วัฏสงสาร เราสามารถหลุดออกจากวงโคจรนี้ได้อย่างไรครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ์NLife, 15 พฤศจิกายน 2016.

  1. ์NLife

    ์NLife สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2016
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +6
    อย่างเรียนถามผู้รู้ครับว่า วัฏสงสาร คืออะไร
    และเราจะสามารถหลุดพ้นจากวัฎสงสารนี้ได้อย่างไร
    ขอบคุณครับ
     
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    กระทู้ก่อน ถาม ขอมีวินัยในการปฏิบัติ ทำสมาธิ

    ถาม แล้วเอาไปฝึก หรือเปล่า

    ถ้า ถาม แล้วไม่ได้เอาไปฝึก

    คำถาม ประเภทขอคำนิยาม ฟังไปจำ ไม่ทำ

    มันจะกลายเปนสิ่งแสลง ทำให้ดื้อยา ได้

    ดังนั้น

    ควรแพลมเท้าความตอนที่แล้วนิดนึงว่า

    ก่อนหน้าผมถามเรื่อง สมาธิ เอาไปปฏิบัติแล้ว
    ได้ผล อย่างงั้น อย่างงี้ งงบ้าง ไม่งงบ้าง

    แต่วันนี้ ผม.....จึงขอถามเรื่อง การขยันเกิด
    มาเหนสิ่งไม่เที่ยง แต่เขาก้สอนกันว่าเที่ยง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2016
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019

    ตอบแบบไม่ผู้รู้นะครับ
    ตอบในฐานะคนธรรมดา
    ส่วนตัวเข้าใจว่า วัฏสงสาร
    แบบหยาบๆที่ตนเองเข้าใจตอนนี้คือ
    อะไรที่ยังมีการหมุนวน เวียนไปเวียนมา
    หรือพูดง่ายๆ ว่ายังเวียนว่าย
    ตายเกิดได้อยู่ครับ ไม่ว่าจะเป็นระดับใดๆ
    ก็ตามครับ

    ส่วนการจะพ้นได้ ก็อยู่ที่ตัวจิต
    ที่จะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าเราจะฝึกอะไรมา
    หรือมีสภาพแวดล้อมอย่างไรก็ตาม
    ที่เป็นเหตุหนุ่นส่ง และทำให้ดวงจิตไม่วกวนและวนเวียน
    ในวัฏสงสารนี้ได้หรือไม่ ณ ช่วงเวลาสุดท้าย
    ก่อนที่จะตัวจิตจะทิ้งร่างกายนี้ไปครับ..

    ถ้าพูดแบบในมุมที่บุคคลใดก็ตามที่เข้าถึงตัวจิตได้
    ก็คือดวงจิตที่ไม่ก่อตัวเป็นวงกลม(ถ้าเป็นวงกลมอยู่
    ยังอยู่ในวัฏสงสารนี่อยู่ครับ)
    คือขยายได้ไร้ทิศทาง เหมือนๆ
    ดวงจิตท่านผู้พ้นแล้วทั้งหลายนั่นหละครับ (^_^)
     
  4. ์NLife

    ์NLife สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2016
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +6
    การที่เรียนถามแบบ นี้เนื่องจากกระทู้ก่อน ผมได้ถามเรื่องการปฎิบัติสมาธิ ผมได้แสวงหา วิธีการปฎิบัติ ฝึกสมาธิ และมีอยู่ช่วงนิงที่คิดมาตลอดนะครับ ว่า ฝึกไปแล้วสมาธิผลคืออะไร และก็สิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันคืออะไร แล้วก็เจอคำตอบครับคือคำว่าคือความไม่เที่ยงนั้นเอง และผมแค่อยากทราบว่า วัฏสงสาร ที่ผมค้นพบและเข้าใจนั้นต่างจาก ความหมายที่ผู้ปฎิบัติธรรมท่านอื่นนิยามหรือเข้าใจ หรือไม่ ส่วนสมาธิเรื่องของสมาธินั้นผม ใช้เป็นอีกแนวทางนึงคือเป็นหนทางรวมจิต ดับทุกข์นั้นเอง ที่มากระทู้ในวันนี้ แค่อยากจะถามผู้รู้ครับ เพื่อ นำสิ่งที่ปฎิบัติ นั้นรวมกันเป็นหนทางเดียว เพื่อจะได้รู้แจ้งถึงสิ่งที่ควรบรรลุ และสิ่งไหนไม่ควรบรรลุ ครับ เพื่อจะเป็นหนทางแห่งนิพานได้ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2016
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ถ้าเป็นส่วนตัวจะขอเล่าให้ฟังต่อก็คือ
    เราไม่ต้องไม่แสวงหาหรือว่าต้องไปฝึก
    อะไรเพิ่มเติมอีกก็ได้ครับ..
    แต่ให้ละ ให้คลาย ให้วาง
    สิ่งที่เคยรู้มา สิ่งที่เคยๆผ่านๆมาทั้งหมด
    (ฟังดูอาจขัดๆหน่อยนะครับ แต่ลองอ่านก่อนครับ)
    คือให้ปล่อยวางมันไปเลย
    เพื่อให้จิตมันคลายจากสิ่งต่างๆเหล่านั้นให้หมด
    จริงๆแล้วก็เพื่อให้จิตมันกลับคืนสู่ เนื้อหาเดิมแท้ของมันเอง
    ถ้ามันจะเกิด จะรู้ จะสัมผัส ก็ให้มันเป็นไปของมันเอง
    เพียงแต่ไม่ต้องไปยึดกับสิ่งเหล่านั้น...
    จิตมันจะได้เริ่มเข้าสู่ธรรมชาติ เพื่อกลับเข้าสู่สภาวะจิตเดิมแท้
    ตามแต่ที่จิตเรานี้ได้เคยสะสมบารมีมา
    แบบที่ไม่ยึดไม่เกาะกับสิ่งใดๆได้เหมือนๆเมื่อก่อนได้
    แบบของมันเอง เมื่อไม่ยึด เมื่อวางได้แล้ว ค่อยๆคลายได้แล้ว
    ต่อไปมันจะคลาย มันจะวาง มันจะว่างได้ของมันเอง
    โดยไม่ต้องใช้วิธีการใดๆเข้าไปกระทำ(แม้ว่าช่วงแรกจำเป็นต้องรู้ก่อนก็ตาม)
    และมันจะค่อยๆคลายตัวได้เพิ่มขึ้นของมันเองแบบธรรมชาติ
    เริ่มต้นจากวินาที ไปเป็นนาที(จะเข้าใจว่าทำไมต้องบอก
    ว่าเริ่มจากวินาทีถ้าจิตมันคลายตัวเองได้แบบธรรมชาติ
    ในเวลาลืมตาใช้ชีวิตปกติครับ) ตลอดจนพัฒนาคลายตัวได้
    ตลอดเหมือนท่านๆที่พ้นๆแล้ว(คลายคือไม่ยึด แต่ว่าทุกสิ่ง
    ทุกอย่างที่เข้ามายังมีปกตินะครับ เพียงแต่จิตไม่ยึด)
    ได้ของมันเอง ซึ่งการคลายตัวโดยธรรมชาติตรงนี้
    ต้องให้เวลากับมันหน่อย มันมีวาระของมันอยู่
    จนกว่าวิบากทางสมมุติเรามันคลายตัวได้เกือบทั้งหมด
    ในระหว่างนี้ สิ่งที่เคยรับรู้มา ก็เอาไว้เป็นแนวทาง
    ให้จิตเพื่อเข้าสู่สภาวะคลายตัวเองได้โดยธรรมชาติ
    ของมันเองในอนาคตได้ครับ (^_^)
    ปล แค่เพียงแต่เล่าใหัฟังครับ
     
  6. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ให้ ระวัง อารมณ์การฝึก แบบนี้ไว้เลย ไม่เอา !!!

    เราไม่ได้ ฝึกเพื่อที่จะหูเล่อตาเล่อ ฝึกสมาธิแทบตาย แต่กลับมี
    ความทยานอยากแรงกล้า ที่จะ เปรียบเทียบ กับผู้อื่น

    มันตรงกันข้ามกับ สภาวะ ตรัสรู้เองโดยชอบ หากรู้แจ้งธรรมแล้ว
    ไม่มีความ หิว ในการต้อง ฟังธรรมเปรียบเทียบจากใคร

    ถ้าเราไป ฝึกให้มี วัฏสังสาร ในการ เปรียบเทียบ

    ร้อยละร้อย จะฝึกไป แล้วก็เอาไปเทียบว่าเหมือนกับคนอื่น หรือ ไม่เหมือน
    กับคนอื่น หรือ เหมือนก็ไม่ใช่ไม่เหมือนก็ไม่ใช่ ซึ่ง เป็นอาการ สังขาร
    อย่างหนึ่ง

    ฟังไปเปรียบเทียบไป ร้อยละร้อย พอไม่เหมือนคนอื่น ก็กลัวว่า ตนไม่มีภูมิ
    ธรรมการปฏิบัติ ก็เลยต้อง นั่งทับความไม่รู้ไว้ แล้วก็ไป หาอะไรวับๆแวมๆ
    เอ้อวว อันนั้น ผมก็เห็น อย่างนั้น
    เอ้อวว อันนั้น ผมก็เห็น อย่างนี้
    เอ้อวว อันนั้น ผมก็เห็น ........
    เอ้อวว ..........

    เห็นอะไรไหวหน่อย ก็ เห็นวิเศษอย่างนั้นอย่างนี้

    ขยับอะไร เสกอะไรได้นิดหน่อย ก็เห็นวิเศษอย่างนั้นอย่างนี้

    การเห็นวิเศษอย่างนั้นอย่างนี้ ภาษาพระป่าเรียก หมาเห่าใบตองแห้ง

    เห็นอะไรขยับ ก็รู้ไปหมด ทำได้หมด

    สิ่งเดียวที่ไม่รู้คือ " ตายเมื่อไหร่ ไปไหน " พูดอีกแง่คือ ไร้สติ ไร้สัมปชัญญะ


    ปล. ที่เขียน ฟัดกลับมา ถือว่าใช้ได้ ฝึกได้ ไม่ได้ ไม่สำคัญ

    สำคัญที่ อารมณ์ของนักปฏิบัติ หากฝึกมา มันจะต้องมี มานะ(ต้นทุน แสดงออกมาจากจิตนั้น) นิดหน่อย
    ให้แสดงออกมาตามนั้น เราจะไม่ ถือ กัน จะเปิดโอกาสให้ ฟัดเต็มที่ กระทืบกันเต็มที่

    ไม่ต้องกังวล เรื่องภาษา มารยาทอะไร ....ให้ถือว่า กำลัง ลงอุโบสถ ปรวณากันด้วย
    เมตตา ทั้งสองฝ่าย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2016
  7. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ปฏิบัติธรรม เพื่อเอาไปเปรียบเทียบ ร้อยละร้อย จะสรุปลงแบบนี้



    ปฏิบัติแทบตาย เพื่อ หมายๆ ให้เหมือนๆ คนอื่น ตามๆ กันไป...เพื่อให้เกิด วัฏสงสาร ไม่จบไม่สิ้น ตามๆกันไป

    ตรัสรู้เองโดยชอบ จะเกิดไหม .....พ้นวัฏสงสาร จะเกิดไหม
     
  8. ์NLife

    ์NLife สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2016
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +6
    ขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำดีดีครับ สาธุ
     
  9. ชมทรัพย์

    ชมทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2015
    โพสต์:
    552
    ค่าพลัง:
    +248
    หาเงินมากๆ มีอำนาจชื่อเสียงโด่งดัง กิน นอน เสพกาม ตามใจอยาก
     
  10. Dazeng

    Dazeng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2006
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +110
    1. วัฏสงสาร คืออะไร

    ***วัฏสงสาร คือวงจรแห่งความไม่รู้แจ้งชัดในชีวิต เหมือนวิทยุAMที่เปิดฟังไม่แล้วเสียงขาดๆหายๆ ด้วยไม่รู้เป้าหมายที่แท้จริงอันพึงบรรลุ จึงยังสับสนหลงสร้างกรรมต่างๆนานา

    **ย่อสั้นๆ คือวงจรแห่งความหลง เช่น หลงภพ หลงชาติ หลงวัย หลงความคิด หลงคำคน หลงชีวิต หลงวัตถุ จนกระทั่งหลงตาย เป็นผลให้วงจรนี้ได้เหตุแห่งการดำเนิอย่างสมบูรณ์

    *เอาให้สั้นเข้าก็คือภพภูมิทั้ง31รูปแบบ ถูกจัดวางให้ดวงจิตอันหยาบละเอียดได้เข้าไปอาศัยส้องเสพธรรมชาตินั้นๆ ตามระดับนิสัยที่อารมณ์ใจของตนเคยชิน

    2. และเราจะสามารถหลุดพ้นจากวัฎสงสารนี้ได้อย่างไร

    ***จะพ้นเกิดพ้นตายได้จำต้องเพียรละบาปอกุศล คือไม่ต่อความยาวสาวความยืดให้ชีวิตมีบ่วงมีห่วงมีโซ่ติดสอยห้อยคล้องจองจำจิตเราอยู่เป็นนิจ หมายถึงไม่ประมาทในการกระทำต่างๆ คือเฝ้าระวังกิริยาของดวงจิตอยู่เสมอมิให้ไปติดข้องกับสิ่งใดๆ

    **เอาให้กระชับก็คือ เพียรระลึกถึงกายถึงใจเป้นประจำเพื่อให้ตนรู้สึกตัวทุกเวลา ผู้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ย่อมมีหวังที่จะหลุดพ้นจากภพชาติ นี่คือบุญกุศลครั้งสำคัญยิ่งกว่ามหาทานใดๆ

    *เราทั้งหลายต่างติดข้องในรูปกายและความคิดเพราะไม่รู้สึกตัวนี่เอง ไปหลงยึดถือว่ามันเป็นตัวเป็นตนจึงไม่อาจหลุดพ้นจากภพชาติได้ง่ายๆครับ
     
  11. Dion

    Dion สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2016
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +18
    แสดงว่าท่านนิวรณ์
    ท่านมิได้มีความทยานอยากแรงกล้า ที่จะ เปรียบเทียบ กับผู้อื่น อย่างงั้นใช่ไหม?
     
  12. Dion

    Dion สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2016
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +18
    โอ....หากรู้แจ้งธรรมแล้ว
    ไม่มีความ หิว ในการต้อง ฟังธรรมเปรียบเทียบจากใคร

    ก็คือว่าหากรู้แจ้งธรรมแล้ว
    ก็ไม่หิวแล้ว...ไม่ต้องฟังธรรมเปรียบเทียบจากใครแล้วอย่างนั้นใช่ใหม?

    แล้วถ้ายังไม่รู้แจ้งธรรมล่ะ?
    ยังต้องฟังธรรมเพื่อเป็นแนวทางพัฒนาปัญญาของตนไหม?

    แล้วการที่ จขกท. เขาถามเนี่ย
    ท่านสรุปไปแล้วหรือ ว่าจขกท. บรรลุแจ้งธรรมแล้ว ถึงไม่ต้องให้ไปฟังธรรมอื่นใดเพื่อเปรียบเทียบน่ะ

    แล้วถ้าบรรลุแล้ว
    เขาจะยังมาถามท่านทั้งหลาย เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาธรรมของเขาทำไมล่ะ?

    แล้วถ้าเขายังไม่ได้บรรลุแจ้ง
    ท่านก็ไปตัดโอกาส ไม่ให้เขาเปรียบเทียบพิจารณาธรรมทั้งหลายเสียแล้ว
    ในเมื่อปัญหาไม่มี การพิจารณาถึงปัญหาไม่มี
    แล้วปัญญา ที่จะเกิดจากการพิจารณาทั้งหลาย มันจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ท่านนิวรณ์!
     
  13. Dion

    Dion สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2016
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +18
    การพิจารณาของตัวเอง จะถูกต้องหรือเปล่ายังไม่รู้เลยยยย
    แล้วเราจะไปเอาความเด็ดขาดกล้าดีอะไร ไปยืนยันฟันฉะกับเขา ว่าจะให้เขาเอาหรือไม่เอา!!
     
  14. Dion

    Dion สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2016
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +18
    รู้จักคำว่า สงคงสงขาร ที่เป็นคำจากตำราของคนอื่นเนี่ย
    ท่านยังว่าท่าน ไม่ได้เปรียบเทียบกับคนอีกหรือ ท่านนิวรณ์!
     
  15. Dion

    Dion สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2016
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +18
    นานๆมาที
    นานๆ ค่อยมาอีกที
     
  16. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,310
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,002
    ต้องฝึกทั้งสมถะและวิปัสสนาครับคุณ NLife หากอยากรู้ว่าฝึกยังไง ก็เข้าไป download 10 บทนี้มาอ่านดูครับ อ่านหมดทั้ง 10 บทครับ คุณ NLife จะได้รู้ว่าแก่นหลักของธรรมะทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัตินั้นมีอะไรบ้าง ผมอยากให้คุณ NLife download บทข้างล่างเหล่านี้ไปอ่านก่อน แต่จริง ๆ อยากให้อ่านให้ครบทั้ง 10 นั่นแหละครับ แต่ลองอ่านบทข้างล่างนี้ที่ผม post ให้ดูก่อน อ่านแล้วจะได้จับใจความได้ว่า เราเกิดมายังไง จะไปที่ไหน แล้วต้องปฏิบัติอะไรบ้างถึงจะไปถึงนิพพานได้อะไรประมาณนี้ ยังไงลองอ่านดูให้ครบนะครับ ผมรับประกันครับว่า บทเรียนทั้ง 10 บทนี้คือทุกอย่างของพระพุทธศาสนาแล้วอย่างแน่นอน ผมได้ทั้ง 10 บทนี้ช่วยไว้ ไม่อย่างนั้นทุกวันนี้ผมก็ยังคงนั่งหลับตาทําสมาธิ แล้วติดแค่ความสงบเฉย ๆ โดยไม่รู้จะไปยังไงต่อ เอาเป็นว่าบทเรียน 10 บทนี้ดีมาก ๆ ก็แล้วกันครับ คุณ NLife จะไม่เสียดายแน่นอนถ้าอ่านจบหมดทุกบท ตามนี้ครับ ขอให้โชคดีครับ อนุโมทนาครับ

    http://palungjit.org/threads/downlo...ียนดีมาก-ๆ-เป็นแก่นหลักของธรรมะโดยตรง.561649/

    พระอภิธรรม on line บทที่ 2 ชีวิต, ขันธ์ 5, รูปนาม, จิต

    พระอภิธรรม on line บทที่ 6 ชีวิตมาจากไหน ?

    พระอภิธรรม on line บทที่ 7 กรรม และผลของกรรม

    พระอภิธรรม on line บทที่ 9 สมถกรรมฐาน 40

    บทที่ 10 วิปัสสนากรรมฐาน
     
  17. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +792
    ผมคิดง่ายๆ แต่ทำยากครับ

    วัฏสงสารโดยสาระ คือ กิเลส กรรม วิบากกรรม

    หยุดวัฏสงสารทันที คือ ดับกิเลส ครับ

    ขอให้เพียรต่อสู้กับกิเลสกันต่อไปจนกว่าจะถึงนิพพานนะครับ
     
  18. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    .....


    ......วัฏสงสาร คือการเวียนว่าย ตายเกิดใน 31 ภพภูมิ
    .........การเวียนว่ายตายเกิดใน ภพภูมิต่างๆในชั้นที่เป็น ทุคติภูมิ เป็นสิ่งเล็วร้ายอย่างยิ่ง สมมุติ ไปเกิดเป็นหมาขี้เรื่อน แถมเลี้ยงลูกเป็นคอก มันจะทรมานแค่ใหน เหตุนี้ท่านจึงกล่าวว่า ภัยในวัฏสงสารจึงเป็นสิ่งน่ากลัวอย่างยิ่ง


    ......การออกจากวัฏสงสารได้อย่างไร

    ......มรรคมีองค์แปดนั้นไง ทางอันเอกคือสติปัฏฐานสี่ นำไปซึ่งการบรรลุธรรม สู่การได้เป็นพระอรหันตบุคคลนั้นเอง
    ......การบรรลุธรรมครั้งแรก ได้เป็นพระโสดาบัน ก็ ปิดประตู ทุคติภูมิ นับว่า เป็นลาภอันมหาศาล ท่านกล่าวว่า ดีกว่าได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์


    .......การบรรลุธรรม การตรัสรู้ การเกิดวิปัสนาญาณ สิ่งเหล่านี้คือ ประตูสู่อมตะธรรม เป็นคำคำเดียวกัน

    .......การทำสติปัฏฐานสี่ อย่างถูกต้องอย่างต่อเนื่อง ท่านรับประกันว่า สามารถบรรลุธรรมได้ไม่เกินเจ็ดปี
    .......ก็นั้นแหละใครเล่าคิดว่าทำสติปัฏฐานได้อย่างถูกต้อง

    ......มีสติ มีสัมปชัญญะ ละความยินดียินร้ายในโลก

    .......สติ คือจิต ระลึกถึงสิ่งนี้ว่าจำได้มันเคยเกิดขึ้น เช่น ระลึกได้ว่า สิ่งนี้คือลมหายใจเข้า จำได้เพราะมันเคยหายใจเข้า เป็นต้น
    .......สัมปชัญญะคือ ความรู้สึกตัว รู้อย่างไร รู้ว่า นี้เรานั่งหายใจอยู่ นี้คือหายใจเข้ายาว หายใจเข้าสั้น เป็นต้น

    .....สัมปชัญญะ คือความรุ้สึกตัว เป็นสิ่งที่ต้องการให้เกิดตลอดเวลาเท่าที่มีสติเป็นตัวกระตุ้นเป็นตัวนำ

    .....สัมปชัญญะ คือความรุ้สึกตัว มิใช่จิต มันเป็นนามธรรมอีกอันหนึ่ง ที่เรียกว่า นิพพานธาตุ

    .....ใครไม่รู้จัก สัมปชัญญะ อย่ามาบอกว่าทำสติปัฏฐานสีเป็น ใครทำสัมปชัญญะใด้อย่างต่อเนื่อง ก็ถือว่าสุดเจ๋ง


    ....จิตที่มีสมาธิ คือจิตที่ทรงพลัง ทรงพลานุภาพ จิตที่ฟุ้งซ่าน เป็นจิตที่อ่อนแอไม่ทรงพลานุภาพ
    ...จิตที่เป็นสมาธิ ก็คือจิตที่มีสติ กับสิ่งไดสิ่งหนึ่ง เป็นเอกคตาจิต เมื่อผนวกกับ สัมปชัญญะที่ต่อเนื่อง เป็นคนสองคนเดินประคองกัน จิตจะน้อมให้เกิดวิปัสนาญาณ ให้เห็นว่า ขันธ์ห้า(จิตก็อยู่ในขันธ์ห้า) นี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

    ....การเกิดวิปัสนาญาณท่านกล่าวว่า มันเป็นดุจดังอุบัติเหตุ เหมือนเดินเหยียบบนเดีอยเข้าสาลี ทิ่มโดนเท้าให้เกิดห้อเลือด

    ....ดังนั้น ถ้าทำไปเรื่อย ก็หวังว่าจะเกิดการบรรลุธรรม เกิดวิปัสสนาญาณได้


    ....พระอรหันต์นาคเกษม ในหนังสือมิลินทปัญหา อุปมา ดุจดังเราจุดไฟส่องดูตัวเลขในที่มืด พอเห็นตัวเลขก็รู้ตัวเลขนั้น

    ....สิ่งนี้ก็เหมือนกัน เกิดวิปัสสนาญาณแค่หนึ่งครั้ง ก็บรรลุธรรมได้หนึ่งขั้น เป็นพระโสดาบัน
     
  19. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    มูลการของสังสารวัฏฏ์
    ฐีติภูตํ อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา อุปาทานํ ภโว ชาติ
    คนเราทุกรูปนามที่ได้กำเนิดเกิดมาเป็นมนุษย์ล้วนแล้วแต่มีที่เกิดทั้งสิ้น กล่าวคือมีบิดามารดาเป็นแดนเกิด ก็แลเหตุใดท่านจึงบัญญัติปัจจยาการแต่เพียงว่า อวิชฺชา ปจฺจยา ฯลฯ เท่านั้น อวิชชา เกิดมาจากอะไรฯ ท่านหาได้บัญญัติไว้ไม่ พวกเราก็ยังมีบิดามารดาอวิชชาก็ต้องมีพ่อแม่เหมือนกัน ได้ความตามบาทพระคาถาเบื้องต้นว่า ฐีติภูตํ นั่นเองเป็นพ่อแม่ของอวิชชา ฐีติภูตํ ได้แก่ จิตดั้งเดิม เมื่อฐีติภูตํ ประกอบไปด้วยความหลง จึงมีเครื่องต่อ กล่าวคือ อาการของอวิชชาเกิดขึ้น เมื่อมีอวิชชาแล้วจึงเป็นปัจจัยให้ปรุงแต่งเป็นสังขารพร้อมกับความเข้าไปยึดถือ จึงเป็นภพชาติคือต้องเกิดก่อต่อกันไป ท่านเรียก ปัจจยาการ เพราะเป็นอาการสืบต่อกัน วิชชาและอวิชชาก็ต้องมาจากฐีติภูตํเช่นเดียวกัน เพราะเมื่อฐีติภูตํกอปรด้วยวิชชาจึงรู้เท่าอาการทั้งหลายตามความเป็นจริง นี่พิจารณาด้วยวุฏฐานคามินี วิปัสสนา รวมใจความว่า ฐีติภูตํ เป็นตัวการดั้งเดิมของสังสารวัฏฏ์ (การเวียนว่ายตายเกิด) ท่านจึงเรียกชื่อว่า "มูลตันไตร" (หมายถึงไตรลักษณ์) เพราะฉะนั้นเมื่อจะตัดสังสารวัฏฏ์ให้ขาดสูญ จึงต้องอบรมบ่มตัวการดั้งเดิมให้มีวิชชารู้เท่าทันอาการทั้งหลายตามความเป็นจริง ก็จะหายหลงแล้วไม่ก่ออาการทั้งหลายใดๆ อีก ฐีติภูตํ อันเป็นมูลการก็หยุดหมุน หมดการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏ์ด้วยประการฉะนี้




    มุตโตทัย หลวงปู่มั่น...
     
  20. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    ....การหลุดจากวัฏสงสารนั้น ต้องได้บรรลุธรรมถึงขั้น เป็นพระอรหันตผลก่อน จึงจะหลุดพ้นได้ ส่วนพระโสดาบันก็ดี ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกไม่เกินเจ็ดชาติ ตามตำรานะครับ

    ....ทำไมถึงบอกว่าพระอรหันต์ เมื่อสิ้นขันธ์แล้วถึง ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

    ....ขออัญเชิญพุทธพจน์มาดังนี้ " นายช่างคือตัณหาผู้สร้างเรือน เมื่อไม่พบ ได้ท่องเที่ยวไปสู่สงสารสิ้น
    ชาติมิใช่น้อย การเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์ร่ำไป ดูกรนายช่างผู้สร้างเรือน
    บัดนี้ เราพบท่านแล้ว ท่านจักไม่ต้องสร้างเรือนให้เราอีก ซี่โครงคือกิเลส
    ของท่าน เราหักเสียหมดแล้ว และช่อฟ้าคืออวิชชาแห่งเรือนท่าน
    เราทำลายแล้ว จิตของเราไม่เกิดต่อไปเป็นธรรมดาแล้ว จักดับอยู่ในภพ
    นี้เอง"
    .....ในตำราพระอภิธรรม สอนว่า ถ้าเราเอามนุษย์ผู้หนึ่งมาจับแยก จะได้ เป็น จิต เจตสิค รูป นิพพาน
    .....จิต มีลักษณะการรับรู้ ส่วนเจตสิค เป็นตัวประกอบจิต เพื่อให้จิต มีลักษณะได้ 108 รูปแบบ จิต และเจตสิค ก็ล้วนเป็น นามธรรม ส่วนรูป เป็นส่วนร่างกายและอวัยวะต่างๆ เป็นที่ตั้งของนามธรรม ส่วน นิพพาน เป็นนามธรรมอีกอัน
    .....เท่าที่ผมศึกษา หรืออาจจะศึกษาไม่ครบ นิพพานธาตุเป็นนามธรรม เป็นอสังขตะธรรม ที่เที่ยงไม่แปรปรวน แต่ก็นั้นแหละ นามธรรมย่อมมีการเคลื่อนใหว ไม่เหมือนรูป นิพพานธาตุ จึงมีการรับรู้ ในรูปแบบอีกอย่างหนึ่งไม่เหมือน จิต

    ....ผมสรูปว่า มีตัวผู้รู้ อยู่สองตัวในร่างกายเรา มีคนแย้งกันมาก

    ....ผมไม่มีคำตอบเลยถ้าไม่มีตัวผู้รู้สองตัว เพราะถ้าสติคือจิต แล้วสัมปชัญญะคือการรู้สึกตัว รู้สึกตัวมิใช่จิต แล้วจะเป็นอะไรไปไม่ได้ ก็ต้องเป็นนามธรรมตัวผุ้รู้ตัวที่สองนั้นเอง

    ....เมือพระอรหันต์ สิ้นชีวิต จิตดวงสุดท้ายดับ จะไม่มีจิตดวงต่อไปอีก ตามพระสูตรข้างบน ".....จิตของเราไม่เกิดต่อไปเป็นธรรมดาแล้ว จักดับอยู่ในภพ นี้เอง"

    ....เมื่อพระอรหันต์สิ้นชีวิต จิต เจตสิค รูป ดับ คงเหลือแต่ นิพพานธาตุ
    ....แต่ก็นั้นแหละ นามธรรมทุกตัว ล้วนเป็นอนัตตา

    ....การบรรลุธรรม ก็คือการตรัสรู้ธรรม ด้วย ตัวนิพพานธาตุเข้าไปรู้ความจริง

    .....ขอยกตัวอย่างคำสอนในพระสูตร.."ปัญญาวรรค อภิสมยกถา
    [๖๙๕] คำว่า ความตรัสรู้ ความว่า ย่อมตรัสรู้ด้วยอะไร ย่อมตรัสรู้
    ด้วยจิต ย่อมตรัสรู้ด้วยจิตหรือ ถ้าอย่างนั้น บุคคลผู้ไม่มีญาณก็ตรัสรู้ได้ซิ บุคคล
    ผู้ไม่มีญาณตรัสรู้ไม่ได้ ย่อมตรัสรู้ได้ด้วยญาณ ย่อมตรัสรู้ด้วยญาณหรือ
    ถ้าอย่างนั้น บุคคลผู้ไม่มีจิตก็ตรัสรู้ได้ซิ บุคคลผู้ไม่มีจิตก็ตรัสรู้ไม่ได้ ย่อมตรัสรู้
    ได้ด้วยจิตและญาณ ย่อมตรัสรู้ได้ด้วยจิตและญาณหรือ ถ้าอย่างนั้น ก็ตรัสรู้ได้
    ด้วยกามาวจรจิตและญาณซิ ย่อมตรัสรู้ด้วยกามาวจรจิตและญาณไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น
    ก็ตรัสรู้ได้ด้วยรูปาวจรจิตและญาณซิ ตรัสรู้ด้วยรูปาวจรจิตและญาณไม่ได้ ถ้า
    อย่างนั้น ก็ตรัสรู้ได้ด้วยอรูปาวจรจิตและญาณซิ ตรัสรู้ด้วยอรูปาวจรจิตและญาณ
    ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น ก็ตรัสรู้ได้ด้วยกัมมัสสกตาจิตและญาณซิ ตรัสรู้
    ด้วยกัมมัสสกตาจิตและญาณไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น ก็ตรัสรู้ได้ด้วยสัจจานุโลมิกจิต
    และญาณซิ ตรัสรู้ด้วยสัจจานุโลมิกจิตและญาณไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น ก็ตรัสรู้ได้ด้วย
    จิตที่เป็นอดีตและญาณซิ ตรัสรู้ด้วยจิตที่เป็นอดีตและญาณไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น
    ก็ตรัสรู้ได้ด้วยจิตที่เป็นอนาคตและญาณซิ ตรัสรู้ด้วยจิตที่เป็นอนาคตและญาณ
    ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น ก็ตรัสรู้ได้ด้วยจิตที่เป็นปัจจุบันและญาณซิ ตรัสรู้ด้วยจิต
    ที่เป็นปัจจุบันและญาณไม่ได้ (แต่) ตรัสรู้ได้ด้วยจิตที่เป็นปัจจุบันและญาณ
    ในขณะโลกุตรมรรค ฯ

    ....จิตกับญาณ ไม่ใช่ตัวเดียวกัน ต่างก็เป็นตัวผู้รู้ทั้งคู่ จิตที่ทรงพลัง จะเป็นจิตที่บังคับให้ญาณเกิดการรับรู้ ที่เรียกว่า ตรัสรู้ด้วยญาณ

    ....การทำสมาธิเพื่อให้จิตมีพลัง

    ....การเจริญ อนิจสัญญา การเจริญ ทุขสัญญา การเจริญ อนัตตสัญญาก็ดี ล้วน เป็นการน้อมจิตที่มีสมาธิ จิตที่มีพลังไปบังคับให้ตัวญาณเกิดการรับรู้


    ....ถ้าจิตเป็นตัวผุ้รู้ตัวที่ หนึ่ง แล้ว สัมปชัญญะ ญาณ นิพพานธาตุ ก็คืออันเดียวกันจะเป็นตัวผู้รู้ตัวที่สอง แล้วแต่จะเรียกในรูป ธา่ตุ หรือรูปกริยา
     

แชร์หน้านี้

Loading...