เรื่องเด่น เปิดใจ อดีตหมอคุณไสย ปลุกผีจนกรรมตามทัน อาถรรพ์ ปั้นเหน่ง?

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย pongio, 19 กุมภาพันธ์ 2015.

  1. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,850
    รายการ The Real Story ไขความจริง ออกอากาศทางช่อง MONO29 ได้ตีแผ่เรื่องราวเกี่ยวกับอาถรรพ์ ปั้นเหน่ง และไสยศาสตร์ ซึ่งได้เปิดใจนายวิเชียร สุภีสุทร อดีตหมอคุณไสยซึ่งใช้เวลากว่า30ปีในการศึกษาไสยเวทย์ต่างๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการปลุกผีเพื่อนำมาทำ ปั้นเหน่ง

    นายวิเชียร์เผยว่า ปั้นเหน่ง น้ำมันพราย เชือกมัดตราสัง เงินปากผี เชือกผูกคอตาย ดิน7ป่าช้า ของพวกนี้คนที่ทำเกี่ยวกับไสยศาสตร์ต่างคนก็ต่างเสาะแสวงหา แต่มันขึ้นอยู่กับว่าใครจะหาได้และเป็นของแท้หรือไม่ ซึ่งปั้นเหน่งที่ตนครอบครองอยู่เป็นของที่เก็บมาตั้งแต่สมัยที่บวชพระ โดยในอดีตตนเคยบวชเป็นพระในวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดนครปฐม แต่เนื่องจากสนใจในไสยศาสตร์จึงลาสึกออกมาเพราะเห็นว่าขัดกับหลักคำสอนและได้ศึกษาไสยศาสตร์สายพรายอย่างจริงจัง

    นายวิเชียร เล่าว่า ส่วนใหญ่วิธีการทำ ปั้นเหน่ง ในปัจจุบันจะทำกันอย่างผิดกฎหมายเนื่องจากต้องมีการขโมยซากศพตามสุสาน ตามป่าช้า หรือลักลอบเจาะกระโหลกคนตาย สิ่งเหล่านี้ทำกันเป็นขบวนการ มีวงการพราย ทุกวันนี้การทำมันไม่ยุ่งยากเพราะสามารถปลุกเสกกันเองไม่ต้องไปหาเกจิอาจารย์ดังแล้ว ทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายหมด

    ซึ่งที่ตนเคยทำคือรับ ปั้นเหน่งหัวกระโหลก มาจากเครือข่ายอีกทอดหนึ่งนำมาลงอักขระและมนต์อาคมเพื่อสะกดวิญญาณก่อนที่จะส่งให้ลูกค้า ส่วนราคาขึ้นอยู่กับลวดลายและความยาก ส่วนใหญ่จะอยู่ตั้งแต่หลักพันขึ้นไปเศษของหัวกระโหลกหลังจากทำปั้นเหน่งยังสามารถเอาไปอุดใต้ฐานกุมารและทำเป็นมวลสารเครื่องรางชนิดอื่นเพื่อเพิ่มมูลค่าได้อีก

    การขายเดี๋ยวนี้ก็มีตามเว็บออนไลน์ทั่วไป มีขายทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งหากเป็นผีเฮี้ยนที่เคยออกข่าว ผีตายโหง ตายวันเสาร์เผาวันอังคาร ราคาจะเพิ่มสูงขึ้นไปอีก แต่ทั้งนี้คนพกปั้นเหน่งก็ต้องพบกับความเสี่ยงเนื่องจากอาจจะโดนวิญญาณในปั้นเหน่งเล่นงานเข้าได้

    ทุกวันนี้นายวิเชียรเลิกประกอบอาชีพหมอคุณไสยแล้ว ซึ่งเขาเล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นจะเรียกว่าเดินทางผิดก็ไม่ใช่ เพราะทำเพราะโลภเนื่องจากการทำปั้นเหน่งหาเงินง่ายกว่าทำแปบเดียวได้เงินเป็นพันแล้วดีกว่าไปทำงานหามรุ่งหามค่ำกว่าจะได้เงินแต่ละบาท แต่ที่เลิกทำเพราะว่าตั้งแต่เข้ามาคลุกคลีกับไสยศาสตร์คนในครอบครัวต้องหวาดผวาตนเองที่หากินกับผีญาติพี่น้องต้องล้มป่วยหนัก บางรายก็เสียชีวิต ทุกอย่างดูตกต่ำไปหมด แม้จะมีเงินแต่ก็ไม่ได้มีความสุข ซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นผลมาจากการเบียดเบียนศพคนตาย จนกระทั่งเขาตัดสินใจหันหลังให้กับอาชีพมนตร์ดำนี้และตั้งใจว่าทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับดวงวิญญาณที่เขารบกวน

    ติดตามรายการ The Real Story ไขความจริงทาง Mono29 ได้ทุกวันเสาร์เวลา 17.00 น.

    MThai News
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 028.jpg
      028.jpg
      ขนาดไฟล์:
      108 KB
      เปิดดู:
      481
    • 034.jpg
      034.jpg
      ขนาดไฟล์:
      103.2 KB
      เปิดดู:
      402
    • 1111.jpg
      1111.jpg
      ขนาดไฟล์:
      133.8 KB
      เปิดดู:
      424
  2. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,850
    หลวงปู่ดู่ - กับผงพรายกุมารลป.ทิม

    เมื่อประมาณปี ๒๕๒๐ขณะนั้นเป็นเวลาบ่ายเย็นหลวงปู่ดู่ แห่งวัดสะแก จังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้ออกมานั่งคุยกับศิษย์ที่บริเวณระเบียงกุฏิของท่านเมื่อนั่งคุยกันชั่วครู่ใหญ่หลวงปู่ดู่และศิษย์เห็นรถยนต์คันหนึ่งวิ่งเข้ามาในวัดแล้วจอดมีชาย ๔ คนลงจากรถ และเดินตรงมาที่กุฏิของท่าน

    "เอ๊ะ..อ้ายพวกนี้มาแปลก..." หลวงปู่ดู่อุทาน"มันเอาผีมาด้วย"

    บรรดาศิษย์ของหลวงปู่ดู่ เมื่อได้ยินหลวงปู่พูดถึงผีก็พากันชะเง้อดูคนทั้งสี่ "เอ...ผมมองไม่เห็นผี"ศิษย์คนหนึ่งบอกกับหลวงปู่"ผมไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ มีอะไรหรือครับหลวงปู่..."หลวงปู่ดู่หัวเราะกับศิษย์ และพูดกับศิษย์ว่า..

    "ฉันเห็นผีมันล้อมรอบพวกสี่คนที่กำลังเดินมาเต็มไปหมด"

    คนทั้งสี่ เมื่อเดินมาถึงหน้าบันได้กุฏิ ก็พากันถอดรองเท้า แล้วพากันขึ้นบนกุฏิ คลานเข้ามากราบหลวงปู่ดู่..

    "นี่...พวกเธอมาหาฉัน ทำไมจึงเอาผีมาด้วย"

    หลวงปู่ดู่ถามชายทั้งสี่ พร้อมกับหัวเราะด้วยอารมณ์ดี คนทั้งสี่มองหน้ากัน ตีหน้าเลิ่กลั่ก เมื่อได้ยินหลวงปู่ดู่บอกว่า พวกตนที่มาหา...พาผีมาด้วย

    "ผีที่ไหนครับหลวงปู่"

    นายเบิ้ม พบร่มเย็น (ต้นฉบับเดิมเขียนไว้อย่างนี้แต่จริงๆแล้วคือท่านอ.สุวัฒน์ พบร่มเย็นครับ) หนึ่งในสี่คนที่มาหาหลวงปู่ ถามขึ้นด้วยความสงสัย

    "ยังไม่รู้อีกเรอะ"

    หลวงปู่ดู่หัวเราะด้วยอารมณ์ดี
    "ผีมันออกมาจากพระที่แขวนอยู่ที่คอน่ะสิ"

    ทั้งสี่คนที่มาหาหลวงปู่ถึงบาง "อ้อ" คนทั้งสี่ที่มาหาหลวงปู่ดู่ป็นศิษย์ของ หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ จ.ระยองและทุกคนมีพระเครื่องที่หลวงปู่ทิมสร้าง แขวนอยู่บนคอเช่น พระพรายเพชร พรายบัว (พระสององค์ติดกัน)พระพิมพ์สี่เหลี่ยมหัวโต...หรือพระเล็กๆ แบบสามเหลี่ยมเรียกนางพญาและพระขุนแผนเล็กและใหญ่บรรดาพระเครื่องที่เอ่ยนามมานี้นอกจากจะมีผงพระพุทธคุณแล้วยังผสม "ผงผีพรายกุมาร" ที่ได้มาจากเด็กที่ตายทั้งกลม....คนทั้งสี่นำสร้อยคอที่แขวนพระที่มีส่วนผสมของผงพรายกุมารให้หลวงปู่ดู หลวงปู่นั่งหลับตาชั่วครู่ใหญ่บอกว่า

    "ของเขาแรงใช้ได้ดีทีเดียว แต่ดูเหมือนผู้สร้าง..ได้เสีย..เสียแล้ว""ครับ...เป็นพระเครื่องของท่านหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ จ.ระยอง ที่ได้สร้างขึ้นและหลวงปู่ทิมได้มรณภาพมากว่า ๒ ปีแล้ว..." นายเบิ้ม พบร่มเย็น บอกแก่หลวงปู่ดู่...คนทั้งสี่อัศจรรย์ใจที่หลวงปู่ดู่ท่านรู้ว่าที่คอของพวกตน มีพระเครื่องที่ท่านหลวงปู่ทิมใช้ผงพระพุทธคุณ และผงพรายกุมารผสมป่นลงไปแล้วปลุกเสกสร้างเป็นองค์พระขึ้น คนทั้งสี่ที่มาหาหลวงปู่ดู่ จึงเคารพหลวงปู่ดู่ยิ่งทั้งสี่คนนั่งคุยกับหลวงปู่ดู่ครู่ใหญ่

    คุณชินพร ศิษย์เอกของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ถามหลวงปู่ดู่ว่า...
    "ท่านหลวงปู่ทิม อาจารย์ของผมเป็นพระเถระที่ยึดมั่นพระธรรม และพระวินัยของพระพุทธองค์อย่างเคร่งครัดไม่ยินดียินร้ายในรูป รส กลิ่น เสียง และถือสันโดษเป็นพระภิกษุที่มีศีลาจริยาวัตรน่าเลื่อมใส หลวงปู่ทิมได้สร้างพระเครื่องโดยมีผงพรายกุมารที่ท่านทำมาจากเด็กตายทั้งกลมจากท้องมารดาการกระทำของหลวงปู่ทิม จะเป็นบาปหรือไม่

    หลวงปู่ดู่"ไม่บาป การที่ไม่บาปเป็นเพราะว่า เด็กที่อยู่ในท้องแม่ยังไม่เกิดเป็นตัวตนคือยังไม่มีธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ยังไม่มีวิญญาณและแม่เด็กก็ได้ตายไปแล้วซึ่งแม่เด็กและเด็ก ก็จะกลับสู่สภาพเดิมคือ เป็นผงธุลีไป "หลวงปู่หยุดเล็กน้อย" การที่ถามว่า เอาหัวกระโหลกเด็กที่อยู่ในท้องของแม่ที่ตายทั้งกลมมาทำของจะบาปไหม...เรื่องนี้มันคนละเรื่องกันเด็กที่อยู่ในท้องของแม่ที่ตายทั้งกลมนั้นอยู่ในลักษณะที่ว่า ไม่มีตัวตน ไม่มีวิญญาณที่จะไปเกิดสภาพของเด็กที่อยู่ในท้องของแม่ที่ตายทั้งกลมจึงเหมือนกับก้อนเนื้อก้อนหนึ่งและถ้านำเด็กที่อยู่ในท้องของแม่ที่ตายทั้งกลมมาปลุกเสกด้วยอาคมและปลุกเสกด้วยธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟก็จะอยู่ในลักษณะหนึ่งที่ทางไสยศาสตร์เรียกว่าภูติ หรือ มหาภูติและ ถ้าเราเอาตัว ภูติ ที่ปลุกเสกด้วยอาคมและธาตุทั้งสี่มาทำของของนั้นก็จะมีอิทธิฤทธิ์ยิ่ง.."

    คำอธิบายของหลวงปู่ดู่ทำให้คุณชินพรและพวกหายข้องใจในเรื่องที่นำเด็กในท้องของแม่ที่ตายทั้งกลมมาปลุกเสกแล้วป่นทำเป็นผงนำไปผสมกับผงพระพุทธคุณแล้วนำไปสร้างพระ...หรืออุดผงนี้ลงที่ด้ามมีดหมอหรือนำผงนี้อุดที่องค์พระที่สร้างขึ้นบรรดาคนทั่วไป มักจะเรียกผงนี้ว่า ผงพรายกุมาร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กุมภาพันธ์ 2015
  3. arunothai

    arunothai Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +81
    ถ้าหลวงปู่ดู่ท่านพูดจริง ก็เชื่อหลวงปู่ค่ะ แต่จะแน่ใจได้ไงว่า ท่านพูดจริงๆ "ว่าไม่บาป" หลักฐานที่เขียนอาจแต่งเองได้
     
  4. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,850
    ต่อให้เรื่องนี้เป็นเรื่องแต่งขึ้น ผมก็มั่นใจว่าไม่บาป เนื่องจากกระดูกผีเป็นแค่มวลสาร การกระทำดีชั่ว ต้องวัดจากจิต กระดูกผีนี่ช่วยชีวิตทหารไทยไม่รู้กี่คนแล้ว

    อาถรรพณ์ ! 'พระปิดตาผงอัฐิ' 'พระอาจารย์หนู' วัดโพธิ์ท่าเตียน
    พระปิดตาเนื้อผงอัฐิ วัดโพธิ์ท่าเตียน เป็นพระเครื่องที่ผู้นำไปใช้บูชาติดตัวแล้ว ต่างมีเรื่องเล่าขานสืบต่อกันมามากมาย ในด้านประสบการณ์ต่างๆ
    พระรุ่นนี้มีชื่อเสียงโด่งดังมาตั้งแต่ครั้งสงครามอินโดจีน ช่วงปี ๒๔๘๐ กว่าๆ อันเป็นสงครามระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ที่มีอาณานิคมอยู่ในอินโดจีน
    ยุคนั้นทำให้เราได้รู้จักพระเกจิอาจารย์ผู้มีวิชาอาคมขลังมากมาย รวมทั้งวัตถุมงคลที่ท่านได้สร้างขึ้นมาเพื่อแจกให้ทหารที่ออกรบ
    พอเสร็จสงครามอินโดจีน ก็เข้าสู่ยุคของสงครามโลกครั้งที่ ๒ ช่วงนั้นก็มีพระเกจิอาจารย์อีกหลายท่าน ได้สร้างวัตถุมงคลออกมาด้วย เนื่องจาก
    ประเทศไทยได้ทำสัญญาเป็นมิตรกับญี่ปุ่น อยู่กับฝ่ายอักษะ ประเทศไทยจึงมีทหารญี่ปุ่นเข้ามาตั้งฐานทัพเต็มไปหมด ทำให้เราต้องทำสงครามกับ
    ฝ่ายพันธมิตรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่งผลให้สถานที่สำคัญหลายแห่ง ที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ และเป็นที่ตั้งของกองทัพญี่ปุ่น ถูกเครื่องบินของฝ่ายพันธมิตรทิ้งระเบิดระลอกแล้วระลอกเล่า
    การทิ้งระเบิดครั้งนั้น เป็นการทิ้งแบบปูพรม โดยที่เครื่องบินได้บินสูงๆ เมื่อทิ้งระเบิดลงมาจึงทำให้เกิดการพลาดเป้าหมาย ไปถูกบ้านเรือนของประชาชนเป็นประจำ จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บพิการเป็นจำนวนมาก
    พระเกจิอาจารย์หลายท่าน จึงได้สร้างวัตถุมงคลขึ้นมาแจกจ่ายแก่ทหาร ตำรวจ อาสาสมัคร และประชาชน ไว้ป้องกันอันตราย เป็นขวัญและกำลัง
    ใจ
    เมื่อราวปี ๒๔๘๕ พระอาจารย์หนู วัดโพธิ์ ท่าเตียน (หรือ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลราม) เป็นอีกท่านหนึ่งที่ได้สร้างพระเครื่องขึ้นมาในครั้งนั้นด้วย
    เป็นการสร้างโดยตัวท่านเอง แบบเงียบๆ ค่อยเป็นค่อยไป คือ พระปิดตาเนื้อผงอัฐิ
    พระอาจารย์หนู เป็นพระเกจิอาจารย์จาก จ.สุรินทร์ มีเชื้อสายเป็นชาวเขมร ท่านมีวิชาอาคมแก่กล้า และเชี่ยวชาญทางไสยศาสตร์มาก แม้อายุจะ
    ไม่มากนัก แต่ความรู้ความสามารถทางคาถาอาคมมีสูง จนมีผู้คนเคารพนับถือกันอย่างกว้างขวาง
    ท่านชอบเลี้ยง ว่าน ไว้ที่กุฎิของท่านหลายชนิด นอกจากนี้ท่านยังมีความรู้ทางแพทย์แผนโบราณ จึงมีชาวบ้านไปขอความอนุเคราะห์ให้ท่าน
    รักษาโรคภัยไข้เจ็บอยู่เสมอ บ้างก็ไปขอวัตถุมงคล หรือให้ท่านรดน้ำมนต์
    เนื่องจากพระอาจารย์หนู มีความชำนาญในวิชาอาคม และไสยศาสตร์มาก การสร้างพระเครื่องของท่าน จึงทำแบบพิสดาร ผิดไปจากการสร้างพระเครื่องของพระเกจิอาจารย์ทั่วๆ ไป
    กล่าวคือ ท่านได้นำเอา อัฐิ หรือ ขี้เถ้ากระดูกของคนตาย มาสร้างเป็นองค์พระปิดตา ผสมกับผงพุทธคุณ, ผงอิทธิเจ และว่านอาถรรพ์ต่างๆ
    การที่ท่านนำเอาขี้เถ้ากระดูกของคนตายมาสร้างพระเครื่อง เป็นเหตุผลของตัวท่านเอง เนื่องจากขี้เถ้ากระดูกของคนตายนี้ ตามหลักของวิชาไสยศาสตร์ ถือว่าเป็นวัสดุอาถรรพณ์ชนิดหนึ่ง
    แต่การที่จะเอาขี้เถ้ากระดูกของคนตายมาสร้างวัตถุมงคล จะต้องเป็นคนที่มีวิชาอาคมแก่กล้า ถึงจะทำได้ เพราะของแบบนี้ ย่อมมีแรงอาถรรพณ์อยู่ในตัว
    ขี้เถ้ากระดูกผี ที่พระอาจารย์หนูนำมาสร้างพระเครื่องนั้น ไม่ได้จำเพาะว่า จะต้องเป็นขี้เถ้ากระดูกของคนที่ตายโหง หรือตายวันเสาร์เผาวันอังคาร
    แต่ประการใด ขอให้เป็นขี้เถ้าของกระดูกคนที่ตายแบบไหนก็ใช้ได้
    สมัยนั้น ชาวบ้านนิยมเผาคนตายตามเชิงตะกอน ช่วงสงครามมีคนตายกันมาก ขี้เถ้ากระดูกของคนตายจึงสามารถหาได้ง่าย
    แต่ก่อนที่จะเอาขี้เถ้ากระดูกคนตายมาใช้สร้างพระเครื่อง ท่านจะทำพิธีพลีกรรมก่อนทุกครั้ง ตามวิชาที่ได้เรียนมา
    พระผงขี้เถ้ากระดูกคนตาย ที่พระอาจารย์หนูสร้างขึ้นนั้น ท่านได้เอา ว่านโพง มาบดให้ละเอียดผสมเข้าไปด้วย
    ว่านชนิดนี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ว่านกระสือ เชื่อกันว่า เป็นว่านที่มีอาถรรพ์ และมีอิทธิฤทธิ์มาก มักขึ้นอยู่ตามป่าลึก หากสัตว์พลัดหลงเข้าไปในบริเวณที่มีว่านชนิดนี้ขึ้นอยู่ อาจถูกว่านดูดเลือดกินจนตายก็ได้
    ว่านโพงหรือว่านกระสือนี้ อาจารย์ไสยศาสตร์ที่มีวิชาอาคมขลัง มักจะชอบเลี้ยงเพื่อไว้เฝ้าบ้าน การเลี้ยงว่านชนิดนี้ เลี้ยงยากกว่าว่านชนิดอื่นๆ
    อย่างไรก็ตาม แม้มวลสารที่พระอาจารย์หนูนำมาใช้ในการสร้างพระปิดตา ดูจะเฮี้ยนๆ น่ากลัว แต่ท่านได้ทำพิธีพลีกรรมถูกต้องตามตำราทุก
    ประการ จึงทำให้ผู้ที่นำพระไปใช้ กลับได้รับคุณอย่างเดียว เรื่องโทษยังไม่เคยปรากฏ และผลที่ได้กลับแปลก คือ แรง และ เร็ว กว่าวัตถุมงคล
    ชนิดอื่นๆ หลายเท่า
    พุทธคุณจะแรงและเร็ว คล้ายๆ กับเครื่องรางของขลัง ผู้นำมาใช้อธิษฐานขอสิ่งใด มักจะสมหวังเสมอ และหากสมหวังดั่งใจแล้ว ก็ควรทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้าของเถ้ากระดูกนั้นด้วย
    สำหรับประสบการณ์ที่เล่าขานกันนั้น เป็นที่ประจักษ์แก่ทั้งทหารไทย และทหารญี่ปุ่น จนมีคำเรียกติดปากกันในยุคนั้นว่า ทหารผี เพราะมีคนเห็นว่า ทหารไทยโดนยิงจนล้มแล้ว กลับลุกขึ้นมาสู้ใหม่ได้ ทั้งๆ ที่น่าจะตาย แต่ไม่ตาย เพราะหนังเหนียว ทรหดอดทนมาก
    พระปิดตาผงกระดูกผี นี้เมื่อบูชาแล้วจะเด่นมากในด้านความปลอดภัย ป้องกันภัยดี เวลาเดินทางไปไหน มาไหน ทั้งๆ ที่ไปคนเดียว แต่มีคนกลับมองเห็นว่า เหมือนมีคนเดินตามกันมาหลายคน
    บางคนนั่งรถไปธุระ พอลงจากรถ มักจะมีคนถามว่า...คนที่มาด้วยไปไหนแล้ว...อย่างนี้ก็มี ส่วนประสบการณ์ด้านอื่นๆ เช่น การเสี่ยงโชค นักเสี่ยงโชคมักจะมีความรู้สึกว่า มีคนคอยมาดลจิต ให้ได้รับโชคนั้นๆ แต่มีข้อแม้ว่า หากใครได้โชคมาพอประมาณแล้ว ก็ควรจะเลิก อย่าโลภมาก เพราะอาจจะหมดตัวก็ได้
    คนที่ชอบของแรงๆ พุทธคุณเด่นชัดเร็วๆ ต้องบูชาพระปิดตาสำนักนี้ รับรองว่า แขวนเดี่ยวจะปรากฏประสบการณ์อย่างชัดเจนมาก มีครบสูตร ไม่ว่าจะคงกระพัน แคล้วคลาด เมตตามหานิยม
    ปัจจุบัน พระปิดตาผงกระดูกผี ของ พระอาจารย์หนู ที่เล่นหากันนั้น ส่วนใหญ่ไม่ใช่ตัวจริง ตัวจริงต้องกดพิมพ์ได้ลึกแบบที่เห็นนี้ ผิวพรรณ ความเก่า มวลสารเก่าเพียบ ดูเข้มขลัง นับเป็นพระปิดตาที่น่าสนใจพิมพ์หนึ่ง ราคาค่านิยมยังไม่แพงจนเกินไปนัก องค์นี้พระติดลึกเต็มๆ สภาพสวยแชมป์ระดับนี้ ปัจจุบันไม่ใช่จะหาได้ง่ายนัก

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2015
  5. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,850
    ขอยกอีกตัวอย่าง พระอริยสงฆ์กับเครื่องราง

    วัวธนูวัดโขงขาว ปี 2518 หลวงปู่คำแสน (วัดป่าดอนมูล) หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หลวงปู่ชุ่ม หลวงปู่วงศ์ หลวงปู่ธรรมชัย หลวงปู่พรหมจักร หลวงปู่อินทรจักร หลวงปู่บุญทึม หลวงปู่เส่ง อธิษฐานจิต

    เนื้อวัวธนู เป็นทองแดงกว่า 80 % ส่วนที่เหลือ คือ ปรอท เจ้าน้ำเงิน และโลหะธาตุ ต่างๆ อีกหลายอย่าง
    แต่มวลสารหลักคือทองแดง

    วัวธนูวัดโขงขาว ปี 2518 เป็นวัวธนูรุ่นเดียวที่ทันหลวงพ่อฤาษีอธิษฐาน และท่านอธิษฐานให้หลายครั้งมาก

    ประวัติ

    หลวงปู่คำแสน และหลวงพ่อบุญรัตน์ ท่านคุ้นเคยกันมานานแล้ว
    ประมาณปี 2518 ที่วัดป่าดอนมูล หลวงปู่คำแสน ท่านได้มอบตำราสร้างวัวธนู ให้กับหลวงพ่อบุญรัตน์ พร้อมกับสอนวิธีการสร้าง ท่านกล่าวว่า ท่านอายุมากแล้ว เกรงว่าต่อไปวิชานี้จะสูญหาย ในการนี้ ท่านได้มอบวัวธนูที่สร้างจากไม้หวายผ่าซีก และแกะคอดให้กับหลวงพ่อบุญรัตน์ด้วย
    (แทรก ต่อมาหลวงพ่อบุญรัตน์ ได้รับตำราสร้างวัวธนูจาก ครูบาชุ่ม วัดวังมุ่ย ด้วย ซึ่งท่านกล่าวว่า เหมือนกับตำราของหลวงปู่คำแสนเลย ไม่มีผิดเพี้ยนกัน)
    หลังจากนั้นหลวงพ่อบุญรัตน์ ได้จัดสร้าง วัวธนูขึ้นตามตำราของหลวงปู่ทั้งสองรูป
    โดยหลวงพ่อบุญรัตน์ ได้นำไปให้หลวงปู่คำแสน วัดป่าดอนมูล อธิษฐานจิตเดี่ยว
    เมื่อเสร็จพิธี หลวงปู่คำแสน ท่านได้กล่าวกับหลวงพ่อบุญรัตน์ว่า
    "วัวธนูชุดนี้ให้เก็บไว้ก่อน อย่าเพิ่งนำออกมา ในภายภาคหน้าคนจะถามหากันเยอะ จะเป็นที่ต้องการกันมาก"
    ตรงนี้จึงเป็นมูลเหตุให้หลวงพ่อบุญรัตน์ท่านเก็บวัวธนูชุดนี้ไว้นับแต่บัดนั้น

    นอกจากหลวงปู่คำแสน วัดป่าดอนมูลแล้ว หลวงพ่อบุญรัตน์ยังได้นำวัวธนูชุดนี้ ไปขอความเมตตาให้ครูบาอาจารย์เสกเดี่ยวอีกหลายรูป คือ

    หลวงปู่ครูบาชุ่มโพธิโก วัดวังมุ่ย
    หลวงปู่คำแสน วัดสวนดอก
    หลวงปู่ครูบาธรรมชัย วัดทุ่งหลวง
    หลวงปู่ครูบาชัยวงศาพัฒนา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม
    นอกจากนี้ท่านยังนำมาที่กรุงเทพฯ เพื่อขอความเมตตาให้
    หลวงปู่เส่ง วัดกัลยา (ปรมาจารย์ ตำนาน น้ำมนต์ดอกบัวบาน) เสกให้ด้วย
    ครูบาอินทจักร วัดบ่อน้ำหลวง (พี่ชายแท้ๆ ของครูบาพรหมจักร วัดพระพุทธบาทตากผ้า)
    ครูบาพรหมจักร วัดพระพุทธบาทตากผ้า
    ครูบาบุญทึม วัดจามเทวี (ลูกศิษย์ครูบาศรีวิชัย ที่ ลพ.ฤาษี ท่านเคยเล่าว่า สมเด็จองค์ปัจจุบัน ท่านกำชับหลวงพ่อฤาษีว่า ให้ไปตามหาพระที่ชื่อทึมให้เจอ)


    สำหรับหลวงพ่อฤาษีนั้น ท่านได้พุทธาภิเษกวัวธนูชุดนี้หลายครั้งหลายคราวมาก
    เพราะท่านเดินทางไปทอดกฐินที่วัดโขงขาวทุกปี (จากความสัมพันธ์ ในอดีตที่ท่านเคยเล่าว่า สมัยเสวยพระชาติเป็นพระเจ้าพรหมมหาราช อัฐธาตุของท่านเก็บไว้ที่วัดโขงขาวแห่งนี้ และในอดีตนั้นหลวงพ่อบุญรัตน์คือราชโอรสฝาแฝดของท่าน)

    หลวงพ่อบุญรัตน์เพิ่งตัดสินใจ นำวัวธนูชุดนี้ออกมาให้ทำบุญกัน โดยในส่วนของกล่องนั้นเพิ่งได้สั่งทำขึ้นไม่นานนี้

    สรุปวัวธนูชุดนี้ ได้รับการอธิษฐานจากพระเถระดังต่อไปนี้

    1. หลวงปู่คำแสน วัดป่าดอนมูล (ลพ.ฤาษี เคยกล่าวว่า วัวธนู ต้องหลวงปู่คำแสน)
    2. หลวงปู่ชุ่ม วัดวังมุ่ย (ท่านสามารถเข้านิโรธได้ทั้ง 4 อิริยาบถ)
    3. หลวงปู่คำแสน วัดสวนดอก (รูปนี้ก็เย็นแล้ว จบกิจ)
    4. หลวงปู่ชัยวงศา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม (พระมหาโพธิสัตว์ อดีตฤาษีวาสุเทพ ผู้สร้างพระรอดในตำนาน)
    5. หลวงพ่อฤาษีลิงดำ (พระผู้มากบารมี อยู่ในใจหลายๆ คน)
    6. หลวงปู่ครูบาธรรมชัย วัดทุ่งหลวง (พระผู้ทรงอภิญญาแก่กล้า)
    7. หลวงปู่เส่ง วัดกัลยาฯ (ปรมาจารย์น้ำมนต์ดอกบัวบาน)
    8. หลวงปู่ครูบาพรหมจักร วัดพระพุทธบาทตากผ้า (มหาเถระแดนล้านนา)
    9. หลวงปู่ครูบาอินทจักร วัดบ่อน้ำหลวง (รูปนี้บารมีมาก เก่งมาก แต่คนทั่วไปไม่ค่อยรู้)
    10. หลวงปู่บุญทึม วัดจามเทวี (ลูกศิษย์ครูบาศรีวิชัย และเป็นพระที่สมเด็จองค์ปัจจุบันท่านกำชับ ลพ.ฤาษี ลิงดำ ให้ตามหา)



    ในส่วนเหตุผลที่ว่าไม่บาป ดังนี้ (คัดลอกจาก web)

    4. เพิ่มเติมข้อมูลให้นะครับ

    ปกติแล้ว ไม่ว่า วัวธนู กุมารทอง หรือผงพราย ล้วนแล้วแต่มีพื้นฐานมาจากไสยเวทย์ (ไสยศาสตร์) ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายดำ หรือ ขาว (สัมมา หรือ มิจฉา) ต่างก็สร้างได้

    แต่ ความแตกต่างมีอยู่ ยกตัวอย่าง เช่น

    อาจารย์ฆราวาส หลายๆ ท่าน ในปัจจุบัน สร้าง ผงพราย โดยใช้ซากทารก และวัสดุอาถรรพ์ หรือแม้แต่สร้างพระโดยการใช่น้ำมันพราย(ของจริง) ที่ได้จากการปลุกซากศพให้ลุกนั่งแล้วรนเอาน้ำมัน ก็ตาม ส่วนใหญ่แล้ว ใช้อำนานแห่งไสยเวทย์นั้น บังคับ กักขัง วิญญาณ (ทำให้วิญญาณนั้นได้รับทุกขเวทนา) เพื่อใช้ทำเรื่องต่างๆ สร้างบาปกรรม เวรกรรม ให้กับ ทั้งตัวผู้เสก ผู้ใช้ และวิญญาณ นั้น เป็นเดรัจฉานวิชา มีแต่โทษ

    แต่สำหรับฝ่ายขาว แม้วิชาจัก มีพื้นฐานมาจากไสย แต่ท่านได้ทำให้เกิดธรรม ที่บริสุทธิ์ เช่น สร้างพระผสมน้ำมันพราย แต่หาได้กักขังวิญญาณนั้นไม่ ท่านกลับเทศนาสั่งสอน และแผ่เมตตา จากดวงวิญญาณบาปกลายเป็นดวงวิญญาณบุญ (จากอาทิสมานยกายที่ราศรีหม่นหมอง กลายเป็นสว่างด้วยบุญ) คือ กลายเป็นเทวดา นางฟ้า และบำเพ็ญบารมีต่อโดยการเกื้อกูลผู้ใช้วัตถุมงคลนั้น มีแต่คุณไม่มีโทษ

    พระเถระรูปหนึ่ง ท่านกล่าวว่า
    "วัวธนูรุ่นนี้ ไม่ธรรมดา นอกจากกันภูติผีปีศาจ โจรขโมย ยังสามารถป้องกันภัยพิบัติต่างๆ ได้ด้วย
    การบูชาให้วางบนพานดิน (ดินบริสุทธิ์) บูชาด้วยน้ำสัก 1 แก้ว (เปลี่ยนทุก 7 วันก็ได้) วัว 1 องค์ สามารถคุ้มได้ทั้งบ้า
    วัวธนูรุ่นนี้ มีแต่คุณ ไม่มีโทษ"
    ที่สำคัญอีกประการ คือ วัวธนูรุ่นนี้ แม้จักลืมอาราธนา ท่านก็ปกป้องคุ้มครองโดยอัตโนมัติเองอยู่แล้ว

    ที่มา http://www.manomayitthi.com/product/1109262/วัวธนู.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2015
  6. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,946
    หลวงปู่ดู่หัวเราะด้วยอารมณ์ดี
    "ผีมันออกมาจากพระที่แขวนอยู่ที่คอน่ะสิ"


    หลวงปู่ดู่"ไม่บาป การที่ไม่บาปเป็นเพราะว่า เด็กที่อยู่ในท้องแม่ยังไม่เกิดเป็นตัวตนคือยังไม่มีธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ยังไม่มีวิญญาณและแม่เด็กก็ได้ตายไปแล้วซึ่งแม่เด็กและเด็ก ก็จะกลับสู่สภาพเดิมคือ เป็นผงธุลีไป "หลวงปู่หยุดเล็กน้อย" การที่ถามว่า เอาหัวกระโหลกเด็กที่อยู่ในท้องของแม่ที่ตายทั้งกลมมาทำของจะบาปไหม...เรื่องนี้มันคนละเรื่องกันเด็กที่อยู่ในท้องของแม่ที่ตายทั้งกลมนั้นอยู่ในลักษณะที่ว่า ไม่มีตัวตน ไม่มีวิญญาณที่จะไปเกิดสภาพของเด็กที่อยู่ในท้องของแม่ที่ตายทั้งกลมจึงเหมือนกับก้อนเนื้อก้อนหนึ่งและถ้านำเด็กที่อยู่ในท้องของแม่ที่ตายทั้งกลมมาปลุกเสกด้วยอาคมและปลุกเสกด้วยธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟก็จะอยู่ในลักษณะหนึ่งที่ทางไสยศาสตร์เรียกว่าภูติ หรือ มหาภูติและ ถ้าเราเอาตัว ภูติ ที่ปลุกเสกด้วยอาคมและธาตุทั้งสี่มาทำของของนั้นก็จะมีอิทธิฤทธิ์ยิ่ง.."


    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


    หากไม่บาป เพราะเด็กยังไม่เกิดเป็นตัวเป็นตน ไม่มีธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ
    แต่มีวิญญาญ
    การไปเอาชิ้นส่วนเค้ามาปลุกเสกพระเครื่อง เครื่องรางของขลัง เหมือนไปกักวิญญาญเค้าไปไม่ให้ไปเกิดหรือเปล่า
    แล้วพระเครื่องที่ไม่ใช้มวลสารพวกนี้ แต่ศักดิ์สิทธิ์ มีไหม?

    แค่สงสัยนะคะ
     
  7. arunothai

    arunothai Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +81
    เราถึงสงสัยไง ว่า"หลวงปู่ดู่"ท่านพูดจริงหรือเปล่า อาจจะแต่งขึ้นมาขายของหรือเพื่อปั่นราคาพระก็ได้ ไม่น่าเชื่อถือ
     
  8. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,850
    คุณหัวมันครับ ข้อความสีแดงที่ผมเน้นไว้ ผมได้อธิบายไว้เด่นชัดแล้ว ในการโพสด้านบนก่อนที่คุณจะโพส ดังนั้น ผมขอ คัดลอกซ้ำน่ะครับ

    แต่สำหรับฝ่ายขาว แม้วิชาจัก มีพื้นฐานมาจากไสย แต่ท่านได้ทำให้เกิดธรรม ที่บริสุทธิ์ เช่น สร้างพระผสมน้ำมันพราย แต่หาได้กักขังวิญญาณนั้นไม่ ท่านกลับเทศนาสั่งสอน และแผ่เมตตา จากดวงวิญญาณบาปกลายเป็นดวงวิญญาณบุญ (จากอาทิสมานยกายที่ราศรีหม่นหมอง กลายเป็นสว่างด้วยบุญ) คือ กลายเป็นเทวดา นางฟ้า และบำเพ็ญบารมีต่อโดยการเกื้อกูลผู้ใช้วัตถุมงคลนั้น มีแต่คุณไม่มีโทษ

    ในส่วนข้อความของ คุณ arunothai เรื่องการปั่นราคาพระ ผมขอนำเรียน การที่จะปั่นราคานั่นสามารถสร้างเรื่องขึ้นมาปั่นได้ แต่พระเครื่องนั่นต้องดีจริงด้วย มันถึงจะดัง ถ้าโปรโมทอย่างเดียว คนบูชาไปแล้วเงียบ ช่วยเหลืออะไรเขาไม่ได้เลย มันจะดังได้ไง เพราะการที่จะดังได้ของต้องดีจริง

    แต่ถ้าผมพูดมากเดี๋ยวก็จะหาว่ามาหลอกขายพระเครื่อง ดังนั้นผมขออ้างหลักฐานดีกว่า

    พระเครื่องไทยดังไกลถึงต่างแดน เปิดเผยขึ้นเมื่อวันที่ 3 ต.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่วัดเนินสมบูรณ์ ต.ทับช้าง อ.สอยดาว จ.จันทบุรี นายกวง กฤตยากร อายุ 76 ปี อดีตประธานชมรมผู้นิยมพระเครื่อง พระบูชา จ.จันทบุรี พร้อมด้วย นายโก ไซ และนายซี มัด หว่อง 2 นักธุรกิจจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน ซึ่งประกอบธุรกิจภัตตาคารและส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้า เข้าพบพระวิชัย ชะยะธรรมโม เจ้า อาวาสวัดเนินสมบูรณ์ โดยนักธุรกิจชาวจีนขอชมพระเครื่องต่าง ๆ ประกอบด้วยพระสมเด็จวัดระฆัง พระนางพญา หลวงปู่ทวด รวมไปถึงพระเครื่องอื่น ๆ อีกนับร้อยองค์ ทั้งคู่ใช้เวลาตรวจสอบเนื้อพระเครื่อง ความเก่าแก่ ลักษณะศิลปะและลวดลายต่าง ๆ ในพระเครื่องอย่างถี่ถ้วนและสนใจ พร้อมกับวิพากษ์วิจารณ์พระเครื่องของพระวิชัย ต่าง ๆ นานา
    หลังจากใช้เวลาตรวจสอบอยู่นาน ในที่สุด 2 นักธุรกิจชาวจีนประทับใจกับพระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ หรือพิมพ์ประธาน 3 องค์ โดยนายโก ไซและนายซี มัด หว่อง ได้ขอบูชา พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ทั้ง 3 องค์ในราคา 60 ล้านบาท โดยให้นายกวง ได้ช่วยแปลภาษาจีนเป็นภาษาไทยให้พระวิชัยฟัง แต่พระวิชัยระบุว่า อยากให้ทั้งคู่ช่วย บูชาพระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ทั้ง 3 องค์ 80 ล้านบาท เนื่องจากวงเงิน 60 ล้านบาท ไม่เพียงพอต่อการนำไปสร้างโบสถ์และบูรณ ปฏิสังขรณ์วัดเนินสมบูรณ์ที่ทรุดโทรม ทำให้ นายโก ไซ และนายซี มัด หว่อง บอกกับพระวิชัยว่า ขอกลับไปพิจารณาอีกครั้งและจะให้คำตอบในเร็ว ๆ นี้ แต่หากพระวิชัยให้เช่าบูชาในราคา 60 ล้านบาท ก็พร้อมจะเช่าบูชาทันที
    นายกวง เปิดเผยว่า 2 นักธุรกิจชาวจีนดังกล่าว ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจในประเทศจีน มีความสนใจสะสมสิ่งของมีค่าต่าง ๆ และพระเครื่องไทย โดยติดต่อมาที่ตนให้ช่วยเสาะหาพระเครื่องไทย เน้นเฉพาะพระเครื่องในชุด “เบญจภาคี” อาทิ “พระสมเด็จวัดระฆัง-พระสมเด็จบางขุนพรหม-พระสมเด็จเกศไชโย-พระนางพญาพิษณุโลก-พระซุ้มกอกำแพงเพชร-พระผงสุพรรณ-พระรอดวัดมหาวันลำพูน” ซึ่งในวงการพระถือว่าเป็นพระเครื่องที่หาได้ยาก และเป็นสุดยอดพระเครื่องไทย ตนทราบว่า พระวิชัยมีพระเครื่องที่ทั้งคู่ต้องการ จึงพามา หาพระวิชัย แต่การเจรจาเรื่องการเช่าบูชายังจะต้องมีกันอีกครั้ง เนื่องจากวงเงินสูงมากจึงไม่อาจจะจบลงได้ด้วยการตกลงเจรจากันเพียง ครั้งเดียว
    นายกวง กล่าวต่อว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีนักธุรกิจชาวจีนหลายสิบคน ที่มีฐานะทางการเงินมั่นคง เป็น “เศรษฐีใหม่ ในเมืองจีน” ให้ตนนำไปพบผู้ที่มีพระเครื่องเก่าแก่ เพื่อขอเช่าบูชาจำนวนหลายร้อยองค์ และอีกจำนวนหนึ่ง ติดต่อผ่านศูนย์พระเครื่องที่อยู่ตามจังหวัดต่าง ๆ ให้จัดหาพระเครื่องไทย โดยเฉพาะพระเครื่องเบญจภาคี โดยส่วนหนึ่งเช่าบูชาไปเพราะชื่นชอบในพุทธศิลป์ ที่มีลวดลายศิลปะแบบไทย ๆ ขณะที่อีกส่วนหนึ่งเช่าบูชาด้วยความศรัทธาว่า พระเครื่องเบญจภาคี มีพุทธคุณด้านแคล้วคลาด เมตตาและช่วยให้ค้าขายได้ดี และไม่เพียงแต่เศรษฐีใหม่ชาวจีนที่นิยมเสาะหาพระเครื่องไทยไว้ในครอบครองเท่านั้น แต่ล่าสุด ทั้งชาวฮ่องกง-สิงคโปร์-มาเลเซีย-ญี่ปุ่น-บรูไน-ดูไบ-สวิตเซอร์แลนด์ ก็นิยมสะสมพระเครื่องไทยด้วย โดยเริ่มจากชาวไทยที่เข้าไปทำงานยังประเทศ ดังกล่าว นำไปเผยแพร่ ซึ่งราคาในการเช่าบูชาสูงกว่าเมืองไทยถึง 3 เท่าตัว

    จากข้อมูลที่ผมนำมาให้อ่าน จะเห็นได้ว่ามีการปั่นราคากันถึง 3 เท่า ประเด็นที่น่าคิดคือ ทำไมจึงมีคนเชื่อ หรือพวกเศรษฐีพวกนี้เป็นคนโง่และหูเบา จะว่าเขาศรัทธาในพระพุทธศาสนาก็ไม่ใช่ แต่เหตุผลที่เขาลงทุนไปขนาดนั้น เพราะพระเครื่องนั้นเข้มขลังจริง ในเรื่องตัวอย่างพุทธคุณพระสมเด็จ ผมคงไม่ต้องยกมาอ้างแล้วน่ะครับ ผมโพสเรื่องพระสมเด็จไว้มากจริงๆ ในหมวดสมเด็จโต
     
  9. พญายา

    พญายา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,265
    ค่าพลัง:
    +8,171
    เป็นสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ให้ ฟังเขามาอีกที
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กุมภาพันธ์ 2015
  10. หนวดเต่า

    หนวดเต่า Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +65
    ผมเคยสงสัยว่าเหตุใด หลวงปู่ทิมท่านสร้างพระผงที่มีส่วนผสมจากกระดูกผี
    ทั้งที่ท่านเป็นพระสายปฎิบัติ
    เท่าที่ได้ค้นคว้าดูก็ได้คำตอบประมาณดังนี้
    ท่านว่าพราย(เด็กที่ตายในท้องแม่)นั้นยังไม่มีโอกาสที่จะไปเกิดได้ง่ายๆ และไม่มีโอกาสที่จะได้ทำบุญกุศลได้ ท่านจึงได้นำพรายมาทำประโยชน์กับพระพุทธศาสนา เพื่อจะให้พรายนั้น ได้บุญกุศลนั้นด้วย
    ผมเองก็งง ว่าทำไม่พรายที่ว่านั้นจึงยังไม่ไปเกิดได้ง่ายอย่างที่ท่านกล่าว
    ก็เลยได้ค้นคว้าต่อตามความเข้าใจและความเชื่อที่ว่า
    คนที่ตายก่อนอายุขัยนั้น จะต้องรอจนกว่าถึงอายุไขจริงจึงจะไปเกิดได้ ในระหว่างนั้นจะต้องเป็นสัมภเวสี จนกว่าจะถึงอายุไขจริงจึงจะได้ไป
    ส่วนพรายนั้น ขณะถึงเวลาที่จะเกิด ก็ไม่สามารถเกิดได้ และลองนึกดูเมื่อถึงอายุไขที่จะต้องตาย ก็ไม่รู้ว่าจะตายได้อย่างไร ต้องอยู่ในสภาพที่คาราซังอยู่อย่างนั้น โอกาสที่จะสร้างบุญกุศลใดๆก็ไม่ได้ ผมก็เลยนึกถึงคำพูดของหลวงปู่ทิมว่า พรายนั้นยังไม่มีโอกาสที่จะไปเกิดได้ง่ายๆ ท่านจึงได้นำพรายมาช่วยงานพุทธศาสนา โดยนำมาทำวัตถุมงคลเพื่อแจกจ่ายให้กับผู้ที่ร่วมทำบุญกับท่าน เพื่อให้พรายนั้นมีโอกาสที่จะได้บุญกุศลนั้นด้วย นั่นคือเจตนาของหลวงปู่เท่าที่ผมพอทราบครับ
    ส่วนท่านอื่นๆที่นำพรายมาใช้นั้นก็แท้แต่เจตนาของแต่ละท่านละครับแต่เจตนาของหลวงปู่ทิมที่ผมพอทราบก็มีเท่านี้ จะได้เข้าใจเจตนาของหลวงปู่และไม่หลงไปปรามาสท่านนะครับ
    ท้ายนี้ สิงใดอันไม่เหมาะไม่ควร อันอาจก้าวล่วงหลวงปู่ทิม วัดระหารไร่ผมขอกราบขอขมาต่อหลวงปู่ ณ ทีนี้ด้วยครับ
     
  11. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,946
    ขอบคุณค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...