สอบถามเรื่อง สวดมนต์ค่ะ

ในห้อง 'บทสวดมนต์ - คาถา' ตั้งกระทู้โดย onkoi, 5 ตุลาคม 2014.

  1. onkoi

    onkoi Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +72
    สงสัยมานานแล้วค่ะ ถ้าเราไม่ได้สวดแบบที่พระสวดเป็นทำนอง เป็นจังหวะ
    แต่สวดแบบอ่าน แบบอาขยาน ก็ได้ใช่มั้ยคะ เทวดาท่านจะชอบ ท่านจะเมตตามั้ยคะ ขอบคุณค่ะ
     
  2. มันไม่แน่

    มันไม่แน่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2013
    โพสต์:
    1,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +7,955
    ได้...ไม่มีปัญหาครับ
     
  3. T.cha

    T.cha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2010
    โพสต์:
    148
    ค่าพลัง:
    +641
    ออกเสียงให้ถูกต้อง ถูกอักขระ ชัดเจน เป็นใช้ได้ครับ...เรื่องเทวดาชอบไม่ชอบ ไม่ต้องกังวลครับ...
     
  4. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,850
    ระดับความพึงพอใจของเทวดาน่าจะอยู่ที่กำลังสมาธิอ่ะครับ ถ้าจิตนิ่งมากจะเป็นบุญใหญ่ เมื่ออุทิศให้เทวดา ท่านจะโปรดมาก ดังนั้นสมาธิในการสวดมนต์สำคัญกว่าจังหวะและทำนองมาก

    เมื่อปี๒๕๒๘พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านได้ขอให้บรรดาลูกหลานใช้พระคาถาเงินล้านเพื่อเสริมสร้างความคล่องตัวในการดำเนินชีวิตพระท่านก็อนุญาตให้เราจะสังเกตได้ว่าใครก็ตามที่ทำพระคาถาเงินล้านเป็นกรรมฐานอย่างสม่ำเสมอความคล่องขัดในการดำเนินชีวิตจะมีน้อยกว่าคนอื่นเขาขอยืนยันคำว่าจริงจังและสม่ำเสมอเพราะว่าเรื่องคาถาเป็นพื้นฐานของอภิญญาคนจะเป็นอภิญญาได้จะต้องมีความจริงจังและสม่ำเสมอ ไม่ใช่ทำ ๆ ทิ้งๆเมื่อท่านทั้งหลายได้ทำจริงจังและสม่ำเสมอ โดยเฉพาะทำในจำนวนที่มาก อย่างเช่นว่าอาจจะภาวนาวันละ ๑๐๘ จบ เป็นต้นก็จะมีความสะดวกคล่องตัวกว่าคนอื่นเขา
    โดยเฉพาะอาตมานั้น ตั้งแต่ท่านบอกมา ใช้การภาวนาจากที่เคยใช้อยู่ ๙ จบก็เพิ่มมาเป็น ๓๐ จบ....
    จากที่ใช้ ๓๐ จบ แล้วรู้ว่าเวลามันเหลืออีกเยอะ ก็เพิ่มเป็น ๓๐๐จบ.......
    ไล่มากเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ เป็น ๓๖๐ จบ เป็น ๖๐๐ จบ เป็น ๙๐๐ จบเป็น๑,๒๐๐ จบ เป็นต้น
    การท่องใช้วิธีท่องอย่างช้า ๆ โดยจับลมหายใจภาวนาไปด้วย เป็นการเน้นคุณภาพไม่ใช่จ้ำ ๆ ให้จบไป สักแต่ว่าเอาปริมาณ เรื่องของคาถาถ้าทำด้วยความเคารพจริงจังและสม่ำเสมอแล้ว ไม่เกิน ๒เดือนผลก็จะเกิดขึ้น
    credit:


    พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านมาโปรด ท่านบอกว่า "ถ้าภาวนาคาถาเงินล้านเป็นกรรมฐาน ทรงอารมณ์โดยไม่เคลื่อนเลยวันละ ๑ ชั่วโมงจะสร้างโบสถ์กี่หลังก็ทำได้"

    ญาติโยมทั้งหลายนั้นแม้จะทราบว่าคาถาเงินล้านเป็นของดีแต่ไม่ค่อยจะทำอย่างสม่ำเสมอ ไม่ค่อยต่อเนื่องบางคนก็มาบ่น บอกว่ามีความลำบากในการทำมาหากินมาก อาตมาก็บอกคาถาเงินล้านให้ไปใช้เขาบอกว่าเขาภาวนาเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว ถามว่า "โยมภาวนาวันละกี่จบ ?"โยมบอกว่า"๑ จบ"อาตมาก็อยากจะบอกว่า"จบเห่"คนอยากรวยทำงานวันละ ๑ นาที ขนาด ๒๔ ชั่วโมงทำ ๘ ชั่วโมงยังไม่ค่อยจะพอกินเลย จึงได้บอกให้ญาติโยมทั้งหลายไปเพิ่มจำนวนขึ้นทำให้จริงจังและสม่ำเสมอ โดยให้ยึดที่ ๑๐๘ จบ เป็นหลักเพราะว่าภาวะเศรษฐกิจไม่ใช่แต่บ้านเราเท่านั้น เศรษฐกิจโลกก็พลอยแย่ไปด้วยถ้าหากว่าเราอาศัยบารมีพระยึดท่านเป็นที่พึ่งสุดท้ายจริง ๆ ทำแบบมอบหมายถวายชีวิตจริง ๆขอยืนยันว่าทุกอย่างก็จะเป็นจริงไปด้วย

    ท่านให้ภาวนาคาถาเงินล้านอย่างเดียว ตอนที่ภาวนาตามที่ท่านสั่ง ทำไป ๆเหมือนกับตัวเองดิ่งลึกลงไปเรื่อย ๆจนในที่สุดลมหายใจมันก็ลึกหมือนกับเหวที่ไม่มีก้นญาติโยมทั้งหลายจำตรงนี้ไว้ให้แม่น ๆหากว่าภาวนาจับลงที่ศูนย์กลางกายถ้าตรงจุดพอเหมาะพอดีมันจะลึกลงไปเรื่อย ๆ เหมือนเหวที่ไม่มีก้นแบบที่หลวงปู่สดท่านบอกว่าให้หยุดลงตรงกลาง....ตรงกลางลงไป...ตรงกลางลงไปก็จะไปได้เรื่อย ๆ อาตมาเองมีประสบการณ์หลายครั้งแล้วว่าไม่ว่าภาวนาคาถาบทไหนก็ตาม ถ้าหากว่ามาถึงตรงจุดนี้คาถาบทนั้นจะมีผลมาก เพราะฉะนั้นพวกเราทุกคนทำให้ถูกตรงนี้ ถ้าทำถูกไม่ต้องไปท่องเป็นร้อยเป็นพันจบก็ได้เพราะว่าอารมณ์เต็มที่มันก็จะไม่เกินนั้น
    **
    องค์พระปัจเจกพุทธเจ้าต้องการให้พวกเราทุกคนเข้าใจถึงวิธีในการเจริญภาวนาคาถาเงินล้านเพื่อให้เกิดผลสูงสุดที่จะพึงมีพึงได้ตามวาสนาบารมีของแต่ละคนดังนั้นขอให้ทุกท่านตั้งกายให้ตรง แต่ไม่ใช่เกร็งเวลาหายใจเข้า นึกถึงคาถาเงินล้านที่เราภาวนา ไหลตามลมหายใจเข้าไปจนสุดลมหายใจของเรา ให้อยู่ตรงนั้น นั่นคือศูนย์กลางกาย
    ให้ทุกคนขยับโยกหน้าโยกหลัง หาความตรงพอดี ๆ ให้เป็นศูนย์กลางของเราเสร็จแล้วคำภาวนาทั้งหมดของเรา ให้กำหนดจดจ่อลงตรงนั้น โดยใช้สมาธิเพียงเบา ๆท่านที่ทรงสมาธิในระดับใช้งานได้จะเข้าใจตรงจุดนี้เลยแต่ถ้าหากว่าท่านที่ยังไม่เข้าใจ ให้รู้สึกเหมือนลมหายใจแตะแผ่ว ๆอยู่ตรงศูนย์กลางกาย แล้วภาวนาคาถาเงินล้านของเราไปเรื่อย ๆ
    องค์พระปัจเจกพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่าถ้าใครสามารถทำอย่างนี้ได้ต่อเนื่องกัน วันละประมาณ ๑ ชั่วโมงจะมีความคล่องตัวมาก จะทำงานใหญ่ขนาดไหน เงินทองก็จะไม่ขาดมือยิ่งถ้าเป็นบุคคลที่เริ่มด้วยทานบารมีมาตั้งแต่อดีตทรัพย์สินเงินทองจะไหลมาเทมามากเป็นพิเศษ
    ดังนั้น..ให้ทุกคนขยับหาจุดกึ่งกลางของเราที่พอดีโดยไม่ต้องเกร็งตัวเอง กำหนดความรู้สึกทั้งหมด พร้อมลมหายใจและคาถาเงินล้านของเราให้ลงไปที่กึ่งกลาง ให้ออกมาจากกึ่งกลาง โดยให้สัมผัสเพียงเบา ๆ เท่านั้นให้รักษาอารมณ์ใจอย่างนี้ไว้จนกว่าจะได้ยินเสียงสัญญาณบอกหมดเวลา

    ที่มา
    เคล็ดการสวดคาถาเงินล้าน จากหลวงพี่เล็ก วัดท่าขนุน


    บุญใหญ่
    อานิสงส์ของสมาธินั้น มีมากกว่าการรักษาศีลอย่างเทียบกันไม่ได้
    ซึ่งพระพุทธองค์ได้ตรัสว่า " แม้จะได้อุปสมบทเป็นภิกษุรักษาศีล ๒๒๗ ข้อ ไม่เคยขาด ไม่ด่างพร้อยมานานถึง ๑๐๐ ปี ก็ยังได้บุญกุศลน้อยกว่าผู้ที่ทำสมาธิเพียงให้จิตสงบนานเพียงชั่วไก่กระพือปีก ช้างกระดิกหู "

    เทวดาต้องการบุญ
    พระอินทร์ท่านไปสวนนันทวัน เทวดาทั้งหมดก็ตามไป ปรากฏว่าไปเจอะเทวดา ๔ องค์มีแสงสว่างมากกว่าพระอินทร์ แต่เกิดทีหลัง พระอินทร์ไม่ทราบ เพิ่งเห็นในวันนั้น เห็นเข้าแล้วก็ถามปัญจสิกขเทพบุตร ถามว่าเทวดา ๔ องค์มาเกิดตั้งแต่เมื่อไหร่

    ปัญจสิกขเทพบุตร ก็บอกว่าเพิ่งมาเกิดเมื่อวานนี้เองครับ พระอินทร์เห็นว่าเทวดาที่เป็นลูกน้องมีแสงสว่างมากกว่าก็ไม่สบายใจ ประกาศสั่งกลับเวชยันตวิมานทันที

    …….แล้วก็มานั่งนึกดู ว่าเวลานี้มีที่ไหนบ้างที่จะเป็นบุญกุศลใหญ่ ก็ทราบว่าพระมหากัสสปะออกจากนิโรธสมาบัติ ตั้งใจจะไปใส่บาตรขณะที่ท่านเตรียมตัวอยู่ พอดีนางฟ้าทั้งหมดก็กลับไปถึงพอดี นางฟ้าก็ถามว่าพ่อเจ้าจะไปไหน ท่านก็บอกว่าฉันจะไปใส่บาตรพระมหากัสสปะ พวกนางฟ้าบอกอย่าไปเลยเจ้าข้า พวกฉันไปมาแล้ว ท่านพระมหากัสสปะท่านไล่กลับมา ท่านบอกท่านจะสงเคราะห์คนจน พระอินทร์ก็เลยบอกว่าถ้าไปอย่างเธอพระมหากัสสปะก็ขับ ถ้าไปอย่างฉันพระมหากัสสปะไม่ขับ

    ท่านสองคนตายายก็แปลงเป็นคนแก่ เนรมิตกระท่อมเล็กๆอยู่ชายเมือง ทำเป็นคนแก่สองคนไม่มีลูกไม่มีหลาน เอาจิตก็ตั้งใจนึกว่าวันนี้เราจะใส่บาตรพระมหากัสสปะ ถ้าจิตใครเขานึกอยู่ความเป็นทิพย์นี่มันจะชนกันทันที พอ ดีพระมหากัสสปะก็ใคร่ครวญคิดว่าวันนี้จะมีใครใส่บาตรกับเราบ้าง จิตก็ไปชนกันเข้ากับสองคนตายายอยู่นอกเมืองแก่มาก ลูกหลานก็ไม่มี ต้องทำเลี้ยงตัวเองมีความลำบากและก็มีความยากจน ฉะนั้นวันนี้เราจะสงเคราะห์ให้สองคนตายายเป็นคนร่ำรวย จึงได้ห่มจีวรประคองบาตรแล้วก็เหาะไปจากยอดภูเขา พอใกล้จะถึงนั่นก็ลงเดิน เดินไป

    เวลานั้นพระอินทร์แปลงเป็นคนแก่ ทำทีเหมือนคนดายหญ้าถอนหญ้าอยู่ เห็นพระมหากัสสปะเข้า ท่านบอกว่า เอวังปิตัตถะ ภันเต ซึ่งแปลว่า ขอพระคุณเจ้าหยุดก่อนเถิดเจ้าข้า นิมนต์ก่อนขอรับ พระมหากัสสปะก็หยุด ท่านก็แกล้งเรียกชายาว่า ยาย….อาหารของเราเสร็จหรือยัง เวลานี้พระท่านมาโปรด ยายก็บอกเสร็จแล้วเจ้าข้า

    เห็นไหมพระอรหันต์ก็ถูกต้มเหมือน กัน ไม่ต้มนี่ขั้นตุ๋นเลยนะ และความจริงความเป็นทิพย์พระอรหันต์นี่ไม่ได้ใช้ทุกเวลานะ ใช้เฉพาะเวลา ไม่เหมือนพระพุทธเจ้า เวลาที่มีความจำเป็นต้องการจะรู้จึงจะรู้ ถ้าไม่มีความจำเป็นก็ไม่รู้ และสิ่งที่เขาทำมาแล้วในกาลก่อนต้องการรู้ก็รู้ได้ และส่วนใหญ่พระอรหันต์นี่ไม่อยากจะรู้ เพราะขี้เกียจรู้ ซึ่งมันเป็นกังวล

    ท่าน ยายก็เอาอาหารมาให้ตา สองคนตายายก็ช่วยกันใส่บาตร อาหารอันเป็นทิพย์ที่พระมหากัสสปะท่านอยู่ในป่า ท่านฉันเป็นปกติ อาศัยเทวดาฉัน พอใส่บาตรไอ้กลิ่นอาหารที่เป็นทิพย์ก็ไปชนจมูกท่านพระมหากัสสปะเข้า แตะจมูกนะ แตะจมูกหน้าหงายตาโพลงแล้วนี่ พอตาโพลงลุกขึ้นมามีความสงสัยก็ทราบทันทีว่านี่คือพระอินทร์

    ก็ถามท้าวโกสีย์ทำไมถึงทำแบบนี้

    พระอินทร์ก็ถาม ทำไมครับ ผมจะใส่บาตร

    พระมหากัสสปะถาม ทำไมมาแย่งคนจน พระออกจากนิโรธสมาบัติเขาจะสงเคราะห์คนจน

    พระอินทร์ก็บอกว่า ผมก็จนครับ

    ท่านถามว่า จนยังไงในเมื่อเป็นหัวหน้าเทวดา

    ท่าน ก็เลยบอกว่าเวลานี้มีเทวดาเกิดใหม่ ๔ องค์ มีแสงสว่างมากกว่าผม ในฐานะที่ผมเป็นราชาปกครองเทวดามีแสงสว่างไม่เท่าเขา ผมทนไม่ไหวจำเป็นต้องทำบุญต่อ

    พระมหากัสสปะก็บอกว่า ทีหลังอย่าทำอย่างนี้อีกนะ

    มัน เสร็จไปแล้ว เขาใส่บาตรแล้ว บุญเขาได้แล้วใช่ไหม บอกว่าทีหลังอย่าทำอย่างนี้อีกนะ พระอินทร์ท่านก็ไม่ตอบ แสดงว่าไม่ยอมรับใช่ไหม ถ้าโง่ต่อไปอีกก็เอาอีก

    ……..ก็เป็นอันว่าเมื่อพระมหากัสสปะปิดบาตรกลับ พระอินทร์ก็เหาะขึ้นไปบนอากาศกล่าววาจาถือข้อความปลื้มใจว่า สุทินนัง จะตะ เม ทานัง อะโห ทานัง ปรมัตทานัง มหาสเปนะ อาสวะคะยาวะหัง โหตุ แปลง่ายๆบอก ทานที่เราถวายพระมหากัสสปะเป็นทานที่ดีแล้ว ต่อไปข้างหน้าขอให้ฉันไปนิพพานเถอะ

    เสียง นี้ก็ก้องไปในวิหารที่พระพุทธเจ้ากำลังเทศน์อยู่ พระก็ถามสมเด็จพระบรมครูว่าเสียงอะไรพระพุทธเจ้าข้า พระพุทธเจ้าก็บอกว่า ภิกษุทั้งหลาย กัสสปะลูกตถาคตเสียท่าพระอินทร์อีกแล้ว เห็นไหมพระถูกต้ม….

    ก็ เป็นอันว่าการทำบุญของบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทในวันนี้ ถ้าจะถามว่าการทำบุญกับพระที่ออกจากนิโรธสมาบัติกับการถวายสังฆทาน ใครจะมีอานิสงส์มากกว่ากัน การออกจากนิโรธสทาบัติเป็นทานส่วนบุคคลนะ เป็นเฉพาะบุคคล การถวายสังฆทานเป็นทานในหมู่สงฆ์ การถวายสังฆทานมีอานิสงส์มากกว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ตุลาคม 2014
  5. onkoi

    onkoi Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +72
    ขอบพระคุณทุกๆท่านมากค่ะ

    จะตั้งใจทำอย่างเต็มที่ ทำให้ดีที่สุด
     

แชร์หน้านี้

Loading...