ศาสนธรรมในกระแสแห่งกลียุค : พระไพศาล วิสาโล

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 29 ตุลาคม 2008.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]
    [ภาพสีน้ำมันบนผ้าใบ ติดทองคำเปลว "แผ่นดินอุดมธรรม" สร้างสรรค์โดย อาจารย์พิชัย นิรันดร์ : ศิลปินแห่งชาติ
    สาขาทัศนศิลป์ (วิจิตรศิลป์) จิตรกรรม จากสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กรุงเทพฯ ปี ๒๕๔๖]


    ศ า ส น ธ ร ร ม ใ น ก ร ะ แ ส แ ห่ ง ก ลี ยุ ค
    พระไพศาล วิสาโล

    การพูดถึงศาสนธรรมท่ามกลางความร้อนแรงของสงครามในขณะนี้
    ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ขัดแย้งกันมาก
    แต่ถ้ามองให้ลึกซึ้งแล้ว ทั้ง ๒ ประเด็นเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกันมาก
    แม้ว่าการบรรยายในวันนี้ไม่ได้จัดขึ้นเพื่อรับกับสงครามที่กำลังเกิดขึ้นในอิรัก
    หากเป็นความบังเอิญที่มาประจวบเหมาะกัน
    แต่ก็คงจะให้แง่มุมบางประการที่ช่วยให้เข้าใจเหตุการณ์ดังกล่าวได้ดีขึ้น

     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    • ส า เ ห ตุ ที่ ศ า ส น า ม า มี บ ท บ า ท ใ น ก า ร ต่ อ สู้ ท า ง ก า ร เ มื อ ง

    การที่ศาสนาเข้ามามีบทบาทในการแบ่งฝักฝ่ายและต่อสู้ทางการเมืองของกลุ่มต่าง ๆ
    มีสาเหตุหลายประการ อาทิ

    ๑) ความล้มเหลวของรัฐ การพัฒนา สถาบันและอุดมการณ์ทางการเมืองสมัยใหม่
    ในการสร้างความผาสุกแก่ประชาชนโดยเฉพาะระดับล่าง

    ในอดีตประชาชนเคยฝากความหวังไว้กับรัฐว่าจะนำการพัฒนามาสู่ประชาชน
    แต่ปรากฏว่าความยากจนกลับแพร่ระบาด
    ประชาชนพลัดที่นาคาที่อยู่
    มาแออัดในเมืองโดยไร้อนาคต และหางานทำแทบไม่ได้

    ผู้คนเห็นชัดว่าสถาบัน(และอุดมการณ์)ประชาธิปไตย
    เช่นรัฐสภาเป็นที่พึ่งไม่ได้
    เพราะถูกควบคุมโดยคนส่วนน้อยที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจ
    ส่วนสังคมนิยมก็มิใช่คำตอบอีกต่อไป

    แม้แต่ลัทธิชาตินิยม ในหลายประเทศเช่นในตะวันออกกลาง
    ประชาชนรู้สึกว่าลัทธิอุดมการณ์นี้ไม่ได้เป็นทางออกของเขาอีกต่อไป

    ๒) สิ่งเดียวที่ประชาชนระดับล่างจะไขว่คว้าหาที่พึ่งได้ในยามนี้
    ก็คือทุนดั้งเดิม ได้แก่ศาสนา และชาติพันธุ์ ซึ่งเป็นอัตลักษณ์ที่ผูกติดมาแต่ดั้งเดิม
    ศาสนาได้กลายเป็นเครื่องมือของประชาชน ในการต่อสู้เพื่อความอยู่รอด
    และต่อต้านการเอาเปรียบทั้งจากชนชั้นนำและจากต่างประเทศ

    เมื่อศตวรรษที่แล้วลัทธิชาตินิยมก็เคยเป็นเครื่องมือที่ผู้คนในอาณานิคมต่าง ๆ
    นำมาใช้ในการต่อสู้กับจักรวรรดินิยม

    แต่มาถึงศตวรรษนี้ชาตินิยมเริ่มแผ่วเบาลง และมักถูกผูกขาดโดยรัฐหรือผู้ปกครอง
    ประชาชนระดับล่างหรือคนชายขอบจึงหันไปพึ่งศาสนา
    ในตะวันออกกลาง สุเหร่าเป็นที่เดียวที่จะวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการเมืองได้
    โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกตำรวจจับ

    ๒) ประชาชนไม่ได้เข้าหาศาสนาฝ่ายเดียว ศาสนาก็เข้าหาประชาชนด้วย
    เพราะต้องการประชาชนเป็นกำลังให้แก่ศาสนา
    ในการต่อสู้กับการรุกรานของความคิดแบบโลกย์ (secularism)
    กับความคิดแบบเสรีนิยม ซึ่งขัดแย้งกับศาสนาในหลายเรื่อง

    เช่น การเปิดเสรีทางเพศ หรือแม้แต่เสรีในการทำแท้ง
    ยิ่งกว่านั้นศาสนาในหลายประเทศยังถูกลิดรอนโดยรัฐ
    และถูกผลักดันให้อยู่ชายขอบ
    หมดอิทธิพลในสถาบันต่าง ๆ ของสังคม เช่นระบบการศึกษา

    ทำให้ศาสนารู้สึกว่ากำลังถูกบ่อนทำลาย
    นับวันจะไม่มีที่ยืนในสังคม
    จึงจำเป็นต้องลุกขึ้นสู้เพื่อปกป้องตนเอง
    จึงเกิดลัทธิเคร่งคัมภีร์
    หรือ fundamentalism ขึ้นในตะวันออกกลาง อินเดีย ปากีสถาน

    แม้แต่สหรัฐก็ไม่เว้น ศาสนิกชนที่เคร่งศาสนา
    รวมตัวกันได้มากขึ้นด้วยความรู้สึกดังกล่าว
    เมื่อผสมกับคนชายขอบที่หันไปหาศาสนาเป็นที่พึ่ง ดังที่กล่าวในข้อ ๒
    ได้ทำให้กลุ่มศาสนามีพลังมากขึ้นจนกลายเป็นกลุ่มสำคัญในสังคม
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    • ศ า ส น า กั บ ก า ร เ มื อ ง แ บ บ อั ต ลั ก ษ ณ์

    การเมืองที่ชูประเด็นเรื่องอัตลักษณ์ (เช่นศาสนา ชาติพันธุ์)
    กำลังเป็นกระแสใหญ่ในโลกปัจจุบัน
    เป็นการตอบโต้ของฝ่ายที่รู้สึกว่าตนถูกคุกคามมานาน
    เป็นการพยายามสู้เพื่อความอยู่รอด
    และดังนั้นจึงมีลักษณะที่ก้าวร้าว โกรธเกรี้ยว และนำไปสู่ความรุนแรงได้ง่าย

    ต้องไม่ลืมว่าคนเยอรมันหลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ ก็รู้สึกแบบนี้
    คือเชื่อว่าเยอรมันกำลังถูกคุกคามจากคนยิว
    ซึ่งด้านหนึ่งร่วมมือกับพวกคอมมิวนิสต์ในรัสเซียซึ่งอยู่ทางตะวันออก

    ส่วนด้านตะวันตกก็มีภัยจากอังกฤษซึ่งถูกพวกยิวเชิด
    ความคิดแบบนี้ทำให้ลัทธินาซีของฮิตเลอร์เป็นที่นิยม
    ยังไม่ต้องพูดถึงคนยิวอีกมากมายในประเทศที่คุมเศรษฐกิจและสื่อมวลชนเอาไว้

    ผลก็คือเกิดการทำลายล้างคนยิวถึง ๖ ล้านคนอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
    รวมไปถึงการทำสงครามทั่วยุโรปตั้งแต่รัสเซียไปถึงอังกฤษ

    • ก า ร เ มื อ ง ที่ ชู ป ร ะ เ ด็ น เ รื่ อ ง อั ต ลั ก ษ ณ์

    รวมทั้งความรู้สึกว่า ตนกำลังถูกคุกคาม จากศัตรูทั้งภายในและภายนอกประเทศ
    ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า "วัฒนธรรมแห่งความเกลียดชัง" ขึ้น
    ซึ่งกำลังแพร่กระจายไปทั่วโลก และได้รับความนิยมแพร่หลายในแต่ละประเทศ
    มีอิทธิพลต่อชนชั้นกลางและผู้มีการศึกษามากขึ้นทุกที
    (ในอินเดียและ ตะวันออกกลาง พวกเคร่งคัมภีร์ซึ่งเคยกระจุกอยู่ในกลุ่มคนยากจน
    ได้กระจายไปสู่ชนชั้นกลางที่มีการศึกษามากขึ้น
    ประจักษ์พยานข้อหนึ่งก็คือผู้ที่ก่อเหตุ ๑๑ กันยา
    หลายคนมีการศึกษาสูงและมาจากครอบครัวที่มีฐานะดี)

    วัฒนธรรมแห่งความเกลียดชังได้กลายเป็นกระแสใหญ่ในระดับประเทศ
    ทั้งนี้โดยมีเชื้อจากการแบ่งขั้วในด้านต่าง ๆ รวมทั้งด้านเศรษฐกิจเป็นปัจจัยหนุน


    • ค ว า ม สำ คั ญ ข อ ง ศ า ส น ธ ร ร ม

    ศาสนธรรม หรือมิติด้านจิตวิญญาณ ที่เรียกว่า spituality นั้น
    ไม่ใช่เรื่องผูกขาดหรือจำกัดเฉพาะศาสนาเท่านั้น
    หากเป็นสิ่งที่มีอยู่ในมนุษย์ทุกคน
    เป็นสภาวะที่แนบแน่นอยู่กับความเป็นมนุษย์ของคนทุกคน


    ในยุคที่วัฒนธรรมแห่งความเกลียดชังชังแพร่ระบาด
    ในรูปของเผ่านิยม เชื้อชาตินิยม ศาสนานิยม
    ศาสนธรรมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยทัดทานกับวัฒนธรรมดังกล่าว
    จะตระหนักข้อนี้ได้
    จำต้องเข้าใจคุณลักษณะของศาสนธรรมหรือความลุ่มลึกในทางจิตวิญญาณ

    • คุ ณ ลั ก ษ ณ ะ ข อ ง ศ า ส น ธ ร ร ม มี ดั ง นี้

    o การตระหนักถึงความเป็นหนึ่งเดียวของมนุษยชาติ
    ที่ไปพ้นเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา เพศ หรืออุดมการณ์การเมือง
    รวมไปถึงการตระหนึกในความเป็นหนึ่งเดียวของสรรพชีวิต

    o เห็นทุกชีวิตมีคุณค่า ที่ควรได้รับความปกป้อง

    o จิตใจแผ่กว้าง มีเมตตากรุณาอันกว้างใหญ่ ไม่เห็นแก่ตัว

    o สัมผัสกับสภาวะที่เหนือกาละและเทศะ เหนือประสบการณ์สามัญของชีวิตประจำวัน

    o ไปพ้นจากการแบ่งแยกเป็นเราเป็นเขาหรือการมองแบบทวิภาวะ .(dualism)
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    • วั ฒ น ธ ร ร ม แ ห่ ง ค ว า ม เ ก ลี ย ด ชั ง กั บ ก า ร ม อ ง แ บ บ ท วิ ภ า วะ

    วัฒนธรรมแห่งความเกลียดชังตั้งอยู่บนความคิดแบบทวิภาวะ แบ่งเราแบ่งเขา
    เห็นคนที่ไม่ใช่พวกเดียวกับตนเป็นศัตรู และมองโลกแบบเป็นขาว-ดำชัดเจน
    โดยเฉพาะคนที่เคร่งศาสนา มักจะตกอยู่ในกับดักแห่งความคิดดังกล่าว
    คือขีดเส้นความดี-ความชั่วชัดเจน ใครที่ไม่ดีเหมือนตัวหรือคิดเหมือนตัว
    ก็ประณามว่าเป็นคนชั่ว และเมื่อเป็นคนชั่วเสียแล้ว
    ย่อมเป็นการชอบธรรมที่จะกำจัดเขาด้วยวิธีใด ๆ ก็ได้

    บินลาเดน มองโลกเป็นขาว-ดำชัดเจน ว่าอเมริกาคือตัวแทนแห่งความเลวร้าย
    ที่นำความเสื่อมโทรมมาสู่โลกอิสลาม สมควรที่จะถูกทำลายให้สาสม
    ส่วนบุชก็มองโลกแบบนี้เช่นเดียวกัน
    คือเห็นอัลเคด้าและอิรัก อิหร่าน เกาหลีเหนือเป็นตัวแทนความชั่วร้าย ที่ต้องจัดการ

    การมองโลกเป็นขาว-ดำ ขีดเส้นความดี-ความชั่วชัดเจน
    นอกจากจะทำให้มีเหตุผลและความชอบธรรมในการจัดการกับคนที่คิดไม่เหมือนตัว
    โดยติดฉลากว่าเป็นตัวชั่วร้ายแล้ว
    คนที่คิดแบบนี้ยังมีแนวโน้มที่จะหมกมุ่นกับการไล่ล่ากำจัดคนชั่วร้าย
    เพราะทำให้รู้สึกสบายใจว่าได้ทำหน้าที่คนดี
    และมั่นใจในความเป็นคนดีของตัว
    ยิ่งกำจัดคนชั่วมากเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกเป็นคนดีมากขึ้นเท่านั้น


    แต่ในความเป็นจริง โลกและชีวิตไม่ได้ขีดเส้นความดีความชั่วได้ง่ายอย่างนั้น
    ความดีกับความชั่วไม่ได้แยกจากกันเด็ดขาด คนเรามีทั้งดีและชั่วอยู่ด้วยกัน


    โซลเชนิตซิน นักเขียนรางวัลโนเบลชาวรัสเซีย
    ซึ่งเคยถูกจองจำในค่ายกักกันของสตาลิน พูดไว้อย่างน่าฟังว่า

    "มันจะง่ายดายสักเพียงใด
    ถ้าเพียงแต่ว่าคนชั่วร้ายอยู่ที่ไหนสักแห่ง และคอยทำแต่สิ่งชั่วร้าย
    เราก็แค่แยกคนพวก นั้นออกจากพวกเราแล้วก็ทำลายเขาเสีย เท่านั้นก็จบกัน
    แต่เส้นแบ่งความดีและความชั่วนั้นผ่าลงไปในใจของมนุษย์ทุกคน
    ใครเล่าที่อยากจะทำลายส่วนเสี้ยวในใจของตน?"


    ในการกำจัดคนชั่ว เรามีหลักประกันได้อย่างไรว่า
    เราจะไม่กลายเป็นคนชั่วเสียเอง เหมือนกับที่สตาลิน ฮิตเลอร์ เหมา พอลพต
    ได้พยายามชำระล้างความชั่วร้ายออกไปจากประเทศของเขา
    ด้วยการสังหารคนเป็นล้าน ๆ

    แต่แล้วคนเหล่านี้กลับกลายเป็นตัวแทนแห่งความชั่วร้ายในประวัติศาสตร์ยุคใหม่
    ทุกครั้งที่ใช้ความรุนแรงกำจัดคนชั่วร้าย
    ใช่หรือไม่ว่าความโกรธเกลียดและพยาบาทที่เกิดขึ้นในใจเราจะค่อย ๆ
    เปลี่ยนแปลงเราให้กลายเป็นคนชั่วร้ายไปด้วย
    สุดท้ายกลายเป็นว่าคนชั่วร้ายคนเก่าตายไป
    แต่คนชั่วร้ายคนใหม่เกิดขึ้นมาแทน ได้แก่เรานั่นเอง
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    • ก า ร ต่ อ สู้ กั บ วั ฒ น ธ ร ร ม แ ห่ ง ค ว า ม เ ก ลี ย ด ชั ง

    วัฒนธรรมแห่งความเกลียดชังแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวางมาก
    เพราะให้คำตอบสำเร็จรูป เข้าใจง่ายเนื่องจากมองอะไรเป็นขาว-ดำชัดเจนเจน
    เช่น ให้คำตอบว่าที่เยอรมันเสื่อมโทรมก็เพราะยิว
    ศาสนาฮินดูในอินเดียตกต่ำก็เพราะมุสลิม
    ศาสนาพุทธในเมืองไทยวุ่นวายก็เพราะศาสนาคริสต์และอิสลามอยู่เบื้องหลัง

    ใช่แต่เท่านั้น วัฒนธรรมแบบนี้ยังได้รับการหนุนหลังจากนักการเมือง
    ที่ต้องการหาคะแนนเสียงด้วยการสร้างความเกลียดชัง
    รวมทั้งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลที่ต้องการหาแพะรับบาป
    หรือโยนความผิดพลาดไปให้ผู้อื่น
    ยิ่งสร้างศัตรูภายนอกมาก ๆ
    ความจงเกลียดจงชังก็จะพุ่งเป้าไปที่คนเหล่านั้น
    แทนที่จะพุ่งมาที่รัฐบาล

    เราจะต้องถือเป็นภารกิจในการต่อสู้ทัดทานวัฒนธรรมแห่งความเกลียดชัง
    เริ่มต้นด้วยการไม่หลงติดกับการมองแบบทวิภาวะ
    แบ่งฝักฝ่ายหรือ ขีดเส้นขาว-ดำชัดเจน
    ตระหนักว่าเราเองก็มีส่วนแห่งความชั่วร้าย
    ที่สามารถแปรเปลี่ยนเราให้กลายเป็นคนชั่วร้ายไม่ต่างจากคนอื่น ๆ


    ความเกลียดชังนั้นเป็นปฏิปักษ์กับความจริง และชอบบิดเบือนความจริง
    กล่าวคือถ้าอยากจะทำให้ผู้คนเกลียดชังใครสักคน
    ก็ต้องสร้างภาพคน ๆ นั้นให้เป็นยักษ์เป็นมาร
    และเมื่อเกิดความเกลียดชังแล้ว
    ก็เห็นเขาไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป
    ดังนั้นเราจึงต้องพยายามแสวงหาความจริงอยู่เสมอ
    และปกป้องความจริงมิให้เป็นเหยื่อของความเกลียดชัง

    ในการรักษาใจไม่ให้ถูกครอบงำด้วยความเกลียดชัง
    นอกจาก ปัญญาที่แลเห็นความจริงแล้ว เมตตากรุณาก็สำคัญมาก
    ไม่ใช่เมตตากับคนใกล้ตัวเท่านั้น

    หากรวมไปถึงคนที่อยู่ไกลออกไป ไม่เว้นแม้กระทั่งคนที่เป็น "ศัตรู"
    หรือคนชั่วร้าย ที่มีพฤติกรรมน่ารังเกียจ
    เมตตากรุณาเช่นนี้แหละที่จะทำให้เรามั่นคงในความเป็นมนุษย์
    ไม่เห็นคนเป็นผักปลา แม้เขาจะเป็นคนชั่วร้ายก็ตาม


    เดี๋ยวนี้ผู้คนมีแนวโน้มที่จะมองคนบางประเภท
    อาทิอาชญากรว่าไม่ใช่คน
    ไม่มีสิทธิใด ๆ แม้กระทั่งสิทธิในชีวิต
    และสมควรถูกกำจัดโดยไม่ต้องคำนึงถึงกฎเกณฑ์ใด ๆ ทั้งสิ้น

    กรณี "ฆ่าทั่วไทย"ในสงครามยาเสพติดเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน
    ผู้คนแทบจะทั้งประเทศพากันแซ่ซร้องสนับสนุนเมื่อเกิดการฆ่าตัดตอนผู้ค้ายาเสพติด
    โดยไม่สนใจว่าผู้ฆ่านั้นจะเป็นโจรด้วยกันหรือเป็นตำรวจ
    เราต้องไม่ลืมว่าแม้ผู้ค้ายาจะเป็นอาชญากรร้ายแรง
    อย่างน้อยเขาก็ยังมีสิทธิในชีวิตซึ่งอย่าว่าแต่ศาสนาที่ลุ่มลึกเลย
    แม้แต่กฎหมายอย่างโลก ๆ ก็ให้ความคุ้มครองคนเหล่านั้น

    ดังนั้นจึงไม่สมควรด้วยประการทั้งปวง
    ที่ประชาชนเรียกร้องสนับสนุนให้รัฐยิงทิ้งคนเหล่านั้น
    ไม่ว่าด้วยการกระซิบหรือส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น
    เป็นผู้ลงมือโดยอ้างว่าเป็นการฆ่าตัดตอน
    และสามารถนำยอดคนตายไปเป็นผลงานได้

    ถึงอย่างไรเขายังก็เป็นมนุษย์ รัฐไม่มีสิทธิยิงทิ้งเขาตามใจชอบ
    และถึงแม้ว่าผู้ฆ่าตัดตอนเป็นผู้ค้ายาบ้าเอง
    เราก็ยังจำต้องค้านนโยบายดังกล่าว
    ที่เปิดโอกาสให้ผู้ค้ายาบ้าไล่ฆ่ากันเองโดยตำรวจไม่สนใจติดตามดำเนินคดี

    ทั้งนี้เพราะเขาเป็นประชาชน มีสิทธิได้รับการคุ้มครองจากรัฐ
    ตราบใดที่ศาลยังไม่ตัดสินว่าเขาเป็นผู้ผิด
    แม้ถูกตัดสินว่าผิดแล้ว ก็ยังมีสิทธิได้รับการคุ้มครองจากรัฐ
    ใครจะยิงทิ้งเขาในคุกตามอำเภอใจไม่ได้

    เวลานี้ใครที่ค้านนโยบายดังกล่าวจะถูกกล่าวหาว่า
    เป็นแนวร่วมผู้ค้ายาบ้าง
    เห็นว่าชีวิตของพวกค้ายามีความสำคัญมากกว่าตำรวจหรือผู้เสพยาบ้าง
    นี้ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ชี้ว่า

    ความจริงมักตกเป็นเหยื่อของวัฒนธรรมแห่งความเกลียดชัง
    แท้ที่จริงการคัดค้านนโยบายดังกล่าวเป็นความพยายามที่จะรักษาหลักนิติธรรม
    และการเคารพในสิทธิ ศักดิ์ศรี และคุณค่าของทุกชีวิต

    ที่สำคัญนี้เป็นการพยายามสถาปนาวัฒนธรรมแห่งสันติและสมานฉันท์
    เพราะหากวันนี้ฆ่าคนค้ายาบ้าได้เสรี
    ต่อไปก็ฆ่าขโมยย่องเบาได้ไม่ยาก
    จากนั้นก็เป็นการง่ายที่จะฆ่าใครก็ได้ที่เห็นต่างจากรัฐหรือคนส่วนใหญ่
    เมื่อไม่มีความอดกลั้น ไม่มีเมตตาธรรม
    ไม่เคารพกฎหมายหรือหลักนิติธรรม อะไร ๆ ก็ทำได้ทั้งนั้น

    ดังที่พวกก่อการร้ายฆ่าคนบริสุทธิ์หากเป็นประโยชน์ต่อแผนการของเขา
    ทั้งนี้โดยอ้างศาสนา ความยุติธรรม หรือเหตุผลที่สวยสดงดงาม
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    • อี ก ด้ า น ห นึ่ ง ข อ ง ค ว า ม สุ ด ขั้ ว วั ฒ น ธ ร ร ม แ ห่ ง ค ว า ม ล ะ โ ม บ

    ในยุคแห่งความสุดขั้ว ไม่ได้มีแค่วัฒนธรรมแห่งความเกลียดชังอย่างเดียว
    ควบคู่กับวัฒนธรรมแห่งความเกลียดชังก็คือ วัฒนธรรมแห่งความละโมบ
    ซึ่งมีอิทธิพลไม่น้อยในปัจจุบัน
    ทั้ง ๒ วัฒนธรรมมีลักษณะตรงข้ามกันหลายอย่างจนอยู่คนละขั้วก็ว่าได้
    ขั้วหนึ่งมีลักษณะผลักไส อีกขั้วมีลักษณะพุ่งเข้าหา
    ขั้วหนึ่งต้องการทำลายให้ดับสูญ
    อีกขั้วต้องการยึดถือครอบครองให้เป็นอมตะ

    ส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมแห่งความละโมบ คือ ลัทธิบริโภคนิยม
    ซึ่งกลายเป็นกระแสใหญ่อีกกระแสหนึ่งที่ครอบงำทั่วทั้งโลก
    มีอิทธิพลต่อชีวิตของผู้คนตั้งแต่เด็กไปถึงผู้ใหญ่
    แม้แต่วัยรุ่นก็ยอมขายตัวเพื่อจะได้มีโทรศัพท์มือถือ หรือกระเป๋ายี่ห้อแพง

    ทุกวันนี้คนรุ่นใหม่เอาอัตลักษณ์ของตนไปผูกติดอยู่ที่การบริโภค
    ตัวเองจะมีคุณค่าน่าภาคภูมิใจแค่ไหน ไม่ได้อยู่ที่ว่าทำดีหรือชั่ว
    แต่ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของสินค้าที่สวมใส่หรือครอบครอง
    เวลาจะรวมกลุ่ม ก็รวมกลุ่มเพื่อบริโภคมากกว่า
    เช่นเที่ยวห้าง ดูคอนเสิร์ต หรือรวมกลุ่มในหมู่คนที่ใช้ของยี่ห้อเดียวกัน

    แทบไม่มีมุมไหนของโลกที่ปลอดจากบริโภคนิยม
    อันเป็นผลจากโทรคมนาคมยุคโลกาภิวัตน์
    ดาวเทียมเป็นพาหะอย่างดีสำหรับการโฆษณา
    และรายการโทรทัศน์ที่กระตุ้นบริโภคนิยม

    เงินกลายเป็นสรณะอย่างใหม่
    ผู้คนต่างมุ่งถือเอาประโยชน์ส่วนตัวเป็นใหญ่
    ก่อให้เกิดผลกระทบตามมามากมาย
    สังคมจึงเต็มไปด้วยการเอารัดเอาเปรียบ
    การคอรัปชั่น สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม

    ขณะเดียวกันครอบครัวก็ร้าวฉาน ชุมชนแตกแยก
    เงินกลายเป็นตัวกลางความสัมพันธ์แทนที่ความรักความเอื้ออาทร
    ต่างเห็นซึ่งกันและกันเป็นเหยื่อที่จะเอาประโยชน์
    หรือเป็นศัตรูที่จะมาแย่งผลประโยชน์
    ใช่แต่เท่านั้นลึก ๆ ในจิตใจผู้คนก็แปลกแยกกับตัวเอง
    มีความเครียดและความกลัดกลุ้ม

    • วั ฒ น ธ ร ร ม ค ว า ม ล ะ โ ม บ กั บ ค ว า ม ย า ก จ น

    วัฒนธรรมแห่งความละโมบทำให้ปัญหาความยากจนเพิ่มขึ้น
    ในด้านหนึ่งผู้คนตกเป็นทาสของบริโภคนิยม
    ถอนตัวได้ยากเหมือนติดยาเสพติด เกิดปัญหาหนี้สิน
    โดยเฉพาะ การมีเครดิตการ์ดอย่างง่ายดาย
    ทำให้ภาวะหนี้สินและล้มละลายเพิ่มขึ้นในทุกประเทศ

    อีกด้านหนึ่งของวัฒนธรรมแห่งความละโมบ
    ก็คือการตักตวงทรัพยากร
    เช่น ที่ดิน แร่ธาตุ ธรรมชาติ ความหลากหลายทางชีวภาพ
    เพื่อมาตอบสนองลัทธิบริโภคนิยม ในกระบวนการดังกล่าว
    ทุกสิ่งทุกอย่างถูกแปรให้เป็นสินค้า
    ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิง เด็ก ประเพณี สัญลักษณ์ทางศาสนา

    สิ่งที่ตามมาคือการทำลายชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน
    สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม เกิดปัญหาความยากจน ควบคู่กับการกระจุกตัวของทรัพย์สิน

    โลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจได้ทำให้ปัญหานี้รุนแรงขึ้น อาทิ

    o การเปิดเสรีทางด้านการนำเข้า ทำให้ชาวนาชาวไร่ขายพืชผลได้น้อยลง
    o การเปิดเสรีทางด้านการลงทุนทำให้ทรัพยากรธรรมชาติถูกทำลายเร็วเข้า
    o การเปิดเสรีให้แก่อุตสาหกรรมการเกษตร
    ทำให้เกษตรกรรายย่อยล้มละลาย หาไม่ก็ต้องพึ่งวัตถุดิบ
    เช่น ปุ๋ย เมล็ดพันธุ์ ยาฆ่าแมลง ทำให้อาหารมีต้นทุนสูงขึ้น
    o การแปรรูปรัฐวิสาหกิจทำให้สาธารณูปโภคมีราคาแพงขึ้น
    o การลดสวัสดิการและเงินอุดหนุนทางด้านสาธารณูปโภค
    o มีผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านระดับล่างโดยตรง
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    • ส อ ง วั ฒ น ธ ร ร ม ใ น ยุ ค แ ห่ ง ค ว า ม สุ ด ขั้ ว
    ความต่างและความเหมือน


    กล่าวโดยสรุปในยุคแห่งความสุดขั้ว
    มีวัฒนธรรม ๒ ขั้วที่กำลังบั่นทอนชีวิต
    และผู้คนทั้ง ๒ มีที่มาและแรงสนับสนุนต่างกัน

    ในหลายประเทศ วัฒนธรรมแห่งความเกลียดชัง
    เป็นความพยายามของคนชายขอบที่ปกป้องตนเองและตอบโต้ภัยคุกคาม
    โดยอาศัยอัตลักษณ์และประเพณีดั้งเดิม

    ขณะที่วัฒนธรรมแห่งความละโมบ
    มักถูกกำหนดและกำกับโดยกลุ่มอิทธิพลในทางเศรษฐกิจ
    โดยเฉพาะบรรษัทข้ามชาติ
    ทั้งนี้โดยอาศัยเทคโนโลยีและค่านิยมใหม่เป็นเครื่องมือ

    สองกระแสใหญ่ยังมีความแตกต่างกันอีกหลายด้าน
    กล่าววัฒนธรรมแห่งความเกลียดชัง
    พยายามปลุกเร้าความกลัว เน้นความมั่นคง ความเป็นกลุ่มก้อน
    ขาดขันติธรรม และมีเส้นแบ่งความดีความชั่วชัดเจน

    ขณะที่วัฒนธรรมแห่งความละโมบ
    ปลุกเร้าความฝัน เน้นเสรีภาพ มีลักษณะปัจเจกนิยม
    และถือว่าไม่มีอะไรถูก อะไรผิด

    อย่างไรก็ตาม ทั้ง ๒ วัฒนธรรม มีสิ่งหนึ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ

    ต่างมีองค์ประกอบหรือลักษณะของศาสนา เช่น พิธีกรรม สิ่งศักดิ์สิทธิ์
    อีกทั้งยังทำหน้าที่เหมือนศาสนา

    กล่าวคือ ทำให้ชีวิตมีค่า มีความหมาย สร้างความเต็มอิ่มให้แก่ชีวิต
    วัฒนธรรมแห่งความเกลียดชังมีแรงดึงดูดไม่น้อย
    สำหรับคนที่ต้องการให้ชีวิตของตนมีคุณค่า
    คนเหล่านี้พร้อมตายได้เพื่อลัทธิศาสนา และเชื้อชาติของตน

    ส่วนวัฒนธรรมแห่งความละโมบแพร่หลายได้ส่วนหนึ่ง
    ก็เพราะผู้คนรู้สึกว่าวัตถุหรือสิ่งเสพต่าง ๆ
    ทำให้ชีวิตมีเป้าหมายน่าภาคภูมิใจ
    ทั้ง ๒ วัฒนธรรมสามารถสร้างความปีติเอิบอิ่ม
    ให้แก่ผู้คนได้โดยเฉพาะเมื่อรวมกลุ่มกัน
    ไม่ว่าจะเป็นการรวมกลุ่มประท้วงและทำลายศัตรูอีกฝ่ายหนึ่ง
    หรือการรวมกลุ่มกันชมคอนเสิร์ตหรือดูฟุตบอลโลก

    ที่สำคัญคือทั้ง ๒ วัฒนธรรมต่างตอบสนองความต้องการส่วนลึกของตัวตน
    วัฒนธรรมแห่งความเกลียดชังอาทิ ลัทธิเชื้อชาตินิยม
    และความเชื่อทางศาสนาแบบเคร่งจารีตหรือ fundamentalism
    เป็นที่นิยมเพราะตอบสนองความต้องการของผู้คนที่อยากมีตัวตนอมตะ

    ความเชื่อและความหวังว่า "ตัวตายแต่ชื่อยัง"
    ทำให้ผู้คนจำนวนมากมายยอมตายเพื่อเชื้อชาติหรือศาสนาของตน
    ขณะที่คนอีกมากรู้สึกว่าการเอาตัวตนไปผูกติดกับวัตถุสิ่งเสพ
    ทำให้รู้สึกว่าตัวตนมั่นคงไม่ว่างเปล่าหรือเคว้งคว้าง

    จะเห็นได้ว่าทั้ง ๒ วัฒนธรรมมีแรงดึงดูดทางด้านศาสนา
    จึงสามารถจับจิตใจคนได้มาก
    แม้ในหมู่คนที่ไม่เชื่อศาสนาก็ตาม
    จะเรียกว่าทั้งสองเป็นศาสนาสมัยใหม่ก็ได้

    แต่เป็นศาสนาเทียม
    ที่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการส่วนลึกซึ้งของมนุษย์ได้อย่างยั่งยืน
    แค่ให้ความสุขชั่วครั้งชั่วคราว
    อีกทั้งไม่ได้ก่อให้เกิดความสงบสันติแก่โลกได้อย่างแท้จริง
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    • เ ร า จ ะ ทำ อ ะ ไ ร ไ ด้ บ้ า ง

    สิ่งที่เราทำได้ในสถานการณ์ดังกล่าวก็คือ

    ๑) ไม่หลงตกเป็นเหยื่อของศาสนาเทียมเหล่านี้
    ดังได้กล่าวแล้วว่าวัฒนธรรมแห่งความเกลียดชัง
    และความละโมบมีแรงดึงดูดทางศาสนา
    และสามารถมีอิทธิพลในหมู่คนที่ต้องการแสวงหาความหมายของชีวิต

    นี้ก็ไม่ต่างจากลัทธินาซีที่สามารถดึงดูดหนุ่มสาวและปัญญาชนเยอรมัน
    ที่มีอุดมคติ จำนวนมาก ให้มาสนับสนุนฮิตเลอร์อย่างสุดจิตสุดใจ

    ในทำนองเดียวกันลัทธิคอมมิวนิสต์ในรัสเซียและจีน
    ก็ได้รับความสนับสนุนจากหนุ่มสาวจำนวนมากมาย

    พร้อมกันนั้นเราก็ต้องมีความมั่นคงในจิตใจ
    พอที่จะไม่ยอมให้วัฒนธรรมทั้ง ๒ ขั้วบีบบังคับให้เราเข้าไปสนับสนุนมัน
    หรือเป็นทาสของมัน
    แม้จะถูกกล่าวหาว่าไม่รักชาติ รักศาสนา
    หรือถูกค่อนแคะว่าไม่ทันสมัย ไม่เอาเพื่อนก็ตาม

    ๒) พยายามเข้าถึงศาสนธรรมที่แท้จริง ซึ่งมีอยู่แล้วในมนุษย์ทุกคน
    ศาสนาที่แท้จริงนั้นสามารถนำทางให้เราเข้าถึงได้ศาสนธรรม
    หรือความลุ่มลึกทางจิตวิญญาณได้
    แต่ศาสนาเทียม รวมทั้งลัทธิเคร่งจารีต อาจนำไปผิดทางได้

    ศาสนธรรมที่แท้ ต้องมีพื้นฐานอยู่ที่สำนึกแห่งความเป็นมนุษย์
    อันได้แก่ความเมตตา ไม่มุ่งเบียดเบียน จิตไม่คับแคบ
    และมีทัศนะที่ไปพ้นทวิภาวะ ไม่แบ่งเขาแบ่งเรา
    หรือขีดเส้นแบ่งดีชั่วชัดเจน จนเป็นสูตรสำเร็จรูป หรือเป็นกลไก

    ศาสนธรรมที่แท้ยังจะช่วยให้เราเข้าถึงความสุขประณีตจากภายใน
    ทำให้เราไม่ตกเป็นทาสของวัตถุหรือบริโภคนิยม

    ศาสนธรรมที่แท้ต้องช่วยให้เราตระหนักถึงจุดอ่อน
    หรือความชั่วร้ายที่แฝงฝังอยู่ในตัวเรา
    และไม่ปล่อยให้มันเข้ามาเป็นใหญ่


    ตระหนักว่ากิเลส
    อาทิ ความมักใหญ่ใฝ่สูงอาจจะแฝงตัวมาในคราบของอุดมคติ
    หรือแม้แต่กระแสเสียงของพระเจ้าได้


    เช่นเดียวกับความโกรธเกลียดสามารถจะผลักดัน
    ให้ผู้คนเข่นฆ่าเพื่อนร่วมชาติในนามของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ดังกรณี ๖ ตุลา

    ๓) ตีแผ่และเปิดเผยความจริงที่ถูกบิดเบือนและปิดบัง
    ทั้งนี้เพราะความจริงมักเป็นเหยื่ออันดับแรกของวัฒนธรรมทั้ง ๒ ขั้ว

    ขณะที่วัฒนธรรมแห่งความเกลียดชัง
    ทำให้คนกลุ่มหนึ่งถูกวาดภาพว่าเป็นตัวเลวร้าย
    เพียงเพราะต่างเชื้อชาติต่างศาสนา
    (หรือเพียงเพราะไม่เห็นด้วยกับกลุ่มคนที่มีความเชื่ออันคับแคบดังกล่าว)

    วัฒนธรรมแห่งความละโมบ
    ก็ใช้สื่อเพื่อวาดภาพสินค้าให้ดูสวยหรูเลอเลิศ
    และสามารถดลบันดาลให้ผู้บริโภคกลายเป็นคนใหม่ได้

    ๔) ร่วมกันยับยั้งมิให้วัฒนธรรมทั้ง ๒ ขั้วแพร่กระจาย
    ไม่ว่าจะสร้างความเกลียดชัง ความเป็นปฏิปักษ์ในสังคม
    หรือกระตุ้นตัณหาจนเกิดการเอารัดเอาเปรียบและแย่งชิงทรัพยากร

    ในการนี้เราควรยับยั้งขัดขวางกลไก มาตรการ
    และโครงสร้างทางเศรษฐกิจการเมือง
    ที่ส่งเสริมให้เกิดความรังเกียจเดียดฉันท์ในทางเชื้อชาติศาสนา
    หรือมุ่งแต่ความเจริญทางวัตถุ
    โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อชีวิตและความผาสุกในสังคม
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]

    ๕) ร่วมกันสร้างวัฒนธรรมแห่งสันติและสมานฉันท์
    อันมีพื้นฐานอยู่ที่ศาสนธรรมที่แท้จริง

    กล่าวคือเคารพคุณค่าของชีวิตและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
    เห็นสรรพชีวิตเป็นพี่น้องกัน
    ควรส่งเสริมให้เกิดระบบการศึกษา
    และสื่อสารมวลชนที่ตั้งมั่นในสัจจะและส่งเสริมภราดรภาพ
    ไม่ตกเป็นเหยื่อของลัทธิบริโภคนิยมตลอดจนเชื้อชาตินิยมแบบคับแคบ

    ๖) ผสานศาสนธรรมเข้าไป
    เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการและเครือข่ายภาคประชาชน
    ทั้งในด้านวิสัยทัศน์และในด้านปฏิบัติการทางสังคม

    การมีวิสัยทัศน์ที่อิงอยู่กับศาสนธรรม
    หมายถึงการมีเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่ความผาสุกทางจิตใจ
    มิใช่มุ่งแต่ความเจริญมั่งคั่งทางโภคทรัพย์
    ทั้งนี้โดยตระหนักว่าความสุขขั้นสูงสุดคืออิสรภาพทางจิตใจ

    การเปลี่ยนแปลงทางสังคมต้องเป็นไป
    เพื่อให้เกิดชีวิตที่ดีงามทั้งทางกายและใจ
    ไม่หยุดเพียงแค่อยู่ดีกินดีทางวัตถุ
    พร้อมกันนั้นก็ช่วยให้ตระหนักถึงความเป็นเอกภาพของมนุษยชาติ
    ไม่แบ่งแยกเป็นฝักฝ่าย เห็นว่ามนุษย์กับธรรมชาติต้องอยู่อย่างบรรสานสอดคล้อง


    ในด้านปฏิบัติการทางสังคมก็ควรอิงอยู่กับศาสนธรรม
    กล่าวคือมั่นคงในสันติวิธี มีเมตตาธรรมเป็นพื้นฐาน
    ไม่ถือเอาความรุนแรงเป็นคำตอบ
    เปิดโอกาสให้ผู้คนได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจทุกขั้นตอน
    มิใช่รวมศูนย์อยู่ที่ผู้นำ

    ทั้งนี้โดยตระหนักว่าวัฒนธรรมแห่งความเกลียดชังและความละโมบนั้น
    มีรากเหง้าที่ลึกลงลึกไปในจิตใจของผู้คน

    ขณะเดียวกันก็ครอบงำกำกับผู้คนผ่านโครงสร้างที่อยู่เหนือตัวบุคคล
    ความรุนแรงนั้นขจัดได้แค่ตัวบุคคล
    แต่ไม่สามารถขจัดความเกลียดชังและความละโมบไปจากจิตใจของผู้คนได้

    อีกทั้งไม่สามารถสถาปนาโครงสร้างและวัฒนธรรมอันสันติขึ้นมาได้
    มีแต่สันติวิธีเท่านั้นที่จะเปลี่ยนจิตใจของผู้คนและนำโครงสร้างใหม่มาแทนที่ได้

    พลังของศาสนธรรมอีกประการหนึ่งก็คือ
    ความสามารถในการประสานผู้คนให้เชื่อมโยงถึงกัน
    จนเกิดเป็นเครือข่ายระดับโลก
    ดังเห็นได้จากกระแสต่อต้านสงครามอิรักที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้
    กระแสดังกล่าวเกิดขึ้นทุกมุมโลก
    และกำลังจะเชื่อมโยงกันหนาแน่นมากขึ้นทุกที

    ทั้งนี้เพราะมีความสำนึกร่วมกัน
    อันได้แก่ความเอื้ออาทรและความสำนึกในภราดรภาพระหว่างมนุษยชาติ
    แม้คนเหล่านี้จะต่างเชื้อชาติ ต่างศาสนา ต่างภาษาก็ตาม
    สำนึกดังกล่าวได้ทำให้คนเล็กคนน้อย
    กลายเป็นพลังระดับโลกที่มหาอำนาจนึกไม่ถึง
    แม้วันนี้จะยังไม่อาจยับยั้งผู้นำที่คลั่งอำนาจได้

    แต่หากสงครามยืดเยื้อนานวัน
    พลังของเครือข่ายสันติภาพทั่วทั้งโลก
    ย่อมแข็งแกร่งจนอาจยุติสงครามนี้ได้ในที่สุด

    สงครามฉันใด วัฒนธรรมสุดขั้วทั้ง ๒ กระแสก็ฉันนั้น
    เครือข่ายประชาชนระดับโลกที่มีศาสนธรรมเป็นพื้นฐาน
    ย่อมสามารถทัดทานมิให้นำพาโลกสู่หายนะได้ในที่สุด

    แต่จะทำเช่นนั้นได้เราต้องเริ่มต้น
    ด้วยการกลับไปค้นหาศาสนธรรมในตัวเราให้พบ
    และนำมาเป็นพลังในการฝึกฝนตน
    และสร้างสรรค์สังคมอย่างไม่รู้จักย่อท้อหรือสิ้นหวัง..

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    (ที่มา : <!-- m -->http://skyd.org/html/sekhi/56/14-crisis.html<!-- m --> : ศาสนธรรมในกระแสแห่งกลียุค : พระไพศาล วิสาโลในจดหมายข่าวเสขียธรรม (ปรับปรุงจากเค้าโครงการบรรยายในหัวข้อเดียวกัน จัดโดยโครงการ Asian Public Intellecutal Fellowship ของมูลนิธินิปปอน ณ ห้องประชุมจุมภฏ บริพัตร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๔๖
     
  10. oomsin2515

    oomsin2515 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    2,934
    ค่าพลัง:
    +3,393
    อนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ที่นำสาระ ดี ๆ มาให้อ่านครับ
    สาธุ สาธุ สาธุ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p



    _____________________________<O:p</O:p
    เชิญร่วมบริจาคหนังสือ เข้าห้องสมุดชุมชนวัดย่านยาว<O:p</O:p
    http://palungjit.org/showthread.php?t=130823<O:p</O:p
    ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพบูรณะศาลาการเปรียญวัดย่านยาว<O:p</O:p
    http://palungjit.org/showthread.php?t=153325<O:p</O:p
     

แชร์หน้านี้

Loading...