"สัจจะธรรมคือชีวิตจริง"

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย บ้องแบ้ว, 28 กันยายน 2016.

  1. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,294
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    "สัจจะธรรมคือชีวิตจริง"

    สัจจะธรรม ก็คือความจริงของธรรมชาติ ที่มีอยู่แล้วในสรรพสิ่งทั้งหลาย โดยเฉพาะในกายและใจของเรานี้เอง การเห็นสัจจะธรรมนั้น ไม่ใช่ว่าเห็นการเกิดดับของธรรมชาติ มีต้นไม้ ลำธาร วิหาร ลานเจดีย์ แม่น้ำ ภูเขา หรืออะไรก็ตามแต่ ว่าเป็นของไม่เที่ยง ไม่จีรังยั่งยืน ย่อมเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา.... ถ้าใครเห็นแบบนั้น ถือว่าเห็นผิด เข้าใจผิด เรื่องสัจจะธรรมอย่างมาก เพราะพระพุทธองค์ไม่ได้สอนเรื่องสัจจะธรรมที่อยู่นอกตัวเราเองเลย แต่ทรงสอนให้เรียนรู้และทำความเข้าใจสัจจะธรรม ในกายและใจของตนนี้เท่านั้น

    หลักการสำคัญในการปฏิบัติเพื่อเรียนรู้เรื่องสัจจะธรรมนั้น ต้นกำเนิดเกิดจากตัวเราเองเป็นอันดับแรก คือ......

    1. การฝึกพิจารณาให้เกิดสติปัญญาเห็นว่ากายนี้เป็นของไม่เที่ยง เป็นของไม่น่าใคร่ เป็นของน่าเกลียด เป็นที่อยู่ของโรคภัยทั้งหลาย เป็นรังของอวิชชา เป็นที่ก่อตั้งตัวกิเลสตัณหาทั้งหลาย เป็นบ้านของอาสวะทั้งปวง มันเป็นไปตามธรรมชาติ ของบุญบาปที่เราสร้างขึ้นมาเอง ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เป็นต้น

    2. การฝึกพิจารณาให้เห็นถึงอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ที่อยู่ภายในใจนี้ว่า มันเกิดขึ้นและดับไปเป็นธรรมดา และมันจะเกิดๆ ดับๆ อยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ตราบใดที่ยังมีร่างกายให้มันยึดเกาะอยู่ เพราะอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดต่างๆ เกิดจากวิญญานขันธ์ ที่มีตัว สังขาร ทำหน้าที่ปรุงแต่งเรื่องต่างๆ ให้กับ สัญญา แล้วเอาไปเก็บใว้ เพื่อสร้าง เวทนา ให้เกิด กับรูปกายใหม่ๆ ที่จะเกิดอีกในชาติต่อไป หรือสร้างสภาวะนั้นๆ ให้เพิ่มพูนขึ้นในปัจจุบัน จนบางทีอารมณ์บางอย่างจะรุนแรงแบบที่ไม่เคยเป็น เช่นบางคนอาจจะสังเกตุตัวเองว่า สมัยเป็นเด็กหรือเป็นวัยรุ่น ความโกรธจะไม่ค่อยมีมากเท่าไหร่ แต่พอเข้าวัยกลางคน มีครอบครัวแล้ว ไม่รู้มันมาจากไหน เป็นคนละคนไปเลยก็มี ความฉุนเฉียว จู้จี้จุกจิก มันมาได้ยังงัย ทั้งที่เมื่อก่อนนั้นไม่เคยเป็น อย่างนี้เป็นต้น

    เราจะเห็นว่าเพราะการสะสม เรื่องต่างๆที่เป็นตัวทำร้ายจิตใจที่เคยอ่อนโยน ว่านอนสอนง่าย เชื่อฟังคนอื่นมาตั้งแต่เด็ก โตมากลับดื้อด้าน สอนยาก เหตุเพราะความเครียดในสังคม ไม่ว่าจะเรื่องงาน เรื่องเรียน เรื่องเพื่อน เรื่องแฟน เรื่องเงินทอง เรื่องหนี้สิน แล้วก็มาจบที่เรื่องครอบครัว เป็นสำคัญ เพราะเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านเข้ามา เราทุกคนมักจะรับเรื่อง ไม่ดีเข้ามาแล้วไม่ยอมปล่อยมันออก มักจะเก็บใว้ในใจ จนเพิ่มพูนเป็นภูเขาลูกใหญ่ และเมื่อเวลาผ่านไป ก็อาจจะหลงๆลืมไปบ้าง แต่พอนึกได้ ความรู้สึกเหล่านั้นกลับมีผลกับจิตใจเราได้เหมือนเดิม เช่นเรื่องความรัก เวลาที่เรารักใครมากๆ แล้ววันหนึ่งเขาเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตกระทันหัน จะเป็นแฟนหรือลูก หรือพ่อแม่ก็ตาม เชื่อเถอะว่า ความเสียใจนั้นประมาณไม่ได้ เพราะมันมากเหลือเกิน เหล่านี้แหละที่เราสะสมเอาใว้ ความเสียใจมันไม่ได้หายไปไหน แต่ถูกเก็บใว้ด้วยการทำงานของขันธ์ ๕ โดยอัตโนมัติ แม้จะร้องไห้คร่ำครวญเพียงใด มันก็อาจจะจางคลายแค่ช่วงเวลานั้นเท่านั้น แต่เวลาเหงาๆ อยู่คนเดียวเงียบๆก็มักจะคิดถึงคนรักที่ตายจากไป สุดท้ายก็ร้องไห้คร่ำครวญอีกเหมือนเดิม..... เหตุ เพราะไม่ได้ฝึกทำความเข้าใจเพื่อละวางสิ่งนั้นๆ จึงไม่อาจจะเห็นสัจจะธรรมของชีวิตได้ .....หรืออีกตัวอย่างนึงคือการที่เราเก็บความรู้สึกที่แย่ๆ เวลามีคนมาดูถูกเหยียดหยามเรา ว่าเราไม่ดี อย่างนั้นอย่างนี้ เอาปมด้อยเรามาว่าให้เจ็บช้ำน้ำใจ ก็ได้แต่เก็บใว้ในใจคนเดียว ไม่กล้าบอกใคร เพราะกลัวเขาจะไม่รับฟัง ช่วงแรกๆ คนที่เจอแบบนี้ อาจจะมีความโกรธแค้นคนที่ว่าให้ตัวเอง พอนานๆเข้าจะกลายเป็นคนเก็บกด ยึดแต่เรื่องแย่ๆที่คนอื่นยัดให้เอาใว้ในใจ พอเวลาผ่านไปก็อาจจะลืมไปบ้าง แต่หากมาเจอหน้าคนที่ว่าให้เราอีก ความรู้สึกเก่าๆเดิมๆ จะผุดขึ้นมาทันที นี่แหละการทำงานของขันธ์ ๕ เรียกว่าเป็นระบบเก็บข้อมูลชั้นเลิศที่ทำงานเองโดยอัตโนมัติ เพียงแค่เราใช้ใจของเราเป็นตัวป้อนข้อมูลให้เท่านั้นเอง

    ซึ่งต่างจากเรื่องดีๆ ทั้งหลาย อาทิว่า ความภาคภูมิใจ ดีใจ ปลื้มใจ มีความสุข เราทุกคนมักจะชอบประกาศและระบายออกมาอย่างเห็นได้ชัดเจน จนต้องจัดงานฉลองกันเลย เจอใครก็อยากบอกให้รู้ เช่น ถูกหวย ถูกล็อตเตอรี่ สอบเข้ามหาลัยได้ ได้งานที่ชอบ เจ้านายเลื่อนตำแหน่งให้ หรือได้รับโบนัสเยอะ ได้แต่งงานกับคนที่รัก ได้รถใหม่บ้านใหม่ ได้ลูกชายลูกสาวที่ถูกใจ ฯลฯ อย่างนี้เป็นต้น ก็จะมีคนมาแสดงความยินดีอย่างเหลือล้น และใจเราก็จะเปิดเผยระบายออกไป โดยไม่คิดจะเก็บมันใว้เลย ซึ่งต่างกันสิ้นเชิงกับเรื่องแย่ ไม่ดีทั้งหลาย การบันทึกของขันธ์ ๕ ก็เลย ไม่ค่อยจะได้ทำงานอะไรมาก รับแล้วก็ผ่านไป เหมือนกับว่าเราปล่อยวางได้อย่างนั้น...ฉะนั้นมันจึงไม่โดนเก็บสะสมเอาใว้ในจิตใต้สำนึกมากนัก เรื่องดีๆ จึงไม่ค่อยมีในคนๆนั้น เพราะเก็บสะสมแต่เรื่องแย่ๆ อารมณ์ความรู้สึกที่มันแย่ๆเอาใว้มากกว่า ชีวิตจึงมีแต่ปัญหาและทุกข์โศกโรคภัยมากมาย ก็เพราะเหตุอย่างนี้ จะสังเกตุได้ง่ายๆว่า เรื่องไหนที่ตั้งใจมากๆ จิตจะจดจำได้ดีเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเลว ส่วนเรื่องไหนที่ไม่ค่อยตั้งใจทำ หรือไม่ค่อยได้ใส่ใจอะไร จิตสังขารจะไม่ค่อยลงบันทึกในสัญญาขันธ์ เท่าไหร่นัก

    นี่แหละสัจจะธรรมของชีวิต ที่เราต้องมองให้เห็นหามันให้เจอ ธรรมชาติอยู่ในจิตใต้สำนึกที่เราสร้างขึ้นเองและเก็บใว้เอง ละวางมันเอง พระพุทธองค์จึงทรงตรัสใว้ว่า "กรรมคือการกระทำ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือชั่วก็ตามหากตั้งใจกระทำลงไปแล้ว เขาย่อมได้รับผลของกรรมนั้นสืบไปเป็นธรรมดา" ฉะนั้นการเห็นสัจจะธรรมนั้นจึงจำเป็นต้องมีสติและปัญญาประกอบด้วย จึงจะเห็นได้อย่างชัดเจน เมื่อเราเห็นสัจจะธรรมในกายใจนี้ชัดเจนดีแล้ว สิ่งภายนอกก็จะเห็นได้เองอัตโนมัติเช่นกัน เพราะทุกสรรพสิ่งทั้งที่เป็นสังขารและมิใช่สังขาร ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ล้วนแล้วแต่อยู่ในกฎไตรลักษณ์ทั้งสิ้น เห็นกายเห็นจิตเมื่อใด ขึ้นชื่อว่าเห็นธรรม หรือรู้แจ้งสัจจะธรรมย่อมบังเกิดแก่บุคคลนั้นเป็นธรรมดา ไร้ข้อกังขาและสงสัยใดๆ โดยสิ้นเชิง.
     

แชร์หน้านี้

Loading...