉะนั้น ท่านเจ้าคุณพระราชพรหมยานนั้นเท่าที่อาตมาพอจะรู้จักบ้าง บางแง่บางมุมก็เห็นว่าเป็นพระเถระที่เกิดมาทำประโยชน์ คือว่าทำหน้าที่ที่มีอยู่สมทุกประการ ท่านเป็นนักบวช หน้าที่ปกครองท่านก็สมบูรณ์ มีพระอยู่ในปกครองอย่างเวลานี้ก็ประมาณ ๔๐ และนอกจากนั้นพระที่อยู่ก็ให้การศึกษา สนใจการศึกษาทั้งฝ่ายธรรม ทั้งฝ่ายโลก และสนใจทั้งในการเผยแผ่ เพราะเห็นว่าการเผยแผ่นั้นเป็นเรื่องจำเป็น และเป็นหน้าที่ของพระ ทีนี้คนที่มีความรู้ จะไม่นำความรู้ที่มีอยู่นั้นให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นนั้นเป็นการไม่สมควร

    เราจะเห็นได้ว่าพระพุทธเจ้าของเราเมื่อทรงตรัสรู้ปรมาภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ณ ควงโพธิ์พฤกษมณฑลหรือเราเรียกว่าต้นโพธิ์ อยู่ในประเทศอินเดีย เดี๋ยวนี้ก็ยังอยู่ ตรัสรู้ที่นั่นแหละและเมื่อตรัสรู้แล้ว ตอนแรกพระองค์ก็รู้สึกหนักใจ เกือบจะทำให้เสียความเป็นพระพุทธเจ้า เพราะท้อใจว่าไอ้ที่ตั้งเข็มไว้ว่า ถ้าสำเร็จจะโปรดสัตว์ แต่ทรงเห็นว่าสิ่งที่พระองค์ทรงค้นพบคือสัจธรรมนั้นยาก แล้วคนอื่นไหวหรือพระองค์เองก็เกือบจะไม่ไหว นี่ตอนรู้สึกพ้อพระทัย

    แต่ในที่สุดก็สรุปได้ว่า คนนั้นคือผู้ฟังน่ะไม่ใช่มีประเภทเดียว มีหลายประเภทไม่เหมือนกัน โดยทรงเห็นดอกอุบล ๔ เหล่า ดอกบัวยังมี ๔ เหล่า บางเหล่านั้นเกิดมาพ้นน้ำแล้วก็ปลอดภัย ปลาและเต่าไม่กิน บางเหล่านั้นเมื่อเกิดมาถึงพื้นน้ำเต่าก็ไม่ตอแย เพราะก้านของมันนั้นมีความคม หนามแหลม ปลาไม่เกี่ยวข้อง เต่าก็ไม่เกี่ยวข้อง

    บางเหล่านั้นเพิ่งเกิดมาจากพ้นกอบัว แต่ยังไม่ถึงพื้นน้ำ อันนี้ก็ยังเป็นลูกผีลูกคนบางเหล่านั้นเพิ่งเกิดมาจากกอบัวเป็นตุ่มเล็ก ๆ อันนี้ถ้าหากว่าปลาหรือเต่าเจอะ มันไม่เว้นแน่ มันจะต้องกิน เพราะบัวดอกบัวที่เพิ่งเกิดมานี้หวานด้วย มันด้วย และก็อ่อนด้วย เช่นเดียวกับคนก็เหมือนกัน ไม่ใช่มีเหล่าเดียวประเภทเดียวหรอมี ๔ เหล่า ๔ ประเภท

    ประเภทที่ ๑ นั้นเรียกว่า อุคฆฏิตัญญูบุคคล
    ประเภทที่ ๒ นั้นเรียกว่า วิปจิตตัญญูบุคคล
    ประเภทที่ ๓ เรียกว่า เนยยบุคคล
    ประเภทที่ ๔ เรียกว่า ปทปรมบุคคล

    หมายความว่า ดีสาม เสียหนึ่ง นี่พระองค์เห็นคนฟังนั้นเหมือนดอกบัว ๔ เหล่า จึงตัดสินใจว่าจะไปโปรดสัตว์ คือ ให้คนอื่นได้ยินได้ฟัง

    ทีนี้การได้ยินได้ฟังนี้เป็นเรื่องสำคัญ ท่านเจ้าคุณพระราชพรหมยานท่านก็ยึดหลักที่พระพุทธเจ้าได้ทรงปฏิบัติมาสมัยเมื่อทรงพระชมน์อยู่ ว่า เมื่อพระองค์ตรัสรูแล้ว แล้วก็เทศน์ให้บุคคลอื่นได้ฟังมีสาวกเลื่อมใสได้เข้ามาบวชแล้วมากพอสมควร จึงได้ประชุมพระสาวกทั้ง ๖๐ นั้น ให้ไปเผยแผ่แก่ประชาชนตามความนิคมน้อยใหญ่ แต่มีเงื่อนไขว่าห้ามไปรวมกัน ๒ องค์ ให้ไปกันทางละองค์ ทางละองค์ ถ้าหากว่าวันหนึ่ง องค์หนึ่งไปพบคนคนหนึ่งเทศน์ให้ฟังเลื่อมใสก็ได้สมาชิกมาหนึ่งคน อีกองค์หนึ่งไปเทศน์ให้เขาเลื่อมใสได้สมาชิกมาอีกคนหนึ่งก็ได้สมาชิกหนึ่งคน อีกองค์หนึ่งไปเทศน์ให้เขาเลื่อมใสได้สมาชิกมาอีกคนหนึ่ง ๖๐ องค์ วันหนึ่งก็ ๖๐ คนด้วยกัน ถ้า ๒ วันก็
    ได้ ๑๐๐ กว่าคน ถ้า ๓ วัน ก็ได้มากขึ้นเป็นลำดับ ๆ จึงห้ามไม่ให้ไปรวมกัน ไปทางละองค์ ๆ ซึ่งเห็นว่าคนที่เขาไม่ได้อัตถหิตสุขะ เพราะเขาไม่ได้ยินได้ฟัง นี่พระองค์บอกชัดทีเดียว

    ท่านเจ้าคุณพระราชพรหมยาน ก็เห็นปฏิปทาของพระพุทธเจ้า ก็นำเอามาปฏิบัติเอามาใช่ ท่านมีความรู้แล้วท่านจึงไม่อยู่เฉย แม้ท่านจะลำบากลำบนขนาดไหนก็ตามเถอะ สู้ทั้งนั้น เพราะถือว่าเป็นหน้าที่ อันนี้เป็นที่ประจักษ์ของบรรดาท่านที่เป็นลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายเป็นอย่างดียิ่ง ท่านได้ปฏิบัติเช่นนี้มาหลายปีแล้ว จึงเป็นสิ่งที่น่าโมทนา น่าที่จะเอาเป็นตัวอย่าง ที่ท่านได้ทำหน้าที่ของท่านสม แม้ท่านจะจากไปแล้ว แต่ว่าการจากไปของท่านนั้นจากไปเฉพาะแต่ร่างกาย แต่ความดีความงามที่ท่านได้กระทำไว้ยังอยู่ ยังไม่ได้สลายไปไหน โดยเฉพาะคือยังอยู่ในหัวใจของบรรดาศิษยานุศิษย์ทั้งหลายทุกท่านที่ยังมีชีวิตอยู่นี้ และพร้อมต้องกันว่า เป็นเช่นนั้น ลืมไม่ได้

    เพราะฉะนั้นท่านเจ้าคุณพระราชพรหมยานไม่ว่าท่านจะมีหน้าที่อะไร ท่านก็ทำหน้าที่สม ซึ่งเดิมทีเดียวอาตมาเมื่อมาปีแรก ๆ ครั้งกระโน้น ๔-๕ ปีที่แล้วมานึกหนักใจเหมือนกัน เห็นวัดวาอารามนั้นใหญ่โตมโหฬาร ไม่มีวัดใดในโลกนี้จะเท่ากับวัดท่าซุงหรือวัดจันทารามนี่ นึกหนักใจว่า ต่อไปใครจะรับมรดกแทนเจ้าคุณพระราชพรหมยาน อันนี้เคยนึกหนักใจแทน แต่ท่านเจ้าคุณจะหนักใจหรือไม่ อาตมาก็ไม่ทราบ แต่บัดนี้ท่านจากไปแล้ว

    การจากไปของท่านก็ดังที่กล่าวแล้วว่า จากไปแต่ร่าง แต่ความดีความงานของท่านนั้นยังไม่ได้จากไปไหน ยังอยู่กับจิตใจของบรรดาท่านทั้งหลาย และท่านได้ทราบว่าก่อนที่ท่านจะมรณภาพที่โรงพยาบาลนั้น ท่านรู้ตัว คล้าย ๆ ว่ารู้ว่าคงไม่เกิน ๓ วันนี้ท่านต้องไปแน่ ไม่อยู่ละ

    ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่ารู้ได้จาก ท่านพระครูปลัดอนันต์ ที่เป็นฐานานุกรมของท่านและเป็นผู้ที่รับใช้ใกล้ชิด ให้เอากระดาษมาที่พิมพ์ไว้มาเซ็นชื่อ แสดงว่าท่านทำอะไรไว้เรียบร้อยสั่งไว้เรียบร้อย แต่จะสั่งอะไรบ้างนั้นเข้าใจว่ายังไม่มีใครทราบ เพราะยังไม่ได้เปิดดูกัน ซึ่งในไม่ช้าเข้าใจว่าหลังจาก ๗ วันแล้วก็คงจะเปิดดูกันว่า สั่งว่าอย่างไรบ้าง นี่คือท่านรู้ล่วงหน้า

    คือธรรมดาแล้วนี่ คนเรานี่เวลาจะตายไม่รู้หรอก เพราะว่ามันไม่มีเครื่องหมายดังที่องค์สมเด็จพระบรมจอมไตรได้ทรงตรัสไว้ ซึ่งอาตมาได้ยกมาเป็นบทอุเทศหัวข้อเทศนาข้างต้นนั้นว่า ชีวิตัง พยาธิ กาโล จะ เทหะนิกเขปะนัง คติ ปัญเจเต ชีวะโลกัสมิง อะนิมิตตา นะ นายะเร ฯ ซึ่งแปลว่า ในชีวโลกคือโลกที่เป็นอยู่นี้มีสภาพอยู่ ๕ อย่าง ไม่มีเครื่องหมายใครก็รู้ไม่ได้ นี่เป็นพระราชดำรัสของพระพุทธเจ้า ว่าใครก็ไม่รู้ หมอดูก็ทายไม่ถูก ตัวเองก็ไม่รู้ พ่อแม่ก็ไม่รู้ ญาติพี่น้องก็ไม่รู้ สภาพ ๕ อย่างนั้นคือ

    . ชีวิต ว่าคนเกิดมาจะมีชีวิตอยู่กี่ปี แล้วจะปิดฉากคือตายไม่มีใครรู้
    . โรคภัยไข้เจ็บ ที่ทำให้ถึงตายนั้น คือโรคอะไร ไม่มีใครรู้
    . กาลเวลาที่ตาย ก็เลือกไม่ได้ ขอตายเวลาเช้า เวลาบ่าย เวลากลางคืน เวลาเย็น เวลาค่ำ เลือกไม่ได้ ไม่มีใครที่จะอนุญาตให้เลือกได้ ไม่มี
    ๔. ที่ที่จะนอนตาย หมายถึงว่าสถานที่ ที่ไหนก็เลือกไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเกิดที่บ้านต้องตายที่บ้าน เกิดโรงพยาบาลก็ต้องตายโรงพยาบาล ไม่ใช่ อย่างท่านเจ้าคุณพระราชพรหมยานท่านนี่ไม่ได้เกิดที่โรงพยาบาล เข้าใจว่าอย่างนั้น แต่เวลาท่านมรณภาพไปมรณภพาที่โรงพยาบาล ดังที่ท่านทั้งหลายทราบกันโดยทั่วไปแล้ว และ
    ๕. คติ ตายแล้วไปไหน ตายแล้วไปไหน ที่คนที่เขาตายกันทุกวันนี้ไปไหน ทางที่จะไปนั้นเมื่อกล่าวโดยย่อก็มี ๒ ทาง คือ ๑. ทางดี ๒. ทางไม่ดี ทางดีเรียกว่า สุคติ ทางไม่ดี เรียกว่า ทุคติ

    ทุคตินี้ไม่มีใครอยากไปหรอก ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยไปก็ไม่อยากไปเขาบอกมันลำบาก เขาบอกว่า ไม่มีหรอกว่าจะมีเวลาได้รับความสุขสักวินาทีเดียว ไม่มีเลยทุกข์ตลอด คือ อบายภูมิทั้ง ๔ คือ ๑. นรก ๒. เปรต ๓. อสุรกาย และ ๔. สัตว์เดรัจฉาน นี่ทุคติมีอยู่ ๔ ทาง

    ส่วนสุคตินั้น ก็มีมนุษย์สมบัติ อย่างชาติที่เรามาเกิดอยู่นี้เรียกว่า ชีวโลก นี่สุคติ อีกชั้นหนึ่งก็คือว่า สวรรค์ เรียกว่า มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ ตั้งแต่ชั้นจาตุมหาราชขึ้นเรื่อยเลยจนกระทั่งพรหมโลก นี่ สุคติ

    ฉะนั้น ทั้ง ๕ อย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า อะนิมิตตา ไม่มีเครื่องหมาย นะ นายะเร ใครก็รู้ไม่ได้ แต่ท่านเจ้าคุณพระราชพรหมยานนั้น รู้สึกว่าเป็นพระเถระที่แปลก คล้าย ๆ ว่ารู้ว่าอีก ๓ วัน ข้างหน้านี้จะมรณภาพ ไม่ได้อยู่แน่ เพราะว่ามฤตยูข้าศึกอันสำคัญนี่มาผจญแล้ว เห็นจะสู้ไม่ไหว ฉะนั้นจึงได้สั่งเสียไว้เป็นหลักฐาน เพื่อไม่ให้เกิดความลำบากหลังจากมรณภาพแล้ว ว่าอะไรเป้อย่างไร มีอะไรบ้างอยู่ที่ไหนอย่างไร มอบให้ใครจัดให้ใครทำ นี่ได้ทราบว่าท่านทำไว้เรียบร้อย เซ็นหนังสือก่อนที่จะมรณภาพ อันนี้เห็นได้ชัดว่า ท่านอาจจะรู้ตัวว่า ท่านคงไม่อยู่แน่จะต้องไปแน่ ทีนี้เมื่อไปแล้ว จะกลับมาบ่อย ๆ ได้เมื่อไหร่มันไม่ได้ ไปก็หายจ่อยไป ไม่มีโอกาสที่จะมาสั่งเสียอะไรอีก

    เพราะฉะนั้น มีอะไรบ้างที่ควรจะสั่งจะเสียได้ เพื่อไม่ให้เป็นปัญหาภายหลังนี่ก็สั่งเสียอันนี้น้อยรายนัก ร้อยราย พันราย หมื่นราย จะมีสักรายหนึ่ง อาตมาก็เพิ่งทราบเมื่อสักครู่นี้เอง และก็ไม่ทันที่จะอ่านประวัติว่า ประวัติของท่านเจ้าคุณพระราชพรหมยานนั้นมีอะไรบ้างก็ไม่ทราบ เพราะว่าหนังสือเล่มใหญ่เหลือเกิน ไม่มีเวลาที่จะอ่าน เพราะฉะนั้นก็เป็นอันว่า บัดนี้ท่านจากเราไปแล้ว

    ที่นี้ การจากไปนั้น ก็ไม่ใช่ว่าเป็นการจากไปเฉพาะท่านเท่านั้น แต่ว่าทุกรูปทุกนามเหมือนกันหมด ดังที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสไว้ ที่อาตมาได้ยกมาเป็นหัวข้อเทศนาข้างต้นนั้น ว่าในชีวโลกมีสภาพอยู่ ๕ อย่าง ที่ไม่มีเครื่องหมายใครรู้ไม่ได้ คือ

    ๑. ชีวิต [FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC][FONT=AngsanaUPC,AngsanaUPC]ว่าเกิดมาแล้วจะอยู่กี่ปี จึงจะละโลกนี้ไปสู่อีกโลกหนึ่ง ที่เรียกกันว่า ตาย ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ แต่ว่าพอจะกล่าวได้ในเรื่องชีวิตนี้ก็คงจะมีอยู่สองประการ คือ หนึ่งสุชีวิต คือ ชีวิตดี สองทุชีวิต คือ ชีวิตชั่ว ดีกับชั่วเท่านั้น
    [/FONT] [/FONT]
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ชีวิตใครจะดีนั้นไปบัญญัติเอาเอง ประกาศเองไม่ได้ ต้องดูการกระทำ ดูการพูด ดูการคิดของผู้นั้น ว่าสะอาดไหม บริสุทธิ์ไหม หรือมีอะไรแฝงอยู่ ถ้ามีอะไรแฝงอยู่หรือว่าใจกับปากไม่ตรงกัน อย่างนี้จะเรียกว่า เป็นชีวิตไม่ได้
    ชีวิตดีนั้นน่ะ อาตมาก็ขอยกชีวิตของท่านเจ้าคุณพระราชพรหมยาน ชีวิตอย่างนี้แหละเป็นชีวิตที่ดี แม้จะอยู่มาเพียง ๗๖ ปี ยังไม่ถึง ๘๐ ปี ก็ตาม แต่ว่าแต่ละปีแต่ละเดือนแต่ละวันของท่านนั้น แต่ละชั่วโมงนั้น ดีทั้งนั้น และท่านทั้งหลายคงจะเห็นด้วย ว่าหาตัวจับยาก ไม่ใช่ว่าจะเหมือนกันทุกรูปทุกนาม ไม่ใช่อย่างนั้น หาตัวจับยาก…จึงแสดงว่าการกระทำของท่านดี การพูดของท่านดี การคิดของท่านดี นี่สะอาดบริสุทธิ์ ชีวิตอย่างนี้ที่เรียกว่า สุชีวิต จะเกิดมาเพียงวันเดียว หรือว่าอาทิตย์เดียวนี่ก็ดี ประเสริฐดีกว่าชีวิตของคนบางคนที่เกิดมาตั้ง ๑๐๐ ปี อายุยืนยาวตั้ง ๑๐๐ ปี แต่ว่าไม่ได้ทำประโยชน์อะไรเลยทำแต่ความชั่ว พูดก็พูดชั่ว คิดก็คิดชั่ว อย่างนี้ไม่มีประโยชน์ สู้คนที่มีชีวิตดีนั้นเกิดมาเพียงวันเดียวดีกว่าคนที่มีอายุตั้ง ๑๐๐ ปี นี่เรียกว่า สุชีวิต ของท่านเจ้าคุณพระราชพรหมยาน

    ทุชีวิต นั้นก็คือว่า ชีวิตชั่ว ตรงกันข้าม แปลว่า ดีไม่ทำ ดีไม่พูด ดีไม่คิด ทำก็ดี พูดก็ดี คิดก็ดี นี่ชั่วทั้งนั้นเป็นทุจริตทั้งนั้น ชีวิตอย่างนี้ที่เรียกว่า ทุชีวิต คือ ชีวิตชั่ว และยังมีอีกชีวิตหนึ่ง ที่แฝงเข้ามา คือ โมฆชีวิต แปลว่า ชีวิตที่ว่างเปล่า อยู่ไปวัน ๆ หนึ่ง รอวันตาย ไม่ทำอะไร ที่นี้ โมฆชีวิตนี้ถ้าจะสงเคราะห์เข้าในสองชีวิตดังที่กล่าวแล้วก็สงเคราะห์เข้าได้ในทุชีวิตนั่นเอง โมฆชีวิตกับทุชีวิตนี่อันเดียวกัน

    เพราะฉะนั้น คนเกิดมาจะมีชีวิตอยู่นานหรือว่าเร็วอะไรก็ตามเถอะ ไม่สำคัญ สำคัญช่วงที่เกิดมาแล้วก่อนจะตาย นี่ช่วงนี้น่ะเราได้ทำอะไรบ้างที่จะเป็นประโยชน์ ทั้งแก่ตนเองทั้งแก่ส่วนรวม อันนี้เป็นเครื่องตัดสิน ว่าชีวิตดีหรือไม่ดี

    ๒. พยาธิ โรคภัยไข้เจ็บ เราเลือกไม่ได้ เลือกไม่ได้ แต่ว่าจะต้องตายด้วยโรคหนึ่งหรือหลายโรครวมกัน เช่น บางทีคนเป็นโรคอัมพาต แต่ไม่ใช่ว่าตายด้วยโรคอัมพาต ตายด้วยโรคปอดบวม เขาเรียกว่าโรคแทรกซ้อนจรเข้ามา อย่างไร ๆ ก็เลือกไม่ได้ ถ้าเลือกได้แล้วนี่ โรคมะเร็งนี่ไม่มีใครอยากเป็นแน่ แต่ว่าโรคนั้นก็พอที่จะกล่าวได้ในที่นี้ ว่ามันมีอยู่ ๓ ประเภทด้วยกัน ๓ อย่าง

    โรคบางอย่างนั้น รักษาก็หาย ไม่รักษาก็หายนะ อยู่เฉย ๆ มันก็หายเอง นี่โรคหนึ่ง

    อีกโรคหนึ่งนั้น รักษาก็ตาย ไม่รักษาก็ตาย นี่ก็เป็นอีกโรคหนึ่ง
    [FONT=Cordia New,Cordia New][FONT=Cordia New,Cordia New]และโรคที่สามนั่น รักษาจึงจะหาย ไม่รักษาก็ตาย มี ๓ โรคเท่านั้น จะเป็นโรคอะไรก็แล้วแต่เถอะ ไม่ได้พ้นจาก ๓ โรคนี้ไปได้
    [/FONT][/FONT]
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๓. กาลเวลา กาลหมายความ เราจะอยู่ครบรอบปีไหม หรือจะอยู่ พ.ศ. นั้น พ.ศ. นี้ เดือนนั้น เดือนนี้ ข้างขึ้น ข้างแรม วันที่เท่านั้น วันที่เท่านี้ อันนี้ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ แต่ว่าชีวิตของเรานั้น ก็หมดไปวัน ๆ หนึ่งเท่ากัน ชีวิตของคนรวยกับชีวิตของคนจนนี่เท่ากัน คนสวยกับคนขี้เหร่ก็เท่ากัน คนฉลาดกับคนโง่ก็เท่ากัน หมายความว่า ท่านให้เวลามาเท่ากัน วันหนึ่งคืนหนึ่ง ๒๔ ชั่วโมง แล้วก็แตกเป็นนาทีไป แตกเป็นวินาทีไป เท่ากันไม่ได้ต่างกัน วันเสาร์บ้าง วันอาทิตย์บ้าง วันจันทร์บ้าง วันอังคารบ้าง พุธ พฤหัส ศุกร์ อะไรบ้าง แล้วแต่เหมือนกัน

    เพราะฉะนั้น โบราณท่านต้องการอยากจะให้คนเข้าถึงธรรมะ ท่านก็มีวิธีสอนต่าง ๆ โบราณนะ เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมี คือ ท่านสอนเป็นปริศนา ถาม ตั้งเป็นปัญหาถามว่าใครที่เกิดมาแล้วกินสัตว์ทั้งหมดไม่ให้เหลือหรอเลย ถามว่าได้แก่ใคร หรือจะบอกว่ามียักษ์ตนหนึ่งชื่อยักษ์อะไรใครทราบไหม บางก็ทีงงเหมือนกันไม่รู้ว่ายักษ์ อะไรยักษ์ตนนั้นชื่ออะไร แล้วท่านก็ให้เงื่อนไขว่า ยักษ์ตนนั้นที่กินสัตว์ตลอดทั้งปฐพี ทั้งโลกว่าอย่างนั้นเถอะ คือ พระกาล ที่เรียกพระกาลผลาญชีวิตนี่แหละ พระกาลนี้มีลักษณะพิเศษ ตาสองข้างเหมือนคนคนเหมือนมนุษย์นี่เหมือนกัน ขางหนึ่งริบหรี่ ข้างหนึ่งสว่าง แต่มีปากมากถึง ๑๒ ปาก ปากหนึ่งมีฟัน ๓๐ ซี่ ยักษ์ตนนี้คือใคร คนที่ฉลาดก็ตอบบอกว่า พระกาล

    พระกาล คือ เป็นยักษ์ตนหนึ่งเรียกว่า พระกาล ตาสองข้างก็คือว่า ข้างขึ้นข้างแรม ข้างขึ้นก็สว่าง ข้างแรมก็ริบหรี่ จนกระทั่งมืด มีปาก ๑๒ ปาก หมายความว่า ปีหนึ่งมี ๑๒ เดือน เดือนหนึ่งมี ๒๐ วัน โดยถัวเฉลี่ย เดือนหนึ่ง ๓๐ วัน ยักษ์ตนนี้แหละที่กินสัตว์ทั้งโลกทั้งปฐพีไม่มีเหลือ คือ ได้แก่ พระกาลนั่นเอง ทีนี้กาลเวลานี้เราก็เลือกไม่ได้ว่าจะยุติปิดฉากเมื่อไร พ.ศ.เท่าไร วันที่เท่าไร เดือนอะไร รู้ไม่ได้

    ๔. เทหะนิกเขปะนัง ที่จะนอนตายก็เลือกไม่ได้ เลือกไม่ได้จริง ๆ และไม่ใช่แต่คนแต่มนุษย์ แม้แต่สัตว์เดรัจฉานมันก็เลือกไม่ได้ บางอย่างมันเกิดในน้ำ แต่เวลามันตายมันตายบนบก อย่างเกิดในทะเล แต่เวลาตายไม่ได้ตายในทะเล เช่น กุ้ง ปลา ปลาหมก ปลาหมึก อย่างนี้เป็นต้น ดูเอาซิ บนบกมันที่ตายของมันเมื่อไร คนเราก็เหมือนกัน ไม่ใช่เกิดที่นี่แล้วตายที่นี่ เกิดเมืองไทยตายเมืองไทย ไม่ใช่เกิดเมื่อไทยไปตายเมืองนอกก็มี เกิดเมืองนอกมาตายเมืองไทยก็มี เช่น เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองนะ ญี่ปุ่น ฝรั่ง มาตายเมืองไทยไม่รู้เท่าไร มันเกิดที่นี่เมื่อไร

    บางคนนะคนไทยเรา เขาเรียกคนปลงตก หมายมั่นปั้นมือว่าจะขอตายในห้องที่นอนนี้แหละ ที่นอนเจ็บนอนป่วยอยู่นี่แหละ จะไม่ไปไหน คือหมายความว่า โรงพยาบาลก็ไม่ยอมไป ถึงกับให้ช่างเขาต่อหีบไว้หีบรรจุศพไม้สัก ขัดเสียเงา ทาน้ำมันเงาวับ แล้วเอามาตั้งในห้องนั้นทำเป็นเตียงนอนเลย เตรียมตัวว่าจะนอนตายในที่นั้น เตียงนี่แหละหีบศพนี่แหละ ไม่สำเร็จหรอก ปรากฏว่าไม่มีใครที่จะนอนตายในที่นั้น ลูกเต้าเขาไม่เอาไว้หรอกที่นั่นน่ะ เขากลัวไอ้ห้องนั้นจะใช้ประโยชน์ไม่ได้อีกต่อไป เขาจะต้องเอาไปโรงพยาบาล เขากลัวถูกนินทา เมื่อไปโรงพยาบาลยังไม่ถึงโรงพยาบาลตายกลางทางก็มีอย่างนี้ก็มี เตรียมตัวแล้วว่าจะตายที่นี่ ไม่สำเร็จหรอก

    เพราะฉะนั้นที่นอนตายของเราก็เหมือนกัน ไม่ต้องไปคำนึงถึงหรอกที่ไหนก็ช่างมันเถอะ แต่ข้อสำคัญว่า อย่ากลัวตายก็แล้วกัน ทำไมมีคนกลัวตายหรือ มี คนที่กลัวตายนั้นทางพระพุทธศาสนาถือว่า มีอยู่ ไม่ใช่ไม่มี ได้แก่ใคร ได้แก่ คนที่ทำบาปไว้มาก คนที่ไม่รู้จักพระสัทธรรม พวกนี้กลัวตาย เพราะตายแล้วกลัวจะไปลำบาก ตกนรกหมกไหม้ ทีนี้คนที่รู้จักพระสัทธรรมนี่เข้าใจ
    สัทธรรมทำถูกต้องตรงความเป็นจริง แล้วทำบุญไว้มากอย่างนี้เป็นต้น พวกนี้ไม่กลัวตายหรอก เพราะอะไร เพราะทราบว่าตายแล้วจะดีกว่านี้ ดีกว่าที่เป็นอยู่นี้ ที่เป็นอยู่นี้ก็ดีแล้ว แต่ว่าถ้าตายจากชาตินี้แล้วไปอีกชาติหนึ่งจะดีกว่านี้ อาจจะไปเป็นเทพก็ได้บนสรวงสวรรค์ชั้นใดชั้นหนึ่ง

    ประการสุดท้าย คติ แปลว่า ทางไปหลังจากตายแล้วไปไหน อย่างท่านเจ้าคุณพระราชพรหมยานนี่ พวกลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายก็อยากจะทราบว่า หลวงพ่อไปเกิดที่ไหน แต่เกิดนะเข้าใจว่าเกิดแน่ ยังไม่ทิ้งญาติโยมทั้งหลายไปเด็ดขาด คงจะเกิดแน่ และก็เชื่อว่าถ้าเกิดแล้วก็คงจะเกิดดี คือ มนุษย์สมบัติหรือสวรรค์สมบัติ ตามความดีที่ท่านทำไว้ เพราะท่านทำความดีไว้มาก เกือบจะหาความไม่ดีนี้น้อยเหลือเกิน ซึ่งไม่มีใครทราบว่าท่านทำอะไรบ้างที่ไม่ดี เห็นแต่ดี ๆ ทั้งนั้น

    เพราะฉะนั้น หลักในทางพระพุทธศาสนาขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาก็ได้ทรงตรัสไว้ในพระสูตร ที่เราท่านทั้งหลายได้ยินได้ฟังอยู่เสมอว่า

    จิตเต อะสังกิลิฏเฐ สุคะติ ปาฏิกังขา คนเราเมื่อจิตเวลาที่จะออกจากร่าง ไม่เศร้าหมอง แล้วไม่ถูกกิเลสมาชักนำให้โลภ ให้มีราคะ ให้โกรธ ให้หลง อย่างนี้เป็นต้น สุคติก็หวังได้ ไม่มนุษย์สมบัติก็สวรรค์สมบัติ

    แต่ถ้าหากว่าเมื่อจิตเราจะออกจากร่างนั้น ไปเกิดอีกโลกหนึ่งนั้น เศร้าหมองดังที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคคะติ ปาฏิกังขา คนเรา เมื่อจิตเศร้าหมอง ทุคติหวังได้ ทุคติคืออะไร นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ไม่ได้พ้นไปได้

    เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายอย่าได้ประมาท คือ อย่านึกว่าเรานี่ไม่ไปแน่อบายภูมิ ทุคติไม่ไปแน่ เพราะเราทำดีไว้มาก แต่ไม่แน่นะ คนที่ทำความดีไว้มาก เวลาที่ใกล้จะตายนี้จิตอาจจะเศร้าหมองก็ได้ เช่น พระนางมัลลิกา มเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศล ทำบุญขนาดไหนเรื่องทานที่แข่งกันนะไม่มีใครเปรียบเทียบได้ ชนะหมดเลย แต่เมื่อตายไปตกนรก ยังไปได้ เพราะนางเป็นปุถุชน ยังไม่ใช่โสดาบัน โสดาบันจึงจะปิดอบาย อย่างอนาถบิณฑิกเศรษฐี หรือว่า นางวิสาขา ไม่ไปนรก อยากไปก็ไปไม่ได้ ปิดประตู

    แต่ทีนี้เราเป็นปุถุชนนี่ยังไม่ได้มรรคได้ผลชั้นโสดาเลย ทำไมจะไปไม่ได้ละ นรก เปรต อสรุกาย สัตว์เดรัจฉาน อาจจะไปได้ พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช ทำบุญมหาศาลบวชลูกชายลูกสาว บวชแล้วเป็นอรหันต์หมด ตายยังไปเกิดเป็นงูเหลือม สร้างเจดีย์ ๘๔,๐๐๐ บรรจุพระบรมธาตุ เพราะอะไร เพราะเวลาใกล้จะตายนั้น จิตถูกกิเลสทำให้เศร้าหมอง ความโลภบ้าง ความโกรธบ้าง ความเข้าใจผิดบ้าง อย่างนี้เป็นต้น ก็ปรากฏว่าไปเกิดเป็นงูเหลือม ทั้ง ๆ ที่ สั่งลูกชายลูกสาวว่านับตั้งแต่นี้ไปอีก ๗ วัน เมื่อโยมตายจะไปตีกลองบนสวรรค์ให้ฟัง คอยฟังนะ พระลูกชายลูกสาวก็ฟัง ท่านเป็นอรหันต์นี่ ๗ วันก็แล้ว ๘ วันก็แล้ว ไม่ได้ยินเสียงกลอง

    ท่านก็พิจารณาดูว่า เอ๊ะ…โยมไปเกิดที่ไหน เอ้า…ไม่ได้ไปสวรรค์นี่ไปเกิดเป็นงูเหลือมกำลังวิดน้ำในหนองจะกินปลา พระมหินทร์ กับนางสังฆมิตตาเถรี ซึ่งเป็นลูกชายลูกสาวก็ไปเยี่ยม โยม…ทำไมน่ะ งูเหลือมก็บอกเอ๊ะ…ใครเรียกโยม แล้วท่านก็บอกว่า โยมจะทำบาปอีกหรือ ที่โยมมาเกิดเป็นงูเหลือมนี่ก็เพราะบาป โยมยังไม่เข็ดอีกหรือ อย่าทำเลย บุญของโยมมากมาย บาปนิดเดียวกินแต่ปลาตายเถอะ ปลาเป็นอย่ากินเลย สัตว์เป็นก็อย่าไปกิน กินแต่สัตว์ตาย ก็เชื่อ ปรากฏว่า เมื่อไม่มีอาหารสมบูรณ์ไม่ช้างูก็ตาย ตายก็ไปเกิดบนสวรรค์ เพราะบุญเก่าที่ทำไว้ส่งเสริมให้ไปเกิดบนสวรรค์

    นี่แหละ เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายโปรดอย่าตึกว่า เราจะไม่ไปอบาย ไม่ได้ มันแว้ปเดียว แต่ไม่มีใครรู้หรอ แต่เราของเรานะรู้ตัวว่า เราจะตายด้วยโรคอะไรก็ตาม ถูกรถชน ตกน้ำตาย หรือตกเรือบินตายอะไรก็ตามเถอะ เรารู้ว่าจะขึ้นสูงหรือว่าเราจะลงต่ำ แต่เราบอกคนอื่นไม่ได้

    เพราะฉะนั้น คณะท่านเจ้าภาพ ซึ่งมีท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ พร้อมด้วยพระครูปลัดอนันต์ ผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดจันทารามนี้ ร่วมด้วยชาววัดและชาวบ้านทั้งหลาย บำเพ็ญกองการกุศลสัตตมวารครบ ๗ วันพรุ่งนี้ จะมีการถวายอาหารบิณฑบาตแก่พระที่สวดพระพุทธมนต์และพระที่มาร่วมงานด้วย อันนี้มุ่งที่จะอุทิศส่วนกัลปนาผลไปให้แก่ท่านเจ้าคุณพระราชพรหมยาน

    เพราะพระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสเตือนไว้ สั่งไว้ว่า คนเป็นกับคนตายนี้เมื่อถึงคราวเช่นนี้ เราจะทำอะไรให้แก่กันดีที่สุด จึงได้ตรัสไว้ใน ติโรกุฑฑสูตรว่า อะทาสิ เม อะกาสิ เม ญาติมิตตา สะขา จะเม เปตานัง ทักขิณัง ทัชชา ปุพเพ กะตะมะนุสสะรัง…อย่างนี้เป็นต้น แปลว่า ใครก็ตามเมื่อระลึกนึกได้ว่า ท่านผู้ที่จากไปนั้นได้เคยให้อะไรเรา หรือได้เคยกระทำอะไรให้เรา หรือเป็นอะไรกับเรา เช่น เป็นบิดา มารดา เป็นครูบาอาจารย์ อย่างนี้เป็นต้น องค์สมเด็จพระบรมทศพลทรงแนะว่า ทักขิณัง ทัชชา ควรจะให้ทักษิณาแก่ท่าน ก็คือ ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ท่านนั้นแหละ ดังที่ท่านทั้งหลายได้กระทำเช่นกันเช่นอย่างวันนี้ เป็นต้น

    นะ หิ รุณณัง วา โสโก วา ยา วัญญา ปะริเทวะนา …แต่การที่จะกระทำอย่างอื่นใด เช่น ร้องไห้เศร้าโศก เสียอกเสียใจอาลัยร่ำรำพัน ถึงผู้ที่ตายไปแล้วนั้น ไม่มีประโยชน์ หมายความว่า ประโยชน์ทั้งผู้กระทำก็ไม่ได้ประโยชน์ตัวเอง ผู้ที่ถูกทำก็ไม่ได้ประโยชน์ไม่ได้ทั้งสองฝ่าย

    อะยัญจะ โข ทักขิณา ทินนา สังฆัมหิ สุปะติฏฐิตา…แต่ทักษิณาที่ท่านเจ้าภาพได้ตั้งไว้ได้ในเบื้องต้นเป็นอย่างดีแล้วนี้แหละ ย่อมจะมีทางสำเร็จประโยชน์เกื้อกูลแก่เปตชนผู้ล่วงลับไปแล้ว โดยฐานะตลอดกาลนาน

    โส ญาติธัมโม จะ อะยัง นิทัสสิโต…การกระทำเช่นนี้ได้ชื่อว่าเป็นการประกาศญาติธรรมให้ปรากฏแล้ว ว่าเจ้าภาพกับผู้ที่จากไปนั้นเป็นอะไรเกี่ยวข้องยังไงกันนี่ประการหนึ่ง

    อีกประการหนึ่ง การกระทำเช่นนี้ได้ชื่อว่า เป็นการกระทำบูชาเปตชนอย่างโอฬารสมเกียรติ ได้นำศพของท่านเจ้าคุณพระราชพรหมยาน มาประดิษฐานไว้ในหีบมุกตั้งไว้เหนือเครื่องสักกาวรามิสอันโอฬารเช่นนี้ พะลัญจะ ภิกขูนะมะนุปปะทินนัง….นอกจากนั้น ก็ได้ชื่อว่าเป็นการเพิ่มกำลังให้แก่พระภิกษุทั้งหลาย คือ ถวายกำลังให้แก่พระทั้งหลายถือว่าพระทั้งหลายเป็นผู้สืบต่ออายุพระพุทธศาสนา ศาสนาเราจะยืนยงคงได้จนกระทั่งบัดนี้ เพราะอาศัยพระเหล่านี้แหละ บัดนี้จึงถือโอกาสถวายกำลัง

    ตุมเหหิ ปุญญัง ปะสตัง อะนัปปะกันติ…การกระทำของท่านทั้งหมดทั้งหลายได้ชื่อว่า เป็นการสะสมบุญาบารมีไม่น้อย อาตมาจึงขออนุโมทนา ขออำนาจบุญกุศลกิริยาสัมมาปฏิบัติที่คณะท่านเจ้าภาพได้กระทำบำเพ็ญให้เป็นไปในกาลบัดนี้ เมื่อจะสรุปกล่าวโดยย่อก็เป็นทั้ง ทานมัย ศีลมัย ภาวนามัย ขอบุญกุศลทั้งหมดนี้จงสัมฤทธิ์ผลบังเกิดแก่ท่านเจ้าคุณพระราชพรหมยานไม่ว่าท่านจะสิงสถิตเกิด ณ คติภพใดก็ตาม ขอจงได้รับทราบการกระทำครั้งนี้และอนุโมทนา รับเอาก็ชื่อว่าเป็นปัตตานุโมทนาบุญกุศล

    และเชื่อว่าท่านคงจะดีอกดีใจว่าไม่นึกเลยว่าบรรดาท่านที่เคารพนับถือและศิษยานุศิษย์ทั้งหลายจะกระทำให้ท่านถึงขนาดนี้ ท่านคงจะตั้งความปรารถนาอำนวยพร ให้ทุกท่านปราศจากทุกข์โศก โรค ภัย อุปสรรค ข้อขัดข้องในชีวิต และเจริญด้วยจตุรพิธพรชัยทั้ง ๔ ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ หากมีความจำนงประสงค์สิ่งใดอันอยู่ในวิสัย ขอให้ความจำนงความประสงค์นั้นของทุก ๆ ท่านนั้นจงสำเร็จสมความปรารถนาทุก ๆ ประการ ทุกเมื่อ ทุกท่าน เทอญ

    รับประทานอาหารแสดงพระธรรมเทศนามา พอสมควรแก่เวลา ขอยุติพระสัทธรรมเทศนา ลงคงไว้แต่เพียงนี้ เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้

    **อธิบาย รับประทาน หมายถึง พระพุทธเจ้าทรงประทานอนุญาตให้พระสาวกเป็นผู้แสดงพระธรรมของพระองค์ เพราะฉะนั้นผู้แสดงจึงใช้คำว่า “รับประทาน”

     

แชร์หน้านี้

Loading...