เว็บพลังจิต รำลึกถึงหลวงปู่บุดดา ถาวโร พระอริยเจ้าผู้ไม่เกิด-ไม่ตายตลอดกาล

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 19 มีนาคม 2010.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [FONT=&quot][​IMG][/FONT]

    [FONT=&quot]ผมสังเกตว่า คนที่เกิดมาในโลกมนุษย์นี้ ส่วนใหญ่มักจะลืมของดี ๆ, คนดี, เรื่องดี ๆ กันง่าย แต่กลับจำแม่นในเรื่องเลว ๆ, คนเลว ๆและของเลว ๆ ได้อย่างไม่ยอมลืม เจอใครก็มักจะเล่าให้ฟังอยู่เสมอ (เพราะกลัวจะลืม) เล่าแล้วเล่าอีก ทั้ง ๆที่ไม่มีประโยชน์และไร้สาระ ส่วนพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์ทั้งหลายที่ท่านสอนไว้ใน ขณะที่ร่างกายยังมีชีวิตอยู่ สอนแล้วสอนอีก, พูดซ้ำแล้วซ้ำอีก พวกเขาซึ่งมาฟังก็ยังจำไม่ได้ หรือจำได้ไม่กี่วันก็ลืม บางคนยังไม่พ้นครึ่งชั่วโมงก็ลืมแล้ว แต่ความชั่ว-ความเลว-ความไม่ดีทั้งหลาย เช่น ข่าวคนทำชั่ว-พูดชั่ว-คิดชั่ว กลับจำแม่นไม่ยอมลืม (มีจิตยินดีด้วยกับกรรมชั่วของผู้อื่น) ยิ่งถูกใครนินทา-ว่าร้าย-กลั่นแกล้ง-ยืมเงินแล้วยังไม่ได้ใช้ด้วยแล้ว จำแม่นเป็นพิเศษ บางคนเป็นสิบ ๆ ปีแล้วก็ยังจำได้ ผมขอเล่าเรื่องจริงให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง ดังนี้[/FONT]

    <O:p></O:p>[FONT=&quot]ที่วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี หลวงพ่อฤๅษี (พระราชพรหมยานมหาเถระ) ท่านจะเทศน์สอนธรรมะ โดยใช้เสียงมาตามสายทุกวัน วันละ ๔ เวลา คือ ตีสี่ (๐๔.๐๐น.), ๑๐.๐๐ น., ๑๖.๐๐ น.(พระวินัย) และ ๒๑.๐๐ น. (ธรรมะก่อนนอน) วันหนึ่งท่านถามลูกศิษย์ท่านซึ่งเป็นผู้หญิง และเคยเป็นลูกท่านในอดีตชาติ ว่าเมื่อตอนเช้ามืด (๐๔.๐๐ น.) เอ็งฟังข้าสอนหรือเปล่า เธอตอบว่าฟังค่ะ ไหนเล่าให้ข้าฟังหน่อยซิว่าข้าสอนอะไรบ้าง เธอตอบว่าลืมไปแล้วค่ะ หลวงพ่อท่านก็สอนว่า" แหมพระธรรมซึ่งมีคุณค่าสูงสุดในโลกนี้เอ็งยังลืมได้ลืมดี หากใครมาด่าเอ็ง-นินทาเอ็ง-แกล้งเอ็ง แล้วเอ็งลืมได้เร็วอย่างนี้ก็จะดีไม่น้อย " (อ่านแล้วกรุณาเอาไปคิดพิจารณาด้วย จะเกิดประโยชน์กับตัวท่านเองมาก) [/FONT]


    <O:p></O:p>
    [FONT=&quot]ผมขอวกเข้าหาเรื่องของหลวงปู่บุดดาเสียที เพราะกลัวจะเผลอไปเขียนเอาเรื่องของหลวงพ่อฤๅษีแทนเข้า ผมจำได้ว่าผมเขียนเรื่อง " หลวงปู่บุดดา ถาวโร (พระสังโฆ อัปปมาโณ) " ไว้ในหนังสือ ๑ ศตวรรษหลวงปู่บุดดา ถาวโร (อนุสรณ์อายุ ๑๐๐ ปีของท่าน) ผมได้ข่าวว่าบทความนี้ทางวิทยุทหารอากาศเขาเอาไปออกอากาศบ่อย ๆ (ในขณะนั้น) และมีผู้ที่รวบรวมธรรมะของพระสุปฏิปันโนหลาย ๆ ท่านเพื่อพิมพ์จำหน่าย ก็เอาบทความที่ผมเขียนไปลงด้วย บางเล่มลงเกือบทั้งหมด บางเล่มก็ตัดตอนเอาบางส่วนลงก็มี มาครั้งนี้ คุณ สมใจ บัวพึ่งน้ำ ผู้ที่ยังนึกถึงคุณความดีของหลวงปู่อยู่ไม่รู้ลืม ท่านได้รวบรวมพระธรรมของหลวงปู่ที่ท่านเคยฟังจากหลวงปู่ และมาชวนผมให้ช่วยเขียนเรื่องของหลวงปู่ด้วย ผมก็ตกลง เพราะยังนึกถึงท่านทุกวัน วันละประมาณ ๒-๓ ครั้ง บางครั้งก็ได้รับคำสอนของท่านโดยตรงบ้าง โดยผ่านเพื่อนผู้ที่ปฏิบัติร่วมกันบ้าง เพราะพระที่เข้าสู่นิพพานแล้ว หากท่านมีกรรมผูกพันกับใคร เช่น เคยเป็นลูกหลานท่าน และนึกถึงท่าน ท่านก็จะมาสงเคราะห์ผู้นั้นทันที (จิตถึงจิต เพราะจิตไม่มีเวลาเป็นอกาลิโก)[/FONT]

    <O:p></O:p>
    [FONT=&quot]ดังนั้น การสนทนาธรรมกันกับกัลยาณมิตร, กัลยาณธรรม จึงได้ประโยชน์อย่างยิ่ง ผมจึงได้บันทึกคำสั่งสอนของหลวงปู่ไว้ตลอดมาจนถึงปัจจุบันก็ยังบันทึกอยู่ เพราะผมถือว่า " สิ่งที่มีค่าสูงสุดในโลกคือพระธรรม " และหลวงปู่ท่านไม่ตาย หมายความว่า ความดีหรือพระธรรมไม่ตาย หรือจิตหรืออาทิสมานกายของท่านไม่ตาย " (กายของจิตเรียกว่า อาทิสมานกาย พระองค์ทรงเรียกว่ารูปในนาม) ความจริงแล้วจิตของทุก ๆ คนเป็นอมตะไม่เคยตาย สิ่งที่ตายคือร่างกายหรือขันธ์ ๕ ที่เรามาขออาศัยเขาอยู่ชั่วคราวเท่านั้นที่ตาย แต่คนส่วนใหญ่เข้าใจผิด ไปคิดว่าร่างกายหรือขันธ์ ๕ เป็นเรา เป็นของเรา หากยังหลงคิดผิดอยู่อย่างนี้ การหลุดพ้นจากอำนาจของกิเลส-ตัณหา-อุปาทาน และอกุศลกรรม ก็ยังทำไม่ได้ ยังต้องเกิด-ตาย ๆ กันต่อไป[/FONT]

    <O:p></O:p>
    [FONT=&quot]ดังนั้นการเขียนของผม บางคนอ่านแล้วอาจจะสงสัย เพราะไม่เข้าใจธรรมะในจุดนี้ และหากสงสัยก็ควรจะได้อ่านเรื่องที่ผมเขียน " หลวงปู่บุดดา ถาวโร (พระสังโฆ อัปปมาโณ) " ก่อน จึงจะช่วยคลายความสงสัยลงได้ ผมเลือกเอาเฉพาะบางตอนที่ผมเห็นว่าสมควรจะเปิดเผยและมีประโยชน์กับผู้อ่าน เท่านั้น[/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 เมษายน 2010
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [FONT=&quot]: เรื่องแรก คือ " เหม็นภายนอกกับเหม็นภายใน "

    [/FONT]<o:p></o:p> [FONT=&quot] ท่านสอนลูกสาวในอดีตชาติของท่าน เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๐ ม.ค. ๓๖ เวลาประมาณ ๑๗.๔๕ น. มีความสำคัญดังนี้[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ๑. " ทุกข์บางอย่างก็ละได้ ทุกข์บางอย่างก็ละไม่ได้ ทุกข์ของกายเกิดก็ละไม่ได้ ต้องหาทางระงับ หรือดับมันไปตามเรื่องตามราว ส่วนทุกข์ของจิตนั้นละได้นะ " (เหตุเพราะขณะนั้นลูกสาวท่านกำลังนั่งขับถ่ายอยู่ ซึ่งเป็นทุกข์ของกาย)[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ๒. ท่านถามว่า " ถุงเท้า-เสื้อ-ผ้าที่ใช้แล้วยังไม่ได้ซัก เหม็นไหม "[/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ตอบ เหม็นค่ะ[/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ท่าน ถามว่า " แล้วขี้ เยี่ยว เหม็นไหม "[/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ตอบ เหม็นค่ะ[/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ท่าน ถามว่า " เสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ซัก กับขี้เยี่ยวที่อยู่ข้างในอันไหนเหม็นกว่ากัน "[/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ตอบ ข้างในเหม็นกว่าค่ะ [/FONT] <o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ท่าน ถามว่า " แล้วไอ้ขี้ที่อยู่ข้างนอก ตั้งแต่หัวจดเท้าลงมาเหม็นไหม แล้วซักได้ไหม "[/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ตอบ ซักได้ชั่วคราวค่ะ [/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ท่าน ถามว่า " แล้วร่างกายมันมีดีตรงไหน "[/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ตอบ ไม่มีดีเลยค่ะ[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT] <o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ใน เมื่อกายไม่ดีเหม็นขี้ทั้งตัว แก้ไขระงับได้ชั่วคราว โดยอาศัยความโง่ที่เราไปหลงเกาะติดกาย ทำให้เกิดมาเป็นตัวเป็นตน ทุกข์ของกายอย่างนี้แก้ไขให้หายเด็ดขาดไม่ได้ จนกว่ากายจะตายไป[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ๓." ท่านถามว่า แล้วปาก-วาจาของเอ็งเหม็นไหม "[/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ตอบ ยังเหม็นอยู่ค่ะ[/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ท่าน ถามว่า " แล้วจิตของเอ็งเหม็นไหม "[/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ตอบ ยังเหม็นอยู่ค่ะ[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] นั่น น่ะซิ ถ้าจิตเหม็นเสียอย่างเดียว วาจาก็เหม็นด้วย ถ้าเอ็งหมั่นชำระจิตให้หายเหม็น วาจาก็หายเหม็นได้ ส่วนกายนั้นแก้ไม่ได้ มีแต่ขี้ทั้งนั้น จิตนั้นแก้ได้ต้องแก้ที่จิต ทุกข์-สุข-เกิด-ดับ ต้องแก้ที่ตรงจิตนี้ สิ้นทุกข์-สุข รู้เกิดดับเมื่อไหร่จิตก็หายเหม็นเมื่อนั้น[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ๔. อย่ามัวแต่ท่องจำ ศีล-สมาธิ-ปัญญา ๆ ๆ แบบนกแก้วนกขุนทองนั้นแก้ไม่ได้ หากจะแก้ให้ได้จริง จะต้องรู้ว่า ศีลคืออะไร สมาธิคืออะไร ปัญญาคืออะไร[/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ๕." แล้วไอ้ประเภทที่รู้ว่าศีล-สมาธิ-ปัญญาคืออะไร แต่ดันเอามือหรือจิตไปซุกหีบ กูไม่ทำ กูไม่เพียร ตัวเหม็นก็หายไปจากจิต-จากวาจาไม่ได้ รู้แล้วต้องหมั่นทำ หมั่นเพียรด้วย ตัวเหม็นมันจึงจักหายไปจากจิตจากวาจาได้ "[/FONT]
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [FONT=&quot] : เรื่องที่ ๒[/FONT]<o:p></o:p> [FONT=&quot] " การวางเฉย หรืออุเบกขา หรือการปล่อยวาง "[/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] (๒๘ ม.ค. ๓๖ ตอนใกล้ ๐๔.๐๐ น.)[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ลูกสาวในอดีตของท่านกำลังคิดว่า ขณะนี้เรากำลังถูกคนทำคุณไสย แต่ก็ทำอะไรเราไม่ได้ หากเราพบบุคคลเหล่านั้นอีก เราจะไม่ปรุงแต่งจิตของเรา แม้เขาจะมุ่งประทุษร้าย เราก็จะปล่อยวางหรือวางเฉยจะดีไหม คิดเพียงแค่นี้ หลวงปู่บุดดาท่านก็มาแล้วสอน มีความว่า[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ๑. " เฉยอย่างนั้นก็โง่นะซิ บางอย่างต้องต่อสู้ แก้ได้ต้องแก้ไป ไม่ใช่เขาใช้ให้ไปตายก็ยอมไปตายแหงแก๋ สิ่งที่ให้วางเฉยก็คือ กิเลสที่มากระทบอายตนะ ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตัวธรรมล้วน ๆ คือ ไม่ปรุงแต่งในธรรมที่เข้ามากระทบสัมผัสนั้น ๆ" เช่น ใครคิดร้ายต่อเราก็ช่างเขา แต่ถ้าถึงขั้นเอาไม้หวดตีกายเรา จิตเราอาศัยมันอยู่ก็ต้องเจ็บไปด้วย แต่ถ้าเขาแค่คิดยังไม่ได้ทำ ก็กรรมของเขา เขาทำแล้วเราหลบ เราแก้ไข ไม่ได้ต่อกร ก็กรรมของเขาอีกนั่นแหละ มันคนละกรรมกัน อย่าไปยุ่งให้จิตวุ่นวาย "[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ๒." กรรมใครกรรมมันนะอย่าลืม ใครเขาอยากจะตีให้เขาตีไป เราหลบได้เราหลบ หลบอยู่ในธรรม " ธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่มีตัวมีตน หลบพ้นนะลูก ถ้าหลบไม่พ้นก็ให้รับอย่างพระโมคคัลลานะ รับอย่างคนฉลาด อย่ารับอย่างโง่ ๆ รับแล้วไปนิพพาน คือ รับด้วยจิตผ่องใสบริสุทธิ์ ไม่ใช่รับด้วยความขัดข้องหมองใจ จิตไม่บริสุทธิ์ การไปของจิตก็บริสุทธิ์ไม่ได้ อย่ารับอย่างคนโง่เพราะมีอบายภูมิ ๔ เป็นที่ไป[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ๓. "เรามันประกาศตัวเป็นลูกพระพุทธเจ้าแล้ว ต้องเชื่อท่านซิ " เชื่อพระพุทธ-พระธรรม-พระอริยสงฆ์ ท่านว่าอย่างไร เราก็ว่าอย่างนั้นจึงจะได้ดี จึงจะไปพระนิพพานได้ตามท่าน[/FONT]
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [FONT=&quot] : เรื่องที่ ๓[/FONT]<o:p></o:p> [FONT=&quot] " กายสังขารเคลื่อนได้ แต่จิตสังขารอย่าเคลื่อน "[/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] (๒๙ ม.ค.๓๖ ตอนเช้ามืด)[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ลูกสาวในอดีตของท่านกำลังกวาดวัดตอนเช้ามืด แต่จิตก็พิจารณาธรรมะไปด้วย โดยยกเอาการปฏิบัติธรรมของตน (นั่งทำกรรมฐาน) ในคืนวันนั้นมาพิจารณา แล้วนึกชมตัวเองว่า วันนี้เราสามารถปฏิบัติธรรมได้อย่างต่อเนื่อง โดย ไม่เคยทำได้มาก่อน กายนั่งอยู่กับที่แต่ต้องขยับหลายครั้ง คิดถึงจุดนี้หลวงปู่ท่านก็มาสอน มีความว่า[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ๑." เมื่อยก็เมื่อยซี กายสังขารมันมีอยู่ จะไม่ขยับได้อย่างไร จิตสังขารซีอย่าเคลื่อน เพลิดเพลินในธรรมเข้าไว้ กายสังขารปวดเมื่อย-ขบก็ต้องเคลื่อนเป็นธรรมดา " อย่าฝืนทุกข์ของกายสังขาร นั่งนาน ๆ ง่อยมันจะกินเอา ยืนนาน ๆ ตะคริวมันก็กินขา เดินนาน ๆ ก็เมื่อยหมดกำลัง นอนนาน ๆ อัมพาตจะกินเอา "[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ๒. " อย่าทำกรรมฐานแบบโง่ ๆ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ฝืนกายสังขาร เพราะเป็นการเบียดเบียนตนเอง บรรลุมรรคผลได้ยาก สู่ครบอิริยาบถ ๔ ไม่ได้ แล้ว มิใช่ครบอิริยาบถ ๔ อย่างโง่ ๆ นะ ถ้าครบ ๔ แบบโง่ ๆ มรรคผลนิพพานก็ไม่ได้เหมือนกัน มัชฌิมา ปฏิปทา ทางสายกลางเท่านั้นที่จะบรรลุได้ บรรลุพอดีในทางสายกลาง บรรลุธรรมที่ปัจจุบัน จะบรรลุระดับไหนก็ต้องใช้ทางสายกลางในธรรมปัจจุบันพอดี ๆ เอาความดีเป็นที่ตั้ง"[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ๓. " การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน ขณะปัจจุบันได้เท่านี้ก็พอดีเท่านี้ ปฏิบัติแล้วปฏิบัติอีกก็ได้ในธรรม ปัจจุบันนั้นแหละ บริโภคธรรมอย่างพอดี บริโภคแล้วบริโภคอีกในธรรมปัจจุบันไปจนกว่า จะอิ่ม คือ เต็มขั้น กายสังขารแตกดับ จิตก็เข้า แดนอมตะนฤพาน เอ็งเข้าใจนะ อย่าทำกรรมฐานโง่ ๆพระพุทธเจ้าท่านไม่ชอบให้ลูก ๆ ท่านเดินทางผิด ทำกรรมฐานอย่างไร้ปัญญา เข้าใจไหม "[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ๔." เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด ขอให้จิตอยู่ในความสงบ อยู่ในอารมณ์พระกรรมฐานก็แล้วกัน แยกกายสังขารให้เป็น แยกจิตสังขารให้เป็น วางเฉยให้อยู่ในอารมณ์สังขารุเบกขาญาณ คือ ทุกข์กายต้องระงับ แต่จิตไม่เกาะติดอยู่กับมัน ยอมรับสภาวะทุกข์ของกายโดยดุษฏี บอกมันไว้เสมอ ๆ ว่า มึงตายเมื่อไหร่ กูสบายเมื่อนั้น "[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ๕ " สำหรับจิตสังขาร เรามีเอาไว้ปฏิบัติธรรมคนฉลาดที่เจริญพระ กรรมฐานเป็น เจริญแบบพระพุทธเจ้า แบบพระธรรม แบบพระอริยสงฆ์ คือ จิตสังขารจะกระทบ เข้ากับอะไรตลอด ๒๔ ช.ม. หรือทุก ๆ ขณะจิตที่กระทบ จะเป็นสัตว์ คน วัตถุธาตุใด ๆ หรือ พรหม เทวดา นิพพาน โลกธรรม ๘ อบายภูมิ ๔ เขาจะนำมาพิจารณา หรือเอาสิ่งสัมผัสนั้น ๆ มาเป็นพระกรรมฐานหมด แล้วใช้ปัญญาแยกออกได้ว่า สาระที่กระทบนี้เป็นธรรมใด เช่น มนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม โลกียธรรม หรือโลกุตรธรรมตลอดเวลา คนฉลาดเจริญกรรมฐานเป็น เขาเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่กระทบจิตทั้งหมดนั้นเป็นธรรม นี่แหละเอ็งจงจำ ไว้ นักเจริญกรรมฐานจะต้องอยู่ในธรรมอย่างนี้ตลอดเวลา และต้องทำให้ชินจนแยก แยะออกได้ว่า สาระธรรมใดควรเก็บ สาระธรรมใดควรละ อันนี้ทำแล้วจิตติดสมมุติ อันนี้ทำแล้วจิตพ้นสมมุติ เขาทำกรรมฐานกัน อย่างไม่หลงลืมสติว่าทำเพื่อจุดประสงค์อะไร[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ๖." พระพุทธเจ้าท่านต้องการสอนนักเจริญกรรมฐาน เพื่อวิมุติ คือ หลุดพ้นจากกิเลส เพื่อเข้าถึงแดนอมตะนฤพานจุดเดียวนะจำไว้ "[/FONT]
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [FONT=&quot]: เรื่องที่ ๔[/FONT]<o:p></o:p> [FONT=&quot] " อย่าเอาอดีตมาเป็นปัจจุบันให้อยู่ในธรรมปัจจุบัน "[/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] (๒๙ ม.ค. ๓๖ ตอนเย็น)[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ขณะที่ลูกสาวในอดีตของท่านกำลังหั่นผัก เพื่อจะใส่ในปลา เห็นผักเหี่ยว ๆ ตอนปลาย ๆ ใบ จะหั่นทิ้งก็เสียดาย จึงคิดว่าสมัยก่อนเราเคยเป็นเป็ด ก็กินผักเน่า ๆ ที่เขาทิ้งไว้ คิดเท่า นี้ หลวงปู่ท่านก็มาสอน มีความว่า...[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ๑.อย่า คิดโง่ ๆ ต้องอยู่ในตัวธรรมปัจจุบัน ชาติก่อนน่ะ เป็นเป็ดก็กินอย่างเป็ดซิ ชาตินี้เป็นคนก็ต้องกินแบบคน เบียดเบียนตนเองได้อย่างไร อีกหน่อยมิคิดว่าชาติก่อนเป็นควาย มิกินหญ้าได้เรอะ หรืออดเข้ามาก ๆ เห็น ขี้กองอยู่ จะคิดว่าตัวเองเคยเกิดเป็นหมากินขี้ แล้วมันกินได้หรือเปล่าล่ะ มันต้องอยู่ในธรรมปัจจุบัน ทำอะไร คิดอะไร ต้องอยู่ในตัวธรรมปัจจุบันหมด ต้องใช้ปัญญาด้วย กินก็ต้องกินอย่างคนอยู่อย่างคน จะไปกินอย่างสัตว์ได้อย่างไร อย่าไปติดอดีตซิ สภาวะธรรมนั้นมันผ่านมาแล้ว มันเป็นอดีต ก็ต้องให้มันเลยไป จะไปยึดมันไว้ ทำไม ดูปัจจุบันเข้าไว้จะได้อยู่เป็นสุข กินก็เป็นสุข แล้วอย่าไปคิดตำหนิพระ รัฐปาละเถระ ท่านเข้าล่ะ[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ๒" พระรัฐปาละท่านเป็นพระอรหันต์ การไปบ้านที่ชนบท เป็นพระแล้วใช่ว่าหิวแล้วจะหยิบจะซื้อของเขากินได้ตามใจได้ที่ไหน ร้านค้าอาหารก็ไม่มี ได้เวลาแล้วกายสังขารท่านเกิดเวทนา ไม่ให้กินก็เบียดเบียนตนเองซิ จะไปบิณฑบาตที่ไหนก็ไม่ทันกาล จะไปขอเขาหรือ ก็เขาไม่ใช่โยมอุปัฎฐาก สุดท้ายก็เห็นคนใช้ในบ้านโยมบิดา-มารดาของตน ถือเศษอาหารจะมาเททิ้ง นี่บ้านโยมพ่อ-โยมแม่ขอได้ ขอเศษอาหารนั้นมาบริโภค เรื่องติดรูปติดรสท่านไม่มี การฉันอาหารของท่านเพื่อบริหารกายสังขารไม่ให้ทุกข์เท่านั้น นี่คือปัญญาพระอรหันต์นะ ท่านพิจารณาแล้วไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น และไม่เบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่น เอากับท่านซิ "[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ๓." เพราะฉะนั้นเอ็งต้องเข้าใจ อยู่กับธรรมปัจจุบันให้มาก ๆ จึงจะอยู่ในทางสายกลางหรือทางพอดี ๆ ของพระพุทธเจ้าท่าน เมตตาตัวเองให้มาก ๆ นะลูก "[/FONT]
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [FONT=&quot] : เรื่องที่ ๕[/FONT]<o:p></o:p> [FONT=&quot] " กายป่วย แต่จิตไม่ป่วย และเรื่อง การกินอาหาร "[/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] (๙ ก.พ. ๓๖ เวลาประมาณ ๑๔.๐๐ น.)[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ลูกสาวในอดีตของท่าน ทราบข่าวว่าหลวงปู่ท่านป่วย จิตก็วิตกและกังวลเป็นห่วงร่างกายของท่าน และ ท่านก็มีอายุมากแล้ว คิดเท่านี้หลวงปู่ท่านก็มาสอนมีความว่า
    [/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ๑. ใครบอกเอ็งว่าข้าป่วย เปลือกข้ามันป่วยต่างหากล่ะ มันเป็นธรรมดาของคนที่มีเปลือก ต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายเป็นธรรมดา เรื่องเปลือกของข้า เอ็งจงอย่าสนใจ จะคิดถึงอย่างไรก็ขึ้นกราบพระ (บนพระนิพพาน) มากราบตัวจริงของข้าดีกว่า พูดคุยกันได้ด้วย ดีกว่าคิดที่จะไปกราบเปลือก แล้วเปลือกมันเวลานี้ ข้าจะบังคับมันให้อ้าปากสักทีมันก็ยังไม่อยากจะตามใจข้าเลย ในที่สุดข้าเลยตามใจมัน มันจะเอาอย่างไรก็ตามใจมัน มันจะอยู่ มันจะพัง ก็เรื่องของมัน นานโขแล้วที่เปลือกมันจองจำข้าไว้ เอ็งอย่าคิดว่า แค่เพียงชาตินี้ชาติเดียว ไม่รู้ตั้งกี่แสนอสงไขยกัปที่เปลือกเหล่านี้มันจองจำข้าไว้ มาชาตินี้แหละที่ข้าได้ปฏิบัติธรรมขององค์สมเด็จพระพุทธชินสีห์ให้กระจ่าง จนหลุดพ้นออกจากเปลือกนี้ได้ เพราะฉะนั้น ถ้าหากมันจะพังหรือจะอยู่ก็เรื่องของมัน พวกเอ็งอย่าไปสนใจ สนใจแต่วิธีที่พระท่านชี้ให้เห็นทางหลุดพ้นจากเปลือกวัฏจักรที่หมุนวนนี้ดีกว่า[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ๒. เอ็งอย่าไปตำหนิกรรมเรื่องการกินอาหารของผู้อื่น ว่าเขาต้องกินข้าวร้อน ๆ อาหารกินซ้ำ ๆ เขาก็ไม่อยากจะกิน เรื่องอาหารเป็นอุปาทานของใครของมัน เอ็งไปว่าเขาติดอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วตัวเอ็งมันติดหรือเปล่า ให้เลิกสร้างกรรมนี้เสีย ต่อไปอย่าไปสนใจ ตัวใครตัวมัน กรรมใครกรรมมัน เวลาเอ็งกินอาหาร เคยคิดหรือเปล่าว่ามันอร่อย แล้วมันอร่อยที่ไหน (ตอบว่าที่ลิ้น) นั่นซิ อ้ายจิตระยำมันไม่ยอมปล่อยให้ลิ้นทำงานอย่างเดียว เลือกเอารสอร่อยนั้นมาปรุงแต่งเสียอีก จริง ๆ แล้ว พระพุทธเจ้าท่านต้องการให้กำหนดรู้เวทนาของกาย รู้แค่ว่าคุณหรือโทษของอาหารที่บริโภคเข้าไปเท่านั้น เพราะหลักความเป็นจริงแล้ว อาหารมันเป็นของสกปรกทั้งสิ้น อีกทั้งหาความทรงตัวไม่ได้ ขอให้ใช้ปัญญาพิจารณาดู[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ๓. การหิวอาหารมันเป็นเวทนาของกาย การกินอาหารรสใด ก็ต้องพิจารณาดูว่าเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ร่างกายก่อน กินแล้วเบียดเบียนกายของตนหรือเปล่า กายเหมือนบ้าน กระเพาะเหมือนยุ้งฉางที่เก็บอาหาร ถ้าเอาไฟร้อน ๆ เช่น อาหารเผ็ดจัด ๆ เข้าไป ยุ้งมันจะทะลุหรือเปล่า นี่เป็นคุณ-โทษของอาหาร ที่พระพุทธเจ้าท่านต้องการให้พิจารณา[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ๔. เวทนาของกายต้องหมั่นเรียนรู้ แล้วแยกมันให้ได้จากเวทนาของจิต ระหว่างที่กินอาหารถามจิตดูว่าอร่อยตามลิ้นหรือเปล่า ถ้าอร่อยก็รับรู้ว่าอร่อยแล้วเฉย ไม่มีปรุงแต่ให้เกิดอุปาทานกันต่อไปอีกว่าต้องการบริโภคมาก ๆ ก็ใช้ได้ แค่ใช้ได้ไม่ใช่ว่าดี ดีนั้นต้องถามจิตต่อไปว่า บริโภคตามความอร่อยแล้ว ความเหมาะสมแห่งเวทนาของกายนั้นอยู่ตรงไหน กินมากไปยุ้งฉางมันจะแตกหรือเปล่า อึดอัดไหม มีอารมณ์เสียดายเกิดขึ้นกับจิตไหม ที่บริโภคอาหารอร่อย ๆ นั้น ไม่หมด ถามมันต่อไปเรื่อย ๆ จิตมันก็จะหาคำตอบในธรรมปฏิบัติเกี่ยวกับการบริโภคอาหารได้ในที่สุด[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ๕. จงอย่ากลัวความสกปรก เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในขันธ์ ๕ เกิดมาจากความสกปรกทั้งหมด อาหาเรปฏิกูลสัญญา คือ หาความสกปรกของอาหารให้พบ ยอมรับความสกปรกอันเป็นพื้นฐานแห่งชีวิตของมนุษย์โลกนี้ แห่งธาตุขันธ์ในโลกนี้ เราล้วนอยู่ในความสกปรกเหล่านี้ทั้งสิ้น มันเป็นธรรมดาของโลก พวกเอ็งต้องหาความธรรมดาแห่งความสกปรกนี้ให้พบ เมื่อนั้นจิตของพวกเอ็งจักคลายจากราคะและปฏิฆะลงได้อย่างสิ้นเชิง[/FONT]
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [FONT=&quot] : เรื่องที่ ๖[/FONT]<o:p></o:p> [FONT=&quot] " ธรรมพอดีของหลวงปู่บุดดา "[/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] (๒๘ มี.ค. ๓๖)[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] เมื่อนึกถึงธรรมพอดีของหลวงปู่ หลวงปู่ท่านก็มาสอน มีความว่า[/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ๑. อะไรที่ทำให้เราต้องกระทบ ไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม มันล้วนแต่กฎของกรรมทั้งนั้น ไปพบชาวโลก เขาด่า เขานินทา เขาสรรเสริญ เขาใช้เราทำโน่นทำนี่ ก็ต้องถือว่าพบพอดี เราทำเขาไว้ก่อน ถ้าไม่ทำไม่เจอหรอก พอดีอย่างนั้น[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ๒. บารมีธรรมก็เหมือนกัน ถ้าไม่สั่งสมกันมา มันก็ไม่เจอพอดีเหมือนกัน ค้นให้ตายก็ไม่พอดีสักที ทีนี้ถ้าสั่งสมกันมาก็เจอพอดี อยู่ที่พวกเอ็งไปค้นกันให้ดี ๆ ถ้าพบพอดี เมื่อไหร่สบายเมื่อนั้น[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ๓. ที่สำคัญคือดูให้มันพอดีกับอารมณ์ความต้องการของจิตเรา ที่แสวงหาวิโมกขธรรม (ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น) และพอดีกับความไม่ เบียดเบียนร่างกาย คือ ไม่ตึง-ไม่หย่อนจนเกินไป หาให้เจอนะในจิตกับในกายของตนเองนี่ อย่าไปเที่ยวส่งจิตออกไปหาที่อื่น มันจะยุ่ง เพียรให้ตายแล้วตายอีกก็ไม่ได้ผล[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ๔. หลวงพ่อฤๅษีกับหลวงปู่บุดดาท่านสำทับว่า พระท่าน หลวงปู่ หลวงพ่อหลาย ๆ องค์ เมตตาพวกเอ็งถึงปานนี้ ต้องรีบขยันหมั่นเพียรโจทย์จิตตนเองเข้าไว้ ให้ละความชั่วให้ได้เร็วไว โกรธ โลภ หลง พยายามเขี่ยมันออกไปให้ได้มากที่สุด ผลของการปฏิบัติของพวกเอ็งนี่แหละ คือการตอบแทนความเมตตาของพระท่าน หลวงปู่ หลวงพ่อทั้งหลาย[/FONT]
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [FONT=&quot] : เรื่องที่ ๗[/FONT]<o:p></o:p> [FONT=&quot] " หลวงปู่แสดงธรรมเงียบๆ ให้หมอดู "[/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] (วัน เวลามีอยู่เพราะบันทึกไว้ แต่ยังหาไม่พบ)[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ที่วัดท่าซุง เดือนเมษายน ๓๖ ผมได้เล่าเรื่องนี้ให้ลูกสาวในอดีตของหลวงปู่ฟัง มีความโดยย่อว่า วันหนึ่งคุณปาน (ดร. ชาลินี เนียมสกุล) โทรศัพท์มาหาผมให้ไปที่บ้านท่าน เพราะท่านนิมนต์หลวงปู่บุดดามา ผมก็รีบไป พบผู้ที่เคารพในองค์หลวงปู่อยู่กันมาก แต่มีกลุ่มหนึ่งกำลังถามปัญหาธรรมกับหลวงปู่อยู่ ผมก็เข้าไปกราบท่าน แล้วร่วมวงสนทนาธรรมด้วย ขณะที่ท่านกำลังสอนธรรมที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์ ขั้นแรกอยู่ (อารมณ์พระโสดาบัน) แต่ยังอธิบายไม่จบก็มีบุคคลท่านหนึ่ง ซึ่งนั่งอยู่ใกล้ท่านที่สุด สอดถามปัญหาขึ้นมากลางวง ผมได้ยินชัดเจนว่า ปัญหาที่เขาถามนั้นก็คือปัญหาที่หลวงปู่ท่านกำลังอธิบายอยู่นั่นเอง แสดง ว่าที่หลวงปู่ท่านพูดมาตั้งนานนั้น เขามิได้สนใจรับฟังเลย พอท่านอธิบายไปจวนจะจบอยู่แล้ว (เรื่องการตัดสังโยชน์ข้อ ๑-๒ และ ๓) ทุกคนสะดุ้งและหันไปมองผู้ถามกันเป็นจุดเดียว ผมสังเกตดู หลวงปู่ว่าท่านจะทำอย่างไรกับผู้นั้น ท่านเงียบ ไม่พูดไปนานพอสมควร และหันหน้าไปทางอื่นเสีย ผมก็นึกในใจว่า หลวงปู่ท่านเมตตาสูงมาก ที่เห็นแล้วทำเป็นเหมือนไม่เห็น ได้ยินก็ทำเป็นเหมือนไม่ได้ยิน เพื่อไม่ให้ผู้ถามมีบาปอกุศล (ปรามาสพระรัตนตรัย) ท่านจึงแสดงธรรมเงียบ ๆ เรื่องบอดเสียบ้าง-หนวกเสียบ้าง-ใบ้เสียบ้าง แล้วจิตจะเป็นสุข ลูกสาวท่านก็นึกถึงท่าน (หลวงปู่บุดดา) ท่านก็มาสอนมีความว่า[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ๑. นั่นแหละต้องทำอย่างนั้น ตาเราเห็นรูป รู้ หูได้ยินเสียง รู้ แต่แกล้งทำเป็นไม่เห็น ไม่รู้ หูได้ยินเสียง แต่แกล้งเป็นไม่ได้ยิน จิตมันไวมันรู้ แต่ก็เห็นสิ่งที่ไม่เป็นสาระอยู่ในตัวของมันเสร็จ[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ๒.จิตของผู้ฝึกดีแล้ว จะรายงานบอกตัวเองเสร็จสรรพ ว่าสิ่งไหนควรรู้ สิ่งไหนไม่ควรรู้ อาการเก็บสิ่งสัมผัสส่งเดช ไม่มีในจิตของท่านผู้รู้ อย่าไปคิดนะว่าจิตของท่านไม่มีความรู้สึก ยิ่งฝึกจิตดีเท่าไหร่ อะไรมากระทบสัมผัสยิ่งรู้สึกได้ดีและแม่นยำปานนั้น หากแต่จิตของท่านละเอียด สามารถแยกธรรมที่เป็นสาระออกจากธรรมที่ไม่เป็นสาระออกจากกันได้[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ๓. เอ็งจงดูและศึกษาปฏิปทาของทานผู้รู้ว่าเป็นอย่างไร จิตจึงจักเป็นผู้รู้ได้ การสำรวมอายตนะ ๖ จุดสำคัญ คือ สำรวมที่จิต ทำจิตให้สงบด้วยอานาปานัสสติ ระงับนิวรณ์ ๕ ประการ ก็คือระงับความปรุงแต่งของจิต ไม่ให้ไหวไปตามอายตนะสัมผัสทั้งปวง[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ๔. การเกิดของนิวรณ์ ๕ บางกรณีก็เกิดจากกิเลสมาร บางกรณีก็เกิดจากขันธมาร นิวรณ์ ๕ เข้ามาได้เพราะอายตนะสัมผัสทั้ง ๖ ประตูนั่นแหละ ท่านผู้รู้ท่านสำรวมอายตนะอย่างนี้ เจ้าก็จงหมั่นสำรวมอายตนะตาม จึงจะเอาดีได้ ต้องตั้งใจจริง ๆ พูดจริง ทำจริง เอาบารมี ๑๐ ยันเข้าไว้ เอาอิทธิบาท ๔ ใคร่ครวญเข้าไว้[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ๕. อยากจะพ้นจากร่างกาย ที่เต็มไปด้วยความทุกข์แห่งอายตนะสัมผัสนี้ ก็ต้องมีความละอาย คือ มีหิริโอตตัปปะที่จะไม่เที่ยวปล่อยจิตให้ยึดมั่นในอายตนะสัมผัสอย่างไม่มี เหตุผล และสาระของชาวโลกอย่างปกติโลกียวิสัย และจิตต้องกอปรไปด้วยพรหมวิหาร ๔ รักเมตตา กรุณาสงสารตนเอง มุทิตา มีจิตอ่อนโยน ถ้ากระด้างกระเดื่องถือดีในร่างกายหรือติดในอายตนะสัมผัส ทำอารมณ์ให้เกิดพอใจ-ไม่พอใจ ก็ต้องกลับมาเกิดวนอยู่ในวัฏฏสงสารอีก มีอุเบกขา คือ วางเฉยในอายตนะสัมผัสนั้น ๆ[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ๖. จิตไหวนั้นต้องไหวแน่ เพราะวิญญาณหรือความรู้สึกของประสาทจะรายงานให้ทราบ แต่เมื่ออารมณ์รู้สึกมันทราบแล้วก็ต้องลงตัวธรรมดา จิตที่ยังไม่ได้ฝึกมักจะลงตัวธรรมด่า หรือไหวลิงโลดยินดีไปในโลกียสัมผัสนั้น ๆ ต่างกับจิตของผู้ฝึกดีแล้ว อะไรมันกระทบก็พอดีธรรมดาหมด ก็เลยหมดเรื่องกัน[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ๗. ลูกสาวท่านนึกว่า ฟังหลวงปู่อธิบายแล้วสบายใจ คำสอนของท่านง่ายจริง ๆ ท่านก็ตอบว่า " ง่ายเฉพาะผู้ได้แล้ว ผู้รู้ ฝึกจิตดีแล้ว อย่างเอ็งอย่าเพิ่งนึกว่าง่าย แต่ก็อย่าเพิ่งนึกว่ายาก " ให้ลอง ๆ ทำความเพียรไปก่อน อย่าท้อถอย พยายามเข้า ประเดี๋ยวก็เพลิดเพลินสนุกไปเอง ทำการฝึกจิต อย่าทำแบบคนหงอยเหงา ผลมันจะไม่เกิด ต้องทำแบบกระฉับกระเฉง กิเลสมันจะได้กลัว เอ็งเคยเห็นหมาที่มันจะถูกฝูงอื่นรุมไหม ถ้ามัวแต่หงอก็จะถูกรุมกัดตาย แต่ถ้ามันไม่หงอ เอาจริงเอาจัง แยกเขี้ยวขู่คำรามแฮ่ ๆ ตัวอื่นก็ชักแหย ไม่กล้าเข้ารุมกัด กิเลสก็เหมือนกัน มันรุมกัดเราอยู่ทุกทิศทุกทางของอายตนะสัมผัสนั้น ๆ ถ้าจิตเรามัวแต่หงอ เหงาหงอย กิเลสมันก็รุมกัดตาย แต่ถ้าจิตเรารู้ ไม่หงอ เอาจริงเอาจัง คอยดูกิเลสเข้าทางไหน คอยฟัดดักกิเลสทางนั้น กิเลสมันก็ไม่กล้าเข้ามายุ่งกับจิตเราเหมือนกัน[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ๘. จิตสดใสร่าเริงในธรรม คือ จิตที่มีกำลัง คือ จิตที่ผ่องใส ตามคำ สั่งสอนขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เอ็งต้องลงตัวธรรมดาให้ได้ และทำจิตให้เป็นธรรมดาของโลกุตระวิสัยให้ได้ จิตเอ็งถึงจะร่าเริงสดใสในธรรมนั้น ๆ ได้ อย่าลืมเอาจิตอยู่กับกาย เอากายอยู่กับจิตให้มาก ๆ[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ผมขอจบพระธรรมคำสอนของหลวงปู่บุดดาไว้เพียงแค่นี้ก่อน เพราะกลัวว่ามันจะเกินพอดี หากชีวิตยังอยู่และโอกาสมีก็อาจจะได้เขียนต่ออีก เพราะอนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน หากใครไม่นึกถึงความตายหรือมรณานุสสติ บุคคลนั้นเป็นผู้ประมาทอย่างยิ่ง เพราะพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ซึ่งมีอยู่มากถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ทรงย่อสั้น ๆ ให้เหลือเพียงประโยคเดียว คือ จงอย่าประมาท (ในความตายซึ่งเป็นขั้นต้น) ส่วนขั้นสูงทรงหมายถึง จงอย่าประมาทในทุก ๆ กรณี หมายถึงกรรมทั้ง ๓ คือ กายกรรม, วจีกรรม และมโนกรรม[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ส่วนคำสอนของหลวงปู่บุดดา ที่ผมยกมา ๗ เรื่องนี้ ในความรู้สึกของผมว่าท่านสอนลูก-หลานท่านในหลักสูตรพระอริยเจ้าเบื้องสูงเลย เพราะหากเราสามารถปฏิบัติได้ตามนั้น ขั้นแรกก็เป็นพระอนาคามีเลย ขั้นสองก็จบกิจเป็นพระอรหันต์ ผ่านพระโสดาบันและพระสกิทาคามี ซึ่งยังเป็นพระอริยเจ้าเบื้องต่ำดังนั้น ผู้ใดที่ยังไม่มีพื้นฐานของพระธรรมเบื้องต่ำ อาจจะต้องใช้วิริยะ-ขันติ-สัจจะบารมี โดยมีปัญญาบารมีคุมหนักหน่อย จึงจะเข้าใจได้ดี บุคคลใดที่มีพื้นฐานของธรรมเบื้องต้นอ่านแล้ว หากคิดว่าง่ายก็เป็นคนประมาท เพราะตัวเองยังทำไม่ได้ ปฏิบัติยังไม่ถึง จะพูด-จะคิดว่าง่ายได้อย่างไร ส่วน บุคคลใดอ่านแล้วยังไม่เข้าใจดี ก็จงอย่าคิดว่ายาก เพราะจะทำให้กำลังใจ (บารมี) ตก แล้วจะมีผลเหมือนกับที่หลวงปู่เปรียบเทียบเหมือนหมาหลงเข้าไปอยู่ในฝูงอื่น ก็จะถูกมัน รุมกัดตาย หากมัวแต่หงอไม่เอาจริงเอาจัง กรุณาย้อนกลับไปอ่านข้อ ๗ ในเรื่องที่ ๗ แล้วจะเข้าใจดีในการปฏิบัติธรรมนั้น ทรงย้ำเรื่องกำลังใจ (บารมี) มาก หากไม่เอาจริงตั้งใจจริง โดยใช้บารมี ๑๐ เป็นหลักในการเสริมกำลังใจ (บารมี) แล้วก็ยากที่จะพ้นทุกข์ได้[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT]<o:p></o:p>
    [FONT=&quot] ขอท่านผู้อ่านทุกท่านจงโชคดีในธรรมปฏิบัติที่ท่านปรารถนา หากท่านไม่ยอมละความเพียรเสียอย่างเดียว พระพุทธองค์ทรงรับรองว่า สามารถจบกิจได้ในชาติปัจจุบันนี้ (รับรองเฉพาะผู้เอาจริงเท่านั้น)
    [/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT]



    [FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]คัดลอกจากหนังสือ "ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น" เล่มที่ 3[/FONT]
    [FONT=&quot]โดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน[/FONT]
     
  9. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    สาธุ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ

    เว็บทางนิพพาน เว็บไซด์ เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น<O:p</O:p
    ที่รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน<O:p</O:p
    ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่
    www.tangnipparn.com<O:p</O:p

    <O:p>ขอเชิญแวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญเว็บศูนย์พุทธศรัทธา


    [​IMG]</O:p>
     
  10. charoen.b

    charoen.b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    5,726
    ค่าพลัง:
    +15,488
    กราบนมัสการหลวงปู่บุดดา ถาวโร พระอรหันตเถระ ด้วยจิตเคารพยิ่ง


    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
     
  11. no-ne

    no-ne เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    1,198
    ค่าพลัง:
    +3,380
    ขอกราบพระบาทหลวงปู่ และขออนุโมทนาบุญด้วยเป็นอย่างยิ่งค่ะ สาธุ
     
  12. ahantharik

    ahantharik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,596
    ค่าพลัง:
    +6,346
    [​IMG]
     
  13. arrin123

    arrin123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    325
    ค่าพลัง:
    +1,759
    อนุโมทนาค่ะ

    _______________________

    สุขใดเหมือนแม้นการไม่เกิดไม่มี

    จะไม่ละความเพียรถ้ายังไม่ถึงซึ่งนิพพาน
     
  14. ไห่เฉากุหลาบไฟ

    ไห่เฉากุหลาบไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    896
    ค่าพลัง:
    +2,177
    บทความธรรมะนี้ดีจริงๆ
     
  15. wvichakorn

    wvichakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    3,662
    ค่าพลัง:
    +9,236
    ๒. " อย่าทำกรรมฐานแบบโง่ ๆ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ฝืนกายสังขาร เพราะเป็นการเบียดเบียนตนเอง บรรลุมรรคผลได้ยาก สู่ครบอิริยาบถ ๔ ไม่ได้ แล้ว มิใช่ครบอิริยาบถ ๔ อย่างโง่ ๆ นะ ถ้าครบ ๔ แบบโง่ ๆ มรรคผลนิพพานก็ไม่ได้เหมือนกัน มัชฌิมา ปฏิปทา ทางสายกลางเท่านั้นที่จะบรรลุได้ บรรลุพอดีในทางสายกลาง บรรลุธรรมที่ปัจจุบัน จะบรรลุระดับไหนก็ต้องใช้ทางสายกลางในธรรมปัจจุบันพอดี ๆ เอาความดีเป็นที่ตั้ง"


    ขออนุโมทนาค่ะ
     
  16. lungrung

    lungrung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +547
    อนุโมทนาสาธุ

    ผมและครอบครัวเคยไปกราบท่านที่วัดกลางชูศรีเจริญ สมัยท่านอายุ 99 ปี
    ได้รับพระและแป้งเสกจากมือท่าน เป็นสุขใจ

    จนต้องกลับไปอีกครั้งเมื่อท่านอายุ 100 ปี ก็มีโอกาสพบเป็นครั้งสุดท้าย

    ไม่กี่ปีมานี้ยังกลับไปที่วัด ต้องนั่งระลึกถึงสมัยท่านมีอายุอยู่

    รักษาพรหมจรรย์ฝากนี้ฝากโน้น ครบ 7 ชาติก็ไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว

    หลวงปู่บุดดา ถาวโร
     
  17. พอชูเดช

    พอชูเดช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,285
    ค่าพลัง:
    +4,339
    สาธุครับ

    -มหาโมทนากับกุศลจิตทุกท่าน ขอให้สำเร็จตามที่ปรารถนาครับ

    สาธุ
     
  18. Konbarb

    Konbarb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +206
    อนุโมทนาสาธุครับ หลวงปู่ท่านสอนได้ง่ายแก่การนำไปปฏิบัติ รอแต่สามารถทำให้ถึงเท่านั้น
     
  19. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    [​IMG]
    หลวงปู่บุดดา ถาวโร ท่านเคยรับนิมนต์มาที่วัดบ้านโพด
    เพชรบูรณ์

    ฉายาหลวงปู่จันทา ถาวโร ไปพร้องกับหลวงปู่บุดดา ถาวโร
    [​IMG]
    หลวงปู่จันทา ถาวโร
     
  20. oomsin2515

    oomsin2515 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    2,934
    ค่าพลัง:
    +3,393
    ขออนุโมทนาสาธุธรรม เป็นอย่างสูง ครับ






    ------------------------------------------------------------------------------------------------
    ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพบริจาคท่อส่งน้ำถวาย วัดเขาชี หมู่ ๑๕ ต.บ้านกลาง อ.วังทอง จ.พิษณุโลก<O:p</O:p
    http://palungjit.org/threads/ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพบริจาคท่อส่งน้ำถวาย-วัดเขาชี-จ-พิษณุโลก.233681/ <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    http://www.watkhaochee.com/
     

แชร์หน้านี้

Loading...