รูปพรหมทั้ง 16 ชั้น

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 27 กรกฎาคม 2013.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    มาว่ากันถึงพรหมอันดับแรก มี ๓ ชั้นด้วยกัน คือ พรหมชั้นที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ บรรดาท่านพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพโปรดทราบ การบำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพรหม หากว่าจะสร้างโบสถ์วิหารการเปรียญสักแสนหลังหรือล้านหลัง หรือว่าจะลงทุนสร้างวัดสร้างวาทำสิ่งสาธารณประโยชน์สักกี่ล้านรายการก็ตาม เราไม่มีโอกาสจะเป็นพรหมกันได้ สำหรับพรหมนี้จะเป็นได้ก็ต้องอาศัยการเจริญสมถกรรมฐานให้ได้ถึงฌานสมบัติ นี่ว่ากันถึงเรื่องพรหมโลกียฌาน แล้วก็พรหมโลกุตรฌาน ก็ต้องมีวิปัสสนาญานควบคู่กับสมถะที่ได้ฌาน แล้วเวลาจะตายจากความเป็นมนุษย์ก็ต้องเข้าฌานตาย ไม่ใช่ตายแบบประเภทส่งเดช เป็นอันว่ารู้กัน รู้กันแล้วนะบรรดาท่านพุทธบริษัท ว่าจะเป็นพรหมต้องเจริญสมถกรรมฐานด้วยภาวนาให้ได้ฌานสมบัติ แล้วก็เวลาจะตายไม่ใช่ตายแบบประเภทส่งเดช คือว่าต้องตายในระหว่างที่ทรงฌาน

    พรหมระดับที่ ๑ ที่ได้ปฐมฌาน ท่านที่เจริญปฐมฌานได้อย่างหยาบ ๆ ปฐมฌานนี่มี ๓ ชั้นด้วยกัน คือ อย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด ท่านที่ได้ปฐมฌานหยาบ แล้วออกในปฐมฌานหยาบ เวลาตาย ชื่อว่า ปริสัชชาพรหม มีอายุอยู่ในพรหมได้ ๑ ใน ๓ ของกัป เวลาปีนี่อย่าไปถามนะ ไอ้เรื่องกัป ๆ นี่พูดกันมาแล้ว ว่ากำหนดเป็นปีเป็นเดือนเป็นวันไม่ได้ ปฐมฌานหยาบนี่ ไปเป็นพรหมชั้นที่ ๑ ชื่อว่า ปริสัชชาพรหมมีอายุอยู่ในพรหมได้ ๑ ใน ๓ ของกัป แล้วท่านที่ทรงปฐมฌานได้อย่างกลางไปเป็นพรหมชั้นที่ ๒ ชื่อว่า ปุโรหิตาพรหม มีอายุครึ่งกัป ท่านที่เป็นพรหมปฐมฌานอย่างละเอียด พรหมชั้นนี้เรียกว่า มหาพรหมมา มีอายุได้ ๑ กัป สำหรับพรหมกับเทวดามีต่างกันอยู่อย่างหนึ่ง คือว่าเทวดานี่นะ มีนางฟ้าเยอะแยะเรียกว่าไม่ต้องหาสาว ๆ กันก็แล้วกัน มีสาว ๆ คอยบำรุงบำเรออยู่นับเป็นร้อย เป็นพันเป็นหมื่นเป็นแสน แต่ว่าพรหมนี่มีสภาพคือวิมานหนึ่งอยู่องค์เดียว วิมานกว้างใหญ่ไพศาลมีเนื้อเหมือนแก้วใส ๆ มีเครื่องประดับเป็นสีเหลืองคล้ายทองแต่มีประกายออก ถ้าเราจะมองกันไปแล้วประกายของทองจะจับที่เนื้อ เห็นเนื้อพรหมเป็นทองไปหมด นี่ พึงทราบว่าสภาวะของพรหมเป็นอย่างนี้พรหมอยู่กันอย่างสงบสงัด แล้วบรรดาพรหมทั้งหลายไม่มีเพศ ผู้หญิงก็ตาม ผู้ชายก็ตาม ถ้าตายจากความเป็นคนแล้วไปเกิดเป็นพรหม หาความเป็นผู้หญิงผู้ชายไม่ได้ เป็นอันว่าเรื่องราวของการต้องการเพศ ไม่มีสำหรับพรหม อันนี้ ท่านที่ชอบรักก็ไม่น่าจะอยากอยู่นะ คงจะอยากอยู่สวรรค์มากกว่า แต่ว่าท่านที่ต้องการความสงบก็อยู่ที่พรหม แล้วพรหมแต่ละท่านก็เป็นพรหมประเภทที่มีความสงบ คืออยู่ด้วยความเป็นสุขด้วยกำลังของธรรมปีติ คือฌานที่เล่าให้ฟัง

    ต่อไปก็เป็นพรหมสำหรับฌาน ๒ สำหรับฌานที่ ๒ นี่ก็มีอยู่ ๓ อันดับเหมือนกัน คือ อย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด ท่านที่ได้ฌาน ๒ แล้วก็ตายในฌาน ๒ อย่างหยาบไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๔ ชื่อว่า ปริตตาภาพรหม นี่นะ ชื่อชั้นนี้เขาเรียก ปริตตาภามีอายุอยู่ในพรหมได้ ๒ กัป แล้วถ้าหากว่าได้ฌานที่ ๒ อย่างกลาง ไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๕ พรหมนี้เรียกว่า อัปปมาณาภา มีอายุได้ ๔ กัป อย่าลืมนะว่าพรหมที่ได้ฌาน ๒ อย่าง กลางไปเป็นพรหมชั้นที่ ๕ พรหมชั้นนี้มีนามของชั้นว่าอัปปมาณาภา มีอายุ ๔ กัป แล้วก็ท่านที่ได้ฌาน ๒ ละเอียด ไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๖ พรหมชั้นนี้เรียกนามว่า อาภัสรา มีอยู่ ๘ กัป พรหมแต่ละชั้นๆ นี่ มีอายุเป็นกัปๆ เขาไม่ได้นับเป็นปีๆ

    ทีนี้ มาว่ากันถึงท่านที่ได้ฌาน ๓ ฌาน ๓ นี่แบ่งเป็น ๓ ชั้นเหมือนกันคืออย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด ท่านที่ได้ฌาน ๓ อย่างหยาบไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๗ พรหมชั้นนี้มีนามว่า ปริตตสุภา มีอายุ ๑๖ กัปแล้วท่านที่ได้ฌาน ๓ อย่างกลางไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๘ พรหมชั้นนี้มีนามว่า อัปปมาณสุภา มีอายุ ๓๒ กัป แล้วท่านที่ได้ฌาน ๓ อย่างละเอียดไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๙ พรหมชั้นนี้มีนามว่า สุภกิณหามีอายุ ๖๔ กัป แหมกว่าจะมาเกิดเป็นคนได้ นานเหลือเกิน ชักจะเหนื่อยๆ นี่ว่ากันถึงพรหมชั้นที่ ๓

    ตานี้ มาว่ากันถึงพรหมชั้นที่ ๔ ประเภทฌานโลกีย์ ฌาน ๔ นี่มีอยู่ ๒ ระดับ เป็นพรหมได้ ๒ ระดับ คือพรหมชั้นที่ ๑๐ และ ๑๑ ฌาน ๔ อย่างหยาบไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๑๐ ชื่อว่า เวหัปผลาพรหม มีอายุเป็นพรหมได้ ๕๐๐ กัป น่าดูเหลือเกิน ท่านที่ได้ฌาน ๔ ละเอียดแล้วก็ได้สัญญาวิราคาภาวนา คือเจริญวิปัสสนาญาณเพื่อความเครียดจากราคะเป็นพรหมชื่อว่า อสัญญีตาภูมิ มีอายุได้ ๕๐๐ กัปเหมือนกัน พรหมชั้นที่ ๑๑ นะ นี่สำหรับพรหมชั้นนี้มีแปลกอยู่อย่างหนึ่ง ชั้นที่ ๑๑ นี่ ไม่ใช่เป็นพรหมชนิดทรงฌานแบบจิตสงบเฉยๆ นะ คือเรียกว่าได้สัญญาวิราคา ฟังรู้เรื่องไหม? ฟังไม่รู้ซี พระบางท่านอาจจะฟังรู้เรื่อง โยมบางท่านอาจจะฟังไม่รู้เรื่อง เพราะตาเถรคนพูดแกพูดส่งเดชนี่ สัญญาวิราคาภาวนา จะไปรู้อะไร ยังงี้ใครจะรู้เรื่อง พูดใหม่ดีกว่า สัญญาวิราคาภาวนา ภาวนาแปลว่าการเจริญคือการทำในด้านของความดี สัญญาแปลว่าความจำ วิราคะแปลว่ากำจัดความรัก ไม่หมดหรอก แต่เบาลงไป เรียกว่ามีวิปัสสนาญาณครบไม่ใช่สมถะอย่างเดียวต้องเจริญวิปัสสนาญาณด้วย แล้วดับความรู้สึกที่จำไว้ว่าไอ้นั่นสวยไอ้นี่สวยอย่างโน้นสวยอย่างนี้สวย อย่างนี้อารมณ์ใจเริ่มเบื่อ แต่ก็ประเภทเบื่อๆ อยากๆ ไม่ใช่เบื่อหมด ประเดี๋ยวเบื่อประเดี๋ยวอยาก แต่มีความรู้สึกเบื่อมากกว่าอยาก บางทีอยากๆ ขึ้นมาแล้ว พอกินเข้าไปแล้วอิ่มเบื่อ แต่ว่าถึงแม้ว่าบางครั้งไม่ได้บริโภคก็เบื่อมาก มีอารมณ์เบื่อมากกว่าความอยาก ท่านจึงเรียกว่าสัญญาวิราคาภาวนา ยังไม่ได้บรรลุมรรคผล นี่จบแค่ฌาน ๔ โลกียฌานเพียงเท่านี้นะ

    แต่พรหมจริงๆ น่ะ บรรดาท่านพุทธบริษัท ท่านมีอยู่ถึง ๑๖ ชั้นสำหรับรูปพรหมที่พูดมานี่ เป็นเรื่องของรูปพรหมทั้งหมด ตั้งแต่ชั้นที่ ๑๒ เดียว จะเก็บไว้ก่อน ยังไม่คุยมาไล่เบี้ยพรหมฝ่ายที่เป็นโลกียฌานกันเสียก่อน สำหรับพรหมนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัทถ้าเราคิดกันอย่างมนุษย์ที่มีความต้องการมากๆ จะคิดว่าพรหมนี่หงอยเหงาเหลือเกิน ไม่มีเพื่อนเหมือนเมืองเทวดา เทวดามีเพื่อนมากมีผู้หญิงก็มาก มีผู้ชายน้อย รู้สึกว่าผู้หญิงจะเสียเปรียบผู้ชาย เพราะผู้ชายคนเดียวดีผู้หญิงตั้ง ๕๐๐ เป็นอย่างน้อย บางรายก็ตั้งพันตั้งหมื่นตั้งแสน แล้วบรรดาสาวๆ ทั้งหลายไม่เหงากันแย่รึ ถ้าจะพูดกันอีกทีไม่เหงาหรอกบรรดาท่านพุทธบริษัท เพราะเทวดามีสมรรถภาพมาก ไม่เหนื่อย ไม่เพลีย ไม่ง่วงเหงาหาวนอน เรียกว่า เทวดาเป็นผู้ทรงอานุภาพ สามารถจะแจกความรักได้ทั่วถึงกัน นี่สำหรับคนที่เมาในรักนะ คนที่ชอบรักมากๆ ต้องไปเกิดเป็นเทวดา แล้วคนที่ต้องการความสงบสงัดมากๆ ก็ควรต้องไปเกิดเป็นพรหม พรหมนี่แปลว่าอะไร ไม่ใช่แปลว่าปูพื้นห้อง ไม่ใช่ยังงั้น ไม่ใช่พรมสำหรับเหยียบสำหรับย่ำ พรหมนี่แปลว่าประเสริฐ จำไว้ให้ดี คำว่าพรหมนี่แปลว่าประเสริฐ เป็นผู้มีอารมณ์สงัด มีธรรมปีติอยู่ตลอดเวลา ทรงฌานอยู่ตลอดเวลา มีความสงบสงัด เขาบอกว่าพระพรหมเป็นผู้สร้างโลก พระพรหมบันดาลให้มนุษย์เป็นยังงั้นยังงี้ นี่เป็นประเพณีของคนโกหกมดเท็จ พรหมไม่ได้มีหน้าที่มายุ่งกับคน ใครจะดีจะชั่วเป็นเรื่องของบุคคลคนนั้น ได้เรื่องการบันดาลให้มนุษย์เป็นยังงั้น สัตว์เป็นยังงี้ สร้างโลกนี่ พรหมไม่มีหน้าที่ หน้าที่ของพรหมมีอยู่อย่างเดียว คือมีจิตเมตตา รักคนและสัตว์เสมอด้วยตัว กรุณามีความสงสารมนุษย์และสัตว์เสมอด้วยตัวท่าน มุทิตา เมื่อเห็นบรรดามนุษย์ทั้งหลายทำความดีก็พลอยยินดีด้วย อุเบกขา ถ้าใครสร้างความชั่ว ท่านเตือนไม่ไหวหรือเตือนแล้วไม่ได้ยินไม่ฟัง ไม่ได้รับทราบ ท่านก็ต้องตั้งในอุเบกขา วางเฉยเพราะสงเคราะห์ไม่ไหว นี่ว่ากันถึงเรื่องของพรหม ความอยู่เป็นสุขของพรหมมีความดีมาก สบายมาก สงบสงัด พระเณรในพระพุทธศาสนาที่เรียกว่าพรหมจรรย์ ก็แปลว่าประพฤติ คือหมายความว่าเป็นผู้สงบสงัดจากนิวรณ์ ๕ ประการ นี่ว่ากันเฉพาะพรหมชั้นที่ ๑ ถึงชั้นที่ ๑๐ แต่ว่าถ้าจะให้เหมือนพรหมชั้นที่ ๑๑ ก็ต้องเจริญวิปัสสนาญาณ พอมีอารมณ์ของวิปัสสนาใกล้ ๆ จะตัดสังโยชน์ได้ เห็นของสวยว่าไม่สวย เห็นของดีว่าไม่ดี เพราะจิตเริ่มมีกิเลสบางเข้า นี่ พระทั้งหลายที่เขาเรียกพรหมจรรย์ก็หมายความว่า เป็นผู้มีความประพฤติเหมือนพรหม แต่ว่าพระหลายท่าน หรือกี่ท่านก็ตาม ถ้าปฏิบัติเข้ามาแล้วทรงฌานสมาบัติอย่างพรหม อย่างนี้ เขาเรียกว่าพรหมจรรย์ขวาง พรหมจรรย์ประเภทขวาง ๆ ฉะนั้น เมื่อบวชเข้ามาแล้วในพระพุทธศาสนา บกพร่องในศีล บกพร่องในฌานสมาบัติ พระพุทธเจ้ากล่าวว่าท่านผู้นั้นไม่ใช่สาวกของท่าน เรียกว่าไม่ใช่ลูกของพระพุทธเจ้า

    คราวนี้ ประเดี๋ยวก่อน เราอย่าเพิ่งไปพรหมชั้นที่ ๑๒ กัน เพราะพรหมชั้นนั้นเป็นพรหมของชั้นอนาคามีที่ได้ฌาน ๔ แล้วออกจากฌาน ๔ ด้วย เวลาตาย มาด้วยกำลังของฌาน ๔ ทีนี้ มาว่ากันถึงพรหมชั้น ๑ ถึงชั้นที่ ๑๑ จะมีพระอริยเจ้าไหม ก็ตอบได้เลยว่ามีพระอริยเจ้าอยู่มาก ที่เป็นพระโสดา สกิทาคา อนาคาก็เยอะ ทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะท่านทั้งหลายที่เป็นพระอริยเจ้า ได้ฌานเหมือนกัน แต่เฉพาะอย่างยิ่งต้องไม่ถึงอนาคามีนะ ได้ฌานเหมือนกัน แต่ว่าบางท่านถึงฌาน ๔ ที่ไม่ได้อนาคามีก็ต้องมาเป็นพรหมตั้งแต่ชั้นที่ ๑ จนถึงชั้นที่ ๑๑ สำหรับท่านที่เป็นพระโสดา สกิทาคา อนาคา แต่ว่าไม่ได้ฌาน ๔ ก็ต้องเป็นพรหมระดับต่ำลงไปตั้งแต่ ๑ ถึง ๑๐ หรือว่าท่านที่ได้อนาคามี แต่ว่าได้ฌาน ๔ เวลาจะตายจริง ๆ ไม่ได้ตายในระหว่างฌาน ๔ เข้าแค่ฌานที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ก็มาอยู่ตามระยะตามที่กล่าวมาแล้ว เป็นอันว่าพรหมตั้งแต่ชั้นที่ ๑ ถึงชั้นที่ ๑๑ ไม่ใช่มีแต่ฌานโลกีย์อย่างเดียว ที่เป็นพระอริยเจ้าก็เยอะ

    พรหมชั้นที่ ๑๒-๑๖ ถึงพรหมชั้นที่ ๑๒, ๑๓, ๑๔, ๑๕, ๑๖ สี่ชั้น แล้วจะย่องพูดเรื่องนิพพานสักนิด นิพพานนี่จะพูดไว้นิดเดียว พูดมากไม่ได้ ประเดี๋ยวคนตกนรกมาก สำหรับพรหม ๔ ชั้นนี้ เป็นพรหมที่ได้อนาคามี สมัยที่เป็นมนุษย์ เจริญฌานสมาบัติได้ถึงฌาน ๔ แล้วก็ได้อนาคามี เหลืออีกขั้นเดียวจะเป็นพระอรหันต์ ถ้าหากว่าท่านที่ได้อนาคามีแล้ว แล้วเวลาจะตายได้ฌาน ๔ ขอโทษได้ฌาน ๔ มาก่อน เวลาจะตาย ทรงอยู่ในฌาน ๔ ออกจากกายด้วยกำลังของฌาน ๔ อันดับแรก ว่ากันยังงั้นก็แล้วกัน อันดับแรก ท่านบอกว่าเป็นประเภทมีอินทรีย์แก่กล้านะ อินทรีย์แก่กล้า พรหมประเภทนี้ พิจารณาอายตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖ มีความแก่กล้า เห็นว่าไม่เป็นเรื่อง เกิดมาเป็นพรหมชั้นที่ ๑๒ พรหมชั้นนี้ มีชื่อ อวิหาสุทธาวาส มีอายุ ๑,๐๐๐ กัป ว่ากันง่ายๆ ยังงี้ดีกว่า แล้วต่อไปพรหมชั้นที่ ๑๓ เป็นพระอนาคามี เวลาตาย ออกจากฌาน ๔ เหมือนกัน พรหมนี้มีวิริยะกล้า เพราะมีความเพียร มาก มีวิริยะ อุตสาหะมาก ไม่อยากจะพูดกับใครไม่อยากจะคุยกับใคร มุ่งหน้าอย่างเดียว ปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรคผล อันนี้องค์สมเด็จพระทศพลท่านบอกว่า เวลาตายจากความเป็นมนุษย์ มากเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๑๓ พรหมชั้นนี้มีนามว่า อตัปปาสุทธาวาส มีอายุ ๒,๐๐๐ กัป น่าดูๆ แล้วก็พรหมชั้นที่ ๑๔ เป็นพระอนาคามีเหมือนกัน พรหมประเภทนี้เวลาเจริญพระกรรมฐาน ทั้งสมถะและวิปัสสนา มีสติแก่กล้า คือไม่ค่อยจะลืมอะไร มีสติมาก นี่ปฏิปทาไม่เหมือนกันนะ มีสติมากมาเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๑๔ มีนามว่า สุทัสสาสุทธาวาส มีอายุ ๔,๐๐๐ กัป แหม เยอะน่าดู แล้วก็พรหมชั้นที่ ๑๕ เป็นพระอนาคามีเหมือนกัน พรหมชั้นนี้มีสมาธิแก่กล้ามาก นี่ไม่เอาอะไรทางไหน หมายความว่าฉันนั่งตั้งเป็นสมาธิให้มันเป๋ง จิตสงบอยู่ตลอดเวลา ใครจะพิจารณาอินทร์ก็ช่าง จะมีวิริยะ ความเพียรมากก็ช่าง จะมีสติมากก็ช่าง แต่ว่าท่านต้อง มีนะ เหล่านั้นมีมาหมด แต่ว่าทรงสมาธิแก่กล้ามาก ใจตั้งอยู่ในอารมณ์ของฌานเกือบตลอดวัน ว่ากันแค่เกือบนะ จะเอาตลอดวันเสียเลยมันจะไม่ถูก ต้องมีเวลาพักบ้างซี ไม่พักบ้างก็แย่ แต่ถึง พักก็เถอะ ท่านก็ตั้งอยู่ในฌาน อย่างน้อยที่สุด อย่างเลวที่สุดจิตตั้งอยู่ในอุปจารสมาธิ หรือไม่ยัง งั้นกับปฐมฌาน ทุติยฌาน เรื่องฌานไม่คลาดกันแน่ พรหมชั้นนี้มีชื่อว่า สุทัสสีสุทธาวาส มีอายุ ๘,๐๐๐ กัป แหมเยอะ ประเดี๋ยว พลิกไป พลิกมา พลิกไปหาพรหมชั้นที่ ๑๖ ซิ เอาตำรามาด้วย กัน เสียวกร๊อกแกร๊กๆๆ นี่ประเดี๋ยวบรรดาญาติโยมทั้งหลายจะสงสัยว่าวันอื่นๆ ไม่มีเสียง วันนี้ทำไมถึงมีเสียง วันนี้ทำไมถึงมีเสียง ก็มันอยากมาเที่ยวด้วย ถือตำราด้วย อ้าว ลืมชวนเที่ยวไป ตามกันมาหรือเปล่าล่ะ มามากันทุกคน เวลานี้ทุกคนเอาหูตามอาตมาไป อาตมาเที่ยวด้วยปาก ญาติโยมพุทธบริษัทเดินตามด้วยหู สบาย ตานี้ มาว่ากันถึงพรหมชั้นที่ ๑๖ พรหมชั้นนี้มีนามว่า อกนิษฐสุทธาวาส แหม แจ๋ว อกนิษฐสุทธาวาส ที่อ่านช้าๆ พูดช้า ก็เกรงว่าท่านเจ้ากรมสื่อสาร ทอ. คือท่านพลอากาศตรี หม่อมราชวงศ์เสริม สุขสวัสดิ์ นักลอกจากเสียงเป็นตัวหนังสือจะเขียนไม่ชัด เครื่องบันทึกอันก่อนที่ บน. ๔ คือ ๐๔ เขาส่งไปให้ บอกว่ามันทุ้มเกินไปฟังไม่ค่อยจะชัด นั่นเสียงเขาทุ้มมากไป นี่เลยขอยืมเครื่อง พระอีกองค์หนึ่งมาบันทึกถ่ายทอดเข้าไว้ เสียงคงจะชัดดีกว่า เลยพูดช้าๆ พรหมชั้นนี้มีอายุ ๑๖,๐๐๐ กัป โอ้โฮ เจ๊งเลย แต่ว่าส่วนใหญ่นะ พรหมท่านเป็นอนาคามี อยู่ไม่ค่อยเต็มที่นัก ท่านก็มักหาโอกาสบำเพ็ญบารมีไปนิพพานกันเร็วๆ นี่ว่ากันถึงอายุของท่านนะ ถ้าหากว่าเป็น พรหมชั้นอนาคามีก็ดี เทวดาชั้นอนาคามีก็ดี จะเป็นเทวดาตั้งแต่ภุมเทวดาหรืออากาศเทวดา ก็ตาม ถ้าเป็นอนาคามีแล้วยังบำเพ็ญบารมีไม่ถึงอรหัตผล ตายตรงนั้นแล้วก็เกิดตรงนั้น หมายความว่าไม่มีโอกาสจะกลับไปเกิดเป็นมนุษย์อีกจนกว่าจะถึงพระนิพพาน อ้าว พูดเลอะเทอะ แล้วซี พรหมชั้นนี้มีปัญญาแก่กล้ามากพิจารณาขัณธ์ ๕ โอ๊ยเอาอย่างจริงจังเลย แต่ว่าแบบ ๓ อย่างที่กล่าวมา ท่านมีครบถ้วน แต่ว่าท่านใช้ปัญญาหนัก ใกล้จะเป็นอรหันต์เต็มที พรหมชั้นนี้ เป็นพระอรหันต์เร็วกว่า ๓ ชั้นโน่น เพราะมีปัญญามาก เราเรียกกันว่าท้าวมหาพรหม หรือว่า สหัมบดีพรหม พรหมชั้นนี้นะ สหัมบดี สหะ แปลว่ารวม บดี แปลว่าใหญ่ พรหมชั้นนี้ เป็นใหญ่กว่าพรหมทั้งหมดพรหมทั้งหมดต้องเคารพพรหมชั้นนี้ เพราะอะไร? เพราะท่านมี บารมีใกล้พระอรหันต์เต็มที เอาละบรรดาญาติโยมและพระคุณเจ้าที่เคารพ เห็นหรือยัง เห็นพรหมบ้างไหมอยากจะไปเป็นพรหมชั้นไหนก็เลือกเอาตามอัธยาศัยที่ท่านปฏิบัติ

    โดย พระราชพรหมยาน
     

แชร์หน้านี้

Loading...