เมื่อข้าพเจ้าได้ไปฝึกมโนมยิทธิที่วัดท่าซุง

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย สังวรคุณ, 16 กรกฎาคม 2010.

  1. สังวรคุณ

    สังวรคุณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +766
    [​IMG]

    ผมไปที่วัดประมาณ มกราคม ๒๕๒๖ ไปถึงบ่ายสามโมงเย็น อ่านประวัติหลวงปู่ปาน อ่านหลวงพ่อตอบปัญหาธรรมฉบับพิเศษเล่ม ๑ เล่ม ๒ ทำให้อยากจะไปฝึกมโนมยิทธิบ้าง ไปแบบเดาสุ่มไปเลย ถึงไหนถึงกัน ถึงวัดแล้วพอรู้ระเบียบว่าทางวัดให้พักได้ด้วยการนำบัตรประจำตัวไปติดต่อที่เจ้าหน้าที่ที่ศาลานวราช รู้สึกสบายใจมาก เมื่อรู้ว่าวัดตั้งระเบียบไว้อย่างนี้ พร้อมที่จะทำตามระเบียบด้วยความสบายใจ ไม่ต้องมีความจำเป็นว่าเราต้องรู้จักพระสงฆ์องค์นี้องค์นั้น หรือมีความจำเป็นว่าต้องรู้จักใครหรือให้ใครฝากให้ใครแนะนำจึงจะพักได้
    ตอนนั้นเวลาเจริญพระกรรมฐาน ๑๘.๓๐ น.ที่ศาลานวราช หลวงพ่อลงมาสอนเอง ก็ไปนั่งรอ ไกล้เวลาหลวงพ่อก็มา เราก็นั่งกันเป็นแถว กราบหลวงพ่อ วันนั้นมีคนมาฝึกใหม่แค่ สี่คน นอกนั้นก็เป็นพระในวัดและครูฝึก หลวงพ่อนำ โยโสฯ ให้ศีล ๘ นำสมาทานพระกรรมฐานเสร็จ ท่านก็บอกให้ฟังคำแนะนำสักเล็กน้อยก่อน ประมาณ สิบนาทีเศษๆ ท่านบอกอย่างนั้น แล้วท่านก็แนะนำวิธีปฏิบัติ จับใจอยู่ประโยคหนึ่ง ท่านบอกว่า "การฝึกมโนมยิทธินี้ไม่ต้องใช้สมาธิสูงมาก เราหายใจเข้า นึกนะมะ หายใจออกนึก พะทะ สักประเดี๋ยวหนึ่ง จิตก็ไปคิดอย่างอื่น เมื่อเรารู้ตัวเราก็ดึงมาใหม่ หายใจเข้านึก นะมะ หายใจออกนึก พะทะใหม่ แค่นี้ใช้ได้ " ดีใจ เพราะเราทำได้แค่นี้จริงๆ เจริญอานาปานะสติมา ๖ ปี ก็ทำได้เีพียงเท่านี้ จึงคิดในใจว่า แค่นี้เราทำได้ เพราะทำอยู่ประจำ
    พอถึงเวลา ครูฝึกก็มานั่งข้างหน้า ครูฝึกหนึ่งคน สอนคนใหม่ สามคน นั่งเรียงกัน ครูก็แนะนำบอกว่า ให้หยุดคำภาวนา ให้น้อมจิตคิดตามคำแนะนำ ครูก็แนะนำให้เห็นทุกข์ จากการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย การกระทบกระทั่งกับอารมฌ์ที่ไม่ชอบใจต่างๆ ล้วนแล้วแต่เป็นทุกข์ทั้งนั้น ขณะจิตนั้นจิตก็รู้สึกตามคำพูดของครูจริงๆ ว่ามันทุกข์จริงๆ และเมื่อครูบอกว่าเมื่อมันทุกข์อย่างนี้เราไม่ขอเกิืดอีก เราขอไปนิพพาน มันก็รู้สึกไม่อยากเกิดอีก อยากพ้นทุกข์จริงๆ อยากไปนิพพานจริงๆ
    ถึงตอนสำคัญ ครูก็นำขอบาระมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ฯ ตอนฝึกครั้งแรกนี้เสียท่าหน่อยตอนขอบาระมีไม่ได้นึกตามคำพูดคุณครู รอให้คุณครูพูดจบก่อน เราจึงจะนึกขอบาระมีตามหลัง ทำให้อืดอาดหน่อย พอครูถามว่า "ตอนนี้รู้สึกว่ามีใครมายืนอยู่ข้างหน้าบ้าง ก็ปรากฏว่ามีความรู้สึกว่ามีคนมายืนอยู่ข้างหน้าจริงๆ สวมรองเท้าปลายงอนความรู้สึกชัดเพราะเรานั่งศีรษะสูงกว่ารองเท้าท่านนิดหน่อยเอง แต่ก็เสียท่าอีกนั่นแหละแทนที่เราจะตอบไปเลยกลับรอให้คนแรกตอบก่อน แล้วมาคนที่สองแล้วจึงจะถึงเราคนที่สาม ตอนนั้นรออยู่อย่างนั้น ภาพที่รู้สึกได้ในตอนแรกก็หายไป พอครูถามมาถึงเรา เลยไม่มีอะไรจะตอบคุณครู คุณครูก็ไม่ถามอะไรเราอีกต่อไป เพราะถามแล้วไม่ตอบ ครูก็ไปถามคนที่เขาตอบต่อไป รู้สึกจะเป็นสองสามีภรรยา ภรรยาคล่องมากๆ สามีพอถูไถ แต่ สักพักก็นั่งเงียบเหมือนเรา ไม่ตอบอะไรเลย จนหมดเวลา หลวงพ่อก็นำอุทิศส่วนกุศล เสร็จแล้วหลวงพ่อก็อยู่สนทนาธรรมจนถึงประมาณ สามทุ่ม หลวงพ่อก็กลับเข้าที่พัก เราก็นั่้งรอสองแถวไปจนถึงประตู เห็นมีคนเปิดประตูถวายหลวงพ่อด้วย จึงนึกในใจอยากจะทำอย่างนั้นบ้าง สำหรับการฝึกของผมครั้งแรกก็สัมผัสได้เพียงเท่าที่เล่ามานี้ มีโอกาสจะนำประสบการณ์ในการฝึกครั้งต่อๆไปมาเล่าสู่กันฟังอีกเป็นธรรมทานนะครับ (อ่านต่อที่ #5,10,11,13,15,16,29,30,31)

    ขอเชิญร่วมถวาย"สมเด็จองค์ปฐมโชคเศรษฐี ปุญญวิจิตร ศรีเวียงชัย"
    http://palungjit.org/threads/ขอเชิญร่วมถวาย-สมเด็จองค์ปฐมโชคเศรษฐี-ปุญญวิจิตร-ศรีเวียงชัย.285301/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2011
  2. ทองอยู่

    ทองอยู่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    346
    ค่าพลัง:
    +1,493
    โมทนา สาธุ สาธุ

    ปูเสื่อรอแล้วนะคะ ให้ไว ให้ไวcatt12
     
  3. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    *
    [​IMG]

    เชิญแวะอ่านธรรมะของหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง ที่
    เฟสบุ๊ค ศูนย์พุทธศรัทธา
    และร่วมกันแบ่งปันธรรมะของหลวงพ่อฯ ไปยังกระดานของท่าน

    <IFRAME style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: medium none; WIDTH: 600px; HEIGHT: 300px; OVERFLOW: hidden; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none" src="http://www.facebook.com/plugins/likebox.php?href=http%3A%2F%2Fwww.facebook.com%2Fpages%2FBuddhaSattha%2F158726110822792&width=600&connections=20&stream=true&header=false&height=300" frameBorder=0 allowTransparency scrolling=no></IFRAME>
    *<!-- google_ad_section_end --> <!-- / message --><!-- sig -->

    เว็บทางนิพพาน เว็บไซด์ เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น<O:p
    ที่รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน<O:p
    ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่
    www.tangnipparn.com
    <?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p>ขอเชิญแวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญเว็บศูนย์พุทธศรัทธา

    [​IMG]</O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2011
  4. สังวรคุณ

    สังวรคุณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +766
    การยึดมั่นถือมั่นในร่างกาย ว่ามัีนคือเรา เราคือร่างกาย จะทำให้จิตเราหนัก ไม่โปร่ง ไม่เบาสบาย เราต้องตัดความรู้สึกนี้ให้ได้มากที่สุด ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นตัวนี้ให้ได้มากที่สุด จะทำให้การปฏิบัติของเราคล่องขึ้น
    การปฏิบัติวันที่สอง ตื่นมาตอนเช้า ทำสมาธิเล็กน้อยอย่างที่เคยทำ หายใจเข้ารู้ หายใจออกรู้พอใจสบาย ก็ลุกมาทำภาระกิจส่วนตัว เดินมาที่หน้าวัด พบสองสามีภรรยาที่ปฏิบัติร่วมกันเมื่อคืนยืนอยู่ที่ซุ้มประตู ภรรยาบอกว่า มองหาอยู่ตั้งแต่เช้า จะชวนไปส่งหลวงพ่อขึ้นรถไปสายลม หลวงพ่อท่านออกเดินทางแต่เช้า เธอกับสามีไปนั่งรอ ส่งท่านบริเวณข้างๆศาลาพระเจ้า ๔ พระองค์ หลวงพ่อเดินมาเอาไม้เท้าเคาะหัวด้วย เธอปลื้มใจมาก ตอนเล่ายังมีอาการปีติน้ำตาไหลให้เห็น สามีต้องขึ้นรถกลับบ้านก่อน เพราะมีภาระที่บ้าน
    ช่วงนั้นจะมีเวลาว่างทั้งวันเลยสำหรับเรา เพราะไม่ได้สนใจจะไปทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็นกับพระ เพราะไม่รู้ กรรมฐานตอนเที่ยงก็ยังไม่มี นอกจากถ้าหลวงพ่ออยู่ท่านก็จะลงรับแขก บ่ายโมง ถึงบ่ายสี่โมง เท่านั้น ก็เดินเล่น ไปตรงโน้นบ้าง ไปตรงนี้บ้าง ตอนนั้นศาลาสองไร่กำลังก่อสร้าง ช่างกำลังสร้างพระ ๒๘ องค์ ที่ข้างๆสองไร่อยู่ เดินไปพระจุฬามณี มีเด็กหนุ่มที่ฝึกใหม่เมื่อคืน เดินคุยด้วย พอไปเห็นพระจุฬามณี เขาตื่นเต้นมาก เขาบอกว่า มีจริงๆ มีจริงๆ เมื่อคืนนี้ฝึกครั้งแรก ไปเห็นมาจากข้างบน กระโดดโลดเต้น พูดแต่คำว่า มีจริงๆ มีจริงๆซ้ำๆอยู่นั่นแหละ เพราะเมื่อวานเขาเดินทางมาถึงวัดเย็นแล้ว ก็เข้าฝึกเลยไม่มีเวลาไปเดินที่ไหนเลย
    เวลากรรมฐาน ๑๘.๓๐น.ที่ศาลานวราชเหมือนเดิม วันนี้ไม่มีคนใหม่ ที่มา๔ คนเมื่อคืนก็กลับบ้านไปหนึ่ง ได้ดีมากๆแล้วสอง เหลือเราคนเดียวนั่งแถวหน้า ถึงเวลาเสียงหลวงพ่อชุมนุมเทวดา ให้ศีล๘ สมาทานพระกรรมฐาน แล้วก็แนะนำวิธีปฏิบัติเหมือนเดิม วันนี้จับใจความได้ว่า "ให้เชื่ออารมฌ์แรก รู้สึกอย่างไร ให้ตอบไปอย่างนั้น อย่ายั้งตัว อย่่ากลัวผิด ตอบบ่อยๆ พอครูยืนยันว่าถูกต้อง ก็จะค่อยๆดีขึ้น "ฟุ้งซ่านเล็กน้อย กลัวฝึกไม่ได้หน่อยๆ กลัวครูถามแล้วตอบไม่ได้ แต่ก็พยายามภาวนา หายใจเข้านึกนะมะ หายใจออกนึก พะทะ ไปเรื่อยๆ จนมีครูมานั่งข้างหน้า วันนี้เป็นพระสงฆ์องค์หนึ่งท่านมาสงเคราะห์ ท่านให้เราเลิกภาวนา ท่านแนะนำให้พิจารณาตามอย่างใจเย็น สอนให้พิจารณาร่างกาย ว่ามันแก่ไปอย่างไร มันป่วยไปอย่างไร มันตายไปอย่างไร สอนให้ตัดกำลังใจว่าถ้าร่างกายนี้ตาย ไม่ขอเกิดอีกต่อไป ขอไปนิพพาน ก็น้อมจิตเห็นจริงตามนั้น (บางส่วน) ท่านนำขอบาระมีก็คิดขอตาม ท่านบอกขอบาระมีพระพุทธเจ้านำข้าพเจ้าไปพระจุฬามณีเจดีย์สถาน ณ.กาลบัตเดี๋ยวนี้เถิด เงียบ ไม่มีความรู้สึกอะไรเลย ท่านก็ใจเย็น นำพิจารณาอย่างช้าๆใหม่ นำขอบาระมีใหม่ ประมาณ ๓ รอบได้ รอบที่๓นี้ พอท่านพูดจบ ก็ปรากฏว่ามีความรู้สึกว่าเรามายืนอยู่่สถานที่ๆหนึ่ง มืดเหมือนตอนกลางคืน เห็นภาพรอบตัวเป็นเงาตะคุ่มๆ แต่รู้สึกได้ว่าเรามายืนอยู่ตีนบันใด มีพญานาคที่ราวบันใดทั้งสองข้าง ความรู้สึกตอนนี้เหมือนเราฝันว่าเราไปยืน ณ.สถานที่หนึงแต่จะต่างจากฝันตรงที่ว่าเราสามารถบังคับได้ว่าเราจะทำอะไรต่อไป ความฝันนั้นมันเป็นไปเองตลอดต่อเนื่องกันไป ไม่มีความรู้สึกทางกายเลย แต่รู้สึกว่าครูฝึกมายืนอยู่ด้านหลังทางซ้าย เห็นข้างหลังได้ด้วยไม่ต้องหันมามอง ได้ยินเสียงท่านบอกว่าให้ตัดสินใจเข้าพระจุฬามณี เราก็ตัดสินใจตามแต่เข้าไม่ได้ ก้าวขึ้นบันใดนั้นไม่ได้ พยายามอยู่หลายครั้ง ไม่สำเร็จ ครูฝึกบอกว่า ให้เอาใหม่ ตั้งใจว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราจะรักษาศึล ๕ ตลอดชีวิต ตัดสินใจได้ไม๊ ปากก็ตอบไปว่าได้ครับ แต่ในใจก็คิดว่ากลับไปคงจะถือไม่ได้ โดยเฉพาะ ข้อ๔ มุสาวาท เพราะตอนนั้นรับราชการทหารอยู่ เป็นผบ.หน่วยรบเล็กๆ ทำภาระกิจตามตะเข็บชายแดนภาคใต้ เวลาออกทำงานต้องมุสาเพื่อเอาตัวรอดตลอด เช่นเวลาเราออกปฏิบัติภาระกิจ มีคนมาถามว่าจะไปไหนเราก็บอกตามตรงไม่ได้ เพื่อความลับ และเพื่อความปลอดภัยฯครูฝึกท่านแนะนำให้ตั้งกำลังใจเข้าพระจุฬามณีอีก ก็เป็นเหมือนเดิม เห็นคนที่ฝึกด้วยกัน ๓-๔ คนเดินขึ้นไปอย่างสบายๆ รวมถึงเด็กหนุ่มคนนั้นด้วย เขาขึ้นไปถึงบันใดขั้นสุดท้ายแล้ว เขาหันกลับมากวักมือเรียกว่า พี่ขึ้นมาสิ ๆ อยู่่นานเหมือนกัน แต่เราก็ได้แค่นี้ จนหมดเวลาปฏิบัติ สัญญาณดัง เราก็ลืมตามา อุทิศส่วนกุศล กราบลาพระ วันนี้หลวงพ่อไม่อยู่ ทุกคนก็แยกย้ายกันกลับที่พัก การฝึกคราวนี้แปลกอยู่อย่่าง เวลาครูเข้ามาสอนเราไม่ได้ลืมตาดูว่าเป็นใคร แต่เราจะรู้ด้วยความรู้สึกของใจว่าครูที่เข้ามาสอนเรานั้นเป็นใคร ครั้งนี้ก็รู้ว่าเป็นพระสงฆ์องค์หนึ่ง ทั้งๆที่พระมีตั้งเยอะเราก็รู้ได้ว่าเป็นองค์นี้แล้วก็ตรง ที่รู้ได้ก็เพราะว่า ความรู้สึกของใจเรานั้นแม้จะเห็นเป็นภาพที่มืด มองเห็นเป็นเงาตะคุุ่มๆอย่างที่บอกก็จริง แต่ก็สามารถแยกแยะได้ว่า เป็นใคร ในที่นี้ขอสงวนนามท่านไว้ ท่านจะรู้หรือเปล่าไม่รู้ว่าเรารู้ เราเห็นท่านที่ตีนบันใดพระจะฬามณี พอลงมาก็มองหาในหมู่สงฆ์ ก็มีท่านองค์นี้นั่งรวมในนั้นจริงๆ ซึ่งตอนก่อนฝึกเราไม่ได้สนใจมองใครเลย
    การฝึกครั้งที่สองนี้ ได้ข้อคิดว่า ถ้าเราพิจารณาตัดความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายได้จิตใจเราจะเบาสบาย เมื่อเบาสบายแล้ว บังเอิญว่าเกิดทิพยจักขุญาณขึ้นกับเราด้วยทำให้สัมผัสสภาวะที่เป็นทิพย์ได้ ไปพระจุฬามณีได้ ส่วนคนที่ตัดร่างกายได้แต่ทิพยจักขุญาณไม่ปรากฏ ก็ไม่สามารถเห็นสวรรค์ เห็นพรหม เห็นนิพพานได้ จึงไม่มีความเข้าใจว่าทิพยจักขุญาณนั้นเป็นเช่นไร และ รู้อีกอย่างหนึ่งว่า คนที่ศีล ๕ ไม่ครบ เข้าเขตพระจุฬามณีไม่ได้ แล้วจะรู้เรื่องพระนิพพานได้อย่างไร

    เลิกฝึกแล้วเด็กหนุ่มนั้นมาคุยด้วย บอกพี่ ผมเห็นพี่ก็ไปได้นะ ผมขึ้นไปถึงบันใดชั้นบนแล้วผมหันกลับมาเรียกพี่ให้ขึ้นตามไป ก็เห็นพี่พยายามตะเกียกตะกายสี่ขาที่ตีนบันใด(แหมพูดเสียเห็นภาพเลย)ผมเรียกพี่เสียงดัง พี่เชื่อไม๊คนที่อยู่ในพระจุฬามณีหันมามองผมเป็นตาเดียวกันเลย ผมเลยไม่กล้าส่งเสียงดังอีก ฟังแล้วมีความมั่นใจมากๆ พกความมั่นใจเต็มเปี่ยมกลับไปทำงานในวันรุ่งขึ้น เพราะถูกเรียกตัวไปปฏิบัติภาระกิจกระทันหัน ซึ่งตอนนั้นยังไม่รู้ว่าจะเ้ป็นภาระที่เข้าสู่สมรภูมิการรบอันหนักหน่วงเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิตรับราชการ แต่ก่อนกลับก็สมัครสมาชิธัมมวิโมกข์ไว้ด้วย เลยมีโอกาสปฏิบัติอย่างต่อเนื่องต่อไปจากการได้อ่านธัมมวิโมกข์ที่สมัครสมาชิกไว้นี่เอง เอาไว้โอกาสหน้าจะเล่าเป็นธรรมทานอีกนะครับ การฝึกครั้งที่ ๓ และการฝึกแบบเต็มกำลัง


    ขอเชิญร่วมถวาย"สมเด็จองค์ปฐมโชคเศรษฐี ปุญญวิจิตร ศรีเวียงชัย"
    http://palungjit.org/threads/ขอเชิญร่วมถวาย-สมเด็จองค์ปฐมโชคเศรษฐี-ปุญญวิจิตร-ศรีเวียงชัย.285301/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2011
  5. maruko_k

    maruko_k เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +1,318
    อนุโมทนาด้วยค่ะ ยินดีด้วยนะคะที่ได้ฝึกตอนที่หลวงพ่อลงมาสอนเอง
     
  6. สังวรคุณ

    สังวรคุณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +766
    การฝึกมโนมยิทธิครั้งที่ ๓ ที่วัดท่าซุง

    ประมาณเดือนกรกฏาคม ปี ๒๖ ห่างจากการฝึกครั้งที่ ๒ ประมาณหกเจ็ดเดือน เนื่องจากว่าหลังจากกลับจากวัดเมื่อต้นเดือนมกราคมนั้น ผมได้ไปปฏิบัติภาระกิจเข้าโจมตีฐานที่มั่นของจคม.บริเวณชายแดนไทย-มาเลเซีย ฝั่งเราก็เป็นเขต อ.เบตง ยะลา ยุทธการครั้งนั้นหนักมากๆ เพราะภูมิประเทศเป็นป่าดิบชื้น ภูเขาสูงชันมาก การเคลือนพลเป็นไปด้วยความยากลำบากสุดๆ ปฏิบัติภาระกิจอยู่นานกว่าภาระกิจจะสำเร็จตามเป้าหมายของหน่วยเหนือ หลังจากเสร็จภาระกิจ ในระหว่างที่ถอนกำลังกลับ ผมได้ถูกกับระเบิด บาดเจ็บสาหัสมากเวลาประมาณตอนเที่ยงของวันที่ ๔ เมษายน ๒๖ ลูกน้องเสียชีวิตไปหนึ่งคน ตอนถูกระเบิดไม่เคยมีความรู้สึกว่ากลัวตายแม้แต่น้อย มีแต่ความรู้สึกว่า ตายไปอาจจะตกนรกก็ได้เพราะศึล๕เราไม่ครบ จึงนึกถึงคำสอนขององค์หลวงพ่อว่า ถ้าใครภาวนา "พุทโธ" ตายไปจะไม่ตกนรก ก็กำหนดควบกับลมหายใจ ปกติกำหนดแต่ลมหายใจ ไม่มีพุทโธ ครั้งนี้ หายใจเข้าพุทธ หายใจออกโธ ตลอดเวลา ไม่ยอมให้คลาดจากการภาวนา เพราะต้องการป้องกันนรกให้กับตัวเองอย่างเดียว ลูกน้องก็ทำเปลหามออกมา ใช้เวลาเดินในป่า ขึ้นเขาลงเขา เป็นเวลา ๖ ชั่วโมง มาถึงสนาม ฮ.ประมาณ ๑๘ น.เศษ ฮ.มารับไปส่งรพ. เบตง ถึง ประมาณ ๑๙ น.สติ สมาธิสมบูรณ์ สามารถพูดวิทยุเรียก ฮ.ได้สั่งการลูกน้องได้เป็นปกติ เพราะเราทำสมาธิตลอด คุณหมอนำเข้าห้องผ่าตัด ใช้เวลาผ่าตัด ประมาณ ๓ ชั่วโมง อันนี้ลูกน้องบอก เพราะถึงรพ.แล้วโดนวางยาสลบฟื้นขึ้นมาประมาณเที่ยงคืน อาการเจ็บปวดอันเกิดจากบาดแผลนั้นหนักมากๆ ถึงตอนนี้ ตามรู้ลมหายใจก็ไม่ได้ นึกพุทโธก็ไม่ไหว มันปวดมากเกินกว่าที่จะทำอย่างที่กล่าวได้ เลยใช้วิธีมองดูที่พระพุทธรูป ที่หิ้งพระในห้องผู้ป่วย ตามองจับพระพอได้ ก็มองดูพระตลอด จนหลับไป ตื่นขึ้นมาก็ปรากฏว่าสายตาก็ยังคงอยู่กับพระพุทธรูปตลอด โชคดี่ที่เมื่อย้ายมารักษาต่อที่ รพ.พระมงกุฏกรุงเทพฯ ในห้องผู้ป่วยทุกห้องก็มีหิ้งพระ มีพระพุทธรูปให้ได้มองเหมือนกัน เป็นอย่างนี้อยู่ประมาณสองอาทิตย์ได้ จนทุกขเวทนาคลายตัวลง จึงเริ่มกำหนดรู้ลมหายใจได้ อาศัยคำสอนขององค์หลวงพ่อ ก็พยายามตัดร่างกาย คิดว่าถ้าร่างกายนี้ตาย เราขอไปพระนิพพานจุดเดียวไม่ขอเกิดอีก ตัดสินใจถือศีล ๕ ตลอดชีวิตได้อย่างมั่นใจ เพราะเราหมดภาระกิจแล้ว นำรูปพระวิสุทธิเทพ ที่พระจุฬามณีวัดท่าซุงใส่กรอบ ติดไว้ที่หัวเตียง เวลานึกถึงพระพุทธเจ้าก็นึกถึงภาพนี้ตลอด เพราะเป็นปางพระนิพพาน ทำอย่างนี้ตลอด ทำทุกวัน ช่วงไหนที่หลวงพ่อไปสายลม ก็ให้คนที่เฝ้าไข้ไปถวายสังฆทานให้ ทุกครั้งที่หลวงพ่อไป พออาการดีขึ้น ในระหว่างการพักฟื้น จึงขออนุญาตทางรพ.ไปวัดท่าซุง จึงได้ฝึกมโนมยิทธิ เป็นวาระที่๓​

    ฝึกที่ศาลานวราชเหมือนเดิม เราก็ไปนั่้งที่เดิม ก็ตั้งใจกล่าวคำบูชาพระ สมาทานศีล ๘ สมาทานพระกรรมฐาน ฟังคำแนะนำจากองค์หลวงพ่อ เสร็จแล้วก็นั่งภาวนา ก่อนภาวนาก็คิดเหมือนที่เคยคิด ว่าถ้าร่างกายนึ้ตาย ขอไปนิพพาน ศีลไม่ได้นึกเพราะตั้งใจตั้งแต่ตอนสมาทานศึลกับหลวงพ่อแล้ว ทำใจสบายๆภาวนาไป นึกถึงภาพพระวิสุทธิเทพไป จิตก็นึกอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา พอถึงเวลา ครูก็มาสอน แต่ครังนี้แปลก ทั้งๆที่เราหลับตาจับภาพพระวิสุทธิ์เทพอยู่ เราก็เห็นครูฝึกเดินมาด้วย พระวิสุทธิเทพลอยอยู่ข้างบนสูงดอกบัวที่รองพระบาททั้งสองข้างอยู่ประมาณหลังคาศาลานวราช ครูที่เดินมาเห็นเป็นอทิสสมานกาย ใสสว่างสวยงามมาก มีเครื่องประดับสวยระยิบระยับ เป็นสาวรุ่นๆ มานั้งข้างหน้าแล้ว นิ่งอยู่ แล้วก็ถามเราว่า จิตจับพระนิพพานตลอดเลยหรือ ก็ตอบว่าครับ ครูฝึกก็บอกว่างั้นให้ลืมตาขึ้น ให้หันไปมองด้านหลังทางขวามือ เห็นครูฝึกผู้หญิง กำลังฝึกผู้หญิงกลางคนๆหนึ่ง แล้วก็บอกว่า ค่อยๆคลานไป ไปฝึกกับครูคนนี้เลยนะ ก็คลานไป ไปถึงก็กราบเบ็ญจางคประดิษฐ์ สามครั้ง แล้วก็นั่งหลับตาฟังครูนำฝึกต่อไป ประโยคแรกที่ได้ยิน ครูบอกว่าขอบาระมีทุกๆพระองค์ให้พาไปสวนนันทวัน เราก็ไปปรากฏอยู่กลางสวนผลไม้ซึ่งมีต้นไม้สูง ครูก็ถามผู้หญิงกลางคนทีั่ฝึกอยู่ว่าสวนนันทวันนั้นเป็นสวนอะไร ผู้หญิงคนนั้น ตอบหลายสวนมาก ไม่มีคำว่าสวนผลไม้เลย เราก็ไม่ตอบได้แต่น้อมจิตตาม เพราะเรามาทีหลัง ไม่อยากให้มีเสียงแปลกปลอมไปแทรกผู้ฝึกอยู่ก่อน แต่ก็ไปทุกจุดก็ตรงตามความเป็นจริงทุกจุด ชัดและรวดเร็วและอยู่นาน
    สุดท้ายครูก็นำขึ้นนิพพาน ไปที่วิมานสมเด็จองค์ปัจจุบัน เป็นลักษณะมณฑป จตุรมุข เหมือนมณฑปแก้วที่หน้าตึกรับแขกปัจจุบัน(ตอนนั้นยังไ่ม่ได้สร้าง) เข้าไปได้ ไปกราบพระพุทธเจ้าปางนิพพานในวิมาณของพระองค์ได้ ตัวเราตอนนี้เป็นเทวดา เป็นแก้วสว่าง รู้สึกปลอดโปร่งเบาสบาย สงบ เยือกเย็นมากๆ ครูให้ถามพระว่าเรามีวิมานบนนี้หรือเปล่า พระองค์ยกพระหัตถ์ ทั้งๆที่เราอยู่ในวิมานของพระพุทธองค์แต่เราก็สามารถมองเห็นวิมานเล็กๆที่ไกลออกไป ลักษณะวิมานก็เป็นจตุรมุขเหมือนกัน แต่เล็กนิดเดียว ก็ขอบาระมีพระพุทธองค์ขอไปวิมานตัวเอง ปุ๊บก็ถึง เข้าไปได้ง่ายๆ นั่งเล่นนอนเล่นได้อย่างสบายใจ นึกย้ำในใจว่าถ้าตายเราขอมาพระนิพพานทั้นที ครูท่านก็ปล่อยแล้วก็หลีกไป เราก็ทรงอารมฌ์สบาย ลองลุกนั่งบ้าง ลองล้มตัวลงนอนบ้าง เวลานอนก็มีหมอนสามเหลียมมารองรับ เวลาลุกนั่งหมอนก็หายไป ถ้ายกแขนขึ้นมาหมอนก็มาวางข้างตัวรองรับแขน อันนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยการทดลองด้วยตัวเอง ไม่มีครูถามนำหรือบอกอะไร จึงได้เข้าใจว่า สภาวะนิพพานความเป็นทิพย์มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ออกจากวิมานก็มาเจอต้นโพธิ์แก้วค่อนไปทางด้านหลังวิมาณ ก็รู้ว่าที่เรานำต้นโพธิ์ไปปลูกที่วัดจึงมาปรากฏบนนี้ เดินไปใต้ต้นโพธิ์ ทดลองนั่งลง ก็มีแท่นแก้วมารองรับ ทดลองนอนแท่นแก้วก็ขยายเป็นเตียงแก้วมีหมอนสามเหลียมมารองรับ ก็พอดีหมดเวลา

    หลังจากฝึกครั้งที่สามแล้ว ก็ได้ฝึกญาณ๘ ท่องเที่ยว อีกหลายวัน เพราะลาทางรพ.มาคราวนี้มาอยู่ตั้ง ๗ วัน ทำให้มีความเข้าใจที่หลวงพ่อสอนว่า คำว่าทิพยจักขุญาณ คือความรู้สึกทางใจคล้ายตาทิพย์เป็นอย่างไร ถ้าเราวางอารมฌ์ความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายได้ น้อมนำเอาพระนิพพานมาเป็นอารมฌ์ไว้เสมอๆ ความรู้สึกทางใจนั้นจะสว่าง รวดเร็ว และตั้งอยู่ได้นาน บางครั้งเรารู้สึกเหมือนว่า อยู่บนนิพพานแค่แป๊บเดียว ข้างล่างนี้หมดเวลาฝึกแล้ว กินเวลาเป็นชั่วโมงเลย
    สำหรับผู้ที่อยากจะฝึก ก็ขอให้ฝึกภาวนา นะมะ พะทะ ให้ชินไว้ก่อนเรื่อยๆจะดี หายใจเข้านึก นะมะ หายใจออก นึก พะทะ ไปเรื่อย ทำทุกเช้าทุกค่ำ แค่พอใจสบาย และก็ฝึกตัดร่างกาย ให้เห็นว่า มันค่อยๆแก่ไปอย่างไร แล้วมันต้องตายอย่างไร บ่อยๆเรื่อยๆ นึกในใจว่าถ้าตายขอไปนิพพาน แล้วก็หาภาพพระวิสุทธิ์เทพมามองดูด้วยก็ดี มองไว้เรื่อยๆ มันจะค่อยๆติดตา ติดใจไปเอง ที่สำคัญต้องรักษาศีลห้าให้ได้ ไม่อย่างนั้นอารมฌ์ต่างๆทีบอกมาทั้งหมดมันจะเสื่อม มันจะหนัก มันจะมืด มันจะไม่โปร่ง จะไม่มีความรู้สึกเบาสบาย มันจะไม่รู้สึกเป็นสุข สงบ เยือกเย็น มันจะกลายเป็นความจำได้หมายรู้ คิดพิจารณาเหมือนนกแก้วนกขุนทองแค่นั้นเอง เราอาจจะพูดได้ว่า ไม่ขอเกิดอีกแล้ว ถ้าตายขอไปนิพพาน แต่ความรู้สึกของใจไม่ได้เป็นไปตามนั้นจริงๆ
    ถ้ามีโอกาสอีก ก็จะนำเรื่องราวตอนฝึกมโนมยิทธิแบบเต็มกำลังมาเล่าสู่กันฟังเป็นธรรมทาน นะครับ เพราะผมโชคดี หลังจากนี้ไม่นานหลวงพ่อท่านก็เปิดฝึกเต็มกำลังให้ ซึ่งจริงๆเท่าที่ผมทราบมา ท่านเลิกฝึกแบบเต็มกำลังมานานแล้ว​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤศจิกายน 2010
  7. สังวรคุณ

    สังวรคุณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +766
    อย่าคิดอย่างนั้นเลยครับ เพราะฝึกตอนนี้ก็ใช้เทปเสียงหลวงพ่อ ก็เท่ากับหลวงพ่อมาสอนให้เองเหมือนกัน ถ้าเราตั้งกำลังใจดีๆ ตั้งกำลังใจให้ถูก เราก็จะสามารถรับสัมผัสกับหลวงพ่อได้โดยตรง หลวงพ่ออาจจะมาให้เราสัมผัสได้ทางใจ และ ให้คำแนะนำเราโดยตรงทางใจเลยก็ได้ มีหลายคนนะครับ ที่ไม่ทันสังขารร่างกายหลวงพ่อ แต่ทำดี ทำถูกหลวงพ่อก็มาสอน ด้วยกายทิพย์ ปรากฏว่า มีความพ้นทุกข์ได้อย่างรวดเร็วมากๆ
    ผลที่ได้ตามมาจากการฝึกมโนมยิทธิ

    หลังจากฝึกทำใจตามแนวมโนยิทธิแล้ว ก็มีเรื่องแปลกที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองบ่อย ทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่ คือในระหว่างอยู่ที่วัด เวลาหลวงพ่อรับแขก ก็จะไม่นั่งฟังหลวงพ่อสนทนาธรรม ตอนนั้นคนถวายสังฆทานน้อย หรือบางวันแทบไม่มีเลย หลวงพ่อก็จะเล่าเรื่องโน้น เรื่องนี้ให้ฟัง เป็นที่รื่นเริงบันเทิงใจมาก อารมฌ์สบายจริงๆ จิตปลอดโปร่งเหมือนเราเป็นคนไม่มีกิเลสเลยงั้นแหละ เวลาหลวงพ่อรับแขก จะมีพระสงฆ์มานั้งข้างๆด้วย จะหันหน้าเข้าหาโต๊ะที่หลวงพ่อใช้รับประเคนของ หันข้างให้ญาติโยม ผมก็นั่งมองหลวงพ่ออย่างสบายใจ หลวงพ่อฉันหมากบ้าง เป่ายานัตถ์บ้าง มองไปๆ ก็เห็นจิตหลวงพ่อใสบริสุทธิ์เป็นแก้ว ซ้อนอยู่ เพราะหลวงพ่อคงเปิดให้ดู ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่แปลกตรงที่พอมองไป ที่พระสงฆ์องค์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็เห็นว่าจิดเป็นเนื้อดำสนิท สกปรกมาก ก็ตกใจ น้อมจิตขอขมาลาโทษท่านตลอดเวลา พอเห็นอย่างนั้นก็ขอ เห็นอย่างนั้นก็ขอ เพราะคิดว่า เราจะปรามาสท่าน หลังจากผ่านไป ๒-๓ ปี หลวงพ่อพูดถึงองค์นี้แหละ ว่า "ที่หลวงพ่อให้มาอยู่ไกล้ตัว เพราะหวังจะให้เขากลับตัวกลับใจได้แต่.....(ข้อความนี้จำไม่ได้) ทราบว่าตอนนี้ท่านป่วยหนัก"(หมายถึงว่าองค์นี้ได้ถูกออกจากวัดไปแล้ว ขณะที่หลวงพ่อพูดอยู่นี้ท่านป่วยหนัก)
    ผมจะเป็นอย่างนี้ประจำ มองดูใครพอใจสบายๆก็จะเห็นอทิสสมานกายซ้อนอยู่ประจำ แต่ต้องใจสบายๆนะ ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ บางคนอทิสสมานกายเป็นเทวดา นางฟ้า เป็นพรหม บางคนก็เป็นเปรต หรือสัตว์นรกก็มี แต่เห็นแล้วก็เฉยๆนะ ไม่มีความคิดตำหนิติเตียน ไม่พอใจ นินทาว่าร้ายหรือประณามเหมือนชาวโลกทั่วไปคิด ว่าคนรู้ใจคนอื่นจะต้อง ตำหนิติเตียนคนอื่น รังเกียจคนอื่น มันไม่ใช่อย่างนั้น มันเห็นเป็นปรกติธรรมดา รู้แต่ว่า ถ้าจิตเขาเป็นอย่างนี้ เขาจะคิดดี ทำดี พูดดี ถ้าจิตเขาเป็นอย่างนี้เขาจะชอบลักเล็กขโมยน้อย ถ้าจิตเขาเป็นอย่างนี้ การกระทำคำพูดของเขาจะสร้างแต่ความเร่าร้อน​

    ที่สำคัญ คือเราสามารถรู้วาระจิตของเราได้ เวลาอารมฌ์สบายๆก็จับภาพพระให้ใหญุ่คุมตัวเราไว้ ก็จะเห็นจิตของตัวเอง สว่างแค่ขอบนอก แกนในดำสนิท นั้นหมายถึง ราคะ โทสะ โมหะ ที่อยู่ส่วนลึกของจิตใจยังหนาอยู่มาก แถมของผมพิเศษกว่านั้นอีก มีเงากรรมสีดำใหญ่เข้มคลุมตัวอยู่อีกชั้นหนึ่ง เป็นกรรมอันหนักที่ทำมาตั้งแต่อดีต ซึ่งกรรมอันนี้มันจะมาทำให้ผมวิกลจริต หรือเป็นบ้านั่นเอง เมื่อรู้อย่างนี้ ผมก็พยายามทำบุญอย่างหนัก สวดมนต์ภาวนาอย่างต่อเนื่อง มีกำลังใจดีก็อาราธนาบาระพระคลุมตัว พยายามที่จะหลุดพ้นจากบ่วงกรรม หลุดพ้นจากความทุกข์ที่คลอบงำอยู่นี้ตลอด มันหนักมากจริงๆ ขนาดไปทำบุญหล่อสมเด็จองค์ปฐม ซึ่งหลวงพ่อเททองหล่อเอง และหลวงพ่อบอกว่ามีบุญมาก อย่างที่เราทราบกัน แต่ขนาดบุญมากอย่างนั้น ยังทำให้เงากรรมนั้นสลายไปในระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น ไม่มีเว้นช่วงให้ได้หายใจหายคอสดวกเลยด้วยเหตุนี้ผมถึงทำบุญทุกอย่าง อย่างหนัก ตั้งแน่ผมออกจากรพ.มาผมก็มาสร้างอาศรมส่วนตัว ในที่ไร่ของพ่อผม ผมนุ่งเสี้อผ้าธรรมดาแล้วผมอึดอัดใจ ผมก็นุ่งขาวห่มขาว กินข้าวเย็นผมอึดอัด ผมก็ไม่กิน และ ผมก็ถือศีลพรหมจรรย์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นับดูก็ ๒๐ กว่าปีนี้แล้ว ผมสวดมนต์ภาวนาทุกบทที่ว่าดี ได้ปากเปล่า สวดทุกเช้าทุกเย็นมาตลอด เช้าก็ประมาณ ๒ ชั่วโมง เย็นประมาณ ๑ ชั่วโมง ในระหว่างวันก็ภาวนาตลอด ยืนเดิน นั่งนอน เป็นที่ส่่วนตัวปฏิบัติไปแบบสบายๆ เพราะต้องการจะหลุดพ้นจากทุกข์ ดังกล่าว แต่กระนั้นก็ยังเป็นการดับทุกข์ได้ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น
    จนกระทั้งปีที่แล้ว (พ.ศ.๒๕๕๒ )ผมได้โอนเงินเข้าบัญชีสนับสนุนเว็ปพลังจิตนี้จำนวนหนึ่ง และ โอนเงินร่วมในการจัดทำ พระไตรปิฏิฉบับเสียงอ่านจำนวนหนึ่ง อัศจรรย์ก็คือว่า พอพระไตรปิฏกเสียงอ่านเริ่มปรากฏเป็นรูปเป็นร่าง เท่านั้น บุญอันนี้ก็สามารถกำจัดเงากรรมอันหนักที่ครอบงำผมมานานอันตรธานหายไปจนหมดสิ้น ผมรู้สึกเบาสบาย ปลอดโปร่ง มีความสุขตลอด ไม่มีสิ่งครอบงำภายนอกมาทำให้ทุกข์ มาทำให้เร่าร้อนใจอีกเลย เหลือแต่ ราุคะ โทสะ โมหะ ที่เป็นแกนดำอยู่ในใจที่จะต้องกำจัดเท่านั้น เมื่อเป็นอย่างนี้ผมก็เลยตัดสินใจเล่าประสบการณ์การฝึกมโนมยิทธิที่ผ่านมาของผมฝากไว้เป็นธรรมทาน เพื่อยืนยันว่า ทำตามคำสอนขององค์หลวงพ่อให้จริงๆจังๆแล้วได้ผล ทำให้เราพ้นทุกข์ได้อย่างไร และสามารถพิสูจน์ผลบุญที่เราทำได้่ว่าให้ผลแก่เรามากน้อยอย่างไร อย่างเช่นบุญอันเกิดจากการสนับสนุนกิจจกรรมของเว็ปพลังจิตของผมเป็นต้น ผมก็จะตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติให้รุดหน้าต่อไปอย่างไม่มีวันกลับด้วยพลังแห่งบุญ จากที่ำได้จากการร่วมบุญในเว็ปพลังจิตนี่แหละ ( ถ้ามีโอกาส ต่อไปจะเล่าประสบการณ์การฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลัง สู่กันฟังเป็นธรรมทานนะครับ เผื่อใครที่สนใจ) ​



    เชิญบริจาคซื้อ "อภิญญา ๖ Server" เพื่อเว็บพลังจิตเผยแผ่พุทธศาสนา ปี 2554
    http://palungjit.org/threads/เชิญบร...อเว็บพลังจิตเผยแผ่พุทธศาสนา-ปี-2554-a.269740/

    เชิญผู้มีจิตศรัทธาร่วม สร้างพระไตรปิฏก Web Version ที่ดีที่สุดในโลก
    และร่วมสร้างฐานข้อมูลทางพุทธศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในโลกและร่วมเผยแผ่พุทธศาสนา
    http://palungjit.org/threads/เชิญผู...พระไตรปิฏก-web-version-ที่ดีที่สุดในโลก.2188/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2011
  8. สังวรคุณ

    สังวรคุณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +766
    ประสบการณ์ส่วนตัวเกี่ยวกับอิทธิปาฏิหารย์

    ยังอยู่ในช่วงปี พศ. ๒๕๒๖ เพราะปีนี้ผมไปฝึกกรรมฐานที่วัดบ่อยมากเรียกว่า อาทิตย์เว้นอาทิตย์ก็ว่าได้ การไปอยู่วัดตลอด ๗ วัน ทำให้บางครั้งในช่วงที่อยู่วัดก็ตรงกับวันพระ ซึ่งหลวงพ่อจัดทำบุญใส่บาตรที่ โรงเรียนพระพินิจอักษร หรือ เรามักจะเรียกกันว่า ศาลาพระพินิจ มีคนมาขายสำรับกับข้าว สำหรับให้เราซื้อใ่ส่บาตรด้วย เมื่อก่อนมีคนแก่หาบมาขายแค่ คนสองคนเอง ไม่มีแม่ค้าเยอะหลายเจ้าเหมือนสมัยนี้ มีโอกาสได้ทำบุญวันพระ มีโอกาสได้ฟังหลวงพ่อเทศน์วันพระหลายครั้ง ปลื้มปีติในธรรมจริงๆ ถ้าใครเคยทำบุญวันพระที่ศาลาพระพินิจ ก็จะจำได้ว่่า มีธรรมมาสสำหรับเทศน์ ตั้งอยู่ ด้านหน้าพระ หันหน้าไปท้ายศาลา เป็น ธรรมมาสสูง สองชั้น เวลาจะขึ้นเทศน์ ก็จะมีคนสองคนคอยประคองหลวงพ่อขึ้นธรรมมาส เวลาจะลงก็เช่นเีดียวกัน ตัวเองเห็นบ่อย เพราะไปฏิบัติแล้วตรงกับวันพระบ่อยๆ จะเฝ้ามองหลวงพ่อตลอด เวลาหลวงพ่อเทศน์ก็จะน้อมจิตคิตตามตลอด หลวงพ่อจะเทศน์ตรงกับจริตเราเสมอๆ ฟังแล้วถูกใจมากๆ
    มีอยู่วันหนึ่งเป็นกรณีย์พิเศษที่หลวงพ่อท่านเปิดใช้โรงเรียนพระพินิจตอนเย็น เพราะวันนั้นมีคณะคนพ้นโลก หลายคันรสบัสไปปฏิบัติธรรมกัน ที่จริงผมก็เป็นสมาชิกของคณะนี้อยู่เหมือนกัน ติดตามข่าวบุึญเขาอยู่ตลอด หัวหน้าทีมคือ อ.ปถัมภ์ เรียนเมฆ จะจัดทัวร์บุญแทบทุกอาทิตย์เลย เย็นวันศุกร์ ก็ออกจาก กทม.เย็นวันอาทิตย์ก็กลับ ถึงเช้าวันจันทร์ทันทำงานพอดี ไปทัวร์บุญภาคอีสาน ก็ไปหลวงปู่ขาววัดถ้ำกองเพล หลวงปู่เทสน์ วัดถ้ำขาม และอีกหลายองค์ ซึ่งตอนนั้นยังทรงสังขารอยู่ ภาคเหนือก็หลวงปู่สิม หลวงปู่แหวน หลวงพ่อเกษม เป็นต้น วันนั้นเขาไปทัวร์บุญที่ไหนกันมาไม่รู้ มาจบที่วัดท่าซุง เนื่องจากมีสมาชิกมาก หลวงพ่อเลยให้ฝึกมโนยิทธิ รอบ ๑๘.๓๐ น.ที่โรงเรียนพระพินิจ เวลาสอนหลวงพ่อก็ขึ้นนั้งบนธรรมมาส คนที่เข้าฝึกเยอะ น่าจะเกือบสองร้อยคน ผมต้องไปนั้่งท้ายศาลา บริเวณหน้าห้องน้ำ แต่ก็มองหลวงพ่อเห็นชัดเจนดีเพระหลวงพ่อนั่้งบนธรรมมาสสูง แต่ภาพที่เห็นก็จะไกลหน่อย อธิบายเสร็จหลวงพ่อก็นั่งสมาธิบนธรรมมาส ข้างล่างก็ฝึกมโนมยิทธิกันไป จนหมดเวลา หลวงพ่อก็นำอุทิศส่วนกุศล นำกราบพระเสร็จ หลวงพ่อสนทนาธรรมเล็กน้อย แล้วหลวงพ่อก็ประกาศว่า คณะคนพ้นโลกให้จัดเตรียมที่พักได้ ให้นอนในนี้แหละ พอหลวงพ่อพูดจบ ทุกคนก็ลุกปูเสื่อ เตรียมที่นอนของตัวเองกันพลึบ บ้างก็เอากรดมากาง บ้างก็เอาหมอนเอาผ้าห่มมาปู ไม่มีใครสนใจหลวงพ่อที่นั่งอยู่บนธรรมมาสแม้แต่คนเดียว ผมก็มองหลวงพ่ออยู่่ไกลๆ ในขณะนั้นนั่นเองเวลาทุกคนเผลอ หลวงพ่อก็ลอยลงมาจากธรรมมาสมายืนอยู่ ผมเห็นเป็นท่าสโลว์โมชั่นกับตาเลย เห็นแล้วก็ตกใจ หันไปดูคนนั่งข้างๆ ทั้งซ้าย ทั้งขวา ถามเขาว่า เมื่อกี้เห็นอะไรรึเปล่า ๆไม่มีใครในนั้นได้ทันเห็นซักคน ตกลงผมได้เห็นคนเดียว นึกสงสัยมาตลอดว่า ทำไมหลวงพ่อจึงแสดงปาฏิหารย์ให้ผมเห็นจะจะ ขนาดนั้น เพราะเรื่องปาฏิหารย์นั้น ผมเชื่อสนิทใจตั้งแต่ได้อ่านหนังสือประวัติหลวงปู่ปานแล้ว ผมไม่เคยมีข้อสงสัยเรื่องฤทธิ์ เรื่องอภิญญาเลยแม้แต่น้อย และเป็นคนที่ไม่สนใจเรื่องฤทธิ์เรื่องเดชอะไร สนใจด้านสุขวิปัสสโก สนใจเรื่องทุกข์เรื่องดับทุกข์เป็นหลักอย่างเดียวเท่านั้น คิดว่าหลวงพ่อก็คงจะรู้เรื่องนี้ แต่ผมสงสัยมาเรื่อย ว่าหลวงพ่อท่านจะบอกอะไรเราหรือท่านถึงได้ทำให้เราเห็น แปลกใจจนทุกวัีนนี้เลยครับ ​

    นำมาเล่าสู่กันฟังด้วยความสงสัยนะครับ คั่นเรื่องฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังซึ่งถ้าำไม่เข้าพรรษาเสียก่อนก็คงจะได้มาเล่าให้ฟังเป็นธรรมทานนะครับ​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กันยายน 2010
  9. เดือนยี่

    เดือนยี่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    783
    ค่าพลัง:
    +1,377
    กราบอนุโมทนาสาธุค่ะ เป็นบุญมากเลยค่ะที่ได้เข้ามาอ่านกระทู้ รู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาเลยค่ะ ดิฉันเองก็หวังว่าซักวันคงจะได้เป็นอย่างท่านเจ้าของกระทู้บ้างค่ะ
     
  10. สังวรคุณ

    สังวรคุณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +766
    มโนมยิทธิเต็มกำลัง จากประสบการณ์ส่วนตัวที่ได้ฝึก
    ผมทราบมาว่าเมื่อก่อนหลวงพ่อเคยฝึกมีคนได้บ้างแต่หลังจากนั้นฝึกมา เป็นสิบปีไม่มีใครได้เลย พระเลยมาบอกให้หลวงพ่อลดกำลังลง เรียกว่าฝึกมโนมยิทธิแบบครึ่งกำลังที่เราฝึกๆกันอยู่นี่แหละ แต่ผมไม่ทราบว่าที่หลวงพ่อเปิดฝึกเต็มกำลังอีกครั้งเพราะอะไร คิดว่าน่าจะประมาณปี ๒๕๒๘ นะ เปิดฝึกระยะหนึ่งก็งดอีก ผมไม่รู้ว่าเปิดฝึกอยู่นานเท่าไหร่ แต่พอรู้ว่าหลวงพ่อเปิดฝึกเต็มกำลัง ผมก็ไปฝึกตลอด อาทิตย์เว้นอาทิตย์ ไปฝึกคราวละ ๗ วัน เต็มกำลังตอนนั้นจะฝึกตอนเที่ยงที่ตึกกรรมฐาน บริเวณหลังพระจุฬามณี ตรงนั้นหลวงพ่อบอกเคยมีพระอรหันต์อยู่มาก จะทำให้ทำกรรมฐานดี ปูพรม ติดแอร์เย็นสบายมาก ความอยากได้เต็มกำลัง ผมเริ่มต้นจากศูนย์เลย ฝืนคำแนะนำหลวงพ่อนิดหน่อย เพราะหลวงพ่อบอกว่าพวกได้ครึ่งกำลังมาแล้วไม่ต้องรอแสง ให้ขึ้นไปได้เลย ไปขอบาระมีให้สว่างไสวเต็มกำลังเอาข้างบน แต่ผมอยากเริ่มต้นใหม่ นั่งภาวนารอแสงอย่างเดียว ได้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร กะจะเริ่มจากศูนย์ใหม่ ปรากฏว่าศูนย์จริงๆ ไม่ปรากฏผลอะไร ได้แต่สมาธิอย่่างเดียว ก็ไม่หนักใจอะไร เพราะเราอยู่ฝึกหลายวัน ๗วันนี้ไม่ได้ ก็ค่อยมาใหม่อีก
    ผมมาฝึกเต็มกำลังที่วัด คราวละ๗วัน เป็นวาระที่ ๒ เห็นจะได้ ผมก็ยังคงได้แค่ครึ่งกำลังอยู่นั่นเอง พอครบเจ็ดวัน ตามระเบียบของวัด ผมก็ตั้งใจกลับ และก็คิดในใจว่าแล้วจะกลับมาฝึกอีกเรื่อยๆ แต่ก็มีความลังเลในใจว่า มาบ่อยๆจะดีหรือไม่ดีจะเหมาะหรือไม่เหมาะ เกรงใจเจ้าหน้าที่เหมือนกัน ส่วนมากวันกลับผมจะกลับตอนสาย ประมาณ เก้านาฬิกา ก็จะไม่ได้พบหลวงพ่อ แต่คราวนั้นจำไม่ได้ว่าเป็นวันหลังจากวัดมีงานอะไร หลวงพ่อลงรับแขกตอน แปดสามสิบ ก่อนกลับผมเลยได้กราบหลวงพ่อ โดยนั่งกราบพระประธานในนวราช แล้วหันไปทางหลวงพ่อซึ่งนั่งรับแขกอยู่ฝั่งตรงข้าม ตั้งใจกราบลา แต่ไกลๆก็พอ พอกราบเสร็จก็นั่งมองหลวงพ่อสักครู่หนึ่ง กะจะลุกออกไป หลวงพ่อก็พูดว่า "ลูกเอ๊ย มาจาไหนลูก มานั่งไกล้ๆนี่ลูก" ท่านก็เรียกไปนั่งข้างหน้าท่านแล้วถามว่า "เป็นไงลูก การฝึกเป็นอย่างไรบ้าง" ผมก็ตอบว่าก็พอไปได้ครับ ท่านก็มองหน้าแล้วก็บอกว่า "กลับไปแล้วกลัวจะเฝือก็กลับมาใหม่นะลูก เขาให้พักได้คราวละเจ็ดวัน"

    คำพูดขององค์หลวงพ่อ ทำให้ความรู้สึกลังเลแต่แรกว่าจะมาบ่อยๆดีไม่ดีอย่างไร หมดไปจากใจ มานึกถีงตอนนี้ รู้สึกถึงความเมตตากรุณาขององค์หลวงพ่อที่มีต่อลูกหลานไม่มีที่สุดไม่มีประมาณจริงๆแม้แต่ข้อข้องใจเล็กๆน้อย ที่อาจจะทำให้ลูกศิษย์เ้สียประโยชน์ท่านก็ยังแก้ข้อข้องใจให้ อย่างเหตุการณ์ครั้งนี้ของผมเป็นต้น ผมจึงเวียนมาวัดตลอด คราวละเจ็ดวันๆอย่างสบายใจ คิดว่าจะฝึกจนกว่าจะเกิดความมั่นใจให้กับตัวเองนั่นแหละ เพราะชีวิตผมหลังจากบาดเจ็บและต้องออกจากราชการแล้วนี้ ไม่มีภาระกิจอะไรในชีวิตอีกนอกจากการปฏิบัติธรรม ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าจะมีการฝึกเต็มกำลังเป็นระยะไม่นานนัก หลวงพ่อก็งดการฝึกแบบเต็มกำลัง เหตุผลเพราะไม่มีคนใหม่ได้นั่้่นเอง คิดแต่ว่าคงจะมีการฝึกตลอด ก็เลยมาตลอด หลายรอบ ทำเหมือนเดิมไปจนเหนื่อย เลยเปลี่ยนใหม่ หันมาทำครึ่งกำลังดีกว่า แล้วขอบาระมีให้สว่างไสวเต็มกำลังจากพระบนนิพพานเอา ก็กำหนดจิตขึ้นไปนิพพาน นั่งต่อหน้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอบาระมีให้ข้าพพระพุทธเจ้าได้เห็นสว่างไสวเต็มกำลังด้วยเถิด ก็เหมือนเดิมอย่างที่เคยทำได้ ไม่มีอะไรแตกต่าง ก็ทำอย่างนี้หลายๆรอบ มีอยู่วันหนึ่ง ทางวัดเตรียมงานอะไรสักอย่างไม่แน่ใจว่าจะเป็นงานเป่ายันต์หรืองานอะไร คนที่ไปอยู่วัดก็ไปช่วยกันทำความสะอาดศาลา ๒ ไร่กัน ผมก็ไปช่วยกวาดด้วย พอดีมีหลวงพี่องค์หนึ่ง ท่านมาเรียกผมให้ไปช่วยทำความสะอาดหุ่นขี้ผี้งขององค์หลวงพ่อที่อยู่ในตู้กระจกในศาลา ๒ไร่นี่แหละ ท่านไขกุญแจเปิดประตูให้ ผมก็เลยโชคดีได้เข้าไปทำความสะอาดองค์ท่าน หุ่นขี้ผึ้งนี้เขาจะทำเหมือนจริงมาก แว่นตา ก็ใช้แว่นจริงๆ ผมก็ถอดแว่นตาออกมาเช็ดทำความสะอาด แล้วก็นึกในใจว่าเจ้าประคุ๊น ขอบุญที่เช็ดแว่นตาถวายหลวงพ่อนี้ ขอให้ลูกได้เห็นชัดเจนแจ่มใสสว่างไสวเต็มกำลังด้วยเถิด เช็ดไปก็นึกไป จนเสร็จก็ไม่ได้คิดอะไร ปกติทำบุญอะไรก็มีการอธิษฐานขอนั่น ขอนี่อยู่แล้ว ขอแล้วผลจะเกิดเมื่อไหร่ก็ไม่สนใจ ก็ทำบุญอธิษฐานเรื่อยๆมา แต่คราวนี้อธิษฐานแปลกหน่อยเพราะได้ทำบุญเช็ดแว่นตาถวายองค์หลวงพ่อ ถึงจะเป็นเพียงหุ่นขี้ผึ้งก็ตามก็ถือว่าโชคดีแล้ว จะเช็ดแว่นองค์กายเนื้ออย่างเราๆท่านคงจะไม่มีโอกาสได้บุญอันนี้แน่

    วันนั้นรู้สึกว่าจะงดกรรมฐานเพราะมีการเตรียมงาน เตรียมสถานที่ทั้งวัน กลับที่พักที่ห้องหลังโบสถ์ก็มานั่งต่อ คือนั่งเล่นๆไป เพราะมีความสุข ก็กำหนดจิตขึ้นไปบนนิิิพพานเหมือนเดิม นั่งหน้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแทบพระพุทธบาทของพระองค์ ปางที่เราจับอยู่เสมอๆนั่นแหละ ถ้าใครอยากรู้ว่ามีลักษณะแบบไหน เวลาไปวัดท่าซุงถ้ามีเวลาก็ไปนั่งที่พระจุฬามณี ต่อหน้าพระวิสุทธิเทพนั่นแหละ คล้ายๆกันอย่างนั้น นั่งไปเพลินๆ ปรากฏว่าสว่างพลึบขี้นเหมือนกับเรานั่งอยู่ในที่มืดที่มีแสงสลัวพอมองเห็น แล้วมีใครมาเปิดไฟสว่างจ้าขึ้นนั่นแหละ ภาพพระพุทธเจ้าก็ขยายใหญ่ขึ้น บางมากโปร่งแสงมองทะลุเหมือนมองผ่านอากาศอย่างนั้นแหละ วิมานก็ใหญ่ขึ้นบาง สามารถมองทะลุเสาได้ มองทะลุทุกส่วนได้ ถ้าใครเคยเข้าวิหารร้อยเมตรก็สามารถเปรียบเทียบได้ อย่างเราเดินเข้าไป เสาวิหารเป็นแก้วไส ก็จริงแต่ทึบ ไม่สามารถมองทะลุได้ แต่นี่เสาขยายใหญ่ขึ้น สองสามเท่า โปร่งใส มองทุลุผ่านได้ จิตใจเราก็ปลอดโปร่งมากๆ ถึงตอนนี้เวลาผมเดินผมจะไม่มีการหลบเสาอีกต่อไป เดินทะลุผ่านไปเลย มันแสนสบายจริงๆ ทำอะไรก็สะดวก สบายไปหมด นี่แหละที่พระพุทธองค์ ตรัสว่า นิพพานัง ปะระมังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง จริงๆ จะทำอะไรก็ทำได้เลย ไม่มีอะไรติดขัด ไม่เหมือนสวรรค์ ไม่เหมือนพรหม ต้องนึกเนรมิตให้เป็นอย่างที่ต้องการก่อนจึงจะทำได้

    ความสว่างไสวกว่าเดิม ภาพที่สัมผัสได้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ทุกอย่างใสสว่างโปร่งแสง มองทะลุเหมือนมองผ่านอากาศนี่แหละ คือการได้เต็มกำลังที่สุดของผม พยายามทบทวนทำมโนมยิทธิ ได้สูงสุดก็เท่านี้แหละครับ จนกระทั่งหลวงพ่อท่านเลิกฝึกแบบเต็มกำลัง มีฝึกแต่ครึ่งกำลัง จนท่านมรณะภาพ แต่หลังจากหลวงพ่อท่านมรณะภาพแล้วไม่นาน หลวงพี่ท่านพระครูปลัดอนันต์ ท่านก็จัดงานธุดงค์ช่วงเดือนธันวาคม มีฝึกมโนมยิทธิแบบเต็มกำลังสองวัน ถ้าใครมีความสนใจอยากจะฝึกเต็มกำลัง ก็ติดตามข่าวงานธุดงค์ ข่าววันฝึกแบบเต็มกำลังได้นะครับ แนะนำสำหรับผู้ที่ได้ครึ่งกำลังมาแล้ว ก็ให้ต่อยอดเลยนะครับ อย่างคิดตั้งต้นใหม่แบบผมเลย เพราะช่วงนั้นผมมีเวลามาก ฝึกต่อเนื่องหลายวัน เป็นเดือนๆ แต่เดี๋ยวนี้มีแค่สองวัน ก็ใช้วิธีต่อยอดเลยนั่นแหละจะได้รับประโยชน์อันสุงสุดที่เกิดจากการฝึก ถ้าจะได้เต็มกำลัง มัีนก็จะพลึบขึ้นมาเอง ถ้ายังพอมีโอกาสอีก จะนำเรื่องที่มีพระนำมโนมยิทธิไปปฏิบัติต่อเนื่องกันแค่เจ็ดวันได้สำเร็จอรหันต์พร้อมกัน ๔ องค์ ที่หลวงพ่อเคยเล่าให้ฟัง มาเล่าต่อเป็นธรรมทานนะครับ
     
  11. สังวรคุณ

    สังวรคุณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +766
    รู้สึกดีใจเหมือนกันครับที่ประสบการณ์เล็กๆน้อยๆที่นำมาเล่าเป็นธรรมทานส่งผลให้มีคนมีกำลังใจขึ้นมาบ้าง ก็ขอเล่าเรื่องตอนที่ตัวเองป่วยมากๆ มีมโนมยิทธิที่มืดๆมัวให้ฟังเป็นธรรมทานนะครับ คือช่วงที่ผมออกจาก รพ.ใหม่ๆ ผมก็ไปทำกระท่อม ที่ไร่ของพ่อ ซึ่งอยู่ในหุบเขาห่างจากหมู่บ้าน ประมาณ ๔ กม.เห็นจะได้ สงบเงียบดี ผมก็ปฏิบัติธรรมตลอด แต่ช่วงนั้นรู้สึกจะมืดมัว เวลาตั้งกำลังใจไปพระจุฬามณี ก็ดี ไปพระนิพพานก็ดี ก็รู้สึกมันมืดๆ เปรียบเหมือนเราเดินในซอย ที่ไม่มีไฟส่องสว่างนั้่นแหละ เห็นอะไรก็ไม่ชัดเจนแจ่มใส แต่เราก็สามารถเดินไปได้ เห็นคนก็เป็นเพียงเงาตะคุ่มๆ แต่สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นหญิงหรือชาย แต่จะให้เห็นหน้าชัดก็ไม่ชัด จากความมั่นใจที่มีมาแต่เดิม ผมก็ทำตามนี้ มืดก็ไปตามมืด ใช้ความรู้สึกของใจเป็นใหญ่ เอาความรู้สึกไปพระจุฬามณี เอาความรู้สึกกราบพระที่นั่น เอาความรู้สึกไปนิพพาน กราบพระพุทธองค์ในวิมานบนนิพพาน ไปวิมานตัวเองที่เคยไป นั่งเล่น นอนเล่นพอใจสบาย ก็กลับลงมา ทำอยู่ทุกวัน ก็มีความคิดว่าเราไปทุกๆวันอย่างนี้ มันเป็นเพราะเราจำได้ เราเคยชินหรือเปล่าจะจริงแค่ไหนเราไปจริงๆหรือเปล่า ก็เกิดสงสัยขึ้นมานิดๆ แต่ก็ยังคงทำทุกวัน เพราะหลวงพ่อท่านสอนอย่างนั้นให้ไปตามที่เราทำได้ทุกวัน แม้บางวันมีเพียงความรู้สึกเราก็ไม่สนใจ กลับลงมาจากนิพพานแล้ว ผมก็จะน้อมความรู้สึกไปที่บ้าน ไปกราบพระหน้าโต๊ะหมู่บูชาที่ผมซื์อมาจัดไว้ให้พ่อกับแม่ได้ไหว้พระ ได้สวดมนต์ ก็จำสภาพโต๊ะหมู่ได้ว่าตั้งอยู่อย่างไร มีอะไรบนโต๊ะหมู่บ้าง ก็เอาความรู้สึกว่านั่งหน้าโต๊ะหมู่แล้วกำหนดจิตกราบลงสามครั้ง ก็เป็นธรรมดา ใครก็นึกได้เพราะบ้านเราเองเราย่อมจำได้ ย่อมน้อมจิตนึกไปตามนั้นได้ ผมก็ทำอย่างนี้ทุกวัน ไปพระจุฬามณีก็เหมือนเดิมทุกวัน ไปนิพพานก็เหมือนเดิมทุกวัีน ไปที่บ้านก็เหมือนเดิมทุกวัน แต่มีวันหนึ่งน้องชายมาเยียมพ่อกับแม่ตอนเย็นผมก็ไม่รู้ แต่คืนนั้นผมกำหนดจิดไปที่บ้านไปกราบพระที่โต๊ะหมู่ ปรากฏว่ามีนางฟ้าองค์หนึ่ง นั่งท่าเทพธิดา หันหน้าเข้าหาโต๊ะหมู่ ผมเข้าไปท่านจะนั่งอยู่ทางซ้ายมือของผม อาการของท่านคือเฝ้าของสิ่งหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะหมู่ขวาสุดซึ่งผมเห็นวัตถุนั้นไม่ชัด รู้แต่เป็นก้อนกลมประมานเล็กกว่ากำปั้นเล็กน้อย ห่อผ้าขาววางไว้ ผมก็กราบพระสามครั้งเช่นเคย แล้วก็กลับอาศรม พอตอนเช้า น้องชายเลยเข้าไปหาผมในไร่ ผมก็เลยถามน้องชายว่ามาเอาของศักดิ์สิทธ์อะไรมาด้วยหรือ เมื่อคืนไปที่บ้านเห็นอย่างที่เล่ามา น้องชายก็ถามผมว่าตรงไหนพี่ตรงไหน ผมก็บอกว่าบนโต๊ะหมู่ ด้านที่ติดกับหน้าต่างบ้านนั่นแหละ น้องชายก็เลยบอกว่า เป็นหินที่มีคนเชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์ ก็เลยเอามาด้วย ไม่คิดว่าจะศักดิ์สิทธิ์อะไร เพราะเห็นเป็นเหมือนก้อนกรวดธรรมดาๆ แต่จะวางไว้เกะกะก็ไม่สะดวกใจ ก็เลยเอาวางบนโต๊ะหมู่ตรงที่ว่าเมื่อวานตอนบ่ายๆนี่เอง
    เหตุการณ์นี้ เป็นการตอกย้ำว่าการฝึกมโนมยิทธินั้นแม้เป็นเพียงความรู้สึกทางใจ ชัดหรือไม่ชัดก็ตรงตามความเป็นจริง ย้ำให้ผมมั่นใจว่า ที่เราไปทุกๆที่ทุกๆวันนั้นแม้จะเหมือนเดิมทุกๆวัน แต่นั่นก็เป็นการไปด้วยใจของเราจริงๆ จนกระทั่งวันไหนมีอะไรพิเศษกว่าเดิม ณ.สถานที่นั้นๆนั่นแหละ ก็จะปรากฏให้เห็นแตกต่างไปจากเดิม เมื่อมั่นใจอย่างนี้ ผมก็เกาะนิพพานของผมทุกวัน เพราะชัดไม่ชัดก็คือนิพพานแน่ๆ ถ้าเราตายตอนไหนเราก็สามารถถึงพระนิพพานได้แน่นอนถ้าเราเกาะพระนิพพานได้เรื่อยๆอย่างนี้ "ไม่ขอเกิดอีก ขอไปพระนิพพานทันที่ทันใดเมื่อร่างกายนี้ตาย" ผมจะรำพึงในใจเรื่อยๆอย่างนี้เมื่อมีอารมฌ์สบายๆ เพราะมันรู้สึกเบื่อการเกิดมากๆจริงๆ
    เรื่องนี้เล่าเป็นธรรมทานก่อนลาไปจำพรรษานะครับ เผื่อมีอานิสงส์บ้างจะได้หนุนให้ผมได้มรรคได้ผลขั้นใดขั้นหนึ่งในพรรษานี้บ้าง เพราะตั้งใจปฏิบัติอย่างจริงๆจังๆ ที่วัดป่าแห่งหนึ่ง มาพรรษานี้เป็นพรรษาที่ ๓ แล้ว พรรษานี้ โหลดพระไตรปิฏกเสียงอ่านไปฟังพระวินัยเล่ม ๑-๘ กะจะฟังให้เข้าใจให้ละเอียดที่สุดในเรื่องศึลของพระ กะจะปิดวาจา ภาวนาตลอด ๓ เดือน ถ้าได้ผลเป็นที่พอใจก็จะถือเพศเป็นสมณะ ตามที่ใจต้องการมานาน อีก ๓ เดือนพบกันนะครับ มีอะไรดีๆพอเล่าเป็นธรรมทานได้จะเล่าให้ฟังอีก


    พุทธธรรมแบบง่ายๆ รวบรวมจากหนังสือประวัติหลวงปู่ปาน
    http://palungjit.org/threads/พุทธธรรมแบบง่ายๆ-รวบรวมจากหนังสือประวัติหลวงปู่ปาน.285559/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2011
  12. อรชร

    อรชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +11,465
    เหตุการณ์นี้ เป็นการตอกย้ำว่าการฝึกมโนมยิทธินั้นแม้เป็นเพียงความรู้สึกทางใจ ชัดหรือไม่ชัดก็ตรงตามความเป็นจริง ย้ำให้ผมมั่นใจว่า ที่เราไปทุกๆที่ทุกๆวันนั้นแม้จะเหมือนเดิมทุกๆวัน แต่นั่นก็เป็นการไปด้วยใจของเราจริงๆ จนกระทั่งวันไหนมีอะไรพิเศษกว่าเดิม ณ.สถานที่นั้นๆนั่นแหละ ก็จะปรากฏให้เห็นแตกต่างไปจากเดิม เมื่อมั่นใจอย่างนี้ ผมก็เกาะนิพพานของผมทุกวัน เพราะชัดไม่ชัดก็คือนิพพานแน่ๆ

    [​IMG]

    อภิวาทวันทา
    อนุโมทนา สาธุ...สาธุ...สาธุ...
    อนุโมทามิ
     
  13. ดาวจรัสแสง

    ดาวจรัสแสง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    542
    ค่าพลัง:
    +3,015
    กราบขอบพระคุณเจ้าของกระทู้เป็นอย่างยิ่งค่ะ เรื่องราวของคุณเป็นกำลังใจในการปฏิบัติของคนที่เริ่มที่จะปฏิบัติหรือกำลังปฏิบัติอยู่(อย่างน้อยก็มีดิฉันคนหนึ่งหล่ะค่ะ อ่านแล้วเป็นเสมือนเปลวไฟที่จุดประกายให้มีความเพียรและความตั้งใจปฏิบัติ)

    ขอร่วมอนุโมทนาในบุญกุศลที่คุณสังวรคุณที่ได้กระทำ และกำลังจะกระทำ

    อ่านแล้วรู้สึกดีมากค่ะ ยินดีในบุญด้วยจริงๆ
     
  14. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    สาธุ อนุโมทนาค่ะ อ่านแล้วทำให้มีกำลังใจในการปฏิบัติ และเข้าใจในการฝึกมโนมยิทธิมากขึ้นค่ะ
     
  15. พลอยแพรว

    พลอยแพรว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +41
    โมทนาสาธุค่ะ เป็นเรื่องราวที่ให้กำลังใจในการฝึกมากค่ะ
     
  16. peerakul

    peerakul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    9,428
    ค่าพลัง:
    +33,493
    โมทนาสาธุค่ะ เป็นเรื่องราวที่ให้กำลังใจในการฝึกมากค่ะ ตั้งใจว่าจะไปฝึกบ้างที่วัดท่าซุงเดือนตุลาคมนี้ค่ะ
     
  17. bcbig_beam

    bcbig_beam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,821
    ค่าพลัง:
    +3,247
    เช่นกันครับ
    อ่านแล้วเกิดกำลังใจ ปิติ ปลื้มใจมาก
    ขอร่วมโมทนาบุญกับคุณสังวรคุณและญาติธรรมทุกๆท่านด้วยทุกประการครับ
    สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
     
  18. ปาริสุทธิ์

    ปาริสุทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    125
    ค่าพลัง:
    +817
    วันที่ 22 ส.ค. 53 จะไปกับทริปวัดท่าซุง จะไปกราบหลวงพ่อ และจะพยามยามฝึกมโนมยิทธิ และรักษาศีล 5 อย่างเข้ม
     
  19. seahero

    seahero เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    335
    ค่าพลัง:
    +602
    โมทนาด้วยครับ หวังว่าผมคงจะได้มีโอกาสอย่างท่านบ้าง
     
  20. สังวรคุณ

    สังวรคุณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +766
    ขอผลบุญที่ได้พยายามบำเพ็ญตลอดพรรษา 2553 จงบังเกิดมีแก่คุณ เมจิก และ ทุกๆท่านด้วยครับ บำเพ็ญอย่างจริงๆจังแล้ว มีกำลังใจเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกนิดหน่อยครับ ผลแห่งการปฏิบัติจะมีผลแก่ข้าพเจ้าเช่นใด ขอให้คุณเมจิกและทุกๆท่านจงได้รับผลเช่นเดียวกับข้าพเจ้าจะพึงได้รับด้วยครับ
    ออกพรรษาแล้ว ก็เดินทางไปบำเพ็ญบุญยังไม่ได้หยุดพักเลยครับ ไปทำบุญวัดท่าซุง ปลายเดือน ต.ค.53 เจอน้ำกำลังท่วม ได้ถวายแก้วมณีบูชาสมเด็จองค์ปฐมแห่งเดียว ที่อื่นปิดหมด ไปภาวนา ณ.ลานพระมหาเจดีย์ศรีเวียงชัย ลี้ลำพูน 2 คืน อารมฌ์ปลอดโปร่งเบาสบายมากๆ ทอดกฐินวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม 7 พ.ย. 53 พึ่งกลับมาสู่อาศรมส่วนตัว ถ้ามีเวลาจะเล่าเรื่องผลแห่งการปฏิบัติเล็กๆน้อยๆที่พอจะเป็นธรรมทานได้ สู่กันฟังอีกนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2010

แชร์หน้านี้

Loading...