หลวงพ่อขี้งัว

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 28 มิถุนายน 2007.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    หลวงพ่อขี้งัว
    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    ..........หลวงพ่อขี้งัวนี่ ในระหว่างนั้นแหละ ประมาณ พ.ศ. ๒๔๘๗ - ๒๔๘๘ เหตุอัศจรรย์เกิดขึ้นในระยะนั้น ในเขตอำเภอ ๒ พี่น้อง กับเขตอำเภอบางปลาม้า ได้ยินข่าวเล่าลืออยูเสมอว่า มีพระพิเศษมาเที่ยวนั่งอยู่ตามกลางทุ่ง ห่มจีวรกลัก แล้วก็มีย่ามลูกหนึ่ง บางทีเอาผ้าคลุมโปง เวลาเดินไปไหนเจอะขี้งัวเหลวๆ ก็หยิบใส่ย่าม แล้วนั่งซุ่มๆ เวลาเด็กเลี้ยงงัวเลี้ยงควายเห็นเข้า เดินเข้าไปใกล้ท่านก็เดินหนีเสีย ทีนี้เจ้าพวกเลี้ยงงัวเลี้ยงควายนี่ ก็เป็นคนไม่ค่อยจะเหมือนคนเหมือนกัน บางคราวมันก็นึกฮิตๆ ขึ้นมา มันนึกว่าเป็นพระบ้าพระบอมันก็วิ่งไล่กวด ท่านก็วิ่งหนี แล้ววิ่งไปได้ไม่นาน ทั้งๆ ที่เป็นกลางวันแล้วก็กลางทุ่ง ปรากฏว่าไม่เห็นพระองค์นั้น ทำแบบนี้กันอยู่หลายวัน
    ..........วันหนึ่งเจ้าภาพนิมนต์อาตมาไปเทศน์ที่ตำบล ๒ พี่น้อง ที่บ้านบางสะแก แล้วก็วัดบางสะแกหรืออะไรนี่ ไอ้วัดนั้นไม่ทราบว่าชื่อวัดอะไร แต่กลุ่มบ้านนั้นเขาเรียกว่าบ้านบางสะแก เมื่อเวลาเทศน์จบก็ต้องค้างคืน เพราะเขานิมนต์ฉันเช้า ค้างกันอยู่ ๓ องค์ด้วยกัน ไปเทศน์ ๓ องค์ เวลากลางคืนก็มาค้างที่บ้าน พอตกกลางคืนเขาก็พูดให้ฟังถึงความมหัศจรรย์ของพระองค์นั้น บอก จะไปหาว่า ท่านเป็นพระบ้าพระบอมันก็ไม่ได้ ความจริงรู้สึกว่าจะเป็นพระที่มีความสำคัญอยู่ เมื่อเวลาเขาพูดให้ฟัง อารมณ์จิตมันคิดอยู่อย่างหนึ่ง นี่ไม่ใช่อาตมาเป็นหมอดูนะ หรือว่าไม่ใช่เป็นพระมีญาณ มีญาณพิเศษอะไร เป็นพระธรรมดานักบวชที่ใช้อะไรไม่ค่อยจะได้ นี่แหละ เรียกว่าขาวๆ ดำๆ ดำๆ ขาวๆ ลุ่มๆ ดอนๆ เอาเรียบร้อยอะไรไม่ได้ บางทีก็เป็นพระ บางทีก็เป็นคน บางอารมณ์ก็เป็นเปรต บางคราวก็เป็นสัตว์นรกไปก็มี นี่ พระแบบนี้เชื่อถืออะไรไม่ค่อยได้ เอาดีไม่ได้ จะไปเชื่อได้ยังไง พระมันบวชมาจากคนนี่ บางทีก็เลวกว่าชาวบ้านเสียอีก บางครั้งเห็นชาวบ้านเขามีปฏิปทาดี รู้สึกเลื่อมใสในเขา นี่เป็นยังงั้น อัตนา โจทยตานัง พระพุทธเจ้าสั่งสอนให้เตือนตัวเอง นี่บางทีไปนั่งเตือนชาวบ้านเขาเพลินไปเลยลืมเตือนตัวเอง อย่างนี้พระยายมยิ้ม ชอบ ยังไงๆ ก็คงได้เป็นลูกศิษย์พระยายมแน่ ถ้าไม่กลับตัวให้ดีกว่านี้ เอ้าเล่าเรื่องของพระองค์นั้นต่อไป
    ..........เมื่อเขาเล่าเรื่องให้ฟัง ความรู้สึกมันเกิดขึ้นมาว่า พระองค์นี้ต้องเป็นพระอริยเจ้าและอย่างเลวที่สุดก็ต้องเป็นอภิญญา ๖ พระอภิญญา ๖ นี่มีหูทิพย์ ตั้งแต่อภิญญาและปฏิสัมภิทาญาณนี่ พูดอะไรไม่ได้ ได้ยิน สำหรับพระวิชชาสามนี่ต้องใช้ญาณเป็นเครื่องกำหนดรู้ ถ้าไม่กำหนดจิตเพื่อรู้ไม่รู้ ถ้ากำหนดจิตเพื่อรู้จริงๆ ใครเขามาพูดทิ้งไว้ตั้งหลายๆ ปีก็รู้ว่าเขาพูดว่ายังไง นี่มันคนละอย่าง พระวิชชาสามเหมือนกับคนมีตำรา ต้องเปิดตำราจึงรู้ แต่พระอภิญญา ๖ ขึ้นไป ไม่เหมือนกับคนมีตำรา เหมือนคนที่รู้เอง พูดที่ไหนก็ไม่ได้ นินทาไม่ได้ นินทาเมื่อไรรู้เมื่อนั้น ก็เลยบอกเจ้าของบ้านว่า ทดลองกันดีกว่าว่าพระองค์นั้นจะเป็นพระอะไร กรุณาเอาธูปไปจุดสัก ๕ ดอก ไปปักไว้ที่นอกชานกลางแจ้ง เขาก็ปฏิบัติตามนั้น ก็เลยพูดดังๆ ว่าพระองค์นั้น ถ้าหากว่าเป็นพระอริยเจ้าจริง พรุ่งนี้ตอนเช้าก็โปรดมาพบที่บ้านนี้ เพราะชาวบ้านพร้อมทั้งพระ คือคณะอาตมาด้วย ต้องการนมัสการ ถ้าหากว่าไม่ใช่พระอริยเจ้าก็จงอย่ามา ทีนี้ก็ไม่ยาก ถ้าไม่ใช่พระอริยเจ้าก็รู้ไม่ได้ พูดเท่านั้นชาวบ้านเขาก็ตั้งใจพนมมืออธิษฐานเหมือนกัน เพราะนั่งอยู่หลายสิบคน บ้านใหญ่มาก เขาก็เลยพูดตาม ทุกคนเขาว่าตามแล้ว เขากราบไปที่ธูปเท่านั้นเอง คุยกันไปดึกประมาณ ๒๔ น. ต่างคนต่างก็ลากลับ พระก็นอน ชาวบ้านก็นอน หรือใครจะไม่นอนบ้างก็ไม่ทราบ
    ..........ถึงเวลาเช้าตรู่เวลาประมาณ ๖ น. ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายมาทางหลังบ้าน เสียงโวยๆ ว่าใครวะ ใครมันท้าตีกูวะ มันเก่งจริงมันลงมาซิหว่า ไอ้คนเก่งจริงไม่ต้องไปท้ากันกลางคืนโว้ย เสียงเอะอะมา แล้วมาที่หน้าบ้านหลังนั้น มายืนกวักมือท้า เหวยๆ บอกเฮ้ยใครวะเมื่อคืนมันท้าตีกูวะ เก่งจริงโดดลงมาซีหว่า กูคนเดียวละ พวกมึงเท่าไรก็ตามมาตีกะกู เป็นอันว่ามาแล้ว แต่ก็มาแบบนักเลงโต อาตมากับเพื่อนก็เลยลงไปข้างล่างยกมือไหว้ บอกว่านิมนต์ขึ้นข้างบนเถอะขอรับ ทำแบบนี้ไม่มีผลหรอก ชาวบ้านเขาจับได้แล้ว อย่ามาปลอมแปลงเป็นคนบ้าเลย จะทำให้ชาวบ้านเขาบ้าไปด้วย ท่านนิ่งประเดี๋ยวมองหน้า เอาผ้าที่เคียนศีรษะลง ผ้าจีวรน่ะ เคียนศีรษะเสียใหญ่เบื้อเร่อเชียว เอาลง ลงแล้วก็ห่มเป็นปริมณฑลเรียบร้อย แล้วก็เดินขึ้นบ้านแบบสงบ นั่งเฉย ยิ้มแฉ่ง
    ..........ตอนนี้นั่งดูแล้ว สีเปลี่ยน เปลี่ยนจากดำเป็นค่อยๆ ขาวไปทีละน้อยๆ จนท่านขาวแล้วก็ออกเหลือง หน้าตาอิ่มเอิบ ชาวบ้านเขารู้กันเร็วจริงๆ ประเดี๋ยวเดียวคนเต็มหมด ทุกคนมาถึงแล้วก็มากราบแบบสนิท ท่านก็ยิ้มแย้มแจ่มใส คุยด้วยดี ก็เป็นอันรู้กันแล้วว่าพระองค์นี้เป็นพระอริยเจ้า ตั้งแต่ขั้นอภิญญา ๖ ขึ้นไป แต่จะเป็นขนาดไหนไม่รู้ จะเป็นปฏิสัมภิทาญาณหรือเปล่าก็ไม่ทราบเหมือนกัน เพราะอธิษฐานไว้แบบนั้น
    ..........เวลาท่านฉันข้าวเสร็จ ท่านก็ให้พร เสียงเพราะมาก เวลาให้พรเสร็จท่านก็บอกว่า ใครมีสำรับกับข้าวมาถวายพระบ้าง ให้เอาถ้วยไปล้างให้สะอาดคนละลูก รายละลูกแล้วส่งมาให้ท่าน ทุกคนก็ปฏิบัติตาม ส่งถ้วยไปแล้วท่านก็ควักขี้งัว ในย่ามของท่านเต็มไปหมด ใส่ถ้วยเต็มเอาฝาปิดแล้วก็ส่งให้ บอกเอาไป พวกเอ็งจะได้ค้าขายหากินดี ไปพูดอะไรกับใครก็ตาม สีปาก เอาขี้งัวนี่น่ะสีปากแล้วพูด ชาวบ้านรักชาวบ้านชอบ ว่าเข้าแบบนั้นชาวบ้านก็คงจะสะอึก พอเสร็จเรียบร้อยแล้วท่านก็ลากลับ เวลาลากลับ ท่านเดินลงไปบันได พอพ้นบันไดลงไป ปรากฏว่าคนข้างล่างก็ไม่เห็นท่าน คนข้างล่างไม่เห็นท่านลงไป แต่คนข้างบนเห็นท่านลง เป็นอันว่าข้างบนก็ไม่มี ข้างล่างก็ไม่มี หายไปเสียแล้ว ชาวบ้านเขาก็บอกว่าของในถ้วยนี้น่ะ เขาไม่เรียกว่าขี้วัว ก็ดีเหมือนกัน ถ้าไปเรียกขี้วัวเข้ามันจะเป็นขี้วัวเพราะอำนาจฤทธิ์ของท่าน ถามว่าของในถ้วยนี่จะทำยังไง ก็บอกว่า ประเดี๋ยวก่อนซี สำรวจดูก่อน จริยาของท่านไม่เหมือนพระอื่นนะ เวลาท่านมาท่านแสดงรกรักรุงรัง แสดงท่าเอะอะโวยวาย แต่เวลาเราพูดดีเข้า ท่านเรียบร้อยดีเสียกว่าพวกฉันเสียอีก กิริยาน่ารักน่าไหว้ น่าบูชา ทีนี้ขี้วัวนี่ก็เหมือนกัน มันจะเป็นเหมือนท่านเวลาท่านควักออกมาจากย่ามมันอาจจะเป็นขี้วัว เหมือนกับท่านเดินมาทีแรก คือท่าทางเอะอะโวยวาย ตานี้เวลาท่านกลับไปเรียบร้อย เข้าใจว่าขี้วัวจะเป็นอย่างอื่น ถ้าหากขี้วัวนี้เป็นขี้วัวตามเดิม ก็แสดงว่าพระองค์นี้ ไม่ใช่พระอรหันต์ขั้นฉลภิญโญ ขั้นอภิญญา ๖ ขึ้นไป พอว่าเท่านั้นชาวบ้านต่างคนต่างก็เปิดฝาถ้วยดู เจ้าขี้วัวทั้งหมดกลายเป็นสีผึ้งสีปาก หอมกรุ่น เรียกว่าหอมมากว่าสีผึ้งธรรมดา เรื่องนี้ก็จบกันเท่านี้ แล้วเขาจะไปใช้สีผึ้งทำอะไรมันเรื่องของเขา ท่านสั่งแล้ว
    ..........ทีนี้ ต่อมาก็มีอีกองค์หนึ่ง ควรจะเล่าให้ฟัง
    ..........นายพ่วง เพื่อนกับนายอิน นายอินคนนี้เขาเป็นญาติกับอาตมาเคยเป็นทหาร นายพ่วงนี่ เป็นเพื่อนกัน อาตมารู้จักนายพ่วงได้ก็เพราะอาศัยนายอิน นายพ่วงนี่อยู่ตำบล บางซอ อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี
    ..........ตานี้มีพระองค์หนึ่ง วันหนึ่งตาพ่วงนี่แกทำไร่อ้อย แกอยู่กลางไร่มีพระองค์หนึ่งเดินมา ขณะนั้นเป็นเวลาใกล้จะเข้าพรรษาคือเป็นวันเข้าพรรษาแล้ว ตาพ่วงแกเห็นเข้าแกก็ถามหลวงพ่อจะไปไหนครับ ท่านก็ตอบว่า ไม่รู้จะไปไหน เพราะว่าอยู่วัดกับใครเขาไม่ได้ อยู่วัดไหนวัดไหนเขาก็ไล่ อยู่กับเขาไม่ได้ก็เดินหาที่อยู่ยังไม่มีที่อยู่ ตาพ่วงแกมีกระท่อมสำหรับเฝ้าอ้อยอยู่หลังหนึ่ง ก็นิมนต์ท่าน บอกนิมนต์หลวงพ่อจำพรรษาอยู่ที่นี่เถิดขอรับ กระผมจะส่งเอง เรื่องอาหารการบริโภค ผ้าผ่อนท่อนสไบ ยารักษาโรค ทุกอย่างที่หลวงพ่อต้องการ ตามสมณวิสัย ผมจะถวายเอง หลวงพ่อไม่ต้องไปหาวัดอยู่หรอกขอรับ พระแถวนี้ก็พระทั้งนั้นแหละขอรับ แต่รู้สึกว่าพระอยู่ข้างๆ พระ แกว่ายังงั้น บวชแล้วก็แค่นั้นแหละขอรับ ไม่ได้สร้างความเจริญให้แก่ตัวมุ่งหน้าแต่จะหาลาภหายศกัน อยากจะเป็นพระครู อยากจะเป็นเจ้าคุณ อยากจะเป็นสมภาร อยากจะเป็นใบฎีกา สมุห์ปลัด วิ่งเต้นกันให้มันยุ่งไปหมด ลงท้ายลูกวัดก็เอาถ่านไม่ได้ ผู้หญิงยิงเรือผ่านไม่ได้ ยักคิ้วหลิ่วตา เวลามาบิณฑบาตก็ไม่น่าจะเลื่อมใส ไม่น่าไหว้ ไม่น่าบูชา แต่ก็จำจะต้องทำบุญเพราะหาพระที่ดีทำบุญไม่ได้ ฉะนั้น ขอนิมนต์หลวงพ่ออยู่ที่นี่เถอะขอรับ ท่านก็เลยอยู่
    ..........ก็อยู่กับตาพ่วงมาตลอดปี ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ๑ พรรษาผ่านไป ทีนี้พอพรรษาที่ ๒ ปีนั้นน้ำท่วมไร่อ้อย หลวงพ่อก็อยู่เกาะ ตาพ่วงก็ดี เอาไม้ลูกบวบไปทำแพให้ ๒ ลูก สำหรับจะผ่อนคลายออกมาเดินเล่น เอากระดานปูเข้า
    ..........วันหนึ่งเป็นเวลาเดือน ๑๒ ท่านก็เลยบอกว่าพ่วงเอ๊ย จะต้องการอะไรจากพ่อก็เอาเสียเถอะนะ ต่อไปพ่อจะต้องขอลาเจ้าละ ตาพ่วงก็บอกว่าหลวงพ่อครับ ฤดูน้ำ น้ำยังมากอยู่หลวงพ่อจะไปยังไง ท่านก็บอกว่าไม่เป็นไร จะเอาอะไรก็เอาเสียนะ พ่ออยู่ไม่ได้ จะต้องขอลาเจ้า ตาพ่วงก็ค้านแบบนั้น แต่ก็ไม่ได้ขออะไร
    ..........มาวันหนึ่ง ปรากฏว่าเจ้าภาพเขาจะแต่งงานลูกสาวเขา สองรายด้วยกัน บ้านเหนือกับบ้านใต้ แล้วฤกษ์ที่เขาหาได้ก็เป็นวันเดียวกัน เวลาเดียวกัน คือเวลาเช้าวันเดียวกัน เขามานิมนต์ท่านทั้งสองราย ท่านรับนิมนต์ทั้งสองราย ท่านรับนิมนต์แล้วท่านก็ไม่ได้บอกกะตาพ่วงว่าจะไปฉันเช้าบ้านไหน เพราะท่านอยู่กลางเกาะน้ำแถบนั้น ไม่มีเรือท่านก็ไปไม่ได้ ในเมื่อถึงเวลาแต่งงานเข้าจริงๆ ปรากฏว่าท่านไปฉันทั้งสองบ้าน แต่ความจริงไม่ได้ฉัน ๒ บ้านเท่านั้น ฉัน ๓ บ้าน ที่กระท่อมนั้น ตาพ่วงนำอาหารไปถวาย ท่านก็อยู่ที่นั่น แล้วบ้านเหนือบ้านใต้ที่เขาแต่งงานกัน ท่านก็ไปฉันทั้งสองบ้าน เป็นอันว่าเวลาเดียวกันท่านไปฉัน ๓ บ้าน เป็นพระ ๓ องค์ เพราะมันเวลาเดียวกัน เรื่องราวก็ชักจะยุ่งกันใหญ่
    ..........ตานี้ คนเขามาถามตาพ่วงบอก เอ๊ะ หลวงพ่อแกไปฉันบ้านเหนือรึ ตาพ่วงก็บอกเปล่า ฉันที่กระท่อมนี่ ข้าเอาอาหารไปถวายท่านนี่นะยังอยู่ ไอ้บ้านใต้ก็มายืนยันบอก เอ๊ะ หลวงพ่อแกไปฉันที่บ้านใต้เขานี่ เวลาเดียวกันตาพ่วงก็บอก เอมันจะยังไงพ่อคุณบ้านเหนือก็ไป บ้านใต้ก็ไป แล้วก็เวลาเช้าที่เขาถวายอาหารกันนี่ ฉันก็เอาอาหารมาถวายหลวงพ่อของฉันอยู่ตรงนี้นี่นะ แล้วมันจะเป็น ๓ องค์ ขึ้นมาได้ยังไงล่ะ ในที่สุดตาพ่วงก็ไปถามหลวงพ่อ หลวงพ่อก็ไม่ได้ตอบว่ายังไง หัวเราะหึ หึ เป็นแต่เพียงบอกว่า พ่วงเอ็งต้องการอะไรก็บอกพ่อนะ พ่อจะให้ พ่อจำเป็นจะต้องไป อยู่ไม่ได้ มันถึงเวลา ตาพ่วงก็ค้านว่าหลวงพ่อจะไปก็ไปได้ขอรับ ให้น้ำแห้งเสียก่อน เวลานี้น้ำยังมาก ท่านก็เฉย
    ..........วันรุ่งขึ้นตอนเช้า ตาพ่วงเอาข้าวไปถวายตามปกติ ปรากฏว่าพระองค์นั้นตายแล้ว ตายเสียฉิบ มีตะกรุด มีสีผึ้งสีปากไว้ให้ มีจดหมายเขียนไว้ให้ บอกตะกรุดนี้เอาไว้ป้องกันตัว พ่วงเอ็งเป็นคนดีมาก เอาตะกรุดนี่ไว้ป้องกันตัว แล้วฐานะเอ็งไม่ค่อยดีจงเอาสีผึ้งนี้สีปากเวลาขายของ จะขายของดี
    ..........เป็นอันว่าพระประเภทนี้พอมีอยู่ ถ้าพระประเภทนี้นะอยู่ที่ไหน บรรดาพระจัญไรทั้งหลายรังเกียจ เพราะอะไร เพราะปฏิปทาไม่เหมือนกัน พระอริยเจ้านี่เป็นที่รังเกียจของพระปุถุชนคนธรรมดาที่หนาไปด้วยกิเลส นี่เป็นเรื่องจริงๆ มีหลายองค์ เรื่องนี้ขอยุติเพียงนี้
     
  2. mohjiu

    mohjiu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +125
    sathu
     

แชร์หน้านี้

Loading...