เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือ กรรมของท่านเอง ?

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Lukhgai, 11 พฤษภาคม 2009.

  1. Lukhgai

    Lukhgai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    3,000
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +8,238
    ในเมืองไทย มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย เช่น เจ้าที่ พระภูมิ พระพรหม

    ท่านเหล่านี้มีจริงหรือ ช่วยได้จริงหรือ ถ้าเป็นจริง.......................

    ทำไมชาติเรา ไม่เจริญเท่านานาประเทศ (ซึ่งไม่ได้ดูหมอ เข้าทรง)



    คำถามมีต่อไปว่า.............................


    ถ้าไม่ไหว้...ไม่เซ่น จะมีโทษไหม......?



    อีกคำถาม ถามว่า............................


    การเจริญกัมมัฏฐาน ทำให้คนบ้า จริงหรือ.?

    และการเจริญกัมมัฏฐาน จำเป็นต้องมีคนคุมทุกครั้ง จริงหรือ.?

    ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า

    ควรทำได้ทุกที่ ไม่ว่าเวลาใด สถานที่ใด จริงหรือไม่.............?

    .
    .
    .

    ท่านผู้ฟังจะเห็นได้ว่า ถ้ายังมีความเห็นผิด

    ความเข้าใจผิด ความไม่รู้ ความสงสัย

    ในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ

    จะทำให้ความเข้าใจผิด ความเห็นผิด

    เพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย

    จนกลายเป็นความเห็นผิดที่ใหญ่หลวง

    หรือ เป็นโทษ เป็นอันตรายมาก

    เพราะฉะนั้น...ความเห็นผิด

    จะเริ่มจากทีละเล็ก ทีละน้อยก่อน.



    สำหรับคำถามที่ว่า...ในเมื่องไทย มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย

    เช่น เจ้าที่ พระภูมิ พระพรหม....ท่านเหล่านี้ มีจริงหรือ.?



    ถ้าจะถามเพียงว่า...กำเนิดอื่น ภพอื่น ซึ่งเป็นเทพ ตามสถานที่ต่างๆ

    เจ้าที่ก็ดี พระภูมิก็ดี พระพรหมก็ดี ท่านเหล่านี้ มีจริงหรือ..............

    ก็จะทราบได้ว่า กำเนิดต่างๆ นอกจากกำเนิดของมนุษย์นั้น มีอยู่จริง

    ตามควรแก่เหตุปัจจัย.................


    ถ้าเป็นเทพ... เทวดา ก็ต้องเป็นผลของกุศลกรรม ซึ่งทำให้เกิดเป็นเทวดา

    ถ้าเกิดเป็นพรหม ก็ต้องเป็นผลของอัปปนาสมาธิ.....การเจริญสมถภาวนา

    โดยสามารถที่จะระงับ โลภะ โทสะ โมหะ ได้โดยไม่เสื่อม

    คือหมายความว่า แม้ตอนที่ใกล้จะจุติ สิ้นชีวิต

    อัปปนาสมาธิ ก็สามารถที่จะเกิด

    และจิตในขณะนั้น ก็เป็นรูปาวจรจิต หรือ อรูปาวจรจิต

    ดังนั้น พระพรพหม จึงมีจริง.


    แต่ที่ท่านถามว่า ในเมืองไทยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย

    ทำไมเข้าใจว่า เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คะ.....................?

    เทพ ศักดิ์สิทธิ์ อย่างไร...พรหม ศักดิ์สิทธิ์ อย่างไร.?

    มนุษย์...ศักดิ์สิทธิ์ไหมคะ....................................?



    สามารถที่จะบันดาลให้คนอื่นเป็นอย่างไร

    เรียกว่าศักดิ์สิทธิ์หรือเปล่า..................?

    ทำไมจึงกล่าวว่า ศักดิ์สิทธิ์..................?

    มีอะไร ทำให้คิดว่า ศักดิ์สิทธิ์...............?


    เพราะว่าทุกคน มีกรรมเป็นของตนเอง.

    .
    .
    .

    ไม่ว่าท่าน จะเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส

    เป็นสุข เป็นทุกข์...อย่างไรก็ตาม

    ถ้าท่านไม่มีกรรม ที่ท่านได้กระทำไว้แล้วเป็นเหตุเป็นปัจจัย

    สภาพธรรมเหล่านั้น ก็ไม่สามารถเกิดขึ้นกับท่านได้.


    แต่ละบุคคล ในวันหนึ่งๆ....ก็มีทุกข์ มีสุข ต่างกันไป

    อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย....ต่างกันไป ตามเหตุตามปัจจัย

    คือ กรรม ของแต่ละท่าน....ซึ่งได้กระทำแล้วในอดีต

    เป็นปัจจัย...ที่พร้อมจะให้มีการเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส

    รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ต่างๆกันไป.


    แล้วแต่ กรรม ของท่านเอง.


    เพราะฉะนั้น...ทำไมจึงกล่าวว่า เทวดา หรือพรหม ศักดิ์สิทธิ์...?

    สำหรับข้อความที่ว่า...ช่วยได้จริงหรือ.?

    ช่วยอย่างไรคะ................................?


    ทุกคน มีกรรม เป็นของตนเอง.


    ฉะนั้นสิ่งที่ท่านได้รับอยู่ ก็ย่อมเป็นไป ตามกรรม ของท่านเอง

    ถ้าท่านกระทำกรรมดี...แม้ในมนุษย์โลก

    ก็ยังมีคนอุปถัมภ์ ช่วยเหลือท่าน.

    .
    .
    .

    มีท่านผู้ฟัง ท่านหนึ่ง......ได้เล่าถึงเรื่องจริงที่ได้เกิดขึ้น ให้ฟังว่า

    วันหนึ่ง ท่านขับรถไปกับลูกชายเล็กๆ แล้วรถก็เกิดตกไปข้างทาง

    แต่ทันที ที่รถของท่าน ตกลงไปข้างทาง......รถที่ขับมาข้างหลัง

    เป็นรถจี้ปที่มีอุปกรณ์ครบ พร้อมที่จะฉุดขึ้น รถที่ตามมานั้นก็จอด

    แล้วช่วยฉุดรถของท่านขึ้นมาจากข้างทางนั้นได้......................


    เพราะฉะนั้น....บุญ เหมือนญาติสนิท ซึ่งจะติดตามคุ้มครองรักษา

    ช่วยเหลือแก้ไขเหตุการณ์ต่างๆ ให้ปลอดภัยจากอันตรายต่างๆได้

    และท่านผู้นั้น ก็ระลึกได้ว่า ถ้ามีผล จากอกุศลกรรม

    ก็คงต้องคอยไปอีกนาน กว่าจะมีผู้อื่นมาช่วยเหลือได้.


    แม้ในมนุษย์โลก

    ถ้าท่านเป็นผู้ที่ได้กระทำกุศลกรรมไว้

    กุศลกรรม ย่อมให้ผล

    เช่นเดียวกับ อกุศลกรรม ที่ท่านได้กระทำไว้

    ถ้าท่านได้รับ ผลของอกุศลกรรม

    ก็เพราะอดีตอกุศลกรรม ของท่านเอง.


    ส่วนที่จะมีใครช่วยได้หรือไม่นั้น...ก็แล้วแต่กุศลกรรมของท่านอีก

    ถ้าท่านเป็นผู้ที่ได้กระทำกุศลกรรมไว้...แม้เป็นมนุษย์ ก็มีผู้ที่จะช่วยท่านได้

    ไม่จำเป็นต้องคิดถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นใดเลย.


    ส่วนข้อความ ที่ท่านสงสัยว่า.....................,,....

    ประเทศของเรา ทำไมไม่เจริญเท่านานาประเทศ

    ซึ่งไม่ได้ดูหมอ เข้าทรง แต่เขาเจริญรุ่งเรืองมาก

    อันนี้ ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ ให้เห็นแล้วว่า.............


    ถ้าบุคคลใดมีความมั่นใจ ในกรรมของตนเองจริงๆ

    ก็ย่อมจะเจริญ เพราะกุศลกรรม ซึ่งทำให้ได้รับ กุศลวิบาก

    โดยที่ไม่จำเป็นต้อง เข้าทรง หรือว่า ดูหมอ.


    เรื่องของโหราศาสตร์นั้น เป็นเรื่องที่มีผู้ศึกษา

    แต่เรื่องของกรรม...ก็เป็นเรื่องที่สลับซับซ้อนมากทีเดียว

    เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าจะมีนักโหราศาสตร์

    ที่ได้ศึกษา ค้นคว้า มากสักเท่าไร

    และรู้แนวของกรรม ซึ่งพร้อมจะให้ผลได้ ก็จริง


    แต่ว่า เรื่องของกรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก

    ซึ่งบุคคลใด ก็ไมสามารถที่จะทราบได้ว่า แต่ละท่าน

    ได้กระทำกุศลกรรม และ อกุศลกรรม ไว้มากน้อยเท่าไร

    เมื่อความละเอียดของกรรม ไม่สามารถที่จะรู้ได้

    ดังนั้น แม้ว่าผู้ที่ได้ศึกษาโหราศาสตร์มามาก

    ก็มีความรู้เพียงการ พยากรณ์ถึงแนวทางของกรรม

    ซึ่งอาจจะมีโอกาส หรือ อาจจะควรแก่การให้ผล

    แต่อาจจะไม่พร้อมที่จะให้ผลก็ได้

    เพราะยังมีกรรมอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งละเอียด ซับซ้อน

    และไม่มีใครที่สามารถจะรู้ เรื่องของกรรม ได้ตลอด อย่างแท้จริง

    ดังนั้น กรรมอื่นๆ อาจจะเกิดขึ้น ให้ผลก่อนก็ได้.


    สำหรับเรื่อง การเข้าทรง ไม่มีกล่าวไว้ หรือแสดงไว้ในพระไตรปิฎก

    ก็ย่อมแสดงให้เห็นว่า.....ไม่ใช่เรื่องที่ เป็นสาระ หรือ เป็นประโยชน์

    ที่จะเกื้อกูลต่อการรู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง.

     
  2. งูขาว

    งูขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2008
    โพสต์:
    945
    ค่าพลัง:
    +1,824
    คนทุกวันนี้เป็นทุกข์ เพราะความคิด
    พูดมาก ก็เสียมาก
    พูดน้อย ก็เสียน้อย
    ไม่พูด ไม่เสีย
    นิ่งเสีย โพธิสัตว์
     
  3. โชเต

    โชเต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    285
    ค่าพลัง:
    +331
    ทุกสิ่งทุกอย่าง ในโลกใบนี้ บังเกิดขึ้นทั้งสองอย่างพร้อม ๆ กัน
    ไม่มีสิ่งใดที่จะหนีออกจากกันได้เลย

    อนึ่ง แสงอาทิตย์แผ่รังสี ส่องสว่าง แผดเผาลงมาทั่วผืน ปฐพี
    ทั่วพิภพ ลงมายังผืนโลก
    เมื่อนั้น วัตถุทุกชิ้น ในโลก จึงบังเกิด "เงา" ทอดกายยาวตามพื้นผิววัตถุนั้น ๆ

    คราวใด ที่แสงสว่างเจิดจ้าเปล่งประกายเมื่อใด ไอร้อนระอุ
    ก็แผดเผาดุจดังเปลวเพลิง
    คราวนั้น จึงบังเกิดความมืดมิด ปิดบังทุกสิ่ง เย็นยะเยือกหนาวจับใจ
    โบราณกาล ท่านกล่าวเอาไว้

    โดยถือหลักคำสอนอันดีงามของศาสนาพุทธ เอาไว้ว่า
    "ต่ำ คู่ สูง" "สั้น คู่ ยาว" "ดำ คู่ ขาว" "ที่ไหนมีแสงสว่าง ที่นั่นย่อมมีความมืด"
    "มีความสุข ก็ต้องมี ความทุกข์" "ไชโยดีใจโห่ร้อง สุดท้ายก็โศรกเศร้าเสียใจ"
    "มีบุญ ก็ต้อง มีบาป" "มีเหตุ ก็ต้อง มีผล"

    เพราะว่า ทุก ๆ อย่าง อยู่คู่กัน และบังเกิดขึ้น"พร้อมๆ กัน"ภายในเวลาเดียว

    ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นไปตามกฏธรรมชาติ ในหลักธรรมคำสั่งสอนของบรรพบุรุษ
    รวมถึงขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรมโบราณกาล
    ในบวรศาสนาพุทธ อันศักดิ์สิทธิ์ อันมี"พระพุทธเจ้า" เป็นที่พี่งตลอดชีวิต

    ยิ่งยุคสมัยเปลี่ยนไปเมื่อไร "ค่าของวัตถุนิยม" ยิ่งมีมากยิ่งขึ้น
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับหมู่คนและผู้คน ทีไม่รู้จักคำว่า "พอ"
    เต็มไปด้วย "กิเลส" "ตัณหา" และ"ความอยาก" อย่างไม่มีวันสิ้นสุด
    คนสมัยนี้ลืมคำสั่งสอนของ"บรรพบุรุษ" ไปหมด ไม่หลงเหลือถึง
    ขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรมโบราณกาล ที่ได้ประพฤติปฏิบัติมา
    เพียงเพราะว่า "ล้าหลัง ไม่ทันสมัย งมงาย เป็นความเชื่อโบราณกาลที่คร่ำครึ"

    เพียงแค่นี้ก็สามารถสะท้อนถึงความ "เลวทราม ต่ำช้า" เป็นที่สุดของผู้คน
    ในยุคปัจจุบัน ซึ่งพบเห็นได้โดยง่าย และไม่ต้องปฏิเสธว่า "ไม่ไม่เกิดขึ้นจริง"

    ไปร่ำ ไปเรียนมา ก็สูง "ไปจำตำรา จำขี้เมี่ยงเขามา" อ้ายพวกฝรั่งเนี่ย
    เทอดทูนบูชามันเข้าไป ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ถึงกับ เอ่ยวาจามาว่า
    "อาเมน"ซะหน้าตาเฉย
    "ยอม" ให้อ้าย อี ฝรั่งมังค่า "จูงจมูก" ว่าจ้างด้วยเงิน
    มาทำลายศาสนาพุทธ เราอีก

    ผิดเพี้ยนไปกันใหญ่ "บ้ากันเข้าไป หลงกันให้หัวปักหัวปำ"
    พอมีความรู้หน่อย ก็อวดร่ำ อวดรู้ เขียนหนังสือแอบอ้าง ยกอ้างกันเข้าไป

    เนี่ยหรือ ชาวพุทธ ที่เรียกตนเองว่า พุทธมามะกะ
    แต่ที่ไหนได้ ไม่ได้ยึดหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า และหลักธรรมให้เกิดประโยชน์
    กับความเป็นจริงใด ๆ ในเหตุการณ์ปัจจุบันเลย

    ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ "บังเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน ทั้งบาป และ บุญ"
    ก็มีแต่ "พวกคอมมิวนิสต์" เท่านั้นแหละ ยัง "ถือสาก" กำเต็มๆ มือ
    แล้วแอบอ้าง ศาสนาพุทธ ทำในสิ่งที่ไม่ดี "ปั้นน้ำเป็นตัว เปลี่ยนขาวให้เป็นดำ"
    ในคราบของคนดี ทุกๆอาชีพ(อาชีพ นักการเมือง ข้าราชการ ตำรวจ ทหาร ตุลาการ องค์กรอิสะต่างๆ หมอสอนศาสนา ลัทธิแอบอ้าง พ่อค้าเเม่ขาย นักวิชาการ ครูบาอาจารย์ คณะที่ปรึกษาตามหน่วยงานต่างๆ ไม่เว้นแม้กระทั่ง พวกที่มี"บั้ง"ติดที่หัวไหล่ทั้งสองข้าง สีเขียว สีกรม สีฟ้า สีกากี สีเหลือง สีแดง สีน้ำเงิน สีขาว เรียกได้ว่า แทบจะทั่วหน้ากันทั้งนั้น)
    แต่แฝงไปด้วยความเลวทรามต่ำช้า




    อย่าว่าแต่ที่อื่น จักรวาลอื่นเลย
     

แชร์หน้านี้

Loading...