หลวงพ่อฤาษีลิงดำ กับ ธุดงควัตร ตอน ไปเที่ยวสุวรรณวิหาร

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 11 กุมภาพันธ์ 2016.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ กับ ธุดงควัตร ตอน ไปเที่ยวสุวรรณวิหาร
    [​IMG]
    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับวันนี้ตรงกับ วันที่ 24 ธันวาคม 2533 สำหรับเรื่องราวที่จะพูดต่อไปนี้ ก็จะนำเรื่องราวของ ธุดงค์ มาคุยกันต่อไป

    การธุดงค์คราวนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัท ขอพูดเป็นจุดสุดท้าย ความจริงไม่ใช่หยุดธุดงค์ คือเป็นปีที่ 3 จะหยุดแค่ปีที่ 3 ไม่พูดถึงปีที่ 10 ถ้าขืนพูดถึงปีที่ 10 ก็ไม่ต้องจบกัน หลังจากปีที่ 3 แล้วก็ไปซ้ำแล้วซ้ำอีกไปโน่นบ้าง ไปที่นี่บ้าง ทดลองภาคเหนือบ้าง ภาคใต้บ้าง ภาคไหนบ้างตามที่เห็นสมควร แต่ว่าความสำคัญของธุดงค์ก็อยู่ที่อารมณ์ นั่นคือว่าต้องการสถานที่สงัด

    วันนี้ก็มาพูดกันถึงปีที่ 3 ปีที่ 3 นี่เรียนนักธรรมเอก ขณะที่เรียนนักธรรมเอก ตอนนั้นครูบอกว่า จะต้องมีหนังสือวิสุทธิมรรค เป็นหลักสูตร ในเมื่อจะหาวิสุทธิมรรค ก็ไปถามหลวงพ่อปานว่า หนังสือวิสุทธิมรรค ใครเขียนดีที่สุด ท่านก็บอกว่า ของ เจ้าคุณพร้อมวัดสุทัศน์ฯ (ลืมราชทินนามของท่าน ชื่อเดิมชื่อ พร้อม ท่านเป็นเจ้าคุณ) ท่านแปลตามบาลีโดยตรง หนังสือเล่มนั้นเป็นพื้นฐานดีมาก ควรจะยึดถือเป็นหลักปฏิบัติ

    บรรดาท่านพุทธบริษัทคงจะแปลกใจว่า ทำไมหลวงพ่อปานจึงได้บอกอย่างนั้น ก็ขอแจ้งให้ทราบว่า หลวงพ่อปานนี่คู่กับอาจารย์เกี้ยว อาจารย์เกี้ยวนี่สึกไปก่อน หลวงพ่อปานยังอยู่ ไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯพร้อมกัน เรียนบาลี สำหรับหลวงพ่อปานนี่มีความชำนาญในวิสุทธิมรรคมาก ถ้าท่านแปลจริง ๆ แปลจบอภิธรรม อาจารย์เกี้ยวมีความชำนาญในอภิธรรมมาก คือ สนใจอภิธรรมมาก สามารถตั้งวิเคราะห์ได้ทุกตัว

    เป็นอันว่า ทั้ง 2 ท่านนี้ ถ้าพูดกันถึงภาษาบาลี ก็ดีกว่าอาตมามาก อาตมามีความรู้ภาษาบาลีไม่ได้ 1 ใน 100 ของท่าน จึงไปซื้อวิสุทธิมรรคที่เจ้าคุณพร้อม (ชื่อเดิมชื่อ พร้อม แต่ราชทินนามจำไม่ได้) มาอ่าน อ่านกสิณทั้ง 10 อย่าง สนใจกสิณ

    แต่ว่าวิธีอ่านเขาอ่านอย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท จะเล่าเกร็ดให้ฟัง หลวงพ่อปานบอกว่า ตามธรรมดาคนที่เกิดมาแล้วนี่ จะไม่เคยมีบุญวาสนาบารมีนั้น ไม่มี ทุกคนต้องมีบุญวาสนาบารมีมาก่อนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกที่พอใจในการเจริญพระกรรมฐานส่วนใหญ่ก็มักจะเคยเจริญกรรมฐานมาแล้วในชาติก่อน เคยได้มาแล้วคนละหลาย ๆ กอง วิธีปฏิบัติให้ปฏิบัติตามนี้

    อันดับแรก ให้วางหนังสือไว้ที่บูชา ต่อหน้าพระพุทธรูป จุดดอกไม้ธูปเทียนเสร็จ ตั้งใจสมาทานพระกรรมฐานด้วยความเคารพ นึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่ากรรมฐานทั้ง 40 กองนี้ มีกองใดบ้าง ที่เคยได้มาในชาติก่อน เมื่ออ่านไปแล้วขอให้ชอบกองนั้น ถ้าชอบกองไหน คั่นไว้ หรือขีดไว้ ทำสัญลักษณ์ไว้ หรือเขียนไว้ก็ได้

    และต่อมา เมื่อชอบหลาย ๆ กองแล้ว กลับมาทีหลัง ก็มาดูใหม่ บูชาใหม่ว่า กรรมฐานที่ชอบหลาย ๆ กองนี้ กองไหนถ้าทำแล้วจะได้ง่ายที่สุดให้ทำกองที่มีความรู้สึกว่าชอบใจมาก และง่ายที่สุด

    ก็บูชาพระแล้วก็ตั้งใจอธิษฐาน กลับมาย้อนดูใหม่ ดูกรรมฐานที่ชอบ สำหรับกรรมฐานชอบ ๆ นั้น จริง ๆ ชอบทั้งหมด 37 กอง ขาดไป 3 กอง คือขาดอรูปฌานไป 3 และต่อมาก็มาดูใหม่ว่า กองไหน ถ้าหากว่าจะทำได้เร็วที่สุด ขอให้ชอบกองนั้นมากที่สุด ก็มาชอบ เตโชกสิณ

    การทำเตโชกสิณ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็รู้สึกว่าทำง่าย เพราะว่าเป็นปีที่ 3 มาแล้ว ทุกอย่างก็ผ่านมาหมด ฉะนั้น การเจริญเตโชกสิณจึงเป็นของไม่หนัก เพราะว่า กรรมฐานทั้งหมดมีอารมณ์เสมอกัน จะขึ้นว่ากสิณก็ดี อสุภก็ดี อนุสสติก็ตาม จุดหมายปลายทางคือต้องการจิตเป็นสมาธิ สามารถชนะนิวรณ์ได้ แต่ว่าจะชนะมาก ชนะน้อย ชนะนาน หรือไม่นาน นั่นก็เป็นเรื่องอีกอย่างหนึ่ง ก็เป็นอันว่า เจริญเตโชกสิณ

    หลวงพ่อปานท่านก็แนะนำบอกว่า ถ้าหากว่าเจริญเตโชกสิณ เมื่อเตโชกสิณถึงที่สุดแล้ว ให้สังเกตดูว่า กรรมฐานกองไหนขึ้น ให้จับนิมิตกรรมฐานกองนั้นทำต่อไป แล้วจะได้ภายใน 3 วัน จะจบภายใน 3 วัน ก็เป็นความจริง เมื่อทำเตโชกสิณ ทำจริง ๆ 7 วัน ทำ 7 วันถึงฌาน 4

    นี่ไม่ใช่อวดอุตตริมนุสสธรรม มาคุยกันตามความเป็นจริงว่า เรียนด้วย ปฏิบัติด้วยนี่มันดี มันรู้ของจริง ไม่ใช่เอาสักแต่ว่าเรียน สักแต่ว่าอ่าน แล้วก็ไป ๆ มา ๆ ไม่เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เชื่อสวรรค์ ไม่เชื่อนรก ไม่เชื่อว่าการท่องเที่ยวสวรรค์เป็นไปได้ การท่องเที่ยวนรกเป็นไปได้ อันนี้ก็ถือว่าเป็น มิจฉาทิฎฐิ อย่างหนัก

    คำว่า มิจฉาทิฏฐิ ก็แปลว่า มีความเข้าใจผิด หรือมีอารมณ์คัดค้านสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหมือนกับกระจ่า หรือทัพพีที่ตักแกง กระจ่าก็ดี ทัพพีก็ดี เขาฝังอยู่ในหม้อแกง เขาฝังอยู่ในหม้อข้าว เขาแช่ไว้ทั้งวัน แต่จะสามารถรู้รสข้าว รู้รสแกงก็หาไม่ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะกระจ่า หรือทัพพีไม่มีประสาท ข้อนี้ฉันใด แม้การศึกษาปริยัติก็เช่นเดียวกัน ถ้าศึกษาแต่การอ่านอย่างเดียว ไม่ปฏิบัติตาม ก็จะไม่รู้ผลแห่งความเป็นจริง

    แล้วก็มีส่วนใหญ่ มีมากเหมือนกันที่กลายเป็นมิจฉาทิฎฐิ ไม่เชื่อสวรรค์ ไม่เชื่อนรก เคยมีทั้งนักเทศน์ที่มีชื่อเสียงหนักในสมัยก่อน เทศน์ไปเทศน์มา เทศน์มาเทศน์ไป ก็กลับบอกว่า ผมก็เทศน์ไปตามแบบตามแผน ผมไม่เชื่อว่าสวรรค์นรกมี นี่เป็นอย่างนี้ นี่ขนาดนักเทศน์เองนะบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ฉะนั้นเพื่อความแน่นอน จึงได้ทำกรรมฐานควบคู่กันไป ในเมื่อทำเตโชกสิณได้แล้ว กองอื่นก็ขึ้นต่อ ๆ ไป ก็รู้สึกว่าไม่ยาก

    ทีนี้เมื่อทำหมดไปทั้งหมดตามนิมิตที่เกิดแล้ว ก็จับอรูปฌานที่ยังไม่ได้ คือ อากาสานัญจายตนะ นี่ได้แล้ว พอจับปั๊บก็ได้เลย ทำ 3 วันก็จบ ก็เหลือ อากิญจัญญายตนะ วิญญาณัญจายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ อันนี้ก็เป็นของไม่หนัก เพราะมีอารมเสมอกัน เมื่อทำได้ทั้งหมดแล้ว ก็ออกธุดงค์กันใหม่

    การออกธุดงค์กันใหม่นี่บรรดาท่านพุทธบริษัทหมายถึงปีที่ 3 ตามที่พูดมาในตอนต้นออกธุดงค์กันก็ไปกันตามบท ไปถึงโน่นจังหวัดกำแพงเพชร พอไปถึงจังหวัดกำเพชร ก็ไปเจอะ หลวงพ่อจง หลวงพ่อจงท่านไม่มีกลด ท่านมีย่าม 1 ลูก ท่านจึงมีจีวรธรรมดาๆ เหมือนกับอยู่วัด เมื่อพบหลวงพ่อจงเข้า หลวงพ่อปานก็เข้าไปไหว้หลวงพ่อจง เพราะว่าหลวงพ่อจงแก่กว่าหลวงพ่อปานประมาณ 10ปี แต่ว่าเจริญกรรมฐานสำนักเดียวกันจากหลวงพ่อสุ่น

    ในเมื่อทั้งสองท่านคุยกันแล้ว หลวงพ่อจงก็ถามว่า ท่านปานพาเด็กมาที่นี่ แล้วพาไปเที่ยวที่ไหนบ้าง หลวงพ่อปานก็บอกว่า ไม่ได้พาไปเที่ยวที่ไหนก็ให้ศึกษาสมาธิ และศึกษาการคบหาสมาคมพูดจาปราศรัย รู้จักเทวดา รู้จักพรหม รู้จักนรกสวรรค์ฝึกซ้อมไว้ เพราะพระพวกนี้ยังเด็กอยู่ ต่อไปถ้าไม่ทำให้ช่ำ ไม่เกิดความชำนาญ ก็จะกลายเป็นมิจฉาทิฎฐิอย่างพระหลายองค์ในพระพุทธศาสนาที่กลายเป็นมิจฉาทิฎฐิ ไม่เชื่อสวรรค์ ไม่เชื่อนรก ไม่เชื่อว่าตายแล้วเกิด ถือว่าตายแล้วสูญ นี่เป็นถ้อยคำของหลวงพ่อปานที่พูดเวลานั้น (เวลานี้จะมีหรือไม่มีก็ไม่ทราบไม่ได้สนใจใคร)

    หลวงพ่อจงก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ฉันจะพาเด็กไปเที่ยว ท่านปานจะไปไหมล่ะ หลวงพ่อปานก็บอกว่า ถ้าหลวงพี่ไป ผมก็ไป ผมจะมานั่งอยู่คนเดียวทำไม รวมความว่าเป็น 5 องค์ด้วยกันคือ พวกอาตมา 3 องค์หลวงพ่อปาน 1 แล้วก็หลวงพ่อจง 1

    วิธีพาไปเที่ยวของท่าน ท่านก็แนะนำบอกว่า การเที่ยวนี่เป็นของไม่ยาก แถวเมืองกำแพงเพชรนี่ของดีๆ มีมาก ก็ถามว่าท่านบอกว่า จะไปเที่ยวเมืองเก่าหรือ ถ้าเที่ยวเมืองเก่าก็ต้องเข้าบ้านเข้าเมืองจะต้องพบกับคน จะต้องบิณฑบาตท่านบอกว่า ไม่มีความจำเป็น เมืองเก่าเธอจะมาเมื่อไรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมาในลักษณะธุดงค์ เราเป็นพระธุดงค์ ไม่ใช่ว่าจะมีคนเขาเคารพทุกคน บางคนคบพระธุดงค์ก็ต้องการเลขหวย (เลขหวย12ตัวเวลานั้นเรียกจับยี่กี) บางคนก็ต้องการลาภสักการะบางคนต้องการเสน่ห์มหานิยม ไม่ถูกต้อง ถ้าเธอจะมาก็มาแบบปรกติพระอาคันตุกะธรรมดา เวลานี้เป็นเวลาธุดงค์ ยังไม่ควรจะเข้าไปในเมือง ก็เลยถามท่านบอกว่า จะไปไหน ท่านก็เลยบอกว่า จะไปไหนเป็นหน้าที่ของฉันก็แล้วกัน

    ท่านก็ลุกนำหน้า (หลวงพ่อจงแลดูเดินช้าๆ บรรดาท่านพุทธบริษัท แต่ทว่าพวกเราก้าวกันเกือบแย่ ต้องก้าวถี่ยิบ ตัวท่านก็เล็กแต่ทำไมเดินช้าๆ ทำไมพวกเราต้องเดินไว) ท่านหันหลังมา ท่านถามว่า เดินไม่ทันหรือ ก็เลยบอกว่าไม่ทันขอรับท่านบอก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ไม่ต้องเดินมากละ ถ้าขืนเดินมากพวกเธอจะเหนื่อย แต่ว่าท่านปานไม่เหนื่อย ท่านปานเดินเป็น ฉันก็เดินเป็น แต่พวกเธอยังเดินไม่เป็น ก็ถามว่า ถ้าจะเดินให้เป็นทำอย่างไรขอรับ ท่านก็บอกว่า ใช้กสิณทั้งหมด ก็ถามว่า ถ้าใช้กสิณทั้งหมด ใช้ทีเดียวหมด อย่างนั้นใช่ไหมครับ ท่านบอกว่า ไม่ใช่ ให้รวบรวมกำลังของกสิณทั้งหมดไว้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จะใช้อะไรก็ได้ทันทีทันใด ตามใจชอบ ก็เลยถามท่านว่าเวลานี้ผมเริ่มฝึกจะใช้กสิณอะไรขอรับ ท่านบอกว่า ใช้ วาโยกสิณ กสิณลม นึกถึงกสิณลมแล้วก็เดินไป มันจะไวเอง ขาไม่ต้องก้าวยาว และขาไม่ต้องก้าวถี่มันจะเดินไวเอง ก็ลองนึกถึงกสิณลม

    การนึกถึงกสิณบรรดาท่านพุทธบริษัท ต้องนึกให้ถึงฌาน 4 คือ มีภาพเป็นประกายพรึก ตามแบบฉบับของการปฏิบัติ ถ้ารุ่นหลังใครจะไม่เชื่อก็ตามใจเถิด นี่เล่าสู่กันฟัง เพราะมันแก่มากแล้ว เรียกว่า แก้กางเกงในมาคุยกัน ถอดเสื้อนอก แล้วก็ถอดเสื้อใน ถอดกางเกงนอก แล้วก็ถอดกางเกงในปล่อยกันล่อนจ้อนแล้ว หมดตัว แต่ก็ยังเหลือผ้าเตี่ยวอยู่นิดหนึ่ง (ผ้าเตี่ยวนี่ไม่แก้ให้ดูแน่) เอากันแค่นี้

    เป็นอันว่า หลวงพ่อจงบอกว่าให้ใช้รวบรวมกสิณ ก็รวบรวมกสิณ วิธีรวบรวมก็ไม่มีอะไรมาก เพราะพวกเรายังไม่เป็นถาม ท่านบอกว่า ต้องขึ้นปฐวีกสิณก่อนใช่ไหม ท่านบอกว่า ไม่ใช่ ใช้อารมณ์กสิณ นึกเฉพาะวาโยกสิณ ฉันต้องการจะเดิน ขอให้ร่างกายเบา เมื่อท่านแนะนำแบบนั้น ก็ทำตามท่าน ทำตามแบบเถรส่องบาตร เป็นอันว่าครูว่าอย่างไร ก็ว่าตามนั้น แต่ก็มีผลหลวงพ่อจงเดินช้าๆ ตามแบบฉบับเดิม พวกเราก็เดินตามท่าน คราวนี้รู้สึกว่าไม่หนัก ตัวไม่หนักเลย เดินไปแบบสบายๆ จะว่าลอยมันก็ไม่ลอย มันก็เดินเท้ากระทบพื้นดินแต่ทว่าไม่มีความรู้สึกหนัก

    ท่านก็ชี้ชมต้นไม้ ชี้ดูต้นยางบ้าง ต้นเต็งบ้าง ต้นรังบ้าง เก้งบ้าง กวางบ้าง กระต่ายบ้าง มีเยอะแยะ เพราะสัตว์ต่างๆ ที่เห็นพวกเราเข้า ไม่มีใครเขาหนี สัตว์ทั้งหมดไม่หนี เพราะยังไม่เคยพบคน เป็นป่าลึกพรานไปไม่ถึง ใช้เวลาเดินประมาณ 10 นาที ก็พ้นจากเขตป่าเข้าจุดๆหนึ่งใจุด ๆ นั้นก็มีรูปร่างลักษณะเหมือนกับตึก แต่ว่าเป็นตึกที่ฉาบไปด้วยทองคำ รูปร่างลักษณะจริง ๆ คล้าย ๆ กับพระที่นั่งอนันตสมาคม แต่ว่าพระที่นั่งอนันตสมาคมสวยกว่า (เอาความสวยกันนะ) แต่ว่าที่ตรงนั้นมันเป็นทองคำทั้งหมด ตั้งแต่หลังคาลงมา บุด้วยทองคำ ข้างในเป็นพื้นบุด้วยทองคำ ที่บันไดก็เป็นทองคำ ทองคำหมด

    ก็ถามหลวงพ่อจงว่า ในป่านี้มีวิหารทองคำหรือครับ หรือว่ามีพระราชวังทองคำท่านบอกว่า เขาเรียกว่า สุวรรณวิหาร ถามท่านบอกว่า ที่จุดนี้เขาเรียกตำบลอะไร หรือว่าอำเภออะไร ของจังหวัดกำแพงเพชรครับ ท่านบอกว่า ไม่ใช่จังหวัดกำแพงเพชร ที่นี่มันเป็นประเทศอินเดีย ก็ถามว่าเมื่อกี้นี้เดินดูโคนต้นไม้ ยอดไม้ แล้วทำไมมาถึงอินเดีย ท่านก็บอกว่าถ้าใช้วาโยกสิณ พวกเธอไม่ได้นึก แต่ใจฉันนึก ใจฉันนึกว่า จะมาสุวรรณวิหาร มันก็มาขณะที่ไปสุวรรณวิหาร ปรากฏว่าที่ประเทศอินเดีย แขกหลับ แขกอยู่ยามก็หลับ แขกไม่อยู่ยามก็หลับ พวกนั่งยามก็หลับ พวกนอนยามก็หลับ ยืนยามก็หลับ หลับหมดไม่มีใครเห็นเราก็ไปเที่ยวในสุวรรณวิหารตามชอบใจ

    ชมสุวรรณวิหารก็มีความรู้สึกว่า คนที่สร้างสุวรรณวิหาร คือวิหารทองคำ ต้องใช้จ่ายทรัพย์มาก ต้องลงทุนมาก ต้องลงแรงมาก ทรัพย์สินต่างๆ ได้มาจากภาษีอากรของบรรดาราษฎร แต่ว่าราษฎรไม่ค่อยจะมีสิทธิ์จะได้ใช้ คนที่มีสิทธิ์ใหญ่จริงๆ คือกษัตริย์ แต่ว่าวันเวลาที่เขานมัสการสุวรรณวิหารมีอยู่ แต่ก็ต้องเข้าไปอย่างมีระเบียบ ออกมาอย่างมีระเบียบ เห็นแขกแต่งตัวขาวๆ นุ่งผ้าขาว ห่มผ้าขาว โพกศีรษะขาว ถามหลวงพ่อจงว่า พวกนี้พวกอะไรครับ ท่านบอกว่า พวกนี้เขาเรียกว่าสาธุ พวกสาธุ พวกปฏิบัติดี ก็ชมไปชมมา

    หลวงพ่อจงก็อธิบายให้ฟังว่า สุวรรณวิหารนี่ คนที่สร้าง หรือคนสั่งให้สร้าง ตายไปหลายคนแล้ว และคนสร้างก็ตายไปหลายคนแล้ว พวกเธออย่าหลงใหลใฝ่ฝันสุวรรณวิหารว่ามันเป็นของดี อย่าลืมว่าทรัพย์สมบัติในโลกมันดี เฉพาะเวลาที่เรามีชีวิตอยู่ ถ้าเราตายไปแล้วเมื่อไร ทรัพย์สมบัติที่เราหาไว้ในโลก มันก็เป็นสมบัติของบุคคลอื่น เราไม่ควรจะสนใจในทรัพย์สมบัติในโลกมากเกินไป ที่พามาให้ดูนี่ก็ต้องการจะให้รู้ว่า ของที่เขาเรียกกันว่าดี คือ ทองคำ ขนาดเอาทองคำมาเป็นวิหารทั้งหลัง แม้จะเป็นทองบุภายนอก ทองบุภายในก็ตามที ก็ได้มาด้วยความเหนื่อยยากของบรรดาประชาชนทั้งหลาย กษัตริย์เองก็ต้องใช้มันสมองมาก การที่จะใช้คนก็เป็นการยาก การใช้คนไม่ใช่ใช้ง่ายๆ ต้องเป็นคนที่มีบารมีต้องพูดดีให้เขาถูกใจ

    การที่คนจะพูดดีได้ก็ต้องใช้กำลังใจ ควบคุมกำลังใจให้ดีไว้ กำลังใจเวลานั้นต้องไม่เป็นทาสของนิวรณ์ และก็ไม่หลงในอำนาจเกินไป เพราะคนทุกคนในโลกชอบยอ (คำว่า ยอ หมายถึง ยกย่อง หรือว่าสรรเสริญ พูดดีๆ) แทนที่จะเร่งรัด ก็กลับน้อมถ่อมลงมา บอกอย่าทำให้แรงนัก อย่าใช้กำลังให้มากนักมันเหนื่อยมากเกินไป พักผ่อนเสียบ้าง อย่างนี้เป็นต้น แล้วก็ต้องมีสินจ้างรางวัล มีรางวัลให้เป็นเครื่องตอบแทนความเหน็ดเหนื่อยก็รวมความว่า กษัตริย์เองก็หนักบรรดาประชาชนผู้ทำการก่อสร้าง หรือช่าง ก็หนักพวกเสียภาษีอากรก็ต้องหาเงินมา แทนที่จะใช้เป็นส่วนตัวได้ ก็ต้องมาเสียภาษีอากร ก็หนัก

    แต่พวกหนักๆ ทั้งหลายเหล่านั้น เวลานี้ไม่มีชีวิตอยู่ตายหมดแล้ว นี่เขาทำมาหลายชั่วคนแล้ว พวกเธอก็เช่นเดียวกัน จงจำไว้ อย่ามีความหลงใหลใฝ่ฝันในชีวิต จงอย่าคิดว่าเราไม่ตาย เราไม่แก่ จะเห็นว่าฉันกับท่านปานสองคนนี่แก่ เธอจะไม่แก่นั้นไม่ใช่ ความแก่พวกนี้ฉันจะไม่เอาไปไหน จะมอบไว้แก่พวกเธอ ก็กราบท่าน บอกหลวงพ่อขอรับ อย่ามอบแต่ความแก่เลยขอรับ ท่านถามว่า เธอต้องการอะไรอีก ผมขอให้หลวงพ่อมอบความสามารถด้วยขอรับ ท่านบอกว่า เอาจากท่านปานน่ะไม่พอหรือ หลวงพ่อปานท่านก็บอกว่า ท่านถนัดแบบหนึ่ง หลวงพ่อจงถนัดอีกแบบหนึ่ง ขอให้มอบความสามารถให้แก่เธอด้วย

    หลวงพ่อจง ก็หันมาหัวเราะคิกๆ บอกไอ้2-3 ตัวนี่ มันฉลาด ไอ้ข้าก็หากินของข้าทางหนึ่ง ท่านปานเขาก็ หากินของเขาทางหนึ่ง (นี่หมายถึงผลของการปฏิบัติ) ท่านปานเขาปรารถนาพุทธภูมิ เป็นพระโพธิสัตว์ ข้าปรารถนาไปในชาตินี้ เอ็งจะเอาอย่างไรวะจะ เอาพุทธภูมิ หรือจะเอามรรคผล ก็เลยกราบเรียนกับท่านว่า ผมไม่เจาะจงทั้งพุทธภูมิ และมรรคผลเวลานี้ตัวผมเองหลวงพ่อปานให้ปรารถนาพุทธภูมิ แต่ว่าผมต้องการความสามารถทั้งสองอย่าง ทั้งพระโพธิสัตว์ และมรรคผลในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถของหลวงพ่อ ขอให้มอบให้ผมด้วย ท่านบอกได้ตกลง แต่ว่าวิธีรับกัน (ก็ไม่ต้องมีธูปไม่ต้องมีเทียน) ให้ใช้กำลังใจเป็นเครื่องรับ ตั้งใจฟังคำแนะนำของท่านปาน แต่ถ้ามีอะไรสงสัยฉันอยู่วัดหน้าต่างนอก ไม่ไกล ไปหาฉัน ฉันจะบอกให้ แต่ว่าการบอกฉันจะบอกครั้งเดียว ฉันจะไม่ซ้ำสอง เพราะการศึกษา ถ้าถึงซ้ำสองก็ถือว่าเป็นคนไม่ดีแล้ว

    ฉะนั้น ความสามารถทุกอย่างที่เธอมีความต้องการ ถ้าไม่เกินวิสัยที่ฉันจะให้ได้ฉันจะให้ให้หมด แต่ว่าเธอจะแบกไว้ได้หมด หรือไม่หมด เป็นเรื่องของเธอ ฉันมีหน้าที่อย่างเดียวคือ เป็นผู้บอกที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า อักขาตาโร ตถาคตา ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้บอก

    ในเมื่อคุยกันเสร็จ บรรดาพี่บังทั้งหลายก็เริ่มจะขยับตัวตื่น ท่านบอกว่า แขกเริ่มตื่นแล้ว ก็ถามท่านว่า จะหลบแขกไปไหนดีล่ะขอรับ ท่านบอกไม่จำเป็นต้องหลบ เวลานี้แขกมองไม่เห็นเรา เราไม่ต้องการให้แขกเห็น ฉันเป็นผู้นำต้องการแบบนั้น ประเดี๋ยวดูลีลาของแขกพวกแขกนี่มีความเคารพในวิหารนี้จริงๆ เวลามันจะขึ้นไป มันจูบบันไดทุกขั้น แล้วเข้าไปกราบพระเจ้าของเขา แล้วก็ออกมาจูบโน่นจูบนี่

    เราก็นั่งนึกในใจว่า ไอ้พวกนี้มันดี หรือมันบ้า เอาทองคำทำเป็นตึก บันไดนี่เขาเอาเท้าเหยียบ มันดันไปจูบ แล้วก็มาคิดอีกทีว่า ถ้าเราคิดว่า เขาบ้า เราก็บ้า เพราะถ้าเราไม่บ้า เราก็ไม่คิดว่าเขาบ้า นี่เพราะว่าเรามันบ้า จึงคิดว่าเขาบ้าเรายังบ้าอยู่ เวลานี้เรายังบ้าอยากอยากมีความสามารถอย่างหลวงพ่อปาน อยากมีความสามารถอย่างหลวงพ่อจง เป็นอันว่าเราก็ยังบ้า พอมาเห็นสุวรรณวิหาร พอเห็นนี่แรกปั๊บ จิตสะดุ้งเฮือก แปลกใจว่า ทองทั้งหลังเขาหามาได้อย่างไร นี่มันก็เป็นความบ้าของคน ความบ้าของความรู้สึก

    ก็มาคิดตัดสินใจ ตามที่หลวงพ่อจงบอกว่า เราจะบ้าไปทำไม ของทั้งหลายเหล่านี้ คนสร้างมาตายไปหมด เราคนดู ไม่ช้าเราก็ตายเช่นเดียวกัน เราก็มาบ้าปฏิบัติตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดีกว่า หลวงพ่อจงท่านหันมายิ้ม บอก เออ..คิดอย่างนี้ถูกแล้ว (นี่ขนาดคิดนะรู้ด้วย)

    หลังจากดูแขกบ้าอยู่พักหนึ่งแล้วก็พากันกลับ เวลาเดินทางกลับ ท่านก็บอกว่า ประเดี๋ยวก็ถึงแล้ว เดินมาเพียงแค่ 2-3 ก้าว ก็ปรากฏว่ามาถึงกลดที่ปักอยู่ ก็รวมความว่า บรรดาท่านพุทธบริษัท ตามที่คนเขาพูดกันบอกว่า เขาเรียนชั้นไหนก็ตาม แต่เขาไม่เชื่อสวรรค์ ไม่เชื่อนรก นั่นก็หมายความว่า นักเรียนประเภทนั้น ไม่เคยปฏิบัติในพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลักปฏิบัติก็มีอยู่4ประการคือ
    1.สุกขวิปัสสโก
    2.เตวิชโช
    3.ฉฬภิญโญ
    4.ปฏิสัมภิทัปปัตโต

    ทั้ง 4 อย่างนี้ ถ้าเขาปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง แม้จะยังไม่ได้มรรคผล เขาก็จะต้องเป็นคนที่มีศรัทธา มีความเชื่อมีความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า ไม่คัดค้านพระพุทธเจ้า แต่หากว่าถ้าไม่ปฏิบัติแล้ว มันก็ไม่ต่างอะไรกับกระจ่า ที่เขาแช่ในหม้อแกง ซึ่งไม่ได้รู้รสแกงเลยเพราะมันไม่มีประสาท
    ที่มาhttp://palungjit.org/posts/9918686
     

แชร์หน้านี้

Loading...