เกี่ยวกับ.....หลวงปู่เทพโลกอุดร

ในห้อง 'บทสวดมนต์ - คาถา' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 27 ธันวาคม 2007.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,172
    หลวงปู่เทพโลกอุดร

    ศิษย์หลวงปู่เทพโลกอุดร ผู้มีเชื้อสายพระมหากษัตริย์พระองค์นี้มีพระศักดิ์เป็น "กรมพระราชวังบวร" ทรงดำรงตำแหน่ง วังหน้า ในรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ แต่สำหรับตัวตนจริงของกรมวังหน้า พระองค์นี้ยังเป็นการถกเถียงกัน ตามประวัติเล่าว่า สมเด็จวังหน้าองค์นี้ทรงเป็นที่เกรงขามของบรรดาข้าราชบริพารยิ่งนึกและพระองค์มีลักษณะที่แตกต่างไปจากบุคคลทั่วไปอย่างหนึ่ง คือ พระองค์มีพระชิวหาดำ ทั้งนี้ก็เพราะพระองค์โปรดการปลูกว่านสุมไพรต่างๆและทรงโปรดการชิมรสว่านต่าง ๆ ด้วยพระลักษณะเฉพาะตัวนั้น จึงได้มีการขนานพระนามพระองค์ว่า :องค์ลิ้นดำ:
    สมเด็จวังหน้าพระองค์นี้ นอกจากจะสนใจในเรื่องการปลูกว่านสมุนไพรต่าง ๆ แล้วพระองค์ยังทรงสนพระทัยในเรื่องวิชา คาถา อาคม ไสยศาสตร์ ( สรุปเลยนะครับ พระองค์ท่านก็ได้เรียนกับครูต่าง ๆ ที่ว่าเก่งก็แล้ว เรียนไปหมด แต่ท่านก็ยังไม่พอใจ เพราะว่ามีแค่ เสกน้ำมนต์ แล้วก็ไล่ผี ท่านเลยได้ตั้งปณิธานว่า ) ครั้นตัดสินพระทัยได้เช่นนั้นแล้ว พระองค์ก็ทรงจุดธูป 9 ดอก แล้วทรงตั้งจิตอธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า ถ้าไม่เจออาจารย์ที่จะสอนวิชาที่พระองค์ท่านต้องการได้จะไม่กลับมาวัง ขอให้เทพยาดาฟ้าดินได้โปรดเห็นพระทัยในความตั้งใจจริง ชี้ทางให้ไปพบกับอาจารย์ผู้มีความเชี่ยวชาญได้
    ครั้นทรงอธิษฐานเสร็จแล้ว สมเด็จวังหน้าพระองค์นี้ ก็ทรงแต่งกายอย่างสามัญชน และได้เสด็จหายไปจากพระราชวัง จนกระทั่งมาถึงหมู่บ้านหนึ่ง (ไม่ปรากฏชื่อและวันเดือนปี ) สมเด็จวังหน้าก็ได้เข้าไปขอน้ำจากชาวบ้านมาดื่มและล้างพระพักตร์ ครั้นพอรู้สึกชุ่มชื่นดีแล้ว ก็ได้ถอยออกมานั่งพักอยู่ใต้ร่มเงาไม้ไหญ่ แห่งหนึ่ง
    ครานั้นตะวันเริ่มรอนแล้ว สมเด็จวังหน้าทอดพระเนตรไปข้างหน้าก็พลันเห็นพระธุดงค์รูปหนึ่งปักกลดพักอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่อีกต้นหนึ่ง ซึ่งห่างจากที่พระองค์นั่งพักอยู่ไม่เท่าไร ครั้นเห็นเช่นนั้นสมเด็จวังหน้า ก็ทรงดำริว่า :ชะรอยเทวดาฟ้าดินคงจะเห็นใจเราแล้ว พระธุดงค์รูปนั้นอาจจะเป็นอาจารย์ที่เรากำลังตามหาอยู่ก็ได้:

    ครั้นดำริเช่นนั้น พระองค์ก็ทรงเสด็จเข้าไปใกล้ที่พระธุดงค์รูปนั้น นั่งทำสมาธิอยู่
    ไปถึงใกล้ ๆ ก็สังเกตเห็นความแปลกประหลาดของพระธุดงค์รูปดังกล่าว คือ พระธุดงค์ที่ปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าสมเด็จวังหน้าขณะนั้น ดูจากหน้าตาและรูปร่างเห็นว่าท่านยังเยาว์วัย ยังหนุ่มยังแน่นอยู่ ผิวพรรณผุดผ่องดี อย่างผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ แต่ว่าบนศีรษะกลับมีหงอกขาวโพลนเต็ม สมเด็จวังหน้าทรงเห็นดังนั้น ก็ให้นึกแปลกพระทัยและก็เริ่มศรัทธาในรูปลักษณ์ของพระธุดงค์รูปนั้น พระองค์จึงนั่งลงนมัสการ ขณะนั้นพระธุดงค์ผุ้มีหน้าตาและร่างกายหนุ่ม แต่มีศีรษะขาวโพลนกำลังนั่งสมาธิ หลับตานิ่ง แต่ว่า ท่านรู้ว่ามีคนมาก้มอยู่เบื้องหน้าจึงได้ถามออกมาว่า " คุณโยมจะไปไหน" บัดนั้นสมเด็จวังหน้าจึงได้เล่าความเป็นมาของพระองค์ให้พระธุดงค์รูปนั้นทราบอย่างละเอียด แล้วได้บอกถึงวัตถุประสงค์ในการเสด็จออกจากวังครั้งนี้ให้ท่านทราบด้วย พระธุดงค์นั้นไม่กล่าวกระไร แต่เมื่อสมเด็จวังหน้าได้เรียนถามปัญหาต่าง ๆ ท่านก็ตอบได้ถูกต้องทุกคำถาม และตอบอย่างมีเหตุผล ชัดเจนอย่างผู้รู้จริง ซ้ำยังได้แสดงอิทธิฤทธิ์ให้สมเด็จวังหน้าได้ประจักษ์เช่น ชี้กิ่งไม้กลายเป็นงูเป็นต้น สมเด็จวังหน้าได้เห็นเช่นนั้น ก็ประจักษ์พระทัยทันทีว่า พระธุดงค์รูปนี้ไม่ใช่ธรรมดา ท่านทรงความรู้เหนือกว่าบรรดาครูต่าง ๆ ที่พระองค์เคยเรียนมาเป็นแน่ จึงก้มกราบแทบเท้าพระธุดงค์แล้วกล่าวขอฝากตัวเป็นศิษย์
    พระธุดงค์รูปนั้นก็ไม่ขัดศรัทธา สมเด็จวังหน้าจึงได้อยู่ศึกษาวิชาความรู้ตามที่พระองค์ต้องการกับพระธุดงค์ผุ้มีความแปลกในตัวนั้นตั้งแต่บัดนั้น เล่ากันว่าวิชาแรกที่อาจารย์พระธุดงค์รูปนั้นสอนแก่สมเด็จวังหน้า ก็คือวิชานะหน้าทอง วิชานะหน้าทองนี้ ก็คือการใช้แผ่นทองฝังลงในร่างกายของคน ส่วนใหญ่จะใช้บริเวณหน้าผาก การฝังนั้นก็จะฝั่งด้วยพลังจิต พระธุดงค์ผู้เป็นอาจารย์ก็ได้ถวายการสอนโดยการใช้ทองฝังเข้าไปในร่างกายโดยการใช้พลังจิตและพระอาจารย์รูปนี้ไม่ใช่เพียงแต่สอนให้ลงนะหน้าทองโดยการฝังทองเข้าไปในหน้าผากเท่านั้น ท่านยังปฏิบัติให้เป็นประจักษ์ถึงความสามารถที่พิสดารออกไป เช่น ส่งทองให้หายไปในอากาศ แล้วไปติดอยู่ตามต้นไม้หรือที่ต่าง ๆได้ สมเด็จวังหน้าทรงตั้งพระทัยศึกษาวิชานี้เป็นอย่างดี แต่วิชานี้ก็ไม่ใช่เรียนกันง่าย กว่าจะสำเร็จก็ต้องใช้เวลานานพอสมควร
    อาจารย์พระธุดงค์สอนวิธีต่าง ๆ ให้แล้วก็สั่งสมเด็จวังหน้าตั้งใจฝึกฝน ส่วนตัวท่านถอดกลดท่องธุดงค์ต่อไป แต่ก่อนจากกัน ท่านได้นัดแนะสมเด็จวังหน้า ผู้เป็นศิษย์ไว้ว่าคราวต่อไปจะได้ไปพบกันที่ไหนอีก ครั้นอาจารย์พระธุดงค์จากไปแล้ว สมเด็จวังหน้าก็ตั้งพระทัยฝึกวิชาลงนะหน้าทองนั้นต่อไป จนชำนาญดีแล้วครั้นเมื่อถึงหมายกำหนดที่อาจารย์พระธุดงค์นัดให้ไปเจอ พระองค์ก็เดินทางไปตามที่นัดหมาย เล่ากันว่าเรียนการสอนของศิษย์อาจารย์คู่นี้ ค่อนข้างจะแปลกพิสดารไปจาการสอนของครูอาจารย์คนอื่น ๆ คือ จะสอนจะเรียนกันเป็นระยะ ๆ และต่างวิชาต่างสถานที่กันไป บางทีก็ต้องเดินทางไปสอนไปเรียนกันไกล ๆ และส่วนใหญ่จะอยู่ตามป่าเขาลำเนาถ้ำ บางคราวถึงกับเดินทางไปสอนไปเรียนกันถึงต่างประเทศ เช่น ประเทศลาว พม่า เป็นต้น แต่สมเด็จวังหน้าพระองค์นั้น ก็ทรงทรหด ดั้นด้นติดตามไปหาไปพบพระอาจารย์ตามที่นัดหมายได้ทุกครั้ง เสด็จวังหน้าพระองค์ทรงศึกษาเล่าเรียนวิชาความรู้ต่าง ๆ จากอาจารย์พระธุดงค์รูปนี้อยู่นาน จนชำนาญในหลายแขนงวิชา เพราะว่าพระอาจารย์ธุดงค์รูปนี้ ไม่ใช่เพียงสอนวิชาคาถาอาคมเท่านั้น ท่านยังสอนวิชาอื่น ๆ อีกด้วย โดยเฉพาะวิชาในพระพุทธศาสนา เช่นการนั่งสมาธิทำวิปัสสนากรรมฐาน เพราะท่านพูดกับศิษย์ว่า การนั่งสมาธินั้นจะช่วยให้จำวิชาต่าง ๆได้ดีขึ้น และสามารถนำมาประกอบใช้กับวิชาคาถาอาคมต่าง ๆ ได้ดี สมเด็จวังหน้าทรงปฏิบัติตามทุกอย่าง ครั้นศึกษาวิชาคาถาอาคม และการทำสมาธิ ทำกรรมฐานเพียงพอแล้ว วันหนึ่งอาจารย์ธุดงค์ก็ได้บอกกับสมเด็จวังหน้าผู้เป็นศิษย์ว่า
    " ถึงเวลาที่เราควรจากกันแล้ว ตอนนี้วังหน้าก็เรียนวิชาสำเร็จทุกอย่างแล้ว และอาตมาภาพขอยืนยันว่า บัดนี้ถือได้ว่า วังหน้าได้เป็นหนึ่งในแผ่นดินสมความปรารถนาแล้ว (ที่พิมพ์ย่อ ๆ มาไม่รู้ผมได้พิมพ์ไปเปล่า แต่ที่ท่านวังหน้าท่านออกมาหาอาจารย์ที่จะสอนท่านให้เก่งเป็นหนึ่งในแผ่นดินได้นี้คือเป้าหมายของท่านครับ และได้เจอหลวงพ่อเทพโลกอุดรล่ะครับ )
    ก่อนจากกันครั้งหนึ่งสมเด็จวังหน้าได้ถามอาจารย์พระธุดงค์ว่า " หลวงพ่อชื่ออะไร " ทั้งนี้ก็เพราะว่า ถึงแม้จะได้เป็นศิษย์อาจารย์กันมาหลายปีแล้ว สมเด็จวังหน้าไม่เคยได้ทราบชื่อของอาจารย์พระธุดงค์รูปนั้นเลย พระองค์ได้แต่เรียกพระอาจารย์ว่า "หลวงพ่อ ๆ " ส่วนอาจารย์พระธุดงค์รูปนั้นก็เรียกสมเด็จวังหน้าว่า " วังหน้าเฉย ๆ " เมื่อสมเด็จวังหน้าได้ทรงถามเช่นนั้น อาจารย์พระธุดงค์รูปนั้น ก็ยังไม่ยอมบอกชื่อเสียงเรียงนาม ได้แต่อธิบายสมเด็จวังหน้า ให้เห็นถึงความไม่จำเป็นของชื่อเสียงเรียงนาม และยังได้ยบอกกับสมเด็จวังหน้าผู้เป็นศิษย์ว่า " วังหน้าจะเรียกหลวงพ่อว่าอย่างไร หลวงพ่อก็ชื่ออย่างนั้นล่ะ " เมื่อถามถึงอายุ อาจารย์พระธุดงค์ก็ตอบว่า " อายุเท่าไรจำไม่ได้แล้ว เพราะมันนานเหลือเกินแล้ว ปู่ของวังหน้า ถ้ายังมีชีวิตอยู่อายุสักประมาณเท่าไรได้แล้วล่ะ "
    สมเด็จวังหน้าตอบว่า " ร้อยกว่าปีแล้ว " อาจารย์พระธุดงค์ตอบว่า " ถ้าอย่างนั้น วังหน้าก็เอาอายุของปู่สักร้อยพระองค์มาบวกกันก็ยังไม่ได้เท่าอายุของหลวงพ่อ " ด้วยเหตุนี้ สมเด็จวังหน้าจึงไม่สามารถจะทราบได้ว่าพระอาจารย์ของพระองค์ชื่ออะไร พระองค์จึงทรงดำริจะตั้งชื่อพระอาจารย์ลึกลับมหัศจรรย์รูปนั้นขึ้นมาเอง พระองค์ทรงใคร่ครวญหาชื่อ เพื่อจะตึ้งให้เหมาะกับพฤติกรรมของพระอาจารย์รูปนี้ ในที่สุดก็ตัดสินพระทัยขออนุญาตเรียกชื่อ พระอาจารย์รูปนั้นว่า "เทพโลกอุดร " เพราะพระองค์ทรงเห็นว่า พระองค์ไปไหนมาไหนรวดเร็ว ดังปรารถนาเหมือนเทพเจ้า และทรงฤทธิอภิญญาเหนือโลก
    อาจารย์พระธุดงค์ก็ไม่ว่าอะไร ได้แต่ยิ้ม ๆ ตั้งแต่บัดนั้นมา พระธุดงค์ ผู้มีความพิสดารในรูปร่างลักษณะรูปนี้จึงได้ชื่ว่า "เทพโลกอุดร " แต่ในต่อมาไม่ทราบว่าใคร ได้ไปต่อนามให้ท่านว่า " พระครูโลกเทพอุดร " ตามประวัติที่พอสืบหาได้ก็เห็นว่า ท่านมีนามว่า " หลวงปู่โลกเทพอุดร " เท่านั้นไม่มีคำว่า " พระครู " นำหน้า

    ปัจจุบันมีพระสงฆ์ซึ่งเป็นพระปฏิบัติ พระป่าหรือพระเกจิอาจารย์ชื่อดังหลายท่านออกมายอมรับว่า หลวงปู่เทพโลกอุดร มีตัวตนจริงและต่างก็เคยเป็นศิษย์หลวงปู่เทพโลกอุดรมาแล้วทั้งนั้น อาทิ หลวงพ่อจรัล ฐิติธมฺโม แห่งวัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี หลวงปู่โง่น โสรโย วัดพระพุทธบาทเขารวก จ.พิจิตร(ละสังขารแล้ว) หลวงพ่อครูบาลุ่น วัดจันทาราม จ.เพชรบูรณ์(เคยเรียนวิชากับหลวงปู่ ฯ ที่ถ้ำวัวแดง) หลวงตาจี๊ด วัดวังขร จ.ชัยนาท(ละสังขารแล้วโดยสำเร็จเป็นอรหันต์ อัฐิเป็นสีนิลและชมพู)ฯลฯ

    ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาก็มีหลวงปู่อยู่รูปหนึ่งที่ทราบกันว่าท่านเป็นศิษย์เคยเรียนธรรมะมาจาก หลวงปู่เทพโลกอุดร ในป่าลึก ปัจจุบันพระรูปนี้ท่านอายุ 104 ปีแล้ว มีชื่อว่าหลวงปู่กอง จันทวังโสจำวัดอยู่ที่วัดสระมณฑลท่านเป็นพระใจดียังแข็งแรง ไม่ค่อยเจ็บป่วยและความจำยังดีมากไม่หลงลืมทั้งที่อายุท่านก็เลยไปถึงหลักร้อยแล้ว


    วัดสระมณฑลเป็นวัดเล็กๆ ซึ่งถ้าใครได้ไปเห็นก็จะรับรู้ถึงความสมถะ รักสันโดษและความเรียบง่ายของหลวงปู่รูปนี้ ท่านอาศัยอยู่เฉพาะในโบสถ์ ภายในวัดก็ไม่มีกุฏิ ศาลาการเปรียญหรือวิหารใหญ่โตใดๆ เลย รอบๆ บริเวณเนื้อที่แคบๆ นี้มีเพียงโบสถ์หลังเล็กหลังเดียวตั้งอยู่และรายล้อมไปด้วยบ้านเรือนชาวบ้านที่มาอาศัยอยู่ชิดติดเขตวัด

    หลวงปู่กอง จันทวังโสท่านมีลูกศิษย์ลูกหามากมายหลายอาชีพ ตั้งแต่ระดับชาวบ้านธรรมดาไปถึงชันรัฐมนตรี(ในรัฐบาลปัจจุบันก็มี) ต่างให้ความเคารพนับถือท่าน โดยเฉพาะท่านเป็นเกจิที่ขึ้นชื่อในเรื่อง “การเสกตะกรุด” ที่นักเลงพระนิยมกันมาก แต่ปัจจุบันนี้ท่านเสกไม่ไหวแล้ว เพราะการเสกแต่ละครั้งต้องใช้พลังอำนาจจิตเป็นเวลานาน ประกอบกับปัจจุบันท่านก็ชราภาพมากแล้วจึงมี “ป้ากวย ถนอมทรัพย์” หลานสาวของหลวงปู่มาช่วยดูแลเพราะพระที่เคยมาบวชและอยู่ดูแลหลวงปู่ก่อนหน้านี้ก็มรณภาพไปก่อนแล้ว

    ป้ากวยได้บอกเล่าเรื่องราวของหลวงปู่กองให้ผู้เขียนฟังคร่าวๆ ว่า หลวงปู่กอง จันทวังโสเดิมท่านชื่อว่า กอง ถนอมทรัพย์ ท่านบวชและร่ำเรียนวิชามาสารพัดตั้งแต่รุ่นหนุ่ม ในสมัยที่ท่านออกบวชท่านชอบธุดงค์ไปตามป่าเขา ในดินแดนทุรกันดาร จนกระทั่งวันหนึ่งเกิดเดินพลัดตกเขาสลบไป ก็ปรากฏร่างของพระสงฆ์รูปหนึ่งมาช่วยไว้ หลวงปู่กองท่านเรียกพระรูปนั้นว่า “หลวงปู่ใหญ่” ซึ่งก็คือ หลวงปู่เทพโลกอุดร หลังจากนั้นหลวงปู่กองก็ได้ปฏิบัติทาง “จิต” และร่ำเรียนวิชาที่เป็นศาสตร์ลี้ลับจากหลวงปู่ใหญ่อีกมากมายหลายวิชา เมื่อสำเร็จแล้วจึงออกจากป่ามาจำพรรษาอยู่ตามวัดต่างๆ และร่ำเรียนวิชาจากพระเกจิชื่อดังอีกหลายรูป อาทิ หลวงปู่เทียม แห่งวัดกษัตราธิราช จ.อยุธยา (อยู่ตรงข้ามไม่ไกลจากวัดสระมณฑ,ปหลวงปู่กองอยู่จำพรรษาที่วัดกษัตราฯ เป็นเวลานานกระทั่งเห็นว่าวัดสระมณฑลที่อยู่ไม่ไกลกันนี้เป็นวัดร้างไม่มีพระจำพรรษาอยู่ท่านจึงขอมาอยู่ที่นี่เพียงรูปเดียวกระทั่งปัจจุบันนี้

    ภายในโบสถ์วัดสระมณฑลหลังนี้มีรูปหล่อของหลวงปู่เทพโลกอุดรองค์ใหญ่ที่หลวงปู่กองให้หล่อนขึ้นไว้บูชา ป้ากวยได้เล่าถึงอภินิหารของรูปหล่อหลวงปู่เทพโลกอุดรให้ฟังว่า เมื่อรูปหล่อหลวงปู่เทพฯมาถึงวัดขณะที่แดดกำลังเปรี้ยงแต่แล้วฟ้ากลับครึ้มและมีฝนตก แล้วเมื่อถึงเวลาจะยกเข้าประตูโบสถ์ ก็ปรากฏว่าทำยังไงก็ยกเข้าไม่ได้ เพราะองค์พระใหญ่กว่าประตูมาก จนหลวงปู่กองต้องบริกรรมคาถาอยู่ครู่ใหญ่จึงสามารถยกรูปหล่อหลวงปู่เทพฯเข้ามาได้ เป็นที่น่าอัศจรรย์

    สำหรับ “ป้ากวย” เองก็เคยพบปาฏิหาริย์จาก “หลวงปู่เทพโลกอุดร” หรือ “หลวงปู่ใหญ่” ด้วยตัวเองอยู่บ่อยครั้ง ป้ากวยได้เล่าให้ฟังว่า

    “ก็มีอยู่วันนึงมีพระมาจากไหนก็ไม่รู้เข้ามาในโบสถ์นี่ มากราบหลวงปู่กองและก็บอกหลวงปู่กองว่าวันนี้ประมาณ 6 โมงจะมีพระรูปหนึ่งมากราบ พูดจบท่านก็ลากลับไป แล้วเมื่อถึงเวลานั้นก็มีพระมาจริงๆ แล้วหน้าตาก็เหมือนรูปปั้นนั่นไม่ผิดเพี้ยน (หมายถึงรูปหล่อหลวงปู่เทพโลกอุดร) เป็นพระหนุ่มนะ แล้วคืนนั้นท่านก็อยู่ค้างด้วย ป้าก็นอนกับญาติอีกคนข้างๆ ไม่ห่างจากพระองค์นี้ แต่น่าแปลกที่พอตกดึกป้าหันไปตรงที่ท่านนอน กลับไม่เห็นท่าน ก็นึกเอะใจแล้วพอหันไปไปดูอีกที เอ๊ะ...ท่านก็ยังนอนอยู่ตรงที่เดิมนี่ แล้วทำไมเมื่อกี้ไม่เห็นก็คิดว่ายังไงๆ อยู่ พอตอนเช้าท่านจะลากลับ ก็เข้าไปกราบหลวงปู่กองและพูดบอกให้หลวงปู่กองมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อช่วยดำรงพระพุทธศาสนา แล้วท่านก็ลากลับ แต่ตอนนี่ท่านจะเดินออกจากประตูโบสถ์นี่สิ ป้าเห็นรูปร่างท่านเปลี่ยน จากรูปร่างคนธรรมดากลายเป็นตัวสูงจรดประตูโบสถ์ ทั้งที่ประตูโบสถ์ก็สูงแล้วนะ และสังเกตเห็นเท้าท่านใหญ่มาก พอท่านเดินออกไปปุ๊บป้าก็เดินตามไปชั่วพริบตา ไม่เห็นท่านเสียแล้ว ท่านมาแปลก เวลาจะไปก็ไปแปลก”
    ยังมีเรื่องเล่าที่แปลกเกี่ยวกับ “หลวงปู่เทพโลกอุดร” อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องที่ท่านสามารถแปลงกายให้เป็นอะไรก็ได้เช่นแปลงเป็นพระแก่ พระหนุ่ม สามเณร แขก คนชรา คนพิการ ฯลฯ แล้วบังเอิญได้ไปเห็นภาพถ่ายของพระหนุ่มรูปหนึ่งที่วัดสระมณฑล ทราบว่าภาพนั้นคือภาพของหลวงปู่เทพโลกอุดรที่แปลงเป็น “พระหนุ่ม” ซึ่งมีผู้ที่ทราบและได้ถ่ายรูปไว้ เป็นที่ฮือฮามากสำหรับภาพดังกล่าว และก็เคยมีเรื่องเล่าว่าท่านเคยแปลงกายเป็นพระหนุ่มเพื่อโปรดผู้มีบุญที่นครปฐม


    เรื่องนี้เล่ากันปากต่อปากที่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นนานมาแล้ว เรื่องมีอยู่ว่ามีคหบดีชาวนครปฐมคนหนึ่งได้จัดงานบวชลูกชายขึ้นเป็นงานใหญ่โต คนหบดีเศรษฐีคนนี้ปกติแล้วก็เป็นคนใจบุญสุนทาน ตั้งมั่นอยู่ในศีลในธรรมอยู่เสมอ ในงานวันนั้นเศรษฐีได้นิมนต์พระมาสวดมนต์ 9 รูป แต่เมื่อถึงเวลามีพระไปได้เพียง 8 รูปทีนี้ก็เดือดร้อนต้องวิ่งหาพระกันยกใหญ่เพราะพระไม่ครบ ก็เผอิญในละแวกนั้นปรากฏว่าพระธุดงค์หนุ่มรูปหนึ่งมาปักกลดอยู่ใต้ต้นข่อย เจ้าภาพเศรษฐีก็เลยให้คนไปนิมนต์มา พระธุดงค์หนุ่มรูปนั้นก็รับนิมนต์มาในงาน เมื่อมาถึงท่านก็ก้าวเข้าไปนั่งประจำที่พระอาวุโสสุด ทำให้พระทั้ง 8 รูป ซึ่งอาวุโสกว่าไม่พอใจ เพราะเห็นว่าพระภิกษุรูปนี้หน้าตาและรูปร่างยังหนุ่มแน่น ไม่น่าจะมีพรรษามากนักเห็นจะเป็นประธานสงฆ์ในงานนี้ไม่ได้ พระรูปหนึ่งจึงได้ต่อว่าท่านในเชิงไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ไม่รู้อาวุโสและยังพูดแดกดันอีกว่า เป็นพระจริงหรือพระปลอมก็ไม่รู้ มาจากไหนก็ไม่รู้พระหนุ่มได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้ว่าอะไรแต่ทันใดนั้นก็เกิดอาเพทขึ้น เกิดฟ้ามืดครึ้ม ลมพัดปั่นป่วนไปหมด
    ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน ในขณะที่พระธุดงค์รูปนั้นนั่งสมาธิบริกรรมคาถาอยู่เพียงครู่เดียว ร่างของท่านก็เปลี่ยนไปเป็นพระภิกษุชรา เนื้อหนังย่น พระภิกษุและชาวบ้านที่อยู่ ณ ที่นั้นเมื่อได้ประจักษ์ในอิทธิฤทธิ์ของพระรูปนั้นก็ก้มกราบขอขมากันยกใหญ่ที่ได้ล่วงเกินไป แล้วพระธุดงค์รูปนั้นก็เนรมิตร่างให้เป็นหนุ่มตามเดิมและได้พูดคุยกับพระและญาติโยมเป็นปกติ มีผู้เล่าบางคนบอกว่าท่านได้บอกชื่อเสียงเรียงนามของท่านด้วยว่าท่านคือ “หลวงปู่เทพโลกอุดร” แล้วเขายังเล่ากันอีกว่าวันนั้นท่านฉันภัตตาหารเพียงคำเดียว จากนั้นก็กล่าวลาญาติโยมหายไปจากที่นั่น และมีคนไปดูที่ที่ท่านปักกลดก็ไม่พบท่านอีกแล้ว

    ในเรื่องการปรากฏตัวของ “หลวงปู่เทพโลกอุดร” ในที่ต่างๆ เพื่ออะไรนั้นมีผู้รวบรวมไว้ 3 สาเหตุคือ

    1. ปรากฏตัวเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในภาวะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ โดยเฉพาะผู้ที่ตกอยู่ในอันตรายตามบริเวณป่าเขา เช่นเคยช่วยทหารตำรวจตระเวณชายแดนหรือช่วยเหลือพระป่า พระธุดงค์รวมทั้งนักปฏิบัติธรรมที่เป็นฆราวาสที่ได้รับอันตรายขณะออกธุดงค์ตามป่าเขาถิ่นทุรกันดาร บางครั้งท่านก็ปรากฏตัวเพื่อรักษาคนที่กำลังเจ็บไข้ได้ป่วย จึงทำให้ทราบว่านอกจากท่านจะมีความเก่งกล้าในทางฤทธิ์อภิญญาแล้วท่านยังมีความรู้ เชี่ยวชาญในเรื่องแพทย์แผนโบราณ เรื่องการใช้ยาสมุนไพรด้วย ผู้ที่เคยเป็นศิษย์ของท่านทุกคนจะได้รับการสอนให้มีความรอบรู้ในเรื่องตัวยาสมุนไพรด้วย

    2. ปรากฏตัวเพื่อช่วยชี้แนะหรือสั่งสอนวิชาคาถาอาคม และการฝึกปฏิบัติวิปัสสนา รวมทั้งเรื่องการแพทย์แผนโบราณ การใช้ยาสมุนไพร บางครั้งก็ปรากฏตัวเพื่อรับคนเป็นศิษย์ การปรากฏตัวแบบนี้มีทั้งปรากฏในนิมิตของศิษย์คนนั้นหรือปรากฏให้เห็นโดยตาเนื้อก็มี

    3. ปรากฏตัวเพื่อมาโปรดสัตว์ การปรากฏตัวแบบนี้ก็มีบ่อยครั้งเช่นเคยปรากฏตัวเพื่อรับบิณฑบาตที่บ้านวังยาว อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน หรือปรากฏตัวโปรดคนป่วยโรคมะเร็งก่อนเสียชีวิต ที่บางจาก พระโขนง กรุงเทพฯ ฯลฯ



    พระคาถาบางบท

    เกี่ยวกับบรมครูพระเทพโลกอุดร
    การสวดมนต์ไหว้พระ


    ก่อนนอนทุกคืน ควรสวดมนต์ไหว้พระ (ควรนุ่งขาว ห่มขาว) ตั้งจิตให้เป็นสมาธิ มอบกายถวายชีวิตแก่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สวดมนต์ภาวนา ขอพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง

    แล้วแผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่เราปรารถนาจะอุทิศให้ แต่อย่าลืมเจ้ากรรมนายเวร (เจ้ากรรมนายเวร - คือ บริวารของเรา - บริวารชั้นสูง ได้แก่ ผู้มีพระคุณ บิดามารดา ปู่ย่า ตายาย ครูอาจารย์ ฯลฯ - บริวารชั้นกลาง ได้แก่ มิตรสหาย ผู้ที่เคยช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน บุตร ภรรยา สามี - บริวารชั้นต่ำ ได้แก่ ข้าทาสบริวาร ผู้รับใช้ ลูกน้อง)

    แล้วขอพรตามที่ท่านปรารถนา



    ยอดพระพุทธคุณสำหรับยุคกึ่งพุทธกาล
    ท่านที่สวดพระคาถานี้ตั้งแต่ต้นจนจบคำอธิษฐานเป็นประจำ จะสามารถดำรงชีวิตผ่านพ้นภัยพิบัติต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นทั้งในปัจจุบันและในอนาคตได้ ตั้งจิตให้เป็นสมาธิ กราบพระ ๓ ครั้ง



    บทนี้เรียกว่า อิติปิโสธงชัย
    ตั้งนะโม ๓ จบ
    พุทธัง ชีวิตัง ยาวะนิพานัง สะระนัง คัจฉามิ

    อิติปิโส ภะคะวา อะระหังสัมมนา สัมพุทธโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน

    สุขะโต โลกะวิทู
    อะนุตตะโร ปุริสะธัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง

    พุทโธ ภะคะวาติ ธัมมัง ชีวิตัง ยาวะนิพานัง สะระนัง คัจฉามิ

    สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก

    ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ

    สังฆัง ชีวิตัง ยาวะนิพานัง สะระนัง คัจฉามิ

    สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ

    ญายะปะฏิปันโน

    ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทัง

    จัตตาริ ปุริสะยุคานิ

    อัฏฐะ ปุริสะปุคคลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย

    ทักขิเนยโย อัญชลีกะระณีโย

    อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ



    บทนี้เรียกว่า อิติปิโสเต็ม


    อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง

    อิติปิโส ภะคะวา สัมมาสัมพุทโธ

    อิติปิโส ภะคะวา วิชชาจะระณะสัมปันโน

    อิติปิโส ภะคะวา สุขะโต

    อิติปิโส ภะคะวา โลกะวิทู

    อิติปิโส ภะคะวา อะนุตตะโร ปุริสะธัมมะสาระถิ

    อิติปิโส ภะคะวา สัตถา เทวะมะนุสสานัง

    อิติปิโส ภะคะวา พุทโธ ภะคะวาติ



    บทนี้เรียกว่าท้าวมหาพรหมทั้งสี่พระองค์ชั้นจะตุม

    ปรัตถิมัสมิง ทิสาภาเค สันติ ภูตา มะหิทธิกา

    เตปิ ตุมเห อะนุรักขันตุ อาโรคะเยนะ สุเขนะ จะ

    ทักขิณัสมิง ทิสาภาเค สันติ เทวา มะหิทธิกา

    เตปิ ตุมเห อะนุรักขันตุ อาโรคะเยนะ สุเขนะ จะ

    ปัจฉิมัสมิง ทิสาภาเค สันติ นาคา มะหิทธิกา

    เตปิ ตุมเห อะนุรักขันตุ อาโรคะเยนะ สุเขนะ จะ

    อุตตะรัสมิง ทิสาภาเค สันติ ยักขา มะหิทธิกา

    เตปิ ตุมเห อะนุรักขันตุ อาโรคะเยนะ สุเขนะ จะ

    ปุริมะทิสัง ธะตะรัฎโฐ ทักขิเถนะ วิรุพหะโก

    ปัจฉิมเมนะ วิรูปักโข กุเวโร อุตตะรัง ทิสัง

    จัตตาโรเต มะหาราชา โถกะปาถา ยะสัสสิโน

    เตปิ ตุมเห อะนุรักขันตุ อาโรคะเยนะ สุเขนะ จะ

    อากาสัฎฐา จะ กุมมัฎฐา เทวา นาคา ยักขา มะหิทธิกา

    เตปิ ตุมเห อะนุรักขันตุ อาโรคะเยนะ สุเขนะ จะ



    ตั้งจิตอธิษฐาน

    ด้วยคุณธรรมอันสูงส่งประเสริฐสุดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เกล้ากระผม/ดิฉัน ได้กล่าวสรรเสริญสวดอิติปิโสธงชัย อิติปิโสเต็ม อัญเชิญท่านท้าวมหาพรหมทั้งสี่ทิศสี่พระองค์ดังที่กล่าวสรรเสริญด้วยจิตอันบริสุทธิ์หมดจดผ่องใสมานี้ เกล้ากระผม/ดิฉัน ขอนอบน้อมสักการะคารวะเทอดทูนไว้ด้วยเศียรเกล้าเหนือเกล้าทุกอิริยาบถด้วยเทอญ ดังกล่าวสรรเสริญมานี้ด้วยความนอบน้อมของเกล้ากระผม/ดิฉันในขณะนี้นั้น ขอจงโปรดประทานอำนวยพรให้เกล้ากระผม/ดิฉันให้ปราศจากอุปสรรค อันตราย ภัยพิบัติทั้งหลาย โรคาพยาธิทั้งหลาย ภัยจากเหล่าอมนุษย์ อลัชชี คุณไสย มนต์ดำ อาถรรพ์ทั้งหลายที่จะบังเกิดขึ้นมาทั้งในปัจจุบันและอนาคตข้างหน้าจงอันตรธานสุญหายไปโดยสิ้นเชิงด้วยพลังเดช อำนาจบารมีแห่งคุณธรรม เพื่อจะได้มีชีวิตดำรงคงอยู่เพื่อจะได้ประกอบภารกิจที่เป็นอยู่ให้เจริญก้าวหน้ายืนยาวนาน เพื่อจะได้บำเพ็ญบุญกุศลเป็นการสนองตอบแทนผู้มีพระคุณที่ล่วงลับไปแล้วให้ได้รับส่วนบุญส่วนกุศล และเพื่อจะได้บำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญงอกงามยืนยาวนาน ดังที่กล่าวสรรเสริญมานี้นั้น ขอจงโปรดประทานอำนวยพร พละกำลัง เดช อำนาจ บารมี แก่เกล้ากระผม/ดิฉันดังที่ตั้งปณิธานสัจจะอธิษฐานกล่าวสรรเสริญมา ณ บัดนี้ด้วยเทอญ และจะดำรินึกคิดสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ขอให้ช่วยเกื้อกูลให้สำเร็จ อย่าได้มีขัดข้อง ขอจงมีแต่ความอุดมสมบูรณ์บริบูรณ์ ไม่รู้จักความทุกข์ยากขัดสนทุกภพทุกชาติ ขอให้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด หลักแหลม ลึกซึ้ง คมคาย แก้ไขสถานการณ์ได้ทุกเมื่อ ดังที่ตั้งปณิธานกล่าวสรรเสริญมานี้ ขอเดชะอานุภาพอันสูงส่งประเสริฐสุด โปรดประทานอำนวยพรให้เป็นพละกำลัง เดช อำนาจ บารมี เป็นเกราะแก้วทั้งเก้าชั้นคุ้มภัยแก่เกล้ากระผม/ดิฉัน ณ บัดนี้เดี๋ยวนี้เป็นต้นไปด้วยเทอญ

    และบุญกุศลอีกส่วนหนึ่ง เกล้ากระผม/ดิฉันขอน้อมอธิษฐานนำส่งให้แก่บรรพบุรุษ ปู่ย่า ตายาย บิดา มารดา พี่ป้าน้าอา ครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณทุกท่าน ทุกยุคทุกกาล และขออุทิศให้แก่บุรพกษัตราธิราชเจ้าทุกๆ พระองค์ ตั้งแต่สร้างชาติไทยเป็นต้นมาจนถึงรัชกาลปัจจุบัน ตลอดถึงพระมเหสีและรัชทายาททุกๆ พระองค์ และอุทิศให้แก่ท่านแม่ทัพนายกองทุกหมู่เหล่า ตั้งแต่สูงสุดจนต่ำสุด ทุกท่าน ทุกชั้น ทุกระดับ ทุกยุคทุกกาล ขออุทิศให้แก่พระสยามเทวาธิราช ท่านท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ (พระจันทร์ พระยม พระวรุณ พระกุเวร หรือเวสสุวรรณ) พระชัยมงคล เจ้ากรุงพาลี พระภูมิเจ้าที่ เจ้าที่เจ้าทางของทุกแห่งในปัจจุบันสรรพสัตว์ทั้งหลายทุกดวงจิตวิญญาณ หากพระองค์ใดท่านใดจขาดตกบกพร่องสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรารถนาสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็ขอให้ผลของกุศลที่เกล้ากระผม/ดิฉันได้ตั้งจิตอธิษฐานอุทิศให้นี้ จงเป็นของทิพย์ให้แก่ทุกๆ พระองค์ ทุกๆ ท่านให้สมบูรณ์ตามที่จิตปรารถนา ตลอดทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์อาหายจงครบถ้วนบริบูรณ์สมบูรณ์อยู่ทุกเมื่อ และขอได้โปรดประทานพรให้เกล้ากระผม/ดิฉันมีอายุยืนยาวนาน ไม่รู้จักความทุกข์ยากขัดสนเพื่อจะได้ดำรงคงอยู่ เพื่อจะได้ใช้เวลาสร้างบุญ สร้างกุศลมหากุศล และอุทิศถวายเป็นการสนองตอบแทนผู้มีพระคุณ และเพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญงอกงามยืนยาวนานสืบไป ไม่ว่าเกล้ากระผม/ดิฉันจะประกอบกิจการงานสิ่งหนึ่งสิ่งใด ขอจงช่วยเกื้อหนุนอยู่ทุกเมื่อ อย่าให้เหล่าอมนุษย์ อลัชชี คุณไสย มนต์ดำ อาถรรพ์และภัยพิบัติต่างๆ มาแผ้วพานเกล้ากระผม/ดิฉันได้เลย และผลของกุศลมหากุศลอีกส่วนหนึ่งจงเป็นกองการกุศล เป็นพื้นฐานบารมีทั้งปัจจุบันและอนาคตให้แก่เกล้ากระผม/ดิฉัน จะเกิดภพใดชาติใด จงเป็นปัจจัยนำส่งให้พ้นทุกข์ไปทุกภพทุกชาติ จนถึงพระอนุตตะระสัมมาสัมโพธิญาณ ด้วยเทอญ

    หมายเหตุ
    อนึ่ง ท่านที่ปรารถนาสร้างบุญกุศลและยึดมั่นในอำนาจบารมีของคุณพระศรีรัตนตรัย ขออย่าได้ดัดแปลงแก้ไขข้อความของพระคาถาและคำอธิษฐานต่างๆ จะทำให้ความศักดิ์สิทธิ์ด้อยลงไป และจะเกิดโทษได้ หากจะสร้างเสริมบารมีให้เพิ่มพูนก็จงถ่ายสำเนาแจกให้ผู้อื่นต่อๆ ไป ยิ่งมากยิ่งเป็นมหากุศล ทั้งจะส่งให้ผืนแผ่นดินไทยบังเกิดแต่ความสงบร่มเย็น ผ่านพ้นยุคเข็ญได้ จงอธิษฐานเอาเถิดประเสริฐนักแล



    พระคาถาบูชาบรมครูพระเทพโลกอุดร

    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ


    โย อะริโย มะหาเถโร อะระหัง อภิญญาธะโร

    ปะฏิสัมภิทัปปัตโต เตวิชโช พุทธะสาวะโก

    พะหู เมตตาทิวาสะโน มะหาเถรานุสาสะโก

    อะมะตัญเญวะ สุชีวะติ อะภินันที คุหาวะนัง

    โส โลกุตตะโร นาโม อัมเหหิ อะภิปูชิโต

    อิธะ ฐานูปะมาคัมมะ กุสะเล โน นิโยชะเย

    ปุตตะเมวะ ปิยัง เทสิ มัคคะผะลัง วะ เทสสะติ

    ปะระมะสารีริกะธาตุ วะชิรัญจาปิวานิตัง

    โส โลเก จะ อุปปันโน เอเกเนวะ หิตังกะโร

    อะยัง โน โข ปุญญะลาโภ อัปปะมัตโต ภะเวตัพโพ

    สาธุกันตัง อะนุกะริสสามะ ยัง วะเรนะ สุภาสิตัง

    โลกุตตะโร จะ มะหาเถโร เทวะตานะระปูชิโต

    โลกุตตะรังคุณัง เอตัง อะหัง วันทามิ ตัง สะทา

    มะหาเถรา นุภาเวนะ สุขัง โสตถี ภะวันตุ เม



    ฉบับย่อ

    นะโม ๓ จบ

    โลกุตตะโร จะ มะหาเถโร

    อะหัง วันทามิ ตัง สะทา

    เมตตาลาโภ นะโสมิยะ

    อะหะพุทโธฯ

    ภาวนา ๓ จบ ๗ จบ หรือ ๙ จบ เช้า-เย็น ตื่นนอน และก่อนนอน



    ธรรมะบางข้อของบรมครูพระเทพโลกอุดร

    1. ธรรมะของท่านต้องเกิดจากการปฏิบัติเท่านั้น

    2. ต้องมีสติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก

    3. อยากรู้ธรรมะ หรือคำสอนของท่านให้ดูจิตตนเอง

    4. ให้รักผู้อื่นเหมือนที่รักตนเอง

    5. ให้ทำตัวเหมือนน้ำ

    - น้ำไปได้ทุกสถานที่ อยู่ในน้ำ ในอากาศ ในดิน

    - น้ำอยู่ใต้ทุกสภาวะ เป็นไอน้ำ เป็นน้ำ เป็นน้ำแข็ง

    - น้ำให้ความชุ่มชื้น สดชื่น แก้กระหาย น้ำให้ชีวิต และทำลายชีวิต

    - น้ำให้ความเย็น ให้ความร้อน

    - น้ำมีรูปร่างต่างๆ กันตามรูปร่างของภาชนะ

    - น้ำใช้ล้างความสกปรกให้สะอาด

    ฯลฯ

    http://www.uamulet.com/articleAmuletBoardDetail.asp?qid=1727<!-- / message --><!-- edit note -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 พฤษภาคม 2008
  2. ahantharik

    ahantharik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,596
    ค่าพลัง:
    +6,346
    [​IMG]
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [​IMG]

    รูปคณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร (คณะโสณะ-อุตร)

    1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า

    2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า
    3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า (หลวงปู่อิเกสาโร)
    4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า (หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรือหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา ลพบุรี)
    5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า (หลวงปู่หน้าปาน หรือหลวงพ่อโอภาสี อาศรมบางมด วัดโอภาสี กรุงเทพฯ)

    โดยปกติที่เห็นหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรกันทั่วๆไปนั้น จะเป็นรูปของหลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)ครับ

    [​IMG][​IMG]
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ประวัติหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร
    ลิขสิทธิ์ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร




    กาลามสูตร




    ของ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระบรมครู
    <O:p</O:p

    1. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา <O:p</O:p
    2. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆกันมา<O:p</O:p
    3. อย่าปลงใจเชื่อ ค้วยการเล่าลือ <O:p</O:p
    4. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์<O:p</O:p
    5. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก <O:p</O:p
    6. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมาน<O:p</O:p
    7. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล <O:p</O:p
    8. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฏีที่พินิจไว้แล้ว<O:p</O:p
    9. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ <O:p</O:p
    10.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา<O:p</O:p
    เรื่องราวเกี่ยวกับพระเทพโลกอุดร มีมาช้านานแล้ว เริ่มต้นในยุคสมัยสุวรรณภูมิ หริภุญไชย สุโขทัย อยุธยา และตนโกสินทร์ หลักฐานที่ปรากฏชัดแต่ขาดการค้นคว้า อย่างจริงจังรู้ในชนกลุ่มน้อยทางเจโตบ้าง เช่น พระอริยคุณาธาร (ปุสโสเส็ง) และหลวงปู่คำคะนิง ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า คณะพระเทพโลกอุดร เคยมาพำนัก ณ ถ้ำดอยเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวไปก็ไม่มีผู้ใดเห็นอย่างท่าน บางท่านที่มีวาสนาก็พบเห็นท่านและยืนยัน ครั้นจะเอาเข้าจริงก็ไม่สามารถพบเห็นท่าน คล้ายคนหนึ่งเคยเห็นผีแต่หลายคนอยากเห็นบ้างก็ไม่เห็น จนเกือบจะเป็นเรื่องอจิณไตย (คือเรื่องที่ไม่ควรนึกคิด) แต่ก็ไม่ใช่นิยายท่านมักอยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง สามารถปรากฏได้ในสถานที่ต่าง ๆ ไม่จำกัด ทั้งผู้ที่พบเห็นก็ปราศจากความรู้ว่าเป็นพระเทพโลกอุดรองค์ใดกันแน่ เพราะมีอยู่ด้วยกันถึง 5 พระองค์ และอาจมาในรูปต่าง ๆ ไม่ซ้ำกัน หรือปรากฏรูปเดิม แต่ที่มีวาสนาบารมีสูงส่งก็คือ คุณดอน นนทะศรีวิไล คนลาวไปประกอบอาชีพที่ประเทศแคนาดา ท่านผู้นี้ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด ถือเอกามังสะวิรัติมานานกว่าสิบปีซึ่งบรมครูพระเทพโลกอุดรโปรดปรานมาก คุณดอนและครอบครัว นับถือบรมครูพระเทพโลกอุดรมาก และเล่าให้ฟังว่าได้พบเห็นบรมครูพระเทพโลกอุดรด้วยตาเนื้อ 2 ครั้ง <O:p</O:p
    ครั้งแรกหลังจากเสร็จจากการนั่งสมาธิประจำวัน เป็นเวลาทางประเทศแคนาดา 00.02 น. ปรากฏพระภิกษุชรารูปหนึ่งเดินเข้ามาในบ้าน คุณดอนทราบทางจิตว่าเป็นบรมครูพระเทพโลกอุดรแน่ จึงก้มลงกราบและเรียนถามว่า “หลวงปู่คือพระเทพโลกอุดรใช่ไหม” ท่านตอบว่า “ใช่” คุณดอนไม่ทันได้เตรียมตัวและไม่ได้ถามถึงข้อปฏิบัติธรรม จึงถามว่า “พระพิมพ์ที่อาจารย์ประถมฝากมาให้เป็นของหลวงปู่อธิฐานจิตจริงหรือเปล่า” ท่านตอบว่า “จริง” ต่อจากนั้นคุณดอนก็ตื่นเต้นไม่ทราบจะถามอะไรอีกต่อไปครั้นแล้วหลวงปู่ก็หายไป การที่ท่านปรากฏเช่นนั้นเรียกว่าปรากฏกายธรรม สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อและสัมผัสได้ จึงเกิดปัญหาถกเถียงกันสำรับผู้มีภูมิปัญญาไม่ถึงขั้น ไม่รู้จักคำว่า กายทิพย์ กายธรรม <O:p</O:p
    ครั้งที่สองเป็นการนั่งทำสมาธิทั้งคณะประมาณ 5 คนด้วยกัน หลวงปู่โลกอุดรมาปรากฏอีก ท่านยืนไม่ได้เตรียมอาสนะไว้ต้อนรับ ท่านแสดงธรรมย่อ และว่าคณะปฏิบัติธรรมพอจะทราบอะไรบ้างแล้วพอสมควร ต่อไปท่านอาจจะไม่มาอีก จะให้ของไว้เป็นเครื่องระลึก แล้ท่านก็มองไปยังแก้วน้ำปรากฏเป็นแสงสีเขียว พุ่งออกจากดวงตาข้างหนึ่ง ทันใดนั้นน้ำในแก้วได้จับตัวแข็งเป็นก้อนเล็ก ๆ หลายก้อนด้วยกันท่านบอกว่าให้แบ่งกันเก็บเอาไว้เป็นของดี มีอะไรคุณดอนก็เล่าสู่กันฟัง เป็นที่เชื่อถือได้ และมีตัวตนจริง <O:p</O:p
    หลวงพ่อจรัล วัดอัมพวัน สิงห์บุรี เคยได้พบท่านโดยที่ไม่ทราบว่าเป็นบรมครูพระเทพโลกอุดรพบที่โคนต้นไทรใหญ่ โดยได้รับกราบอกเล่าจากเจ้าของที่ดินว่า ถึงปีหลวงปู่จะมาปักกลดอยู่ชั่วระยะหนึ่งเจ้าของที่เล่าว่าตั้งแต่จำความได้จนถึงอายุได้ 80 ปีเศษ หลวงปู่ก็ยังคงทรงลักษณะเดิมไม่แปรเปลี่ยนหลวงพ่อจรัล เรียกท่านว่า “หลวงพ่อดำ” ได้ศึกษาวิปัสสนากรรมฐานากท่านพอสมควร บางทีคนมีวาสนาได้พบท่านแล้วไม่รู้จักว่าท่านเป็นใครมีอยู่มาก คณะพระโลกอุดร เป็นชาวเปาล อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นคนไทยการที่ท่านพูดภาษาไทยได้ก็เนื่องจากบรรลุปฏิสัมภิทาญาณ สามารถรู้ภาษาคนและสัตว์ได้ท่านชอบปรากฏองค์ทางป่าเมืองกาญจนบุรี เช่น อำเภอไทรโยค อำเภอทองผาภูมิ ครั้งล่าสุดท่านปรากฏองค์ที่เขาใหญ่ ท่านอภิชาโต ภิกขุ และท่านพันเอกชม สุคันธรัต ไปเฝ้าท่านอยู่นานวันและท่านอภิชิโต ภิกขุได้มรณภาพได้ไม่นาน เรื่องราวบางตอนได้อาศัยท่านอภิชิโต ภิกขุเป็นผู้บอกเล่า มิได้เป็นนวนิยายเลื่อลอยไม่จำเป็นต้องรอการพิสูจน์ และโปรดเข้าใจด้วยว่าภาพพระโลกอุดรองค์ที่สาม นามว่า “พระอิเกสาโร หรือหลวงปู่โพรงโพธิ์” ารปรากฏกาธรรมในปัจจุบัน ส่วนมากมักจะเป็นพระโลกอุดรองค์ที่สาม และแทรกซ้อนด้วยหลวงปู่แจ้งฌาน ซึ่งเป็นศิษย์เอกคู่กับกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ท่านทั้งสองท่านอภิชิโต เรียกว่า “ครูฝึ” ปกติหลวงปู่ไม่ได้ลงมือสอนวิชาด้วยตนเอง ให้ศึกษากับครูฝึก เมื่อจบขั้นแล้วท่านจึงจะทำการทดสอบทุกครั้งไป
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วิเคราะห์คำว่า “ อรหันต์ ”<O:p</O:p

    “อรหัน” หมายถึง ผู้สำเร็จอภิญญาโลกีย์ หรืออภิญญาห้า ไม่สามารถทำอาสวะให้สิ้น ทุกอย่างมีอิทธิวิธีแบบพระอรหันต์ขีณาสพทั้งสิ้น พิจารณาอย่างเรา ๆ ปุถุชนมองไม่ออก ประเภทนี้การกระทำตนแบบโพธิสัตว์ เช่น โป๊ยเซียนโจ๊วซือทั้ง 8 พระแม่กวนอิม ฯลฯ และประเทศลาวก็มี สำเร็จลุน (ไม่ใช่สมเด็จลุน ท่านมิได้เป็นพระราชาคณะ) สามเณรคำ “อรหัน” จึงแปลว่าผู้วิเศษตามคำนิยามในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน อรหันทองคำ จั๊บโป้ยล่อฮั่น ตั๊กม้อ โจ๊วซือ ก็ประเภท “อรหัน” นี่แหละ <O:p</O:p
    ผมก็ไม่กล้าที่จะวิเคราะห์ครูอาจารย์ให้เกินเหตุ เพียงแต่ว่าจะชี้แนะตามหลักวิชาให้หูตาสว่างตามประวัติกล่าวว่าพระโสณ พระอุตร เป็นพระอรหันต์ พระโลกอุดรมาจากคำอุตรแปลว่าผู้เหนือโลกย์พระโสณ บรรลุธรรมก่อนพระอุตร ซึ่งเป็นพี่ชายร่วมสายโลหิต จึงเรียกว่า “พระโสณอุตร” ไม่เรียก “อุตรโสณ” คำว่าหลวงปู่ใหญ่หมายถึง “พระอุตร เถรเจ้า” เป็นพระอรหันต์ยังไม่จบกิจ แบบพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์ ยังค้ำจุนพระศาสนา ไปกว่าจะสิ้นพุทธธันดร (พ.ศ. 5000) ถ้าจบกิจแล้วท่านก็หมดหน้าที่เพียงแต่ท่านไม่ต้องสร้างบารมีต่อแบบอีกสององค์ คือ หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หลวงปู่หน้าปาน ซึ่งยังต้องบำเพ็ญเพียรสร้างบารมีต่อท่านมิได้ประกาศตนแจ้งชัด เพียงแสดงปริศนาธรรมเช่น หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า ซึ่งมีอายุมากกว่าหลวงปู่ใหญ่ด้วยซ้ำไป มาในรูปหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา บ้านหมี่ ลพบุรี แสดงปริศนาธรรมหลวงปู่ขรัวขี้เถ้าเผาแหลก มีอะไรเผาจนหมดจนกลายเป็นขี้เถ้า ให้รู้ว่าแม้แต่ตัวเราต่อไปก็ไม่พ้นการเป็นขี้เถ้า หลวงปู่ขรัวหน้าปานท่านก็บอกอยู่โต้ง ๆ แล้วว่า ท่านเป็นพระสำเร็จ (อรหันต์) มาอาศัยร่างท่านมหาชวน เพื่อบำเพ็ญบารมีต่อ ท่านอภิชิโต ภิกขุ กล่าวกับผมว่า นับตั้งแต่เป็นศิษย์หลวงปู่ใหญ่ครั้งยังบรรพชาเป็นสามเณร จนอายุได้ 70 ปี ยังศึกษาไม่จบ ท่านเป็นอาจารย์ที่ผมรักและเคารพมาก ผมไม่อยากให้คนมีจิตฟุ้งติดฤทธิ์มากนักเพียงอยากให้เป็นความรู้ในด้านสารคดี อรรถคดีพอสมควร มิฉะนั้นเรื่องจะยาวเกินควร
    <O:p</O:p
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ปริเฉทหนึ่ง<O:p</O:p






    กล่าวย้อนไปถึงอดีตกาล พุทธศักราชผ่านพ้นไป 303 ปี (ตามหลักฐานบันทึกในหนังสือมหาวงศ์พงศาวดารลังกา คำบรรยายของ หลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ อดีตภัณฑารักษ์เอกกรมศิลปกร ) และตามหลักฐานของวัดเพชรพลี (บันทึกอักษรเทวนาครี ขุดค้น พบ ณ ซากศิลา วัดคูบัว ตำบลคูบัว จังหวัดราชบุรี) ว่าพระพุทธศาสนาได้เริ่มแพร่เข้าสู่แคว้นสุวรรณภูมิในปีพุทธศักราช 235 ซึ่งมีระยะเวลาห่างกันถึง 68 ปี พระเจ้าอโศก มหาราชได้ทรงกระทำตติยสังคายนาพระไตรปิฎก คือ การชำระพระไตรปิฎกขึ้นเป็นครั้งที่ 3ครั้นแล้วจึง อาราธนาพระโมคคัลลีบุตร ติสสเถระองค์อรหันต์เป็นประธานคัดเลือกบรรดาพระอรหันต์เถระออกทำการเผยแพร่พระพุทธศาสนาในประเทศต่างๆดังนี้ <O:p</O:p
    1. พระมัชฌันติกเถระ ปยังกัสสมิรและคันธารประเทศ (คือประเทศแคชเมียร์และอัฟฆานิสสถานปัจจุบัน) แห่งหนึ่ง <O:p</O:p
    2. พระมหาเทวะเถระ ไปยังมหิสมมณฑล (คือแว่นแคว้นทางใต้ ลำน้ำโคทาวดี อันเป็นประเทศไมสอหรือไมเซอร์ ์ในปัจจุบัน) แห่งหนึ่ง <O:p</O:p
    3. พระรักขิตเถระ ไปยังวนวาสีประเทศ (คือแว่นแคว้นกะนาราเหนืออันเป็นเขตเมืองบอมเบย์ปัจจุบัน แห่งหนึ่ง <O:p</O:p
    4. พระธรรมรักขิตเถระ ไปยังปรันตกประเทศ (คือแว่นแคว้นตอนชายทะเลด้านเหนือเมืองอมเบย์ปัจจุบัน)แห่งหนึ่ง <O:p</O:p
    5. พระมหาธรรมรักขิตเถระ ไปยังมหารัฐประเทศ (คือแว่นแคว้นตอนเหนือของลำน้ำโคทาวารี) แห่งหนึ่ง <O:p</O:p
    6. พระมหารักขิตเถระไปยังโยนกประเทศ (คือบรรดาหัวเมืองต่างๆที่พวกโยนกได้ครองความเป็นใหญ่ใน ดินแดน ประเทศเปอร์เซียปัจจุบัน) แห่งหนึ่ง <O:p</O:p
    7. พระมัชฌิมเถระ ไปยังหิมวันตประเทศ (คือมณฑลซึ่งตั้งอยู่เชิงเขาหิมาลัย มีเนปาลราช เป็นต้น) แห่งหนึ่ง <O:p</O:p
    8. พระโสณเถระกับพระอุตร เถระ ไปยังสุวรรณภูมิประเทศ <O:p</O:p
    ข้อถกเถียงเรื่องสุวรรณภูมิเป็นมาช้านานฝ่ายไทยอ้าง นครปฐมเป็น ราชธานีของสุวรรณภูมิ พม่าอ้างเมืองสะเทิมอันเป็นมอญฝ่ายใต้เป็นสุวรรณภูมิ เขมรและลาวต่างก็อ้างว่าประเทศของตน คือสุวรรณภูมิ แต่ใครจะอ้าง อย่างไรก็ล้วนมีส่วนถูกด้วยกันทั้งสิ้น คือท่านศาสตราจารย์เดวิดส์ อธิบายว่าเริ่มแต่รามัญประเทศไปจรด เมืองญวนและตั้งแต่พม่าไปจรดแหลมมะลายูหรือที่เรียกว่าอินโดจีนเป็นสุวรรณภูมิทั้งนั้น สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงรับ สั่งว่า คำที่เรียกสุวรรณภูมิประเทศนั้น จะหมายรวมดินแดน ที่มีเป็นประเทศมอญและไทยภายหลังทั้งหมด เหมือนอย่างที่เราเรียกว่า อินเดีย เป็นชมพูทวีปกก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นใคร ในแหลมอินโดจีนจะอ้างว่า ประเทศของตนเป็นสุวรรณภูมิ จึงเป็นการถูกต้องด้วยกัน ทั้งนั้นไม่มีปัญหา ที่ไทยอ้างนครปฐม เป็นราชธานีนั้นก็เพราะจังหวัดนครปฐมมีเนื้อที่ภูมิประเทศ กว้างขวางและ มีโบราณวัตถุสถานสร้างไว้มาก แต่จะเรียกชื่อเมืองหลวงว่ากระไรในครั้งกระนั้นได้แค่สันนิษฐานเห็นจะเรียกสุวรรณภูมินั่นเองชื่อนี้จึงได้แต่เป็นที่รู้กันแพร่หลายไปถึงอินเดียและลังกาจนเป็นเหตุให้ใช้ชื่อนี้ในหนังสือมหาวงศ์ฯ ว่า พระโสณกับพระอุตรได้อัญเชิญพระพุทธศาสนามาประดิษฐานสถานที่เมืองสุวรรณภูมิ และเป็นเหตุให้เรียกชื่อมหาสถูปที่เมืองนั้นว่า “ พระปฐมเจดีย์ ” หมายความว่า เป็นพระเจดีย์องค์ ์แรกที่ได้สร้างขึ้นในแถบ ประเทศตะวันออกนี้ <O:p</O:p
    ส่วนคำจารึกอักขรเทวนาครีฉบับวัดเพชรพลี ปรากฏข้อความที่พิศดารยิ่งขึ้นโดยกล่าวถึงคณะพระธรรมฑูตได้เดินทาง มาเผยแพร่ พระพุทธศาสนาโดยทางเรือประกอบด้วย พระโสณะเถระ พระอุตรเถระ พระมูนิยะ พระฌานียะ พระภูริยะ สามเณรอิสิจน์ สามเณรคุณะ พระสามเณรนิตตย เขมกะอุบาสก อนีฆาอุบาสิกา อดุลยอำมาตย์และคุณหญิงอดุลยา พราหมณ์และนาง พราหมณี ผู้คนอีก 38 คน ได้มาพักที่วัดช้างค่อม (นครศรีธรรมราช) เมื่อวันขึ้น 14 ค่ำ เดือนอ้าย พ.ศ.235 ออกบิณฑบาต วันขึ้น 15 ค่ำ แล้วเทศนาพรหมชาลสูตรและได้วางวิธีอุปสมบทญัตติจตุตถกรรมวาจา โดยใช้อุทกเขปเสมาหรือเสมาน้ำและได้วางเพศชีไทยโดยถือ แบบเหล่าพระสากิยานีซึ่งเป็นต้นของพระภิษุณีโดยบวชหรือบรรชาไม่มีเรือนออกจาก เรือน (อาคารสมา อนาคาริย ปพพชชา)ได้วางวิธี ีสวดปาติโมกข์หรืออุโบสถกรรม ปวารณากรรม เมื่อพระเจ้าโลกละว้า (เจ้าผู้ครองแคว้นสุวรรณภูมิ)รับสั่งให้ ้มนขอมพิสนุ ขอมเฉย ขอมสอน ขอมเมือง สร้างวัดมหาธาตุ ท่านได้วางวิธีกำหนดนิมิตผูกขันธ์สีมา พ.ศ. 238 เดือน 5 ขึ้น 15 ค่ำขณะอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ท่านได้สอนพระบวชใหม่ให้ท่องพระปาฏิโมกข์จบหลายองค์แล้วจึงวางวิธีสวดสาธยายโดยฝึกซ้อมให้คล้องเมื่อคล่องแล้วจึงจะสัชณาย กัน จริง ๆ ท่านให้มนต์ขอมปั้นพระพุทธรูปด้วยปูนขาวเป็นพระประธานในโรงพิธีเมื่อเรียบร้อยแล้วท่านวางวิธีกราบสวดมนต์ไหว้พระ เห็นดีแล้วจึงให้สร้างพระพุทธรูปประจำพระอุโบสถ จึงเป็นธรรมเนียมสืบต่อกันมา ท่านได้วางวิธีกฐินและธุดงค์ ไปในเมืองต่าง ๆ คือ การเที่ยวจาริก <O:p></O:p>
    การสร้างพระพุทธรูปในสมัยดังกล่าวนี้ ก็ล้วนเป็นสิ่งสมมุติ มีพระพุทธรูปเป็นองค์สมมุติพระสงฆ์ก็เป็นเพียงสมมุติสงฆ์ ส่วนพระธรรม นั้นเป็นเพียงเสียงสวดท่านจึงใช้วงล้อเกวียนประดิษฐ์เป็นธรรมจักรแทนพระธรรม กับมีมิค (มิ–คะ)คือสัตว์ประเภท กวาง ฟาน หรือเก้ง เป็นเครื่องหมาย ในสมัยสุวรรณภูมิ <O:p</O:p
    พระพุทธรูปที่มีกวางกับธรรมจักรกลับไม่มี การสร้าง หรือ ออกแบบในสมัยนั้น มีอยู่สี่ลัษณะด้วยกันคือ (ประสูติ ตรัสรู้ แสดงธรรมจักร ปรินิพพาน) มีอักษรเทวนาครีจารึกระบุพระนามว่า โลกกน แบบประภามณฑลมี 3 วงซึ่งเป็นเครื่องหมายพระนาม ว่า “โลก” คือ วัฎฎ 3 แบบโปรดสหาย พระยศส่วนปางมารวิชัยและปางสมาธิมีทุกสมัย <O:p</O:p
    ต่อมาในปี พ.ศ. 239 พระโสณกับพระเจ้าโลกละว้าราชา ได้ส่งพระภิกษุไทย 10 รูป มีพระญาณจรณะ (ทองดี) เป็น หัวหน้า 3 รูป อุบาสก อุบาสิกา ไปเรียนและศึกษา ณ กรุงปาตลีบุตรแคว้นมคธ นับเป็นเวลา 5 ปีพระญาณจรณะ (ทองดี)ท่านนี้ปรากฏ หลักฐานเพียงรูปของพระพิมพ์มีลักษณะ อวบอ้วนคล้ายพระมหากัจจายนะเถระเจ้า ด้านหลังมีรูปพระ 9 องค์เป็นอนุจร หรือ บวชทีหลัง คนชั้นหลังเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าเป็นองค์เดียวกับพระมหา กัจจายนะเถระเจ้า และเรียกเพี้ยนเป็นพระสังขจายเรียกกันมานานนับพัน ๆ ปี ศัพท์สังขจายไม่มีคำนิยามในพจนานุกรมพุทธสาวกทุกพระองค์จะมีนามีเป็นภาษาบาลีทั้งสิ้นไม่มีนามเป็นภาษาไทย พระญานจรณะ (ทองดี)บรรลุอรหันต์และจบกิจนานนับพันปีแล้ว ปัญหาเช่นดังกล่าวนี้หากนำพระปิดตาขึ้นมาพิจารณาก็ยากที่จะตัดสินว่าเป็นพุทธสาวก องค์ใดกันแน่อาจจะเป็นพระมหากัจจายนะเถระเจ้า ปางเนรมิตวรกายก็ได้ อาจจะเป็นพระควัมปติก็ได้ เป็นพุทธสาวกทรงเอตทัคคะ ด้วยกัน แต่เป็นคนละองค์ คำพระควัมบดี ไม่มี) <O:p</O:p
    ลุปี พ.ศ. 245 พระเจ้าโลกละว้าสิ้นพระชนม์ ตะวันทับฟ้าราชบุตรขึ้นครองราชย์ นามตะวันอธิราชเจ้า ถึงปี พ.ศ.264 พระโสณะใกล้ ้นิพพาน พระโสณเถระอยู่ ณ แดนสุวรรณภูมิ วางรากฐานธรรมวินัย ใน พระบวรพุทธศาสนา เป็นระยะเวลา 29 ปี และท่านนิพพานในปีนั้น <O:p</O:p
    หลักฐานต่าง ๆ ตามที่กล่าวจารึกด้วยอักษรเทวนาครี ขุดพบที่โคกประดับอิฐ ตำบลคูบัว จังหวัดราชบุรี พบรูปปั้นลอย องค์ ลักษณะนั่ง ลักษณะนั่งห้อยเท้า มีลีลาแบบปฐมเทศนา มีเศียรโล้น ด้านหนึ่งจารึกว่า โสณเถร ด้านล่าง อุตตรเถ (ร) ด้านล่างสุด สุวรรณภูมิ มีอยู่ด้วยกัน 5 องค์ ผู้ค้นพบทุบเล่น 3 องค์ เหลือเพียง 2 องค์ ตกเป็นสมบัติของวัดเพชรพลี ส่วนครบชุด 5 องค์ คือ พระโสณเถระ พระอุตรเถระ พระมูนียะเถระ พระฌานียเถระ พระภูริยะเถระ ในท่านั่งแสดงธรรมสมัยต่อมาในรัชกาลที่ 4 และที่ 5 มีการสร้างแบบพระสมเด็จขึ้น แล้วเห็นเป็นพระสมเด็จผิดพิมพ์อีกด้วย จึงเป็นการสับสนสำหรับผู้ที่ไม่รู้จริง <O:p</O:p
    จะเห็นได้ว่าตามหลักฐานบันทึก กล่าวเพียงพระโสณเถระ ไม่ได้กล่าวถึงพระอุตรเถระ (อุตร ก็คืออุดร)เป็นปัญหาว่า หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดรเป็นองค์ใดกันแน่เพราะในสมัยปัจจุบันกล่าวถึงบรมครูพระเทพโลกอุดรไม่มีใครรู้จัก พระโสณะเถระ ข้อเท็จจริง ท่านทั้งสองเป็นพี่น้องร่วมสายโลหิต องค์พี่คือพระอุตร มีร่างกายสันทัด องค์น้องมีร่างกายสูงใหญ่ มีฉายาว่าขรัวตีนโต ถ้านำพระธาตุมาตรวจนิมิตจะบอกว่า โสณ - อุตร ไม่แยกจากกัน องค์น้องบรรลุอรหันต์ก่อนองค์พี่แต่มีความเคารพ องค์พี่มากต้องกราบองค์พี่แต่เหตุที่บรรลุก่อนพี่ชายจึงเรียกโสณ - อุตรไม่เรียก อุตร - โสณะฉะนั้น หลวงปู่ใหญ่ก็คือพระอุตร นั่นเองเจ้าประคุณสมเด็จพุฒจารย์ (โต) พรหมรังสี กล่าวพระนามขององค์ท่านว่า พระโสอุดรพระโลกอุดร ด้วยเหตุนี้ทำให้ผมเกิดความ คิดจัดกลุ่มพระเทพโลกอุดรขึ้น และเขียนเรื่องลงในวารสารพระเครื่อง โดยแบ่งกลุ่มออกดังนี้ กลุ่มที่ 1 มีพระโสณ อุตร กลุ่มที่ 2 พระมูนียะหรือหลวงปู่โพรงโพ เป็นเอกเทศ กลุ่มที่ 3 พระณานียะ (หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) พระภูริยะ (หลวงปู่หน้าปาน) รวมเป็น 3 กลุ่มด้วยกัน แต่ไม่เป็นการถูกต้องตามข้อเท็จจริง ได้เกิดนิมิตครั้งแรกพบเพียง พระอุตร เถระเจ้า ปรากฏกายเพียงครึ่งท่อน (สอบแล้วตรงกับคนใต้ท่านหนึ่ง) ท่านบินเข้าสู่โดยลักษณาการที่รวดเร็วยิ่ง ตรงเข้ากอดรัดด้วยความเมตตา ผมทัดท่านว่า “หลวงปู่ใหญ่” ท่านยิ้มแล้วบอกกับผมว่า “ปู่ชื่อเปลี่ยนนะลูก” ขอให้ลูกจงหลุดจากการยึดมั่นถือมั่น ท่านสอนธรรมง่าย ๆ แต่มันลึกและ เป็นขั้นสูง ไม่ธรรมดา ท่านมาองค์เดียว ท่านอภิชิโตภิกขุก็เคยเล่าให้ฟังว่าหลวงปู่อยู่องค์เดียว นอกนั้นก็เป็นเพียงศิษย์ในสำนัก เรื่องนี้ผมไม่ได้คุย ์ให้ใคร ฟังมากนักเกรงจะไม่เชื่อ คนที่มาหาก็ชอบแต่ส่องพระด้วยแว่นไม่ส่องด้วยจิต และผมจะดีใจในเมื่อพบคนส่องพระทางจิตคุยกัน ถูกคออยู่มาวันหนึ่งท่านอาจารย์บุญส่ง สามผ่องบุญ โรงเรียนทวีธาภิเศกได้มาเยือนผมถึงบ้านพักท่านมาด้วยกันหลายคน พร้อมภรรยา แต่ทิ้งไว้ในรถยนต์ ท่านเล่าว่าที่มานี้ก็เพราะได้รับประสบการณ์ คือ มีพรรคพวกของท่านคนหนึ่งแขวนพระพิมพ์โลกอุดร รุ่นเทิดพระเกียรติวังหน้า พิมพ์ปิดตาสี่กร เกิดไปปะทะกับรถยนต์บรรทุกสิบล้อเข้าอย่างจังแต่หาอันตรายอันใดมิได้ พระพิมพ์วิเศษชนิดนี้หากเอาพระสมเด็จวัดระฆังที่เขานิยมกัน องค์ละ 3 ล้าน 3 องค์มาแลกอย่าได้เอา แล้วท่านก็แนะนำตนเองว่าได้ฝึกฝนในด้านสมาธิมานาน จบธรรมกายอรหันต์ละเอียดแล้ว ไปศึกษาพุทโธสาย ท่านอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ละเลิกการติดฤทธิ์แล้ว ตัวท่านเองรู้จักกับพระภิกษุและวัดต่าง ๆ ใน กทม. มากมาย แต่น่าอัศจรรย์ใจ คือมีบุคคลท่านหนึ่ง ประสงค์จะอุปสมบท และขอร้องให้ท่านช่วยไปหาสำนักที่ดี ๆ ให้ด้วยท่านพาดุ่มไปยังหนึ่ง ไม่เคยรู้จักกับสมภารเจ้าอาวาสวัดนั้นมาก่อนเป็นสมภาร หนุ่ม เรียนจบขั้นปริญญาโทจากต่างประเทศ และมีภาพพระเทพโลกอุดร ขนาดใหญ่ตั้งบูชาอยู่ ท่านอาจารย์บุญส่งก็ถามว่า “อาจารย์ก็นับถือหลวงปู่เทพโลกอุดร- เหมือนกันหรือ” ท่านเจ้าอาวาสตอบว่า “ใช่ เคารพนับถือมาก” ทันใดนั้นท่านอาจารย์บุญส่งก็กำหนดจิตไปยัง เจ้าอาวาส ปรากฎเป็นพระเทพโลกอุดรทาบร่างเจ้าอาวาสมีรัศมีทองคำแพรวพราว และสอนธรรมประโยคหนึ่งก็คือสอนท่านอาจารย์บุญส่งแหละ ผมรีบถามขึ้นว่า “ท่านสอนว่ากระไรทีนี้ผมจะสอบอาจารย์บ้างล่ะ"ท่านอาจารย์บุญส่งตอบว่า “ท่านสอนให้สิ้นการยึดมั่นถือมั่น” ผมจึงสิ้นฤทธิ์ไม่ติดฤทธิ์ต่อไป ผมจึงตอบ ท่าน อาจารย์บุญส่งว่า “ใช่ครับเป็นคำสอนของหลวงปู่ใหญ่ ผมขอรับรอง ไม่ใช่คำพูดของเจ้าอาวาส” ตัวผมเองไม่ได้ฌานได้ญาณ อะไรกับเขาหรอก ท่านอาจารย์บุญส่งไม่เรียกผมอาจารย์ขอเรียกพี่ ครั้นแล้วท่านอาจารย์บุญส่งก็เล่นงานผมเข้าให้บ้างแผล็บเดียวก็คุก เข่าก้มลงกราบ ผมถามว่า “อาจารย์ทำไมทำเช่นนี้” อาจารย์บุญส่งไม่ตอบ เรียกคนในรถทุกคนให้ขึ้นบ้านบอกว่าเข้ามากราบได้สนิทผม ก็ยิ่งสงสัยว่า นี่มันอะไรกันท่านอาจารย์บุญส่งจึงไขข้อปัญหาว่า “ "พี่ก็เป็นอย่างเดียวกับท่านเจ้าอาวาสนั่นแหละเพียงแต่รังสีไม่เฉิดฉายเท่ากับท่านเจ้าอาวาส เพราะท่านเป็นผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ แสดงว่าพี่เป็นคนของหลวงปู่และสิ้นการสงสัย" ต่อจากนั้นท่านก็ทำนายทาย ทักว่าผมจะเจ็บป่วยอีกครั้งและกำหนดระยะเวลาให้ซึ่ง ผมก็ต้องเข้าโรงพยาบาลรามาธิบดีทำการผ่าตัดนิ่วถุงน้ำดีและพักอยู่นานวัน ท่านสงสารในสุขภาพของผม ท่านบอกว่าเรามาถ่ายทอดพลังปราณกันเถอะ แล้วเราก็เอามือทั้งสองยันกันทำสมาธิถ่ายทอดพลังลมปราณสู่กัน ท่านถ่ายทอด พลังเย็นคืออาโปธาตุสู่ตัวผมผมเองก็ถ่ายไปตามเรื่อง ท่านบอกว่าของผมเป็นเตโชพลังร้อนซึ่งก็เป็นความจริง ก่อนที่ท่านจะลากลับ ผมแจกพระพิมพ์โลกอุดรเป็นที่ระลึกให้กับท่านและผู้ติดตาม และเห็นท่านเดินไปทางหลังบ้าน คิดว่าจะเข้าห้องน้ำปรากฎ ความจริงว่าท่านได้มอบเงินจำนวนหนึ่งให้ ้กับลูกสาวผมไว้ โดยที่ลูกสาวไม่รู้เรื่องและปฏิเสธ ภายหลังท่านพยายามยัดเยียดเงินให้แล้ว รีบเดินทางกลับ หลังจากนั้นเราไม่ได้พบกันอีก ท่านเป็นคนดีมาก คนหนึ่ง <O:p</O:p
    คำสอนของหลวงปู่เป็นตัวสุดท้ายในมหาสติปัฎฐานสี่ กาย เวทนา จิต ธรรม สักแต่ว่า ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา อย่างที่เขาสอนกัน กายในกาย จิตในจิต ไม่ติดมันก็หลุด ก็ไม่รู้จำะหลุดอย่างไร ตามความเข้าใจของผม ธรรมตัวนี้ก็คือ สภาวะธรรม มันแปรเปลี่ยนไม่คงที่คือทุกข์ การทนอยู่ ู่ไม่ได้สิ่งที่มีชีวิตและปราศจากชีวิตมันเสื่อมสิ้น ไปตามสภาวะธรรมไม่ยืนยงคงที่ หลวงปู่จึง ให้ปริศนาว่า “ปู่ชื่อเปลี่ยนนะลูก” เมื่อมันไม่ดำรงคงที่ มันก็ไม่ เที่ยงนะซี มันทุกข์อนิจจ ก็เมื่อมันไร้สาระเช่นนี้จะไป ยึดถือเป็นตัวเป็นตนทำไม อนัตตา สัพเพธัมมาทุกขา สัพเพธัมมาอนิจจา สัพเพธัมมาอนัตตา ติ ถ้าจะตัดรูปนาม ปล่อยเวทนาสัญญาไว้ ละเพียงสังขาร เครื่องปรุงแต่งจิตอันเป็นตัวอุปาทาน ตัดตัวนี้เปรียบเหมือนการตัดคัดเอ้าท์สวิทช์ไฟฟ้า ไฟฟ้าดวง อื่นพากันดับหมด เป็น สุญญตนิพพาน ท่านอาจารย์วิชัย แห่งสำนักสงฆ์ถ้ำผาจม เชียงราย เคยนำมาแสดงธรรมในรายการธัมมะทาง ที.วี. ผมฟังแล้วถึงกับ ก้มลงกราบเพราะความถูกใจไปเรียนให้มากทำไม ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถระ) อบรมสั่งสอน สานุศิษย์ให้ไหว้ 5 ครั้ง ให้มีศีลบริบูรณ์ ไหว้พระเสร็จให้ทำสมาธิ ก่อนตายให้พิจารณาถึง สัพเพธัมมาอนัตตา จะไม่กลับมาเกิดอีก จึงว่าหลวงปู่ท่านสอนตามขั้นภูมิธรรมปัญญาฟังดูง่าย ๆ แต่ทำยาก <O:p</O:p
    นิมิตครั้งที่ 2 พบกับพระโสณเถระเจ้า ท่านมากับพระอิเกสาโร จิตผมทราบทันทีว่าเป็นหลวงปู่องค์ที่สองรูปกายท่าน สูงใหญ่เกสายาว ่ประมาณ 1 องคุลี ผมคิดอยู่ภายในใจว่าอยากจะได้เกสาของท่านไว้บูชา หลวงปู่เรียกผมเข้าไปใกล้ ผมก้มลงกราบท่าน ๆ ยิ้มด้วยความปราณี ยกมือลูบศรีษะ ของผมพลางเรียกชื่อ ท่านมิได้กล่าวธรรมอันใด ส่วนองค์ที่นั่งถัดไป ประมาณ 4 วา ปรากฎเกสายาว คลุมด้านหลังห่มจีวรสีกรัก แสดงว่าเป็นพระอิเกสาโร (เกสา แปลว่าผม) มิได้กล่าวธรรมใดเช่นกัน แสดงชัดว่าพระอิเกสาโรเป็นสานุศิษย์ พระโสณะ ภาพนิมิตเลือนหายไปปรากฎเห็นพระภิกษุชรารูปหนึ่ง ร่างกายใหญ่ ยืนเทียบแล้วยังสูงไม่พ้นไหล่ท่าน มีขนตายาวพิเศษ ประกอบอารมณ์ขัน ท่านยกมือลูบศรีษะของผมพลางกล่าวว่า “ลงศีรษะมากมายจริง” ทันใดนั้นท่านก็หัวเราะก๊าก ผลักผมกระเด็นไป ประมาณ 2 วา แล้วกล่าวว่า “โอ้โฮมีพระมากจัง” แล้วท่านก็พาเดิน ผมก็ตามหลังท่านไปในจิตรู้ว่าท่านคือ หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า จนในที่สุด ไปพบกลุ่มพระภิกษุและฆราวาสกลุ่มหนึ่ง มีฆราวาสท่านหนึ่งอุ้มขันสำริดเดินอยู่ในกลุ่มท่านชี้มือไปยังบุคคลผู้นั้นและกล่าวว่า “ท่านผู้นี้เป็นสามี” ทำให้ผมต้องตีปัญหาพักใหญ่ ขันนั้นน่าจะหมายถึงขันธ์ห้า คำว่าสามีแปลได้หลายอย่าง เจ้าของ ผัว ตำแหน่ง พระสังฆราชบัณฑิต น่าจะเป็นบัณฑิตนั่นเองท่านผู้นี้จิตบองว่าเป็นหลวงปู่ขรัวหน้าปานองค์ที่ห้าเป็นอันว่าผมได้เห็นหน้าพระเทพโลกอุดรครบทุกพระองค์
    9. พระมหินทรเถระ เป็นพระราชบุตรของพระเจ้าอโศกมหาราช พร้อมด้วยพระภิกษุหลายรูปไปลังกาทวีปแห่ง
    <O:p</O:p
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ปริเฉทสอง<O:p</O:p
    พระอุตรเถระเจ้าอวตารเป็นพระอุทุมพรมหาสวามีในสมัยพระเจ้าลิไทแห่งราชวงศ์สุโขทัยปี พ.ศ.1900 ห่างจากระยะแรกประมาณ1600ปีมีบางท่านกล่าวว่าในสมัยหริภุญไชยท่านมาเกิดเป้นครูบาบุญทาแต่เป็นเรื่องของความฝันไม่ปรากฏหลักฐานแจ้งชัดและมีผู้เล่าให้ฟังว่าในครั้งกระนั้น ผมเป็นสามเณรอาศัยอยู่กับท่านมีชื่อว่าb “น้อยคำอ้าย” เป็นสล่าคือช่างปั้นพระคนเล่าเป็นพนักงานออมสินสำนักงานใหญ่โดยการผ่านร่างแต่ไม่ถึงกับประทับทรงจึงเกิดปัญหาว่า คนฝันกับคนที่เป็นร่างผ่านให้ข้อความไม่ตรงกันจึงตัดออกเอาแต่เรื่องที่มีหลักฐานมากล่าวและมีบันทึกคณะพระเทพโลกอุดรมีหน้าที่ดูแลทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาไปจนกว่าจะสิ้นพุทธธันดร(พ.ศ.5000)คราใดที่พระพุทธศาสนาอ่อนแอลงท่านมักจะมาโปรดท่านเป็นฑูตเดินทางมาจากประเทศลังกาสู่ประเทศมอญความว่าในสมัยนั้นมีพระอาจารย์ชาวลังกาท่านหนึ่งนามว่า “พระมติมา” เป็นศิษย์ในสำนักพระอุทุมพรมหาสวามีสังฆราช ซึ่งมีวัตรปฏิบัติเคร่งครัดที่สุดในประเทศลังกา มาตั้งสำนักที่เมืองนครพันหรือเมืองเมาะตะมะของมอญในสมัยพระสุตโสมเป็นพ่อเมืองพระเถระทางกรุงสุโขทัยได้ทราบข่าวเกิดความศรัทธาปสาทะจึงพากันมาขออุปสมบทใหม่ในสำนักพระมติมาและข่าวได้แพร่ไปถึงพระเจ้าลิไทแห่งกรุง สุโขทัยจึงจัดส่งสมณฑูตอาราธนาพระมติมามาอยู่ ณ กรุงสุโขทัย แล้วพระองค์ได้ทรงผนวชในสำนักพระมติมา ประกาศปรารถนาพุทธภูมิแล้วลาสิกขาบท เพื่อบำเพ็ญพระราชกรณียกิจตามเดิม แต่งตั้งพระมติมาให้เป็นที่พระสวามี (ตำแหน่งพระสังฆราชของลังกา ) พระมติมาได้พยากรณ์ไว้ว่าพระพุทธศาสนาจะไม่ตั้งมั่นในมอญแต่จะตั้งมั่นในไทยจนถึง พ.ศ.5000 (เป็นอันแสดงว่าพระสังฆราชรูปนี้เป็นชาวลังกา) บางท่านยังอ้างข้อความบางตอนในศิลาจารึกกล่าวถึงความเค่งครัดของท่านว่า มีจริยาวัตรเยี่ยงพระอรหันต์ แต่หลักฐานในหนังสือชินกาลบาลีปกรณ์ระบุความตอนหนึ่งว่าพระสังฆราชรูปนี้ความจริงเป็น ชาวสุโขทัย ชื่อพระสุมนเถระ เดิมได้ศึกษาเล่าเรียนธรรมจากสำนักต่าง ๆ หลายสำนักจากเมือง อโยชฌปุระ (อยุธยา) จนความรู้แตกฉานแล้วกลับมาอยู่ที่เมืองสุโขทัยตามเดิมครั้นต่อมาได้ทราบข่าวว่าพระมหาสวามีองค์เถระชาวลังกาผู้ทรงคุณอันเลิศในทางธรรมชื่อว่า “อุทุมพร”ได้จาริกจากลังกามาอยู่ที่รัมนะประเทศ (ในพงศาวดารโยนกเรียกชื่อว่าเมืองเมาะตะมะในศิลาจารึกเรียกนครพัน) พระสุมนเถระจึงชักชวนพระภิกษุซึ่งเป็นสหายทางธรรมจำนวนหนึ่งพากันเดินทางจากกรุงสุโขทัยไปนมัสการ พระหมาสวามีอุทุมพร แล้วอยู่ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมกับ พระมหาสวามีอุทุมพร นั้นกาลต่อมาความทราบถึงพระกรรณพระมหาธรรมราชาแห่งกรุงสุโขทัย (คือพรญาศรีสูรยพงศ์รามมหาธรรมราชาธิราชพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ 5 แห่งราชวงศ์สุโขทัย ซึ่งก็คือพระเจ้าลิไทแต่คำในลายสือไทอ่านยากมิได้จารึกคำว่า “ลิไท”โดยตรงมีพระนามว่าก่อนเสวยราชย์ว่า พรญาฤาไท อ่านอย่างภาษามคธว่า “ลิไท” คำว่าพรญาศรีสูรยพงศ์เป็นพระนามเดียวกับพระราชบิดาเพียงแต่เติมคำว่าบุตรต่อท้ายคำ)ว่าพระมหาสวามีอุทุมพรจาริกมาจากเมืองลังกามาอยู่ที่เมืองรัมมประเทศ ก็ทรงมีพระราชประสงค์ใคร่จักได้พระภิกษุสงฆ์ผู้สามารถคงแก่เรียนกระทำสังฆกรรมได้ครบถ้วนมาประจำที่สำนักเมืองสุโขทัยจึงจัดส่งสมณฑูตไปนมัสการพระมหาสวามีอุทุมพรเพื่อขอพระภิกษุผู้ทรงคุณธรรมดังกล่าวพระมหาสวามีอุทุมพรจึงได้ส่งพระสุมนเถระพร้อมด้วยคณะที่มาด้วยกัน ให้แก่พระมหาธรรมราชาประจำกรุงสุโขทัย พระสุมนเถระและคณะได้นมัสการพระมหาสวามีอุทุมพร แล้วเดินทางกลับกรุงสุโขทัยพระมหาธรรมราชาทรงดีพระทัยยิ่งนักโปรดเกล้าให้สร้าง “วัดอัมพวนาราม” (คือวัดป่ามะม่วงในปัจจุบัน) แล้วได้ นิมนต์พระสุมนเถระให้อยู่ที่วัดนั้น (ในศิลาจารึกไม่มีคำว่าวัด มีแต่อาวาสสุมม่วง สุม คือ ซุ้ม หมายถึง ซุ้มมะม่วง ป่าม่วง ปรากฏว่าเป็นสถานที่เดียวกัน)

    <O:p</O:p
    ปัญหาที่เคยสงสัยกันว่าถ้าพระมหาสวามีสังฆราชเป็นภิกษุชาวลังกาจริงแล้วได้ทำการเผยแพร่ธรรมแก่ชาวบ้าน เป็นการยากที่จะทำความเข้าใจได้ง่ายๆ(ความคิดเช่นนี้ยังไม่ลึกซึ้งพอไม่ได้ศึกษาในเรื่องปฏิสัมภิทาญาณสี่จะเข้าใจผิดกันไปใหญ่และก็เมื่อตอนที่คณะพระธรรมฑูตชุดแรกที่มาเผยแพร่พระพุทธศาสนายังแคว้นสุวรรณภูมิเล่าท่านจะทำประการใด ท่านก็เทศน์โปรดตามภาษาพื้นบ้านนั้นเอง และในการตรวจพระพิมพ์โลกอุดร โดยพระวิปัสสนาจารย์รูปหนึ่ง ท่าน ไม่มีความรู้เรื่องพระโลกอุดร จึงใช้จิตถาม พระพิมพ์ตอบว่า ข้าคือ บรมครูศรีสัชนาลัย ซ้ำอยู่ 2 ครั้ง ซึ่งหมดภูมิปัญญาของผู้ตรวจ จึงได้รับคำอธิบายจากตัวกระผมผู้เขียนเรื่องว่าถูกแล้วเพียงศิษย์ท่านยังเป็นถึงพระสังฆราชองค์ท่านจะเป็นอะไร ก็ดี (เลิกเรียกพระครูโลกอุดรกันเสียทีเถอะ) และการที่พระสุมนเถระเพียงถวายพระธรรมคำสอนแก่พระมหาธรรมราชาช่วงระยะพรรษาเดียวก็ทรงบรรลุภูมิธรรมแตกฉานก็คือภาษาไทยนี้เองต่อมาได้ทรงสถาปนา พระสุมนเถระ ขึ้นดำรงตำแหน่ง “พระสวามีสุมนเถระ” <O:p</O:p
    อนึ่งพิจารณาแผ่นศิลาจารึกของวัดป่ามะม่วงเป็นศิลาจารึกลายสือไทหลักที่27ได้กล่าวถึงพรญาศรีสูรยพงศ์รามมหาธรรมราชาทรงผนวช แต่อักษรจารึกด้านที่ 1 และด้านที่ 2 ชำรุดอ่านไม่ได้ความคงเหลือเพียงด้านที่ 2 และด้านที่ 4 ตัดเฉพาะด้านที่ 2 ถอดความเป็นภาษาไทยปัจจุบันดังนี้ <O:p</O:p
    “…อั (น)… นี้ ในกลางสุมม่วงให้ประดิษฐานกุฎี พิหาร แถลงเมื่อพระนิรพาน ทางกุสินารนคร แถลงฝูงขสินาสรพนั้งบริพารแถลงทั้งพระอารยกัสสปมาทูลฝ่าตีนพระเจ้าอันชำแรกจากโลงทองแถลงทั้งขุนมัลลราชที่คนมากระทำ
    บูชา ประดิษฐานทั้งปฏิมากระลาอุโบสถ แลเสมานั้นโสดเทียน <O:p</O:p
    ญ่อมฝูงสงฆ์อันคง…ปรัชญา…ร…อันมีสังฆราชา…พระไตรปิฏกอันได้…บวชแต่…ไ…ฝูงมหาสมณลังกาทวีป น…มานั้น…นั้น ที่พรญาศรีสูรยพงศ์ธรรมราชาธิราชออกผนวชแลแผ่นดินป่า ม่วงนี้ไหว…มหาสมณทั้งอัน…เลิก…น ปลายพ…ปาลย…น นำให้ฝูง…ทั้งหลายเห็น <O:p</O:p
    ซึ่งผมขอถอดและขยายความดังนี้ ภายในบริเวณศูนย์กลางของอาวาสสุมม่วงหรือวัดป่ามะม่วงมีการก่อสร้างเป็นกุฏีวิหารปรากฏภาพเจียนภายในผนังพระวิหารแสดงภาพพระอรหันต์ขีณาสพมาประชุมกันหนาแน่นดุจกำแพง กั้นน้ำ เพื่อเตรียมถวายเพลิงพระบรมศพพระผู้เป็นเจ้าซึ่งดับขันปรินิพพานแสดงภาพพระมหกัสสปเถระเจ้า ก้มถวายบังคมเบื้องพระยุคคลบาทซึ่งยื่นจากโลงทองบรรจุพระบรมศพ แสดงภาพขุนมัลลราช คือเหล่าบรรดามัลลกษัตริย์ทั้งสี่ (ทรงเชี่ยวชาญในวิชามวยปล้ำ) กำลังถวายสักการะ ภายในพระวิหารมีพระประธานประกอบด้วยพระอัครสาวกซ้ายขวา มีตู้พระไตรปิฏกโดยรอบๆพระวิหารประกอบด้วยพันธเสมาแสดงภาพพระภิกษุสงฆ์ผู้คงแก่เรียนอันได้แก่พระสุมนสวามี ีสังฆราชฝูงสมณแห่งลังกาทวีปคือคณะของ พระอุทุมพระสวามีสังฆราช(บรมครูพระเทพโลกอุดร)ประกฏในศิลาจารึกเนินปราสาทด้านที่ 2 บรรทัดที่ 17 – 18 “เมื่อได้สมเด็จพระมหาเถระกับพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายมา” พรญาศรีสูรยพงศ์รามมหาธรรมราชาธิราชมีพระบัญชาให้ราชบัณฑิตไปอาราธนาพระมหาสวามีอุทุมพรจากเมืองนครพันทราบว่าท่านรับการอาราธนาและเดินทางมาได้ครึ่งทางแล้ว(ทราบทางจิต)พระญาศรีสูรยพงศ์มหาธรรมราชาธิราชทรงจัดให้หมู่อำมาตย์มุขมนตรีและบรรดาราชตระกูลไปเตรียมการต้อนรับทำการสักการะบูชาพระมหาสวามีอุทุมพรสังฆราชตามหัวเมืองต่าง ๆ ที่ทรงจาริกผ่าน เริ่มจัดเครื่องสักการะบูชา ตั้งแต่เมืองเชียงทอง เมืองจันทร์ เมืองบางพาร ตลอดมาจนถึงเมืองสุโขทัย นับว่าเป็นการต้อนรับเป็นพิธีการอันยิ่งใหญ่ของเมืองสุโขทัย วันทรงผนวชขณะที่พรญาศรีสูรยพงศ์รามมหาธรรมราชาธิราชรับผ้าไตรจากพระอุปัชฌาย์แล้วทรงอธิษฐานจิตปรารถนาพุทธภูมิ ได้ยังเกิดแผ่นดินไหวไปทั่วทุกสารทิศในบริเวณอาวาสสุมม่วงเป็นที่ประจักษ์แก่ฝูงชนทั้งหลาย ่ทั่วกัน พระองค์ได้รับพระฉายาในสมณเพศว่า “ปับละวะราชา” (ปลลุวราชา) แปลว่าพระราชาผู้เป็นหน่อเนื้อพุทธางกูรสันนิษฐานว่าพระอุทุมพรมหาสวามีสังฆราชพร้อมคณะน่าจะพำนักณอาวาสสุมม่วงชั่วระยะหนึ่งโดยธรรมเนียมพระมหากษัตริย์ในสมัยโบราณมักนิยมสร้างพระพุทธรูปพระพิมพ์พระเครื่องเพื่อหวังอานิสงส์แลบรรจุกรุเจดีย์ไห้สืบพระพุทธศาสนาจึงมีการสร้างพระพิมพ์เนื้อดินขึ้นชุดหนึ่งนิยมเรียกกันว่า พระพิมพ์วัดป่ามะม่วงเป็นพระพิมพ์ที่พระอุทุมพรมหาสวามีสังฆราชทรงอธิษฐานจิตให้ สมัยสุโขทัยหลวงพ่อโอภาสีแห่งอาศรมบางมดยืนยันว่า พระพิมพ์โลกอุดรวิเศษ ้กว่าพระสมเด็จวัดระฆังฯ มากมาย สิ่งนี้เป็นข้อยืนยันสำหรับปริเฉทสอง
    <O:p</O:p
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ปริเฉทสาม<O:p</O:p

    เริ่มสมัยรัตนโกสินทร์ในราชกาลที่ 4 ประมาณปี พ.ศ.2395 ในขณะที่พระองค์เจ้ายอดหรือพระองค์เจ้ายอดยศ บวรราโชรสราชกุมารประสูติ ณ วันพฤหัสบดี เดือน 10 แรม 2 ค่ำปีจอสัมฤทธิศก จุลศักราช 1200 พุทธสกราช 2381ในรัชกาลที่ 3 เป็นพระเจ้าลูกยาเธอนับเป็นพระราชโอรสองค์ต้นในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระชนมายุได้ 14 พรรษาปี 2395 เป็นการปรากฎทั้งคณะพระธรรมฑูตมีดังนี้ <O:p</O:p
    1. พระอุตรเถระเรียกกันว่าพระครูโลกอุดรหลวงปู่ใหญ่หรือหลวงพ่อดำเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต)พรหมรังสีเรียกท่านว่า พระโลกอุดร” <O:p</O:p
    2. พระโสณเถระเรียกกันว่าพระครูโลกอุดรเช่นกัน ฉายานามขรัวตีนโตเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ท่านว่าพระโสอุดร” <O:p</O:p
    3. พระมูนียะเรียกกันว่าหลวงปู่โพรงโพท่านอิเกสาโร หรือหลวงปู่เดินหน<O:p</O:p
    4. พระฌานียะเรียกกันว่าหลวงปู่ขรัวขี้เถ้า<O:p</O:p
    5. พระภูริยะเรียกกันว่าหลวงปู่หน้าปาน<O:p</O:p
    ทราบโดยญาณของผมเองว่าพระอิเกสาโรเป็นศิษย์พระโสณเถระส่วนอีกสองท่านจะเป็นศิษย์พระอุตรเถระหรือพระโสณเถระยังไม่แจ้งชัดเพียงอาจารย์ผมบอกว่าท่านฌานียะ ยังมีอาจุแก่กว่าพระอุตรเถระด้วยซ้ำไปหลวงปู่ขรัวขี้เถ้ากับหลวงปู่หน้าปานจะจบกิจเป็นพระอรหันต์หรือยังมิอาจทราบได้เพียงท่านหายไปตอนตอนแรกอาจเป็นเพียงอรหัน (ตามคำวิเคราะห์ศัพท์ในตอนต้น)จึงต้องมาสร้างบารมีเพิ่มในรูปของหลวงหลวงพ่อกบวัดเขาสาริกาอำเภอบ้านหมี่จังหวัดลพบุรีก็คือท่านขรัวขี่เถ้าเผาแหลกมีอะไรท่านเผาหมดเป็นปริศนาธรรมอันหนึ่งว่า ตูนี่แหละคือขรัวขี้เถ้าท่านแปรธาตุแบบสำนักโลกอุดรเป็นกบเลี้ยงลูกศิษย์จึงมีฉายาว่าหลวงพ่อกบกล่าวกันว่าเมื่อท่านมรณะภาพแล้วนำใส่โลงศพได้เกิดหายไปไม่มีร่องรอยก็ท่านตามจริงเสียเมื่อไรที่เห็นนั่นเป็นเพียงกายธรรมเท่านั้นส่วนอีกท่านหนึ่งมาในนามของหลวงพ่อโอภาสีหรือมหาชวนแห่งอาศรมบางมดท่านก็บอกว่ามหาชวนตายไปแล้วท่านเป็นพระสำเร็จมาอาศัยร่างเพื่อสร้างบารมีต่อปริศนาธรรมของท่านก็คือมีพระบรมสาทิศของล้นเกล้า ร.5 คนก็ตีความไปต่างๆนาๆว่าท่านนับถือรัชกาลที่ 5 มาเกิดบ้างก็รัชกาลที่ 5 สวรรคตในปีพ.ศ.2453ท่านมหาชวนเกิดก่อนแล้วความจริงก็คือตูนี่แหละพระโลกอุดรองค์ที่ 5” ก็เท่านั้น
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พระองค์เจ้ายอดยิ่งยศฯน่าจะสร้างบารมีต่อเนื่องมาแต่ปางบรรพ์ ทรงมีธรรมาพิสมัยแต่ครั้งยังเยาว์วัยนอกจากจะทรงสนพระทัยในวิทยาการทางอักษรศาสตร์รัฐศาสตร์ การช่างช่างฝีมือยุทธศาสตร์จนถึงวิชาการฟ้อนรำทรงสนพระทัยในวิปัสสนากรรมฐานแต่เยาว์วัยขณะที่พระชนมายุเพียง14พรรษาฝึกฝนจนอินทรียพละฝึกฝนจนอินทรีย์พละแก่กล้าพอควรบรมครูพระเทพโลกอุดร (พระอุตร เถระ)เห็นว่าเจ้าชายท่านนี้เคยเป็นศิษย์ในความอุปการะกันมาจึงมาเข้านิมิตสอนธรรมกรรมฐานโดยต่อเนื่องในสภาพกายทิพย์(มองเห็นได้ด้วยตาใน)จนเห็นว่าบรรลุขั้นทิพยจักศุแล้วจึงปรากฏเป็นกายธรรมมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อและสามารถใช้ผัสสะจับต้องได้โดยที่ผู้ศึกษาไม่ถึงจะตู่ว่าเป็นองค์จริงแทบร้อยทั้งร้อยนั้นคือความไม่รู้จริงแล้วคิดว่ารู้สำหรับสำหรับเรื่องนี้พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว มหาอุปราชแห่งพระราชวังหน้าก็มิได้ทราบความจริงเท่าใดนักเพียงแต่กล่าวกันว่าพระองค์เจ้ายอดยิ่งยศมักจะหายไปคราวหนึ่งๆประมาณ 15–20 วัน คงมีแต่เจ้าจอมมารดาเอมซึ่งเป็นพระชนนีที่ทราบความเป็นไปและในการที่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญเสด็จทิวงคตด้วยโรควักกะ (ไต) พิการในปีพ.ศ.2428นั้นท่านมิได้ทิวงคตจริงแต่บรมครูพระเทพโลกอุดรหรือหลวงปู่ดำพาไปอยู่ด้วยและเสกใบพลูแทนตัวไว้เรื่องออกจะเหลือเชื่อแต่ก็น่าเชื่อเพราะปรากฏหลักฐานยืนยันจากท่านอาจารย์ชาญณรงค์ศิริสมบัติหรือท่านอภิชิโตภิกขุได้ไปพบท่านวังหน้าที่สำนักโลกอุดรแต่ไม่ใช่ถ้ำวัวแดงอย่างที่เล่าลือกันท่านวังหน้า กับ ท่านอาจารย์แจ้งฌาณ 2 รูปเป็นพี่เลี้ยงถ่ายทอดวิชาให้ท่านอภิชิโต มักเรียกว่าครูฝึกโดยปกติหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรจะมิได้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้โดยตรงต่อเมื่อเรียนจบขั้นหนึ่งๆแล้วท่านจะต้องทอสอบความรู้และรับรองให้เรียนขั้นสูงต่อไปปัจจุบันท่านวังหน้ายังดำรงชีวิตอยู่ประมาณ 150 ปีเศษ ท่านรู้จักผมดีเรียกผมว่า"โยมประถม"ท่านอภิขิโตได้ให้ช่างวาดภาพท่านวังหน้าด้วยถ่านเครยองมองเห็นครั้งแรกเกิดความสนใจคิดว่าเป็นภาพหลวงปู่ใหญ่เพราะเป็นภาพของบรรพขิตแต่กลับเป็นภาพของท่านวังหน้าส่วนภาพที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้เป็นเพียงภาพของพระอิเกสาโรหรือหลวงปู่โพรงโพ พระโลกอุดรองค์ที่ 3 เคยมีผู้นำภาพถ่ายขนาดเล็กมาให้ชมท่านเขียนเป็นภาษาขอมว่า"ไตรโลกอุดร"หมายถีงพระโลกอุดรองค์ที่ 3 ผมเคยเรียนถามหลวงปู่ว่าในการอธิษฐานจิตพระพิมพ์โลกอุดรกรุแรกซึ่งบรรจุในเจดีย์วัดบวรสถานสุธาวาส หรือวัดพระแก้ววังหน้าหลวงปู่ได้มาในสภาพของกายทิพย์ หรือกายธรรมท่านตอบว่าท่านอยู่ในรูปแห่งกายธรรมถามท่านว่าปัจจุบันเหตุใด ท่านไม่เสด็จมาในรูปกายธรรมอีกท่านหัวเราะตอบว่าคนเราในสมัยปัจจุบันไม่เหมือนกับคนในสมัยก่อน<O:p</O:p

    http://palungjit.org/showthread.php?t=22445
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://palungjit.org/showthread.php?t=22445

    บุคลิกภาพและจริตแห่งพระโลกอุดร<O:p</O:p

    พระโลกอุดรทั้ง 5 พระองค์ท่านไม่ใช่คนไทยเป็นชาวเนปาลแต่ละองค์มีจริตและบุคลิกภาพแตกต่างกันผู้ที่อวดรู้เห็นยากที่จะเข้าใจได้ว่าเป็นพระโลกอุดรองค์ไหนดีไม่ดีไปพบหลวงปู่แจ้งฌานว่าที่พระโลกอุดรเข้าก็อาจเป็นได้หลวงปู่ท่านนี้ได้อภิญญาโลกีย์และเป็นพระสำเร็จชอบท่องเที่ยวไปทุกหนทุกแห่งนอกจากท่านอภิชิโตภิกขุแล้วยากที่ผู้อื่นจะดูออกท่านอภิชิโตมักจะสัพยอกครูฝึกว่านี่คนหรือผีกันแน่เห็นมากี่สิบปีร่างกายก็คงเดิมไม่แปรเปลี่ยน"สมัยยังมีการใช้รถราง บางครั้งก็จ๊ะเอ๋กันในรถก็ยังเคยถามท่านอภิชิโตว่าตามที่เขาลือกันว่าหลวงปู่สุขวัดปากคลองและหลวงพ่อเงินวัดบางคลานซึ่งเป็นสานุศิษย์สายโลกอุดรไม่มรณะภาพจริงอาจารย์เคยพบบ้างไหมท่านตอบว่าไม่เคยพบเป็นอันแสดงว่าสายของพระโลกอุดรมีอยู่หลายสายด้วยกันและยังแยกออกเป็นสายในดงและสายนอกดงสายในดงคือไปศึกษาความรู้จากองค์ท่านสายนอกดงนำมาสอนกันสืบต่อไปอาจเป็นทั้งฆราวาสและบรรพชิตเช่นอาจารย์พัวแก้วพลอย อาจารย์ฉลอง เมืองแก้ว อาจารย์ชมสุคันธรัตเป็นต้นพยายามศึกษาให้แตกฉานนะครับอย่าเขียนเรื่องเรื่อยเปื่อยจะเป็นบาปหลวงปู่ท่านเคยตำหนิว่ามีชายแก่นำชื่อท่านไปขายถามว่าเป็นตัวผมหรือเปล่าท่านว่าไม่ใช่ ที่ผมทำไปนั้นถูกต้องแล้ว<O:p</O:p
    องค์ที่หนึ่งพระอุตรเถระหรือหลวงปู่ใหญ่ คือบรมครูเทพโลกอุดรลักษณะรูปร่างสันทัดผิวกายค่อนข้างดำคล้ำจึงมีฉายาว่า หลวงพ่อดำมีจิตเยี่ยงพระโพธิสัตว์เจ้าบรรลุอภิญญาหกแ่ต่ในบทสวดกล่าวว่าเตวิชโชคือวิชชาสามซึ่งไม่น่าจะเกี่ยวกับปฏิสัมภิทาญาณแต่ในบทสวดก็กล่าวว่าท่านบรรลุซึ่งปฏิสัมภิทาญานเช่นกันท่านได้วางหลักสูตรในการฝึกสมาธิซึ่งเรียกว่าวิทยาศาตร์ทางใจมิใช่วิชาไสยศาสตร ์และมิใช่มายากลศิษย์ในดงนอกดงสามารถแปรธาตุได้เช่นหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน หลวงพ่อปานวัดคลองด่านหลวงปู่สุขวัดปากคลองท่านอภิชิโตภิกขุอาจารย์พัวแก้วพลอยอาจารย์ฉลองเมืองแก้วหลวงพ่อแช่มวัดตาก้อง ฯลฯเป็นต้นท่านเชี่ยวชาญในวิชาแพทย์ท่านเชี่ยวชาญในวิชาแพทย์และเภสัชกรรมใจดีประกอบด้วยเมตตามีอารมณ์ขันหากจะกล่าวถึงหัวหน้าคณะพระธรรมฑูตซึ่งเดินทางมาเผยแพร่พระพุทธศาสนายังสุวรรณภูมิแหลมทองคงได้แก่พระโสณเถระซึ่งท่านเป็นน้องชาย ซึ่งเป็นน้องชายพระอุตรแต่บรรลุอรหันต์ก่อนพี่ชายบทบาทของพระอุตรเถระจึงไม่ค่อยมีปรากฏและพระโสณเถระก็บรรลุปฏิสัมภิทาญาณเช่นกันมิฉะนั้นจะสอนศาสนาแก่คนต่างชาติได้อย่างไรปฏิสัมภิทาญาณสี่มีดังนี้<O:p</O:p
    1. อัตถปฏิสัมภิทาคือความแตกฉานในอรรถเข้าใจถืออธิบายอรรถแห่งภาษิตให้พิศดาร และ เข้าใจคาดคะเนล่วงหน้าถึงผลอันจักมีเข้าใจผล<O:p</O:p
    2. ธรรมปฏิสัมภิทาคือความแตกฉานในธรรมเข้าใจถือเอาใจความแห่งอธิบายนั้น ๆตั้งเป็นกระทู้หรือหัวข้อขึ้นได้สาวเหตุในหนหลังให้เข้าใจเหตุ<O:p</O:p
    3. นิรุตติปฏิสัมภิทาคือความแตกฉานในภาษาและรู้จักใช้ถ้อยคำตลอดจนรู้ถึงภาษาต่างประเทศ<O:p</O:p
    4. ปฏิภาณสัมภิทาความแตกฉานในปฏิภาณมีไหวพริบเข้าใจทำให้สบเหมาะในทันทีหรือในเมื่อเหตุเกิดขึ้นโดยฉุกเฉินหรือกล่าวตอบโต้ได้ทันท่วงที<O:p</O:p
    ท่านมีสภาวะจิตที่รวดเร็วมากเพียงนึกถึงท่านท่านจะบอกให้นิมิต "เมื่อเจ้าต้องการพบเรา เราก็มาเรามาจากทางไกลด้วยความรวดเร็วยิ่งในการตรวจพพิมพ์ของท่านซึ่งผมก็ไม่ทราบว่าท่านเป็นบรมครูพระเทพโลกอุดรท่านอภิชิโตภิกขุมอบให้เป็นสมบัติบอกว่าอาจารย์ท่านคือหลวงปู่ดำเสกให้เคยทดลองให้ท่านอาจารย์วิเชียรคำไสสว่างชีปะขาวผู้ทรงคุณกำหนดจิตดูท่านอาจารย์บอกว่าพระนี้ว่องไวและรวดเร็วยิ่งต่อมาเพื่อเป็นการพิสูจน์ทดสอบได้นำพระพิมพ์ที่ว่านำไปตรวจสอบกับพระพิมพ์โลกอุดรกรุวังหน้าปรากฏว่าเหมื่อนกันทุกประการ<O:p</O:p
    องค์ที่สองพระโสณเถระหรือหลวงปู่ตีนโต รูปกายสูงใหญ่ผิวดำทรงคุณสมบัติเช่นองค์ที่หนึ่งเว้นวิชาแพทยใจดี<O:p</O:p
    เยือกเย็นประกอบด้วยเมตตาธรรมชอบผาดโผนเหินฟ้านภาลัยโขดเขินเนินไศลเป็นที่สัญจร<O:p</O:p
    องค์ที่สามพระมูนียะหรือพระอิเกสาโร หลวงปู่โพรงโพหลวงปู่เดินหนล้วนเป็นองค์เดียวกันมีบุคลิกภาพอันสง่างามปรากฏตามภาพซึ่งใช้บูชากันอยู่ในปัจจุบันเชี่ยวชาญในวิชาแปรธาตุเป็นผู้คงแก่เรียนชอบเจริญอศุภกรรมฐาน 10 มักสร้างรูปบูชาเป็นโครงกระดูกพูดน้อยค่อนข้างเคร่งขรึมคล้ายดุแต่ก็ไม่ดุเป็นอาจารย์หลวงพ่อเงินบางคลาน หลวงปู่สุขวัดปากคลองห่มจีวรสีหมองคล้ำหากปรากฏภาพในนิมิตมักจะปรากฏเส้นเกสายาวจรดเอวทีเดียวแสดงว่าอิเกสาโร” (เกสาแปลว่าเส้นผม)ท่านมีบทบาทไม่น้อยตามความรู้สึกน่าจะมีบทบาทมากกว่าองค์อื่นๆด้วยซ้ำไป<O:p</O:p
    องค์ที่สี่พระณานียะฉายาหลวงปู่ขรัวขี้เถ้าเป็นพระอาจารย์ของหลวงพ่อแช่มวัดตาก้องจังหวัดนครปฐมท่านมีรูปกายค่อนข้างสูงใหญ่ขนตาดกยาวแปลกกว่าองค์อื่นมีอำนาจ แต่ขี้เล่นใจดีนิมิตไม่แน่นอนอาจเป็นรูปพระภิกษุ ท่านจะชื่ออะไรไม่ทราบแต่แปรธาตุเสกใบมะม่วงเป็นกบนำพร่ายำเลี้ยงสานุศิษย์เลยเรียกกันว่าหลวงพ่อกบท่านมาสร้างบารมีต่อปริศนาธรรมคือขรัวขี้เถ้าเผาแหลกมีอะไรเผาหมด แบบเถ้าสู่เถ้าผงคลีสู่ผงคลีดินจะใหญ่สักปานใดมันก็ไม่พ้นจากความเป็นขี้เถ้าหรอกที่สุดก็มรณะภาพและศิษย์นำใส่โลงศพรอวันเผาหลวงปู่เกิดหายไปไร้ร่องรอยเลยไม่มีการฌาปนกิจศพ<O:p</O:p
    องค์ที่ห้าพระภูริยะหลวงปู่หน้าปานบางคนก็เรียกท่านว่าหลวงปู่แก้มแดงเคยเรียนถามท่านอภิชิโตภิกษุท่านบอกว่าขรัวหน้าปานองค์นี้สำเร็จปรอทล่องหนย่นทางเก่งถ้าท่านเอาลูกปรอทอมทางซึกซ้ายแก้มซ้ายจะแดงถ้าเปลี่ยนเป็นอมทางแก้มขวาทางด้านขวาจะแดงจึงเกิดถกเถียงกันไม่รู้จบท่านเป็นสหธรรมิกกับหลวงปู่ขรัวขี้เถ้ามาสร้างเสริมบารมีในระยะเวลาเดียวกันโดยอาศัยร่างท่านมหาชวนหรือหลวงพ่อโอภาสีแห่งอาศรมบางมดท่านเป็นภิกษุทรงศีลเมื่อมีผู้ซักถามท่านก็บอกตามตรงว่าพระมหาชวนได้ตายไปแล้วอาตมาเป็นพระสำเร็จมาอาศัยร่างสร้างบารมีต่อ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วิธีบูชาพระบรมครูพระเทพโลกอุดร<O:p</O:p

    จะเป็นภาพถ่ายหรือรูปหล่อของหลวงปู่ท่าน หรือพระพิมพ์ที่หลวงปู่ท่านได้อธิษฐานจิตไว้ย่อมใช้ได้ทั้งสิ้น หลวงปู่ท่านโปรดผู้ประพฤติอยู่ในศีลธรรม ชอบอาหารมังสะวิรัติ ชอบฟังคำสวดยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก ชอบบูชาด้วยดอกมะลิสด น้ำฝน 1 แก้ว เทียนหนักหนึ่งบาท 1 คู่ ธูปหอม 5 ดอก (คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้าหรือหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปานหรือหลวงพ่อโอภาสี วัดโอภาสี บางมด) ) การปฏิบัติธรรมสังวรณ์ในกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ประกอบด้วยศีล 5 เป็นอย่างน้อย ย่อมเป็นสิ่งพึงพอใจของหลวงปู่และทั้งยังให้ความสุชความเจริญทั้งคดีโลกและคดีธรรมแก่ผู้ปฏิบัติ

    สำหรับพิมพ์อรหันต์ พิมพ์ปิดตา และพิมพ์มหากัจจายนะซึ่งเป็นองค์เดียวกันแต่ปางต่างกันหากจะอาราธนาอย่างพิศดารก็ย่อมกระทำได้ กล่าวคือพิมพ์อรหันต์ใหญ่ พิมพ์อรหันต์กลางและพิมพ์อรหันต์น้อย อยู่ในหมวดพระมหากัจจายนะรูปงามซึ่งเป็นรูปเดิมก่อนการอธิษฐานวรกายให้ต่อท้ายด้วยคาถาดังนี้

    พิมพ์อรหันต์
    อรหันติกัจจายนะเถโร มหาโภโค มหาลาโภ รูปะวะระเชยยะสิทธิเม
    (เชยยะ อ่านว่า ไชยะ ; รูปะวะระ แปลว่า รูปงาม)
    *** โลกุตตะโร ปัญจะ มหาเถโร อะหัง วันทามิตัง สะทา อรหันติกัจจายนะเถโร มหาโภโค มหาลาโภ รูปะวะระเชยยะสิทธิเม ***

    สำหรับสำหรับพิมพ์พระปิดตาซึ่งเป็นปางอธิษฐานวรกายให้สวดพระคาถา โลกุตตะโร ปัญจะ มหาเถโร อะหัง วันทามิตัง สะทา แล้วต่อท้ายด้วยพระคาถาต่อไปนี้
    พิมพ์พระภควัมปติ(ปิดตา)
    ควัมปติ จะ มหาเถโร มหาโภโค มหาลาโภ เชยยะสิทธิเม
    *** โลกุตตะโร ปัญจะ มหาเถโร อะหัง วันทามิตัง สะทา ควัมปติ จะ มหาเถโร มหาโภโค มหาลาโภ เชยยะสิทธิเม ***

    สำหรับพิมพ์พุงพลุ้ยที่นิยมเรียกกันว่า พระสังกัจจายน์ คำนี้ไม่มีศัพท์นี้ในภาษาบาลี ที่ถูกต้องคือ พระมหากัจจายนะ เถระเจ้าอัน
    เป็นปางหลังจากที่นิมิตวรกายแล้ว ให้สวดพระคาถา โลกุตตะโร ปัญจะ มหาเถโร อะหัง วันทามิตัง สะทา แล้วต่อท้ายด้วย พระคาถาต่อไปนี้
    อรหันติกัจจายนะเถโร มหาโภโค มหาลาโภ เชยยะสิทธิเม
    ***โลกุตตะโร ปัญจะ มหาเถโร อะหัง วันทามิตัง สะทา อรหันติกัจจายนะเถโร มหาโภโค มหาลาโภ เชยยะสิทธิเม ***
    จะเห็นว่าตัดเอาคำว่า รูปะวะระออกไปเพราะสิ้นความงดงามแล้ว

    พระพิมพ์ของคณะพระเทพโลกอุดรนั้นทุกรูปแบบทุกพิมพ์ทรงมีอานุภาพครอบจักรวาล อาราธนาทำน้ำมนต์ประสิทธิ์ยิ่งนัก โดยให้นำเอาพระแช่ในภาชนะที่บรรจุน้ำเรียบร้อยแล้ว บูชาด้วยดอกไม้ จุดธูปเทียน แล้วอธิษฐานตามความมุ่งหมาย เสร็จแล้วให้รีบนำพระขึ้นเช็ดน้ำด้วยสำลีหรือผ้าสะอาด ผึ่งลมให้แห้งก่อนนำไปบรรจุตลับ องค์พระจะไม่ละลายลบเลือนและไม่ควรแช่ในน้ำนานเกินควร จงทะนุถนอมให้จงดี เพราะหาไม่ได้อีกแล้ว

    สำหรับท่านที่มีพระอันเป็นทิพยสมบัติอันทรงคุณค่า โดยได้รับสืบทอดมาจากบรรพชนหรือได้รับจากทางใดทางหนึ่งก็ตาม เสมือนมีแก้วสารพัดนึกอยู่กับตัว ไม่จำเป็นต้องขวนขวายในอิทธิวัตถุอื่นอีก<O:p</O:p

    วิธีบูชาพระบรมครูพระเทพโลกอุดร

    คำบูชาบรมครูพระโลกอุดร
    นะโมตัสสะภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ฯลฯ ( 3 จบ )<O:p</O:p
    โย อะริโย มะหาเถโร อะระหัง อะภิญญาธะโร ปฎิสัมภิทัปปัตโต เตวิชโช พุทธะสาวะโก พะหู เมตตาทิวาสะโน มะหาเถรา นุสาสะโก โส โลกุตตะโร นาโม อัมเหหิ อะภิปูชิโต อิฐะ ฐานูปะมาคัมมะ กุสะเล โน นิโยชะเย ปุตตะเมวะ ปิยัง เทสิ มัคคะผะลัง วะ เทสสะติ ปะระมะสาริกะธาตุ วะชิรัญจา ปิวานิตัง โส โลเก จะ อุปปันโน เอเกเนวะ หิตังกะโร อะยัง โน โข ปุญญะลาโภ อัปปะมัตโต ภะเวตัพโพ สาธุกันตัง อะนุกะริสสามะ ยัง เวเรนะ สุภาสิตัง โลกุตตะโร ปัญจะ มหาเถโร เทวะตา นะระปูชิโต โลกุตตะระคุณัง เอตัง อะหัง วันทามิ ตัง สะทา มะหาเถรา นุภาเวนะ สุขัง โสตถี ภะวันตุ เม

    บทสวด แบบย่อหรืออาราธนาพระพิมพ์ (ได้ทุกทรงพิมพ์)<O:p</O:p
    โลกุตตะโร ปัญจะ มะหาเถโร อะหัง วันทามิ ตัง สะทา
    หรือภาวนา ๓ จบ , ๗ จบ , ๙ จบ (เช้า-เย็น ตื่นนอนและก่อนนอน)<O:p</O:p
    โลกุตตะโร ปัญจะ มะหาเถโร อะหัง วันทามิ ตัง สะทา เมตตาลาโภ นะโสมิยะ อะหะพุทโธ

    หมายเหตุ : บทความที่นำมาเสนอนี้ได้รับการอนุญาตในการคัดลอกและเรียบเรียงเพื่อเผยแพรเป็นวิทยาทานจากท่าน อาจารย์ ประถม อาจสาครเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นับเป็นพระคุณและความกรุณาอย่างยิ่ง<O:p</O:p

    ผมขอเสริมนะครับ ท่านสามารถอาราธนาเป็นภาษาไทย ได้นะครับ ถ้ายังจำบทสวดของท่านไม่ได้ครับ

    ท่านที่ห้อยพระหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ที่ท่านเมตตาเสกให้นั้น หากมีความจำเป็นที่ต้องไปในสถานที่อโคจรทั้งหลาย ผมมีบทสวดที่ใช้ในการนี้มาฝากทุกท่านครับ

    ก่อนที่จะเข้าไปในสถานที่อโคจรให้สวด อิติภะคะโว
    กลับออกมาจากสถานที่อโคจรให้สวด โสภะคะวา

    หรือก่อนที่จะเข้าไปในสถานที่อโคจรให้สวด อะระหัง
    กลับออกมาจากสถานที่อโคจรให้สวด หังระอะ

    ห้ามนำบทความประวัติหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร และคำบูชาไปเป็นการค้าทั้งทางตรงและทางอ้อม จนกว่าจะได้รับอนุญาตจากท่านอาจารย์ประถม อาจสาครเป็นลายลักษณ์อักษร และรูปต้องขออนุญาตกับอ.จเรแห่งบ้านดวงธรรมเป็นลายลักษณ์อักษรครับ
    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ธันวาคม 2007
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    อนุโมทนากับท่านผู้รู้ทุกท่านครับ
    ข้อมูลละเอียดเลยครับ
     
  12. sarantip

    sarantip Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2008
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +88
    อนุโมทนาสาธุค่ะ

    ขอบคุณ
    คุณ sithiphong<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_887997", true); </SCRIPT> มากๆค่ะ
    ที่ได้ให้ข้อมูลดีๆ ไว้ประดับสติปัญญาค่ะ
     
  13. tawatd

    tawatd เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    506
    ค่าพลัง:
    +2,019
    ขอบคุณทุกท่านที่กรุณาแบ่งปันความรู้
     

แชร์หน้านี้

Loading...