หลวงพ่อพระราชพรหมยานอธิบาย อุเบกขาโพชฌงค์

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 31 มกราคม 2008.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    [​IMG]
    ตะนี้มาอีกตัวหนึ่งเขาเรียก อุเบกขาสัมโพชฌงค์ นะ อุเบกขานี่แปลว่าความวางเฉย ไอ้ตัววางเฉยตัวนี้จะถือเป็นสมถะไม่ได้ แต่ความจริงอุเบกขานี่เขาถือเป็น สมถะ อุเบกขานี่เป็นตัวปัญญาเหมือนกัน คือว่าปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้ รู้ตรงไหน ตัววางเฉยน่ะเป็นตัววิปัสสนาญาณนะ เขาเรียกอะไรนะในวิปัสสนาญาณ เขาเรียกสังขารุเบกขาญาณใช่ไหม
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#99ccff>สังขารุเบกขาญาณคือการวางเฉยในขันธ์ ๕ คือร่างกายมันจะเป็นยังไงก็เชิญซินาย นายอยากจะแก่ก็แก่ ฉันไม่ว่าอะไรนาย นายอยากจะพังก็พังฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรนาย เมื่อนายจะตายนายก็เชิญตาย ไอ้นี่มันหายไปตัวนึง อะไรมันหายไปหว่า หือ เมื่ออยากจะตายก็เชิญตายไม่ว่า เอามันปวดเอ้าก็เชิญปวด ฉันรู้อยู่แล้วนี่ว่าแกจะปวดนะ ถ้ามันจะปวดท้องขี้ปวดท้องเยี่ยว เอาก็รู้อยู่แล้วนี่มันจะปวดท้องขี้ปวดท้องเยี่ยว ไปกินมาเศษอาหารมันทรงตัวอยู่นี่ เมื่อมันมีเศษอาหารอยู่มันก็ต้องเป็นอย่างนี้ มันก็ต้องระบายออกมา นี่ฉันรู้ว่าแกจะเป็นแบบนี้</TD></TR></TBODY></TABLE>
    หือ ผมไม่เห็นมันจะมีอะไรนี่หว่า มันไม่ยาก หรือพวกท่านยากไหม จรินทร์ยากไหม ไม่ยากหรอก อีตอนคิดเองมันยาก เอาละเอาตรงนี้ละดี มันจะครบ ๗ หรือไม่ครบ ก็ช่างมันเถอะให้ไปอ่านกันเอา ตะนี้เป็นอันว่าตัวนี้นะโพชฌงค์ นี่คือว่าท่านให้ใช้ปัญญาเป็นเครื่องพิจารณานั่นเอง

    มาเรามาสรุปกันดีกว่าเอาสติเข้ามาคุมตัวไว้ นี่ทั้งหมดนี่ไม่มีอะไรเป็นของธรรมดาๆ คือใช้ตัวปัญญาตัวเดียวควบกันกับสมาธิคือสมถะ ไอ้ตัวสติเป็นตัวสมถะทรงตัวไว้เสมอ คุมอารมณ์ไว้โดยเฉพาะ คือให้จิตมันทรงตัวว่าเราคิดเรื่องอะไรอยู่ เราจะคิดอย่างนั้น นี้มาสรุปตัวท้ายก็มีว่า ใช้ปัญญาพิจารณาหาความเป็นจริง ว่าการเกิดมันเป็นทุกข์ เกิดเป็นทุกข์หรือเป็นสุข ถ้าเราเกิดมาเพราะโง่เป็นสำคัญนะ นี่เกิดแล้วมันมาเป็นทุกข์ ทำไมเราถึงเกิด เพราะว่าเราโง่ เราโง่ตรงไหนล่ะ มาใช้ปัญญาตัดตัวท้ายกันไปเลย
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#99ccff>นี่ท่านไล่ไปไล่มาเป็นสังขารุเบกขาญาณ โง่ที่เราไม่ยอมวางขันธ์ ๕ ไอ้ตัววางขันธ์ ๕ จริงๆ ได้แก่สังขารุเบกขาญาณ ที่เป็นอุเบกขาโพชฌงค์นั่นแหละ เฉยมันน่ะซี เฉยตรงไหน มันแก่เราจะเดือดร้อนทำไมก็มันจะต้องแก่ ถือว่านี่เรื่องธรรมดา ถ้าป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้นก็ถือว่านี่เรื่องธรรมดา คนที่รักเราเอาอกเอาใจเรา เขาเกิดขัดใจเราขึ้นมา ทำให้เราเดือดร้อนถือว่านี่เรื่องธรรมดา เพราะเราเกิดมาในโลกมันต้องเป็นแบบนี้ ในที่สุดเราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ก็ถือว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา นี้ร่างกายของเราเองเรารักที่สุดเวลาที่มันจะพังก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะจับธรรมดาตัวนี้ได้ก็คิดไว้เลย ถ้าร่างกายพังคราวนี้เราจะไม่สร้างมันใหม่อีก เราจะทำยังไง เราจะไปพระนิพพาน</TD></TR></TBODY></TABLE>
    วิธีที่เราจะไปพระนิพพาน จะทำยังไง นั่นก็คือตัดอารมณ์ของความชั่วทั้งหมด ไม่ยอมให้เกิดแก่จิตของเรา ถ้ามันจะเกิดมั่งก็ใช้กำลังขับไล่ คือวิริยะขับไล่มันไป แล้วก็ใช้ปัญญาเป็นเครื่องพิจารณาว่าอะไรมันดี อะไรมันชั่ว ให้รู้ไอ้ดีมันอยู่ตรงไหน ชั่วมันอยู่ตรงไหน คือธัมมวิจยะถ้ามันเกิดอารมณ์ขึ้นมาแล้วใช้กำลังขับไล่ต้องใช้เพียรหน่อยๆ อย่าไปเชื่อมันนัก ถ้าเราไม่มีความเพียรก็ไม่ได้ ในที่สุดกำลังใจของเราคงที่คือวางเฉยได้

    เฉยต่ออาการต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นกับกาย ความแก่เกิดขึ้นก็สบายใจไม่เดือดร้อน ความหิวเกิดขึ้นก็ไม่หนักใจหาให้มันกิน หาได้แค่ไหนให้มันกินแค่นั้น มันมีขนาดไหนกินขนาดนั้น อย่าไปตามใจในเรื่องรสของมัน ต้องการรสอย่างนั้นต้องการรสอาหารแบบนี้ บอกนี่ข้าหาให้แกเท่าไรแกก็ตาย แกก็แก่ ฉันให้แกกินเพื่อประทังกายไปเท่านั้นแหละ ไม่ช้าแกก็พัง แกอยากจะพังเมื่อไรแกก็เชิญพัง ตะนี้ถึงเวลาที่มันพังจริงๆ เราก็สบายใจ สบายตรงไหนตัดอารมณ์เกิด ขึ้นชื่อว่าร่างกายเป็นภัยใหญ่สำหรับเรา เป็นปัจจัยให้เกิดความทุกข์ทุกด้านถ้าเราหมดร่างกายเมื่อไรเรามีความสุขเมื่อนั้นนั่นคือพระนิพพาน ถ้าหากว่าพวกคุณตั้งใจไว้แบบนี้ทุกลมหายใจเข้าออก

    เอางี้ดีกว่า เอาวันหนึ่งครั้งหนึ่ง เอางั้นก่อนนะ เอาวันละครั้งนี้ผมนึกว่าพวกคุณบางทีสิบปีไม่เคยนึกแบบนี้สักครั้งนะ ต่อแต่นี้ไปตั้งใจไว้เลย เช้าตื่นขึ้นมาเราจะคิดแบบนี้นะ ก่อนจะหลับเราจะใคร่ครวญแบบนี้ก่อนหลับ หนักๆ เข้าอารมณ์มันจะชิน เอาก่อนเวลาจะกินข้าว เราจะคิดแบบนี้ หยิบอาหารขึ้นมาคิดว่าร่างกายนี่ ประสงค์ต้องการอาหารแต่ไม่ช้ามันต้องพัง พังแล้วก็ชั่งมันไป ๓ เวลา แล้วแถมก่อนจะนอนเติมเวลาเป็น ๕ เวลา นี้ทำแบบนี้หนักๆ เข้า อารมณ์มันชินมันชักไม่เอาแล้ว มันคิดเกะกะๆ บางทีว่างๆ มันก็คิดเรื่อย ต้องทำให้มันชินนะ มันคิดหนักๆ เข้าในที่สุดไม่ต้องมีกฎบังคับไม่ต้องมีอารมณ์บังคับ มันคิดของมันเองเป็นอารมณ์โดยอัตโนมัติ
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width=180>[​IMG]</TD><TD vAlign=top>มันเห็นหน้าใครปั๊บบอก เอ้ย! ไอ้หมอนี่เต็มไปด้วยความทุกข์นี่ ในตัวเต็มไปด้วยขี้ด้วยเยี่ยว ใช้อะไรไม่ได้เลย ไอ้คนนี้ไม่ได้ดีไปกว่าเราเลยน่ะ หิวเหมือนเรา หนาวเหมือนเรา ร้อนเหมือนเรา เจ็บไข้ไม่สบายเหมือนเรา ปวดอุจจาระเหมือนเรา มันคิดแบบนี้เลยมันชิน แล้วนี่ไม่ช้าเราก็ตาย ไอ้เจ้านี่มันก็ตาย ไม่วิเศษวิโสไปกว่าเราใช่ไหม

    เห็นว่าคนในโลกทั้งหมดเป็นผีหมด เห็นหน้าคนไหนก็ตามไม่มีใครทรงตัว เห็นหน้าคนไหนก็ตามก็เห็นว่า บุคคลนั้นเต็มไปด้วยความทุกข์ ไม่มีใครมีความสุขจริง เห็นหน้าใครทั้งหมดก็เรียกว่าไม่เหลือแล้ว มีแต่ความสกปรกภายในกาย ใจเราก็สบาย
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    และเราก็คิดแบบไหน ไอ้โลกนี่แม้แต่พระเจ้าแผ่นดินมีบุญญาธิการมากที่สุดท่านยังทรงกายอยู่ไม่ได้ นี่เราเกิดมานี่หลายรัชกาลแล้ว นี่เราเกิดมานี่ ๓ รัชกาลแล้วนะ นี่พระมหากษัตริย์เป็นผู้มีบุญญาธิการมากที่สุด พระองค์ต้องการอะไรก็สมหวังแต่ไม่สามารถจะทรงกายไว้ได้ ก็ไอ้คนแบบเรานี่มันจะอยู่ได้ยังไง ใช่ไหม ถ้าเราจะเกิดไปกี่ชาติๆ มันก็ทรงสภาพแบบนี้ และองค์สมเด็จพระมหามุนีบอก ถ้าไม่เกิดมันมีความสุขเราไม่เกิดจะดีกว่า

    วิธีไม่เกิดทำยังไง ก็นั่งคิดไว้เสมอว่าอัตตภาพร่างกายนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา ใช้ปัญญาพิจารณาด้วย เห็นตามความเป็นจริง แล้วในที่สุดมันก็พัง มันอยากจะพังมันก็พังไป พังแล้วเราไม่เกิด ถ้าเราคิดอย่างงี้มันจะได้หรือไม่ได้ทำเป็นอารมณ์ ก็ดูท่านพระโคธิกะ ดูท่านพระโคธิกะท่านทำอะไร ท่านเห็นว่าร่างกายเป็นศัตรู เป็นศัตรูร้ายทำลายความดีของท่าน ถ้าร่างกายนี้ไม่ป่วยเสียอย่างเดียวท่านอาจจะเป็นพระอรหันต์ได้ แต่นี่เพื่อนเขาเป็นพระอรหันต์ไปหมด แต่ปรากฏว่าท่านได้ฌานโลกีย์ ผมเข้าใจว่าฌานน่ะ ฌานเล็กจริงๆ อย่างดีก็ฌาน ๑ ละเอียดเท่านั้น ปฐมฌานละเอียด ก็เพราะว่าท่านป่วยอย่างนั้นนี่ท่านระงับทุกขเวทนาไม่ได้ หากว่าท่านได้ฌาน ๔ ท่านต้องสามารถระงับทุกขเวทนาได้นี้พระโคธิกะต้องไม่ได้ฌาน ๔ อย่างดีก็ปฐมฌานละเอียด

    นี่ท่านถึงได้คร่ำครวญแบบนั้นเมื่อท่านได้ฌานโลกีย์ก็เพราะว่าร่างกายนี้ไม่ช่วยให้ท่านได้อรหันต์ เพราะร่างกายมันต่อต้านคือมันป่วย ท่านเห็นว่าร่างกายนี่เป็นศัตรูใหญ่ ใจวางร่างกายเสียโดยคิดว่าร่างกายนี้จะไม่มีสำหรับเราต่อไปในภพต่อๆ ไป ขึ้นชื่อว่าร่างกายที่ประกอบไปด้วยขันธ์ ๕ คือ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ เป็นก้อนเข้ามาจับเป็นรูป แล้วก็เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่เป็นเครื่องประกอบกัน เราจะไม่มีมันอีกสำหรับร่างกายประเภทนี้ แล้วในที่สุดท่านก็เอามีดโกนเชือดคอตาย แต่ว่าพระพุทธเจ้าบอกว่าไปนิพพาน

    นี่เวลาที่เราจะใคร่ครวญคำว่าใคร่ครวญแต่ไม่ต้องเอามีดโกนมาเชือดคอนะ นี่เป็นอย่างนี้นะ เป็นอันว่าอารมณ์เพียงเท่านี้แหละคุณ มันของไม่ยากหรอก เราทำกันแบบเบาๆ นะ ค่อยๆ คิด อย่าคิดว่ายากเกินไป เพราะว่าอารมณ์ธรรมะของพระพุทธเจ้านี่จับทีละจุด แต่จุดที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือความตายจับไว้ให้ได้ และอาการของความไม่เที่ยงจับให้ได้ เท่านี้แหละ มันก็หมดเรื่องกัน

    เป็นอันว่าพระพุทธเจ้าสรุปในข้อนี้ว่าโพชฌงค์ทั้ง ๗ รายการผมว่ามาแค่ ๖ มันลืมอะไรไปอย่างไม่รู้ทั้งหมดนี้เรามีสตินึกไว้ ว่ามันทรงอยู่ในเราบ้างหรือเปล่า เราทรงไว้ได้ตลอดกาลตลอดสมัยไหม ถ้าขณะใดถ้าเราเผลอไปจงตำหนิมันเลย ว่าเองนี่มันเลวเสียแล้ว เอาพระบาลีบทสำคัญบทหนึ่งไว้ประจำใจว่า อตฺนา โจยตฺตานํ เราจะเตือนใจเราอยู่ตลอดเวลา ว่าจงอย่าลืม จงอย่าลืม
    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width=100>[​IMG]</TD><TD vAlign=top>ในอันแรกก็ก่อนหลับคิดสักพักหนึ่ง ใคร่ครวญสักพักหนึ่ง แล้วตื่นใหม่ๆ ใคร่ครวญสักพักหนึ่ง เวลาเดินไปบิณฑบาตตอนเช้าๆ เห็นชาวบ้านเข้าก็จงหาความทุกข์ของชาวบ้านให้พบ ว่าข้าวที่เราได้กินจากเขาได้มาจากความทุกข์ของเขา แล้วพวกนี้ไม่ช้าก็ตาย เราก็ตายเหมือนกัน นี่ไม่มีอะไรดี เป็นอันว่าถ้าเราคิดกันเพียงเท่านี้เราก็เป็นพระอรหันต์แล้ว

    ตัดสินใจว่า เออนี่พระพุทธเจ้าท่านพูดถูกนะท่านพูดถูก มันทุกข์จริง มันมีการพัึงจริง ถ้าเกิดใหม่มันก็ทุกข์จริง นี่เราเป็นนิดนึงเอาวันละนิดแค่นี้น่ะพอนะ เอาวันละ ๒ - ๓ นาที เป็นอรหันต์ให้ได้วันละ ๒ - ๓ นาที เป็นให้ได้จริงๆ อีตอนนั้นคิดปลงให้ตกจริงๆ ว่าไอ้การเกิดเป็นโทษเป็นทุกข์แบบนี้ ตัดกันจริงๆ เอากันวันละ ๒ - ๓ นาที
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    จบโพชฌงคบรรพในธัมมานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน
    ที่มา http://www.geocities.com/4465/samadhi/maha444.htm
     
  2. Mr.Kim

    Mr.Kim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2007
    โพสต์:
    3,036
    ค่าพลัง:
    +7,028
    [​IMG]

    ธมฺมกาโม ภวํ โหติ</SPAN>
    ผู้ฝักใฝ่ในธรรมเป็นผู้เจริญ
    ธมฺมเทสฺสิ ปราภโว
    ผู้ชังธรรม เป็นผู้เสื่อม
    นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ
    สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี.



    ขออำนาจคุณพระศรีรัตนไตยที่เคารพบูชาเป็นสรณะสูงสุด
    จงอำนวยอวยชัยให้พรแก่ทุกๆ ท่านที่คิดดี พูดดี ทำดี
    อยู่ในศีล อยู่ในธรรม และหมั่นเจริญพระกรรมฐาน
    ขอให้ท่านเจริญ ซึ่งอายุ วรรณะ สุขะ พละ


    อนุโมทนาบุญนะครับ สาธุ ๆ ๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...