หลวงพ่อพระราชพรหมยานสอนปฏิกูลมนสิการบรรพว่าด้วยความสกปรกของร่างกาย

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 25 ธันวาคม 2007.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    [​IMG]
    สิ่งที่ยังเป็นความสกปรกมีอยู่ แต่ว่าคนที่คิดถึงความสกปรกไม่มี นี่เราไม่ได้คิดเลยว่าเหงื่อนี่มันสกปรก ความจริงรู้สึกเหมือนกันว่ามันสกปรก แต่พออาบน้ำชำระร่างกายแล้วเหงื่อก็หายไป ตัวของเราเอง ก็มานั่งหลงใหลใฝ่ฝันว่า ร่างกายของเราสะอาด นี่ซิ เรามันชอบหลอกตัวเองไม่หาความจริง เมื่อเหงื่อมันหลั่งไหลออกมาจากร่างกาย ปรากฏว่าเรารังเกียจในเหงื่อ เมื่อเหงื่อมันมีมาก เราไม่ชอบใจ อาบน้ำชำระร่างกาย ความจริงเหงื่อจัดว่าสกปรกมันก็ยังสกปรกไม่มาก

    พระพุทธเจ้า ท่านกล่าวว่า มีอะไรบ้างนอกจากว่าตับ ไต ไส้ ปอด แล้ว สิ่งที่เราจะพึงเห็นได้ง่ายก็คือ น้ำลายบ้าง เสลดบ้าง อุจจาระบ้าง น้ำมูกบ้าง น้ำเลือดบ้าง น้ำเหลืองบ้าง สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ความจริงมีอยู่ในร่างกาย แล้วก็พอสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันหลั่งไหลออกมาจากร่างกาย เรามีความรู้สึกเป็นอย่างไร รู้สึกว่ามันสะอาดหรือว่ามันสกปรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุจจาระกับปัสสาวะ น้ำที่เราจะบริโภค เราก็พยายามเลือกแล้วเลือกอีกว่าน้ำนี่สะอาด น้ำนี่บริสุทธิ์ มีเชื้อโรคหรือไม่มีเชื้อโรค เลือกน้ำที่สะอาดที่สุด สำหรับอาหารที่เราจะบริโภคก็เหมือนกัน อาหารก็ต้องบริโภคอาหารที่สุกแล้วปราศจากเชื้อโรค เป็นอันว่าของที่เราจะกินเข้าไปมันเป็นของดีทุกอย่างที่เราต้องการ

    พอเราบริโภคเข้าไปแล้วเศษอาหารที่ร่างกายไม่ต้องการมันเริ่มหลั่งไหลออกมาจากร่างกายสิ่งเหล่านี้คืออุจจาระ สำหรับน้ำเรียกว่า ปัสสาวะ ตอนนี้บรรดาท่านทั้งหลายลองคิดดู อาหารที่เราเลือกแล้วเลือกอีกว่ามันมีรสอร่อยบ้าง เป็นของดีบ้าง สะอาดบ้าง ทีนี้พอเหลือแต่กาก กากนี้เราต้องการหรือเปล่า สมมติว่าถ้าเราเกิดความหิวขึ้นมาใหม่ เราจะเอากากอาหารที่มันหลั่งไหลออกจากร่างกายที่เราเลือกแล้วเลือกอีกบริโภคเข้าไป มาบริโภคใหม่เพื่อกันความหิว มันจะทนไหวไหม นี่เรากินกันไม่ได้ ทำไมจึงกินไม่ได้ เพราะว่ามันสกปรก

    เรามานั่งนึกดูอีกทีว่า ภายในร่างกายเรานี้มีอะไรสะอาดบ้าง มีของที่เราจะปล่อยเข้าไปในร่างกายทุกส่วนนี่ เราเลือกแล้วเลือกอีก ว่ามันสะอาด ของดิบเราก็ทำให้สุก ของที่เราไม่ต้องการทำให้สุก เราก็ฆ่าเชื้อโรคเสีย แน่ใจแล้วว่าสะอาดจริงๆ พอมันหลั่งไหลออกมาจากร่างกาย เรามีความรังเกียจ ก็แสดงว่าภายในร่างกายของเรานี่หาอะไรสะอาดไม่ได้

    เราจะดูกันต่อไป ถ้าเราสามารถจะผ่าท้องเรามาดูได้ ถ้าเราผ่าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรผ่าท้องคนอื่นดีกว่า ท้องปลาก็ได้ ท้องหมูก็ได้ ท้องควายก็ได้ หรือจะผ่าพอให้ได้ห็นภายในท้องของคนและสัตว์มีสภาพเหมือนกัน คือมีตับ ไต ไส้ ปอด อะไรเยอะๆ แยะๆ รวมความว่าถ้าเราเปิดหนังออกไปแล้วเหลือแต่เนื้อ
    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width=195>[​IMG]</TD><TD vAlign=top>ทีนี้เรามาคิดดู สมมติว่ามีใครคนหนึ่ง มีรูปร่างหน้าตาสดสวยงดงาม ก็บังเอิญร่างกายของบุคคลนั้นถูกน้ำร้อนลวกหนังกำพร้าหลุดไป เหลือแต่เนื้อ ร่างกายที่เราเห็นว่าสวยเราจะพอใจไหม ความจริงเราไม่พอใจแล้ว สวยแสนสวยขนาดไหน ก็ทนดูไม่ได้ เพราะเราเห็นว่าไม่น่าดู ไม่น่าชม

    ความจริงสิ่งที่เราเห็นก็แค่หนัง หนังกำพร้าเท่านั้น ถ้าเหลือแต่เนื้อ ถ้าเห็นเนื้อเราก็เห็นเลือด เลือดของเราจริงๆ อยู่ในร่างกาย เราปล่อยให้มันหลั่งไหล ในเมื่อร่างกายต้องการความสบาย แล้วเราก็มีความต้องการในเลือด เลือดของเราเองถ้าไหลออกมานอกกาย เราเกิดความรังเกียจในเลือดของเราเอง หาว่าเหม็นคาวบ้าง สกปรกบ้าง อยากจะถามว่า เลือดนี่มันมาจากไหน มันก็ออกมาจากร่างกาย ว่ากันตามจริง ของที่เราเห็นง่ายได้แก่ น้ำลาย
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ในปฏิกูลบรรพก็คือ กายคตานุสสติกรรมฐานในวิสุทธิมรรค ก็หลักเดียวกัน กรรมฐานบทนี้มีความสำคัญมาก ถ้าท่านผู้ใดปฏิบัติพระกรรมฐาน ถ้าไม่สามารถจะทำจิตปลงให้ตกในด้านกายคตานุสสติกรรมฐาน เห็นว่าร่างกายสกปรก ทำจิตเป็นเอกัคคตารมณ์ คำว่าจิตเป็นเอกัคคตารมณ์มีอารมณ์อย่างเดียว เห็นว่าร่างกายของเราก็สกปรก ร่างกายคนอื่นก็สกปรก เป็นของไม่น่ารัก ถ้าไม่สามารถผ่านกรรมฐานบทนี้ไปได้ ความเป็นพระอรหันต์ย่อมไม่ปรากฏแก่บุคคลนั้น

    ไม่เอาถึงพระอรหันต์ก็ได้ แต่พระอนาคามีไม่ปรากฏแก่ท่านแน่ๆ เราจะพิสูจน์ได้ว่าท่านที่จะเป็นพระอรหันต์ก็ดี ท่านที่จะเป็นอนาคามีก็ดี ย่อมไม่สนใจในการแต่งกาย ไม่ค่อยจะสนใจในร่างกายเท่าไรนัก มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างหัวมัน ไอ้ของสกปรกทั้งหลายเหล่านี้ เราอาศัยมันชั่วคราวเท่านั้น ไม่ช้าไม่มันก็เราก็จากไป เราอยู่กับมันด้วยความอึดอัด เพราะมันเต็มไปด้วยความสกปรก ถ้ามีอารมณ์อย่างนี้ ท่านจึงเป็นพระอนาคามีได้ เป็นพระอรหันต์ได้ แต่สำหรับพระโสดากับสกิทาคา ยังไม่มีความจำเป็นมากนัก สำหรับพระกรรมฐานบทนี้

    เรามาพูดกันถึงเรื่องภายในตั้งแต่น้ำลาย น้ำลายนี่ความจริงอยู่ในปาก เราอมได้ตลอดวัน เรากลืนก็ยังกลืนได้ไม่เคยนึกรังเกียจ ถ้าหากว่า เรามาบวนน้ำลาย พอบ้วนลงมาแล้ว ถ้าพอดีในเวลานั้นเราไม่มีน้ำจะบริโภค น้ำลายของเรามันยังขังอยู่ในใบไม้บ้าง ใบหญ้าบ้าง ในกระโถนบ้าง เรากระหายน้ำเต็มที่หาน้ำอื่นบริโภคไม่ได้ เราจะกล้าเอาน้ำลายเข้ามาดื่มได้ไหม เป็นอันว่าร่างกายของเรายังสกปรกอยู่ พูดกันแค่นี้ก็พอ ให้เราเห็นความสกปรก นี่พระพุทธเจ้ามาสอนเราทำไม
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#99ccff>มานั่งนึกว่าตอนนี้พระพุทธเจ้ามาสอนเราทำไม ความจริงของมันอยู่ในกายนี้ทั้งหมด เราก็รู้อยู่แล้ว แต่ความจริงเรารู้นะว่าร่างกายของเรามีผม มีขน มีเล็บ มีฟัน มีหนัง มีเนื้อ มีตับ ไต ไส้ ปอด มีอุจจาระ มีปัสสาวะ มีเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง เป็นต้น เรารู้ รู้ว่ามันมี แต่ทว่าเราไม่รู้ตอนหนึ่งว่าสกปรก เราขาดสติสัมปชัญญะในตอนนี้ </TD></TR></TBODY></TABLE>
    การเจริญมหาสติปัฏฐานสูตร พระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้ใช้สติสัมปชัญญะ สติคือระลึกไว้ นึกหากฎของความเป็นจริง ไอ้ความเป็นจริงเป็นอย่างไร นึกว่าร่างกายของเรานี่สกปรกอยู่เสมอ สัมปชัญญะรู้ตัว เหงื่อไหลออกมาก็รู้นี่ว่าเหงื่อมันไหลออกมาจากร่างกาย น้ำลายที่เราบ้วนออกมา เราก็รู้ว่าน้ำลายนี่เราบ้วนออกมาจากร่างกาย มันสกปรก อุจจาระ ปัสสาวะ ที่มันหลั่งไหลออกมา เราก็รู้ด้วยอำนาจสัมปชัญญะ รู้ตัวว่าอุจจาระ ปัสสาวะที่เราถ่ายออกมานี่สกปรก และก็ทุกส่วนในร่างกายมีอะไรบ้างไหมที่มันสะอาด ของที่สะอาดจริงๆ มันต้องไม่มีทางสกปรก มีบ้างไหม ร่างกายของคนนี่ก็ไม่ต่างอะไรกับส้วมเดินได้ หรือว่าป่าช้าเดินได้ ข้างในเต็มไปด้วยความสกปรก

    พระพุทธเจ้าสอนเราต้องหาความจริงให้พบ นั่งนึกถึงความจริงอยู่ตลอดเวลา เห็นร่างกายเราก็ดี เห็นร่างกายบุคคลอื่นก็ดี อย่ามองแต่เพียงเครื่องประดับเครื่องหุ้มห่อภายนอก บางคนมองไม่ถึงไหนเลย มองคนแค่ผ้า แค่เครื่องหุ้มห่อเท่านั้น เห็นเขาแต่งผ้าสวยๆ มีระเบียบก็ชอบใจเสียแล้ว ความจริงมองเข้าไปไม่ถึงหนัง บางรายมองถึงหนังเหมือนกันแต่ว่ามองไม่ครบอาการของหนัง และไม่เคยคิดว่าหนังนี่เป็นอุปกรณ์แห่งความสกปรกของร่างกาย

    แต่ความจริงหนังเป็นวัตถุสำหรับโกหกประชาชน โกหกตรงไหนน่ะ มันเก็บเอาสิ่งสกปรกเข้าไว้ แต่พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า นตฺถิ โลเก รโห นาม ขึ้นชื่อว่าความลับไม่มีในโลก ถึงแม้ว่าเอาหนังมาปกปิดความสกปรกภายในเข้าไว้ แต่มันก็ปิดไม่ไหวอย่างน้อยที่สุด ที่มันเกิดอาการสกปรก มันก็หลั่งไหลออกมาทางหนัง ถ้าเรามีปัญญานึก เราก็จะรู้ ทีนี้ทวารต่างๆ มันก็ปล่อยสิ่งทั้งหลายที่มันสกปรกออกมาจากร่างกาย แต่ว่าเราทำไมจึงไม่คิดว่าร่างกายของเราสกปรก

    ตัวไม่คิดนี่น่ากลัวจะเป็นมรดกตกทอดมาจากอดีตกาล เพราะเรายอมรับนับถือ มรดกสำคัญจากท่านมหาเศรษฐีใหญ่ท่านหนึ่ง แล้วก็เป็นผู้ทรงอำนาจมาก ท่านมหาเศรษฐีใหญ่ท่านนี้ก็คือ กิเลส คำว่ากิเลส แปลว่า ความเศร้าหมอง อารมณ์ของใจหมอง ยิ่งมาคบกับกิเลสนานๆ กิเลสมันสอนเรา สอนเราให้เข้าใจผิดๆ ว่าร่างกายของเราที่เต็มไปด้วยความสกปรก แต่มันบอกว่าร่างกายของคนสะอาด ทั้งๆ ที่เราถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ออกมาให้ปรากฏอยู่ตลอดเวลา
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#99ccff>ไอ้กิเลสมันก็บอกว่าอย่าไปดูมัน มันสกปรกก็ช่างมัน บอกว่า เราปล่อยไปแล้วสกปรกปล่อยไปจากร่างกาย ปล่อยไปแล้วก็หมดไป เหลือแต่สิ่งที่มันสะอาด ไอ้กิเลสหรือว่าความเศร้าหมองของจิต ถ้าจะพูดกันง่ายๆ คือ เจ้าแห่งความโง่นั่นเอง มันมีอำนาจสอนใจเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลับสอนต่างหาก กลับจากหน้ามือเป็นหลังมือกับกิเลส องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ทรงแนะนำบอกว่า ไอ้กายนี่มันสกปรกนะคุณนะ คิดดูก่อนภิกษุทั้งหลายท่านว่าอย่างนั้น ร่างกายนี่สกปรกไม่มีอะไรสะอาด จงอย่าหลงใหลใฝ่ฝันในร่างกาย ขณะใดที่เรามีร่างกายอยู่ กี่ชาติก็ตาม เราจะหาความสุขไม่ได้ เพราะร่างกายเป็นปัจจัยของความทุกข์ เพราะเรามีร่างกาย</TD></TR></TBODY></TABLE>
    ที่มา http://www.geocities.com/4465/samadhi/maha414.htm
     

แชร์หน้านี้

Loading...