อุปทานจากสิ่งที่มองเห็นด้วยความเป็นทิพย์

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย solardust, 1 พฤษภาคม 2016.

  1. solardust

    solardust เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    250
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,770
    เหมือนเดิมนะครับ เป็นเรื่องสมัยหนุ่มๆ
    ไม่ได้เกี่ยวกับการฝึกสมาธิเท่าไรนะครับ แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการมองเห็นอะไรซักอย่างด้วยสภาพของความเป็นทิพย์
    แล้วทึกทักหรือมโนต่อเอาเองว่า ที่เห็นนั้นเป็นโน่นเป็นนี่เอาเอง
    แรกก็คิดว่าน่าจะเอาไปลงเป็นเรื่องผี แต่นึกอีกทีมาลงที่นี่น่าจะดีกว่า เพราะเป็นเรื่องที่เนื่องด้วยผลของการฝึกสมาธิ
     
  2. solardust

    solardust เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    250
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,770
    เรื่องแรกนะครับ เห็นไม่ชัด เกือบจะไม่เห็น
    เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต่อเนื่องกับที่ผมลงเอาไว้แล้ว คือเรื่องประสบการณ์การรักษาไมเกรนด้วยสมาธิ

    คือวันนั้น ตอนที่ไมเกรนกินจนต้องลุกออกมาจากห้องประชุมมานั่งสมาธิในห้องชงกาแฟของ office
    หลังจากที่เข้าไปในสมองตัวเอง ไปขยับปลายเส้นประสาทจนกลับเข้าที่ไปแล้ว ตอนที่กายทิพย์มันถอยออกมาจากสมอง
    ความคิดนึงก็แว่บเข้ามาในหัว คือไหนๆก็ไหนๆแล้ว โดดงานมันซะเลยดีกว่า

    คือกายทิพย์มันหลุดออกมาแล้วนะครับ อีกแป็บเดียวก็เลิกงานแล้ว จะกลับไปประชุมต่อก็ไม่มีอะไร
    เพราะหัวข้อเกี่ยวกับงาน maintenance มันจบไปแล้ว แค่เข้าไปนั่งฟังแผนกอื่นๆเฉยๆ
    อย่ากระนั้นเลย...เอากายทิพย์หนีเที่ยวซักแป็บนึงดีกว่า แล้วค่อยกลับมาเข้าร่างเนื้ออีกทีตอนเลิกงาน

    พอคิดเสร็จ กำลังจะลุกออกจากร่างเนื้อ ก็เห็นอะไรบางอย่างเดินสวนเข้ามาในห้องชงกาแฟ
    ณ.เวลานั้นนะครับ คำว่ากลัว คำว่าเย็นวาบไปจนถึงไขสันหลังคืออะไรเนี่ย รู้กันวันนั้นเลยครับ ไม่เคยกลัวอะไรถึงขนาดนี้มาก่อนในชีวิต
    เห็นชัดเลยนะครับว่าเส้นประสาทในกายเนื้อ ที่มันรับความกลัวแล้วส่งความรู้สึกเข้าไปถึงไขสันหลังเนี่ยมันส่งกันเข้าไปยังไง
    กายทิพย์นี่กลัวจนกระดิกไม่ได้คาอยู่กับร่างเนื้อในห้องกาแฟนั่นเลยทีเดียว

    ตัวผมเองจนถึงวันนั้นก็เห็นโน่นเห็นนี่มาพอสมควร แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นร่างทิพย์ของคนอื่นเป็นแค่เงารางๆ
    คือเราก็อยู่ในสภาพของกายทิพย์อยู่แล้วนะครับ ก็เหมือนผีอยู่แล้ว นี่เป็นผีแล้วยังรู้สึกเหมือนโดนผีมาหลอกผีอีกที บรรยายความรู้สึกกันไม่ถูกเลยทีเดียว
    ร่างที่มองเห็นนั้น ก็ไม่ได้มาทำอะไรนะครับ เดินมาหยุดยืนนิ่งๆห่างออกไปประมาณ 1-2 เมตร แล้วก็นื่งอยู่อย่างนั้น

    พอโดนความกลัวเข้ากัดกินไปซะขนาดนั้น ความคิดที่ว่าจะใช้กายทิพย์โดดงานไปซักพัก ก็หายไปจากหัวซะสนิท
    เราก็เห็นพี่แกก็เดินดุ่มๆกลับออกไปจากห้องชงกาแฟ จากนั้นผมก็กลับเข้าร่างเนื้อนั่งทำใจอีกซักพักใหญ่ๆ
    หลังอัดชาดำเย็นย้อมใจไปแก้วนึง ก็ตัดสินใจกลับไปนั่งประชุมต่อจนเลิกงาน....
    เป็นไปได้นะครับ เป็นผีแล้วยังโดนผีหลอกอีก คนเรา...

    ทุกวันนี้ยังไม่รู้เลยนะครับ ว่านั่นอ่ะใคร...ไม่อยากรู้ด้วย นึกถึงเรื่องนี้ทีไรเสียเซลฟ์ทุกที ผีหลอกผี ทำกันได้
    พอเวลาผ่านไปซักเดือนสองเดือนหลังจากวันนั้น ก็ได้รู้มาเรื่องนึงคือ เวลาเข้าฌานอยู่ จะมีเทวดาแถวๆที่เราอยู่มารักษากายเนื้อให้
    แถมถ้าเทวดามีกำลังความเป็นทิพย์สูงกว่าเรา แล้วไม่อยากให้เราเห็น เราก็เห็นไม่ได้นะครับ ยกเว้นเรามีกำลังสูงกว่า ปิดยังไงก็เห็น
    พอรู้เสร็จ เรื่องแรกที่ทำวันที่รู้วันนั้นเลยก็คือ ยกมืออธิษฐานเลยว่า ถ้ามาแบบนี้อีกไม่ต้องมาแล้ว...กลัว....(เพิ่งรู้ว่าตัวเองก็ยังกลัวผีอยู่ 55)
    ตั้งแต่วันนั้นมา ก็ไม่เคยเจอกายทิพย์ที่มองไม่เห็นแบบนี้อีกเลย คือเห็นชัดๆไปเลยนี่จะเฉยมากนะครับ
    แต่เห็นแล้วไม่รู้ว่าเห็นอะไรเนี่ย รู้สึกเหมือนโดนผีหลอกซะมากกว่าจะรู้สึกว่ามีคนมาอารักขาอยู่...
     
  3. solardust

    solardust เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    250
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,770
    เรื่องสองนะครับ อันนี้เห็นชัด แต่ชัดแบบไม่รู้ว่าเห็นอะไร แต่ดันไปคิดเข้าข้างตัวเองว่ารู้ ว่ากำลังเห็นอะไรอยู่

    ส่วนตัวผมจะติดนิสัยเรื่องนึงเวลาเดินนะครับ คือพยายามเก็บความรู้สึก เก็บจิตไว้ไม่ให้ส่งออกนอก
    เวลาเดินถ้าไม่มีใครมาเดินด้วย ก็จะมองทางล่วงหน้าไว้ซักประมาณ10ก้าว แล้วหลับตาลงวางอารมณ์เหมือนกำลังเข้าสมาธิอยู่
    แล้วก็เดินหลับตาไปเรื่อยๆจนกะว่าสุดระยะที่มองไว้เมื่อซักครู่ แล้วก็ทำซ้ำไปอีกเรื่อยๆ

    ปรกติมันก็ไม่มีอะไรนะครับ ก็แค่เดินไปพักผ่อนไปในตัว
    แต่วันนึงตอนเดินผ่านห้องพยาบาลในโรงงาน ลองนึกภาพตามนะครับ
    ทางเดินเป็นผนังตึกทำจากคอนกรีตทั้งสองด้าน ด้านขวามีประตูเข้าห้องพยาบาลอยู่ ประตูปิดตลอด
    ก่อนถึงห้องพยาบาล ขณะกำลังหลับตาเดินดุ่มๆอยู่ ก็เห็นผู้หญิงใส่ชุดไทยมายืนรอทางด้านซ้ายมือตรงข้ามกับห้องพยาบาล
    ชุดที่ใส่เป็นทองประดับแพรวพราวไปทั้งตัว แม้แต่ผ้าสไบกับผ้าถุง ก็ปักเป็นดิ้นทองทั้งหมด
    ผิวตั้งแต่ใบหน้าจรดปลายเท้า ดำสนิท ยืนก้มหน้า ไม่พูดไม่จา
    ผมก็พยายามจ้องไปที่หน้าว่าใครฟะ มายืนแถวนี้ทำไม แต่สื่งที่มองเห็นก็คือ ความดำสนิทออกมืดๆ ดูไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นยังไง
    รู้สึกอย่างเดียวคือ คุ้นมาก รู้สึกคุ้นเคยบอกไม่ถูก แต่นึกไม่ออกว่าใคร

    อยู่ๆก็เห็นมือผู้หญิงคนนั้น พุงยืดออกมาจับที่ข้อมือผม จับข้อมือเรายังไม่เท่าไร
    อีกมือนึงพุ่งทะลุกำแพงห้องพยาบาลไปจับข้อมือพยาบาลในห้องลากออกมา
    ภาพที่เห็นคือ อยู่ดีๆกำแพงก็หายไป โต๊ะพยาบาลกับตัวพยาบาลเองโดนลากออกมาตั้งข้างตัวผม
    ผู้หญิงในชุดทองก็จับมือผมกับมือของพยาบาลมาวางไว้ด้วยกันสักพัก แล้วก็หายไป
    หลังจากยืนงงอยู่พักนึง ผมก็เดินเข้าโรงงานไปทำงานต่อ

    ทีนี้วันนึงก็มีเหตุให้เข้าห้องพยาบาล พยาบาลก็คนเดิมนะครับ เดินผ่านกันไปมาบ่อยๆไม่ได้มีอะไรพิเศษ
    แต่ที่พิเศษหลังจากวันนั้นก็คือ รู้สึกเหมือนตกหลุมรักน้องเขาเข้าเต็มๆ เวลาอยู่ด้วยก็รู้สึกมีความสุข เวลาไม่เจอก็คิดถึง
    กลับหอพัก ไม่ว่าจะลืมตาจะหลับตา ก็เห็นหน้าน้องเขาตลอดเวลา

    เรื่องแบบนี้มันเหมือนเป็นเรื่องธรรมดานะครับ ก็แค่ตกหลุมรักใครซักคน แต่ที่มันไม่ธรรมดาก็คือ
    เราทั้งคู่มีครอบครัวแล้วนี่สิ ลึกๆก็รู้ตัวอยู่นะครับว่า อย่างนี้เรียกเลว ไม่ได้เรียกความรัก
    ผู้หญิงก็อยากจะเลิกกับสามี ผู้ชายก็อยู่คนละประเทศกับภรรยา แถมมีความตั้งใจว่าถ้าแยกทางกันแล้วก็จะพอกันทีกับชีวิตครอบครัว

    แต่ตัวผมเองวันนั้นนะครับ ดันมีความคิดว่า ถ้าเป็นผู้หญิงคนนี้ละก็....ต่อให้เบื่อหน่ายกับชีวิตครอบครัวขนาดไหนเราก็จะทนได้...
    บวกกับพอมานั่งนึกย้อนหลัง ก็มีความมั่นใจอยู่เรื่องนึงว่า ผู้หญิงชุดทองวันนั้น คือแม่เรา.....ท่านแม่คงมาบอกว่า คนนี้แหละเป็นคู่แท้ของเรา
    แล้วไม่ได้รู้สึกเอาเองนะครับ เห็นกะตา กลางวันแสกๆ ถ้าไม่ใช่คู่แท้แล้วมันจะเป็นอะไร
    แล้วยังบวกกับความรู้สึกที่มันรุนแรงแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนเข้าไปอีก ยิ่งทำให้มั่นใจเข้าไปใหญ่ว่าไม่ผิดแน่ ต้องเป็นคู่แท้หรือคู่บารมีแน่นอน

    ภรรยาที่อยู่ด้วยกันมา ถ้านับตามกำลังบุญที่ร่วมกันสร้างมา นับได้เป็นอันดับห้า(คนอื่นมานับให้นะครับ ไม่ได้เก่งขนาดไปนั่งนับเองหรอก)
    ยังไม่ได้มีความรู้สึกรุนแรงแบบนี้เลย สงสัยพยาบาลคนนี้น่าจะคู่บารมีอันดับหนึ่งแน่ๆ
    สมัยนั้น คิดไปได้ขนาดนั้นนะครับ ทุกวันนี้มานั่งนึก ยังขำตัวเองไม่หาย คนเรานี่ มันเป็นไปได้ซะขนาดนั้น
     
  4. solardust

    solardust เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    250
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,770
    โชคยังดีนะครับ เรื่องจบแค่สารภาพรักกันและกัน ไม่ได้เกิดอะไรเสียหายขึ้น ผมได้งานใหม่ ย้ายออกมาจากที่นั่นก่อน
    ถึงจะรู้สึกว่า เราไม่เคยรู้สึกรักใครขนาดนี้มาก่อน ไม่เคยอยากจะมีใครขนาดนี้มาก่อน
    แต่ความรู้สึกที่ว่าต่างคนต่างมีครอบครัวแล้วมันก็ค้ำคออยู่ เลยจบไปแบบห้วนๆ
    ความรู้สึกที่หลับตาก็คิดถึง ลืมตาก็คิดถึง รู้สึกอยู่ตลอดว่าอะไรซักอย่างมันหายไปจากชีวิต หัวใจมันกลวงๆเหมือนขาดอะไรมาเติมเต็ม
    เป็นอย่างนี้ทุกวันตลอดสามปีกว่าจะกลับมาเป็นปรกติ นี่ขนาดแก่แล้วนะครับ ยังเป็นซะขนาดนี้ ถ้าเจอเรื่องนี้ตอนวัยรุ่น ไม่รู้จะขนาดไหน ไม่อยากจะคิด

    เรื่องที่สองนี้ มีข้อดีเล็กๆอยู่เรื่องนึงคือ ความคิดที่เคยตำหนิหรือดูถูกคนอื่น ที่มีเมียน้อย มีผัวน้อยเนี่ย หายไปจากหัวเลยทีเดียว
    เข้าใจได้เลยว่าทำไมคนที่มีคนรักอยู่แล้ว ยังไปรักคนอื่นได้อีก
    ถ้าความยับยั้งชั่งใจไม่มีเนี่ย ผมมั่นใจว่าเสียคนทุกราย

    ความคิดที่เคยมองคนอื่นด้วยความรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องน่าทุเรศ น่าสมเพส ที่โดนคนรักทิ้งไปแล้วต้องมานั่งร้องห่มร้องไห้จะเป็นจะตาย
    ทำไมไม่คิดบ้างว่า พ่อแม่ที่เลี้ยงเรามาสำคัญมากกว่า รักเรามากกว่าคนรักของเราที่หายหัวไปตั้งเท่าไร
    เข้าใจได้เลยว่า มันคิดไม่ออกครับ
    เข้าใจได้เลยว่า วาระกรรมมาถึงมันเลี่ยงไม่ได้
    เข้าใจได้เลยว่า ถ้ายังไม่พ้นวาระกรรม ใครก็ช่วยอะไรไม่ได้

    จากที่เคยพูดจาเสียดสีประชดประชันใส่คนที่ร้องห่มร้องไห้เข้ามาบ่นให้ฟังว่าโดนทิ้ง ว่าเป็นพวกไม่มีความคิด คร่ำครวญถึงแต่คนรักไม่คิดถึงพ่อแม่
    ทำตัวเหมือนไม่มีสมอง โง่ โตเป็นควายแล้วยังไม่รู้จักคิดอีก กะแค่แฟนคนเดียวทำเหมือนจะเป็นจะตาย

    ตอนนี้นี่ เข้าใจเลยนะครับ ว่าคนพวกนั้นเขารู้สึกยังไง
    ตอนนี้นี เวลาเจอคนอกหักผิดหวังนี่ เหมือนเจอพวกเลยนะครับ ความคิดหรือคำพูดที่จะตำหนิคนร้องไห้คร่ำครวญเนื่องจากความรักเนี่ย ไม่เหลือเลย
    เหลือแต่ความเห็นใจ กับความรู้สึกที่ว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาในโลก ขนาดเรายังโดนเต็มๆตั้งสามปี
     
  5. solardust

    solardust เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    250
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,770
    สรุปนะครับ
    เรื่องของการรู้การเห็นอันเนื่องมาจากความเป็นทิพย์เนี่ย
    นอกจากคำที่พระท่านว่า ที่เห็นน่ะเห็นจริง แต่สิ่งที่เห็นน่ะไม่จริง ที่ต้องเอามาคิดก่อน
    ก็ยังมีอีกว่า ต่อให้เห็นจริงๆ ถ้าไม่มั่นใจว่าเห็นอะไร หรืออยู่ๆมาให้เห็นทำไม ก็ให้นิ่งไว้ก่อน อย่าไปทึกทักเอาเอง
    จะพูด จะคิด จะทำอะไร อันเนื่องมาจากสิ่งที่รับรู้จากความเป็นทิพย์นั้น ก็ให้คิดซะก่อนว่ามันถูกต้องหรือเปล่า ผิดธรรมนองคลองธรรมหรือเปล่า ผิดไปจากคำสอนในพระไตรปิฏกหรือเปล่า
    ซึ่งเจอเยอะนะครับ พวกที่ทึกทักเอาเองโดยไม่ยั้งคิดก่อนเนี่ย ทั้งฆราวาส ทั้งบรรพชิต แต่ไม่ขอกล่าวถึงนะครับว่าใคร หรือเรื่องอะไร ดูกันเอาเอง
     
  6. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ เห็นได้ รู้ได้ เป็นเรื่องธรรมดาของผู้ที่ "ได้สมาธิ" ตรงนี้เป็นเรื่องมาตรฐานทั่วไป

    +++ ส่วนเห็นแล้ว "เชื่อ หรือ ไม่เชื่อ" เป็นสิ่งที่ต้องยับยั้งชั่งใจ

    +++ ผู้จำแนก "จิตตน หรือ จิตท่าน" ได้ออก จากสภาวะนี้ "ย่อมได้ประโยชน์"


    +++ ผู้ที่ไม่ยอมรับเอาเสียเลยในทุกกรณี ย่อมถือได้ว่า "สายพิณหย่อนเกินไป" ปิดกั้นตนเองต่อ สภาวะธรรมเฉพาะหน้า

    +++ ส่วนผู้ที่ยอมรับเอาทุกครั้งทุกกรณี ย่อมถือได้ว่า "สายพิณตึงเกินไป" เชื่อไปหมด งมงายโดยไม่แยกแยะ

    +++ สภาวะที่บังเกิดขึ้น "รู้ เห็น เป็น อยู่" ในปัจจุบัณขณะ ณ ขณะนั้น ๆ ชี้ชัดอยู่แล้วว่า "ชีวิต ไม่ได้จำกัดแต่เพียงภูมิมนุษย์ เท่านั้น"

    +++ ผู้ที่ตกอยู่ในความประมาท "ย่อม ยอมรับ หรือ ปฏิเสธ" แบบตกขอบ ก็ย่อม "พลาด" ในการรู้ถึง "จุติจิต"

    +++ ส่วนผู้ที่ ไม่ยอมประมาทต่อ "รู้ธรรมเฉพาะหน้า" ไม่นานก็จะชัดเจนได้เองว่า ในขณะนั้น ๆ "ตนเป็น ตนอยู่" ในภูมินั้น ๆ ส่วนภพภูมิอื่น ๆ "ไม่ปรากฏ" แต่ ณ ปัจจุบัณขณะ ตนอยู่ในภพภูมินี้ "ภพภูมิมนุษย์" และ ภพภูมิอื่น ๆ "ก็ไม่ปรากฏ" เช่นกัน

    +++ อันใดจริง อันใดเท็จ ย่อมขึ้นอยู่กับปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "จุติจิต"

    +++ ยามใดที่ "รู้แจ้งชัด" เกี่ยวกับปรากฏการณ์ของ "จุติจิต" ได้แล้ว

    +++ ในยามที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ใช้ความเป็น "จุติจิตท่องเที่ยวไปมาได้" ในยามที่จะต้องหมดชีวิต ก็ย่อม "ดับจุติจิตลง" ได้

    +++ ผู้ที่มีปัญญา ย่อมไม่ควรปล่อยปละละเลยในเรื่องของ "สายพิณ"

    +++ ตั้งกายตรง ดำรงค์สติมั่น "รู้ธรรมเฉพาะหน้า" (พระพุทธองค์ ไม่เคยบอกให้ เชื่อธรรมเฉพาะหน้า หรือ ปฏิเสธธรรมเฉพาะหน้า แต่อย่างใดทั้งสิ้น)

    +++ เห็นจุติจิต ฝึกจุติจิต ใช้จุติจิต เป็นเรื่องของ "วิชชา 3 โดยตรง"

    +++ การด่วนเชื่อ หรือ ด่วนปฏิเสธ ย่อมเป็นการ "ปิดกั้นตนเอง" ทั้งสองทาง ย่อมลงท้ายด้วยการ "ไม่รู้จัก จุติจิต" ทั้งคู่

    +++ มรรค ผล นิพพาน ย่อมลงท้ายด้วยการ "ดับจุติจิต" ลงทั้งสิ้น จึงพ้น "การเกิด หรือ จุติ" ใหม่ได้

    +++ ขอให้ทุกท่าน จงเป็น "ผู้ไม่ประมาท ผู้ไม่ปิดกั้นหนทางแห่งตนเอง" เถิด เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข ของท่านทั้งหลาย โดยถ้วนหน้ากัน เทอญ .......
     
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019

    ส่วนตัวเห็นด้วยกับ จขกท ที่มาเล่า
    เพื่อเตือนสติและเห็นด้วยกับคุณธรรมชาติ
    ที่ก็ไม่ได้ลืมหลักสำคัญทางพุทธศาสนาครับ

    ส่วนตัวแม้เห็นด้วยตาเปล่ามา
    เกือบทุกระดับแล้ว
    เห็นแบบลืมตาเห็นๆ ก็ยังไม่ยึดครับ
    แต่ให้ความเคารพ
    กับบางสิ่งที่เห็นนะครับ

    เพราะยังไงมันก็เป็นกลจิต
    เป็นเพียงมายาจิตชนิดหนึ่ง
    หากตัดสัญญา ตัดตัววิญญานไปเชื่อม
    ก็จะไม่เห็นอะไร ไม่มีสีอะไร มีเพียงพลังงาน
    และก็ไม่มีอะไร เพราะมันมีอยู่แล้วเป็นธรรมชาติ
    เพียงแต่จิตเรา มันมีตัววิญญานไปเชื่อม
    ไปรับรู้ แล้วปรุงต่อตามสัญญา
    จึงเกิดเป็นสี เป็นภาพขึ้นมาได้
    ที่พูดนี่หมายถึงแบบหลับตาเห็น
    และลืมตาเห็นนะครับ

    ยิ่งประเภทหลับตาแล้วเห็น
    ลืมตามาไม่เข้าใจวัถตุประสงค์แล้ว
    ยิ่งเลิกสนใจ
    ยกเว้นว่า จะเข้าใจวัตถุประสงค์
    ในการเห็นไม่ว่าหลับตาหรือลืมตา.
    ค่อยว่ากันอีกที

    แต่ถ้ายึดไม่ว่าหลับตา
    หรือลืมตา แล้วไปเผลอน้อมรับ
    ต่อไปมันจะเป็นเหมือนการสะกดจิตตัวเอง
    เพราะจะกายเป็นตัวเองอย่างคาดไม่ถึง

    อนาคตก็จะเป็นแบบที่รู้ๆกัน เพี้ยนๆบาง
    รู้อะไรแบบ มีตัวเองเข้าไปปรุงร่วมบ้าง
    ตามแต่กิเลสที่ตนมี คิดว่าตัวเองเก่ง
    กว่าเทพเทวดา ครูบาร์อาจารย์บ้าง
    เพราะความเข้าใจนามธรรมตนไม่ดีพอ
    และกิเลสเรื่องการติด ลาภ สุข ยศ
    การอยากได้รับการสรรเสริญอย่างใด
    อย่างหนึ่งเข้ามาผสมร่วมด้วย
    อย่างที่ไม่รู้ตัว
    อย่างที่คุณๆ ท่านๆได้เห็นตัวอย่าง
    มาแล้วนั่นหละครับ

    ปล.ประมาณนี้ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...