หลวงพ่อพระราชพรหมยานสอนเรื่องอย่านึกว่าร่างกายเราเป็นของวิเศษ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 4 มกราคม 2008.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    [​IMG]
    การที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำแล้วว่า ร่างกายนี่ประกอบไปด้วยธาตุ ๔ เท่านั้น ธาตุ ๔ นี่มีอันที่ต้องสลายตัวไป มันทรงอยู่ตลอดกาลตลอดสมัยไม่ได้ แล้วก็สอนว่าเราจะหลงร่างกายเพื่ออะไร ความจริงร่างกายเรานี่ไม่แก่หรือ ถ้าจริงมันทรงความแข็งจริงแต่ว่าแข็งไม่นาน พออายุผ่านไปมากเข้า มากเข้า ก็ชักจะเริ่มไม่สะดวก ธาตุน้ำในร่างกายมีความอุดมสมบูรณ์ทำร่างกายให้ชุ่มชื่น อวัยวะภายในร่างกายเครื่องจักรกลทั้งหลาย อ่อนกำลังลง ธาตุน้ำก็น้อยลง เรื่องธาตุไฟ ธาตุลมก็เหมือนกัน ธาตุลมนี่น่ากลัว จะคุยนานหน่อยเพราะเป็นธาตุตัวใหญ่ อย่าลืมว่า เมื่อธาตุทั้ง ๔ มีการประชุมกันได้ ก็มีการสลายตัวได้ พระพุทธเจ้าสอนให้รู้ว่าร่างกายมีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ เพื่อให้บรรดาพวกเราทั้งหลายไม่เมาในร่างกาย

    เราจะไปคิดว่าร่างกายของเราวิเศษ เราก็นั่งนึกดูดินซิ ดินน่ะ เราเห็นว่ามันวิเศษแค่ไหน เดินเหยียบเสียก็ได้ ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ รดเสียก็ได้ เป็นอันว่าธาตุดินมีสภาพสกปรกอยู่ตลอดเวลา สกปรกอย่างเดียวไม่พอ ก็มีการเสื่อมตัวด้วย ธาตุน้ำก็เหมือนกัน ธาตุน้ำก็มีสภาวะ เต็มไปด้วยความสกปรก และก็มีการสลายตัวเสื่อมตัวเป็นปกติ ถ้าเราจะถามกันว่า ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ที่มาเกิดเป็นร่างกายของเรานี่ มันมาเกิดได้อย่างไร ถ้าจะตอบว่าอาศัยปัจจัยสำคัญคือบิดาและมารดาเป็นผู้ให้เกิด อย่างนี้ผมก็ไม่ปฏิเสธ

    แต่ความจริงบิดา และมารดาทั้ง ๒ ท่าน เป็นผู้ให้เกิดจริงๆ ไม่ได้ เพราะว่าถ้าสัตว์ไม่ปฏิสนธิลงสู่ครรภ์มารดา ท่านจะทำยังไงมันก็ไม่เกิด ถ้าบิดามารดาเป็นผู้บังคับให้เกิดได้ ถ้าบางคนอยากได้ลูกผู้หญิง บางคนอยากได้ลูกผู้ชาย คนที่ไม่มีลูกเลยอยากได้ลูก บิดา มารดา บันดาลให้เกิดได้ เขาก็ต้องมีลูกสมความปรารถนาเป็นผู้หญิงก็ได้ เป็นชายก็ได้ ความปรารถนามันไม่สมหวัง ก็ชื่อว่า การเกิดของเราก็ต้องอาศัยปัจจัยอันหนึ่ง คือวิญญาณและจิตของเด็กเข้ามาปฏิสนธิ ในครรภ์มารดา

    การที่จิตจะเข้ามาปฏิสนธิในครรภ์มารดา มาเพื่อประโยชน์อะไร ใครเป็นคนให้มานี่เราจะมาแบบนี้นี่ ความจริงเราไม่ได้มาหาความสุข เรามาหาความทุกข์กัน ความเกิดเป็นปัจจัยของความทุกข์ เกิดแล้วมันต้องมีหิว มีกระหาย มีหนาว มีร้อน มีความเหน็ดเหนื่อย มีความขัดข้องไปด้วยอารมณ์ต่างๆ เกิดมาแล้วเมื่อมีความทุกข์แบบนี้ ทำไมเราจึงต้องเกิด เดินถอยหลังเข้าไปหาเจ้านายตัวที่บันดาลให้เกิด

    เจ้านายที่บันดาลให้เกิด คือกิเลส ความเศร้าหมองของจิต รวมความว่าการที่เรามีอารมณ์จิตเลวนั่นเอง สร้างให้เกิดตัณหา ความทะยานอยาก คิดว่าความเกิดเป็นของดี เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วคิดว่ามันจะทรงตัว ทรัพย์สินที่เรามีก็คิดว่านั่นเป็นเราเป็นของเรา เราคิดว่าเราจะไม่พลัดพรากจากมัน แต่พอเวลาตายเข้าแล้ว อารมณ์อุปทาน อารมณ์ของความยึดมั่นมีอยู่ว่านั่นก็ของกู นี่ก็ของกู ไอ้ตัวนี้แหละมันเป็นเจ้านายบันดาลให้มาเกิด เพราะว่าเราโง่เกินไปยอมเป็นทาสของมัน รวมความว่าการที่เราจะมาเกิดได้ นี่ก็เพราะว่าเราไม่ยอมรับนับถือกฎของธรรมดามาก่อน แล้วก็ยึดถือกฎของโลกทั้งหลาย ว่านั่นเป็นเรา นี่เป็นของเรา

    ฉะนั้นองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงสอนไว้ในตอนท้ายว่า ความจริงมหาสติปัฏฐานนี่พระพุทธเจ้าสอนทั้งสมถะและวิปัสสนา การพิจารณาเห็นว่าร่างกายเป็นแต่เพียงธาตุ ๔ เข้ามาประชุมกันเป็นของที่ไม่คงทนถาวร นี่เป็นสมถภาวนา ถ้าเราจะเดินไปไหนก็ตั้งอารมณ์ใจไว้ว่า ร่างกายของเราเป็นธาตุ ๔ นึกเข้าไว้ เห็นคน เห็นสัตว์ ก็นึกว่านี่ดินมันเดินมาแล้ว น้ำมันเดินมา ลมมันเดินมา ไฟมันเดินมา อย่าไปคิดว่าเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวเรา เป็นเขา

    พอมันเกิดขึ้นมาแล้วทำยังไงล่ะ ตกอยู่ในอำนาจของธรรมดาซิ ธรรมดาก็บั่นทอนความสุข เกิดมาแล้วสร้างความหิว สร้างความกระหาย สร้างความหนาว สร้างความร้อน สร้างความป่วยไข้ไม่สบาย สร้างความแก่เฒ่า สร้างการพลัดพรากจากของรัก ของชอบใจ ทำลายตัวเอง

    มาตอนท้ายพระพุทธเจ้าจึงบอกว่า ท่านทั้งหลาย เมื่อท่านพิจารณารู้ว่าร่างกายของเรามีธาตุ ๔ ประชุมกัน เธอทั้งหลายจงคิดว่าร่างกายเป็นเพียงสิ่งสักแต่ว่าเราพึงเห็นเท่านั้น ร่างกายนี้เราจึงสักแต่ว่าเรากำหนดรู้เท่านั้น จงอย่ายึดถือว่าร่างกายนี้เป็นเรา เป็นของเรา ให้ทราบว่า ร่างกายก็ดี หรือทรัพย์สินทั้งหลายในโลกทั้งหมดก็ดี ย่อมไม่เป็นที่ปรารถนาของเรา ท่านว่าอย่างนั้น

    ท่านพูดอย่างนี้ว่า จงอย่ายึดถืออะไรทั้งหมดในโลก ก็จะพูดใหม่ว่า จงอย่ายึดถือว่าอะไรทั้งหลายในโลกเป็นของเรา ถ้าเรานึกว่ามันเป็นเรา เป็นของเรา เราก็ยึดถือมันตลอดไป ร่างกายที่เรามีอยู่ก็จงรู้ว่านี่มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ถ้ามันเป็นเราจริงมันเป็นของเราจริง เราไม่ต้องการให้มันแก่มันก็ต้องไม่แก่ เราไม่ต้องการให้มันป่วยไข้มันก็ต้องไม่ป่วยไข้ไม่สบาย เราไม่ต้องการให้มันตายมันก็ต้องไม่ตาย ใครบังคับได้ไหม

    เป็นอันว่าพระพุทธเจ้าสอนให้ทุกท่าน ไม่ยึดถือ ต้องทำอารมณ์จิตอย่างนี้ เราจะอยู่เฉพาะตัวเราก็ดี เดินไปพบใครก็ตาม พบคนหนุ่ม คนสาว คนมีกำลังมาก คนมีกำลังน้อย มีฐานะเช่นใดก็ตาม คนทั้งหลายเหล่านี้ ตายหมดไม่เหลือ เราเองก็ตาย มาคิดถึงทรัพย์สินทั้งหลายที่เรามีอยู่ สบง จีวรก็ดี ของที่เรารับประเคนจากชาวบ้านก็ดี ถือว่าทรัพย์สินทั้งหลายที่เขามอบให้ก็ดี สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ทั้งหมดเราจงคิดว่า มันไม่มีอะไรเป็นของเรา เพราะถ้าเราตายเสียอย่างเดียว เราก็พกอะไรไปไม่ได้เลย เคยเห็นคนตายแบกนาไปด้วยมีไหม

    ถ้าเราคิดว่าเราเอาไปไม่ได้ ก็จงคิดว่าสมบัติในโลกทั้งหมดไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเราและสิ่งที่เราต้องการเอาไปก็คือ จิตบริสุทธิ์ ๑. ทิ้งความโลภไว้ในโลก เราจะไม่มีความโลภ ๒. ทิ้งความโกรธไว้ในโลก ๓. ทิ้งความหลงไว้ในโลก เมื่อเราทิ้งของทั้ง ๓ อย่างนี้แล้ว ก็ไม่ต้องถามว่าไปไหน ทางที่จะไปมีสายเดียวคือพระนิพพาน
    จบธาตุมนสิการบรรพในกายานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน
    [​IMG]
    จากหนังสือ ธรรมะปกิณกะ ๒ (แนวมหาสติปัฏฐานสูตรโดยละเอียด) พระมหาวีระ ถาวโร วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
    ที่มา http://www.geocities.com/4465/samadhi/maha415.htm
     
  2. sutthida

    sutthida เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    624
    ค่าพลัง:
    +3,388
    ธรรมอันใดที่ท่านเห็นแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าได้เห็นซึ่งธรรมนั้น
     
  3. บัวพ้นน้ำ

    บัวพ้นน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    437
    ค่าพลัง:
    +198
    การเลิกหลงคิดว่าร่างกายเป็นของวิเศษ

    เมื่อคนเราไม่ยึดติดและปล่อยวางคิดว่า ร่างกายเป็นสิ่งไม่แน่นอน ไม่มีสิ่งใดแน่นอน ตายแล้วไม่สามารถนำไปได้ เราต้องทิ้งความโลภ โกรธ และหลงไว้บนโลกและจากไปด้วยใจที่เป็นอรหันต์ทางเดียวที่เราจะไปได้คือ นิพพาน(good)
     

แชร์หน้านี้

Loading...