วังเปรต

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย ไม้ขีด, 24 มีนาคม 2015.

  1. ไม้ขีด

    ไม้ขีด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,421
    ค่าพลัง:
    +3,023
    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--> วังเปรต

    คณะผู้อ่านครับ จบเรื่องนี้แล้วก็เห็นจะจบเรื่อง คำสารภาพของวิญญาณที่ผมนำมาเรียบเรียงใหม่ จากการสนทนากับหลวงพ่อวัดวงษ์ฆ้องคลองเมือง อยุธยา ซึ่งท่านได้เมตตาเล่าเรื่องอะไรๆ ให้ผมฟังแยะ


    ก่อนอื่น ผมเห็นจะต้องทำความเข้าใจกันเสียหน่อยก่อน คือคำว่า “วัง” นี่นะครับ ไม่ได้หมายความว่าเป็นวังที่ประทับของเจ้านาย ที่เราเรียกกัน แต่เป็นที่ชุมนุมของสิ่งที่มีชีวิตประเภทเดียวกัน เช่น วังกุ้ง วังจระเข้ หมายความว่า เป็นที่ชุมนุมของกุ้ง ของจระเข้ ทีนี้ “วังเปรต” ก็จะมีความหมายความว่า เป็นที่ชุมนุมของเปรต เปรตมีจริงไหม ? หน้าตารูปร่างเป็นอย่างไร ? เดี๋ยวค่อยคุยกันครับ ผมเองน่ะไม่เคยเห็นหรอกครับ เคยแต่ได้ยินคำว่า ผีวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์ ได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว มาอีกทีก็ตอนแก่ที่ได้เห็นเปรต อีกหนหนึ่งก็ที่วัดไผ่โรงวัวโน่น


    ผมว่า ท่านที่ไปทัศนาจรวัดไผ่โรงวัว คงจะได้เคยเห็นเปรต ที่เนรมิตขึ้นจากจินตนาการของหลวงพ่อของ ตามนัยแห่งหนังสือไตรภูมิพระร่วงโดยทั่วกันแล้ว ว่ารูปร่างหน้าตาเปรตนี่เป็นอย่างไร แปลกก็แต่ว่าเปรตนี่มีทั้งเปรตผู้ และเปรตเมีย แต่เมื่อมีเปรตเพศอย่างนี้แล้ว มันจะมีลูกเปรตออกมาบ้างหรือไม่..... ผมไม่ทราบ แต่ผมเคยได้ยินผู้หลักผู้ใหญ่แต่ก่อน ท่านดุว่าเด็กซนๆ ดื้อๆ ด้านๆ ว่า “ไอ้เด็กเปรตนี่..... เดี๋ยวพ่อ.....” ก็คงแปลว่าเปรตที่เป็นเด็ก ก็คงอาจจะมีบ้างก็ได้กระมังครับ
    เริ่มเรื่องก็คือว่า ที่ตำบลดงประคำ อำเภอพรมพิราม จังหวัดพิษณุโลกโน่น มีหญิงผู้หนึ่ง ลูกผู้มีอันจะกิน มีหน้ามีตาในอำเภอได้ล้มป่วยลง มีอาการละเมอเพ้อเหมือนคนเสียสติ คำละเมอที่กล่าวออกมามีคำเดียวคือ “ขอข้าหน่อย.... ขอข้าหน่อย” พอสักครู่ก็ชักดิ้นชักงอ หมดสติไป ครู่ใหญ่ พอตื่นขึ้นมารู้สึกตัวก็เหมือนคนปกติ พูดจา เดินเหิน ทำอะไรๆ ได้เหมือนคนดีๆ ทุกอย่าง
    ที่แปลกก็คือ อาการจะเกิดขึ้นในวันพระหรือวันโกน ตอนข้างแรม เริ่มตั้งแต่แรม 7 ค่ำ 8 ค่ำ ไปจนถึงแรม 14 ค่ำ 15 ค่ำ พอข้างขึ้น อาการต่างๆ จะไม่มี ทั้งนี้ยังแปลกยิ่งไปกว่านั้นอีก สามีของสตรีก็เกิดอาการโรคติดต่อเหมือนกัน คือพอข้างแรมแก่ๆ ก็จะมีอาการไม่รู้ตัว สติเลื่อนลอยไม่รู้อะไรทั้งสิ้น ว่าตัวนี่อยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ จำหน้าตาใครต่อใครไม่ได้แม้แต่ลูกเมีย ปากก็พูดเหมือนกับภรรยาว่า “ขอข้ามั่งซิ..... ขอข้ามั่งซิ.....” แล้วก็ล้มตัวลงนอน หมดสติหลับไป พอฟื้นขึ้นมาก็รู้สึกตัวเป็นปกติ


    ทีแรกคนทั่วๆ ไปก็นึกว่าล้อเล่นหรือแกล้ง ทีนี้เป็นถี่ขึ้นๆ คนก็สงสัยว่าจะเป็นจริง คงป่วยด้วยโรคอะไรชนิดหนึ่ง หมอชาวบ้านโบราณๆ ว่าเห็นจะเป็น เพราะ ปอบ หรือถูกคุณไสย
    ญาติพี่น้องได้พาสองสามีภรรยาไปรักษาในที่ต่างๆ หมดค่ารักษาไปแยะ อาการไม่หายสนิท อยู่ๆ ก็เป็นอีก อยู่ๆ ก็หาย เป็นอยู่อย่างนี้เป็นปี บทดีก็ดี ทำมาหากินเหมือนคนปกติ ไปวัดไปวาทำบุญสุนทร์ทาน ตามที่เคยปฏิบัติไม่ได้ขาด มิช้านาน ลูกชายคนโตซึ่งย่างเข้าวัยหนุ่มแล้ว ก็เกิดอาการแบบนี้อีกคน อยู่ๆ ก็ไม่รู้ตัว ออกเดินไปไหนไกลๆ โดยไม่รู้ตัวว่าทำอะไร ตอนเป็นจะพูดจาไม่รู้เรื่องเอาเลย ไม่รู้วัน ไม่รู้เวลา ไม่รู้สถานที่เอาเฉยๆ สามารถทำอะไรแปลกๆ โดยไม่มีจิตสำนึก แต่พอเป็นได้สัก 1 ชั่วโมงเศษๆ ก็ล้มลงหลับไป พอตื่นขึ้นมารู้ตัว ก็จะถามว่า มาทำอะไรกันที่นี่มากมายบ้าง ใครพาฉันมานี่ นี่มันวัดโพธิ์นี่ อย่างนี้เป็นต้น แล้วก็กลับคืนเป็นปกติ
    ระหว่างที่ไม่รู้ตัวนั้น ก็จะ “ขอให้ตา ขอให้ยายหน่อย” บางทีก็ “ขอตา ขอยายเถอะ” หมอผีชาวบ้านก็ว่าปอบเข้าอีก ทีนี้ก็เอาข้าวสารเสกมาซัด เอาหวายลงอาคมมาเฆี่ยนไปตามตัวเพื่อไล่ปอบ ตัวก็เป็นรอยถูกเฆี่ยนไปทั่ว เป็นที่น่าเวทนา อย่างน้อยเดือนหนึ่งก็ถูกเฆี่ยน 2 หน ก็เฆี่ยนหนักอยู่ตอนที่ว่าผีเข้านั่นแหละครับ เมื่อคนทั้งบ้านต่างก็มีอาการอย่างเดียวกัน ชาวบ้านแถบนั้นก็เลยเรียกบ้านผู้นี้ว่า บ้านผีปอบ


    ในกาลต่อมา มีพุทธมามะกะศรัทธาเอาผ้าป่าไปทอดที่วัดพรหมพิราม เป็นที่สนุกสนานเริงรื่นอิ่มบุญกันถ้วนหน้า ขณะที่รับประทานอาหารกลางวันกันอยู่นั้น ได้ยินเสียงตวาดเสียงร้องโหยหวน เหมือนเสียงของคนที่เจ็บปวดแสนสาหัส ได้ยินกันอยู่นาน ก็เลยถามกันว่า “นั่นเสียงอะไร..... ใครทำอะไร ?”
    ชาวบ้านแถบนั้นตลอดจนมัคนายก ก็เล่าให้ท่านที่ไปทำบุญฟังว่า
    นั่นเป็นเสียงของการไล่ผีปอบที่ร้องโหยหวน นั่นเป็นเสียงของคนที่ผีปอบเข้าแล้วถูกเฆี่ยน ที่เฆี่ยนตีกันอยู่นานนั้น เพราะผีปอบนี่ดื้อ ไม่กลัวคาถาอาคม กว่าจะออกได้ คนที่ถูกเข้าก็เป็นลมสลบไป ผีจึงจะออกก็เลยโจษจันกันขึ้น มีคนหนึ่งชื่อ คุณนายส้มเกลี้ยง ที่ร่วมขบวนมา คุณนายส้มเกลี้ยงนี่เป็นคนใจบุญสุนทร์ทานเอามากๆ ที่ไหนมีงานบุญ ที่นั่นต้องมีคุณนายส้มเกลี้ยงเป็นประจำ บ้านคุณนายส้มเกลี้ยงอยู่แถวๆ ซังฮี้ ใกล้วัดส้มเกลี้ยง ชื่อเดียวกันกับท่าน ซึ่งเดี๋ยวนี้มีวัดอยู่สร้างขึ้นในสมัยกรมพระราชวังบวรสถานมงคล เปลี่ยนชื่อว่า วัดราชผาติการาม เพราะท่านทำผาติกรามเอาที่ดินวัดมา จึงซื้อที่ดินถวายวัดแล้วสร้างวัดใหม่แทนขึ้น ก็อยู่ที่สะพานกรุงธนฯ เดี๋ยวนี้นั่นแหละครับ


    คุณนายส้มเกลี้ยง นี่ ท่านเป็นภรรยา ท่านขุนพิทักษ์ เท่าที่ผมจำได้ก็ไม่ทราบว่าราชทินนามเต็มของท่านคืออะไร แต่ท่านทำงานอยู่ในกองอากรหลวง ที่โรงหวยโน่น มีหน้าที่เก็บอากร บ่อนเบี้ย หวย การพนันต่างๆ ส่งท้องพระคลัง อาจจะเป็นพิทักษ์ราชากรก็ได้ เพราะมันนานเต็มทีแล้ว เอาเป็นว่า คุณนายส้มเกลี้ยงเกิดเวทนาจับใจ จึงลุกออกเดินไปดูพร้อมกับท่านผู้ใจบุญทั้งหลาย ซึ่งบางท่านก็อาจจะไปดูปอบว่าหน้าตาเป็นอย่างไรบ้างก็ได้ พอเดินไปถึงบ้าน ซึ่งไม่ห่างจากวัดนัก ก็แลเห็นเด็กผู้หนึ่งอายุประมาณ 15-16 ปี เป็นเด็กชาย หน้าตาสะอาดหมดจด ถูกมัดมือโยงอยู่ แล้วมีชายสูงอายุคนหนึ่ง ยืนถือหวายเฆี่ยนเด็กชายผู้นั้นอยู่ ข้างหน้าชายผู้นั้นมีบาตรน้ำมนต์ มีหัวกะโหลกคนเก่าๆ วางอยู่มีธูปเทียน จุดไว้ ปากก็ว่าคาถา พอว่าจบก็เอาหวายจุ่มน้ำมนต์เฆี่ยนลงไปๆ อย่างสุดแรงเกิด ปากก็พูดว่า “อัปเปหิ มึงจะไปหรือไม่ไป ไม่ไปกูจะเฆี่ยนให้ตาย” แล้วก็เฆี่ยนลงไปอีกไม่มีการหยุดพัก คุณนายส้มเกลี้ยงเห็นดังนั้น ก็สลดใจ ขอร้องให้หยุดการเฆี่ยนตีไว้ก่อนแล้วเอาเงิน 1 บาท วางไว้บูชาครูผี ให้หยุดเฆี่ยน หยุดตี อย่าลืมว่า ในสมัยหนึ่ง สมัยรัชกาลที่ 4 เงินบาทหนึ่ง มันมีค่ายิ่งกว่าเงิน 30 บาทในปัจจุบัน เพราะเงิน 1 บาท จะซื้อก๋วยเตี๋ยวกินได้อย่างน้อยที่สุด 33 ชาม ก็ราคาก๋วยเตี๋ยวในสมัยนั้น ชามละ 3 สตางค์เท่านั้น ถ้าใครสั่งซื้อก๋วยเตี๋ยวชามละ 5 สตางค์ ก็เป็นอันเข้าใจว่า ผู้นั้นเป็นอาเสี่ยหรือเศรษฐี พอหมอผีเห็นเงิน 1 บาท ค่าบูชาครู ก็หยุดเฆี่ยนทันที นั่งลงกราบปลกๆ แล้วตะครุบเงินบาทนั้นใส่กระเป๋า คุณนายส้มเกลี้ยงก็ถามว่า “พ่อหมอมาเฆี่ยนเขาเรื่องอะไร เขาทำอะไรผิดจ้ะ”
    พ่อหมอผีก็เล่าให้ฟังว่า “เด็กคนนี้ลูกทิดมี อำแดงอุ่ม มันถูกผีปอบเข้า เวลาผีเข้ามันไม่รู้ตัว ทำอะไรได้แปลกๆ ตามวิสัยผี ก็ต้องไล่ผีออก ทีนี้ผีมันสู้คาถาอาคม ต้องเฆี่ยนด้วยหวายเสกคาถานี่ แล้วเอาน้ำมนต์นี่ราดลงไป ยังงั้นมันยังไม่ออกเลย เสียงที่ร้องตอนถูกไล่ ไม่ใช่เสียงเด็กนี่หรอกคุณนาย มันเป็นเสียงผีที่ร้องตอนถูกไล่ มันกำลังสู้กับพระเวทจ้ะ”



    ฝ่ายเด็กก็ร้องว่า “ป้าช่วยหนูด้วย หนูถูกเฆี่ยนไม่รู้ว่าเท่าไหร่ๆ แล้ว เจ็บจนจะตายแล้ว หนูไม่ได้เป็นอะไร หนูเจ็บ ช่วยหนูด้วย”
    คุณนายส้มเกลี้ยงและคณะ ก็ถามหาทิดมีและนางอุ่ม ซึ่งหมอผีก็ว่า “ถูกผีปอบเข้าเหมือนกัน แต่ตอนนี้ออกแล้ว” ทิดมีและอำแดงอุ่มก็ออกมาเล่าเรื่องทั้งหมด ให้คุณนายและคณะฟัง และเสริมว่า “ชาวบ้านแถบนี้เขาว่าผีปอบมันกินฉันทั้งบ้านแหละ”
    คณะทำบุญได้ฟังหมดแล้วก็หดหู่หัวใจ ในความเชื่อถือของชาวบ้าน ต่างก็หันหน้าเข้าปรึกษากัน แล้วสรุปว่าทั้ง 3 คนนี้คงป่วยด้วยโรคใดโรคหนึ่งที่หมอพื้นบ้านไม่รู้ ประกอบกับการเชื่อถือผียังมีอยู่ ก็เลยทำการอันแสนจะทารุณอย่างนี้ ทิดมีและอำแดงอุ่มก็โดนแบบนี้เหมือนกัน แต่ไม่ทารุณเท่า เพราะเฆี่ยนได้สามสี่ที แกก็เป็นลมแน่นิ่งไปแล้วด้วยความเจ็บปวด หมอผีกลัวคนที่ถูกเฆี่ยนจะตายก็หยุด พอหยุดแกก็รู้สึกตัว หลังจากที่หลับด้วยความอ่อนเพลีย ทีนี้ลูกชายแกเป็นเด็กชายวัยรุ่น ร่างกายกำยำกว่าจะสลบก็นานหน่อย เฆี่ยนๆ ไป หมอผีเหนื่อย เป็นลมไปเองก็มี
    เมื่อคณะศรัทธา ที่ไปทำบุญหันหน้าเข้าปรึกษากันแล้ว ในที่สุดก็เห็นว่า จะต้องนิมนต์หลวงพ่อขึ้นไปที่ดงประคำ เพื่อช่วยเหลือครอบครัวเคราะห์ร้ายทั้งสามนี้
    เมื่อเสร็จการบุญการกุศลแล้ว คณะศรัทธาเดินทางกลับโดยรถไฟ เพราะสมัยนั้นยังไม่มีทางรถยนต์ พอถึงอยุธยา คุณนายส้มเกลี้ยงและคณะก็เรี่ยไรเงินจำนวนหนึ่ง ถวายหลวงพ่อเพื่อร่วมกุศลในการไถ่ชีวิตที่จะถูกฆ่ากับหลวงพ่อ พอดีถึงสถานีก็พบ ไชโย ลูกศิษย์เอกของหลวงพ่อ คุณนายส้มเกลี้ยง ซึ่งรู้จักกับไชโยดีอยู่แล้ว เพราะมาวัดนี้เป็นประจำ โดยหลวงพ่อได้รักษาลูกของคุณนายที่ป่วยด้วยโรควัณโรคหาย จึงมีจิตศรัทธาอุปถัมภ์อุปฐากวัดตลอดมา คุณนายส้มเกลี้ยงถามไชโยว่า “พ่อไชโยมาทำไมที่นี่ หลวงพ่ออยู่หรือเปล่า ?” คณะที่ไปกับคุณนายส้มเกลี้ยงก็คอยฟังอยู่ ไชโยตอบว่า “หลวงพ่อให้มารับคุณนายและท่านที่ไปทอดผ้าป่ากลับมาครับ ผมเตรียมรถสามล้อไว้แล้ว 15 คัน เชิญคุณนายไปวัดได้ หลวงพ่ออยู่ และให้ผมมารับครับ” ความงุนงงบังเกิดแก่คณะผ้าป่าอย่างเหลือหลาย หลวงพ่อให้มารับ ท่านรู้อย่างไร ? เป็นคำถามที่เกิดขึ้นในใจของทุกคน..... และแล้วคณะผ้าป่าก็ขึ้นสามล้อตรงไปที่วัดวงษ์ฆ้องคลองเมืองทันที
    พอถึงท่าข้ามหน้าวัดก็ประหลาดใจอีก คือ มีเรือสำปั่น เรือข้ามฟากจอดคอยอยู่ร่วมสิบลำ พอคณะทอดผ้าป่าไปถึงพวกคนเรือก็ร้องบอกกันว่า “คุณนายมาแล้วๆ” ยิ่งทำให้เกิดความประหลาดใจแก่คณะศรัทธาที่ไปด้วยมากมาย ยกเว้นคุณนายส้มเกลี้ยงคนเดียว เพราะคุณนายส้มเกลี้ยงเคยรู้เคยเห็นแบบนี้บ่อยๆ ว่า หลวงพ่อมักจะทราบอะไรล่วงหน้าเสมอ พอทุกคนเข้าไปนั่งที่นอกชานหน้ากุฏิเรียบร้อยแล้ว ต่างก็กราบนมัสการหลวงพ่อด้วยความเคารพ คำแรกที่คุณนายถามไชโยก็คือ “ป้าแม้นล่ะป้าแม้นไปไหน ?” “คุณยายแม้นเสียแล้วครับ เผาแล้วด้วย” เป็นคำตอบที่ทำให้คุณนายปลงอนิจจัง แล้วไชโยและเพื่อนๆ ศิษย์วัดก็เอาน้ำชา หมากพลูมารับรอง
    สักครู่ คุณนายส้มเกลี้ยงก็กราบเรียนหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อเจ้าค่ะ พวกดิฉันไปทอดผ้าป่าวัดพรหมพิราม ที่ดงประคำ พิษณุโลก มาเจ้าคะ เอาบุญมาถวายหลวงพ่อด้วยเจ้าค่ะ”
    หลวงพ่อท่านก็นั่งอมยิ้มอย่างเคยแล้วกล่าวว่า................
    “การทอดผ้าป่า บำรุงพระศาสนาเป็นการบุญการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และสัตว์ ที่ร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย ให้พ้นทุกข์ เป็นบุญ” “หลวงพ่อเจ้าค่ะ ที่บ้านดงประคำ วัดพรหมพิราม มีครอบครัวหนึ่งเคราะห์ร้าย ป่วยไข้เจ้าค่ะ เขาว่าผีเข้า หมอผีเฆี่ยนไล่ผี คนจะตายอยู่แล้ว อยากขออาราธนาให้หลวงพ่อช่วยสงเคราะห์ชีวิตเขาเหล่านั้น..... ดิฉันจะเป็นภาระเองเจ้าค่ะ” หลวงพ่อท่านตอบว่า “อาตมาทราบแล้ว ทราบก่อนที่คุณนายจะมาเสียอีก ดีเหมือนกัน จะได้ช่วยสงเคราะห์ชีวิตคนที่ทุกข์ยาก อาตมาตั้งใจจะช่วยให้พ้นทุกข์เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่อาตมาจะไปที่อื่น”
    คำกล่าวของท่าน ทำให้คุณนายส้มเกลี้ยงสงสัย “หลวงพ่อจะไปไหนเจ้าค่ะ”



    “ก็ไปตามทางที่ควรจะไปน่ะซิ”
    “แล้วดิฉันจะตามไปทำบุญได้อีกไหมเจ้าค่ะ”
    “คุณนายก็คงจะต้องตามไปทีหลัง ไอ้บุญน่ะอยู่ที่ใจ ทำเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น”
    คำตอบของหลวงพ่อเป็นปริศนา แต่ตอนนั้นไม่มีใครคิด ไม่ตีความว่านั่นคือเป็นการสงเคราะห์สัตว์ผู้เกิดร่วมเจ็บ ร่วมตายของท่าน ก่อนที่ท่านจะละสังขารนี้ของท่านไป
    จากนั้นท่านก็เรียกเทียน 1 เล่ม และนำบาตรน้ำมนต์ของท่านมาจุดเทียนแล้วปักไว้ที่ขอบบาตรอย่างเคย ท่านนั่งหลับตาสงบอยู่ครู่หนึ่ง เทียนที่ปักไว้ค่อยๆ อ่อนลงๆ แล้วโค้งเป็นรูปสายยู น้ำตาเทียนหยดลงไปในบาตรน้ำมนต์ หยดแล้ว..... หยดเล่า สักครู่หนึ่ง ท่านก็สวด ยังกิญจิ กุสะละธัมมัง ด้วยเสียงที่ฟังพอได้ยิน ท่านภาวนาอยู่อย่างนั้น จนเทียนโค้งหล่นลงไปในบาตรน้ำมนต์แล้วท่านก็ลืมตาขึ้น
    “ไม่มีอะไรหรอกคุณนาย ไม่ต้องกินหยูกกินยารักษาอะไรหรอก เป็นเพียงเปรตญาติผู้ใหญ่ ของพวกเขามาขอส่วนบุญส่วนกุศลน่ะ ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เขา ก็หมดเรื่อง”
    ทุกคนในขบวนขนลุก พนมมือกราบ แล้วคุณนายส้มเกลี้ยงก็ถามด้วยความสงสัยว่า
    “หลวงพ่อเจ้าค่ะ เปรตนี่มีจริงหรือเจ้าค่ะ”
    หลวงพ่อท่านตอบว่า “เปรตนี่มีจริง มี 2 พวก”
    “ดิฉันไม่เคยเห็นเจ้าค่ะ หลวงพ่อกรุณาเล่าให้พวกดิฉันฟังหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”



    หลวงพ่อท่านได้เมตตาอธิบายให้ฟัง ดังนี้
    “เปรตพวกแรกเป็นเปรตอยู่ในโลกมนุษย์นี่เอง คือ มนุษย์นี่มี 4 พวก
    พวกแรก คือที่เรียกกันว่า มนุสสะมนุสโส..... พวกนี้เป็นคนธรรมดา ไม่ได้ทำชั่วร้ายอะไรมากมาย ไม่ดีจนหมดกิเลส ก็เหมือนอย่างเราๆ ทำดีบ้าง ทำไม่ดีบ้าง คละกันไป ไม่ประกอบกรรมดีวิเศษมาก ไม่ประกอบความชั่วมาก แปลว่าชั่วก็มี ดีก็ปรากฎ กิเลสยังไม่หมด แต่ก็ไม่เลวร้าย
    อีกพวกหนึ่ง มนุสสเทโว มนุษย์พวกนี้เหมือนเทพยดา คือ มีเมตตา กรุณา ไม่ทำบาปทำกรรม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ทำบุญสุนทาน มีพรหมวิหาร ดำรงชีพด้วยศีล ด้วยธรรม ก็เหมือนกับเทพยดาในโลกมนุษย์อย่างนั้น พวกนี้มีไม่น้อย และมีแต่ความสุขความเจริญ
    อีกพวกหนึ่งก็คือ มนุสสเดรัจฉาโน พวกนี้เกิดมาเป็นมนุษย์ แต่ใจเหมือนสัตว์ประพฤติตนเยี่ยงสัตว์ ประพฤติตนในทางอบาย กีดกันความเจริญศีลทั้ง 5 ข้อไม่มีเหลือ ที่จริงสัตว์ยังดีกว่า เพราะมันไม่พูด เลยไม่มีโอกาสผิดข้อมุสา สัตว์ไม่ดื่มเครื่องมึนเมา อันนำไปหาความประมาท มันเลยไม่ผิดศีลข้อสุราเมระยะ ตกลงสัตว์อาจดีกว่า แต่มนุษย์พวกนี้แก่งแย่งกัน วิวาทกัน ผิดลูกผิดเมียกัน ลักอาหารขโมยกันกิน อทินนาทานทุกอย่าง รวมทั้งฆ่าสัตว์ตัดชีวิต วิวาทบาดถลุง ศีลข้อปาณาฯ ก็ไม่เหลือ สติไม่มี เพราะประมาทด้วยการเสพของมึนเมา สิ่งเสพติดทุกอย่าง ความคิด ความอ่าน ความประพฤติไม่ผิดอะไรกับสัตว์ แถมยังเลวกว่าสัตว์เสียอีก ทางไปของพวกนี้มีทางเดียว เมื่อทิ้งสังขารอันแสนจะชั่วในชาตินี้แล้ว ก็หนีนรก และอบาย คือ เกิดมาเป็นสัตว์ให้เขาใช้งาน ให้เขาฆ่ากิน ดำรงชีพด้วยความทุกข์ หนีไม่พ้น


    พวกสุดท้ายคือ พวก มนุสสเปโต นี่แหละคือ พวกเปรต ที่มีชีวิตอยู่บนพื้นโลก พวกนี้มีจิตที่เต็มไปด้วยความโลภ อยากแต่จะมี มีความเห็นผิด นับถือเงินทองเป็นพระเจ้า มีแต่จะกอบโกย ไม่มีเสียสละ มีโอกาสเมื่อไร เป็นเอาทั้งนั้น ทั้งฉ้อฉล คดโกง ฉ้อราษฎร์บังหลวง” “เอาแต่ได้ถ่ายเดียวไม่เหลียวหลัง ชั่วก็ชั่งหลับตาวางหน้าเฉย” โบราณว่าเอาไว้อย่างนี้ มนุสสเปโต ในโลกนี้มีมากมาย กุศลกรรมเก่ายังมี ก็ยังใหญ่ยังโต ยังมีโอกาสกอบโกยฉ้อราษฎร์บังหลวง พอหมดกุศลกรรมเก่า ก็เจอกรรมที่ทำไว้ในปัจจุบัน ก็เหมือนกับเปรตดีๆ นี่แหละ ทรัพย์สินที่ได้มาก็สลาย ครอบครัวลูกเมีย ก็ต้องขอเขากิน ขอส่วนบุญที่เขาบริจาค มนุสสเปโตนี่ สรุปก็คือ พวกที่เห็นแก่ได้ เอาทั้งนั้น โกงเขา ฉ้อฉลเขา การเสียสละบริจาคทำบุญไม่มี จะมีก็ทำเพื่อปิดบังความชั่วของตัว ยิ่งใหญ่โตมาก มีอำนาจวาสนามาก ก็ยิ่งเห็นแก่กิน เห็นแก่ได้ หาวิธีฉ้อราษฎร์บังหลวงมากขึ้น กอบโกยมากขึ้น บางคนก็ทันตาเห็น หมดบุญปั๊บก็เป็นเปรตเลย คือขอเขาอาศัย ขอเขากิน แย่งชิงเขา ที่ใหญ่โตมีอำนาจวาสนา ยศถาบรรดาศักดิ์นั้นน่ะ มันใหญ่โตในคราบของเปรต พอดับขันธ์นี้ไป อบายก็เป็นที่ตั้ง เพราะอบายที่แปลว่า ขัดขวางความสุข ความเจริญนั้นมี 4 อย่าง คือ นรก เปรต อสุรกาย และเดรัจฉาน
    นี่คือเปรตบนดินในโลกมนุษย์ที่แลเห็น และก็เห็นกันมากขึ้นๆ ตราบใดที่คนเขายังมีความโลภ เปรตในร่างมนุษย์ก็ยังมี ยิ่งโลภมากตระหนี่มากเปรตชนิดนี้ก็ยิ่งมาก เดินเหินอยู่ทั่วไปในโลก “แล้วเปรต ที่หลวงพ่อว่าเขาขอส่วนบุญล่ะเจ้าค่ะ” คุณนายส้มเกลี้ยงถาม
    นั่นเป็นจิตวิญญาณที่เรียกว่า สัมภเวสี คือพอมนุษย์ที่มีแต่ความโลภ ความตระหนี่ ดับขันธ์ลง จิตวิญญาณก็ไปทันที ไปเป็นสัมภเวสี คอยขอส่วนบุญ สะสมส่วนบุญ ที่ญาติพี่น้องลูกหลาน หรือคนที่เขาทำบุญอุทิศไปให้ บุญกุศลนี้ก็จะสะสมไว้ๆ พอถึงกำหนดถึงจำนวนหนึ่ง จิตวิญญาณนี้ก็จะไปเกิด แต่จะเกิดดีเห็นจะไม่ได้ คงจะไปในอบายนั่นแหละ ทั้งนี้สุดแต่กุศลกรรม อกุศลกรรม ที่ทำไว้แต่ปางหลัง
    เพราะฉะนั้น ที่พุทธมามะกะ ทำบุญให้ทาน ประกอบการบุญการกุศลแล้วกรวดน้ำ หรือแผ่ส่วนกุศลไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั่วสากลโลกไม่เลือกหน้า นั่นแหละถูกต้องที่สุด พวกนี้อาจจะคอยขอรับส่วนบุญนี้อยู่ บางคนไม่เข้าใจ ทำบุญทำกุศลแล้วไม่ชอบแผ่ส่วนกุศลให้ผู้ใด นึกว่าคงจะเหมือนทรัพย์สินเงินทอง เมื่อให้ๆ ไปแล้วคงหมด ก็เลยตระหนี่ไว้ นี่ก็เปรตอีก การแผ่ส่วนกุศลนั้นมันไม่หมด ก็เหมือนกับเรามีเทียนชนวนอยู่เล่มหนึ่ง จุดแล้ว แบ่งให้คนอื่นเขามาขอต่อเพื่อจุดเทียนดวงอื่นๆ ต่อไป มันก็ทำให้กว้างมากขึ้น เพราะมีหลายเล่มขึ้น ฉันใดก็ฉันนั้น เราไม่ได้ให้เทียนชนวนนี้แก่ใครนี่ คุณนายส้มเกลี้ยง ก้มลงกราบด้วยปิติ “แล้วพวกที่ป่วยไข้เหล่านั้นล่ะเจ้าค่ะ หลวงพ่อจะโปรดเมตตาว่ากระไร” “เขาก็จะหายด้วยเมตตา ด้วยการแผ่ส่วนกุศล..... ก็เท่านั้น อยู่ทางนี้อาตมาจะตั้งจิตตภาวนาอุทิศส่วนกุศล แผ่เมตตาให้พวกเขา ที่คอยรับกุศลอยู่ และคุณนายต้องขอให้เขาทำบุญสุนทร์ทาน ทำสังฆทาน ฟังเทศน์ ฟังธรรม ทำบุญให้ทานตามปกติ พอทำแล้ว ขอให้เขาตั้งจิต อุทิศส่วนกุศลให้แก่ปู่ย่า ตายาย ญาติพี่น้อง เจ้าบุญนายคุณทุกท่าน ระลึกถึงท่านที่ล่วงลับไปแล้วพร้อมกันไปด้วย ทำไปเรื่อยๆ พอกุศลที่อุทิศให้ใปถึงญาติพี่น้องที่ขอรับกุศลไว้ เมื่อนั้นอาการป่วยไข้ก็หาย ไม่ต้องกินหยูกกินยาอะไรทั้งสิ้น” “เจ้าค่ะ ดิฉันจะไปบอกพวกเขาเร็วที่สุด” คุณนายส้มเกลี้ยงกราบเรียนหลวงพ่อ แล้วก็กราบนมัสการลากลับบ้าน เพื่อส่งข่าวต่อไปยังญาติพี่น้องของทิดมี อำแดงอุ่มและลูก จะได้ทำบุญทำกุศลอุทิศให้แก่ผู้เรียกร้องต่อไป ณ ที่แห่งหนึ่ง จิตวิญญาณประเภทหนึ่งมากมายเหลือจะคณานับ ในลักษณะของสัมภเวสี ร่วมกันเร่ร่อนอยู่ มีตัววิบากคอยดูแล บางจิตวิญญาณก็กำลังจะไปรับวิบาก แต่ขาดแรงส่งแรงดัน ก็ง่อยอยู่ตรงนั้น ที่จะลงอบายก็ถูกวิบากนำไป ที่จะไปเกิดในที่ต่างๆ ก็ไปไม่ได้ ด้วยหมดกำลังเหมือนกันกับเรือเกยตื้น เกยแห้ง จะเข็น จะพาย จะถ่ออย่างไรก็ไม่ไหว ติดแหง็กอยู่ตรงนั้น ทีนี้ก็ออกขอส่วนบุญ รับส่วนบุญ ที่เทพยดา หรือมนุษย์อุทิศให้ สะสมไว้ มากน้อยสุดแต่กรรมที่เคยทำไว้ บางสัมภเวสีทำบาปกรรมไว้มาก บุญกุศลที่เขาอุทิศให้ก็ไม่ถึง รับไม่ได้คล้ายๆ คนมือสั้นไขว่คว้าสิ่งของที่ลอยมาไม่ถึง ในกลุ่มนั้น ที่มีจิตวิญญาณประเภทนี้มารวมกันมากมาย เหมือนกลุ่มขอทานในมนุษย์โลก บ้างก็มีรูปร่าง ร่างกายต่างๆ กัน ตามกรรมที่ก่อขึ้น ในกลุ่มนั้นมีอยู่กลุ่มหนึ่งที่ในชาติก่อนเป็นญาติพี่น้อง แล้วก็อยู่ร่วมกัน เป็นกลุ่มในโขยงนั้น เรียกว่าอยู่กันเป็นวัง เรียกว่า วังเปรต ทุกคนต่างก็คอยที่จะไปรับกรรมตามที่กระทำไว้ในชาติที่ผ่านๆ มา มากน้อยหนาบางต่างกันไป ในกลุ่มที่มีจิตวิญญาณประเภทนี้ อยู่ร่วมกันเป็นวังอยู่นั้น กลุ่มหนึ่งในชาติปางก่อนล้วนแล้วแต่เป็นญาติพี่น้องกัน ในโลกมนุษย์ สัมภเวสีเหล่านี้ต่างชะเง้อชะแง้ คอยหาคอยรับส่วนบุญในโอกาสที่ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงจะอุทิศมาให้ จะได้สะสมไว้พอได้เป็นไป พอที่จะไปเกิดในที่ต่างๆ ตามกรรมเวรของตน ในจำนวนนั้นมีจิตวิญญาณดวงใหม่จุติมาในรูปลักษณ์ของสัมภเวสีเหมือนกัน พอมาถึงที่นั้น พวกเก่าๆ ที่สถิต ล้อมๆ กันอยู่ด้วยความทรมาน ก็ทักกันว่า “นั่นเหมือนลุงหลวงมา ลุงหลวงใช่ใหม นั่นป้าก็มา”
    ดวงจิตวิญญาณก็ตอบ “ใช่..... ข้าคือลุงหลวงของเจ้า แล้วนี่ก็เป็นป้าของพวกเจ้า” ดวงจิตวิญญาณของหลวงยกกระบัตรเมืองสองแควกล่าว สัมภเวสีทั้งหลายต่างก็สงสัยว่า ทำไมลุงหลวงยกกระบัตร ซึ่งร่ำรวยใหญ่โตในมนุษย์โลก จึงมาอยู่ในสภาพอย่างนี้ บุญเก่าไม่มีเลยหรืออย่างไร หรือทำบาปทำกรรมไว้ จึงมีจิตวิญญาณที่มาคอยรับบุญรับกุศลที่เขาจะอุทิศมาให้แบบนี้ แล้วสัมภเวสีตนหนึ่งจึงออกปากถามจิตวิญญาณของลุงหลวงว่า “ลุงหลวงทำอะไรไว้หรือ จึงไม่มีเนื้อนาบุญติดตัวมาเลย และนี่ก็จะเป็นสัมภเวสีเหมือนพวกข้า” ลุงหลวงตอบว่า “เมื่อพวกเจ้าอยากรู้ ข้าก็จะเล่าให้ฟัง แต่เรื่องมันเยอะนะ ต้องสืบสาวไปถึงชาติก่อนภพก่อนแน่ะ” และแล้วจิตวิญญาณของหลวงยกกระบัตรเมืองสองแควก็เริ่มบรรยาย ดังนี้ ก่อนที่ข้าจะมาเกิดเป็นหลวงยกกระบัตรเมืองสองแควนี้ ข้าเกิดเป็นยาจกยากจน รับจ้างเขาทำนา ทำงานสารพัดได้ค่าแรง คือ ได้กินไปวันหนึ่งๆ นานๆ เจ้านายก็ให้เสื้อผ้าไว้กันหนาว กันร้อนบ้าง ออกจะยากจนแสนสาหัส ให้ข้าวกินวันละ 2 มื้อ คือ เช้ากับเย็น เท่านั้น อาศัยที่ข้าช่วยเหลือคน ช่วยเหลือสัตว์ที่ยากลำบาก ตกทุกข์ได้ยาก ข้าช่วยทั้งนั้น วันหนึ่งข้าเอาควายไปเลี้ยงตามปกติ ไปพบหอยเล็กๆ พบปลาเล็กๆ ติดแห้งอยู่ในแอ่งน้ำแห้ง สัตว์กำลังดิ้นจะตายอยู่ ข้าเกิดเมตตา สงสารก็ค่อยๆ เอาหอย เอาปลานั้น ไปปล่อยลงน้ำ ที่ลำประโดง ปลาและหอยก็มีชีวิตอยู่ต่อไป พอดีตอนนั้นมีพระธุดงค์องค์หนึ่ง นั่งภาวนานิ่งอยู่ในกลดข้างลำประโดง ท่านเห็นเหตุการณ์โดยตลอด ท่านก็เรียกข้าไปคุยด้วย ท่านสงสารจึงชวนมาเป็นลูกศิษย์ตามไปกับท่าน ข้าก็ขอรับไปบอกเจ้านายข้าก่อน พอเดินกลับบ้าน เห็นหมาลูกอ่อนตัวหนึ่ง ผอมโซ นอนให้ลูกดูดนมอยู่ หมาตัวนั้นอดอยากมาก ผอมเหลือแต่กระดูก ข้าสงสารจับใจ จึงเอาข้าวของข้าที่นายเขาให้กินวันละ 2 มื้อนั้นออกมาคลุกๆ ให้หมานั้นกิน ส่วนข้านั้นยอมอด หมาได้กลิ่นอาหารก็ลุกออกมากินอย่างรวดเร็วด้วยความหิว พอกินหมด มันก็เงยหน้าขึ้นมามองดูหน้าข้า แล้วกระดิกหาง เดินเข้ามาหาอย่างช้าๆ ด้วยความสงสาร ข้ายกมือขึ้นลูบหัวมันด้วยเมตตา
    อาศัยที่ข้าทำแบบนี้บ่อยๆ ชาวบ้านเขาก็สงสาร มีอะไรเขาก็แบ่งปันให้ ได้กิน ได้ใช้ พอประทังชีวิตอยู่ได้ พอเข้าไปบ้าน ไปพบเจ้านาย ข้าบอกความประสงค์ว่าข้าจะไปกับพระธุดงค์ไปปฏิบัติ เจ้านายไม่ยอมว่าข้ายังเป็นหนี้ค่าตัวอยู่ ต้องทำงานให้เขาต่อไปอีก 3 เดือน จึงจะไปได้ 3 เดือนต่อมา พระธุดงค์องค์นั้นก็มาอีก ข้าก็เข้าไปกราบ เล่าเรื่องให้ฟัง สุดท้ายข้าก็ได้ไปกับพระธุดงค์องค์นั้นตามปรารถนา
    ข้าอยู่กับพระมานาน ท่านอบรมสั่งสอนให้ข้ารู้จักบาปบุญคุณโทษ ให้รู้ศีล รู้จักธรรม ข้าก็ปฏิบัติตามท่าน อยู่ปฏิบัติท่านมานาน จนวันหนึ่งท่านไปธุดงค์ที่จังหวัดสุโขทัย ไปพบเศรษฐีคนหนึ่งที่มาทำบุญกับพระธุดงค์นั้น เห็นรูปร่างหน้าตา กิริยามารยาทของข้าเข้าก็ชอบใจ จึงออกปากขอจากพระว่าจะเอาไปชุบเลี้ยง พระท่านก็เล่าให้ฟังว่าข้าเป็นคนใจบุญสุนทร์ทาน มีเมตตา ขยันขันแข็ง ซื่อสัตย์ เศรษฐีนั่นก็เลยชอบมากยิ่งขึ้น จึงรับตัวข้ามาอยู่ด้วย ที่เมืองชากังราว บ้านเศรษฐีไม่ไกลจากที่พระธุดงค์ท่านไปปักกลดพักอยู่ ท่านอาจารย์ท่านธุดงค์จากเมืองสองแควมาเรื่อยๆ บุกป่าผ่านมา ข้ามเขามาถึงเมืองชากังราวนี่ ตอนหลังเมืองนี้เรียกว่า เมืองกำแพงเพชร เศรษฐีให้ข้าพักเฉยๆ อยู่เฉยๆ ก่อน ต่อมาก็ให้ดูแลผลประโยชน์ ดูแลข้าว นา ช่วยรับซื้อข้าวและผลไม้ เช่นกล้วยที่ชาวบ้านเอามาขาย ให้เงินทองแก่ข้าให้ใช้จ่ายดำรงชีพ ด้วยความเป็นสุข พอมีเงินมีทองข้าก็สะสมไว้ๆ ทำบุญให้ทานเป็นนิตย์ สงเคราะห์ชีวิตสัตว์ที่ตกยากลำบากมีทุกข์มีร้อน ไถ่ถอนชีวิตเขาไว้เอาบุญตลอดมา จนชื่อข้าดังกระฉ่อนไปทั่ว เศรษฐีท่านทั้งรักและเมตตา จึงให้เงินทองมาอย่างละผอบ ให้ที่นาจำนวนมากแก่ข้า ทั้งนี้เพราะเศรษฐีท่านไม่มีลูกชาย อาศัยที่ขยันทำมาหากิน ซื่อสัตย์ไม่ฉ้อราษฎร์โกงหลวง เบียดเบียนใครทั้งสิ้น พออายุได้ประมาณยี่สิบเก้า ท่านเศรษฐีก็บวชให้ข้า ข้าบวชอยู่ 2 พรรษา จึงสึกออกมาทำงานทำการต่อจากนั้น ท่านเศรษฐีจึงยกหลานสาวของท่านให้เป็นภริยาข้า ก็อยู่ด้วยกันมาตลอด ไม่มีลูกไม่มีเต้าด้วยกัน ท่านเศรษฐีไม่มีลูกชาย มีแต่ลูกสาว ซึ่งก็แต่งงานออกเรือนไปกับลูกพระพิจิตร เจ้าเมืองพิจิตร และก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กัน ต่อมาท่านเศรษฐีและภริยาท่านก็ถึงแก่กรรมโดยชรา ทรัพย์สมบัติจึงตกอยู่กับหลานท่าน ซึ่งเป็นภริยาของข้า ข้าทั้งสองก็ไม่มีลูกอีก จึงได้แต่ทำบุญสุนทร์ทานไปเรื่อยๆ ในที่สุดจึงยกที่นาทุ่งใหญ่ถวายวัด สร้างวัดขึ้นด้วยทุนทรัพย์ที่ได้มาจากทุ่งนานี้ ที่เป็นของท่านเศรษฐีเดิม ชาวบ้านจึงเรียกว่า “ทุ่งเศรษฐี” วัดที่สร้างขึ้นก็เลยเรียกกันว่า “วัดทุ่งเศรษฐี”
    ตอนหลังข้าอายุมากขึ้น ชรามากขึ้น หลงๆ เลือนๆ หรือมันจะมีกรรมมาบัง การบุญสุนทร์ทานเอื้อเฟื้อเจือจานจึงลดลงไม่ทำบุญเหมือนแต่ก่อน มิหนำซ้ำยังขัดขวางการทำบุญให้ทานเสียด้วย แม้แต่สัตว์ที่เคยเลี้ยงดูก็อดๆ อยากๆ ไม่เอื้อเฟื้อเจือจานแก่คนยากคนจนเหมือนแต่ก่อน วัดวาอารามต่างๆ ก็ห่างเหินไม่บริจาคทำบุญทำกุศล แถมยังยักยอกทรัพย์สินที่เมียข้าจะทำบุญให้ทานเอาไปฝังดินเสียด้วย ก็ฝังที่วัดนั่นแหละเพราะที่นั่นเป็นที่กว้าง นี่แหละบุญมี แต่กรรมมันก็มาบังในตอนปลายๆ อายุ
    ในที่สุดข้าก็ตายตามสัจธรรมที่เที่ยงแท้ที่สุด ผลบุญที่ข้าเคยทำส่งให้ข้าไปเสวยสุคติอยู่นาน โดยไปเป็นเทพยดา เมื่อหมดบุญแล้ว ก็จุติลงมาเป็นมนุษย์ ก็ชาติที่ผ่านมานี้แหละ เกิดมาก็มีบุญเป็นถึงลูกเจ้าเมืองสองแคว พญาแสนพล กินเมืองสองแคว นครสวรรค์ พิจิตร ชากังราว พอเกิดมาข้าก็ได้รับความรักความเมตตาจากบิดามารดา ท่านย่า ท่านยาย ซึ่งเป็นคนเมืองเหนือ ทั้งคู่นี้รักใคร่ข้ามาก ข้าได้เรียนหนังสือจนอ่านออกเขียนได้ พอหนุ่มขึ้นก็เข้ารับราชการที่เมืองสองแควนี่เรื่อยๆ มา จนได้เป็นหลวงยกกระบัตรเมืองสองแควมีหน้าที่กะเกณฑ์ไพร่หลวง เกณฑ์ผู้คนไปในราชการสงคราม มีหน้าที่เสาะหาเก็บงำเสบียงอาหาร ไว้ให้ทหารที่เกณฑ์ไว้เพื่อถวายในราชการ
    ในตอนนี้ ข้ามีลูกมีเมีย มีญาติพี่น้องว่านเครือมากมายหลายคน ทุกคนยำเกรงอยู่ในอำนาจและการปกครองแนะนำของข้า นานเข้าส่วนสาอากรที่เก็บได้ เป็นข้าว เป็นแร่ เป็นผลไม้ต่างๆ ก็ไหลมาเทมาจนร่ำรวย แต่กรรมมันบัง ข้าไม่ยอมเสียสละ มีแต่จะรับท่าเดียว ไม่เคยบริจาค ไม่เคยทำบุญสุนทร์ทาน เอื้อเฟื้อเจือจานแก่ใครทั้งสิ้น มีมากเท่าไหร่ฝังดินหมด ในใจน่ะจะเก็บไว้กินยามแก่ ลูกหลานจะได้ไม่อดอยาก ข้าสะสมความเห็นแก่ได้ ความตระหนี่ไว้ แถมยังเบียดบังฉ้อราษฎร์บังหลวง เท่าที่จะทำได้โดยไม่ละอาย นานเข้าก็หน้าด้านขึ้นๆ เห็นอะไรที่พอจะได้เอาทั้งนั้น ลูกหลานบริวารว่านเครือของข้าก็เห็นดี เห็นชอบปฏิบัติตามข้าไปหมด ขนาดพระเดินบิณฑบาตมาโปรดสัตว์ ข้าเห็นเข้าจังหน้า ยังบอกว่า “นิมนต์ไปข้างหน้าเถิด ข้าไม่ใส่บาตร ไม่ทำบุญ”
    บริวารของข้าในบ้านมีเป็นสิบเป็นร้อย ข้าทาสหญิงชายต้องหุงข้าวกระทะ เลี้ยงเป็นกระทะๆ ทุกคนไม่มีการทำบุญการบริจาค หนักเข้าบุญเก่าก็หมดไปๆ จะให้มีความสุขความเจริญอย่างไร ในเมื่อบุญเก่าที่มีมาแต่ก่อนที่เคยทำบุญให้ทาน เมตตา เอื้อเฟื้อเจือจาน แก่คนทุกข์คนยาก อะไรต่างๆ มันหมดลง แล้วบุญใหม่ กุศลใหม่ ก็ไม่ได้เสริมสร้าง จริงอยู่ข้าไม่ได้ทำบาปอะไร ศีล 5 ข้อ ข้าไม่ผิด จะมีเพี้ยนๆ ก็ตรงข้อสอง ที่เบียดบังเขา เอาทรัพย์สินเขาเท่านั้น แต่ข้าก็ไม่ได้ลักเขา ขโมยเขา ทุกคนในอาณาเขตบ้านของข้า เป็นสิบเป็นร้อย ก็ประพฤติปฏิบัติจนเป็นนิสัย ทุกวันเวลาพระบิณฑบาต ท่านจะไม่เดินผ่านหน้าอาณาเขตบ้านข้า เพราะท่านไม่เคยได้รับอะไรจากข้าและบริวารเลย ในที่สุดมันก็หนีสัจธรรมไปไม่พ้น ข้าก็แก่ลง แล้วก็เจ็บ ท้ายที่สุดก็ตายจากโลกไป บริวารว่านเครือทั้งหลายก็อยู่ในสภาพเดียวกัน คือค่อยๆ ล้มหายตายจากไปทีละคนๆ ในที่สุดเราก็มาพบกัน รวมกันอยู่ในที่ที่เราเคยอยู่ และก็ที่นี่ด้วย ด้วยวิบากแห่งกรรมที่มี เวลาข้าไปไหน พวกจิตวิญญาณที่เป็นสัมภเวสีนี้ก็ตามข้าเป็นพรวน ไปด้วยกันเป็นหมู่ไปเลย ในชีวิตบนโลกมนุษย์ ข้ามีเมียกับลูกเล็กๆ คนหนึ่ง เป็นผู้หญิง ลูกคนนี้เขาออกเรือนไปตั้งแต่ข้ายังมีชีวิตอยู่ เขามีลูก 3 คน มันก็เป็นหลานของข้านั่นแหละ ลูกของข้าคนนี้เขาทำบุญให้ทานบ้างตามโอกาส หลานของข้าก็เหมือนกัน พวกลูกหลานเขาทำบุญให้ทานกันแล้ว เราก็ค่อยๆ นึกว่าเขาจะอุทิศส่วนกุศลมาให้เราบ้าง แต่เขาไม่ทำ เขาคงไม่รู้ว่าเราทั้งหลายนี่น่ะคอยรับส่วนกุศลอยู่ จะไปเรียกร้องอะไรก็ไม่ได้ ได้แต่มาขอมาเตือน พวกข้าทั้งหมดที่คอยขอส่วนบุญ นี่นับด้วยสิบ นับด้วยร้อย เมียข้าก็เหมือนกัน ต้องอยู่ในสภาพที่รอขอส่วนบุญนี่ จิตวิญญาณของข้าและเมียข้าในภาวะสัมภเวสี ตลอดจนบริวารข้าอุตส่าห์หมั่นไปหาลูกหลานข้าที่บ้าน ไปขอส่วนบุญเพื่อมาสะสมไว้ จะได้ไปเกิดตามภพตามภูมิของข้า แต่เขาเหล่านั้นก็ไม่ทำบุญทำทานเลย ถึงเขาจะทำ เขาก็ไม่ได้อุทิศส่วนกุศลไปให้ข้า เมียข้า และบริวารของข้าเลยแม้แต่น้อย อันนี้แหละ ที่ทำให้ข้าต้องมาขอมาทวงถาม ที่มาทวงถามก็เพราะที่พวกเขาอยู่ได้ทุกวันนี้ ก็อยู่ด้วยทรัพย์สินเงินทองของข้า ที่ข้าหาทิ้งไว้ให้เขามีกินมีใช้ เพราะฉะนั้น ข้างแรมทีหนึ่ง ข้าก็จะไปขอส่วนบุญจากพวกเขาทีหนึ่ง เมื่อเขาไม่ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ จะเป็นด้วยไม่รู้หรืออย่างไรก็สุดแต่ ข้าไม่สามารถจะแสดงตัวให้เขาเห็นได้ เพราะเราอยู่กันคนละภพ คนละภูมิ ก็ได้แสดงอาการให้เขาเห็น


    วันหนึ่ง ท่านผู้มีปัญญา ท่านผู้รู้มาพบเห็นเขา เขาก็จะได้รับคำบอกเล่า เมื่อนั้นเขาก็จะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้พวกเรา พอได้รับกุศลที่เขาอุทิศให้แล้ว พวกเราก็จะไปสู่ที่ต่างๆ ตามภพ ต่างๆ แล้วก็ไม่รบกวนเขาต่อไป นี่แหละ เรื่องมันเป็นอย่างนี้ จิตวิญญาณของหลวงยกกระบัตรเมืองสองแคว สารภาพ กล่าวถึง คุณนายส้มเกลี้ยง พอกลับถึงกรุงเทพฯ ได้ไม่เท่าไหร่ ท่านก็ให้คนไปที่ดงประคำ แถวๆ วัดพรหมพิรามอีก ให้เงินไปด้วย 4 บาท ให้ไปเพื่อทำสังฆทาน เลี้ยงพระที่วัดด้วย ทำทั้ง 2 อย่าง โดยเอา ทิดมี และอำแดงอุ่มไปด้วย ให้แกไปทำบุญที่วัด ให้พระท่านสอนทำสังฆทาน สอนกรวดน้ำให้พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย เจ้าบุญนายคุณ เสร็จแล้วก็ขอท่านพรมน้ำพระพุทธมนต์ที่หลวงพ่อให้ไปด้วย เอาไปให้หมด ทั้งทิดมี อำแดงอุ่ม และลูกชาย ตอนนั้นเป็นข้างขึ้น มีอำแดงอุ่ม เป็นปกติ ก็เชื่อฟัง พาลูกพาหลานไปทำบุญกัน อุทิศส่วนกุศลให้พ่อแม่ ญาติพี่น้อง บริวารทั้งหลาย ที่ตายจากไป แล้วก็พรมน้ำพระพุทธมนต์ที่หลวงพ่อให้ไปทุกคน คุณนายส้มเกลี้ยงเห็นว่าทุกคนสติมี ปัญญาเกิดขึ้นแล้ว จึงได้อธิบายบาปบุญคุณโทษให้พวกเขาทั้งหลายฟัง แนะนำให้บำเพ็ญการบุญกุศล โดยปฏิบัติศีลให้เคร่งครัด บำเพ็ญทานอย่างสม่ำเสมอ บำเพ็ญภาวนาอย่างที่หลวงพ่อท่านบอกมา จากนั้นก็อย่าลืมอุทิศส่วนกุศลตามที่สอน และอย่าลืมอุทิศส่วนกุศลให้แก่ตนเองด้วย ซึ่งทุกคนก็เชื่อฟังและปฏิบัติตามด้วยดีตลอดมา
    จนวันหนึ่ง คุณนายส้มเกลี้ยง ได้ขึ้นไปที่พรหมพิรามอีกครั้ง ก็พบว่าพวกเขาทุกคน ทั้งครอบครัว มีความสุข หายจากโรคภัยไข้เจ็บทุกคน ทำมาหากินด้วยความสุข ประกอบการบุญการกุศลอย่างสม่ำเสมอ ทิดมี อำแดงอุ่ม รู้สึกในบุญคุณ จึงมาหา มากราบไหว้ ขอบคุณที่ช่วยเหลือให้หายจากการเจ็บไข้ได้ป่วย คุณนายส้มเกลี้ยงจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้แก่สามีภริยาคู่นี้ฟังโดยละเอียด ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร หลวงพ่อท่านแนะนำมาว่าอย่างไร จึงได้หมดทุกข์หมดโรคและมีความสุขสบายอย่างนี้


    ทิดมี และอำแดงอุ่ม มีจิตศรัทธาเชื่อมั่นในหลวงพ่อมาก จึงขอพาครอบครัวติดตามกราบนมัสการหลวงพ่อด้วย คุณนายส้มเกลี้ยงก็ตกลง ขากลับเลยยกขบวนมากราบนมัสการหลวงพ่อกันทั้งหมด พอถึงวัด ทั้งคณะก็พากันไปกราบหลวงพ่อ ซึ่งท่านทราบอยู่ก่อนแล้ว ท่านก็ให้ศีลให้พร ให้ธรรมะที่จะนำไปปฏิบัติ แล้วคณะบ้านดงประคำ ก็กราบลากลับไปด้วยความสุข และก็อยู่ไปด้วยความสุข หมดสิ่งรบกวน หมดทุกข์โศกโรคภัยตลอดไป
    คุณนายส้มเกลี้ยงนั้นปิติมากที่ได้ช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยาก ให้เขาพ้นทุกข์ จึงได้กราบนมัสการถามหลวงพ่อว่า “ที่หลวงพ่อว่า หลวงพ่อจะช่วยชีวิตพวกบ้านดงประคำเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็ลาจากไปนั้น หลวงพ่อจะไปไหนในเมื่อหลวงพ่อก็ชราภาพมากแล้ว”
    ท่านตอบว่า “กาลเวลาไม่หยุดนิ่งฉันใด ชีวิตมนุษย์และสัตว์ก็ไม่ได้หยุดนิ่งฉันนั้น ต่างก็มีที่สุดแห่งสังขาร ก็อย่างหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ที่เสนานั่นเป็นไร ท่านก็จากไปแล้ว (หลวงพ่อปานเป็นเกจิอาจารย์ร่วมสมัยกับหลวงพ่อ และท่านได้มรณภาพเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2481 ก่อนหลวงพ่ออ่ำ เจ้าคุณพุทธวิหารโสภณ ประมาณ 6-7 ปี และทราบว่าทั้งสองท่านนี้สนิทกันมาก ไปมาหาสู่กันเสมอ) ไม่สมัครที่จะรักษาสังขารสิ่งปรุงแต่งที่มีวิญญาณ คือร่างกายให้คงที่ตลอดไปได้”



    คุณนายส้มเกลี้ยงได้ฟังแล้วก็นั่งน้ำตาไหล เพราะรู้ดีว่าหลวงพ่อท่านจะต้องจากโลกนี้ไปแล้ว..... แต่จะทำอย่างไรได้ ออกพรรษาแล้วไม่เท่าไหร่ ประมาณปี พ.ศ. 2487 คุณนายส้มเกลี้ยงได้ขึ้นไปกราบนมัสการหลวงพ่ออีกครั้ง ดูท่านก็ยังสดใส ใบหน้าสดชื่นแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มและเมตตา ก็ไม่แน่ใจว่าหลวงพ่อท่านจะจากไป ได้แต่เรียกให้ไชโยมาหา มอบเงินไว้ก้อนหนึ่ง ขอให้ไชโยช่วยดูแลปฏิบัติท่าน หาของขบฉันมาถวาย อย่าให้ท่านต้องออกบิณฑบาตอีก เพราะท่านอายุ 90 ปีแล้ว ไชโยก็รับคำ พลางบอกคุณนายส้มเกลี้ยงว่า “พรุ่งนี้หลวงพ่อท่านไม่ฉันเช้า ไม่ให้ใครเข้าไปปลุกท่าน ท่านสั่งให้หาอาหารให้นก ไก่ แมว สุนัข และสัตว์ที่ท่านไถ่ชีวิตมาที่อยู่ใต้ถุนกุฏิ อย่าให้อดอยาก ตอนเพลจึงเข้าไปหาท่านในกุฏิได้” ลูกศิษย์ทุกคนก็รับคำสั่งนี้ ออกพรรษาแล้ว หมดหน้ากฐินแล้ว ย่างเข้าหน้าหนาว คืนวันนั้นหลวงพ่อท่านปฏิบัติกิจของท่านตามปกติ คือทำวัตรเย็น สวดมนต์อยู่นาน จากนั้นท่านก็นั่งเข้าสมาธิสงบอยู่ที่เบาะพนักพิงใบนั้น ท่านนั่งในห้องนาฬิกาที่รับแขก พอเวลาประมาณก่อนสองยาม ท่านก็ขอให้พระเณรกลับไปจำวัดได้ และพรุ่งนี้ไป ไม่ต้องมานั่งที่กุฏิท่าน และไม่ต้องปลุกท่าน ไม่ต้องถวายอาหารเช้าให้ท่าน ตอนเพลจึงค่อยเข้าไปหาท่าน ทุกคนก็รับคำ ขณะนั้น ละอองฝนเริ่มตกเบาๆ สลับกับลมหนาว ทำให้อากาศเยือกเย็นเป็นพิเศษ เพลแล้ว เกือบเที่ยง ไชโยพร้อมด้วยพระเณรศิษย์วัด ได้เปิดประตูเข้าไปในกุฏิหลวงพ่อ เห็นหลวงพ่อนั่งสมาธิอยู่ที่เดิม ร่างกายไม่ไหวติง หลับตานิ่ง ลำตัวท่านเอียงไปข้างหนึ่ง ไม่ตรงเหมือนปกติ ไชโยรีบคลานเข้าไปหาเอื้อมมือไปปลุกท่าน “หล่วงพ่อครับ..... หลวงพ่อ..... !!”



    แต่ร่างของหลวงพ่อเย็นชืด ไม่ไหวติง ไชโยก็รู้ทันที ก้มลงกราบด้วยความเคารพ เขากราบอยู่นาน จนตรงพื้นที่ที่เขากราบนั้นเปียกเปื้อนด้วยหยาดน้ำตา จากนั้นพระเณรและลูกศิษย์ทั้งหลายก็ขึ้นไปกราบท่านด้วยความอาลัย สุนัขที่ท่านสงเคราะห์ชีวิตไว้ก็แห่หอนกันเซ็งแซ่ หลวงพ่ออ่ำ ท่านเจ้าคุณพุทธวิหารโสภณ แห่งวัดวงษ์ฆ้องคลองเมือง ได้ลาละสังขารของท่านไปแล้ว ท่านจะไปที่ใด ไปอยู่ที่ไหน ไม่มีใครทราบ ทราบแต่ว่าท่านกำหนดวันที่ท่านจะทิ้งสังขารไว้เรียบร้อย เพื่อชาติใหม่ ภพใหม่ของท่าน ซึ่งจะเป็นที่สงบสุขอันยากที่บุคคลอย่างเราๆ จะได้พบ


    ผมได้ขึ้นไปอยุธยาอีกครั้ง หลังจากที่ท่านมรณภาพแล้ว เพราะติดการเรียน จึงได้ทราบเรื่องนี้จากไชโย ผมหันหน้าไปหารูปท่านที่ติดไว้ข้างฝากุฎิ พร้อมกับก้มลงกราบท่านด้วยความเคารพอย่างสูง และเสียดายที่ท่านได้จากไปอย่างสุดที่จะบรรยาย ….



    ที่มาหนังสือ:[FONT=&quot]คำสารภาพของ[/FONT][FONT=&quot] “วิญญาณบาป”
    [/FONT]

    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0in 5.4pt 0in 5.4pt; mso-para-margin:0in; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]-->
     
  2. noawarat pakdee

    noawarat pakdee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    242
    ค่าพลัง:
    +682
    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  3. น้องใหม่ 2008

    น้องใหม่ 2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    690
    ค่าพลัง:
    +1,906
    กราบหลวงพ่อครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...