เพจ บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ, 19 กันยายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    ศรัทธาจริต-จริต ๖ ชุดทูลถวาย
    โดยพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

    สำหรับในตอนนี้ อาตมาก็ขอถวายพระพรในเรื่องของ ศรัทธาจริต สำหรับศรัทธาจริตนี้ก็รู้สึกว่า ถ้าจิตใจของบุคคลใดหนักในด้านศรัทธา จะมีกำไรมาก แต่ทว่าทั้งนี้ก็เว้นไว้แต่ว่า จะต้องมีผู้นำในทางที่ดี คนที่มีศรัทธาจริต องค์สมเด็จพระธรรมสามิตร์ทรงตรัสว่า เป็นคนเชื่อง่าย ในเมื่อท่านผู้นั้นเป็นคนเชื่อง่าย ถ้าใครจูงไปในทางที่ผิดก็ผิดง่าย ถ้าผู้จูงจูงไปทางที่ถูกก็ถูกง่าย ถ้าจูงไปหาความเลวก็เลวง่าย จูงไปหาความดีก็ดีง่าย ทีนี้ถ้าหากว่า ท่านผู้ชัก ผู้จูง ผู้แนะ ผู้นำ เป็นผู้ที่ทรงความดีอยู่เป็นปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าท่านผู้นั้นเป็นพระอริยเจ้า ก็จะสามารถดึงเอาบุคคลผู้มีอารมณ์ทรงศรัทธาจริตเป็นพระอริยเจ้าได้ง่าย

    ฉะนั้น สำหรับท่านที่ทรงศรัทธาจริตอยู่ อาตมาเห็นว่า เป็นจริตที่มีกำไรมาก เพราะว่าเขาสามารถจะเข้าถึงฌานสมาบัติ เข้าถึงมรรคถึงผลตั้งแต่เบื้องต่ำถึงเบื้องสูงได้โดยไม่ยาก เพราะว่าเป็นคนเชื่ออยู่แล้ว

    ทีนี้ความเชื่อที่จะต้องแก้ เพราะว่าความเชื่อมีได้ ๒ สถาน คือ เชื่อในทางที่ผิดเขาก็เชื่อ ในทางที่ถูกก็เชื่อ การเชื่อในทางที่ผิด ใครแนะนำประการใดมา ก็เชื่อทันที อันนี้องค์สมเด็จพระมหามุนีกล่าวว่าเป็น อธิโมกขศรัทธา การน้อมใจเชื่อ เป็นของไม่ดี มักจะเดินทางไปในสายที่ผิดได้

    ฉะนั้น องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงทรงแนะนำไว้ว่า ถ้าจะเชื่อก็ควรใช้ปัญญาช่วยพิจารณาด้วย ที่ตามพระบาลีบอกว่า ต้องใช้ศรัทธาสัมปยุตไปด้วยปัญญา คำว่า สัมปยุต ก็แปลว่า ประกอบ เอาปัญญาช่วย เชื่อด้วย ใช้ปัญญาพิจารณาด้วย ตัวปัญญาตัวนี้น่าจะเป็นพุทธจริต

    -จริต-๖-ชุดทูล.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  2. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำเล่าเรื่อง “พระเยซู”

    “ฉันมีเรื่องจะเล่าให้ฟังเรื่องหนึ่ง คือเรื่อง พระเยซู ประมาณเมื่อ ๑๐ ปี เกือบ ๒๐ ปีแล้ว ได้ไปที่บางนกแขวกที่วัดคริสต์นั่นนะ คือว่าบาทหลวงบางคนเขาไปที่กรุงเทพฯ แล้วก็ชอบๆกัน เพราะสมัยนั้นฉันเรียนทั้งพุทธทั้งคริสต์ ไอ้ที่เรียนคริสต์ ไม่ใช่ไปเรียนมี่โรงเรียน แต่คุยกัน ตอนนั้นพวกกุลีจีน เขามาคุยแลกเปลี่ยน แต่ความจริงนักศาสนาจริงๆ เขาไม่ทะเลาะกันนะ ต่อไปก็ไปที่โน่นไปเยี่ยมเขา คุยไปคุยมาเขาถามว่า ท่านทราบไหมว่า พระพุทธเจ้าท่านอยู่ไหน บอกว่า รู้

    ถามว่า เคยคุยไหม ก็บอกฉันไปหาท่านทุกวัน ท่านอยู่ที่นิพพาน ก็ถามเขาว่า แล้วพระเจ้าของแกอยู่ที่ไหน เขาบอก ไม่รู้ ถามว่า เคยเห็นไหม บอก ไม่เคยเห็น เลยบอกว่า แหม?ไอ้คนโง่ๆ ประเภทนี้ก็มีด้วย ก็คุยสนุกๆก็บอก ไอ้นั่งอยู่ที่นี่ ๕-๖ คน มันโง่ทั้งนั้น นับถือส่งเดชไม่มีหลักฐาน เขาบอกมีคำสอน ใครสอนก็ไม่รู้ บอกต้องหาตัวคนสอนให้ได้ ก็คุยสนุกสนานไป เขาเลยถามว่าท่านเคยเห็นพระเยซูของผมไหมครับ บอกว่า ไม่เคยสนใจ แล้วก็คุยเรื่องอื่นต่อไป

    แล้วต่อมาก็กลับมาที่พัก ธรรมดาของพระ พระก่อนจะนอนก็ทำงานของพระก่อน ทำจิตใจให้สะอาดสบาย ไม่งั้นนอนไม่สบาย พอเริ่มทำสมาธิจับอารมณ์ จิตมันหลุดเลยพอโผล่พลุ้บถึงดาวดึงส์ ไปโผล่ช่องระหว่างพระจุฬามณีกับบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ไปเดินป๋อที ่นั่น พอขึ้นไปเดินไปก็มีบาทหลวงคนหนึ่งเดินสวนทางมา เดินตรงมาข้างหน้า ก็เลยถามว่า พระเยซูใช่ไหม?? ตามธรรมดาอารมณ์เป็นทิพย์มันจะบอกเลยว่าใครเป็นใคร ถ้ายังสงสัยก็ยังใช้ไม่ได้ ความเป็นทิพย์มันจะบอกชัด จะไปสงสัยไม่ได้เลย ท่านก็บอกใช่ครับ ถามว่า ทำไมถึงแต่งตัวรุ่มร่ามอย่างนี้ละ บนสวรรค์เขาแต่งตัวอย่างนี้เรอะ ท่านบอกว่า เอ้า?ถ้าผมไม่แต่งตัวแบบนี้ เกรงว่าท่านจะจำไม่ได้จะสงสัย

    ถ้ายังงั้นสภาพความจริงของท่านเป็นยังไง ท่านก็ทำให้ดูภาพนั้นก็หายไป กลายเป็นภาพเทวดาสวยงามมาก เครื่องประดับขาวแพล้บเรียกว่าจับตาเลย เป็นประกายแวววับ ชฎาก็แหลมเปี๊ยบ ถามว่า อยู่ที่ไหน บอกว่า อยู่ชั้นดุสิตพอบอกอยู่ชั้นดุสิตเราตกใจ ต้องเป็นพระโพธิสัตว์แหงๆ เขาไม่ใช่ต่ำนะ ก็คุยไปคุยมาบอกว่าคำสอนของท่านมันผิดอยู่ข้อหนึ่งนะ ถามว่า ผิดยังไง ก็บอกว่า ไอ้ล้างบาป ถ่ายบาป ซื้อบาป จำนำบาปนั่นนะ ไอ้คนที่มันทำความชั่วแล้ว มันทำลายได้เรอะ อย่างกับเนื้อของเราถูกตัดเฉือนไปเป็นแผลนี่ เราจะเอาเงินไปแลกเนื้อใครเขาได้ที่ไหน จ่ายเงินให้เขาแล้วแผลมันหายหรือ ท่านบอกว่าความจริงผมไม่ได้สอนอย่างนั้นนะครับ ความจริงที่ผมสอนนั้น สอนให้สารภาพบาป แบบกับพระแสดงอาบัตินะ อาการสารภาพบาปคือ ไปทำความชั่วมาจากไหน เราจะได้ไม่ทำต่อไป นี่คำสอนเขาแบบนี้นะ นี่ตอนหลังเขามาเซ็งลี้กัน พอล้างบาป สารภาพบาป พอจ่ายสตางค์แล้วบาปหายเลยบาปทั้งสองคน ไอ้คนก่อนก็ไม่หมดบาปเพราะโกหกโกงสตางค์เขาอีกด้วย ก็เลยเข้าใจ

    พอกลับมาก็มานั่งคิดว่า พระเยซูนี่เป็นพระโพธิสัตว์ที่อยู่ชั้นดุสิตต้องมีบารมีเข้มแข็ งมาก ถ้าไม่เข้มแข็งเข้าชั้นนี้ไม่ได้ เพราะชั้นนี้เข้าได้ ๓ พวก คือพุทธบิดาพุทธมารดาของพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเข้มแข็งแล้ว แล้วก็พระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป จึงจะอยู่ชั้นนี้ได้ สวรรค์ทุกชั้นไม่ใช่ว่าใครจะอยู่ได้ทุกชั้นนะ ต้องเป็นไปตามขั้น ก็เลยมานั่งนึกว่า ทำไมมาอยู่ชั้นดุสิตได้ เขาต้องเป็นพระโพธิสัตว์ มาดูอารมณ์ของท่านตอนหนึ่ง ที่เขาเรียกว่าไม้กางเขนนะ คือไม้กางแขน สระแอหายไป เหลือสระเอ มันลด คือกางแขนถูกตะปูตอก ถ้าจิตไม่ดีพอเขาจะเป็นเทวดาไม่ได้ ตามพระบาลีบอกว่าถ้าจิตเศร้าหมองก่อนจะตายไปก็ต้องลงอบายภูมิ นั่นเขาถูกเจ็บขนาดนั้น เขายังไม่โกรธ คุณลองคิดดูให้ดี ไม่ใช่เรื่องเล็กนะเขาใหญ่มาก ใช่ไหม?

    ไอ้จิตเศร้าหมองนิดเดียว ทำความดีไว้มากตลอดชีวิต แต่เวลาตายจิตเศร้าหมองหน่อยก็ต้องลงนรกหน่อย อย่างพระนางมัลลิกาเทวี นั่นคนดีตลอดชาติ เวลาตายจิตคิดถึงที่เคยไปสะดุดเท้าของสามีนิดเดียว ความจริงโทษแกไม่มี ถ้าจิตไม่เศร้าหมองก็ไม่ลง แต่งตัวเป็นนางฟ้า เท้าแหย่ในนรก ๗ วันในมนุษย์ต้องคิด ถ้า ๗ วันแรกนรกก็ซวยเลย”

    แหล่งที่มา :
    หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม
    ฉบับพิเศษ เล่ม ๓
    สนทนาธรรมกับ หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร

    .jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  3. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    การเคาะโลงศพบอก คนตายรับรู้หรือไม่?
    หลวงพ่อฤๅษีฯ ตอบปัญหาธรรม

    “…เวลาทำบุญให้คนตาย เคยพบเห็นบ่อยเวลาพระจะสวดมนต์ ลูกหลานหรือเจ้าภาพก็จะไปเคาะโลงบอก “ฟังสวดมนต์นะ” เวลาพระจะให้ศีลก็ไปเคาะโลงบอก “รับศีลนะ” พอเอาอาหารไปวางก็เคาะโลงบอก “กินข้าวนะ”ความจริงคนตายแล้วไม่มีสิทธิ์ที่จะกินของที่เอาไปวางให้กิน ผีมีสิทธิ์โมทนาในผลบุญที่มีผู้ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลไปให้เท่านั้น เราจะทำอย่างไรผู้ตายจึงได้รับ ในชาดกมีเรื่องหนึ่งเป็นตัวอย่าง คือ…

    มีอุบาสกคนหนึ่งนั่งเจริญพระกรรมฐานในที่สงัด ปรากฏว่าภรรยาที่ตายไปแล้วมาแสดงตัว มีแต่ซี่โครงขึ้นเป็นแถวและผ้าผ่อนท่อนสไบไม่มีนุ่ง ท่านผู้นี้จึงถามว่า “เธอเป็นใคร” ตอบว่า “ฉันเป็นภรรยาของท่าน เมื่อตายไปแล้ว อาศัยที่จิตเป็นอกุศล ขณะมีชีวิตอยู่เป็นคนไม่ทำบุญทำทานและก็เป็นคนใจร้าย จึงเป็นเหตุให้ไปเกิดเป็นเปรต เวลานี้มีความหิวโหยมาก หนาวก็หนาว ร้อนก็ร้อน มีทั้งหนาวและร้อนเพราะไม่มีผ้าปิดกายและหิวอาหารมาก เพราะไม่มีอะไรจะกิน”ท่านสามีก็บอกว่า “ไปบ้านสิ มีของกินมากมาย เลือกกินเอาตามชอบใจ เหมือนกับสมัยที่เธอยังมีชีวิตอยู่”ผีเปรตจึงบอกว่า “สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าท่านจะเอามาวางไว้ในมือของเรา มันก็ไม่เกิดประโยชน์ เพราะว่าเราไม่มีสิทธิ์ที่จะกินที่จะใช้ในวัตถุ”ท่านสามีจึงถามว่า “ถ้าฉันต้องการจะสงเคราะห์เธอ ทำอย่างไรเธอจึงจะได้ล่ะ”เธอก็บอกว่า “ขอให้ท่านนำเอาของไปถวายแก่สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านใดท่านหนึ่ง คือต้องการให้มีผ้าก็ขอให้นำผ้าไปถวาย ต้องการให้มีร่างกายสมบูรณ์ ร่างกายเป็นทิพย์ก็นำอาหารไปถวาย และก็อุทิศส่วนกุศลไปให้ฉัน ฉันจึงจะได้”ท่านสามีจึงนำของไปถวายแด่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา และก็อุทิศส่วนกุศลไปให้เธอพอรุ่งขึ้นอีกคืนหนึ่งเธอก็มาแสดงตนใหม่ตอนที่ท่านสามีนั่งเจริญพระกรรมฐาน มาคราวนี้เป็นนางฟ้าสวยแจ๋ว ใสสว่าง มีวิมานทองคำมาปรากฏชัดท่านสามีจำไม่ได้จึงถามว่า “เธอเป็นนางฟ้าเพราะบำเพ็ญบารมีอะไร ร่างกายจึงประดับประดาไปด้วยเครื่องอาภรณ์อันเป็นทิพย์ สวยสดงดงามมีแสงสว่างไปทั่วทิศ และก็มีวิมานทองคำ”นางฟ้าองค์นั้นก็ตอบว่า “ท่านจำไม่ได้หรือ เมื่อคืนที่แล้วที่ผ่านมาน่ะ”ก็เป็นอันว่าผลที่ผู้ตายจะพึงได้รับ ต้องได้จากการโมทนาในบุญกุศลที่อุทิศไปให้ ไม่ใช่ได้จากการไปเคาะโลงหรือได้จากการเอาของไปให้เฉยๆ”

    จากหนังสือ : ตายแล้วไม่สูญ..แล้วไปไหน
    เรื่อง : ภรรยาตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นเปรตมาขอบุญขณะสามีเจริญพระกรรมฐาน

    -คนตายรั.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  4. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    วิธีแก้การทดสอบจากเทวดา โดย หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

    การต้องถูกพิสูจน์นี่มีน้อยคน ไม่ใช่ทุกคน ท่านที่ถูกพิสูจน์อย่างหนักจริงๆ หนักมากก็ต้องเป็นพวกที่มาจากพระโพธิสัตว์ อดีตเคยปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน อยากเป็นพระพุทธเจ้า การที่จะเป็นพระพุทธเจ้าได้ก็ต้องถือว่าจอมทัพ ท่านที่จะเป็นจอมทัพปราบข้าศึกคือ กิเลส ต้องมีความเข้มแข็งมาก
    ท่านพวกนี้จะถูกพิสูจน์ด้วยเทวดาชั้นจาตุมหาราชซึ่งเป็นเทวดาผู้ทรงณาน แต่เทวดาเขาจะพิสูจน์เราก็ต่อเมื่อเราไม่กลัว ถ้าเรายังกลัวอยู่เขาไม่มาหรอก เสียเวลา และท่านพวกนี้ต้องมาจากสายพุทธภูมิ สายสาวกภูมิเขาไม่ลองมากเดี๋ยวเป็นบ้าไปเลย ดีไม่ดีเดี๋ยวเลิก เพราะกำลังใจอ่อนการทดลองของเขาก็ไม่ซ้ำแบบ ถ้าเรากลัวเขาก็เลิก หรือเราไม่รู้จักกลัวเขาก็เลิก คนไม่กลัวจริงๆ นี่เลยบาท
    กำลังใจของ คนทุกคน อาจสู้กันไปสู้กันมา สู้ให้พ้นความตายเหมือนสู้กับข้าศึก คนเลยบาทคิดสู้เอาชีวิตเป็นเดิมพันว่าร่างกายนี้นี่จะตายก็ช่างมัน แต่ความดีส่วนหนึ่งต้องเอาให้ได้ ถ้าความดีส่วนนี้เราไม่ได้เพียงใดเราจะไม่ยอมเลิกเด็ดขาด มันจะตายก็ยอม เรียกว่า รักธรรมะยิ่งกว่ารักชีวิต อย่างนี้เขาเรียก “คนเกินบาท” มีกำลังใจเข้มแข็งมาก
    บทพิสูจน์ของเทวดา ถ้าอารมณ์เข้าถึงขั้นใกล้จะเป็นพระอริยเจ้า โดยเฉพาะถ้าท่านพุทธบริษัทเคยปรารถนาพุทธภูมิมาก่อนจึงจะมีวิธี ป้องกันตัว คือ ภาวนาหรือพิจารณาคิดว่า “มันจะตายเวลานี้ก็เชิญ ถ้าตายเวลานี้อย่างเลวเราไปสวรรค์ อย่างกลางไปพรหมโลก อย่างสูงสุดเราไปนิพพาน อะไรจะเกิดขึ้นอย่างไรก็ตาม เราไม่ยอมหวั่นไหวไม่ยอมแพ้”

    .jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  5. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    ผู้ที่ลืมแก้บน
    เนื่องในวันวิสาขบูชาที่ผ่านมานี้(8 พ.ค. 33 ) หลวงพ่อได้ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ ท่านได้เตือนผู้ที่เคยบนไว้แต่ลืมแก้บน และจำไม่ได้ว่าบนอะไรไว้บ้าง ต่อมามีผู้มาถามกันมากว่าควรจะปฏิบัติอย่างไร หลวงพ่อท่านได้แนะนำไว้ว่า ให้จัดของแก้บนดังนี้
    บายศรีปากชาม 7 ชั้น ข้าวปากหม้อ ไก่ต้ม 1 ตัว หัวหมู 1 ตัว
    ท่านให้ปูผ้าขาวตั้งเครื่องสังเวยเหล่านี้บนโต๊ะกลางแจ้ง จุดธูปเทียนอธิฐานขอให้ท่านผู้มีพระคุณได้โปรดรับเครื่องสังเวยที่ข้าพเจ้าได้เคยบนไว้ และขอให้อดโทษแก่ข้าพเจ้าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเถิด

    ที่มา หนังสือ ทุกคนอยากรู้ หน้าที่62 โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

    .jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  6. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงลาจากพุทธภูมิ

    เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2533 เมื่อ พ.ศ. 2500 อาตมา (หลวงพ่อฤาษี) ป่วยหนัก ไปนอนพักรักษาตัวที่กรมแพทย์ทหารเรือ (ปัจจุบัน – โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า) ไปนอนอยู่ที่ตึก 1 เป็นห้องพิเศษ เวลาประมาณ 4 ทุ่มเศษๆ ไฟฟ้าในห้องยังไม่ดับและประตูก็ใส่กลอนแล้ว ถึงเวลานอน นอนคนเดียวยังไม่หลับ ปรากฎว่ามีคนๆหนึ่งมายืนอยู่ข้างเตียง เป็นชายลักษณะเป็นคนล่ำๆ ท่าทางแข็งแรงทะมัดทะแมงปราดเปรียวมาก เป็นคนผิวขาว หน้าค่อนข้างจะสี่เหลี่ยมนิดๆ แต่มีเนื้อเต็ม นุ่งกางเกงขาสั้นสีขาวเหนือเข่านิดหนึ่ง ใส่เสื้อแขนสั้นสีขาวเหนือศอกหน่อย

    ก่อนที่อาตมาจะเห็นท่านผู้นี้ ก็เพราะขณะที่ไปนอนป่วยอยุ่ที่นั่นก็มีความรู้สึกว่า บรรดาผีทั้งหลายอาจจะแกล้งได้ง่าย เนื่องจากกำลังใจของคนป่วยความเข้มแข็งน้อย ก็นึกว่าในที่นี้เป็นเขตพระราชฐานของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จึงขอพึ่งบารมีท่านให้คุ้มครอง พอท่านมายืนก็มองเห็นไม่ต้องหลับตาไม่ต้องเข้าฌาน ในเมื่อผีจะแสดงตัวให้ปรากฎ แต่ความกลัวไม่มีเพราะเรื่องนี้ชินมาตั้งแต่บวชพรรษาที่ 1 ก็เลยถามท่านว่า “ท่านเป็นใคร” ท่านผู้นั้นก็ถามว่า “เมื่อกี้ท่านนึกถึงใคร” ก็ตอบท่านว่า “นึกถึงสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช”

    ท่านก็บอกว่า “ผมนี่แหละ พระเจ้าตากสินมหาราช” ก็เลยมองไปมองมา ดูลักษณะการแต่งตัวของท่าน ท่านถามว่า “มองอะไร” ก็บอกว่า “มองดูลักษณะพระเจ้าตากสินมหาราช” ท่านถามว่า “เชื่อหรือยังว่าเป็นพระเจ้าตากสินมหาราช” ตอบว่า”ยังไม่เชื่อ ที่มองเพราะยังไม่เชื่อ” ท่านถามว่า “ไม่เชื่อตรงไหน” ก็บอกว่า “ไม่เชื่อตรงกางเกงกับเสื้อเพราะพระมหากษัตริย์ไม่น่าจะนุ่งแบบนี้” ท่านถามว่า “กษัตริย์ต้องทรงเครื่องกษัตริย์นอนเชียวหรือ นี่มัน 4 ทุ่มกว่าแล้วนะ” ก็บอกว่า “จะรู้ได้อย่างไรในเมื่อเป็นกษัตริย์ เวลาเป็นผีมาแสดงตนให้ปรากฎ ก็ต้องใช้เครื่องทรงแบบกษัตริย์” ท่านบอกว่า “ใช้เครื่องทรงกษัตริย์ก็ได้” พอพูดจบเครื่องทรงก็เป็นกษัตริย์ ท่านถามว่า “เชื่อหรือยัง “ ตอบว่า “ตอนนี้เชื่อแล้ว”

    ต่อมาก็คุยกันตั้งแต่ 4 ทุ่มเศษๆ ถึงตี 5 ครึ่ง คุยกันเรื่องในอดีต ความเป็นมาของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ตั้งแต่เป็นเด็กชายสินไว้หางเปีย จนกระทั้งถึงขั้นวางแผนให้รัชกาลที่ 1 เป็นพระมหากษัตริย์ เป็นการยืนยันว่าพระองค์ไม่ได้ถูกรัชกาลที่ 1 ประหารชีวิต เมื่อรัชกาลที่ 1 ขึ้นเถลิงราชสมบัติแล้ว ก็นำสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ท่านบวชเป็นพระแล้วนั่งคานหามไปส่งออกทางปากท่อ ตอนกลางคืน ไปส่งที่ถ้ำในจังหวัดนครศรีธรรมราช ลูกชายของท่านมีสองคน คนพี่ให้เป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชจะได้บำรุงพ่อ คนน้องก็ให้ทุนเป็นพ่อค้าสำเภา เป็นการหาทรัพย์สินเข้าเมือง เป็นการยืนยันว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ก่อนจะสวรรคตเป็นพระสงฆ์ ไม่ได้ถูกฆ่าตาย พระองค์สวรรคตที่นครศรีธรรมราช ถ้ำที่ท่านพักก็ยังอยู่ กุฎิหลังนั้นเขาทำเลียนแบบไว้ แต่ความจริงกุฎิที่อยู่จริงๆ ดีกว่านั้น เขาทำให้มีความผาสุก กว่านั้น ออกจากถ้ำท่านก็มีที่พัก มีห้องพักแบบสบายๆ ความจริงท่านไม่ได้สั่ง แต่ลูกชายเป็นคนสร้างให้ ท่านอยู่ด้วยความสงบ คนที่เป็นกษัตริย์มาแล้ว เป็นทุกอย่างมาแล้ว มันก็หมดความโลภ ความโกรธ ความหลง และก็เป็นคนแก่ด้วย ก็หมดความรัก ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมของท่านก็เป็นไปด้วยความเคร่งครัด แต่ไม่ได้เคร่งเครียด คำว่า “เคร่งครัด” คือ “ปฎิบัติตรงไปตรงมา ในมัชฌิมาปฎิปทา”

    ก่อนท่านจะลากลับ อาตมาถามว่า “ขอหวยสัก 2 ตัวได้ไหม” ท่านบอกว่า “สมัยผมมีแต่หวยจัยยี่กี หวยแบบเลขท้าย 3 ตัว 2 ตัว แบบนี้ไม่มี เรื่องหวยนี่ผมไม่รู้หรอก แต่เวลานี้ผมมีสตางค์ติดกระเป๋ามาเพียง แค่ 25 สตางค์ ผมขอถวายหมด” พูดแล้วท่านก็หยิบเหรียญโยนไปใต้เตียงเห็นเลข 25 ใสแจ๋ว พอตอนเช้าบรรดาพยาบาล และนายทหารประจำตึกมาถามว่า “เมื่อคืนมีอะไรบ้างครับ” ก็เลยเล่าให้ฟังว่าเมื่อคืนสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชมาเยี่ยม ขอ หวยท่าน ท่านบอกว่าไม่มี มีแต่เงินเหรียญ 25 สตางค์ แล้วท่านก็โยนเหรียญไปใต้เตียง ปรากฎว่าภายในวันนั้นข่าวกระจายไปทั่วกรมอู่ ทุกคนเล่นเลยท้าย 2 ตัว ถูกกันมาก ต่อมาวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2533 วันนั้น พ.อ.สถาพร ได้นำดาบเล่มหนึ่งมาจากเมืองตาก เขาบอกว่าเป็นดาบของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เพื่อมาให้เจ้ากรมการสัตว์หหารบกที่จังหวัดนครปฐม คืนนั้นก็นำดาบตั้งไว้ที่มีเครื่องสักการะ พอตอนดึกเวลาประมาณสัก 6 ทุ่ม เวลาจะนอน ก็ทำจิตเป็นสมาธิตามปกติของพระ ก็เห็นภาพสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ สวยงามมากมาที่ดาบ ถามท่านว่า “มาทำไม” ท่านบอกว่า”ก็เขาว่าดาบของผมนี่ครับ ผมก็มาทำให้มันหน่อย” ถามว่า ทำแล้วจะมีประโยชน์อะไรบ้าง” ท่านก็บอกว่า “ประโยชน์มี”

    หลังจากนั้นก็คุยกันถามว่า “เวลานี้ลาจากพุทธภูมิหรือยัง” ท่านบอกว่า “ยังไม่ได้ลา” จึงถามว่า “ตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้าจริงๆ หรือ “ ท่านบอกว่า “เวลานี้พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเต็มรอคิวกันยาวเหยียด ผมก็อยากจะลาพุทธภูมเหมือนกัน แต่ก็ไม่แนใจว่าถ้าลาแล้วจะมีผลเป็นประการใด” ก็เลยบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นไปคุยกับพระกันดีกว่า ไปด้วยกันไหม” ท่านบอกว่า “ไปซิ ที่มานี่ก็จะมาชวนไปหาพระด้วยกัน”

    เมื่อไปถึงกราบท่านแล้วก็ถามว่า เวลานี้เทวดาสิน เป็นพระโพธิสัตว์ อยากจะทราบว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่เท่าไร หลังจากพระศรีอาริย์ไปแล้ว” พระท่านก็บอกว่า”จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 30 หลังพระศรีอาริย์นิพพานแล้ว” ก็เล่นเอาเทวดาสิน ต้องไปนั่งยิ้มที่ชั้นดุสิตอีกถึง 30 พระพุทธเจ้า ก็เลยถามพระว่า “ถ้าเทวดาสินจะลาจากพุทธภูมิ เมื่อไรจะไปนิพพาน” ท่านบอกว่า “เทวดาสินนี่ ถ้าหากลาจากพุทธภูมิเป็นสาวกภูมิ กำลังเต็มมานานแล้ว ก็เหลือแต่ เอหิภิกขุ เท่านั้นก็พอแล้ว ถ้าตรัสว่า เอหิภิกขุ เทวดาสินก็เป็นพระสมบูรณ์แบบ” ท่านก็เลยเข้าไปกราบพระ พระท่านก็บอกว่า “เอหิภิกขุ เจ้าจงเป็นภิกษุมาเถิด” เพียงเท่านี้ เทวดา สินก็กลับสภาพจากเทวดา เป็นวิสุทธิเทพ

    นี่เป็นเรื่องของนิมิตลืมตา ไม่ใช่นิมิตหลับตา ไม่ได้เข้าฌานสมาบัติ ถ้าถามว่า “ถ้าไม่เข้าฌานสมาบัติ แล้วรู้ได้อย่างไร” ก็บอกว่า “ท่านแสดงภาพให้รู้ มันก็รู้ด้วยกันทุกคนแหละ ไม่ว่าใคร “คนที่เห็นผีเข้าฌานหรือเปล่า เดินไปแล้วก็ถูกผีหลอก ต้องเข้าฌานหรือเปล่า สภาพนี้ก็เหมือนกัน ผีไม่ได้หลอกแต่ว่าผีมาชวนคุย ผีมาบอกตามความเป็นจริง ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าฌานสมาบัติ…”

    จากหนังสือ: ตายไม่สูญแล้วไปไหน
    โดย: หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

    1504565112_569_สมเด็จพระเจ้าตากสินมหา.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  7. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    ขอพูดถึงวิธีที่จะปฏิบัติยามปกติ เราพยายามลืมเสียให้หมด ลืมว่าคนนั้นเขาว่าเรา คนนั้นเขาด่าเรา คนนั้นเขาเกลียดเรา คนนี้เขารักเรา คนนั้นเขาสรรญเสริญเรา อารมณ์ขุ่นมัวทั้งหลายที่ปรากฏ อยู่ในโลกธรรมลืมมันเสียมันจะมีลาภหรืไม่มีลาภก็ช่างมัน ลาภมีแล้วมันจะหมดไปก็ช่างมัน ยศถาบรรดาศักดิ์เขาจะให้หรือไม่ให้ก็ช่างมัน ลืมมัน อารมณ์อย่างนี้ลืมมัน

    เมื่อได้ยศมาแล้ว เขาจะเรียกคืนไปก็ช่างมัน หรือว่าการสรรเสริญนินทาจะมาจากทางไหนก็ช่างมัน ความสุขความทุกข์จากอารมณ์ทางกายทางใจ ไม่มีความสำคัญสำหรับเรา เราลืมโลกธรรม ๘ ประการเสีย จงพยายามลืม ฝึกลืม อย่าสนใจ

    แล้วก็ลืมคำปรามาสทั้งหลาย ลืมอารมณ์ของความชั่วที่คิดว่าผู้ใหญ่ไม่ดี ลำเอียงรักคนนั้นมาก รักคนนี้มาก คนนั้นไม่ดี คนนี้ไม่ดี คนนั้นพูดไม่ถูกใจเรา คนนี้เอาใจเรา ลืมมันเสีย เพราะว่านั่นเป็นอารมณ์แห่งความเลว.

    จากหนังสือ คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่มที่ ๔๓ โดย…หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    .jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  8. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง

    คำว่า จิตว่าง จากอารมณ์ต่างๆ จริงๆ ไม่มี ก็มีอย่างเดียวที่พระพุทธเจ้าต้องการคือให้ว่างจากอารมณ์ชั่ว เกาะอารมณ์ดีฝ่ายเดียว ตอนนี้มีญาติโยมมาถามว่า ต้องพยายามละทั้งอารมณ์ชั่วอารมณ์ดี อย่างนี้ไม่ถูก ละแต่อารมณ์ชั่วอย่างเดียว เกาะอารมณ์ดีไว้ ถ้าเราดีน้อย ตายจากความเป็นคนก็กลับมาเกิดเป็นคน แต่ก็เป็นคนชั้นดีหน่อย ดีมากขึ้นไปนิดหนึ่ง ตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดบนสวรรค์ เป็นเทวดาหรือนางฟ้า ถ้าดีมากไปหน่อย มีจิตมั่นคงมาก ก็ไปเกิดเป็นพรหม ถ้าดีถึงที่สุดไปพระนิพพาน ดีถึงที่สุดหมายความว่า ไม่มีเลว.

    จากหนังสือ โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่มที่ ๓ หน้าที่ ๖ โดย…หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    .jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  9. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    คำอธิษฐานปีใหม่

    ผู้ถาม : ที่หลวงพ่อบอกว่า ให้นั่งหน้าพระพุทธรูปแล้วอธิษฐานว่า ความรวยจงปรากฏ มันเป็นอย่างไรครับ ?

    หลวงพ่อ : ล้อ ” เจ้าขวัญ ” มันว่า ถ้าอยากรวยก็เอาแบบนี้ซิ 5 ทุ่ม 45 นาทีใกล้ๆจะ 6 ทุ่มใช่ไหมเล่า ก็ไปนั่งหน้าพระพุทธรูป บูชาพระ นึกถึงพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ เทวดา และพรหมทั้งหมด ครูบาอาจารย์ ผู้มีคุณทั้งหมด บูชาท่านขอลาภ

    ‘ขอให้ความซวยทั้งหมด ความยากจน จงไปกับปีเก่า
    แล้วความรวย ความดี ความโชคดี จงมากับปีใหม่ ‘

    หลังจากนั้นก็ ภาวนา คาถาเงินล้าน เรื่อยๆไป พอนาฬิกาตีเป๊ง..ขึ้นปีใหม่ ” ขอให้ความซวย จงหายไปพร้อมกับปีเก่า ฉันต้องการความรวย จากปีใหม่ ”

    ผู้ถาม : อ๋อ….หลวงพ่อพูดกับ ขวัญ เหรอ ?

    หลวงพ่อ : ใช่

    ผู้ถาม : แล้ว ลูกๆหลานๆ ที่ไม่ใช่ขวัญ จะได้ไหมครับ ?

    หลวงพ่อ : ก็มีขวัญนี่ ลองก้มหัวดู คนไหนไม่มีขวัญทำไม่ได้ ความจริงไม่ต้องรอดึกก็ได้ ถึงวัด ถึงบ้าน อาบน้ำ สวดมนต์ไหว้พระ ก็อธิษฐานก่อนนอนเลยก็ได้ ไม่ต้องรอถึงเวลานั้น

    คำอธิษฐานได้ผล

    ผู้ถาม : กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง เมื่อคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2531 นี้ ลูกได้ทำตามคำแนะนำของหลวงพ่อที่อธิษฐานว่า ” ความซวยจงหมดไป พร้อมกับปีเก่า และขอความร่ำรวย จงมาพร้อมกับปีใหม่ 2532 นี้ ” ปรากฏว่าวันนี้การค้าของลูกคล่องตัว ลูกอยู่ในโอวาท (แหม..นี่แกคงจะดีใจว่า ลูกอยู่ในโอวาทนะ) หากลูกจะอธิษฐานอย่างนี้ทุกคืนๆ ไป จะผิดกฏที่เทวดาเขาสงเคราะห์อยู่ในเวลานี้หรือเปล่าเจ้าคะ ?

    หลวงพ่อ : ดีมาก ถ้าทำตามนั้นนะ จะดีมากเลย จะมีการทรงตัว เงินจะเหลือใช้ เอาทุกวันดีกว่า ไม่ใช่ทำวันเดียว

    ผู้ถาม : อ๋อ..ยิ่งว่าบ่อยๆ ยิ่งดีหรือครับ

    หลวงพ่อ : ใช่ ทำเป็นสมาธิแบบนั้น ก็ไม่ต้องใช้เวลาใกล้ 2 ยาม เวลาไหนก็ได้ที่เราเห็นสมควร ที่ว่าใกล้ 2 ยาม เพราะปีเก่าจะไป ปีใหม่จะมา เวลานี้เป็นเวลาของปีใหม่ ก็ใช้ได้ทุกเวลาตามที่ชอบใจ นั่นดีมากนะ ต่อไปจะรวยใหญ่ เมื่อทุกคนรวยใหญ่ ฉันก็สบายใจ สร้างวัดอีก 10 วัด (หัวเราะ)

    ผู้ถาม : นี่ก็เป็นผลดีแก่แม่บ้านนะ มีผัวอยู่ในโอวาท เอ..ถ้าผู้ชายว่าบ้าง ลูกเมียจะอยู่ในโอวาท หรือเปล่าครับ ?

    หลวงพ่อ : เราอยู่ในโอวาทเขา เขาก็อยู่ในโอวาทเรา ” วันทโก ปฏิวันทนัง ” ผู้ไหว้ย่อมได้รับการไหว้ตอบ ” ปูชา ลภเตปูชัง ” ผู้บูชาย่อมได้รับการบูชาตอบ ในเมื่อเราอยู่ในโอวาทเขา เขาก็อยู่ในโอวาทเรา

    1504563672_950_คำอธิษฐานปีใหม่ผู้ถาม.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  10. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    ศีล

    ๑. ท่านพร่องในศีลด้วยเจตนาเพียงนิดเดียว ท่านไม่มีหวังที่จะทรงสมาธิ เพื่อฌานสมาบัติได้เลย เพราะเพียงศีลมีการรักษาแบบหยาบ ๆ ท่านยังรักษาไม่ได้ ท่านจะเป็นผู้ทรงสมาธิที่มีอารมณ์ละเอียดกว่านี้ได้อย่างไร ผู้ที่ปฏิบัติกรรมฐานมาเป็นเวลาหลายสิบปีที่ไม่สำเร็จผลใด ๆ แม้แต่ฌานโลกีย์ไม่ได้ ก็เพราะพร่องในศีลเป็นสำคัญ

    ๒. ศีลทั้ง ๕ ข้อนี้จะเป็นข้อหนึ่งข้อใดก็ตามถ้าเราละเมิดนั่นก็หมายความว่าเราเปิดช่องของอบายภูมิหรือเปิดทางเดินไปสู่อบายภูมิ มีเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกายเป็นสัตว์เดรัจฉาน การเจริญกรรมฐานของบรรดาพุทธบริษัทก็ไม่มีผล เพราะฉะนั้นญาติโยมพุทธศาสนิกชนที่คิดว่าจะเจริญพระกรรมฐานให้มีผลวันนี้และตลอดไปในชีวิต จงตั้งจิตคิดว่านับแต่นี้เป็นต้นไปเราจะเป็นผู้ทรงศีล ๕ บริสุทธิ์ตลอดชีวิต บางวันข้างหน้าอาจจะเผลอไปบ้างก็เป็นของธรรมดา ถ้าบังเอิญรู้ตัวว่าเผลอไปเราก็ยับยั้งมันเสีย และตั้งใจต่อไปเราจะไม่ทำผิดอีกและจงเข้าใจว่า ศีล ๕ ประการนี้ ถ้าจะขาดได้ก็ต้องอาศัยความตั้งใจทำ อย่างปาณาติบาตสัตว์เล็ก ๆ เราเดิน ๆไปเราไม่เห็นบังเอิญเหยียบตาย อันนี้ศีลไม่ขาด หรือสัตว์เล็ก ๆ มียุงเป็นต้นมาเกาะกินเลือดเรา ถ้าไม่คิดจะฆ่ามันแต่มันเกาะนานเกินไป เราจะเอามือลูบให้มันหนีไป บังเอิญมันหนีไม่ทัน ถูกมันตาย อันนี้เราไม่บาป ศีลไม่ขาดเพราะเราไม่มีเจตนาจะฆ่า

    -ท่านพร่องในศีลด้ว.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  11. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    พรหมวิหาร ๔

    ๑. ขอบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน พยายามทรงอารมณ์จิตให้อยู่ในพรหมวิหาร ๔ เป็นปกติ คิดว่าเราจะมีความรักในคนอื่นและสัตว์อื่นนอกจากตัวเรา เสมอด้วยตัวเรา เราจะมีความสงสารเกื้อกูลเขาให้เป็นสุขตามกำลังที่เราพึงจะทำได้ เราไม่มีอารมณ์อิจฉาริษยาบุคคลอื่น เห็นใครได้ดีก็พลอยยินดีตาม ถ้าสิ่งใดเป็นเหตุเกินวิสัยด้วยอำนาจกฎของกรรมหรือกฎของธรรมดาเกิดขึ้น เราจะไม่มีความหวั่นไหวในจิต นี่อารมณ์อย่างนี้ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัททรงไว้ดี ก็จัดว่าเป็นศูนย์รวมกำลังใจที่มีความสำคัญที่สุดอันจะพึงก้าวเข้าไปสู่ความดี

    ๒. ถ้าจิตของเราทรงอยู่ใน พรหมวิหาร ๔ แล้ว มีอะไรบ้างที่มันจะเกิดขึ้นนั่นก็คือ ศีลบริสุทธิ์ ไม่ต้องระมัดระวังศีล ความเป็นผู้มีเหตุมีผลมีความเคารพในองค์สมเด็จพระทศพลก็มีพร้อมบริบูรณ์ เพราะอะไรเพราะคนที่ทรงศีลบริสุทธิ์ ก็แสดงว่ามีความเคารพในพระพุทธเจ้า มีความเคารพในพระธรรม มีความเคารพในพระสงฆ์ เพราะว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ทรงแนะนำให้จิตอยู่ในขอบเขตนี้ เรามีความเคารพในองค์สมเด็จพระชินสีห์เป็นต้น เราจึงมีศีลบริสุทธิ์ เราจึงรู้จักอายความชั่วเกรงกลัวความชั่ว จึงได้มีการประกอบความความดี คือจิตทรงพรหมวิหาร ๔ มีหิริและโอตตัปปะ นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ อยู่ที่ไหนก็มีแต่ความเยือกเย็นมีแต่ความเป็นสุข เราก็เป็นสุขบุคคลอื่นก็เป็นสุข เพราะกายไม่เสีย ทั้งนี้เพราะว่าใจไม่เสีย ถ้ากายเสีย ปากเสีย ก็แสดงว่าใจมันเสีย เสียมากจนล้นมาถึงกาย ถึงวาจา นี่เป็นอันว่าทรงคุณธรรมอย่างนี้ได้ ความเป็นพระโสดาบันย่อมปรากฎ

    -๔๑-ขอบรรดาท่า.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  12. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    สมาธิ

    ๑. เวลาปฏิบัติ เวลาเริ่มทำสมาธิ ตัดกังวลเสียก่อน สิ่งใดที่จะห่วงใยยกเลิกทิ้งไปประเดี๋ยวเดียวมันไม่ตายหรอก และก็ตัดสินใจว่าเราจะต้องปฏิบัติให้มีผลตามคำแนะนำของครูไม่ห่วงแม้แต่ร่างกาย ทุกคนเมื่อตัดกังวล ไม่ห่วงแม้แต่ร่างกายได้แล้ว ก็ตั้งใจสมาทานศีล เรื่องศีลที่จริงไม่ใช่จะมีเฉพาะเวลาปฏิบัติ ศีลนี่เป็นเครื่องค้ำจุนฌานสมาบัติ สมาธิหรือฌานจะมีขึ้นมาได้ก็เพราะศีล ถ้าศีลบกพร่องฌานก็บกพร่องด้วย ถ้าศีลสมบูรณ์แบบ สมาธิหรือฌานจึงจะสมบูรณ์แบบ เรื่องนิวรณ์ ๕ ประการ อย่านึกถึงมันเลย นอกจากนั้น องค์สมเด็จพระภควันต์ ให้ทุกคนคุมอารมณ์ให้ดีในพรหมวิหาร ๔ ให้จิตทรงตัวไว้ในพรหมวิหาร ๔ เป็นปกติ คำว่าปกติต้องเหมือนศีล ศีลนี้ต้องบริสุทธิ์ทุกวันและพรหมวิหาร ๔ ต้องทรงตัว

    ๒. สำหรับอานาปานุสติกรรมฐาน ขอแนะนำให้ทุกท่านใช้ทุกอิริยาบถที่ทรงอยู่จำไว้ให้ดีด้วยนะ ถ้าท่านให้ทุกอิริยาบถที่ทรงอยู่ะก็อารมณ์จิตมันจะเลี้ยวเข้าไปหาความเลวไม่ได้ จะมีเวลาว่างเพื่อสร้างความเลวตรงไหน จะกินอยู่ก็ดี จะเดินอยู่ก็ดี จะนั่งอยู่ จะนอนอยู่ทำการงานอยู่ จะพูดจาปราศรัยก็ดี ให้เอาใจของทุกท่านกำหนดจับอานาปานุสติกรรมฐานไว้เป็นปกติจำได้ไหม และก็ลองคิดดูทีเถอะว่า ถ้าเราเอาจิตไปจับอานาปานุสสติกรรมฐานไว้เป็นปกติ จิตมันไม่มีเวลาว่างจากการกำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก แล้วก็จิตดวงนี้มันจะเอาอารมณ์เลวมาจากไหน อกุศลกรรมใด ๆ ที่ไหนจะเข้ามาแทรกจิตได้

    -เวลาปฏิบัติ-เวลา.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  13. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    ฝึกสมาธิไม่ได้
    ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง คือว่าเกี่ยวกับเรื่องสมาธินี่ผมโชคดี ทำมาด้วยตนเองเป็นเวลา ๒ ปีแล้ว โดยการอ่านหนังสือบ้าง ฟังวิทยุบ้าง ดูโทรทัศน์บ้าง โดยใช้คำภาวนาว่า พุทโธ แต่ว่าไม่ได้รู้ไม่ได้เห็นอะไรเลย แม้แต่นิมิตเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ไม่ได้ กระผมตั้งใจว่าจะมาฝึกมโนมยิทธิ เลิก พุทโธ โดยมาใช้ นะมะพะธะ จะมีทางเป็นไปได้ไหมครับ?
    หลวงพ่อ เดี๋ยวก่อน…ขอตอบก่อน พวกที่ใช้ นะมะพะธะ เขาไม่ได้เลิก พุทโธ เวลาจะใช้มโนมยิทธิเขาก็ใช้ นะมะพะธะ คือ นะมะพะธะ เป็นของพระพุทธเจ้าท่าน อย่าไปเลิกนะ ถ้าเลิก “พุทโธ” ล่ะซวย พุทโธ ก็คือพระพุทธเจ้า นะมะพะธะ เป็นคาถาบทหนึ่งในธาตุ ๔ ของกรรมฐาน ๔๐ ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนบอกคาถาบทนี้เอาไว้ใช้เป็นกำลังในการฝึกมโนมยิทธิ ถ้าลืมเจ้าของเก่า คือพระพุทธเจ้า ก็เจ๊ง!
    ก็เป็นอันว่า จะมาฝึกมโนมยิทธิมาฝึกแต่อย่าทิ้ง “พุทโธ” ว่าง ๆ ก็ใช้ พุทโธ แบบสบาย ๆ เวลาจะใช้มโนมยิทธิเราก็ใช้ นะมะพะธะ ก็มีหลาย ๆ อย่าง มีทั้งขา มีทั้งรถ “พุทโธ” เหมือนมีขามีแขน “นะมะพะธะ” เหมือนมีรถนั่งอย่างดี เป็นเครื่องบินก็ได้

    .jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  14. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    เรื่อง ความหมายของ “กรรมฐาน”

    “กรรมฐานมันรวม ๒ อย่าง คือ สมถกรรมฐาน กับ วิปัสสนากรรมฐาน ตัวที่ทำให้เกิดอารมณ์จิตไม่ฟุ้งซ่าน ทำให้สมาธิทรงตัวเขาเรียกว่า “สมถกรรมฐาน” ตัวที่ใช้ปัญญารู้เท่าทันสภาวะตามความเป็นจริง ไม่หลงสภาวะของโลก นี่เป็น วิปัสสนากรรมฐาน สองอย่างนี้เราเรียกว่า กรรมฐาน”

    คำสอน พระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

    -ความหมายของ-กรรม.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  15. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    เรื่อง ความสุขของหลวงพ่อ

    “ความสุขรื่นเริงใจจริง ๆ ของพ่อก็คือ
    ๑. ถ้าเห็นลูกรักทั้งหมดของพ่อ มีจิต เมตตาปรานี ปรารถนาสงเคราะห์คนและสัตว์ให้มี ความสุข
    ๒. เห็นลูกบริบูรณ์ไปด้วย สีลาจารวัตร
    ๓. ลูกของพ่อรู้จักตัด นิวรณ์ ๕ ประการ
    ๔. ลูกมีกำลังจิตเข้าประหัตประหารกิเลส สร้าง สังขารุเปกขาญาณ ให้เกิด”

    คำสอน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

    -ความสุขของหลวงพ่.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  16. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    เรื่อง ตัวแทนของพ่อ

    “ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พ่อไว้ พ่อถ่ายทอดให้แก่ ลูก ทรัพย์สมบัติทั้งหมดนี้ขอลูกจงถือว่า นั่นคือตัวแทนของพ่อ เพราะว่าชีวิตของพ่อนี่ พ่อไม่แน่ใจนักว่า จะมีอายุยืนยาวอีกสักกี่ปี ขอลูกทั้งหลายจงอย่าถือขันธ์ ๕ ของพ่อนี้เป็นสำคัญ ปฏิปทาใดที่เป็นที่ชอบใจไม่เกินวิสัยลูกขอลูกจงทำและจงรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ ขณะใดที่ใจของลูกยังรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ รักษาปฏิปทาสาธารณประโยชน์ ขณะนั้นลูกจงภูมิใจ ว่าพ่ออยู่กับลูกตลอดเวลา ถึงแม้ว่าร่างกายกายาของพ่อจะสลายไป แต่ใจของพ่อยังอยู่กับใจของลูกลูกจะไปไหนก็ชื่อว่าพ่อไปด้วย ช่วยลูกทุกประการ”

    คำสอน … หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

    -ตัวแทนของพ่อธรร.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  17. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    เรื่อง ความกตัญญู

    นิมิตตัง สาธุรูปานัง กตัญญูกตเวทิตา มีข้อเดียวเท่านั้นที่กล่าวว่า บุคคลใดมีความกตัญญูรู้อุปการะคุณที่ท่านทำแล้วตอบสนองคุณท่าน ท่านกล่าวว่าบุคคลนั้นเป็นคนดี

    คำว่า รู้อุปการะคุณที่ท่านทำแล้ว นี่ไม่ได้หมายความว่าพ่อแม่อย่างเดียว ใครก็ตามที่เป็นผู้มีคุณ เคยสงเคราะห์เรา เรายอมนับถือในความดีของท่าน แล้วตอบสนองคุณท่านด้วยความดี อย่างนี้สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า บุคคลนั้นเป็นคนดี

    คำสอน พระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

    -ความกตัญญูนิมิต.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  18. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    เรื่องอารมณ์จริงจัง

    “อย่าลืมว่า สมาธินี่มันมีอารมณ์ไม่แน่นอน มันขึ้นอยู่กับกำลังของร่างกาย ทางที่ดีขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทใช้ปัญญาควบคู่กันไป สมาธิกับปัญญาให้ขนานกัน ปัญญามีว่า ถ้าขณะใดจิตเริ่มเป็นสุข มีความสุขสบายต่อไปจิตจะถอยลง จิตจะเคลื่อนจากสมาธิ มีอารมณ์ลดลง ความสุขน้อยลง ความสงัดลดลง เราจะเริ่มขยับทำจิตให้เสมอเก่าทำไม่ได้ อย่างนี้ก็จงอย่าฝืนเพราะกำลังมันตกแค่นั้น ในเมื่อมีสภาพอย่างนั้นเราก็ใช้ปัญญาเข้าแทนนี่ตอนนี้คิดได้แล้ว ก็ใช้ปัญญาพิจารณา คือพิจารณาร่างกายเราเป็นสำคัญ ให้มีความรู้สึกเปรียบเทียบว่า ร่างกายของเรากับร่างกายของบุคคลอื่นมีสภาพเหมือนกัน ก็เอาแบบง่าย ๆ แต่ว่าสูงสุดอย่างที่พระพุทธเจ้าสอนพระติสสะเหมือนกันหมด ไม่มีใครนอนหลับตายเสมอแบบเงียบ ๆ คนที่เขาหลับไม่ตื่นทุกขเวทนามันหนักแล้วก็ตื่นมาพูดไม่ได้ เวลานั้นจิตใจก็จะโปร่งจากกิเลสเพราะมันเต็มไปด้วยทุกขเวทนา นึกถึงความรักก็ไม่ไหว คิดถึงความรวยก็ไม่ไหว คิดถึงความโกรธก็ไม่ไหว คิดถึงความหลงก็ไม่ไหว จะหลงร่างกายก็หลงไม่ได้

    ต่อมาก็มีความคิดว่า ร่างกายที่เป็นทุกข์เป็นโทษ อย่างนี้ที่เราเคยคิดอารมณ์ชิน เราไม่ต้องการมันอีก เราขอเกิดและตายชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย อารมณ์นั้นเป็นอารมณ์จริงจัง ถ้าอารมณ์อย่างนี้เกิดขึ้น เวลานั้นความเป็นอรหันต์ จะมีกับท่าน ตายคราวนั้นก็พร้อมไปนิพพาน”

    คำสอนหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง

    .jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  19. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    ทำจิตก่อนตายไปนิพพาน โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

    ผู้ถาม :- “หลวงพ่อเจ้าขา คนที่จะสงบจิตก่อนจะตาย ทำใจแบบไหนไปนิพพานเจ้าคะ…?”

    หลวงพ่อ :- “รู้แต่แบบไปอเวจี…ก่อนจะตายต้องการไปนิพพานนะ เขาทำแบบนี้ ให้ตัดสักกายทิฐิ มีความรู้สึกว่า ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เพราะว่าร่างกายเป็นแต่เพียงธาตุ ๔ คือ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ มันมีการเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายตัวไปในที่สุด เราไม่ขอยึดมั่นในร่างกายต่อไป ถ้าหากร่างกายตายเมื่อไรไปนิพพานเมื่อนั้น ตั้งใจแบบนี้นะ ตัวสุดท้าย ตัวนี้นะ”

    ผู้ถาม :- “การจะไปนิพพานนี้ พระไปมากกว่าฆราวาสใช่ไหมคะ…?”

    หลวงพ่อ :- “ฆราวาสไปมากกว่าพระ”

    ผู้ถาม :- “ทำไมคะ…?”

    หลวงพ่อ :- “เพราะฆราวาสมากกว่าพระ (หัวเราะ) อ้าว…ไปมากจริงๆนะ เวลานี้ไปตั้งเยอะแล้วนะ เพียงแค่ ๑๐ ปีกว่าๆนี่เยอะแล้วนะ ไม่ใช่น้อยนะ พระเสียอีก นิพพานล่าง เสียบานเลย ไปดิ่งเลย”

    ผู้ถาม :- “สาเหตุเพราะอะไรคะ…?”

    หลวงพ่อ :- “ประการที่ ๑ ที่ง่ายที่สุดเรื่องเงินที่ถวายเข้ามา นี่ง่ายมาก เงินที่เขาถวายเข้ามาเป็นส่วนกลาง เผลอไปใช้เป็นส่วนตัว นี่ไม่เว้นเลยสตางค์เดียว ลงอเวจี

    ประการที่ ๒ เงินที่เขาถวายเป็นส่วนตัว ใช้นอกรีตนอกรอย ที่ถวายหลวงพ่อโดยตรงหลวงพ่อใช้ได้แน่ ใช้ในฐานะหลวงพ่อ แต่ว่าใช้ในฐานะเจ้าสัวเมื่อไรก็เมื่อนั้นแหละ นอกทางพระใช่ไหม…นี่พระใช้เงินยาก ไม่ใช่ง่าย แต่ฉันใช้เงินง่าย เพราะอะไร…เพราะใช้ในเรื่องของสงฆ์ ใช้อะไรก็ได้ ทั้งหมดที่ใช้ไปเป็นเรื่องของสงฆ์ ถ้าเขาถวายเป็นการส่วนตัวโดยเฉพาะ อย่างจะไปอเมริกา มีสตางค์ไหม…เหลือเป็นค่าเครื่องบินเข้ากระเป๋าไป เข้ากระเป๋าสงฆ์ ถ้าเขาให้อย่างนั้นเอาไปใช้ได้ แต่ต้องไปในเรื่องประกอบโดยธรรม”

    จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๔ หน้า ๑๑๑-๑๑๒ (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

    -โด.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  20. ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2017
    โพสต์:
    6,570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    9
    ค่าพลัง:
    +395
    พระโสดาบัน

    ๑. ความเป็นพระโสดาบันต้องทรงคุณธรรม ๓ ประการ จำไว้ให้ดีเป็นของไม่ยากคือ

    ประการที่ ๑ มีความเคารพใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริง พระสงฆ์นี่เลือกเอาพระอริยสงฆ์นะ เพราะถ้าไม่ใช่พระอริยะ แกก็ไม่ค่อยแน่นัก ดีไม่ดีแกก็เลวกว่าชาวบ้านเขาก็มี

    ประการที่ ๒ งดการละเมิดศีล โดยเด็ดขาด เรียกว่ารักษาศีลยิ่งกว่าชีวิต ศีล ๕ ประการนี้รักษาโดยเด็ดขาด

    ประการที่ ๓ จิตใจของพระโสดาบัน มุ่งอย่างเดียวคือนิพพาน ขึ้นชื่อว่าทำความดีตั้งแต่ฟังเทศน์ปฏิบัติธรรม ลงไปถึงเทกระโถน ล้างส้วม ตั้งใจอย่างเดียว เราทำเพราะเมตตาปราณีแก่บุคคลทั้งหลาย ความดีนี้ไม่ต้องการผลตอบแทนจากบุคคลผู้ใด เราต้องการอย่างเดียวทำเพื่อผลของพระนิพพาน เพียงเท่านี้เขาเรียกว่า พระโสดาบัน

    ๒. คนที่เขาเป็นพระโสดาบัน เขาทรงอารมณ์แบบนี้คือปรารภความตายเป็นปรกติไม่ประมาทในชีวิตคิดว่าการเกิดมานี่ มันต้องตาย เมื่อคิดว่าจะต้องตายเขาก็ไม่ประมาท ไม่ยอมไปอบายภูมิ นั่นคือ เคารพในพระพุทธเจ้าจริง เคารพในพระธรรมจริง เคารพในพระอริยสงฆ์จริงเป็นปกติ และก็มีศีล ๕ บริสุทธิ์ มีจิตต้องการพระนิพพานเป็นอารมณ์ การทำความดีทุกอย่าง ไม่หวังผลตอบแทนในปัจจุบัน คิดว่าผลความดีที่เราต้องการมีอย่างเดียวคือ พระนิพพาน เท่านี้เองความเป็นพระโสดาบัน

    -ความเป็นพร.jpg

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...