หลวงพ่อพระราชพรหมยานอธิบายกายานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน ตอน นวสีวถิกาบรรพ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 7 มกราคม 2008.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    [​IMG]
    คำว่า นวสีแปลว่า ป่าช้า ป่าช้านี่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ ๙ อย่าง ป่าช้านี่ไม่ใช่ป่าช้าที่ไหน ป่าช้าในตัวเรา คำว่าป่าช้า เป็นที่เก็บของซากศพ ท่านบอกว่า ปุน จปรํ ภิกขเว ภิกฺขํ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายข้ออื่นยังจะมีอยู่อีก เหมือนกับว่าจะพึงเห็นสรีระ คือ ซากศพ ที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้าที่ตายแล้วในวันหนึ่งหรือว่าตายแล้วใน ๒ วัน ตายแล้ว ๓ วัน แล้วก็พองขึ้นมีสีเขียวน่าเกลียด มีสรีระคือน้ำเหลืองไหล เป็นของน่าเกลียดน้อมเข้าสู่กายนี้ ว่าร่างกายเรานี่เล่าก็มีอยู่อย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ไม่ล่วงพ้นจากความเป็นอย่างนี้ไปได้

    ท่านว่าเท่านี้ ไม่ต้องดูมาก นวสีมันอยู่ในตัวเรา ท่านให้พิจารณาร่างกายเราเปรียบได้กับป่าช้า หรือว่าให้พิจารณาร่างกายของเรานี้เปรียบเทียบกับคนตาย พระที่ไปบังสุกุลศพแล้วก็ไปตั้งราคาไว้เท่าไหร่ บ้านนี้มีเงินตั้งหลายล้านให้บาทเดียว ต่างมีอารมณ์อย่างนี้พระลงนรก เวลาเขาให้ไปบังสุกุลนี้ตั้งราคาไม่ได้ เวลาไปเทศน์ก็เหมือนกัน พระตั้งราคาไม่ได้ จะสวดมนต์เย็นสวดเช้าก็เหมือนกัน พระตั้งราคาไม่ได้ ต้องไปอย่างนักบุญ

    นักบุญเขาทำอย่างไร ถ้าเราจะไปสวดมนต์เย็นก็ต้องคิดว่านี่เขาต้องการฟังธรรมะของพระพุทธเจ้า พุทธมนต์ทุกบทที่เราสวดก็คือพระสูตรเป็นส่วนใหญ่ แต่ว่าคนฟังก็ฟังไม่รู้เรื่อง คนสวดก็ไม่รู้เรื่อง มันจะได้กันตรงไหนก็ไม่รู้ ช่างมัน คนให้ก็ได้ให้ คนรับก็ได้รับ ไม่เสีย คนสวดก็ได้สวด คนฟังก็ได้รับฟัง ไม่มีใครเสีย เวลาที่เขานิมนต์พระไปบังสุกุลนี่ อย่าลืมนะ ถ้าเขาบอกว่าเวลานี้คนตาย เขานิมนต์ไปสวดศพนิมนต์ไปบังสุกุลศพ เราก็แบกป่าช้าของเราไปด้วย ใครเคยแบกป่าช้าไปไหวไหม

    ไอ้ตัวเรานี่มันเป็นป่าช้า ป่าช้าที่มันมีอยู่ ที่เขาเก็บศพ ฝังศพ มันมีไม่กี่ศพหรอก ไอ้ตัวแกนี่ กินกุ้งเล็กๆ เข้าไปกี่ตัว กินปลากี่ตัว นับไม่ถ้วน นี่ป่าช้าใหญ่นี่ ไอ้ป่าช้าตัวเรานี่ป่าช้า เข้าใจไหม มันเก็บศพมานับไม่ถ้วน ตัวเรานี่เป็นป่าช้าถ้าเขานิมนต์เราไปสวดศพ สวดผีละก้อ เราก็แบกป่าช้าของเราไปด้วย เอาไปเปรียบเทียบกับป่าช้าที่มันกำลังพังอยู่ เห็นผีตายแล้ววันหนึ่ง สองวัน สามวัน ขึ้นอืด หรือว่าขึ้นจนโทรม มีร่างกายแห้งเหลือแต่โครงกระดูก หรือว่ามีโครงกระดูกเรียงรายไป
    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width=175>[​IMG]</TD><TD vAlign=top>อันนี้องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า สอนให้เอาจิตของเรากับกายของเราเข้าไปเทียบกับศพ ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตาไปกินผีนะ เวลาที่เขาให้เราไปพิจารณาศพ อนิจฺจา วต สงฺขารา อุปาทวยธมฺมิโน อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ เตสํ วูปสโม สุโข

    อนิจฺจา วต สงฺขารา ว่าสังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ อุปาทวยธมฺมิโน เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมไป อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เตสํ วูปสโม สุโข การเข้าไปสงบกายนั้นชื่อว่าเป็นสุข ท่านว่าอย่างนี้

    ทีนี้ อนิจฺจา วต สงฺขารา ขันธ์ทั้งหลาย เป็นของไม่เที่ยง อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ก็มานั่งนึกเวลาที่พระไปบังสุกุลศพ ความจริงเขาไม่ได้ให้บังสุกุลศพ เขาให้บังสุกุลตัวเอง ให้มีอารมณ์คิดเปรียบเทียบว่า คนนี่น่ะสมัยก่อนเขาเกิดเหมือนเราเขาพูดได้เดินได้เหมือนเรา เขาทำงานทุกอย่างได้อย่างเรา แต่เวลานี้ เขาตาย
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ตอนนี้เราก็มาเพ่งกันถึง มรณานุสสติกรรมฐาน ว่าคนนี้ตาย เราต้องตายเหมือนเขา ตอนนี้เป็นมรณานุสสติกรรมฐานนะ ตอนนี้มาเป็นอสุภกรรมฐาน ป่าช้า ๙ ก็คือ อสุภกรรมฐาน อสุภนี่แปลว่า ไม่สวยไม่งาม นวสีนี่ ป่าช้า นี่ก็เป็นกรรมฐานสำหรับแก้กามราคะ แก้กามารมณ์ คือตัดกามราคะสิ้นไปเป็นองค์ของอนาคามี เป็นเบื้องต้น สำหรับกายคตานุสสติ อาการ ๓๒ ที่ผ่านมาแล้ว อันนั้นเป็นองค์ของอรหัตผล คือว่าถ้าเราจะเข้าถึงอนาคามีผลนี่ ถ้าเราไม่สามารถจะเจริญวิปัสสนาภาวนาในด้านอสุภกรรมฐาน มีป่าช้า ๙ เป็นต้น ถ้าสิ่งเหล่านี้ไม่ปรากฏแก่จิตเป็นเอคคตารมณ์ ทำไปอีกกี่แสนชาติมันก็ไม่ได้ อย่าว่าแต่ชาติเดียวเลย อีกกี่แสนชาติก็ไม่ได้ อีกกี่แสนกัป ก็ไม่ได้

    ถ้าหากว่าเราทำจิตของเรา ให้เกิดนิพพิทาญาณ มีความเบื่อหน่ายในร่างกาย คิดว่าร่างกายของคนนี่ มันสกปรกแบบนี้ พอสิ้นลมปราณหน่อยเดียว คนที่รักกันปานจะกลืนกินจับตัวกันไม่ได้แล้ว ไม่ใช่ว่าคนที่มีชีวิตอยู่น่ะไม่ยอมให้ผีเข้ามาจับ ไอ้คนที่มีชีวิตอยู่ไม่กล้าเข้ามาจับ นี่ตายไม่กี่ชั่วโมงนะ เราเกิดความรังเกียจ ว่าคนนี้ตายแล้ว สิ้นลมปราณแล้ว ร่างกายปราศจากความอบอุ่น ไปจับกายเข้าเย็นชืด แค่นี้เราก็รังเกียจ เราก็มานึกถึงตัวเราเหมือนกันว่า สภาวะของตัวเราก็มีสภาพเช่นเดียวกับบุคคลประเภทนี้ ถ้าร่างกายของเราดีที่มันยังมีลมหายใจ ถ้าเราไม่มีลมหายใจร่างกายของเราก็จะชืดเย็น

    [​IMG]

    แบบนี้ขยับเข้าไปอีกทีหนึ่ง อีก ๒ วัน หรือ ๓ วัน ย่องไปดูใหม่ ที่เขาเรียกว่าพระเยี่ยมป่าช้า แต่ความจริงนักเจริญกรรมฐานนี่เขานิยมเยี่ยมศพในป่าช้านะ ไม่ใช่เยี่ยมป่าช้าเฉยๆ ถ้าเยี่ยมป่าช้าเฉยๆ ดีไม่ดี ในป่าช้าเขามีก่อไผ่ มีหน่อไม้ ขโมยเขาไปขายมันใช้ไม่ได้ เยี่ยมป่าช้าก็คือเยี่ยมศพในป่าช้า สมัยที่ผมทำมา พระผู้หลักผู้ใหญ่ท่านทำเป็นปกติ บางทีเราย่องกลางวันมันไม่เหมาะ ก็ย่องไปกลางคืน ไม่มีใครเขารบกวน ไปถึงก็ไปเปิดโลงศพดู แล้วก็พิจารณาดูคนที่ตาย ตายไป ๒ - ๓ วันแล้ว ร่างกายขึ้นอืด มีน้ำเหลืองไหล
    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width=315>[​IMG]</TD><TD vAlign=top>ดูร่างกายของคนในขณะที่เขายังไม่ตาย เราอาจรู้จักเขา รูปร่างหน้าตาสะสวยงดงามดี ไม่เป็นที่รังเกียจ เวลานี้ร่างกายขึ้นอืดเต็มไปด้วยน้ำเหลือง กลิ่นก็เหม็นโฉ่ เราทนไม่ไหว มองดูแล้วก็ไม่ทราบว่าร่างกายส่วนไหนที่เราจะเอามือไปแตะไปต้องได้ ที่ไม่น่ารังเกียจมันไม่มีเลย

    เวลาที่เห็นศพท่านก็คิดว่าเราก็มีสภาพแบบนี้ ให้เห็นตัวเราเป็นศพไปด้วย ไม่ใช่ว่าเห็นศพคนอื่นแล้วก็นึกว่าตัวเราไม่เป็นศพ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    คิดเปรียบเทียบกันว่า ถ้าเราสิ้นลมปราณแล้ว ก็มีสภาพแบบนี้เหมือนกัน หรือว่าถ้าเราไปเห็นศพที่ทรุดโทรมแล้ว เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ไม่มีส่วนใดส่วนหนึ่งน่ารัก อสุภะต้องคิดว่าน่าเกลียดนะ

    ทีนี้เราคิดเทียบกับตัวเรา ตัวเราน่ะเดินอย่างนี้ไม่กี่วันละ ไม่ช้าก็เป็นแบบนี้ ถึงที่สุดก็เหลือแต่กระดูก กระดูกเรี่ยรายไป นี่พูดให้ฟังย่อๆ ไม่ต้องไปไล่ตามแบบ ให้ใช้อารมณ์ใจเข้าไปคิดว่าร่างกายของคนก็คือผีธรรมดาเรานี่เอง

    ผีตายเพราะว่าคนที่ตาย ที่เขาเน่าเหม็นก็มีสภาพเช่นเดียวกับเรา เวลานี้พอสิ้นลมหายใจเข้าออกมีสภาพแบบนี้ แล้วก็เราล่ะ เรานี่มีอะไรดีไปกว่าเขาบ้าง เกิดมาเขามีธาตุ ๔ เหมือนเรา มีอาการ ๓๒ เหมือนเรา ทำกิจการได้ทุกอย่างเหมือนเรา เวลานี้เขาตายไปแล้ว เขาสิ้นลมปราณ ร่างกายไม่ทรงอยู่ในสภาพเดิม มีอาการเหม็นเน่า อืดพองขึ้นมา

    สิ่งทั้งหลายที่ปกปิดไว้ในสมัยที่ลมปราณยังทรงอยู่ หรือว่าในขณะที่มีลมหายใจเข้าออก อวัยวะต่างๆ มันปกปิดเข้าไว้ พอลมหายใจไม่มี จิตไม่มีการบังคับได้ จิตเคลื่อนไปจากกาย ร่างกายก็ปล่อยเป็นปกติ ทวารทั้งหมดก็เปิด สิ่งที่เสียต่างๆ ก็หลั่งไหลออกมา เมื่อธาตุไฟหมดไป ธาตุลมหมดไป เหลือแต่ธาตุน้ำ กับธาตุดิน ไอ้ธาตุดินนี่ทนน้ำไม่ไหว น้ำก็ละลายตัว ดินก็ละลายน้ำออกมา กลายเป็นร่างกายเน่าเฟะไปหมด ส่งกลิ่นเหม็น

    เมื่อเห็นอย่างนั้นแล้วก็มานั่งคิดถึงตัวเรา แล้วก็คิดถึงตัวเขา ไอ้สิ่งเน่าเหม็นเหล่านี้ สิ่งสกปรกเหล่านี้ปกติมันอยู่ที่ไหน มันมาถึงบุคคลผู้นั้นเมื่อเขาตายไปแล้ว หรือว่ามันมาก่อน มันมาก่อนตาย นั่งนึกกันเอาว่า น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง ความเหม็นทั้งหมด สิ่งที่น่าเกลียดน่ากลัวเหล่านี้มันปรากฏกับบุคคลนี้เมื่อเขาตายไปแล้ว หรือว่ามันอยู่ก่อนตาย เราใช้ปัญญาพิจารณานิดเดียว เราก็รู้ว่าความจริงไม่ได้มาจากไหน มันขังอยู่ในร่างกายเรานี่เอง ขังอยู่ในร่างกายเขานี่เอง เมื่อมันขังอยู่ในร่างกายเขาฉันใด ร่างกายเราเองก็มีสภาพอย่างนั้น
    ในเมื่อเราเห็นว่าร่างกายมีสภาพเต็มไปด้วยความสกปรกแล้ว เราจะคิดรักร่างกายเราอยู่อีกหรือ เราจะเห็นว่าร่างกายของเราจุดไหนมันเป็นส่วนสะอาด นี่พระพุทธเจ้าให้คิดแบบนี้นะ ต้องค่อยๆ คิดค่อยพิจารณา หาความชั่วของร่างกาย ว่านี่ถ้าสิ้นลมปราณอย่างเดียว สิ่งสกปรกทั้งหลายมันหลั่งไหลออกมา แล้วก็เราเองเวลานี้ยังมีลมปราณ กำลังของจักรกลทั้งหลายในร่างกายยังมีเครื่องบังคับ ไอ้สิ่งสกปรกทั้งหลายเหล่านี้ยังไม่ปรากฏ แต่ความจริงมันมีอยู่แล้ว

    ฉะนั้นจึงคิดว่าองค์สมเด็จพระประทีปแก้วบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้เราเห็นว่า ร่างกายเป็นของปฏิกูลน่าเกลียด เป็นอสุภกรรมฐาน หาความสะอาดไม่ได้ เป็นสิ่งโสโครก นี่เป็นความจริง ไอ้การพิจารณาเห็นว่าเป็นความจริง นี่ต้องเป็นเอกัคคตารมณ์นะ คือมีอารมณ์เป็นหนึ่งอยู่ตลอดเวลา เมื่อเห็นซากศพเป็นของน่าเกลียดฉันใด นึกถึงร่างกายของเราขึ้นมาเมื่อไร ก็คิดว่าร่างกายของเรานี่ไม่ช้ามันก็เน่าแบบนั้นไม่น่าคบ ถ้าเราจะเกิดมา เอาร่างกายแบบนี้อีกเราก็โง่เต็มที ทั้งนี้เพราะร่างกายเต็มไปด้วยความสกปรก

    ในเมื่อร่างกายของเราสกปรกเสียอย่างเดียว แล้วร่างกายใครในโลกจะสะอาดบ้าง ให้เห็นตัวเสียก่อน ถ้าเราเห็นตัวของเราแล้ว คนอื่นไม่สำคัญ โดยมากเรามักจะเห็นว่าคนอื่นเขาสกปรก แต่มองไม่เห็นความสกปรกของเรา พระพุทธเจ้ากล่าวว่า เมื่อเห็นว่าร่างกายนี่เป็นสิ่งสกปรก เป็นสิ่งโสโครก ไม่น่าจะเอามือเข้าไปแตะ แม้แต่เท้าก็ไม่น่าจะเข้าไปแตะ เพราะมันสกปรกมาก
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#99ccff>ข้อนี้องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็สอนต่อไปว่า เมื่อเธอพิจารณากายแบบนี้แล้วจงคิดต่อไปว่า เราเป็นเพียงสักแต่ผู้เห็น สักแต่เพียงคิดว่า นี่ร่างกายมันเป็นเราอยู่ชั่วขณะเดียวแล้วก็คิดต่อไปว่า ต่อแต่นี้ไปเราจะไม่ยอมคิดว่าร่างกายนี้เป็นเรา เป็นของเรา ทั้งนี้เพราะเรารังเกียจร่างกายที่มันเต็มไปด้วยความสกปรก ที่เราเกิดมามั่วสุมอยู่กับความสกปรกของร่างกายก็เพราะความโง่ คือมีกิเลสเป็นปัจจัย ตัณหาเป็นปัจจัย ต่อไปเบื้องหน้าขึ้นชื่อว่าร่างกายที่มีความสกปรกอย่างนี้จะไม่มีสำหรับเราอีก ไอ้จิตที่จะคิดได้อย่างนี้ ต้องค่อยๆ คิด ค่อยๆ พิจารณาไปนะ อย่าไปทำวันเดียวให้ได้เลย เดี๋ยวจะดีกว่าพระพุทธเจ้า ค่อยๆ คิด</TD></TR></TBODY></TABLE>
    สมมติว่าเราคิดอย่างนี้แล้วความดีจะมีกับเราอย่างไร เอาล่ะมาว่ากันถึงผลกัน เอาผลสำหรับท่านที่ทำมาแล้ว แล้วมีผล จะเล่านิทานให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง เรื่องนี้ฟังกันมาเยอะแล้ว เรื่องมีว่า การเจริญพระกรรมฐาน และการทำความดีในพระพุทธศาสนา ถ้าเราเป็นคนฉลาดและก็อยากจะถึงพระนิพพานเร็วๆ การจะเข้าพระนิพพานเร็วๆ นี่ ถ้าเราเป็นคนฉลาดจริงๆ ไม่ยาก ไอ้ที่เขาว่า พระนิพพานไปยากน่ะ ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี เอาอย่างนี้ดีกว่า

    ถ้าเราไปถามคนตาบอดว่าแม่น้ำนี่กว้างไหม กว้างเท่าไร ภูเขานี่สูงเท่าไร คนตาบอดมันตอบไม่ถูกหรอก เราอยากจะรู้ว่าแม่น้ำกว้างเท่าไร ภูเขาสูงเท่าไร เราก็ต้องไปถามคนตาดีที่เขาเก่งในการคำนวณ หรือว่าวัดมาแล้วด้วยดี เขาจะตอบได้ถูกต้อง ข้อนี้มีอุปมาฉันใด เรื่องการไปนิพพานง่ายๆ จะถามใครจึงจะตอบได้สะดวก ถ้าถามหลวงตาองค์ที่พูดนี่ ถ้าดีจริงแล้วไม่มานั่งพูดอยู่อย่างนี้ ไปนิพพานนานแล้ว ต้องถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเราจะไปถามที่ไหน เวลานี้พระพุทธเจ้านิพพานไปนานแล้ว แต่ว่าตอนที่พระพุทธเจ้าจะนิพพาน พระพุทธเจ้ากล่าวกับพระอานนท์ว่า เมื่อเรานิพพานแล้วนี่ พระธรรมวินัยที่เราสอนไว้จะเป็นศาสดาสอนเธอ

    ก็เป็นอันว่า เวลานี้พระพุทธเจ้ายังไม่ได้ไปไหน อยู่กับเรา ถ้าเราพบท่านนะ ถ้าเราพบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็พบเรา ถ้าเราพบพญายม พญายมก็พบเรา เลือกพบเอาทาง เราจะพบกับพระพุทธเจ้า แล้วก็อยากไปนิพพานเร็วๆ เราก็มาดูตัวอย่าง พระยศ
    ที่มา http://www.geocities.com/4465/samadhi/maha416.htm
     
  2. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,270
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,095
    อนุโมทนาครับถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตั้งแต่อดีต ปัจจุบันและในอนาคตไม่มีสิ้นสุดไม่มีประมาณพร้อมเหล่าพระสาวกของพระพุทธเจ้าทุกท่านทุกองค์ไม่มีสิ้นสุดไม่มีประมาณ สาธุ มหาสาธุ
    <!-- / message --><!-- sig -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...