เทศนาหลวงตามหาบัว เรื่อง พระอรหันต์มีธรรมซักฟอกกระดูกให้แปรเป็นอัฐิธาตุใด้

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย แดนโลกธาตุ, 7 กันยายน 2006.

  1. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    [​IMG]

    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
    เจดีย์บรรจุพระธาตุพระอรหันต์



    ครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่เป็นเพชรน้ำหนึ่งๆ นี้มีน้อยเมื่อไรปัจจุบันนี้ เวลาท่าน มรณภาพลงไปแล้ว อัฐของท่านกลายเป็นพระธาตุๆ มีเยอะ เก็บสงวนเอาไว้บูชา ถึงกาลเวลาแล้วจะอาราธนาท่านไปรวมองค์อยู่ที่วัดอโศการาม ให้พี่น้องชาวไทยชาวพุทธเราได้กราบไหว้บูชาสดๆ ร้อนๆ บรรดาพระอรหันต์ทั้งหลายที่มารวมอยู่ที่วัดอโศการาม เราจึงได้อุตส่าห์พยายาม งานนี้ให้ก้าวเดินตลอด เราบอก ไม่ให้มีเรื่องหยุดชะงักเรื่องการเงินการทอง เราจะเทิดทูนท่านเต็มหัวใจ เราว่างั้น เราอยากให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์วิเศษได้ปรากฏในท่ามกลางแห่งกรุงสยามของเรา คือวัดอโศการาม ด้วยพระธาตุของครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่เป็นเพชรน้ำหนึ่งๆ มาประดิษฐานอยู่ที่นั่น


    องค์หนึ่งที่ไปมรณภาพอยู่เมืองกาญจน์ (ชื่ออาจารย์เสถียรครับ) เออ พระเสถียรที่อยู่ติดต่อกับพม่า เมืองกาญจน์นะ นี่ท่านสั่งไว้เลย เห็นไหมล่ะ ความแน่ใจของท่าน ก่อนที่ท่านจะตายท่านสั่งไว้เรียบร้อยเลย อัฐิของท่านจะเป็นพระธาตุแน่นอน บอกไว้เลย แล้วก็เป็นพระธาตุ แล้วเป็นพระธาตุมีแปลกๆ ไหม (เป็นครับ ใสเป็นกระจกเลยครับ) ก็อย่างนั้นแหละ เราสืบทราบและสืบเสาะมานี้ ท่านอยู่อุดรนะฟังว่า แล้วท่านไปยังไงๆ จึงไปอยู่ที่เมืองกาญจน์ (ธุดงค์ไปแหละครับ) แต่ครั้นรวมแล้วก็ไม่พ้นที่อยู่ของท่านมีแต่เทปเรา อย่างนั้นนะ เทปเราทั้งนั้น มีตั้งแต่เทปหม้อเล็กหม้อจิ๋ว อย่างนั้นละท่านปฏิบัติ ท่านสั่งเสียไว้เลยว่าเวลาท่านตาย สั่งเสียเกี่ยวกับร่างกายของท่าน เวลาท่านตายแล้วอัฐิของท่านจะเป็นพระธาตุ ดูว่าเป็นแก้วเป็นอะไรก็มี นี่องค์หนึ่ง


    คือบรรดาพระท่านที่อัฐิกลายเป็นพระธาตุแล้วนั้น เราจะพยายามหามา อาราธนาท่านมารวมอยู่ที่วัดอโศการามเรา ให้เป็นจุดศูนย์กลาง ภาคกลางด้วย ท่าม กลางแห่งประเทศไทยด้วย บรรจุพระธาตุท่านไว้ที่นั่นเลย พระธาตุนี่มีช้ามีเร็วต่างกัน องค์ใดที่ท่านปฏิบัติรู้ธรรมแบบขิปปาภิญญา คือรู้อย่างรวดเร็วแล้วนิพพานไปเสีย อย่างนี้อัฐิของท่านจะกลายเป็นพระธาตุช้า องค์ที่บำเพ็ญไปๆ ตั้งแต่สมาธิ ปัญญา เรื่อยไปอย่างเชื่องช้า ไปอย่างสม่ำเสมอ พอท่านมรณภาพไปแล้ว อัฐิของท่านจะกลายเป็นพระธาตุได้เร็วๆ


    ความช้าหรือเร็วของพระธาตุขึ้นอยู่กับใจที่บริสุทธิ์ช้าเร็วเท่าไร ถ้าใจบริสุทธิ์แล้วครองขันธ์อยู่นาน พอท่านมรณภาพไป อัฐิของท่านจะกลายเป็นพระธาตุอย่างเร็ว คือท่านครองขันธ์อยู่นาน การครองขันธ์ของท่านนั้น จิตของท่านที่บริสุทธิ์แล้วจะซักฟอกธาตุขันธ์ของท่านเอง เป็นเอง ซักฟอกอยู่ในนั้นๆ ในตัว ยิ่งเวลาท่านเข้าพักสมาธิสมาบัติของท่าน เช่นภาวนานี่ อันนี้ร้อยเปอร์เซ็นต์ กระแสของจิตอยู่นี้หมด จิตดวงนี้ฟอกตลอด ซักฟอกตลอด ถ้าผู้ครองขันธ์อยู่นานนี้เป็นอย่างรวดเร็ว ถ้าบรรลุธรรมอย่างรวดเร็วแล้วก็นิพพานไปเสียรวดเร็วเหมือนกัน อันนี้อัฐิจะกลายเป็นพระธาตุช้าๆ เรื่องเป็น-เป็น หากช้าหรือเร็วต่างกัน


    จิตที่บริสุทธิ์อยู่ในขันธ์นี่เป็นหลักธรรมชาตินะ จิตที่บริสุทธิ์เป็นพื้นฐานการซักฟอกธาตุขันธ์ที่อยู่ในความรับผิดชอบของจิตโดยหลักธรรมชาติ ก็เป็นหลักธรรมชาติฟอกอยู่ในตัวนั้นแหละ ฟอกอยู่ในตัว เวลาท่านเข้าสมาธิสมาบัติภาวนานี้ก็ยิ่งฟอกร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ซักฟอกอยู่ในนั้นร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นอัฐิของท่านกับอัฐิของคนเราทั่วไปจึงต่างกัน ต่างกันที่จิตบริสุทธิ์ จิตที่บริสุทธิ์นี้ซักฟอกธาตุขันธ์ให้เป็นธาตุขันธ์ที่บริสุทธิ์ไปตามส่วนของธาตุซึ่งเป็นด้านวัตถุ ต่างกันอย่างนี้ เรื่องธรรมเป็นอกาลิโก เป็นพื้นฐานตลอดเวลาที่จะรับ สำหรับภาชนะได้แก่จิตใจของผู้ปฏิบัติใคร่อรรถใคร่ธรรม นี้เป็นภาชนะที่จะรับรองธรรมอยู่ตลอดเวลา ธรรมนี้มีมาดั้งเดิมตั้งกัปตั้งกัลป์ กี่กัปกี่กัลป์มีมาดั้งเดิม ภาชนะคือจิตแต่ละดวงๆ จะเข้ารับรองธรรมอันนี้ได้มากน้อยเพียงไร ขึ้นอยู่กับอำนาจหรือวาสนาบุญญาภิสมภารของผู้บำเพ็ญ เมื่อเข้าถึงขีดสุดแล้วก็เป็นธรรมธาตุด้วยกัน ธรรมชาตินั้นเรียกว่าธรรมธาตุ หรือนิพพาน เรียกว่าสอุปาทิเสสนิพพาน สิ้นกิเลสแล้วแต่ยังครองขันธ์อยู่ รับผิดชอบธาตุขันธ์ซึ่งเป็นส่วนสมมุติอยู่เท่านั้น

    ธรรมพระพุทธเจ้านี้เลิศเลอ พูดนี้มันอดไม่ได้นะเพราะอำนาจแห่งความเมตตากับพี่น้องทั้งหลายไม่ใช่อะไร ใครอย่ามาคิดนะว่าหลวงตาพูดมีเจตนาโอ้อวด เรียกว่าเม็ดหินเม็ดทรายไม่มี มีแต่ความเมตตาล้วนๆ ไปที่ไหนเป็นอย่างนั้นตลอดเลยนะ วิ่งรถไปตามทางเห็นเขาขายของอยู่ตามทาง จอดรถให้ถามดู ขายมีอะไรบ้าง หยิบเอาสักชิ้นหนึ่งสองชิ้นแล้วให้เงินเขา จะให้เงินจำนวนเท่าไรก็ให้แล้วไป เท่านั้นละ มันเป็นอย่างนั้นอยู่ในจิตนี้ ธรรมชาตินี้มันจ้าครอบโลกธาตุอยู่แล้ว พูดให้มันชัด ๆ อย่างนี้นะ แล้วอันนี้เป็นกระแสของเมตตาไปด้วยกันด้วย เลยอ่อนนิ่มไปหมด

    จึงว่ากิริยาของจิตที่บริสุทธิ์แล้วออกมาทางธาตุทางขันธ์อะไร ไม่เป็นภัยต่อผู้ใด ว่าอย่างนั้นเถอะ ไม่เป็น เอาไม้หวดหมาก็ไม่เป็น ทำไมจึงไม่เป็น ไม่เห็นไอ้ปุ๊กกี้มันร้องนี่นะ ไอ้ปุ๊กกี้กับไอ้หมี ไอ้ปุ๊กกี้มันตัวสำคัญมันมักจะรังแกไอ้หมี ไอ้หมีไม่ถือสีถือสาถือเป็นเด็ก ทีนี้อยู่ๆ ไปแว้ดอะไรมัน มันก็โว้กว้ากขึ้นตรงนั้นซีไอ้หมีมันเจ็บ เอาไม้เรียวเราก็บอก เรียกผู้กำกับเอาไม้เรียวมา ไปจับไอ้ปุ๊กกี้มันรังแกเขา มันวิ่งๆ ไปเอามาให้ได้ อุ้มมาเลย เอาวางตรงนี้ ไม้เรียวหวดใส่เสียเปรี้ยะๆ เจ็บอยู่นะ ใส่เปรี๊ยะๆ นิ่งเลย จับไอ้หมีมา ฟาดไอ้หมีสามหน เพราะไอ้หมีมันบันดลบันดาลให้มันโมโห ไอ้นี่เป็นตัวยุ่ง เอาเสียสี่หน ตีแล้วเงียบเลย

    เราพูดเรื่องอะไรมาหาหมาลืมแล้วนะ (ความเมตตาครับ) เมตตาหมาก็ยังหวดได้ มันก็เจ็บ คือเจ็บเพื่อมันจะเข็ดหลาบ ตั้งแต่นั้นมาไม่มีอะไรกันนะ พอเฮ่อนี้วิ่งหนีเลย เขารู้แล้วว่าไม้เรียวจะมา อย่างนั้นแหละสอนหมา มันพูดอะไรมาหาหมา (ไม้เรียวก็เมตตาค่ะ) ไม้เรียวก็เมตตามันมีได้เหมือนกัน อย่างหวดไอ้ปุ๊กกี้กับไอ้หมีเห็นต่อหน้าต่อตา หวดก็หวดด้วยความเมตตา หวดให้มันเข็ด อย่ามาทำกันอย่างนี้ใช้ไม่ได้ แล้วมันเข็ดนะไม่อะไรกัน พอเห่อๆ นี้วิ่งเลย เขารู้ผิด พอเห่อนี้เขารู้ทันทีวิ่งหนี เขาเข็ดเข้าใจไหม หมายังเข็ด คนไม่เข็ด หวดเท่าไรมันก็ไม่เข็ดพวกนี้นะ ไม่ทราบอะไร ถ้าอย่างนั้นก็สู้ไอ้หมีกับไอ้ปุ๊กกี้เราไม่ได้ พวกอยู่ในศาลานี้ เอายอมรับหรือไม่ยอมรับ ตรงไหนที่ยอมรับต้องยอมรับเขาซี ตรงไหนเข็ดก็บอกว่าเข็ด ถ้ายังไม่ยอมรับแล้วแสดงว่าสู้หมาไม่ได้

    ขอให้พี่น้องทั้งหลายเราที่เป็นชาวพุทธ ให้ตื่นเนื้อตื่นตัวเข้าสู่อรรถสู่ธรรมนะ บ้านเมืองเราจะมีความสงบร่มเย็น ถ้าปล่อยให้กิเลสออกหน้าอยู่นี้จะเป็นไฟกันทั่วโลกเลย ไม่มีทางที่กิเลสจะพาโลกให้มีความสงบร่มเย็น มีแต่ธรรมเท่านั้น ธรรมลงไปตรงไหนเหมือนน้ำดับไฟ สาดลงไปตรงไหนเปลวมันยุบลงๆ เลยละ กิเลสตัณหาเป็นไฟอยู่ภายในจิตใจ แดงโร่อยู่นั้น บ้านนั้นเจริญบ้านนี้เจริญ มันอยากหัวเราะนะพูดจริงๆ ก็หัวใจนี้มันดูอยู่หมดนี่จะว่าไง มันเจริญที่ไหน

    ใหญ่เท่าไรยิ่งเป็นไฟกองใหญ่อยู่นั้น พูดให้มันชัดเจนอย่างนี้ละ ใหญ่เท่าไร ปรากฏชื่อลืมนามที่ยกยอกันก็มีแต่กิเลสยกยอกัน ขี้ยกยอขี้ว่าอย่างนั้นเถอะ มันฟังไม่ได้ สายตาของธรรมดูเข้าไปมันรู้หมดนี่ ไม่อย่างนั้นศาสดาองค์เอกจะมีในโลกได้เหรอ ถ้าไม่เหนือโลกมีได้อย่างไร ต้องเหนือโลกทุกอย่าง มองเห็นหมด จึงว่า โลกวิทู ละซิ เพียงตัวเท่าหนูมันก็รู้จะว่าไง ไม่ใช่คุย เราพูดตามความจริงที่มีอยู่ในหัวใจเรา นอกจากจะนำมาพูดบ้างไม่พูดบ้าง อะไรที่พอจะเป็นประโยชน์บ้างก็นำมาพูด อะไรจะไม่เป็นประโยชน์ก็อยู่ในลิ้นชัก ไม่กดไม่ดันที่จะอยากพูดอยากคุย อย่างนั้นไม่มี

    ถ้าเหตุการณ์ที่ควรจะพูดหนักเบามากน้อย มันจะออกของมันเอง พอออกแล้วดับปุ๊บเงียบเลย ไม่มีอะไรเหลือ ธรรมเป็นอย่างนั้นนะ จึงเป็นตัวอย่างของโลกได้ จึงอยากให้พี่น้องทั้งหลายได้หันหน้าเข้าสู่ธรรม เฉพาะอย่างยิ่งที่จะเป็นประจักษ์พยานของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริงคือจิตตภาวนา ท่านทั้งหลายอย่าปล่อยนะ ให้ภาวนา ควรจะได้วันละ ๑๐นาที ใน ๒๔ ชั่วโมงขอ ๑๐ นาทีมาบำเพ็ญเพื่อจิตใจจะไม่ได้เชียวเหรอ บังคับเจ้าของบ้างซิ ๒๔ ชั่วโมง ขอเพียง ๑๐ นาที บำเพ็ญจิตในเวลาภาวนา ระงับจิต

    จิตนี่มันยุ่งตลอดเป็นไฟตลอดนะ พอภาวนาเข้าไปนี้จะค่อยระงับลงๆ ระงับอารมณ์ อารมณ์ที่เป็นฟืนเป็นไฟระงับลงๆ ด้วยธรรมคือจิตตภาวนา แล้วจิตใจจะเย็นขึ้นๆ ระงับมากเท่าไรจิตใจยิ่งเย็นสง่าผ่าเผยขึ้น แสดงฤทธิ์เดชให้เห็น ดีไม่ดีเห็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์ในเจ้าของ อุทานในเจ้าของเองนะ มันเป็นขึ้นได้ในจิต ถ้าธรรมเข้าแทรกแล้วเป็นอย่างนั้น จึงอยากให้พี่น้องทั้งหลายภาวนา นี้พูดออกมาจากหัวใจนะ ไม่ได้มาพูดปาวๆ หลอกท่านทั้งหลาย ถอดออกมาจากหัวใจเท่าที่ถอดออกมาได้เท่านั้นเอง ที่มากกว่านั้นไม่พูด

    นี่มันจวนจะตายแล้วยิ่งเป็นห่วงเป็นใยมาก ใครจะว่าอะไรไม่สนใจ อำนาจแห่งความเมตตานี้ครอบหมดเลย มีอำนาจเหนือทุกสิ่งทุกอย่างที่อะไรจะมาต้านทานได้ไม่มี สมควรจะพูดหนักเบามากน้อยเพียงไรจะออกเองทันทีๆ เลย โถ จิตดวงนี้ถึงขั้นที่วิเศษแล้วเป็นอย่างนั้นนะ อุทานนั่นละ คิดดูตั้งแต่ไปภาวนาเดือนกุมภาก็ยังเคยพูดให้ฟังแล้ว เดินจงกรมอยู่ตอนจวนสว่าง ตีนเขา ทางจงกรมมันยาวเดินจงกรม จิตนี่มันสว่างไสว ความว่างของมันก็ว่างเต็มที่ของมัน แต่ยังไม่สิ้นนะ มันว่างอยู่ในขั้นนี้ต่างหาก

    จนออกอุทานในใจ โอ้โห จิตของเราทำไมจึงอัศจรรย์ถึงขนาดนี้เชียวนา มันเป็นในใจนะ มองดูที่ไหนมันสว่างจ้าครอบไปหมดเลย ความอัศจรรย์ก็อยู่ในจิต ความสว่างไสวก็อยู่ในจิต ทำไมจิตของเราจึงได้อัศจรรย์เอามากนักหนานา นี่สายตาของธรรมท่านเห็นแล้วนะ มันยังหลงอยู่นะนี่ เพราะฉะนั้นท่านจึงเตือนขึ้นมา เตือนขึ้นมาในเวลานั้น พออันนี้สงบลงไปปั๊บ ธรรมนี้ผุดขึ้นมาเป็นคำๆ เลย นี่ละธรรมเกิดจากใจ ธรรมเกิดไม่ใช่กิเลสเกิด นี่ก็อัศจรรย์ตัวเองนะ เรียกว่ากิเลสเกิดนะนั่น

    ธรรมชาตินั้นก็ดีตามชั้นของจิตของธรรมนะ แต่จิตจะไปชมเชยว่า แหม จิตของเราอัศจรรย์ มันหลงแล้วนะนั่น เพราะฉะนั้นพระธรรมท่านจึงเตือนจุดนี้ละ ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ นั่นท่านบอกขึ้นมาเลย จุดต่อมก็คือจุดแห่งความสว่างไสวนั้นแหละ นั่นละผู้รู้อยู่ตรงนั้น อยู่ที่ไหนนั้นแลคือตัวภพ ท่านเตือนขึ้นมาเรายังจับไม่ได้นะ จนกระทั่งกลับมาเดือนหก กลับมาเขาลูกนั้นอีกที่จะมาม้วนเสื่อธรรมประเภทนี้ กลับมาคราวหลังอันนี้จึงขาดสะบั้นลงไป จ้าขึ้นมาคราวนี้ ความอัศจรรย์ตัวเองในพักก่อนในเดือนสามนั่น กับความอัศจรรย์ตัวเองในพักสุดท้ายเดือนหกนี่ มองดูแล้วมันตำหนิความสว่างไสวของตนในขั้นต้นนั่นน่ะ ว่าเป็นเหมือนกองขี้ควาย ฟังซิน่ะ

    เมื่อความสว่างอันนี้ขึ้นทับแล้วอันนั้นเหมือนกองขี้ควาย ที่เราว่าอัศจรรย์นั่นละ เป็นเหมือนกองขี้ควาย อันนี้เหนือขนาดไหน นี้เป็นธรรมชาติแท้ ธรรมชาติที่บริสุทธิ์สุดส่วนทุกอย่างแล้วครอบอันนี้ อันนั้นจึงกลายเป็นกองขี้ควายไป นี่ถึงเวลามันอัศจรรย์มันอัศจรรย์เหมือนกันนะจิตนี้นะ ถึงขั้นมันอัศจรรย์-อัศจรรย์เหมือนกัน พอเลยนั้นไปแล้วทีนี้พูดไม่ได้เลย เป็นอยู่ในจิตล้วนๆ ไปที่ไหนก็เป็นอย่างนั้น ไม่ว่าอิริยาบถใดยืนเดินนั่งนอน ธรรมชาตินั้นไม่มีอิริยาบถ เป็นธรรมธาตุ ท่านว่านิพพานเที่ยง ก็คืออันนั้นเอง จะเป็นอะไร

    ธรรมธาตุก็คืออันนั้นเอง ความบริสุทธิ์สุดส่วนคืออันนั้น ไม่มีว่ายืนเดินนั่งนอน อิริยาบถสี่เปลี่ยนแปลงไปอย่างนี้ไม่มีธรรมชาตินี้ คงเส้นคงวาหนาแน่นจึงเรียกว่านิพพานเที่ยง เที่ยงอยู่ที่หัวใจ ไม่ต้องไปถามใครรู้เอง พระพุทธเจ้าประทานไว้แล้วว่า สนฺทิฏฺฐิโก ไปทูลถามพระองค์หาอะไร นี้เป็นธรรมสุดยอดแล้วสนฺทิฏฺฐิโก ขอให้ปฏิบัติไปซี คำพูดเช่นนี้เราก็ไม่เคยมาพูด ก็มันไม่รู้พูดได้อย่างไร เมื่อเวลารู้แล้วปิดไม่อยู่ อย่างที่เทศน์สอนโลกอยู่เวลานี้ไม่เคยสะทกสะท้านกับผู้ใดว่า จะมาคัดค้านต้านทานว่าเทศน์อย่างนั้นผิดไปๆ อย่างมากก็มีแต่บอกว่า เอาๆ ถามมา อย่างที่เขายกโทษพวกเปรตพวกผีปากอมขี้ มันมายกโทษว่าหลวงตาบัวอวดอุตริมนุสธรรม จะปรับหลวงตาบัวเป็นปาราชิก เราก็บอกสั้นๆ เลยว่าให้ยกโคตรมา ให้ยกโคตรมาฟ้องเรา เราบอก จนกระทั่งป่านนี้มันตายหมดทั้งโคตรแล้วก็ไม่รู้นะ

    เราเฉยเราไม่เคยสนใจ มันเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง อะไรมาเห่าว้อ ๆปากก็ปากอมขี้เสียด้วย ปากพระพุทธเจ้าปากสาวกทั้งหลายท่านอมธรรมนี่นะ ท่านเอามาพูดนี่ท่านปากอมธรรม อันนี้ปากอมขี้มันเข้ากันได้อย่างไร เพราะฉะนั้นจึงพูด ถ้าจะเอาโลกมาเป็นประมาณ โลกมันก็เหมือนกองมูตรกองคูถเอาประมาณได้อย่างไร ธรรมเหนือทุกอย่างแล้ว เอาธรรมออกละซิที่จะเป็นประโยชน์แก่โลก เอามูตรเอาคูถที่ไหนมันก็มีเหมือนกัน อดอยากอะไรมูตรคูถเต็มหัวใจ ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง มูตรคูถ

    ธรรมพระพุทธเจ้านี่สดๆ ร้อนๆ นะ ขอให้ฟื้นขึ้นมาที่หัวใจ อย่าไปฟื้นที่สมัยนั้นสมัยนี้ อย่าเอามาใส่สมัยนั้นสมัยนี้ มีแต่มืดกับแจ้งเท่านั้นแหละ สมัยมีฤทธิ์มีเดชอะไร กิเลสต่างหากที่มีฤทธิ์มีเดชทำลายสัตว์โลก และธรรมต่างหากที่มีฤทธิ์มีเดชทำลายกิเลสให้ม้วนเสื่อลงจากจิตใจ มีธรรมเท่านั้น เอาธรรมให้ดี ทางด้านจิตตภาวนานี่สำคัญมาก จะเป็นสักขีพยานได้อย่างจังๆ ทีเดียว เวลาปรากฏขึ้นนี้สดๆ ร้อนๆ นะ เหมือนพระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้าๆ ยิ่งธรรมะละเอียดเข้าไปเท่าไรนี้เหมือนพระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้า นิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ

    เพราะฉะนั้นผู้ที่ปฏิบัติธรรมถึงธรรมขั้นสูงเข้าไปเท่าไรอยู่ไม่ได้เลย ถึงธรรมขั้นสูงยังไงก็ไม่อยู่ มีแต่จะไปท่าเดียวๆ นั่นเรียกว่านิพพานอยู่ชั่วเอื้อม ทั้งๆ ที่แต่ก่อนเราเรียนหนังสือ ไปถึงนิพพาน เอ้อ นิพพานมีหรือไม่มีน้า นั่นฟังซิน่ะ ส่วนใหญ่เชื่อนิพพานว่ามี แต่ส่วนย่อยมันแบ่งกิน ว่านิพพานมีหรือไม่มีนา บาปบุญมีหรือไม่มี นรกสวรรค์มีหรือไม่มี ส่วนใหญ่เชื่อ แต่ส่วนย่อยมันไปแบ่งกันละซิ บาปบุญนี้มีจริงหรือไม่มีน้า ส่วนใหญ่มันเชื่อแล้วนะ ส่วนย่อยมันไปแบ่งกิน เห็นไหมล่ะ มันมีมากมีน้อยแบ่งกิน จนกระทั่งถึงนิพพาน อ่านไปถึงนิพพาน เอ๊ นิพพานมีหรือไม่มีนะ ทั้งๆ ที่จิตใจมุ่งต่อนิพพาน ส่วนใหญ่มุ่งอยู่แล้ว แต่สิ่งปลีกย่อยที่มันไปแบ่งกินนี้ นิพพานมีหรือไม่มีหนา

    เวลาก้าวเข้าสู่ธรรมขั้นสูงๆ ที่จะไปโดยถ่ายเดียวแล้ว นิพพานอยู่ชั่วเอื้อม มีหรือไม่มีก็ตามไม่สนใจ อยู่ชั่วเอื้อมๆ ลืมหลับลืมนอน ทุกสิ่งทุกอย่างลืมไปหมด ดีดดิ้นที่จะออกโดยถ่ายเดียวเท่านั้น นี่ละธรรมเมื่อเข้าสู่ใจแล้วอยู่ไม่ได้นะ เพราะเหตุไร เพราะกิเลสเป็นไฟเผาโลกมาตั้งกัปตั้งกัลป์ไม่มีใครรู้ นอนอยู่ท่ามกลางของงูจงอางของงูสามเหลี่ยม งูเห่า นอนได้สบายๆ พวกเรานี้พวกนอนอยู่ในท่ามกลางสามเหลี่ยม จงอาง งูเห่านั่นแหละ มันนอนสบายพวกนี้ บรรดาสาวกตั้งแต่พระโสดาขึ้นไป สกิทาคา อนาคา นี้โดดออกจากนี้แหละ ออกจากสามเหลี่ยม จงอาง คือเห็นภัยมากแล้ว โดดออกๆ นิพพานเลยกลายเป็นอยู่ชั่วเอื้อมๆ ดีดผึงๆ เลย

    พวกนี้พวกเห็นภัยในจงอาง สามเหลี่ยมแล้ว คือกิเลสทั้งหลายเท่ากับจงอาง สามเหลี่ยมหรืองูเห่านะ ถ้าเทียบว่างูเป็นอย่างนั้น ทีนี้ท่านที่เห็นภัยแล้วอย่างไรก็ได้ดีดโดยถ่ายเดียว เพราะฉะนั้นความเพียรจึงไม่มีวันมีคืน จนฝ่าเท้าแตก อย่างพระโสณะ ท่านเดินกรมจนฝ่าเท้าแตก ไม่แตกยังไง ถ้าได้ลงทางจงกรมเมื่อไรลืมเลย ลืมเวล่ำเวลา เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าลืม เรื่องหิวเรื่องโหยเรื่องน้ำเรื่องท่าไม่มี มีแต่ฟัดกันเหมือนนักมวยเขาเข้าวงในกัน เขาไปกำหนดเวล่ำเวลาอะไรเวลาได้เข้าวงใน

    อันนี้จิตกับกิเลสกับธรรมฟัดกันเข้าวงในแล้วเป็นแบบนั้นละ ไม่รู้จักเป็นจักตายมีแต่จะให้พ้นๆ นิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ ตลอด จนกระทั่งพุ่งไปเสียเลย นั่นหายห่วงที่นี่ หมดภัยทุกอย่าง ที่อยู่ในสามแดนโลกธาตุนี้เป็นภัยทั้งนั้นๆ ในจิตดวงบริสุทธิ์ถือเป็นภัยทั้งนั้น ผางออกมาแล้วเท่านั้นพอ เข้าใจไหมเท่านั้นพอ ถึงนั้นแล้วพอ นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าเอื้อมอยู่กับหัวใจเรานะ เอื้อมฉุดลาก ให้พากันเห็นใจพระพุทธเจ้าที่มีพระเมตตามากนะ ให้พยายามบึกบึนทุกคนๆ

    อย่าอยู่เฉยๆ นอนเฉยๆ งูเห่างูจงอางนี้มันจะเอาเมื่อไรได้ทั้งนั้นละกับเรา เพราะอยู่ในทรวงอกของมันแล้วมันจะสับเมื่อไรก็ได้ เราอยู่ในทรวงอกของกิเลส มันสับเมื่อไรได้ทั้งนั้น สับให้ขี้เกียจขี้คร้าน ท้อแท้อ่อนแอ สับได้วันยังค่ำ ไปที่ไหนเห็นแต่พวกนี้สับหัวคน เดินไปไหนเห็นแต่พวกสามเหลี่ยม จงอาง งูเห่า สับอยู่ตลอดเวลา พวกเราก็ให้มันสับไปเรื่อย เลือดสาดก็ให้สับไปเรื่อย เพลินนอนเพลินอยู่เพลินกิน เพลินขี้เกียจขี้คร้าน เรียกว่าให้มันสับไปเรื่อยพวกเรา จำเอานะทุกคน

    เรื่องธรรมพระพุทธเจ้าสดๆ ร้อนๆ เราพูดปัจจุบันนี้พูดชัดๆ เลย สดๆ ร้อนๆ ที่เอามาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังนี้ ธรรมแบบเดียวกันกับธรรมพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ เป็นจิตที่บริสุทธิ์แบบเดียวกัน นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย บรรดาท่านผู้ที่มีจิตบริสุทธิ์แล้วเสมอกันหมด เป็นความเสมอภาคกันความบริสุทธิ์ อำนาจวาสนาบุญญาภิสมภาร มากน้อยต่างกัน นิสัยวาสนาเป็นเครื่องประดับ แต่ธรรมชาติที่บริสุทธิ์นั้นเหมือนกันหมดเลย นี้มันก็เป็น จะว่าคุยหรือไม่คุยก็ตามมันเป็น ยิ่งจวนจะตายแล้วยิ่งเป็นห่วงมากนะ จึงสอนแล้วสอนเล่า ย้ำอยู่ตลอดเวลา อย่าพากันนอนหลับทับสิทธิ์เจ้าของ สิทธิ์เป็นมนุษย์ควรแก่พุทธศาสนาโดยตรง อย่านอนหลับทับสิทธิ์ให้กิเลสตัณหาความขี้เกียจขี้คร้านมันเหยียบขี้รดหัวอยู่ตลอดเวลา เอาละวันนี้เทศน์เพียงเท่านั้นพอ
    สาธุอนุโมทามิ


    ********************************************

    รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตาพระมหาบัว ได้ที่

    www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

    และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

    FM 103.25 MHz

    ----------------------------------------------------------
    ** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์


     

แชร์หน้านี้

Loading...