เรื่องเด่น เพื่อความไพบูลย์ .. ยั่งยืนของพุทธศาสนา!!

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย โพธิสัตว์ ชาวพุทธ, 13 ตุลาคม 2017.

  1. โพธิสัตว์ ชาวพุทธ

    โพธิสัตว์ ชาวพุทธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    5,297
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,273
    ค่าพลัง:
    +9,528
    maxresdefault.jpg

    โดย.. พระ องอารยวังโส

    เจริญพรสาธุชนผู้มีศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนา.. ปวารณาออกพรรษากันมาหลายวันแล้ว คณะนักแสวงบุญเดินหน้าถวายผ้ากฐินพร้อมปัจจัยไทยทานตามกำลังทรัพย์-กำลังศรัทธา เป็นหนึ่งเดือนแห่ง เขตกาลบุญกุศล ที่จำเพาะเจาะจงว่า สามารถถวายผ้ากฐินได้จนกว่าจะสิ้น เขตกาลกฐิน…

    ช่วงนี้ ปัจจัยเงินทองจึงสะพัดไปทั่ว ด้วยความมีจิตศรัทธาของญาติโยม จนบางครั้งเลยเถิดไปจนกลายเป็นเขตกาลแสวงหาเงินทองปัจจัยไทยทานเข้าวัด โดยอาศัยการถวายผ้ากฐินนำหน้า แต่ไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญกับอานิสงส์ของการถวายผ้ากฐิน

    คงเป็นธรรมดาของยุคสมัยวัตถุนิยม .. ที่สัตว์โลกย่อมติดอยู่ในข่าย กามคุณารมณ์ จึงให้ความสำคัญกับ โลกธรรม จนปิดบัง สัจธรรม ของโลก.. จึงเกิดการลดระดับคุณค่าของพระพุทธศาสนาดังที่เห็น ด้วยการชักนำของ จิตลามกและจิตฝ่ายต่ำ ที่สมยอมกัน จึงมุ่งสู่การค้าขายบุญกุศล.. มุ่งซื้อหาบุญกุศลเป็นเงินเป็นทอง.. การค้าพาณิชย์จึงแพร่ระบาดจนกลายเป็น พุทธพาณิชย์ ที่ให้ความสำคัญเชิงวัตถุศาสน์มากกว่า สัตถุศาสน์

    การแสดงธรรมโฆษณาชวนเชื่อ ค้าสวรรค์ ขายบุญ ไปนิพพานแบบกดปุ่ม จึงแพร่ระบาด.. มีการนำธรรมที่บริสุทธิ์มายกตนเองเพื่ออวดอ้างว่า มีภูมิรู้ ภูมิธรรม วิธีการสอนด้วยการยกตน เหยียดผู้อื่น จนลามปามถึงพานตำหนิพระภิกษุ วัดวาอาราม จึงเกิดขึ้นมาก โดยเฉพาะกลุ่มนักปริยัติทั้งหลายที่ขาดการปฏิบัติอย่างจริงจัง

    ยิ่งประกอบกับมีพระภิกษุส่วนหนึ่งประพฤติปฏิบัติไม่ค่อยตรงพระธรรมวินัย จึงยิ่งถูกจับมาเป็นจุดกล่าวหาโจมตี เพื่อกลับมายกย่องวิธีการศึกษาและความรู้ของตนและหมู่คณะ .. จนวางท่าทำตนบอกกล่าวบรรยายการสอนเหมือนเป็น ศาสดา หรือ อริยสาวกชั้นสูง .. รู้ไปหมด .. รู้ไปทั่ว เพื่อให้เชื่อถือว่าน่าจะมีภูมิธรรมถึงขั้น อริยบุคคล!สังคมในแวดวงพระศาสนาจึงแพร่กระจัดกระจายไปตามสำนักอาจารย์เหล่านี้ ที่คล้ายๆ กับในอดีต สมัยพุทธปรินิพพานมาสามสี่ร้อยปี แต่จะแตกต่างกันตรงที่ สมัยนี้อาจารย์เหล่านั้นที่แสดงวาทะทางธรรม .. อรรถาธิบายสั่งสอนพุทธศาสน์ที่ว่าด้วยพระธรรมวินัย มิใช่เป็นพระเถรานุเถระ พระธรรมกถึก แบบเมื่อก่อน แต่กลับเป็นคฤหัสถ์ผู้ครองเรือนกันมากขึ้นที่สนใจศึกษาธรรม โดยเฉพาะจาก สำนักพระอภิธรรม!.!.

    เรื่องการเปิดสำนักศึกษา .. การช่วยกันเผยแพร่พระธรรมวินัยที่ถูกต้อง จริงๆ แล้ว ไม่ว่าพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ก็ย่อมมีสิทธิเท่าเทียมกันที่พึงจะกระทำ …แต่จะต้องกระทำอย่างรู้บทบาท ฐานะ และให้ความเคารพต่อกันและกัน โดยเฉพาะการเคารพต่อ องค์กรสงฆ์หรือสถาบันสงฆ์ที่เป็นหลักในการทำหน้าที่สืบเนื่องพระพุทธศาสนามาจนถึงปัจจุบัน!

    แม้ว่าจะมีพระชั่ว-เณรลามกปะปนอยู่บ้าง จะมากน้อยตามแต่ละสมัย แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลของการนำมาเป็นข้ออ้างกล่าวทำลาย สถาบันสงฆ์ ที่รวมบริษัททั้งสี่ไว้เป็นหนึ่งสถาบันแห่งพระพุทธศาสนา เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา.. จึงควรแก่การระมัดระวัง การจ้วงจาบจาบจ้วงตามความเห็นของตนเองและหมู่คณะ ที่จะส่งผลกระทบทางลบต่อพุทธศาสนาและสถาบันสงฆ์ที่รองรับพระพุทธศาสนา

    หน้าที่ของเราชาวพุทธทุกฐานะ ไม่ว่าบรรพชิตหรือคฤหัสถ์ ที่พึงควรจะกระทำคือ ช่วยกันเป็นผู้ปฏิบัติตนให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย .. พึงพึ่งตนและพึ่งธรรม เพื่อ พัฒนาตนให้ถึงธรรม จนสัมฤทธิผลโดยธรรม สามารถสละละวางคลายออก ไม่ผูกพันอาลัยในโลก (รูปนามหรืออุปาทานขันธ์ ๕) ได้อย่างแท้จริงเมื่อเราพัฒนาตนจนสามารถบรรลุถึงธรรมอันเป็นไปเพื่อความดับทุกข์ได้จริง ..คุณธรรม ที่เรียกว่า อริยธรรม ก็จะเกิดขึ้นในจิตใจ ให้มี เมตตากรุณา ต่อสัตว์ทั้งหลาย มองดูรู้เห็นอย่างเข้าใจ รู้จักเพ่งพินิจพิจารณาโดยแยบคาย จนเข้าถึงเหตุปัจจัยของธรรมทั้งหลาย .. สภาวธรรมทั้งปวง ว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร.. และดับได้ด้วยอะไร!!

    การเข้าใจเหตุปัจจัยของความเกิดขึ้นและความสิ้นไปของเหตุปัจจัยที่ทำให้ธรรมทั้งหลายสิ้นไป จึงนำไปสู่นานาอะสาระในโลกนี้อย่างมี สาระธรรม.. ก็จักนำไปสู่การมี ความรู้ที่ควบคู่คุณธรรม ให้รู้จักประพฤติปฏิบัติตามหลัก ธรรมปฏิบัติ ในพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ในพระโอวาทปาติโมกข์ในขั้นตอนข้อปฏิบัติว่า “..การไม่กล่าวร้าย, การไม่ทำร้าย, การนั่งนอนในที่สงัด, และการประกอบความเพียรใน อธิจิต” … เพื่อเป็นบรรทัดฐานการปฏิบัติตนในการพัฒนาจิต ด้วยการศึกษาปฏิบัติในพระธรรมวินัยนี้

    “การไม่กล่าวร้าย .. การไม่ทำร้าย .. การปฏิบัติตนถูกต้องตามพระวินัย .. การดำรงตนอย่างเหมาะควรของผู้ประพฤติธรรมในพระพุทธศาสนา…” จึงเป็นเครื่องหมายแสดง ธรรมลักษณะของสัตบุรุษ ในพระพุทธศาสนานี้ ที่ควรทำหน้าที่เผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ อันควรแก่การเคารพนับถือหรือยกย่องบูชา.. เพื่อแสดงให้เห็นความเป็นแบบฉบับที่แท้จริงในธรรมลักษณะของพระพุทธศาสนา

    พระพุทธศาสนาจึงเป็นศาสนาที่วางแนวทาง สันติภาพด้วยสันติธรรม คือ มีธรรมเพื่อสันติจริงๆ และเป็นไปเพื่อเสรีภาพ อิสรภาพ และภราดรภาพ อย่างแท้จริง โดยเฉพาะเป็นอิสรภาพที่ปลดปล่อยออกจากพันธนาการของโลกได้อย่างเป็นจริงที่สุด ที่สามารถเห็นได้ด้วยตนเองและให้ผู้อื่นเข้ามาดูได้.. โดยไม่อยู่ในเงื่อนไขของกาลเวลา ที่สำคัญคือต้องประพฤติปฏิบัติด้วยตนเอง โดยน้อมลงสู่จิตอย่างมี สติปัญญา รู้จักพิจารณาโดยแยบคาย จนรู้แจ้งจริงตามที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนหรือแสดงไว้ดีแล้ว ซึ่งผู้รู้ย่อมรู้ด้วยตนเองว่า บัดนี้ ตนเองได้ถึงความรู้ .. ความบริสุทธิ์ดังกล่าวแล้วจริง อันเป็นไปตามหลักธรรมย่อมรับรองธรรม.. มิใช่ทิฏฐิหรือความเห็นของใครมารับรองธรรม ดังที่มีการแสดงความคิดความเห็นกันจนหมู่ชนที่ขาด ปัญญาธรรม เกิดความสำคัญผิด!เรื่องการแข่งขันกันเผยแผ่พระธรรมวินัย การแข่งขันกันชักชวนไปลงเรือบุญ เพื่อไปให้ถึงอานิสงส์ ด้วยการสร้าง ด้วยการทำ หรือด้วยการปฏิบัติ ด้วยวิธีการต่างๆ นานาที่ปรากฏในวันนี้ จึงเป็นเรื่องที่ควรหยุดคิดพิจารณา เพื่อยับยั้งชั่งใจก่อนจะร่วมเรือบุญไหลไปในสายธารของตัณหา .. ด้วยความทะยานอยาก .. ด้วยความบ้าบุญ โมหะจิต เพื่อต้องการบรรลุถึงคุณธรรมชั้นสูงสุด จนหน้ามืดตามัวหลงเข้าไปยึดถือในบุคคล จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของลัทธิอาจารวาท!

    “ลัทธิอาจารวาท” จึงเป็นอำนาจที่น่ากลัว ที่คืนกลับมา สลายสามัญสำนึกของศาสนิกชนทั้งหลาย ให้ไม่สามารถเข้าถึงฐานะของ พุทธศาสนิก ที่สมบูรณ์ตามพระธรรมวินัยได้.. ด้วยความลุ่มหลงในตัวตนบุคคลที่ชอบใจ .. ด้วยความหลงใหลในคำพูดคำสอนที่ประดิดประดอยสวยงามชวนให้เคลิ้มนึกว่า ศาสดา มาปรากฏตัวสั่งสอน จนลืมใคร่ครวญไตร่ตรองแยกแยะให้ออกระหว่าง หลักธรรมแท้กับบุคคลแท้ ที่ต้องมีจิตแท้ของพุทธศาสนา ซึ่งจักต้องสัมพันธ์กันไปอย่างไม่ขัดแย้งกัน ตามกระบวนการอรรถธรรมสัมพันธ์ ซึ่งหากรู้จักคิดพิจารณาโดยแยบคายตามแบบอรรถธรรมสัมพันธ์ ก็ย่อมสามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจนว่า ใช่ หรือ ไม่ใช่!!จึงควร ติติง ตักเตือน บอกกล่าวกันไปในทุกคนทุกกลุ่ม ทั้งหมู่พระภิกษุและหมู่คนที่นับถือศาสนาว่า ควรพิจารณากันมากๆ ให้เข้าถึงสารประโยชน์และความเหมาะควร .. ที่นำไปสู่การสร้างกุศลธรรมอย่างไม่ลุ่มหลง

    วันนี้แห่งสังคมไทย ที่อ้างอิงพระพุทธศาสนาว่าเป็นหลักธรรมประจำชาติในร่มพระบารมีของพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลปัจจุบัน หลายเรื่องราวได้รับการชำระสะสางเพื่อให้เกิดความถูกต้องดีงาม มีระเบียบแบบแผน ทั้งอาณาจักรและศาสนจักร เพื่อการพัฒนาประเทศชาติไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองในอารยธรรม อย่างน่าอนุโมทนายิ่ง!.. เราทั้งหลายในฐานะ พุทธศาสนิกชน จึงควรเตรียมพร้อมความเข้มแข็ง มั่นคง ทั้งกายจิต เพียบพร้อมด้วย สติปัญญา เพื่อการก้าวสู่ช่วงเวลาแห่งการพัฒนาชีวิตให้พร้อมเพื่อการพัฒนาประเทศชาติสืบต่อไป..

    อะไรที่ทำกันไปไม่ถูกต้อง ก็ควรชำระสะสางให้หมดไป ดังเช่น การออกประกาศของ มหาเถรสมาคม ที่ห้ามวัดต่างๆ จำหน่ายวัตถุมงคลและพระเครื่องในเขตอุโบสถ ตลอดจนถึงการอวดอ้างอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ โดยไม่คำนึงถึงหลักธรรมคำสั่งสอนที่แท้จริงในพระพุทธศาสนา ทำให้ประชาชนเกิดความหลงผิด และอีกหลายๆ เรื่อง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ควรชำระสะสาง .. และควรทำกันอย่างจริงจัง เพื่อขจัดระบบพุทธพาณิชย์ให้สิ้นไป .. ที่สำคัญควรลงโทษทั้งทางวินัยและกฎหมาย (ในข้อหาหลอกลวงและทำลายพระพุทธศาสนา) ต่อพระเกจิอาจารย์ทั้งหลายที่ทำหน้าที่ปลุกเสกด้วยวิถีติรัจฉานคาถา .. ไสยเวท ไสยศาสตร์ทั้งหลาย รวมถึงกลุ่มพระเถรานุเถระที่หลงใหลในโหราศาสตร์ .. การสะเดาะเคราะห์ ทำนายดวงชะตาทั้งหลาย .. และที่เลวร้ายสุดๆ คือ การจัดสร้างเทวนิยมออกเร่ขาย โดยแอบอิงอยู่ในเขตพระพุทธศาสนาอย่างไม่ละอาย!!

    ลองสอบสวนย้อนหลัง พลิกดูตามสื่อโฆษณาทั้งหลายที่กระทำการพุทธพาณิชย์ ก็คงจะพบว่ามีพระรูปไหนบ้าง สมณศักดิ์อะไรชั้นไหน และใครที่สนับสนุนการจัดทำ-จัดจำหน่าย .. สอบสวนกันให้จริงๆ รื้อลงไปให้ถึงบุคคล/พระเหล่านี้ พร้อมทั้งรายได้จากการหลอกลวงโดยแอบอ้างพระพุทธศาสนา ว่ามีเงินทองทรัพย์สินส่วนตัวที่เก็บฝากไว้ อันเกิดจากรายได้ มหาวิบัติ เหล่านี้มากน้อยเท่าไหร่ อยู่ที่ใคร .. ที่ไหนบ้าง! คงจะได้ตื่นเต้นกันครั้งใหญ่ เพราะแต่ละรูปแต่ละคนนั้นไม่ใช่ชื่อชั้นธรรมดาเลย โดยเฉพาะขุมทรัพย์จำนวนมากที่ฝากฝังรอไปใช้ในขุมนรก!!

    อีกประการหนึ่งที่สำคัญที่ควรแก่การ สนองพระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราช ได้แก่ การประกาศห้ามพระภิกษุรับเงินหรือสั่งสมเงินทองของมีค่า.. ห้ามประกอบธุรกรรมแบบคนทางโลก.. ซึ่งตรงกับพระวินัยทุกประการ แสดงไว้ในสิกขาบทที่พระภิกษุต้องศึกษาปฏิบัติอย่างจริงจัง ..จึงใคร่ขออาราธนาว่า ขอประกาศเพิ่มอีกสักข้อได้ไหม เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาที่จักได้คืนกลับมาอีกสักครั้ง… ..เชื่อเถิดเพียงข้อเดียวข้อนี้ที่พระธรรมดาอย่างอาตมาปรารถนา เชื่อว่า ย่อมจักแก้ปัญหาพุทธพาณิชย์ ปัญหาความเกี่ยวข้องกับวัตถุกามของบรรพชิตได้เกือบหมดทุกเรื่อง ..จะจริงหรือไม่จริง ขอท่านมหาช่วยนั่งหลับตาเข้าฌานลำดับญาณพิจารณาดูเอาเองก็แล้วกัน… ว่า จริงหรือไม่จริง!!.

    เจริญพร

    dhamma_araya@hotmail.com





    ขอขอบคุณที่มา
    http://www.ryt9.com/s/tpd/2725016
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 ตุลาคม 2017

แชร์หน้านี้

Loading...