หลวงพ่อฤาษีลิงดำ กับ ธุดงควัตร ตอน อุปสรรคในวัด

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 4 กุมภาพันธ์ 2016.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ กับ ธุดงควัตร ตอน อุปสรรคในวัด
    [​IMG]
    ท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ตอนนี้ก็ยังเป็นวันที่ 25 พฤษภาคม 2533 ก็มาคุยกันว่าตอนนี้ให้ชื่อว่า อุปสรรคในวัด เพราะว่าคนในวัด บรรดาท่านพุทธบริษัท ชื่อว่า ลูกศิษย์หลวงพ่อปาน ไปไหนก็มีชื่อเสียง มีคนเคารพนับถือ ยกย่องว่า ท่านเป็นพระดีด้วยกันทุกองค์ แต่ว่าพระในวัดก็มี 4 ประเภท

    1. อุคฆฏิตัญญู มีปัญญาดีมาก มีปฏิภาณดีมาก สนใจในธรรมะปฏิบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และก็ฉลาดมาก

    2. วิปจิตัญญู คนที่มีศรัทธาดี มีบารมีดี แต่ว่ามีปัญญาน้อยไปนิดหนึ่ง

    3. พวกเนยยะ นี่รับฟังคำสองหลวงพ่อปานแล้ว ต้องรับฟังหลาย ๆ หนจึงปฏิบัติได้ครบถ้วน

    4. พวกปทปรมะ พวกประเภทบวชตามประเพณี ท่านพวกนี้ไม่มีอะไรมาก วิธีปฏิบัติของท่านก็คือ ผัดหน้าแต่งตัว บางครั้งก็หนีไปร้องเพลงเสียบ้าง ทำอะไรทุกอย่างไม่ต่างจากฆราวาส

    ฉะนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัท ระเบียบนี้ก็เป็นระเบียบของวัดทุกวัด แม้แต่ในปัจจุบันในเมื่อผู้ใหญ่ดี ก็จงอย่านึกว่า ลูกน้องดีเหมือนกันทุกท่าน แต่ที่ชั่วก็มี ที่ดีก็มาก

    รวมความว่า เมื่อเข้าไปถึงวัด การไปธุดงค์ บรรดาท่านพุทธบริษัท แม้แต่มีดพับก็มีเล่มเล็ก ๆ แล้วก็หักปลาย ไม่ให้เป็นอาวุธ มีดโกนก็นำไปไม่ได้ เพราะมันเป็นอาวุธได้เป็นอันว่า ไปธุดงค์ตั้งหลายเดือน แต่ทว่าเวลากลับมา ผมก็ยาว ไม่ได้โกน

    พอเข้ามาในวัด สุนัขที่เคยเลี้ยงไว้ มันก็จำไม่ได้ มันวิ่งเข้ามากระโชกเห่า แต่พอเข้ามาใกล้ มันจำกลิ่นได้ มันก็เลิกเห่า มันก็หมอบ มันก็คลาน มันก็ต้อนรับ กระโดดต้อนรับ

    ครั้นมาถึงในวัด ก็ตรงไปหาหลวงพ่อปาน แขกกำลังมาก ไปถึงก็กราบท่าน ท่านก็บอกว่า พระ 3 องค์นี่เขาฝึกธุดงค์ (บอกกับญาติโยม) ญาติโยมจะแปลกใจว่า พระ 3 องค์ นี่ 1.ห่มจีวรกรัก 2.แบกกลด และก็ 3.มีย่าม 4. มีกาน้ำ 5.มีบาตร ผมที่ยาวอย่างนี้ก็เพราะว่าการไปธุดงค์ เอามีดโกนไปไม่ได้ ปลงผมไม่ได้ ก็ต้องปล่อยไว้ตามสภาพ

    เมื่อกราบท่าน ก็รายงานให้ท่านทราบว่าการไปอยู่ในป่ามีความสุขดี ไม่มีอะไรเป็นอันตราย ท่านก็ยิ้ม ท่านยิ้ม แล้วหันไปหาญาติโยมบอกว่า นี่พระของฉันโกหก ทั้ง ๆ ที่ไปธุดงค์มาแล้วนี่ยังโกหก นี่เอาดีกันไม่ได้ พอฟังอย่างนั้นก็ตกใจคิดว่า เอ๊ะ นี่เราโกหกอะไรท่าน

    ท่านก็บอกว่า หลังจากที่พวกเธอไปอยู่ที่หลังผักไห่ ในเขตศรีประจันต์ วันหนึ่งเธอปวดศีรษะมากใช่ไหม ก็กราบท่านบอกว่า ใช่ แล้วท่านถามว่า แล้วทำไมจึงบอกว่า มีความสุขดี เลยกราบเรียนท่านบอกว่า พระอินทร์ท่านมาช่วยรักษาให้ ท่านก็ถามว่า พระอินทร์มารักษาให้ แล้วให้อะไรไว้บ้าง ก็กราบเรียนท่านตรง ๆ บอกว่า ให้วิชากอบโรคทิ้ง

    ท่านก็ถามว่า ก่อนที่จะกอบโรคทิ้ง ต้องมีครูไหม ก็ตอบว่า ต้องมีครู มีธูป 3 ดอก มีเทียนหนักบาท 1 เล่ม มีดอกไม้ 3 ดอก และเงิน 1 สลึง ท่านบอกว่า ถ้าอย่างนั้นดีแล้ว ท่านก็เลยถามญาติโยมว่า ใครต้องการจะรักษาโรคบ้าง (นี่ไม่ต้องพักกันแล้วนะ) รักษาโรค ตำราที่พระอินทร์สอนพระใครต้องการไหม ญาติโยมยกมือพรึ่บ (ยกมือพนมนะ) มึงต้องการครับ กูต้องการค่ะ ว่ากันเป็นแถว ๆ ในที่สุดหลวงพ่อปานก็ให้แสดง บอก เอาเลยทำการรักษาได้เลย

    เมื่อญาติโยมทั้งหลายจัดสถานที่เรียบร้อยแล้ว ตามระเบียบแล้ว มีของทุกอย่าง ก็เลยทำพิธีกอบให้ท่าน ก็มีคน ๆ หนึ่งบอกว่า ปวดศีรษะมาก พอกอบทิ้ง 3 ครั้ง ท่านสลัดหัวเป็นการใหญ่ สลัดหัวหาการปวดศีรษะ ก็เป็นอันว่า ไม่ปวดศีรษะ การปวดศีรษะหายไป

    วันนั้นก็เลยต้องทำพิธีการกอบกันเป็นการใหญ่ เป็นอันว่า คนที่มีโรควันนั้นประมาณ 100 คนเศษ มีคนหนึ่งปวดท้องกำลังปวดมาก พอกอบ 3 ครั้งทิ้งก็หาย ก็รวมความว่า วันนั้นได้เงินหลายสลึง ได้เงิน 100 สลึงกว่า ก็นำไปถวายหลวงพ่อปาน

    หลวงพ่อปานบอกว่าเขาถวายเธอ ก็เลยบอกว่า พระอินทร์ท่านบอกว่าเงินนี่ใช้ไม่ได้ ต้องทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ท่านผู้มีคุณ ท่านเป็นครู หลวงพ่อปานก็ยิ้มว่า เออ ทำถูกแล้ว แต่ว่าวิชากอบนี้จะต้องปฏิบัติตามครูสอนเด็ดขาดนะ เงินสลึง หรือว่าดอกไม้ก็ดี ธูปเทียนก็ดี จะเว้นไม่ได้เด็ดขาด หลังจากนั้นท่านก็สั่งให้ไปพัก

    เมื่อเข้าที่พัก ก็ปรากฏว่าที่พักเดิมที่พักอยู่ รกรุงรังไปหมด บรรดาพวกพระปทปรมะไปนั่งเล่น นอนเล่น ทำสกปรกเสียเยอะแยะ ก็เริ่มวางกลด จะกวาดพื้นที่ ก็พอดีเห็นลุงวิมา ลุงวิก็บอกว่า ไม่ต้องกวาดครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง พวกท่านเอาผ้าออก เปลื้องจีวรออก ปลงผมกันก็แล้วกัน ต่างคนก็ต่างช่วยกันปลง ผลัดกันปลง เมื่อปลงผมเสร็จ ก็ปรากฏพื้นที่เรียบร้อยดีทุกอย่าง ที่นั่ง ที่นอนเรียบร้อย เตาต้มน้ำต้มท่าเรียบร้อย น้ำก็มีเสร็จเรียบร้อย แต่ลุงวิหายไปแล้ว ก็เป็นอันว่า มีความสุข

    แต่ว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทอุปสรรคใด ๆ ของนักปฏิบัติจะยิ่งไปกว่าอุปสรรคของคนนี่ไม่มี ฉะนั้นบรรดาพระพวกปทปรมะทั้งหลาย เขาเห็นหน้าเข้าเขาก็เรียกว่า เฮ้ย พระอรหันต์มาแล้วโว้ยพระโสดาบันมาแล้วโว้ย อะไรบ้างก็ตาม ผู้วิเศษมาแล้วโว้ย คือพูดยวนกวนใจ

    ทีนี้บรรดาท่านทั้งหลาย อาตมาบอกแล้วว่า พวกเรายังไม่ดี ยังเป็นทาสของนิวรณ์ นี่นักปฏิบัติทุกคนควรจำไว้นะ คำว่า นิวรณ์ แปลว่า กิเลสหยาบที่ทำปัญญาให้ถอยหลัง เมื่อเขาพูด บางครั้งบางคราวจิตใจก็ยั้บยั้ง ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่าบางคราวก็ชักไม่ชอบใจเหมือนกัน

    ในเมื่ออาการไม่ชอบใจเกิดขึ้น จิตก็มัวหมอง ต้องมีการซักซ้อมกันอยู่เรื่อย ๆ และพระบางพวกก็พูดยียวนต่าง ๆ นา ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกฆราวาสในตำบลบางนมโคเองไม่ใช่จะมีคนมีความเลื่อมใสหลวงพ่อปานทุกคน ที่เลื่อมใสก็มีไม่เลื่อมใสก็มี ทั้ง ๆ ที่ท่านดีขนาดนั้น ที่ไม่มีความเลื่อมใส เขาก็หาว่าอาตมา 3 คนนี่ บ้า

    รวมความว่า การพูดคุยกับใคร ต้องถนอมถ้อยคำ เขาถามความเป็นมาว่า วิชากอบลองกอบให้ผมซิ เวลานี้ผมไม่มีสตางค์ กอบให้รวยสตางค์สิ ก็เลยนึกในใจว่า จะบอกให้เขาฟังว่า กอบให้มีสตางค์น่ะ กอบไม่ได้ แต่กอบให้ตายน่ะ กอบได้ พอนึกในใจแค่นี้ก็ได้ยินเสียงบนอากาศบอก อย่าทำนะ ถ้าทำเขา เขาจะเป็นอย่างนั้นทันที จะมีโทษ ในฐานฆ่ามนุษย์ ก็เลยยั้บยั้ง

    เป็นอันว่า การอยู่ที่วัด บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่มีความดี นึกอยากจะอยู่ในป่า แต่วิธีที่ปฏิบัติอยู่ในวัด ในเมื่อเข้าถึงวัดแล้วเราก็วางภาระของธุดงค์ แต่ก็ยังกินข้าวเวลาเดียว ตอนเช้าก็ไปบิณฑบาตกับเขา กลับมาก็ยังไม่กินข้าวพร้อม อาหารทั้งหมดที่ได้มา ก็ให้กับส่วนกลางหมด

    แต่ทว่าอาหารที่กินเอง เมื่อเข้ามาอยู่ในป่าช้าก็บิณฑบาตใหม่ เทวดา นางฟ้า ท่านก็ใส่บาตรให้กินตามเดิม กินอาหารของท่านมีความสุข พระบางองค์ที่มีความฉลาด ก็สงสัยว่าอาหารตอนเช้าท่านได้มา ท่านเอาไว้ส่วนกลางหมด แล้วท่านฉันอะไร ก็ต้องตอบว่า ผมมีอาหารส่วนหนึ่งสำหรับฉัน ผมมีอยู่แล้ว ไม่เป็นไร

    แต่ว่าในวัดเวลานั้นจริง ๆ พระที่มีกรรมฐานเก่งมีอยู่ 2 องค์ คือ นอกจากหลวงพ่อปานแล้ว ก็มี หลวงพ่อเล็ก รองลงมา แล้วก็มี พระอาจารย์ฉัตร พระอาจารย์ฉัตรนี่เป็นนักปฏิบัติ เข้าป่าช้าทุกคืน ความจริงอาจารย์ฉัตรนี่ ท่านไม่ค่อยจะรู้หนังสือ อ่านหนังสือไม่ออกมาก่อน ต้องมาเรียนหนังสือเมื่อขณะบวช แต่ว่าการปฏิบัตินี่เก่งมาก เอาจริงเอาจัง คนเอาจริงเอาจังประเภทนี้ คนเขาก็ไม่ค่อยนิยมเหมือนกัน

    ถ้าจะถามว่าองค์อื่นมีไหม ถ้าองค์อื่น ก็ขอตอบว่า เวลาที่หลวงพ่อปานประกาศขึ้นกรรมฐานสมาทานกรรมฐานเขาก็สมาทานด้วย แต่ทว่าเลิกมาแล้ว จิตใจเขาเริ่มทำเป็นสมาธิ นั้นคือ รักผู้หญิง อยากจะรวยบ้าง อยากจะพบคนสวยบ้าง อย่างนี้เป็นต้น คือว่าเป็นธรรมดา ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มักจะคุยกันเรื่องรวย อยากจะรวยอย่างนั้น อยากจะรวยอย่างนี้ เป็นโลกียวิสัย

    ฉะนั้น การเข้าไปอยู่ในวัดก็เต็มไปด้วยอุปสรรค แต่ก็เป็นความดี ที่ว่าเป็นความดี ก็เพราะว่า นักมวย ถ้าเป็นเพียงซ้อมมวยอยู่คนเดียวบนยอดเขา ก็อาจจะคิดว่า ตัวเองเก่ง เป็นเจ้าโลก เป็นแชมป์โลก ไม่มีใครสามารถจะสู้ได้ เพราะไม่มีใครจะสู้ด้วย แต่ถ้าขึ้นชกจริง ๆ ขึ้นเวทีจริง ๆ อาจจะแพ้ ตั้งแต่ยกแรกก็ได้ หรือไม่ทันเต็มยกฉันใด พระธุดงค์ที่อยู่ในป่า ก็เช่นเดียวกัน ไม่มีใครขัดคอ ไม่มีคนขัดคอสักคน

    เพื่อนกัน 3 คน ก็คุยเหมือนกันหมด คุยกันถึงผลการปฏิบัติแต่ละวัน ๆ ใครพบอะไรบ้าง ใครมีอารมณ์อะไรบ้าง พูดกันโดยเฉพาะ นอกจากนั้นเวลาว่างก็มีเทวดา มีนางฟ้า มีพรหม มีพระท่านมาคุย ท่านก็คุยในผลการปฏิบัติ ก็มีแต่อารมณ์ชุ่มชื่น ครั้นมาอยู่กับคนเข้า ก็กระทบกับอารมณ์ต่าง ๆ ที่เรียกว่า นิวรณ์ 5 ประการ กระทบกันอย่างหนัก

    1. ความสวยของคน คนที่มีเพศตรงกันข้าม รูปร่างหน้าตาดี ๆ ในเมื่อกิเลสมันยังมี ก็อาจจะชอบเขาได้ แต่ว่ากำลังใจ ถ้านึกชอบขึ้นมาเมื่อไร อีกสักประเดี๋ยวหนึ่งเราก็รับตัดทัน

    วิธีตัดไม่ยาก ก็คิดว่าเวลานี้เราเป็นพระเรายังไม่มีโอกาสจะแต่งงานกับใคร และการที่ไปรักเขา เขาจะรักหรือเปล่า ถึงแม้ว่ารัก ก็ไม่เป็นการสมควร เพราะเราเป็นพระ เอาง่าย ๆ แบบนี้ ถ้าเห็นคนที่เขาแก่กว่า แก่กว่าไม่มากก็คิดว่า นี่เขาเป็นพี่ จะเป็นผู้หญิง หรือผู้ชายก็ตามแก่กว่ามาก แต่อ่อนกว่าพ่อกว่าแม่ก็นึกว่า เขาเป็นน้า หรือเป็นอา คราวพ่อคราวแม่ ก็คิดว่าเขาเป็นลุงบ้าง

    ถ้าเจอะผู้หญิง หรือผู้ชายก็ตาม ที่อ่อนกว่าก็คิดว่า เขาเป็นน้อง ต้องใช้อารมณ์แบบนี้อยู่นาน อุปสรรคประเภทนี้ มันหนัก ต้องใช้อารมณ์แบบนี้อยู่ประมาณสักเดือนเศษ จิตจึงทรงตัวเริ่มอารมณ์วางเฉยในร่างกายของคนได้บ้างแล้วพอสมควร แต่ว่าไม่ได้เฉยไปทั้งหมด บางทีเผลอแว้บมันก็เอาเหมือนกัน นี่จึงได้บอกให้ท่านทั้งหลายทราบว่า ถ้าได้ยินข่าวใครเขาพูดเรื่องราวต่าง ๆ ตามที่อ่านมาแล้วว่า มีประสบการณ์แบบนั้นแล้วเป็นผู้วิเศษ อย่าเพิ่งเชื่อ มันยังเลวอยู่

    ประการที่ 2 อารมณ์ที่ไม่พอใจ มันก็ยังมีอยู่บางครั้งบางคราว ในเมื่อถูกเหยียดหยามบ้าง ถูกพวกพระเสเพลพูดกระทบกระแทกบ้าง บางครั้งก็ไม่พอใจ อันนี้ก็เป็นอารมณ์เลวคือ เป็นนิวรณ์ตัวที่ 2

    สำหรับนิวรณ์ตัวที่ 3 คือ ความง่วง ก็ไม่จำเป็น ง่วงเมื่อไร ก็นอนเมื่อนั้น ภาวนาให้มันหลับไป หมดเรื่องหมดราว เราตั้งใจภาวนา แต่มันอยากจะง่วง ก็เลยนอนภาวนาให้มันหลับไป ก็หมดเรื่องกัน เพราะว่าก่อนจะหลับ จิตถ้าไม่สงบไม่ถึงฌานมันไม่หลับ ถ้าจิตสงบถึงฌานเมื่อไร มันจึงจะหลับ ถ้าหลับได้ในขณะที่ภาวนาอยู่ ก็ถือว่าเป็นการดี

    ต่อมาอีกอันหนึ่ง คือ อารมณ์ฟุ้งซ่าน อารมณ์คิดไม่พอใจบ้าง อารมณ์คิดพอใจบ้าง อยากจะได้อย่างโน้น อยากจะได้อย่างนี้ คำว่า อยากจะได้ ไม่ใช่อยากรวย อยากจะเป็นพระโสดาบัน อยากจะเป็นสกิทาคามี อยากจะเป็นอนาคามี อยากจะเป็นอรหันต์ อย่างนี้เป็นต้น อยากจะสร้างโน่น อยากจะทำนี่ อยากจะทำให้ดีที่สุด ที่หลวงพ่อปานท่านทำอยู่แล้ว อยากจะช่วยให้มันดีขึ้น ให้มันไวขึ้น ได้ตัวนี้เป็นอารมณ์ฟุ้งซ่าน เป็นนิวรณ์ตัวที่ 4 เป็นอารมณ์เลว

    ทีนี้ ความสงสัย อันนี้ไม่ต้องพูดกัน เลิก สำหรับนิวรณ์ตัวที่ 5 นี่ตัดได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ก็รวมความว่า เข้าป่ามาตั้งหลายเดือน ชนะความชั่วได้ตัวเดียว คือ ตัวสงสัย

    และต่อมาการปฏิบัติ การปฏิบัติก็เหมือนธรรมดา ๆ เป็นกันเองทุกอย่าง แต่ทว่าข้าวกินเวลาเดียว กินข้าวของท่านที่มาใส่บาตรให้เป็นกรณีพิเศษ ถ้าบอกอย่างนี้ ถ้าคนสมัยนั้น เขายังมีชีวิตอยู่ เขาไม่เชื่อหรอก เพราะว่าพวกเราต้องปกปิด ถ้าไม่ปกปิด พวกนั้นก็จะบาปมากขึ้น จะหาว่าโกหกหมดเท็จด้วยประการต่าง ๆ ก็รวมความว่า ต้องปกปิด ท่านที่รู้จริง ๆ ก็คือ หลวงพ่อปาน

    แต่งานประจำก็คือว่า อยู่กับหลวงพ่อปาน เวลาหลวงพ่อปานรับแขก ก็อยู่ใกล้ ๆ ท่าน หากว่าท่านต้องการอะไร จะใช้อะไร เราก็ยอมรับ และขณะที่หลวงพ่อปานรับแขก ก็นั่งดูแขกไปด้วย จะเป็นคนหนุ่ม จะเป็นคนสาว จะเป็นคนแก่ คนวัยกลางคน ก็ป่วยเหมือนกันหมด ทุกคนก็ประกาศแต่ทุกขเวทนา

    บางคนก็มาปรารภเรื่องความเป็นอยู่ ตอนนี้ก็ใช้อารมณ์ของอริยสัจว่า ที่พระพุทธเจ้าบอกว่าคนที่เกิดมาในโลกเต็มไปด้วยความทุกข์ นี่เป็นความจริง ในเมื่อมันทุกอย่างนี้แล้วชาย และหญิงทุกคนจะมีชีวิตอยู่นานไหม แต่ว่าทุกคนที่มานี่แปลกไม่มีใครคิดถึงความตาย ทุกคนก็บอกอยากจะทำกินอย่างโน้น อยากจะทำกินอย่างนี้ อยากให้หลวงพ่อปานช่วย ให้มันรวยอย่างนั้น ให้มันรวยอย่างนี้ ก็คิดในใจว่า พวกนี้เวลาความตายเข้ามาใกล้เต็มที ทำไมจึงไม่คิด

    และงานอีกประเภทหนึ่ง ก็คือว่าหลวงพ่อปานใช้ให้รดน้ำมนต์ เวลาถึงกาลรดน้ำมนต์ก็ผลัดกันรด เพราะคนมาก ๆ เหนื่อยมากเหมือนกัน คนตักน้ำใส่ตุ่มเขาก็เหนื่อย ต้องมีหลายคน เพราะท่าน้ำมันไกล แต่ถึงเวลารดน้ำมนต์ ก็ไม่ต้องว่าคาถาอะไร แต่บางคราวคนที่เขามีอารมณ์เครียดมากจากการป่วย (คือ มีทุกขเวทนามาก) ท่านก็เรียก ลิงดำเอ๊ยไปช่วยกอบโรคเขาทิ้งทีวะ

    เลยกราบเรียนหลวงพ่อบอกว่า ค่าครูครับ ท่านก็บอกเขา มีสตางค์สลึงไหม ถ้าจนมากไม่มี ฉันจะออกให้ ท่านก็จัดดอกไม้ธูปเทียนให้เสร็จ ถ้าเขามีสตางค์สลึงใส่เขาก็ใส่ ถ้าเขาไม่มีสตางค์สลึงใส่ หลวงพ่อปานก็ใส่ให้ อาตมาก็ไปวางที่หน้าพระพุทธรูป กราบพระ นึกถึงพระอินทร์ท่าน นึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพระอินทร์ท่าน ก็ไปกอบให้พอกอบทิ้ง 3 ครั้ง โรคก็หาย อาการที่เป็นหายทันที (แต่ว่าจะหายตลอดไป หรือไม่ตลอด ไม่ทราบ แต่เวลานั้นหายกันแน่)

    ทีนี้สำหรับวิชากอบโรคทิ้ง บรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมาจำเป็นต้องเลิก เพราะทำได้ไม่นานนัก คนที่ทำให้เลิกก็คือ พวกพระที่เป็นปทปรมะ ก็เพื่อน ๆ กัน บวชรุ่นราวคราวเดียวกันบ้าง บวชรุ่นพี่บ้าง บวชรุ่นน้องบ้าง เธอไม่สบาย ก็วานให้กอบโรค

    ก็มีหลาย ๆ ท่าน ที่ปฏิบัติตามระเบียบ ก็มีรุ่นพี่อยู่ 3 คน ไม่ยอมทำตามระเบียบ บอกทำเถอะวะ เราเป็นพระด้วยกันไม่เป็นไรน่า อาตมาก็เกรงใจก็ไปกอบให้ท่านก็หาย พอท่านหายปวด ไม่ช้าเราก็ปวดแทน ต้องหาสตางค์มายกครู มาไหว้ครูเป็น 2 เท่าหาย ไม่ช้าก็มีมาอีก โดนเข้าแบบนั้น 3 องค์

    พอถึง 3 วาระ ท่านเจ้าของก็มาบอกว่า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เลิกใช้วิชานี้ เพราะว่าคนเลว ๆ ประเภทนี้มีอยู่ คุณไม่ช้าก็แย่ เพราะถ้าไม่ไหว้ครู อาการประเภทนั้น โรคนั้นจะเข้าตัวคุณ ถ้าบังเอิญเขาเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา ที่เป็นโรคที่ร้ายแรง คุณก็ไม่สามารถรักษาหายได้ จะมีทุกขเวทนาหนัก ความจริงวิชานี้เป็นที่น่าเสียดาย บรรดาท่านพุทธบริษัท

    ก็เป็นอันว่า ถือว่าเป็นความดีส่วนหนึ่ง เป็นการเชื่อได้ว่า เทวดามีความรู้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระอินทร์ท่านรู้จริง ๆ ท่านมีความสามารถจริง ๆ ที่ท่านให้วิชานี้ และทำให้หายไปหลายคน และความสามารถของลุงวิก็เก่งจริง ๆ สามารถปรับพื้นที่ให้เรียบราบได้แบบสบาย ๆ

    การอยู่ป่าช้าเวลานั้น ก่อนจะไปมันรกรุงรัง ทางหายาก ลุงวิมาจัดการทำทางให้เรียบร้อยเป็น 3 สาย เดินไปหากันสบาย ๆ ไม่มีหนาม ไม่มีขวาก ไม่มีอะไรเป็นอุปสรรคทั้งหมด เดินกลางวันก็ได้เดินกลางคืนก็ได้ ไม่ต้องใช้ไฟฉายก็ได้ และเวลาเดินไปไม่ใช้ไฟฉายก็จะมีแสงเรือง ๆ สว่าง ๆ น้อย ๆ คล้าย ๆ กับแสงพระจันทร์ขึ้นน้อย ๆ พอเห็นทาง ทั้ง ๆ ที่อยู่ในป่าไผ่ อันนี้ก็เป็นความสุขบรรดาท่านพุทธบริษัท

    เมื่อกลับมาวัด เขาบิณฑบาตเดินกัน ก็เป็นการบังเอิญ มีญาติโยมคนหนึ่ง มาจากกรุงเทพฯ ซื้อเรือยาวให้ลำหนึ่ง บอกว่า สำหรับท่าน 3 องค์นี้ครับ ก็ใช้เรือยาวบิณฑบาต เวลาหน้าแล้งเขาบิณฑบาตเดิน เราก็บิณฑบาตเรือ ไปใกล้ ๆ หัววัดท้ายวัดนิดหน่อย

    ก็ปรากฏว่ามีญาติโยมพุทธบริษัท เพียงแค่ไม่กี่บ้าน คนใส่บาตรไม่เกิน 6 บ้าน ไปใกล้ ๆ เพราะถ้าขืนไปไกล เดี๋ยวพระที่บิณฑบาตเดินเขากลับมา เขาจะคอย ไปแต่เพียงบ้านที่เขาไม่สามารถจะใส่บาตรพระบิณฑบาตเดินได้ แต่เพียงเท่านี้

    บรรดาท่านพุทธบริษัท อาหารก็เต็มหัวเต็มท้าย แกงที่หลวงพ่อปานจะต้องแกงทุกวัน ก็ไม่ต้องแกง พอกินพอใช้ ทั้งนี้เป็นเพราะอะไร เป็นเพราะบุญบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าช่วย

    ถ้าถามว่าไปบิณฑบาตว่าคาถาอะไร ก็บอกไว้แต่ตอนต้นแล้วว่า อิติปิโส ภควา อรหังสัมมาสัมพุทโธฯ ว่าหมดจบ พายเรือไปก็ว่าเรื่อยไป นึกในใจเรื่อยไป เขาใส่บาตรปั๊บ เวลาที่เขาจะใส่บาตรก็นึกในใจว่า ขอท่านผู้มีคุณ จงมีความเป็นอยู่เป็นสุข มีความคล่องตัวในการทรงชีวิต

    แต่ว่าข่าวนี้ไม่ช้าก็ถึงหลวงพ่อปาน เมื่อ 2 เดือนผ่านไปถึงปรากฏ เขามาแจ้งให้หลวงพ่อปานทราบว่า เมื่อก่อนนี้ผมมีการฝืดเคืองมาก หากินไม่สะดวก ค้าขายไม่ดี พอพระ 3 องค์นี่ไปบิณฑบาตเข้า ใส่บาตรท่านเข้า หากินคล่อง ซื้อง่ายขายคล่อง มีกำไรดี พอถึงฤดูกาลทำนา เวลาฝนแล้ง ต้นข้าวเขาไม่ตาย และเวลาจะเกี่ยว ข้าวได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย และเขาก็มารายงานหลวงพ่อปานให้ทราบ

    หลวงพ่อปานก็บอกว่า เออ ดีแล้ว พระ 3 องค์นี่เขาดี พอใช้ได้ แต่ญาติโยมก็บอกว่า เคยไปถามท่านแล้ว ท่านบอกว่า ท่านไม่ดี ท่านยังเป็นทาสของนิวรณ์อยู่ หลวงพ่อปานบอกว่า จริงความไม่ดีของเขาน่ะมันดีกว่า พวกเราที่เราดีกันนะ พระอื่นที่ว่าตัวดีน่ะ มันยังดีไม่เท่าเขาเลว เขาบอกว่ามาก เขารู้จักนิวรณ์แต่คนอื่นไม่รู้จัก (นิวรณ์ คือความชั่ว)

    การอยู่ที่วัด ก็คุยกันถึงเรื่อง เรียนหนังสือกับท่าน การปฏิบัติกรรมฐาน กับเรียนหนังสือ นี่คู่กัน ครูที่สอนนักธรรมตรีของอาตมา ซื่อ วาด ต่อมาภายหลังเป็น พระครูปริยัติคุณูปการ เจ้าคณะตำบลบ้านแพน (เมื่อปี พ.ศ.2529 ท่านยังมีชีวิตอยู่) ท่านเป็นครูบาอาจารย์ที่ดีมาก

    ท่านครูองค์นี้มีคติแปลกจากครูองค์อื่น คือว่า เวลาที่มาสอน ไม่ถือหนังสือมาด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธรรมปฏิบัติก็ดี หรือวินัยมุขก็ดี ท่านจำมาทุกถ้อยคำ เวลาก่อนที่จะอธิบายต่าง ๆ ท่านจะพูดตามหนังสือเดี๊ยะ เคยเอาหนังสือไปกางดูแล้วเหมือนทุกคำพูด เหมือนกับท่องมา เคยถามท่าน ท่านบอกไม่ได้ท่อง ท่านอ่านแล้วท่านก็จำทุกถ้อยคำ เมื่อว่าไปตอนหนึ่งแล้ว ท่านก็อธิบายให้เข้าใจทราบ อาตมาเรียนกับท่าน

    เมื่อเรียนกับท่านแบบนี้ อาตมาเองเป็นคนมีนิสัยลอกแบบ ในเมื่อเห็นครูบาอาจารย์ ท่านทำอย่างนั้นได้ ก็คิดในใจว่า เราก็ควรจะทำบ้าง กลับมาวัด ดูหนังสือจริง ๆ 3 เที่ยว แต่ดูครั้งละ 4 ใบ ดูไปครั้ง ตั้งใจอ่านช้า ๆ จำทุกถ้อยคำ ถึง 4 ใบแล้วก็วาง ประเดี๋ยวหนึ่งวางนิดหนึ่ง

    แล้วก็นึกถึงถ้อยคำที่เราจำในหนังสือนั้น จำได้หมด หรือไม่หมด ถ้านึกว่าจำไม่ได้หมด ก็ดูเป็นเที่ยวที่ 2 เมื่อดูเป็นเที่ยวที่ 2 ก็รู้สึกว่า จำได้หมดทุกถ้อยคำ แต่ก็เกิดความสงสัยในบางกรณี ไม่เข้าใจในถ้อยคำนั้น ก็กลับดูอีกครั้งหนึ่ง เป็นครั้งที่ 3 ต้องแก้ข้อสงสัยให้ได้ ถ้าแก้ข้อสงสัยไม่ได้ก็ไม่เลิก

    ก็เป็นอันว่าสามารถจำถ้อยคำทุกถ้อยคำของหนังสือได้เหมือนครู เวลาครูท่านมาสอนเราก็ฟังท่านเหมือนทุกคำ เวลาเปิดหนังสืออ่านก็เหมือนทุกคำ เป็นอันว่า การดูหนังสือแบบนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท ความจริง นักธรรมตรีนี่ อาจารย์วาด หรือพระครูปริยัติคุณูปการท่านสอน แต่ว่านักธรรมโท กับ นักธรรมเอก อาจารย์เชื้อเป็นผู้สอน แต่ว่าท่านอาจารย์เชื้อนี่ตายไปนานแล้ว

    ทีนี้ก็มาคุยกันถึงเรื่องการสอบ การสอบมันก็ไม่แปลก บรรดาท่านพุทธบริษัท เพราะจำได้ทั้งหลักสูตร แล้วก็จำได้ทั้งถ้อยคำที่ครูอธิบาย เวลาครูอธิบายจริง ๆ ก็ ตาดู หูฟัง ใจจำ คิดตามไป เขาเรียก สุ.จิ.ปุ.ลิ. เวลาสอบจริง ๆ มันก็ไม่พลาด นี่พูดถึงการศึกษา ที่เป็นอย่างนี้ได้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็อาศัยสมาธิ สมาธิมีความสำคัญมากในการเรียนในการรู้ในการจำ สมาธิ แปลว่าการตั้งใจทำ

    ทีนี้ก็มาคุยถึงปฏิปทาที่อยู่ที่วัด หลวงพ่อปานท่านก็คุยให้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทฟังว่า พระ 3 องค์นี่เขาเก่ง เขาฝึกธุดงค์เข้าไปอยู่ในป่า กินข้าวกับเทวดา กับนางฟ้าเขาสามารถทำได้

    แล้วก็ความจริงก็เปิดเผยขึ้นมา เพราะว่าเวลาที่อาตมาไปบิณฑบาตก็ไปบิณฑบาตกับพระธรรมดา ๆ วันปกติ แต่ว่า เวลาที่จะไปบิณฑบาต ตั้งแต่เริ่มห่มผ้าว่า อิติปิโส ภควาฯ เรื่อย และเวลาไปบิณฑบาตก็ว่าเรื่อยไป จนกว่าจะกลับ ทำอย่างนี้เป็นปกติ

    ท่านก็คุยกับบรรดาชาวบ้านให้เขาฟัง บอกว่า พระ 3 องค์นี่เขาไปบิณฑบาตมา แต่เขาไม่กินหรอก เขาถวายพระหมด ก็เป็นสังฆทานไป แล้วเขาเอง เขาก็เข้าที่อยู่ของเขา ในป่าช้าเขาก็บิณฑบาตของเขากิน เขาทำอย่างนี้เป็นปกติ

    ก็ถือว่า เขาตั้งใจจริง ญาติโยมที่ได้ฟังก็ต่างคนต่างมอง ต่างคนต่างสนใจเป็นกรณีพิเศษ แล้วท่านก็คุยต่อไปว่า 3 องค์นี่ เขาคุยกับเทวดา คุยกับนางฟ้า คุยกับพรหมเป็นปกติ

    ยามปกติอาตมาทั้ง 3 องค์ อยู่ที่วัดเป็นคนพูดน้อย เพราะไม่ค่อยอยากจะพูดกับบรรดาเพื่อนพระด้วยกัน นอกจากมีธุระจำเป็นจริง ๆ ก็คุย หรือว่าถ้าใครเขาคุยประเภทมีเหตุมีผลก็คุย ถ้าไม่อย่างนั้นก็เป็นคนนิ่ง ที่นิ่งเพราะอะไร เพราะว่าบรรดาเพื่อนทั้งหลาย ไม่สนใจในความเป็นพระ พระทั้งหมดจริง ๆ ที่เห็นว่าสนใจในความเป็นพระอยู่ก็

    1. หลวงพ่อปาน

    2. หลวงพ่อเล็ก

    3. พระอาจารย์ฉัตร

    3 องค์นี่ สนใจในความเป็นพระจริง ๆ นอกจากนั้น ก็สนใจในความเป็นพระประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์บ้าง 5 เปอร์เซ็นต์บ้าง 1 เปอร์เซ็นต์บ้าง 0 เปอร์เซ็นต์บ้าง จริยาของท่านมุ่งอย่างเดียวคือ โลกียวิสัย

    ชอบคุยกันเฉพาะ เรื่องทางโลก ชอบคุยเรื่องความรัก นี่พระหนุ่มชอบคุยเรื่องความรัก และคุยเรื่องความโลภ คุยเรื่องความโกรธ คือ อารมณ์ไม่พอใจ คุยเรื่องความหลงใหลในชีวิต คิดว่าจะร่ำรวยเพราะเรื่องนิด ๆ หน่อย ๆ แต่ในที่สุด ที่สึกไป เห็นเจ๊งทุกรายไม่มีใครตั้งตัวได้ ฉะนั้นจึงคุยกันไม่ได้

    และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาก็นึกว่า อาตมาทั้ง 3 คน บ้า ๆ บวม ๆ ในเมื่อเขาเห็นว่าเราเป็นคนบ้า เป็นคนบวม เราก็ไม่สนใจ เราก็บ้าตามเรื่องของเรา เข้าที่พักสบาย ๆ มีอารมณ์สงัด บางเวลาก็คุยกัน 3 องค์ บางเวลาก็แยกกันคุย

    แยกกันคุยกับเทวดาบ้าง พรหมบ้างนางฟ้าบ้าง ภุมเทวดาที่เป็นท่านเจ้าที่บ้าง ท่านท้าวมหาราชบ้าง ใครต่อใครตามเรื่องตามราว บางคราวเราก็ยุ่ง
    ที่มา http://palungjit.org/threads/ขอเชิญร่วมบุญปิดทองคำรับพระกริ่งผงพระพุทธรูปเพื่อมอบให้โรงเรียน.560840/
     

แชร์หน้านี้

Loading...