วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะถูกทำลายหมดเลยหรือเปล่าครับ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย Nanotech999, 10 มีนาคม 2007.

  1. Nanotech999

    Nanotech999 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +72
    คือ สงสัยว่า พอถึงเวลาที่ภัยพิบัติครั้งใหญ่เกิดขึ้นแล้ว วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่างๆ จะถูกทำลายหมดสิ้นเลยหรือเปล่าครับ และในยุคชาววิไลนั้นจะมีประดิษฐ์คิดค้นทางวิทยาศาสตร์ขึ้นมาอีกหรือเปล่าครับ

    ขอบคุณทุกท่านครับผม
     
  2. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ศรีอาริยยุค
    (ยุคพระเจ้าจักรพรรดิ กึ่งพุทธกาล)

    ในยุคที่โลกก้าวไปสู่เขตแห่งความศิวิไลซ์นั้น ก็เป็นเครื่องแสดงว่า โลกได้เข้าถึงการปกครองระบบ " ธรรมาธิปไตย " ไปในตัวแล้ว ซึ่งมีข้อความที่น่าจดจำและนำมาพิจารณาเผื่อเตรียมตัวก้าวหน้า ดังนี้


    1. กองทัพในโลกจะถูกยุบและเลิกล้มไปหมดทุกประเทศ

    2. เครื่องอาวุธยุทธภัณฑ์ทั้งหลายเป็นต้นว่า ปืนใหญ่ ปืนกล ปืนสั้น ปืนยาว เครื่องระเบิดทุกชนิด ตลอดจนอตอมิคบอมบ์ คอสมิคบอมบ์ และควันพิษ ไอพิษ ก็จะเลิกล้ม และถูกทำลายสิ้น

    3. เรือรบและเครื่องบินทุกชนิด ที่โลกได้สร้างขึ้นไว้ เพื่อป้องกันการรุกรานซึ่งกันและกัน ก็จะถูกยุบ และเปลี่ยนแปลงเป็นเรือโดยสาร

    4. สัญญาทางพระราชไมตรี ตลอดจนภาษีต่างๆระหว่างประเทศต่อประเทศทั่วโลก ก็จะเลิกล้มสิ้นทุกประการ

    5. กระทรวงทบวงกรมที่ไม่จำเป็น ก็จะเลิกล้มไปทั่วประเทศ ขุนนางและข้าราชการก็จะมีแต่แผนกที่จำเป็นเท่านั้น จะไม่มีล้นหลามดังเช่นปัจจุบันนี้

    6. การเก็บภาษีหรือส่วยสรรพากรจากพลเมืองดังเช่นในทุกวันนี้ ก็จะไม่มีอยู่ในสมัยนี้

    7. กฎหมายลักษณะอาญา ตลอดจนแพ่งและพาณิชย์ที่ใช้กันอยู่ในทุกวันนี้ จะใช้ได้แต่ในบางมาตรา นอกนั้นจะถูกเก็บรักษาไว้ในหอพระสมุดเสียสิ้น เพราะไม่มีคดีจะใช้กฎหมาย

    8. คัมภีร์พระไตรปิฎก ไบเบิล โกหร่าน ไตรเพท ถ้าสารัตถะแห่งคัมภีร์ใด บทใด เคลื่อนคลาด (เป็นโทษแก่มนุษย์) ก็จะถูกทำลายเสียสิ้น

    9. ลัทธิการปกครองแห่งโลกในระบอบต่างๆดังเช่นในทุกวันนี้ จะเลิกล้มไปหมด เพราะเป็นลัทธิล้าสมัย เอาเปรียบผู้น้อย บีบคั้นราษฎร

    10. การถือดีด้วยชาติวรรณะ หรือที่เรียกว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มีนาคม 2007
  3. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ใช่ครับ เมื่อภัยพิบัติครั้งใหญ่เกิดขึ้นแล้ว จะทำลายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่ต่างๆ (ที่คิดค้นมาเพื่อทำลายล้างกัน) ให้หมดไปหรือที่เราเรียกกันว่า "วันพิพากษาโลก" หรือวัน "ชำระโลก" นั่นแหละครับ

    แต่จะเกิดวิทยาศาสตร์แขนงใหม่ขึ้นมาในโลกนี้คือ "วิชาอริยะศาสตร์" ที่รวมเอาวิชาจิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์เข้าไว้ด้วยกัน โดยใช้ความรู้ในทางพระพุทธศาสตร์ศาสนา มาประยุกต์ให้เกิดขึ้นครับ เราจึงเรียกยุคนี้ว่า "ยุคชาววิไล" ที่ผู้คนทั้งหลายให้ความสนใจในด้านจิตใจมากกว่าทางด้านวัตถุ

    จากคำทำนายของท่านผู้รู้หลายๆ ท่านได้กล่าวไว้ว่าประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางของโลก ทั่วโลกจะต้องมาศึกษาวิชาอริยะศาสตร์ของประเทศไทย ก็เพราะว่า "พระเจ้าจักรพรรดิ" ได้จุติลงมาเกิดในประเทศไทยแล้วนั่นเอง พระเจ้าจักรพรรดิ จะใช้วิชาอริยะศาสตร์นี้สร้าง "จักรแก้ว" ขึ้นมาซึ่งอำนาจของจักรแก้วนี้เปรียบเป็นดั่งแก้วสารพัดนึก ที่พระเจ้าจักรพรรดิ จะนึกคิดใช้ให้เป็นอะไรก็ได้ดั่งใจปรารถนา สามารถเนรมิตข้าวปลาอาหารเลี้ยงคนได้ทั้งโลก สามารถเนรมิตบ้านเมืองขึ้นมาใหม่ได้ ท่านจึงสามารถปกครองโลกนี้ได้ทั้งโลก และสามารถใช้อำนาจแห่งจักรแก้วนี้เนรมิตเป็นยานอวกาศ พาคนทั้งโลกนี้ไปท่องจักรวาลได้ ท่านจึงมีอำนาจครอบคลุมได้ทั้งหมดในจักรวาลนี้ครับ
     
  4. Jubb

    Jubb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,269
    ค่าพลัง:
    +2,136
    คุณ เกษมครับ
     
  5. Jubb

    Jubb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,269
    ค่าพลัง:
    +2,136
    คุณ เกษมครับ ผมสนใจเรื่องของจักรแก้วมาก เพราะผมอยากไปอวกาศ พอจะทราบหลักการการทำงานของจักรแก้วบ้างหรือเปล่าครับ หรือถ้าไม่อย่างนั้นก็ช้างแก้วหรือม้าแก้วก็ยังดี ในความคิดของผมมนุษย์เราในปัจจุบันอายุขัยสั้นเกินไปก็เลยคิดว่าสมัยของพระมหาจักรพรรดิ์ไม่น่าจะมาเกิดในยุคนี้ ผมก็เลยแค่อยากให้ในชีวิตนี้ได้มีโอกาสขึ้นไปถึงขอบอวกาศบ้าง แต่ถ้าสมัยของพระมหาจักรพรรดิ์เกิดในยุคนี้ได้และถ้าผมได้มีโอกาสเกิดร่วมสมัยผมก็อยากไปให้ถึงสุดขอบจักรวาลครับ คงไม่ปรารถนามากเกินไป
     
  6. เทพ

    เทพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    275
    ค่าพลัง:
    +3,099
    ตามความเชื่อส่วนตัวของผม ... เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ ศาสตร์ที่มีประโยชน์อื่นๆ หนังสือและตำราที่มีความสำคัญ จะได้รับการเก็บรักษาไว้ในสถานที่ปลอดภัย ให้มีส่วนที่หลงเหลือจากการทำลายล้าง

    ตลอดจนกลุ่มบุคคลที่มีความรู้ในศาสตร์นั้นๆ + มีจิตใจและศีลธรรมถึงเกณฑ์กำหนด จะเป็นผู้ถูกเลือก ให้รอดพ้นในระดับที่ต่างๆกัน เพื่อให้กลับมาถ่ายทอดวิชาการต่อคนรุ่นหลังต่อไป

    ดังที่คุณ คณานัน ได้เคยกล่าวไว้ หากท่านเป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกเลือก ขอให้ท่านลองอธิษฐาน อาจจะพบว่าสถานที่ของท่านนั้นอยู่ที่ใด ขอให้ไปช่วยเร่งสร้างสถานที่นั้นให้พร้อมรับสถานการณ์ ( แต่บางท่านมีบุญมาก ไม่ต้องทำอะไร เพราะทุกอย่างได้รับการเตรียมรอไว้ให้ครบหมดแล้ว) ... ส่วนระดับของการรอดพ้นนั้นมีหลายระดับแตกต่างกันไป ตามที่หลายท่านได้เคยกล่าวมากันหลายรอบแล้ว
     
  7. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    คำพยากรณ์ของ อ.ปริญญา ตันสกุล

    ประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางของโลก
    และเป็นประเทศแรกที่มีผู้สร้างยานอวกาศไปท่องจักรวาลได้
    เป็นแห่งเดียวของโลก โดยใช้พลังจิตในการขับเคลื่อน
    โดยที่ไม่ได้ใช้เชื้อเพลิงในการเผาไหม้
    ให้เกิดพลังงานที่ทำลายสิ่งแวดล้อม
    และทรัพยากรธรรมชาติของโลก
    ให้เสียหายอย่างเช่นในปัจจุบัน
    นอกจากนี้ต่อมไพนีล หรือตาที่ 3 ของมนุษย์
    จะถูกฟื้นฟูขึ้นมาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
    จนสามารถเข้าถึงสภาวะนิพพานได้ง่ายขึ้นกว่าในอดีต

    ตามความคิดของผม ยานอวกาศที่ว่าน่าจะหมายถึง"จักรรัตนะ" ของพระเจ้าจักรพรรดิ์ ลองอ่านข้อความต่อไปนี้ดูนะครับ

    ที่สุดแห่งเทคโนโลยี (จักรแก้ว) ยุคชาววิไล

    เมื่อนั้น พระราชาก็เริ่มคิดค้นถึงเทคโนโลยีขั้นสูงสุด ที่เป็นที่รวมของทุกสิ่งทุกอย่าง คือ เป็นเครื่องมือที่สามารถจะดึงอณูธาตุที่มีในอากาศมาขึ้นรูปเป็นวัตถุสิ่งของต่างๆได้ตามปรารถนา โดยไม่ต้องได้ตัดไม้เพื่อมาทำกระดาษ ไม่ต้องขุดดินระเบิดหินเพื่อมาทำซีเมนต์หรือก้อนอิฐ ไม่ต้องผลิตคอมพิวเตอร์เป็นจอๆ แบบมีแป้นควบคุมนี้มาใช้ ด้วยว่า ข้าวของเครื่องใช้เหล่านี้ มีความสิ้นอายุไป แล้วก็กลับกลายเป็นของเสียในภายหลัง มีความล้าหลัง มีคุณสมบัติหลายอย่างไม่ตรงตามปรารถนา ประกอบกับในเวลานั้น ปัญหาขยะในโลกก็ยังคงมีอยู่ แม้ว่าเทคโนโลยีที่พยายามพิจารณาดีแล้วนั้นจะก่อมลพิษน้อยก็ตาม แต่มันก็ยังมีอยู่ สืบต่อไปในระยะกาลประมาณหนึ่ง ก็มีอันต้องสะสมกันล้นพื้นที่ได้ง่าย ด้วยเหตุนี้ พระราชาจึงพิจารณาเพื่อสร้างวัตถุอันเป็นที่สุดแห่งเทคโนโลยีขึ้นมา คือจักรรัตนะ หรือจะเรียกว่า เครื่องควบคุมพลังงานหรือธาตุในจักรวาลให้เป็นไปตามใจปรารถนา ก็ได้

    ก็จักรรัตนะนี้นั้น เมื่อปรากฏสำเร็จขึ้นมาแล้ว จะมีคุณสมบัติในการควบคุมธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ในขอบเขตเท่าที่ใจนึกได้ โดย เครื่องมือชนิดนี้จะตอบสนองโดยตรงต่อความนึกของมนุษย์ ในการป้อนข้อมูลเข้าจักรรัตนะ จึงไม่จำเป็นต้องอาศัยแป้นพิมพ์ ไม่ต้องอาศัยหน่วยความจำภายนอก และขอบเขตในการควบคุมธาตุ กว้างใหญ่ไปเท่าที่ใจของผู้เป็นเจ้าของจะนึกถึงได้ ... จักรรัตนะนี้ รับข้อมูลเข้าไปในรูปของอารมณ์จิต จึงมีอานุภาพเป็นทิพย์ มีความสามารถในการเร่งพลังงานข้ามมิติแห่งกาลเวลาเข้าไปยังภพภูมต่างๆในต่างมิติได้ สามารถจะไปนรกสวรรค์ได้ ไปพรหมโลกได้ คือ ไปได้ทุกที่ที่มีธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เท่าที่ใจของเจ้าของจะนึกถึง ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ก็จะใช้งานแค่ในขอบเขตจักรวาลหนึ่งเท่านั้น ไม่ค่อยนำไปใช้งานข้ามแกแล็กซี่นัก แต่ในความจริง จักรรัตนะ สามารถเดินทางข้ามแกแล็กซี่ได้

    เมื่อต้องการจะเข้าไปศึกษาเรื่องราวของวัตถุธาตุในจักรวาล เช่น โครงสร้างดาวโลกชมพู โครงสร้างดวงอาทิตย์ หรือเนบิวลา หรือวัตถุอื่นใดในวงกว้างนั้น จักรรัตนะจะเร่งพลังงานเข้าไปไว้ในระดับทิพย์ที่ไม่แตะต้องกับธาตุ4แบบมนุษย์ แล้วแทรกซึมเข้าไปในเนื้อวัตถุธาตุเหล่านั้นได้ มีการนำเสนอโครงสร้างของดวงดาวเหล่านั้นได้คล้ายอย่างที่คอมพิวเตอร์นำเสนอข้อมูลในรูปกราฟฟิก จะต่างกันก็แค่ว่า จอมอนิเตอร์สำหรับจักรรัตนะแล้ว เป็นจอที่ไม่มีขอบเขตแน่นอน

    ไม่ใช่เพียงเท่านั้น จักรรัตนะนั้นเอง ยังมีกำลังอำนาจในการขยายอณูแห่งธาตุเข้าไปยังระดับโครงสร้างที่เล็กลงๆไปเรื่อยๆได้ตามปรารถนา

    เรียกจักรรัตนะว่า เป็นเครื่องมือสารพัดจะนึก สารพัดจะใช้ก็ได้

    เพราะเหตุที่จักรรัตนะมีความพิเศษอย่างนี้ จึงมีอานุภาพครอบงำแม้กระทั่งอานุภาพของเหล่าเทวดา จึงมีอำนาจในการจัดอารักขาป้องกันภัยอันตรายให้พระราชาได้ตามที่พระราชาปรารถนา

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้รู้แจ่มแจ้งโลก เมื่อกล่าวถึงโลกในมุมอันเป็นทีสุดแห่งความเจริญในด้านความรู้เทคโนโลยี พระองค์จึงกล่าวถึง จักรรัตนะนี้ ว่า เป็นสิ่งพิเศษสูงสุด และตรัสเรียกพระเจ้าจักรพรรดิ ผู้สามารถก่อเหตุปัจจัยให้เหมาะสมในการปรากฏจักรรัตนะนั้นว่า เป็นอัจริยะมนุษย์ เกิดขึ้นมาเพื่อเป็นอัจริยะมนุษย์ คือสามารถคิดค้นสิ่งที่มนุษย์ทั่วไปไม่อาจจะคาดคิดถึง แม้กระทั่งจะจินตนาการว่ามันมี มนุษย์ทั้งหลายก็ไม่กล้าจะจินตนาการ แต่บุคคลพิเศษผู้นั้น กลับมีกำลังปัญญาข้ามกรอบมนุษย์ทั่วไปนั้นไป จึงกล่าว่า พระเจ้าจักรพรรดิเป็นบุคคลพิเศษ และเพราะความที่พระเจ้าจักรพรรดิทำประโยชน์เกื้อกูลโลก เพื่อประโยชน์สุขแก่เทวดาและมนุษย์ จึงดำรงอยู่ในฐานะที่ควรเคารพสักการะ ควรแก่การระลึกถึง ผู้ที่ระลึกถึงพระเจ้าจักรพรรดิ มีผลให้เข้าสู่สุคติภูมิได้ หลังจากตายเพราะกายแตก

    พระเจ้าจักรพรรดินั้นเอง คือพระธรรมราชา เป็นราชาโดยธรรม เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในโลก ในคุณสมบัติต่างๆ

    แม้จะอย่างนั้นก็ตาม พระเจ้าจักรพรรดิผู้พิศษเยี่ยงนั้น ก็เปรียบไม่ได้แม้เสี้ยวหนึ่งในแสนโกฏิเสี้ยวแห่งองค์คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย

    ต่อไปจะได้กล่าวถึงวิธีการสร้างจักรรัตนะ



    จากคุณ : มังคละ [ ตอบ: 21 พ.ย. 47 - 11:14 ] ยังไม่แนะนำตัว | สมาชิกลานธรรมถาวร | ตอบ: 88 | ฝากข้อความ |



    ความคิดเห็นที่ 21 : (มังคละ) อ้างอิง |


    หลักการสร้างจักรรัตนะ

    ขั้นตอนการออกแบบ
    การออกแบบจักรรัตนะนั้น ประกอบไปด้วยสองส่วน คือส่วนฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ (ให้พิจารณาเทียบเคียงกับเรื่องเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เราใช้กันในปัจจุบันนี้)

    การออกแบบฮาร์ดแวร์ของจักรรัตนะ

    ฮาร์ดแวร์ คือส่วนที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตามนุษย์นี้
    จักรรัตนะจะถูกออกแบบให้มีรูปเหมือนกงล้อ คล้ายจานบิน คล้ายๆล้อเกวียน แต่ซี่ของจักรรัตนะนั้น จะไม่ปล่อยเป็นซี่แบบอากาศเหมือนซี่รถจักรยาน หากแต่จะบุไว้เป็นตาๆ หากแบ่งส่วนออกก็จะได้สามส่วนใหญ่ๆ คือ ส่วนดุมจักร๑ ส่วนกำหรือซี่จักร๑ และส่วนกงจักร๑

    ส่วนดุมจักรนั้นจะอยู่ตรงกลางสุด ใช้เป็นแกนหมุนได้ ทำมาจากแก้วไพทูรย์

    ส่วนซี่หรือกำของจักรคือส่วนที่อยู่ตรงวงกลาง มีอยู่พันซี่คือ การขีดเส้นในแนวรัศมีของวงจักร และมีการแบ่งซี่เหล่านั้นออกเป็นวงย่อยๆ หรือเรียกว่าเป็นแทร็กๆก็ได้ ช่วงกำของจักรนี้ เมื่อลากตัดวงด้วยแนวซี่จักรแล้ว ก็จะได้เซกเตอร์ของซี่กำ แต่ละเซกเตอร์เอง ทำจากแก้วมีค่าหลากสีสัน มีการสลักรูปต่างๆไว้ในแต่ละเซกเตอร์ คือ รูปแบบต่างๆของแกแล็กซี่ รูปแบบต่างๆของดวงอาทิตย์ ของดวงจันทร์ ของโลก ของเทวดาเหล่าต่างๆ และรูปที่เกี่ยวกับมนุษย์ คือสัญลักษณ์ทั้งหมดที่สลักไว้ จะครอบคลุมเรื่องราวทั้งหมดในแกแล็กซี่

    ในส่วนกงจักรนั้น จะแบ่งออกเป็นร้อยเซกเตอร์ พระอรรถกถาเรียกว่า ร้อยคัน และในแต่ละเซกเตอร์นั้นจะประดิษฐานฉัตรไว้ มีแถวลวดลายดอกไม้ทองคำแล่นโดยรอบขอบเขตแต่ละเซกเตอร์ของกงนั้น วัสดุที่ใช้ทำคันกงจักร คือ แก้วแดงบริสุทธิ์

    หากมองจักรรัตนะในทิศเบื้องบน จะเห็นรูปจักรรัตนะ คล้ายกับดวงอาทิตย์ทอแสงสีรุ้งโดยรอบ แล้วก็มีประกายรุ่งเรืองด้วยแสงจากแก้วมณีแต่ละสี คือ แก้วสีต่างๆที่นำไปทำจักรรัตนะนั้น เปล่งแสงได้ด้วย โดยตรงดุมนั้นจะมีรัศมีรุ่งเรืองที่สุด

    ทีนี้มาดูลายวงจรของจักรรัตนะบ้าง
    คอมพิวเตอร์ปัจจุบันนี้ มีแผ่นPCBเป็นแผงวงจรนำไฟฟ้าเข้าไปผ่านIC ที่มีคุณสมบัติต่างๆ ซึ่งใตไอซีเหล่านั้น มีลายวงจรเล็กๆ มีความละเอียดระดับไมครอน และในอนาคตยังจะพัฒนาให้ผลิตไอซีที่เล็กลงไปยิ่งกว่านั้นอีก จนท้ายที่สุด มนุษย์จะค้นพบว่า วัสดุทุกชนิด มีคุณสมบัติในการจำทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นเฉพาะสารกึ่งตัวนำ และลักษณะวิธีการอ่านข้อมูลในอณูธาตุเหล่านั้นเอง ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ระบบฉายกระแสไฟฟ้าเพื่อตรวจจับสัญญาณแม่เหล็ก หรือฉายเลเซอร์กระทบอะไรเทือกนี้ ..

    ในส่วนนี้ บางที ในอนาคตอันใกล้ มนุษย์อาจสามารถใช้โมเลกุลของธาตุเพียงโมเลกุลเดียวในการทำตัวCPU ของคอมพิวเตอร์ก็ได้ เมื่อมนุษย์เห็นโครงสร้างของอุตอมได้ละเอียดขึ้น มีเครื่องมือระดับละเอียดปานนั้น

    ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อมนุษย์ศึกษาถึงความเกี่ยวพันระหว่างจิตกับธาตุ4 แล้ว มนุษย์ก็จะสามารถสร้างวงจรความจำ ทำวัตถุให้เป็นวัสดุเมมมอรี่ได้ โดยการใช้กำลังจิต เมื่อรู้ไปถึงนั่น มนุษย์ก็จะอธิบายได้ถึงการทำเครื่องลางของขลังในสายเทคโนโลยีทางนามว่า มันก็หลักคล้ายๆกับเรื่องเครื่องคอมพิวเตอร์นี้

    คือ ผู้ทีเขาเรียกว่า เป็นผู้อัดพลังจิตนั้น ทำการบริกรรม เพ่งอารมณ์มุ่งหมายอยู่ อธิษฐานไว้ว่า วัตถุนี้ ให้มีคุณสมบัติอย่างนี้ เมื่อกระทบกับกระแสจิตอย่างนี้ของคนนี้ ทำนองนี้นะครับ ซึ่ง คุณสมบัติ ความพิเศษพิศดารของเครื่องลางของขลังเหล่านั้น จะมีอานุภาพมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับความรู้แจ้งชัดของผู้อัดพลัง คือ ผู้ป้อนซอฟต์แวร์ให้แก่วัสดุนั้นเอง ซึ่งโดยมากแล้ว ผู้ที่ศึกษาทางการทำเครื่องลางของขลัง เรียนด้วยวิธีสืบทอดกันมา ไม่รู้แจ้งชัดในความข้อนี้ คุณสมบัติของเครื่องลางของขลังจึงกินอาณาเขตแคบๆ ใช้งานได้แคบๆ ทั้งๆที่สามารถประยุกต์ไปใช้งานให้กว้างขวางกว่านั้นมากมาย

    สิ่งที่เด่นชัดที่สุดในเรื่องเกี่ยวแก่เทคโนโลยีทางนามที่ประสานกับหลักการคิดแบบเทคโนโลยีทางวัตถุนี้แล้ว ก็คือ จักรรัตนะ นี้เอง

    คงเคยได้อ่านพบกันมาบ้างว่า ได้ยินว่า เมื่อพระราชาจักรพรรดิพาจักรรัตนะพัดผันไปยังที่ใด มนุษย์ หรือบุคคลใดๆที่มีความคิดว่าจะหยิบศาสตราวุธขึ้นมาเพื่อจะทำร้ายพระองค์หรือทำร้ายใครๆนั้น จะไม่สามารถหยิบจับอาวุธขึ้นมาได้ นั่นก็ด้วยอานุภาพของจักรรัตนะ ซึ่ง พระราชาได้โปรแกรมให้ตอบสนองกับสัญญาณจิตรายบุคคลว่า เมื่อบุคคลนึกคิดอย่างนี้ ขอร่างกายของเขาจงตอบสนองอย่างนี้ เพราะร่างกายมนุษย์หรือเทวดาเอง ก็ประกอบขึ้นมาจากธาตุ4ทั้งนั้น

    จากคุณ : มังคละ [ ตอบ: 21 พ.ย. 47 - 11:38 ] ยังไม่แนะนำตัว | สมาชิกลานธรรมถาวร | ตอบ: 88 | ฝากข้อความ |



    ความคิดเห็นที่ 22 : (มังคละ) อ้างอิง |


    การออกแบบซอฟต์แวร์จักรรัตนะ

    ขั้นตอนที่ยากที่สุดของจักรรัตนะก็คือการออกแบบซอฟต์แวร์นี้เอง สมมติว่าออกแบบฮาร์ดแวร์ใช้เวลาสัก1-3ปี การออกแบบซอฟต์แวร์อาจจะใช้ 20-200ปี หรืออาจจะมากกว่านั้นก็ได้ ขึ้นอยู่กับปัญญาของพระราชาองค์นั้นๆว่า แล่นไปช้าเร็วเท่าไรในการออกแบบ

    การออกแบบซอฟต์แวร์นั้น พระราชาจะต้องประมวลเรื่องระดับความคิดของบุคคลต่างๆที่มีในโลกว่ามีกี่ระดับ แล้วก็แยกแยะงานที่คนแต่ละระดับจะสามารถใช้งานจักรรัตนะได้ ว่า ใครจะใช้งานได้ในขอบเขตใดบ้าง

    เช่นว่า การใช้งานจักรรัตนะในเชิงของการเดินทางจากที่หนึ่งไปสู่ที่หนึ่งด้วยวิธีการย้ายโมเลกุล หากว่าพระราชาอนุญาตให้มนุษย์ทุกคนใช้เทคโนโลยีนี้อย่างอิสระ จะเกิดอะไรขึ้น? ก็ต้องตอบได้อย่างไม่สงสัยว่า ความวุ่นวายจะเกิด เดี๋ยวก็เดินทางไปโผล่ห้องนอนของคนนั้นคนนี้ แล้วไปทำกรรมลามกต่างๆมากมายได้ง่าย ด้วยเหตุอย่างนี้ พระราชาจะโปรแกรมไว้ว่า ในการเดินทางนั้น จะมีการกำหนดจุดในการปรากฏ เป็นท่า เป็นด่านตรวจคนเข้าเมืองอะไรทำนองนี้ ทั้งๆที่จริง จักรรัตนะสามารถจะส่งคนไปปรากฏในที่ใดๆก็ได้ แต่พระราชาไม่อนุญาตให้ผู้อื่นใช้จักรรัตนะในฟังก์ชันนั้นได้เท่านั้นเอง เพื่อประโยชน์ที่เหมาะสม

    พระราชาก็จะมาพิจารณาเรื่องการเดินทางว่า จะต้องมีลำดับเริ่มต้นอย่างไร คือ เริ่มจากการเดินทางในบ้านในเมืองนั้นก่อน โดยให้ประชาชนกำหนดจุดสถานีขนส่ง หรือป้ายรถเมล์เป็นจุดๆในการเข้าและออก แล้วพระราชาก็จะเป็นผู้ป้อนโปรแกรมว่า อนุญาตการเดินทางด้วยการย้ายมวลสาร ในระหว่างจุดนี้กับจุดนี้ ทำนองนี้ พระองค์จะกำหนดเป็นจุดๆไป แม้การเดินทางทางอากาศ ด้วยวิธีการเหาะไปก็ตาม อันนี้ก็แล้วแต่รสนิยมของแต่ละคน พระราชาก็จะอนุญาตการใช้จักรรัตนะในกิจการการเดินทางด้วยการเหาะไว้ กำหนดเพดานเหาะไว้ กำหนดท่าเข้าท่าออกไว้ เพียงแค่ผู้ใช้งาน ต้องการเดินทาง ก็อธิษฐานกำหนดจุดเข้าจุดออกเท่านั้น จักรรัตนะก็จะควบคุมอณูธาตุในอากาศให้มีความหนาแน่นเข้า ยกร่างกายคนๆนั้นขึ้นสู่เพดาน แล้วก็ส่งไปด้วยระดับความเร็วที่กำหนดไว้ ทำนองนี้

    พระราชาไม่ได้พิจารณาการใช้จักรแค่ในมุมนั้น หากแต่ยังพิจารณาการใช้ประโยชน์จักรรัตนะในมุมของการผลิต มีการกำหนดเจ้าหน้าที่ควบคุมการผลิตว่า ใครสามารถเป็นเจ้าหน้าที่ผลิตสินค้าได้ เหมือนการเดินทางอย่างนี้ บางทีก็ต้องอาศัยเจ้าหน้าที่ในการกำหนดจุด มีการกำหนดโปรแกรมว่า ก่อนที่ประชาชนทั่วไปจะเดินทางได้ ต้องเข้าพบเจ้าหน้าที่คนนั้นก่อน บอกเจ้าหน้าที่ว่า ต้องการไปลงที่เมืองนั้นๆ ตำแหน่งนั้นๆ แล้วเจ้าหน้าที่ก็จะกำหนดจุด แล้วก็บอกอนุญาต เมื่อเจ้าหน้าที่อธิษฐาน จักรรัตนะจึงจะทำงานในการควบคุมพลังงานแบบนั้นให้สำเร็จ ....

    ผู้อ่านลองคิดดูเถิดว่า มีกิจการอะไรบ้างในโลกนี้ ที่พระราชาต้องประมวลเข้ามาแล้วจัดลำดับ เพื่อทำซอฟต์แวร์คือเปลี่ยนสิ่งเหล่านั้นเป็นอารมณ์จิต แล้วก็อัดอารมณ์จิตนั้นบรรจุไว้ในนิมิตแห่งรูปในจิต แล้วก็อธิษฐานดึงนิมิตนั้นขึ้นมาสู่ความปรากฏเป็นธาตุ4ขึ้นมา

    จะเห็นว่า ต้องได้พิจารณามากมายหลายเรื่องทีเดียว ทั้งเรื่องของมนุษย์และสัตว์ดิรัจฉาน เป็นต้นว่า เมื่อใดราชสีห์เกิดสภาพคิดว่าต้องการกินอาหาร แล้วเกิดความพยายามว่าจะค้นหาอาหาร เมื่อนั้น อาหารตามที่ราชสีห์ปรารถนานั้นจงปรากฏในเบื้องหน้าราชสีห์นั้น เป็นต้น ... เมื่อราชสีห์ได้รับอาหารแล้ว ก็จะไม่ออกล่าเหยื่อ ก็จะไม่ฆ่าเนื้อ เนื้อก็จะอยู่เป็นสุข ไม่ถูกเบียดเบียน สัตว์ทั้งหลายล้วนได้อาหารตรงตามปรารถนา อย่างนี้เป็นต้น

    นั่นคือ สภาพคิดทั้งหมดที่พระราชาต้องได้พิจารณานั่นล่ะว่า จะให้เกิดสิ่งใดขึ้นเมื่อเกิดสภาพคิดอย่างนี้ในสัตว์ตัวนี้ ผู้มีปกติคิดอย่างนี้ มีศีลอย่างนี้ ทำนองนี้ แล้วจงได้ความสำเร็จตามนี้ หรือว่าจงได้ความสำเร็จเป็นอีกอย่างหนึ่ง

    และเมื่อพิจารณาแล้ว จะเห็นว่า ท้ายที่สุด ถึงจะมีเทคโนโลยีดีระดับนั้น สูงสุดระดับนั้น ก็ไม่อาจจะทำให้คนดีกลับชั่ว คนชั่วกลับดีได้ ไม่อาจทำคนไม่รู้ให้กลับรู้ ทำคนรู้ให้กลับไม่รู้ได้ ความเจริญหรือเสื่อมเฉพาะบุคคล เกิดขึ้นเป็นไปตามกรรมที่บุคคลนั้นๆกระทำแก่ตนเอง แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว สัตว์ทั้งหลายในยุคพระเจ้าจักรพรรดิ ค่อนข้างอ่อนโยน เอื้อเฟื้อ อารีย์ เมตตากัน โดยมาก หลังจากตายเพราะกายแตก จึงเข้าสู่สุคติโลกสวรรค์

    ต่อไปจะได้กล่าวถึงกระบวนการสร้างจักรรัตนะ
    จากคุณ : มังคละ [ ตอบ: 21 พ.ย. 47 - 12:11 ] ยังไม่แนะนำตัว | สมาชิกลานธรรมถาวร | ตอบ: 88 | ฝากข้อความ |



    ความคิดเห็นที่ 23 : (มังคละ) อ้างอิง |


    กระบวนการสร้างจักรรัตนะ

    หลักการสร้างจักรรัตนะ กับหลักการน้อมนำขุมทรัพย์จักรพรรดินั้น ใช้หลักเดียวกัน คือ ขึ้นกับกำลังจิต แต่ ขุมทรัพย์จักรพรรดินั้น เกิดจากกำลังบุญของบุคคลคนเดียว ส่วนจักรรัตนะนั้น เกิดจากกำลังบุญของบุคคลนั้น+กำลังจิตมวลรวมของหมู่มนุษย์ ซึ่งนั่นก็หมายความว่า การประชุมพร้อมกันแห่งเหตุปัจจัยเพื่อความปรากฏของจักรรัตนะนั้น จะต้องได้อาศัยจิตรวมจากหมู่มนุษย์โดยมากด้วย ซึ่งกระแสจิตเหล่านั้นจะไหลเชื่อมโยงกันเป็นโครงข่ายพลังจิตขึ้น โดยมีความจดจ่อจิตจ้องรวมลงที่พระราชาผู้เป็นต้นเหตุให้พวกเขาเหล่านั้นได้ดำรงชีวิตอย่างสุขสบาย

    ทุกๆวัน พระราชาจะออกแสดงธรรม อบรมพสกนิกรของพระองค์ แล้วพิจารณาราชกิจในการบรรเทาทุกข์ให้แก่ประชาชน มีการอบรมสัมมาทิฏฐิให้ แล้วในช่วงวันอุโบสถ พระราชาจะหลีกเร้นอยู่แต่ผู้เดียว แล้วเพ่งธรรมอยู่ คือ ระลึกถึงอาการของจักรรัตนะ ระลึกถึงอาการมาของจักรรัตนะ ระลึกถึงการใช้งานจักรรัตนะ ซึ่งกระบวนการนี้คือการป้อนซอฟต์แวร์นั่นเอง แต่ โปรแกรมที่พิจารณานั้น จะยังไม่ได้ถูกอธิษฐานด้วยกลไกแห่งฤทธิ์ ตราบที่พระราชายังลงใจไม่ได้ว่า ซอฟต์แวร์ที่พิจารณานั้น เข้าถึงความบริบูรณ์ดีแล้ว ซึ่ง ที่จุดแห่งความบริบูรณ์อันนั้น เมื่อเข้าถึง จะรู้เฉพาะตนเอง จิตจะสงบรำงับลงจนถึงบาทแห่งฤทธิ์เอง

    ในระหว่างที่บรรเทาทุกข์ให้ประชาชนนั้น กระแสเมตตาเพราะความกตัญญูรู้คุณในพระราชาของประชาชนในราชธานีเองและในต่างประเทศก็จะจดจ่อหลั่งไหลเข้าไปสู่พระราชาผู้มีคุณเช่นนั้น แล้วพระราชานั้นอาศัยกระแสจิตเหล่านั้นที่ประสานกันเองโดยอัตโนมัติ มาเป็นปัจจัยหนึ่งในการอธิษฐานถึงความปรากฏแห่งจักรรัตนะ

    ด้วยอาการอย่างนี้ จักรรัตนะจึงมิได้สำเร็จมาจากการประกอบที่โรงงานแห่งใดแห่งหนึ่งบนพื้นดิน หรือบนเทวโลก หรือพรหมโลก หากแต่อุบัติขึ้นมาจากความประชุมพร้อมแห่งกำลังจิตที่กลมกลืนเป็นอันเดียวกันของมหาชน คือ มหาชนนั้น มีความรักความเคารพเป็นอันเดียวกันในพระราชาผู้มีพระคุณของเขานั่นเอง

    ในช่วงที่ปรากฏจักรรัตนะนั้น วันเดือนปี การโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ และฤดูกาลจะเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ หนึ่งเดือนมี30วัน 12เดือนเป็น1ปี ทำนองนี้ แม้ฤดูร้อนฤดูหนาวฤดูฝนก็ปรากฏสม่ำเสมอ อันเป็นผลจากกระแสจิตมวลรวม ซึ่งไม่มีสูตรคณิตศาสตร์ที่จะใช้ในการคำนวณ เนื่องจากเป็นเรื่องของนามที่ยากจะหยั่งวัดปริมาณอารมณ์ได้

    เพราะความที่จักรรัตนะสำเร็จได้มาจากกำลังแห่งกระแสจิตมวลรวม จักรรัตนะ จึงมีอานุภาพเป็นทิพย์และตอบสนองโดยตรงต่อกระแสจิตของสัตว์ จึงไม่จำเป็นต้องอาศัยการป้อนข้อมูลทางคีย์บอร์ดหรือกระแสไฟฟ้า

    เพราะความที่จักรรัตนะ สำเร็จมาจากอธิษฐานของพระราชา จักรรัตนะจึงอยู่ใต้อำนาจจิตของพระราชาเท่านั้น ไม่ขึ้นแก่อำนาจจิตของบุคคลอื่น แต่ เพราะความที่ปัจจัยประกอบของจักรรัตนะมาจากกระแสจิตมวลรวมของสัตว์ พระเจ้าจักรพรรดิจึงสามารถแยกแยะขอบเขตอำนาจการใช้งานจักรรัตนะในบุคคลต่างๆได้

    และเพราะความที่จักรรัตนะ ตกอยู่ใต้อำนาจจิตของพระราชาและสามารถจะกำหนดให้ตกอยู่ใต้อำนาจของบุคคลใดๆได้ตามขอบเขตกำหนด พระราชาจึงอบรมพระราชโอรสองค์โต ผู้จะสืบวงศ์จักรพรรดิให้รู้ถึงวิธีการเข้าควบคุมอำนาจจักรรัตนะได้ว่า กระแสจิตเท่าใด มีความระลึกรู้รอบคอบในการบริหารราชกิจเท่าไร จึงจะสามารถหมุนจักรรัตนะได้เหมือนอย่างที่พระเจ้าจักรพรรดิสามารถกระทำ และเมื่อพระราชโอรสองค์นั้นอบรมจิตตนเข้าถึงภูมินั้น ความรู้เฉพาะตนจะปรากฏแก่จิตพระราชโอรสเองว่าสามารถหมุนจักรได้แล้วโดยไม่ต้องรอพระราชาอนุญาต เมื่อนั้น พระราชโอรสจะได้ชื่อว่า เป็นผู้เข้าถึงนามแห่ง ปริณายกรัตนะ ต่อแต่นั้น พระราชโอรสจะเข้าไปพบพระราชาเองโดยธรรม เพื่อขอแบ่งเบาพระราชกิจในการบริหารบริษัท

    เช่นกัน
    ขุนคลังของพระเจ้าจักรพรรดิเอง ก็อบรมจิตตน จูนจิตเข้าไปตามคำแนะนำของพระราชา จนสามารถจะใช้อำนาจจักรรัตนะในการใช้อานุภาพแห่งตาทิพย์ในการเห็นทรัพย์ทั้งที่มีเจ้าของและไม่มีเจ้าของ ในที่ต่างๆ ทั้งในแผ่นดิน ในแม่น้ำ ในมหาสมุทร หรือในอากาศ ในดวงดาวในอวกาศ เป็นต้น .. นอกจากเห็นทรัพย์แล้ว ขุนคลังนั้นยังมีความสามารถในการใช้จักรรัตนะในการดึงธาตุต่างๆเหล่านั้นจากที่นั้นๆมาไว้ในที่ๆตนกำหนดไว้ได้ด้วย ... เมื่อขุนคลังอบรมตนได้ถึงขีดนั้น จะเกิดญาณแจ่มชัดแก่จิตเองว่า ตนสามารถ แล้วเขาก็จะเข้าไปพบพระราชา เพื่อประกาศความสามารถตนในการแบ่งเบาราชกิจเกี่ยวแก่เรื่องทรัพย์ทั้งหลาย..... เมื่อนั้น่ขุนคลังจึงได้ชื่อว่า คหปติรัตนะ

    เรื่องวิธีการอบรมจิตเพื่อความถึงฝั่งแห่งปริณายกรัตนะ คหปติรัตนะนั้น สำหรับผู้ใส่ใจอยากรู้ ก็สามารถหาอ่านเอาได้ในพระไตรปิฎก และข้อจำกัดคือ ปริณายกรัตนะ พัฒนามาจากพระราชโอรสองค์โต ผู้มีนิสัยใคร่ต่อสิกขา.... ส่วนขุนคลังแก้วนั้น เป็นขุนคลังของพระราชาเอง เป็นผู้มีปัญญา ฟังโอวาทพระราชา แทงตลอดในวาทะเหล่านั้นได้... นั่นก็คือ บุญของท่านเหล่านั้น เนื่องอยู่กับพระเจ้าจักรพรรดิ ไม่อาจปรากฏโดดๆได้ คล้ายอย่างตำแหน่งเอตทัคคะในศาสนาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ตำแหน่งเหล่านั้น เนื่องกับพระพุทธเจ้า การอบรมบารมีตนเพื่อถึงฝั่งแห่งบารมีนั้น จึงไม่อาจละการคลุกคลีกับเจ้าต้นบุญในเรื่องนั้นๆ เพราะความที่สิ่งเหล่านั้น มิอาจปรากฏสำเร็จได้ด้วยลำพังตน ไม่เหมือนพระเจ้าจักรพรรดิกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เป็นโจกหมู่ เป็นผู้นำหมู่ ไม่ต้องเดินตามหลังใครนอกจากธรรม


    จากคุณ : มังคละ [ ตอบ: 21 พ.ย. 47 - 13:46 ] ยังไม่แนะนำตัว | สมาชิกลานธรรมถาวร | ตอบ: 88 | ฝากข้อความ |



    ความคิดเห็นที่ 24 : (มังคละ) อ้างอิง |


    ความเป็นอยู่ของมนุษย์หลังจากความปรากฏจักรรัตนะ

    เมื่อจักรรัตนะปรากฏแล้ว ในช่วงใหม่ๆ หมู่มนุษย์บางส่วน จะยังไม่กล้าใช้บริการจักรรัตนะในการเดินทาง ในการผลิตสินค้า ในการนิรมิตอาหารประหนึ่งมนุษย์เป็นเทวดา เพราะความไม่รู้เกี่ยวแก่จักรรัตนะว่า สิ่งที่ปรากฏต่อหน้านั้น มันฝันไปหรือว่า มันเป็นความจริง อาหารที่นิรมิตขึ้น กินแล้วจะมีประโยชน์ต่อร่างกายเหมือนอาหารที่ได้มาจากการขวนขวายขุดพืชตัดผักแร่เนื้อเถือหนังสัตว์มากินหรือไม่?

    แต่ในราชธานีของพระเจ้าจักรพรรดินั้น ผู้คนใช้บริการจักรรัตนะโดยไม่นานนักก็ชิน เพราะในบ้านเมืองของพระราชาผู้เช่นนั้น สิ่งอัศจรรย์ปรากฏเป็นปกติ เป็นต้นว่า ต้นกัลปพฤกษ์ หรือว่าผีสางเทวดา เรื่องของฤาษีชีพราหมณ์ผู้ประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม ฤทธิ์อภิญญา เหล่านี้ จะเป็นเรื่องปกติในบ้านเมืองนั้น

    ทีนี้ เมื่อเทคโนโลยีจักรรัตนะปรากฏแพร่หลายไป มนุษย์โดยมากในโลกก็จะเริ่มใช้สอยจักรรัตนะในการเดินทาง ในการผลิตเครื่องใช้ ผักผลไม้และอาหารต่างๆ โดยไม่ต้องไปทำไร่ไถนาไม่ต้องทำมาค้าขายก็ได้ แต่ว่า แม้จะเป็นอย่างนั้น การหาเก็บผัก พืชผล ศึกษาสัตว์ ล่าสัตว์เหล่านี้ ก็ยังมีอยู่ในพวกมนุษย์บางเหล่า เพราะพวกที่คึกคะนองนั้น มีอยู่ในทุกกาลทุกสมัย เขาจะรู้สึกเหมือนกับว่า สิ่งที่ได้มาง่ายๆ มันไม่อร่อย ไม่เร้าใจ ทำนองนี้

    ในตอนที่จักรรัตนะปรากฏแล้ว เรื่องการใช้การสัญจรทางรถยนต์ รถไฟ เครื่องบิน เรือ ก็จะหมดความจำเป็นลง แต่ก็ยังมีผู้ใช้ยานพาหนะเหล่านั้นอยู่ตามความนิยมแต่ละบุคคล จนเวลาผ่านไปหลายปี หลายสิบปี การพัฒนาเทคโนโลยีทางวัตถุที่ต้องใช้กำลังแรงกายแรงความคิดของมนุษย์เหมือนเทคโนโลยีตอนกลางนี้นั้น ก็จะขาดการสืบต่อ ทำให้คนโดยมากไม่ค่อยจะสนใจเรื่องราวเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์เชิงวัตถุนัก แต่จะหันไปศึกษสิ่งต่างๆ สสารต่างๆในมุมของวิทยาศาสตร์ทางจิต คือพิจารณาเรื่องจิตเป็นองค์ประกอบด้วย

    หากว่าในยุคนั้นยังมีพระพุทธศาสนาอยู่ ผู้คนก็จะเกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัดในโลก บางส่วนก็จะตัดกิเลสเข้าถึงธรรมของพระศาสดาได้ง่าย

    วันเวลาผ่านพ้นไป พระเจ้าจักรพรรดิผลัดองค์จาก1 ไป2 ไป3 4..5..6 ..7 ...8 ยิ่งเวลาผ่านไปนาน มนุษย์ก็ยิ่งขาดความรู้ความใส่ใจในเทคโนโลยีเดิม จนถึงวาระหนึ่ง คือ รุ่นลูกรุ่นหลานพระเจ้าจักรพรรดิ ไม่ตั้งอยู่ในธรรม ไม่อาจสืบวงศ์จักรพรรดิ ไม่อาจยังจักรรัตนะให้ปรากฏได้ ในเมื่อนั้น ความวุ่นวายจะกลับเกิดแก่โลก

    เมื่อสิ้นพระเจ้าจักรพรรดิและขาดการสืบต่อเทคโนโลยีแห่งจักรรัตนะ ในยามนั้น ผู้คนปรากฏหนาแน่นไปในโลก เพราะความที่อาหารหาได้ง่าย .....แต่พอพระเจ้าจักรพรรดิสิ้นไปแล้ว การเดินทางไปมาหาสู่กันของมนุษย์ก็จะลำบากขึ้นนิดหน่อย เขาก็จะพากันกลับมาศึกษาเทคโนโลยีล่าสุดในทางวัตถุ แล้วก็ประดิษฐ์คิดค้นเพื่อนำกลับมาใช้งานดังเดิม

    ในช่วงจากนั้นมา มนุษย์ก็จะเริ่มกลายออกจากความรู้ทางนามออกไป จิตใจก็หยาบขึ้น แต่ความรู้ทางวัตถุจะรู้กันทั่วไป เขามีความรู้ขนาดที่ว่า จะเอาอะไรผสมอะไรแล้วทำเป็นอาวุธได้ เมื่อความวุ่นวายถึงขีดที่สุด มนุษย์ก็จะเข่นฆ่ากันด้วยความรุ้อันนั้นเอง

    เหมือนอย่างที่เราเคยได้ยินว่า เมื่อมนุษย์มีอายุขัย สิบปี เด็กอายุ5ปีจะแต่งงานและควรมีลูก เมื่อมนุษย์มีอายุขัยสิบปี จะมีสันดานดุจสัตว์ป่า สมสู่กันไม่เลือกว่าลูกว่าแม่ว่าพ่อหรือพี่น้อง และเต็มไปด้วยโทสะ จับอะไรขึ้นมาก็กลายเป็นอาวุธนำเข้าประหัตถ์ประหารกันสิ้นไปเสียโดยมาก เว้นแต่ในท่านผู้กลัว ที่คิดว่าใครอย่าทำร้ายเรา แม้เราก็อย่าทำร้ายใคร แล้วพากันหนีเข้าป่า ผ่านไปเจ็ดวัน เขาก็ฆ่ากันไปเสียเกือบสิ้น เมื่อสงครามใหญ่ของสัตว์มนุษย์ยุติลงในตอนนั้น พวกหลบเข้าป่าก็จะกลับมาสู่เมือง พบหน้ากันแล้วก็ดีใจว่า ท่านทั้งหลาย ท่านยังมีชีวิตอยู่หรือ? แล้วก็พากันปรึกษากัน ดำรงอยู่ในศีล จนอายุกลับเจริญขึ้น ทำนองนี้

    ทั้งหมดทั้งสิ้น ก็เกิดมาจากความรู้ ความรู้ที่นำไปใช้ในทางผิด กับความรู้ที่นำไปใช้ในทางถูก

    จากคุณ : มังคละ [ ตอบ: 21 พ.ย. 47 - 14:18 ] ยังไม่แนะนำตัว | สมาชิกลานธรรมถาวร | ตอบ: 88 | ฝากข้อความ |



    ความคิดเห็นที่ 25 : (มังคละ) อ้างอิง |


    ยุคพระเมตไตรยสัมพุทธเจ้า

    ได้ยินว่ายุคพระเมตไตรยพุทธเจ้า ก่อนการอุบัติของพระพุทธองค์ จะมีการอุบัติของพระเจ้าจักรพรรดินามว่า สังขะ ก่อน และพระเมตไตรยโพธิสัตว์จะไปเกิดเป็นลูกของมหาปุโรหิตของพระเจ้าสังขจักรพรรดิ

    เพราะอย่างนั้น ยุคของพระเมตไตรยสัมพุทธเจ้าจึงต่างจากยุคพระพุทธโคดมตรงที่ว่า พระเมตไตรยพุทธะอุบัติในยามที่มนุษย์มีเทคโนโลยีมากมายในด้านวัตถุ ส่วนยุคพระโคดมอุบัติในยามที่มนุษย์มีความรู้ไม่มากนักในเชิงวัตถุ

    พระพุทธเจ้าทั้งหลาย สอนโลกด้วยการบัญญัติ รูปนาม ขันธ์ อายตนะ ธาตุ อินทรีย์ เหล่านี้ แต่ความต่างกันบ้างในการอธิบายธรรม ก็ต่างแต่ว่าฐานความรู้ของคนในยุคนั้นมีไปเกี่ยวแก่เรื่องใด

    ในยุคพระเมตไตรยสัมพุทธเจ้า จะสามารถอธิบายธรรมชาติได้ในเชิงของธาตุที่ละเอียดขึ้น แต่ แม้จะอย่างนั้น ก็ยังไม่เกินกรอบแห่งธาตุขันธ์ อายตนะ อินทรีย์เหล่านี้ไปได้เลย มีลำดับการสอนพระสาวกคล้ายๆกัน แม้จะต่างทางปริมาณแห่งพระสาวกบ้างก็ตาม แต่ท้ายที่สุดก็รู้ที่สุดแห่งธรรมได้เช่นเดียวกัน

    ในยุคพระเมตไตรยสัมพุทธเจ้านั้น มนุษย์จะปรากฏหนาแน่น เพราะเป็นยุคที่มีพระเจ้าจักรพรรดิ อาหารหาได้ง่าย คนก็เกิดมาก เกิดมามากอย่างไรพระเจ้าจักรพรรดิก็เลี้ยงไหว ขอเพียงให้มีที่อยู่ และอยู่อย่างสงบ ซึ่ง นั่นมีอยู่ในยุคจักรพรรดิ

    แม้เทคโนโลยีทางการแพทย์และอื่นๆก็ถึงที่สุดในยุคจักรพรรดิ มีการปรับแต่งยีนของมนุษย์เพื่อปิดป้องโรคต่างๆได้ ทำให้มนุษย์ไม่มีโรคอย่างอื่น เว้นแต่โรคที่ไม่ได้เกิดจากพันธุกรรม คือ โรคชรา โรคหิว โรคอิ่ม โรคง่วงนอน เหล่านี้

    เรื่องราวต่างๆที่เขียนมา มาถึงที่สุดแล้ว
    แม้จะไม่ได้กล่าวถึงเรื่องมณีรัตนะ เรื่องอิตถีรัตนะ เรื่องการน้อมนำลูกผู้มีบุญญาธิการมาเกิดด้วย เรื่องช้างแก้วม้าแก้ว เรื่องต้นกัลปพฤกษ์ เรื่องสิ่งแปลกๆต่างๆ เรื่องหลักการในการเดินทางด้วยวิธีเคลื่อนย้ายตำแหน่ง หรือย้ายโมเลกุล ตามแต่จะเรียก หรือจินตนาการเรื่องเกี่ยวแก่การเดินทางไปตามเส้นมิติแห่งกาลเวลา เพื่อข้ามเครื่องกั้นทางระยะทาง

    และท้ายที่สุด การก้าวข้ามมิติแห่งกาลเวลา เพื่อพ้นไปจากกาลเวลา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดทั้งสิ้น พระพุทธเจ้ารู้ทั่วถึง หมดจด ไม่มีผู้อื่นที่จะแสดงธรรมได้ยิ่งไปกว่านี้แล้ว

    การเขียนจินตนาการของผู้เขียนแบบบอดๆ ฟั่นๆเฝือๆนี้ เทียบไม่ได้เลยกับพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี้เป็นแต่เพียงความคะนองในบางขณะของผู้เขียนเท่านั้น

    ในกระทู้นี้จะได้หยุดการเขียนลงแล้ว
    เพราะเบื่อหน่ายในการเขียนนี้เหมือนกัน มันเหม็นคลุ้งเหมือนมูตรแลคูถ


    หากว่าสิ่งใดในนี้ จะเป็นประโยชน์แก่จินตนาการของท่านผู้อ่าน ท่านใดจะหยิบยกไปใช้ประโยชน์ (หากใช้ได้) ผู้เขียนก็อนุญาตไว้เสียโดยไม่ขีดคั่น ใช้ได้เลยตามประสงค์ จะนำไปตัดต่อแต่งเติมอย่างไรก็ตาม เพราะสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ไม่ใช่ของผู้เขียน ไม่ใช่ตัวตนของผู้เขียน เป็นสิ่งที่ปรากฏในธรรมชาติ ผู้เขียนมิได้หวงแหนสักนิดนึง

    เอาไว้เท่านี้ล่ะนะครับ
    จากคุณ : มังคละ [ ตอบ: 21 พ.ย. 47 - 14:33 ] ยังไม่แนะนำตัว | สมาชิกลานธรรมถาวร | ตอบ: 88 | ฝากข้อความ |

    คัดลอกมาจาก
    http://larndham.net/index.php?showtopic=13331&st=39
     
  8. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    พระศรีอารย์พาเที่ยวทั่วจักรวาล

    [​IMG]



    พระศรีอาริย์ตรัสแก่จักรรัตนะว่า “ปะวัตตะตุ ภะวัง จักกะรัตนัง ” ทันใดนั้นจักรรัตนะก็ยกพระศรีอาริย์ขึ้นสู่อากาศพร้อมด้วยเหล่าเสนาในพระนคร ทำทุกคนให้ประดับไปด้วยเครื่องทรงอันอลังการณ์ปานเทพบุตรเทพธิดา จักรหมุนออกสู่ภายนอกโดยเร็ว ยกผู้คนในเขตชนบทต่างๆ ขึ้นสู่อากาศจนสิ้น แคว้นสิริอริยะปรากฏประหนึ่งเมืองร้าง ประตูบ้านเรือนและกำแพงราชธานีทุกที่ถูกปิดเองอัตโนมัติ ฝุ่นละอองทั้งหลายถูกกำหนดให้ไม่ตกลงเกาะเสนาสนะทั้งหมดในราชธานี.

    พระศรีอาริย์หมุนจักรไปยังประเทศต่างๆทั่วโลก รับเอามนุษย์ทั่วทั้งโลกแล้วพาเหาะลอยออกสู่ห้วงอวกาศ ปรากฏการณ์อันน่าอัศจรรย์ไม่เคยมีมาในรอบหลายพันปีที่ผ่านมานี้ก็ได้ปรากฏแก่หมู่มนุษย์แล้วในบัดนี้ ทุกผู้คนตื่นเต้นดีใจ ยิ้มแย้มแจ่มใสทั่วกัน ที่ได้ออกไปท่องอวกาศกับพระศรีอาริย์.

    พระศรีอาริย์เคลื่อนจักรรัตนะตรงไปสู่ดาวอุตตรกุรุถิ่นเกิดของแม่ปทุมารีย์ ให้มนุษย์ทุกผู้คนได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติด้วยประสาทสัมผัสทั้งหกของตนเอง เพื่อให้ทุกคนได้สิ้นสงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยสิ้นเชิง ให้ทุกคนได้รู้ว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นบุรุษประเสริฐ เลิศกว่าหมู่สัตว์ทั้งหมด.

    พระศรีอาริย์เนรมิตต้นกัลปพฤกษ์และน้ำดื่มน้ำใช้จำนวนมากให้ปรากฏบนอากาศและเคลื่อนไปพร้อมกับคณะนักท่องจักรวาล นอกจากนั้นก็ยังมีอาคาร ที่นั่งที่นอน ห้องน้ำห้องท่าเรียบร้อยทุกอย่าง ใครว่าสร้างวิมานในอากาศเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ พระศรีอาริย์แสดงให้เห็นอยู่แท้ๆว่า ทุกสิ่งเหล่านั้นล้วนปรากฏอยู่ในท่ามกลางอากาศได้เสียทั้งสิ้น.

    พระศรีอาริย์พามนุษย์ทั้งหลายไปเที่ยวชมดวงดาวทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตอาศัยอยู่ แสดงให้ดูโครงสร้างตามเป็นจริงของดาวแต่ละดวง ให้เห็นความหลากหลายของธาตุและวัตถุในอวกาศด้วยตาตนเอง.

    ซ่อมแซมโลก

    เมื่อแก้ว ๗ ประการได้ปรากฏแก่พระศรีอาริย์อย่างบริบูรณ์แล้ว พระศรีอาริย์ก็ได้เริ่มทำกิจในการซ่อมโลกโดยพระองค์ได้อาศัยอำนาจจักรรัตนะ เนรมิตเมืองขนาด 8x8 km2 มีความจุประมาณสามแสนคน มีกำแพงล้อมรอบ มีประตูเข้าออก๑๒ประตูคือกำแพงละ ๓ประตู ในภายในเมืองนั้นมีต้นกัลปพฤกษ์ มีโรงทาน มีหมู่บ้าน ๔ หมู่บ้านคล้ายๆกับในเขตวิปัสสีของแคว้นสิริอริยะ มีพื้นที่เพาะปลูกเพื่อเก็บรักษาพันธุ์พืช แล้วพระองค์ก็ได้ย้ายคนจากเมืองเก่าของประเทศเหล่านั้นเข้ามาสู่เมืองใหม่นี้. หลังจากนั้นก็ทำการทำลายอาคารบ้านเรือนของเมืองเก่าเสีย แล้วทำการหว่านเมล็ดพืชต่างๆลงไปเพื่อให้งอกงามเป็นป่าไปในกาลเบื้องหน้า.

    พระศรีอาริย์เนรมิตเมืองใหม่และขนย้ายคนเข้าเมืองใหม่ไปเรื่อยๆ เมืองแต่ละเมืองนั้นมีระยะห่างจากกันราว ๕ โยชน์(80กิโลเมตร)เป็นอย่างน้อย ทั่วทั้งโลกมีเมืองใหม่ซึ่งมีผังเหมือนกัน มีสภาพแวดล้อมภายในเมืองเหมือนกันอยู่ราวๆ ๑๖,๐๐๐ เมืองเป็นเบื้องต้น. ต่อแต่นั้นพระศรีอาริย์ก็ได้จัดเส้นทางสัญจรทางอากาศ ซึ่งสั่งการด้วยระบบการนึกคิด คนทั่วทั้งโลกเดินทางไปหากันได้โดยไม่ต้องอาศัยเรือ,เครื่องบินหรือรถยนต์.

    พระศรีอาริย์อาศัยอำนาจของจักรรัตนะในการกำจัดขยะ ปั่นให้เป็นเศษเล็กๆ แล้วนำไปโรยลงบริเวณทะเลทราย (วัตถุที่ยิ่งย่อยสลายได้ยาก จะยิ่งถูกทำให้เป็นเศษเล็กจนเป็นฝุ่นก็มี ส่วนวัตถุที่ย่อยสลายไม่ยากนักก็จะไม่มีการทำให้เป็นเศษเล็กๆ พระศรีอาริย์อาศัยของเสียจากสิ่งมีชีวิตต่างๆไปโรยลงทะเลทรายเพื่อปรับสภาพดิน แล้วให้เมฆฝนเคลื่อนไปกลั่นหยาดฝนเคล้าสิ่งของเหล่านั้นให้เหมาะแก่การทำงานของแบคทีเรีย.

    พระศรีอาริย์นำเมล็ดพืชพันธุ์ต่างๆไปปลูกกระจายอยู่ทั่วโลก ทำโลกทั้งโลกให้เขียวขจีไปด้วยทุ่งหญ้า ป่าดงดิบ ทุ่งธัญญพืช ทุ่งไม้ดอกป่าไม้ผล พระศรีอาริย์ทำการขุดธารน้ำ ขุดแม่น้ำ สระใหญ่ สร้างต้นน้ำให้ปรากฏทั่วไปทั้งโลก ในไม่นานเท่าใดนัก โลกทั้งโลกก็เขียวชะอุ่มชุ่มเย็นไปด้วยน้ำและพืชนานาพันธุ์.

    คัดลอกมาจากหนังสือ "สิริอริยะธรรมิกราชโพธิสัตต์" หาอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=50789<!-- / message --><!-- / message -->
     
  9. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]พระฯ ท่านพยากรณ์ว่า [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed][FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed](จากนักปฎิบัติธรรมสายมโนมยิทธิท่านหนึ่งโปรดใช้วิจารณญาณ)[/FONT] [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]
    [/FONT]
    [​IMG]

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]หลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษีฯ พาไปศึกษาธรรมในส่วนคำพยากรณ์ฯ กับพระฯ มีดังนี้คือ [/FONT]

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]ในอนาคตอันใกล้นี้คนไทยจะปกครองโลกธาตุและจักรวาล เพราะเวลานี้พระโพธิสัตว์ใหญ่หลายท่านได้มาถือกำเนิดบนแผ่นดินไทยมานานแล้ว ถ้าหากว่าผู้ใดบำเพ็ญบารมีมาถูกต้องตามแบบแผนและกฎกติกาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายบัญญัติไว้จริง โอกาสที่จะไปทำบุญและเข้าถึงธรรมจากท่านก็มีอยู่มาก ถึงแม้ผู้ที่มาปฏิบัติจะเข้าถึงธรรมอันบริสุทธิ์ได้มากก็จริงอยู่ แต่ถ้าจะไปรู้เรื่องส่วนตัวที่ละเอียดของพระโพธิสัตว์แต่ละท่านย่อมเป็นไปไม่ได้ เช่น จะไม่รู้ว่าท่านเป็นใครมาเกิด บำเพ็ญบารมีมาแล้วเท่าไร ได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ใดมา ในพุทธกาลนี้มีชื่อสมมติว่าอะไร และในพุทธกาลหน้ามีชื่อสมมติว่าอะไร [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]เหตุปัจจัยที่จะทำให้คนไทยเป็นใหญ่ในโลกธาตุคือ [/FONT][/FONT]​
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]

    ๑) ทรัพยากรบุคคล อันได้แก่ พระโพธิสัตว์ใหญ่หลายท่าน ซึ่งมาเกิดเป็นคนไทย ท่านเหล่านี้มีทั้งบุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์ แม้แต่พรหมเทวดาที่อยู่ในทุกๆ ภพภูมิ ก็ยังให้ความเคารพท่านอยู่ตลอดเวลา

    ๒) ทรัพยากรธรรมชาติ อันมีอยู่มากมายในผืนแผ่นดินไทย เช่น น้ำมัน ทองคำ ยูเรเนียม รัตนชาติ รวมทั้งแร่ธาตุต่างๆ อีกจำนวนมาก
    [/FONT]

    พระฯ ท่านบอกว่าเวลานี้พระโพธิสัตว์ใหญ่หลายท่านต่างก็จำศีลภาวนากันอยู่ แต่คนส่วนใหญ่ในโลกธาตุยังไม่คิดถึงท่าน เพราะไปมัวเพลิดเพลินแต่ความสุขอันจอมปลอม เช่น กามสุขและอบายมุขต่างๆ ถ้าหากไม่ใกล้ตายด้วยมหันตภัยร้ายแรงเกือบทั้งโลก ก็ยากที่จะระลึกถึงท่านด้วยความจริงใจ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามกฎแห่งกรรมของสัตว์โลก

    เหตุที่ผู้เขียนเชื่อก็เพราะคำสอนศาสดาเอกในโลกเท่านั้นที่จะหยุดยั้งการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์โลกให้ไปนิพพานได้ เพราะศาสดาพยากรณ์อื่นสอนไม่ถึงนิพพาน สอนได้เพียงเทวโลกและพรหมโลกเท่านั้น และผู้ก่อตั้งศาสนาอื่นทั้งหมดเวลานี้มาเกิดในเมืองไทยหมดแล้ว ซึ่งผู้เขียนทำบันทึกไว้ตั้งแต่ปี ๒๕๒๘ แล้ว ถ้าอยากหาข้อมูลเพิ่มเติมมากกว่านี้ต้องไปหากับพระและครูสอนกรรมฐานในสายมโนมยิทธิที่พบนิพพานและพระพุทธเจ้าจริง (เพราะถ้าได้พบนิพพานและพระพุทธเจ้าจริงการที่จะรู้เห็นเรื่องคำพยากรณ์ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ของยากเลย)

    นิมิตและสิ่งบอกเหตุอีกหลายอย่างที่จะปรากฏก่อนที่จะได้พบผู้มีบุญออกมาทำงานใหญ่ อาทิ

    ๑) สัตว์จะเริ่มเข้าใจภาษาคนมากขึ้น (เพราะสัตว์จำนวนมากกำลังหมดกรรม หรือเป็นพระโพธิสัตว์มาเกิดเพื่อบำเพ็ญบารมีต่อ) ส่วนคนจะเริ่มไม่เข้าใจภาษาคน (คนส่วนใหญ่มักจะประกอบกรรมชั่ว ไม่คิดปฏิบัติตามคำสอนที่ดีกัน)
    ๒) โรคภัยไข้เจ็บชนิดแปลกๆ จะเกิดขึ้นมาท้าทายวงการแพทย์ ซึ่งหมอสมัยใหม่ก็ยากที่จะเยียวยาหรือรักษาให้หายขาดได้ แต่จะมาแพ้ยาโบราณและอภิญญาของพระโพธิสัตว์
    ๓) สัตว์ชนิดแปลกๆ ที่มนุษย์คิดว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว และสัตว์โลกใหม่ๆ ที่มนุษย์ยังไม่เคยเห็นจะออกมาปรากฏ
    ๔) ยานพาหนะของมนุษย์ที่อยู่ต่างโลกธาตุจักรวาลจะปรากฏเหนือน่านฟ้าโลกเรามากขึ้นในหลายรูปแบบ
    ๕) ต่อไปชาวธรรมจำนวนมากจะแยกเดียรถีย์อลัชชีออกจากผู้บำเพ็ญได้ถูกต้อง
    ๖) ดวงดาวต่างๆ จะค่อยๆ โคจรเข้ามาใกล้ระบบสุริยะเรามากขึ้น
    ๗) อากาศจะวิปริตแปรปรวน ยิ่งใกล้เวลาที่กำหนดไว้คือเวลาที่มนุษย์จำนวนมากต้องสังเวยชีวิตกับภัยธรรมชาติและภัยสงคราม อากาศจะมืดครึ้มอย่างชอบกล แม้ในวันเดียวกันจะมีอากาศในลักษณะ ๓ ฤดู
    ๘) จะเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงติดๆ กัน ภูเขาไฟระเบิด พายุโหมกระหน่ำ น้ำท่วมฉับพลัน ไฟไหม้ อุบัติเหตุร้ายแรงจะเกิดขึ้นถี่ขึ้นในทวีปต่างๆ และยิ่งใกล้ถึงเวลาอุกกาบาตเล็กและใหญ่จะตกลงมาถี่ขึ้นบนพื้นผิวโลก
    ๙) พรหม เทวดา พญาครุฑ พญานาค ยักษ์ ชาวลับแล ฯลฯ ที่อยู่ในโลกธาตุนี้และโลกธาตุจักรวาลอื่น จะออกมาทำบุญกันหลายรูปแบบในสถานที่บำเพ็ญบุญแห่งใหม่
    ๑๐) หลวงปู่อุปคุตที่จำพรรษาอยู่กลางสะดือทะเลอันเป็นวังใหญ่ของพญานาค ซึ่งเป็นสถานที่เก็บถาดทองคำ (ภาชนะที่พระพุทธเจ้าทรงใช้ฉันข้าวมธุปายาสก่อนตรัสรู้) ของพระพุทธเจ้า ๔ พระองค์ ในกัปนี้ จะออกมาให้ชาวโลกได้พบและทำบุญ
    ๑๑) ญาติพระเทวทัตและพระโพธิสัตว์จอมปลอมจะถูกเปิดเผยความชั่วที่เลวยิ่งกว่ามหาโจรใดๆ ทั้งสิ้นในโลก
    หมายเหตุ ให้ตามหากันเอาเอง ถ้ารู้จักพญายมจริงไม่ใช่ของยาก ไม่ขอบอกเพราะถ้ารู้แล้วจะเลิกคบคนอีกเยอะ แต่รู้ไว้ก็จะเป็นประโยชน์กับตัวเองเพราะจะได้ไม่ไปทำบุญกับสัตว์นรก เพื่อจะได้ไม่อยู่นรกตาม เพราะที่ผ่านมาชาวธรรมจำนวนมากโดนหลอกอยู่
    ๑๒) พระสาวกของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย พระพุทธเจ้าทั้งหลาย และพระพุทธเจ้าองค์ปฐมจะเสด็จมาเป็นประธานในพิธีต่างๆ ณ บริเวณสำคัญแห่งใหม่ของโลกก่อนยุคสุดท้าย
    ๑๓) พระโพธิสัตว์ใหญ่หลายท่านจะนำพระธาตุ พระบรมธาตุ จากชาวเทพหรือชาวลับแลที่เก็บไว้ รวมทั้งวัตถุมงคลใช้ป้องกันรังสีจากอาวุธสงครามสมัยใหม่ ออกมามอบให้แก่ผู้ที่ศรัทธาไว้เคารพบูชาเพื่อป้องกันภัยจากสงครามใหญ่ที่กำลังจะมาถึงในอนาคตอันใกล้

    หมายเหตุ ๑ ในเรื่องของพระธาตุ พระบรมสารีริกธาตุต้องดูคนแจกด้วย เพราะมีคนแอบอ้างสวมรอยพระโพธิสัตว์เยอะ ถ้าเป็นพระบรมสารีริกธาตุจริงรวมทั้งพระที่พระโพธิสัตว์ใหญ่ปลุกเสกจริงจะต้องเสด็จออกมาสอนกรรมฐานทั้งหมดที่เขียนเอาไว้ได้ เพราะผู้เขียนก็ได้จากหลวงพ่อฯ หลักสูตรกรรมฐานทั้งหมดที่เขียนก็ได้มาจากครูบาอาจารย์คนเดียวกัน ถ้าเสด็จออกมาสอนไม่ได้ก็เป็นแค่กรวดหินดินทรายธรรมดาที่มีลักษณะคล้ายพระธาตุเท่านั้น ของจริงต้องอยู่กับคนที่มีบุญจริง ชาวธรรมทั้งหลายอย่าหลงเชื่อพวกต้องการความยิ่งใหญ่ทางโลกธรรม พระและครูกรรมฐานหลงเยอะ ยังไม่ได้อริยประเพณี แต่กลับโดดมาทำผลของพุทธประเพณี

    หมายเหตุ ๒ พระบรมธาตุ และวัตถุมงคลบางอย่างก็ใช้ป้องกันไม่ได้ คือพระพุทธเจ้าไม่ได้อธิษฐานไว้ แต่ให้พระโพธิสัตว์มาอธิษฐานเอาใหม่ ยกตัวอย่างเช่น พระของหลวงปู่ทวด หลวงปู่โต หลวงปู่ปาน ก็ไม่ได้ทำเอาไว้ มีแต่หลวงพ่อฤาษีฯ ทำ และให้ผู้เขียนอาราธนาหลวงพ่อฯ และหลวงปู่ปานมาทำด้วย แต่ก็ไม่ได้ทำมากมายอะไร เพราะไม่ได้ทำไว้เพื่อขาย
    ๑๔) พวกเปรตอสุรกายที่แฝงกายอยู่ในคราบนักบุญและนักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่ของโลกจะถือเอาเหตุปัจจัยความแตกต่างทางศาสนาและนิกายมาเป็นเครื่องยุยงให้ชาวโลกแตกออกเป็นสองฝ่าย และก็จะเริ่มค่อยๆ ประหัตประหารไปทีละจุด ๆ ในที่สุด (ความขัดแย้งในเรื่องลัทธิ นิกาย และศาสนาจะบานปลายเป็นสงครามใหญ่ภายหลัง) เพราะกิเลสในใจผู้นำของแต่ละศาสนามีมาก (อย่ามองข้ามเหตุที่เกิดในประเทศไทย เพราะในเมืองไทยก็เป็นชนวนใหญ่เช่นกัน)

    หมายเหตุ นักปฏิบัติในประเทศไทย ใครคบกับใครชาวธรรมโปรดดูให้ดี ผู้ที่เป็นพระอริยเจ้าในปัจจุบันและผู้ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตจะไม่คบกับสัตว์นรกเป็นอันขาด ผู้สนใจในธรรมถ้ากลัวนรก ควรตรวจสอบในเรื่องนี้ดูให้ดี ก็ไม่แน่นักผู้เขียนอาจเป็นสัตว์นรกตัวสำคัญที่สุดของอริยวงศ์และพุทธวงศ์ก็ได้ อะไรที่ไม่ควรเชื่อถือก็อย่าเชื่อถือชาวธรรมต้องระวัง ผู้ที่มาทำหน้าที่นี้ต้องเป็นผู้ที่พระใหญ่ใช้มาและครูบาอาจารย์ให้ความไว้เนื้อเชื่อใจฝากงานไว้เท่านั้น ต้องพิสูจน์ความรู้หลายอย่างด้วยไม่ใช่เชื่อกันแบบงมงาย ที่ผ่านมาหลวงปู่ฯ หลวงพ่อฯ บอกว่ายังไม่ใช่ตัวจริง ตัวจริงของจริงยังไม่มีใครรู้จัก และทุกอย่างจะต้องมีการพิสูจน์ความรู้ความสามารถ และพฤติกรรมมามากกว่าที่เห็น

    กรรมใดเป็นการฝืนกฎแห่งการบำเพ็ญฯ ถ้าหลวงปู่ปาน และหลวงพ่อฤาษีฯ ไม่ได้สั่งงานให้ข้าพเจ้าทำเรื่องพิเศษบางส่วนต่อจากท่าน รวมทั้งไม่ได้ศึกษาธรรมในส่วนคำพยากรณ์จากพระฯ จริงๆ ขอให้ปรับโทษอนันตริยกรรมสูงสุดแก่ข้าพเจ้าให้ยิ่งกว่าพระเทวทัตและผู้กระทำความผิดทุกๆ พุทธศาสนาในอดีตทั้งหมดด้วยเทอญ

    จากคุณ มโนมยิทธิ เมื่อวันที่ 24/10/2548 13:25:27

    คัดลอกมาจากhttp://www.konmeungbua.com/webboard/...n.asp?GID=8547
    <!-- / message --><!-- edit note -->
     
  10. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ยุคพระศรีอาริย์(พระเจ้าจักรพรรดิ)
    ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน

    ผมได้รับฟังมาจากเพื่อนนักปฎิบัติธรรมท่านหนึ่ง(ขอไม่เอ่ยนาม) กล่าวไว้ดังนี้:-

    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน) ได้เคยบอกลูกศิษย์ที่ตึกรับแขก ซึ่งภรรยาของผมเมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษา ได้ช่วยงานอยู่ที่นั่น เราทราบดีว่าหลวงพ่อนั้นเป็น "พระสุปฏิปันโน" จึงไม่ต้องสงสัยคำพูดใดๆของท่าน

    เมื่อคราวหนึ่งท่านกล่าวกับคณะศิษย์ที่ตึกรับแขกว่า... ขณะนี้ "พระเจ้าจักรพรรดิ" ได้ลงมาเกิดในประเทศไทยแล้ว (พวกเราจึงเลิกสงสัยว่าทำไมประเทศไทยจึงเจริญรุ่งเรืองต่อไป) และเกิดเป็นคนหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ มีเชื้อทางฝั่งลาว ตอนเกิดนั้น มารดาท่านฝันว่าได้แหวนทองจากเทวดา และตั้งชื่อลูกของท่านว่า "เทพ"

    ยุคสามร่มโพธิ์ศรี จากคุณอัญญาสิทธิ์

    ถึงคุณ เกษม เรื่อง "สามร่มโพธิ์ศรี" นั้นที่จริงคือเรื่องของพระจักรพรรดิ์ ที่พระศรีฯ จะลงมายกยอพระศาสนา ที่พระศรีฯท่านมาเป็นพระยาธรรมิกราช ปกครองโลก พระโพธิสัตว์อีกองค์หนึ่งทำหน้าที่เป็นคล้ายพระสังฆราชของโลก และพระโพธิสัตว์อีกองค์หนึ่งทำหน้าที่คล้ายนายกของโลก โดยมีเหล่า อัญญาสิทธิ์ และ อัญญาธรรม ซึ่งเป็นผู้ที่ลงมาทำหน้าที่ต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ปฎิบัติรอพระจักรพรรดิ์ กันทั้งนั้นและมักอยู่ในที่ลี้ลับ แต่ถ้าปฏิบัติจิตถึงก็สื่อกันได้

    รายละเอียดเรื่องสามร่มโพธิ์ศรี ผมกำลังรวบรวมจากคนในคณะหลายๆคน เพราะฟังมา ต่างวาระกัน แล้วจะนำมาเล่าสู่กันฟังทีหลังครับ

    ที่สำคัญก็คือกาลของยุคพระจักรพรรดิ์ ใกล้เข้ามามากแล้ว ครูบาอาจารย์ ท่านมาบอกบ่อยๆให้เร่งปฏิบัติกัน พระศรีฯใกล้จะลงมาทำหน้าที่พระจักรพรรดิ์ แล้ว คำว่า "ใกล้" นี้ ในโลกภายในนั้นหากเป็น 5-10 ปีมนุษย์นั้น ถือว่าน้อยมาก

    ที่ผมกำลังกังวลก็คือ กาลของพระจักรพรรดิ์ จะมาเร็วกว่าที่คิดมาก ครูบาอาจารย์ท่านสั่งให้ทำหลายสิ่งหลายอย่าง ผมยังทำไม่เสร็จอีกมาก ครูบาอาจารย์ท่านบอกไว้ว่าเมื่อกาลของพระจักรพรรดิ์ใกล้เข้ามา หายนะจะเกิดขึ้นกับโลก เทวดาเขาจะทำฤทธิ์ โลกจะปั่นป่วนเท่าที่จำได้ ท่านบอกว่า "ประเทศอเมริกาจะเป็นเกาะเป็นแก่ง" ยุโรปต่อไปก็จะหายนะอยู่ไม่ได้ ต้องมาพึ่งแผ่นดินไทย (ต่อไป ไทยกับลาวจะกลับมารวมกัน) ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น หายไป ฯลฯ และประเทศไทยจะดีได้ ก็ต่อเมื่อ "เกิดเหตุใหญ่" เสียก่อน การเมืองไทยคนจะฆ่ากันตายเป็นเบือ แต่ที่เป็นอยู่ทางภาคใต้ตอนนี้คิดว่ายังไม่ใช่เหตุการณ์ที่ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวไว้ เคยถามท่านว่า "ไม่ให้เกิดไม่ได้หรือ" ท่านว่า "ปู่ยีเว่าไว้แล้ว ปานพระเจ้าเว่า เปลี่ยนแปลงไม่ได้"

    หากใครสังเกตดีๆ ลมพายุนั้นคล้ายจักรหมุน หากใครเคยขี่จักรภายในจะเข้าใจว่าเป็นยังไง เท่าที่เห็นตอนนี้คือภายใน ปราบภายใน ก็ล้นออกมาภายนอก ใครมีกรรม เป็นเชื้อสายของพวกที่เขาปราบภายในก็จะได้รับผลกระทบ ถ้าจะไล่ลำดับ ก็ต้องไปตั้งต้นศึกษาระบบจิตวิญญาณที่หมุนเวียนอยู่บนโลกตั้งแต่ยุครามเกียรติ์แหละ

    เอาเป็นว่าพวกอิสลามคือเชื้อยักษ์พวกนึง ฝรั่งก็เชื้อยักษ์อีกพวกนึง ทางเอเชียก็เป็นพวกเทวดา นาค ฯลฯ รวมทั้งลูกผสมเชื้อยักษ์ก็มีเช่นกัน ศาสตร์วิชาการที่มนุษย์ใช้อยู่บนโลกปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นวิชาของพวกเชื้อยักษ์เป็นคนคิด (ยิวกับยักษ์ เป็นภาษาลัญญลักษณ์) สุดท้ายศาสตร์วิชาการที่มนุษย์เอามาใช้ก็จะทำลายเบียดเบียนมนุษย์กันเอง


    ที่มา http://www.konmeungbua.com/webboard/aspboard_Question.asp?GID=15311
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มีนาคม 2007
  11. pattarawat

    pattarawat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,671
    ค่าพลัง:
    +7,981
    โห พี่เกษมนี่ ข้อมูลครบครันและรวดเร็วจริงๆ ครับ จุใจมากๆ ขอโมทนาสาธุกับความดีของพี่เกษมนะครับ เป็นพี่ที่น่ารักของน้องๆ เสมอเลย
     
  12. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ตำนานพระศรีอาริย์ ในกึ่งกลางพระศาสนา

    [​IMG]


    พระศรีอาริย์ นารายณ์ปราบสงครามล้างโลก

    พอถึงวันคำรบ 8 ซึ่งเป็นวันรุ่งสางสว่างแจ้ง ฝูงมนุษย์ที่เหลือจากความตายด้วยภัยสงครามก็พากันร้องไห้ระงมถมทึก แทบว่าจะไม่เป็นเสียงมนุษย์ เพราะจะมองไปทางใดก็พบแต่ซากศพของคนตาย เช่น ลูกตายพลัดพ่อแม ่พ่อแม่พลัดลูก ผัวตายเมีย เมียตายพลัดผัว ญาติมิตรที่ต้องตายพลัดตายพรากจากกัน เหลือที่จะนับคณา เพราะวันตัดสินโลกได้ผ่านไปแล้ว พร้อมกับมนุษย์ที่ชั่วร้าย คงเหลือแต่มวลมนุษย์ที่เชื่อในคำสั่งสอนของพระศาสนา ซึ่งมีเมตตาภาวนาเพื่ออยู่สืบโลกและศาสนาต่อไป

    ในวันที่รุ่งแจ้งซึ่งความมืดได้ฉุดกระชากลากพาเอาวิญญาณร้ายผ่านพ้นไปแล้วนั้น กองทัพอากาศของพระศรีอาริย์บรมจักร พร้อมด้วยเทพเจ้าบนสวรรค์ก็เคลื่อนขบวนเวชยันตรถทิพย์เลื่อนลอยไปโดยทางนภากาสเวหา เพลงสวรรค์ซึ่งคนธรรพ์ทั้งหลายอันมีปัณจสิกขคนธรรพเทพบุตรเป็นหัวหน้า ก็ดีดสีตีเป่าสะท้านหวั่นไหวไปพร้อมกับกองทัพนั้นด้วย ฝูงเทพเจ้าทั้งหลายก็โปรยข้าวตอกดอกไม้ทิพย์เกลื่อนกลาดไปทั่วแผ่นดินที่ผ่านไป ครั้นแล้วกองทัพพระศรีอาริย์ก็หยุดลอยอยู่เหนือดอยสุวรรณคีรี ซึ่งกองทัพมนุษย์กำลังพิฆาตฆ่าฟันกันตายเหมือนใบไม้ร่วง

    เมื่อกองทัพเหล่านั้นได้ยินเสียงอึกทึกโกลาหลอยู่เบื้องนภากาศ และร้อนรุ่มกลุ้มใจไปด้วยไฟพิษ ซึ่งหมู่มวลนาคราชได้พ่นออกจากปากเป็นประกายอยู่ทั่วไป ทางเบื้องซ้ายก็กัมปนาทหวาดหวั่นไหวด้วยแสงอาวุธของมวลยักษ์ ตะบองใหญ่เท่าลำตาลก็กวัดแกว่งเป็นเปลวไฟ ทหารที่ทนได้ก็ทนไป ที่ทนไม่ได้ก็สลบล้มลงไป ด้วยความร้อนสุดที่จะทนทาน อิทธิฤทธิ์ของทหารผีกระทำปาฏิหาริย์อยู่ครู่เดียว ทหารมนุษย์ก็กลิ้งทูต ระเนระนาดตามกันลงไป ร่างกายสั่นเทาเหมือนผีสิงสิ้นหมดทั้งกองทัพ พลันก็มีเสียงคำรามลั่นลงมาจากฟากฟ้าแทบว่าแก้วหูจะแตกตาย

    " อะโห! มาริสสา- มาริสสาดูก่อนทะแกล้วทหารผู้ใจบาปหยาบช้าทั้งหลาย!พวกสูจะมารบราฆ่าฟันกันตายด้วยเหตุผลกลใด? ขุมทรัพย์อันใหญ่หลวงที่เกิดขึ้นนี้ หาใช่เป็นสมบัติของพวกสูทั้งหลายหรือผู้ใดไม่ดอก! หากเป็นสมบัติของพระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์ในรถนี้ ซึ่งจะมาดำรงตำแหน่งบรมจักรอันประเสริฐ เพื่อจรรโลงโลกไปสู่สันติสุขและสันติภาพอันเที่ยงแท้! เลิก- เลิกรบกัน !เลิกรบกันเว้ย!! ประเดี๋ยวตายโหงหมดเอ้า! ไม่เชื่อก็ลองไปดู!!" พระอิศวรผู้เป็นเจ้าได้สำแดงเสียงอยู่บนศรีษะทหารมนุษย์ อย่างเอาเป็นเอาตาย แล้วเปล่งสิงหนาทสืบต่อไปว่า
     
  13. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    กัลกยาวตาร

    [​IMG]

    กัลกยาวตาร หรือ กัลกิยาวตาร(พระนารายณ์ อวตารเป็นมนุษย์ผู้ขี่ม้าขาว หรือ กัลกี)เป็นอวตารที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่เป็นการทำนายอนาคตไว้ว่า ในยามที่เป็นปลายแห่งกลียุค ที่เมื่อผู้คนไม่รู้จักธรรมะ ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีอีกต่อไป โลกทั้งโลกต้องเผชิญกับยุคเข็ญไปทุกหย่อมหญ้า จะมีบุรุษขี่ม้าปรากฏตัวขึ้นเพื่อปัดเป่าความทุกข์ยาก และนำธรรมะกลับมาสู่มวลมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง


    [​IMG]
    เมื่อโลกเยือนย่างเข้า กลียุค
    บาปบั่นบุญบี้บุก ทั่วหล้า
    ทั่วถิ่นทุกทางทุกข์ เหลือหลาย
    เกิดก่อกิเลสกล้า มล้างมลายธรรม
    ยามทรามลามสุดแล้ว ฉันใด
    จักเกิดท่านเทพไท้ จากฟ้า
    อวตารดับเภทภัย พาพ้น
    ปาฏิหารย์ประจักษ์หล้า แต่ต้องหวังขลัง
    วิษณุเทพผู้ รักษา
    ซึ่งหมั่นธำรงโลกา จากร้าย
    ปางสิบเสด็จมา ยามยาก
    มามุ่งพามารร้าย ดับสิ้นโสมม
    เป็นบุรุษขี่ม้า สีขาว
    มีดาบเชิดชูวาว แกว่งแกล้ว
    แต่ต้องจัก รอยาว เมื่อมา
    ปราบบาปให้คลาดแคล้ว ชื่อนั้น"กัลกี"
    จงตั้งตัวตั้งมั่น ไว้เถิด
    สักวันจักก่อเกิด ประจักษ์หล้า
    ครานั้นบาปจักเตลิด แพ้พ่าย
    จากบาปให้คลาดแคล้ว ทั่วทั้งสากล
    โปรดทำดีอย่าท้อ พวกเรา
    ยามบาปบุกมัวเมา อย่าใกล้
    ใครมัวหมุ่นปลุกเขา ช่วยเถิด
    เพราะว่าท่านเทพไท้ จักได้เสด็จมา
    บทกวีโดย ขาว-กรมท่า​
    <!-- / message --><!-- attachments -->
     
  14. Nanotech999

    Nanotech999 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +72
    เวลาเหลือเพียงน้อยนิด เห็นทีต้องเร่งบำเพ็ญกุศลให้มาก ละบาปให้หมด อย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

    ถึงอย่างไร ผมก็ต้องทำให้ได้ แม้จะมีกิเลสหนาสักเท่าไรก็ตาม

    ขอพระคุณทุกท่านที่เข้ามานะครับ เป็นข้อมูลความรู้ที่จุใจจริงๆ ครับ ได้ความรู้ขึ้นมาเลยครับ

    และขอโมทนากับการบำเพ็ญบารมีของชาวพลังจิตทุกท่านครับผม
     
  15. จิตนิพพาน

    จิตนิพพาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +414
    ได้ความรู้เพิ่มเติมเยอะเลย อนุโมทนากับคุณเกษมด้วยครับ..
     

แชร์หน้านี้

Loading...