" เมื่อสิ้นภัทรกัปนี้แล้ว จะไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้อีกเลยถึงอสงไขยกัป "!

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 14 มีนาคม 2016.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    "......ภควา สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเทศนาแก่พระสารีบุตรสืบต่อไปว่า

    ในกาลเมื่อพระพุทธศาสนา แห่งองค์สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยเสื่อมสูญสิ้นแล้ว อันว่าประทีปแก้ว คือพระสัทธรรมนั้น ก็สูญสิ้น ฝูงสัตว์ทั้งหลายก็มืดมัวไม่รู้จักบาปและบุญ คุณและโทษ ประโยชน์และไม่ประโยชน์ ประการใด

    จนถึงไฟประลัยโลกล้างวินาศฉิบหายสิ้นทั้งแสนโกฏิจักรวาล เพลิงประลัยกัลป์เกิดขึ้นไหม้แผ่นดินภัทรกัปอันนี้ฉิบหายหมดแล้ว สิ้นกาลช้านาน

    จึงบังเกิดแผ่นดินใหม่ขึ้นมา มีมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายบังเกิดมีมาสำหรับแผ่นดิน ก็มีมาเสียเปล่า กัปป์แผ่นดินที่มีมาในเบื้องหน้านั้นเป็นสุญญกัปนับได้อสงไขยแผ่นดิน

    จะได้มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระยาจักรผู้ประเสริฐบังเกิดมีมานั้นหามิได้ จึงมีนามว่าสุญญกัปป์

    เกิดมีแต่มนุษย์ทั้งหลายหาบุญหาวาสนาบารมีมิได้ฯ เมื่อแผ่นดินเกิดขึ้นมา สูญเสียจากท่านผู้ทรงพระคุณแล้ว ฉิบหายไปด้วยไฟ ด้วยน้ำ ด้วยลม แล้วเกิดขึ้นใหม่อีกเล่าจนถ้วนอสงไขย

    แผ่นดินล่วงลับไปนับด้วยอสงไขยแผ่นดินแล้วฯ

    ในกาลนั้น บังเกิดแผ่นดินขึ้นมาใหม่เรียกชื่อว่ามัณฑกัปป์ พระพุทธเจ้าจักได้บังเกิด ๒ พระองค์ คือ

    - พระรามโพธิสัตว์ ๑ - พระเจ้าปเสนทิโกศล ๑...."

    เวลาเหลือไม่มากแล้ว

    ถ้าเลยยุคสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรโย ก็จะต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกนานแสนนาน

    กว่าจะมีพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่มาตรัสรู้ ศาสนาขององค์ปัจจุบันเองก็จักตั้งอยู่ ๕,๐๐๐ ปี

    ปัจจุบัน ก็กึ่งพุทธกาล กว่าแล้ว เวลาเหลือไม่มาก หลวงปู่ดู่ พฺรหฺมปัญโญ. ท่านสอนว่าให้เร่งปฏิบัติ ได้เกิดมาพบเจอพระพุทธศาสนาถือว่าโชคดีที่สุด

    ปฎิบัติภาวนากันไว้อย่างน้อย ถ้าท่านไม่ได้นิพพานในศาสนาองค์ปัจจุบัน กำหนดหลวงปู่ว่าเวลาปฎิบัติตายไปขอให้ได้ขึ้นพรหมหรือสวรรค์ก็ยังดีเพื่อที่จะได้

    ทันศาสนายุคของ สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรโย อย่า่ลืมดูจิต ดูตัวจิตเราให้ลด โลภะ โมหะ โทสะ ด้วย

    หมั่นทำจิตใจให้ผ่องใส ทรงพรหมวิหารให้เป็นนิสัย ถ้าพลาดลงนรกนี้ ไม่ทัน ยุคของ สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรโยแน่ ๆ

    เพราะถ้าได้ลงแล้วแค่ขุมแรกก็เป็นเวลานับได้หลายล้านปีโลกมนุษย์เลยละ
    เสริมความรู้ กัป กัลป์ และอสงไขย คือ...

    การนับกาลเวลามี ๒ แบบ คือ แบบที่นับเป็นตัวเลข ๑ ๒ ๓ .... เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เรียกว่านับเป็นตัวเลขสังขยา คือ ตัวเลขที่นับได้

    ถ้ามากเกินจะนับไหวแล้ว ก็จะเปลี่ยนมานับโดยการอุปมา คือการเปรียบเทียบเอา แล้วตัวเลขแค่ไหนล่ะที่นับไม่ได้ เราจะนับกันสูงสุดแค่ไหน

    ตัวเลขที่กำหนดว่าไม่นับแล้ว เลิกนับแบบสังขยากันดีกว่า คือ ๑ ตามด้วย ๐ อีก ๑๔๐ ตัว ซึ่งถือเป็นตัวเลขสูงสุดที่นับกัน ถ้าเกินไปกว่านี้

    พระพรหมก็เบือนหน้าหนีแล้ว จำนวนที่เกินจาก ๑ ตามด้วย ๐ อีก ๑๔๐ ตัว

    จึงเรียกว่าเป็นจำนวน อสังขยา หรือ อสงไขยนั่นเอง

    กาลเวลาทางพุทธศาสนาที่พบเจอกันบ่อยๆ ก็คือ

    ๑. กัป

    ๒. อสงไขยปี

    ๓. รอบอสงไขย

    ๔. อันตรกัป

    ๕. อสงไขยกัป

    ๖. มหากัป

    ๗. อสงไขย

    ๘. พุทธันดร

    กัป

    ในความหมายแรก หมายถึงอายุกัป คือระยะเวลาที่เท่ากับอายุเฉลี่ยของมนุษย์ยุคนั้น ซึ่งผันแปรตั้งแต่ ๑๐ - อสงไขยปี สมัยพุทธกาล อายุกัปเท่ากับ ๑๐๐ ปี ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้บำเพ็ญอิทธิบาท ๔ สามารถมีอายุอยู่ได้ตลอดกัป ก็หมายถึงมีอายุอยู่ได้ ๑๐๐ ปี นั่นเอง และเนื่องจากตอนนี้อยู่ในช่วงอายุขาลง ทุก ๑๐๐ ปี อายุมนุษย์จะลดลง ๑ ปี ปัจจุปัน อายุกัปของเราจึงเหลืออยู่เพียง ๗๕ ปีเท่านั้น คำว่ากัป หรือกัปป์ หรือกัปปะ เป็นภาษาบาลี ส่วนภาษาสันสกฤตใช้คำว่า กัลป์ สรุปแล้ว กัป กับ กัลป์ ก็คือตัวเดียวกันนั่นเอง

    อสงไขยปี

    ก็คือ จำนวนปีที่ขึ้นต้นด้วย ๑ ตามด้วย ๐ อีก ๑๔๐ ปีนั่นเอง ตัวเลขนี้เป็นอายุของมนุษย์ยุคสร้างโลก เมื่อโลกเกิดขึ้นใหม่ พระพรหมที่หมดอายุก็จุติมาอุบัติเป็นสัตว์โลกผู้มีจิตประภัสสร ลอยไปลอยมาในอากาศได้ มีอาหารเป็นทิพย์ มีศีลธรรมดีดุจพระพรหม อายุจึงยืนยาวถึงอสงไขยหนึ่ง

    รอบอสงไขย

    ต่อมามนุษย์เริ่มไปกินง้วนดินเข้า จิตก็เริ่มหยาบ กายก็เริ่มหยาบ กิเลสก็พอกหนา เหาะไม่ได้ กลายเป็นมนุษย์เดินดิน อายุก็ค่อยๆ ลดลง ทุก ๑๐๐ ปี ลดลง ๑ ปี จนเหลือแค่ ๑๐ ปี ยุคนั้นก็เป็นยุคมิคสัญญี มนุษย์ฆ่าฟันกันเหมือนผักปลา ศีลธรรมก็ไม่มี พอฆ่ากันตายเกือบหมดโลก พวกที่เหลือสังเวชใจ เริ่มรักษาศีลกันอีกครั้ง อายุก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น ทุก ๑๐๐ ปี ก็เพิ่มขึ้น ๑ ปี จนกลับไปยืนยาวถึงอสงไขยปีอีกครั้ง เวลาทั้งหมดนี้ เรียกว่ารอบอสงไขย
    อันตรกัป ก็คือ ๑ รอบอสงไขยนั่นเอง

    อสงไขยกัป

    โลกนี้มีเกิดดับเป็นวัฏจักร รอบหนึ่งใช้เวลาทั้งสิ้น ๒๕๖ อันตรกัป คือ

    ๑ โลกกำลังถูกทำลาย อาจโดนไฟประลัยกัปเผา หรือน้ำประลัยกัปตกกระหน่ำ หรือลมประลัยกัปพัดทำลาย ทุกสรรพสิ่งจะถูกทำลายย่อยยับไม่มีเหลือเลย ทำลายตั้งแต่มหานรกขึ้นไปถึงพรหมอีกหลายชั้น ใช้เวลาทำลายทั้งสิ้น ๖๔ อันตรกัป หรือเรียกว่า ๑ อสงไขยกัป โดยมีชื่อเฉพาะว่า สังวัฏฏอสงไขยกัป

    ๒ จากนั้นทุกอย่างก็ว่างเปล่า มืดมิด ไม่มีอะไรเลย เป็นเวลาอีก ๖๔ อันตรกัป หรือเรียกว่า ๑ อสงไขยกัป โดยมีชื่อเรียกเฉพาะว่า สังวัฏฏฐายีอสงไขยกัป

    ๓ จากนั้นโลกก็จะเริ่มก่อตัวขึ้นมาใหม่ มีผืนน้ำ มีแผ่นดิน รวมเวลาอีก ๖๔ อันตรกัป หรือเรียกว่า ๑ อสงไขยกัป โดยมีชื่อเรียกเฉพาะว่า วิวัฏฏอสงไขยกัป

    ๔ จากนั้นโลกจึงมนุษย์และสัตว์อาศัยอยู่ได้ เป็นเวลาอีก ๖๔ อันตรกัป หรือเรียกว่า ๑ อสงไขยกัป โดยมีชื่อเรียกเฉพาะว่า วิวัฏฏฐายีอสงไขยกัป
    มหากัป

    คือเวลา ๑ รอบวัฏจักรการแตกดับของโลก หรือเท่ากับ ๒๕๖ อันตรกัป
    ๑ มหากัป อุปมาว่ามีพื้นที่ขนาดกว้าง ๑ โยชน์ ยาว ๑ โยชน์ สูง ๑ โยชน์ บรรจุเมล็ดพันธุ์ผักกาดไว้เต็ม ทุก ๑๐๐ ปีก็มาหยิบเมล็ดผักกาดออกเมล็ดหนึ่ง แม้จะหยิบเมล็ดผักกาดออกหมดแล้วก็ยังไม่นานเท่า ๑ มหากัป
    คำว่ามหากัป มักเรียกสั้นๆ ว่า กัป

    อสงไขย

    คงเคยได้ยินคำว่า ๔ อสงไขยกำไรแสนกัป คำว่าอสงไขยในที่นี้หมายถึงระยะยาวนานมาก นับเป็นจำนวนกัปแล้วยังนับไม่ได้ คือจำนวนกัปมากกว่า ๑ ตามด้วย ๐ อีก ๑๔๐ ตัวเสียอีก ๔ อสงไขยกำไรแสนกัป ก็คือระยะเวลาที่พระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีในช่วงปรมัตถ์ ก่อนจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน

    พุทธันดร

    คือระยะเวลาตั้งแต่พระพุทธเจ้าองค์หนึ่งตรัสรู้ จนกระทั่งถึงพระพุทธเจ้าองค์ต่อปมาตรัสรู้ เรียกว่า ๑ พุทธันดร พุทธันดรของพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ยาวไม่เท่ากัน ตัวอย่างเช่น ปัจจุบันเราอยู่ในอันตรกัปที่ ๑๒ และพระศรีอาริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้ในอันตรกัปที่ ๑๓ จากนั้นไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้เลยนานถึงอสงไขยหนึ่ง ดังนั้น ๑ พุทธันดรของพระสมณโคดมพุทธเจ้า จึงยาวนานแค่ ๑ อันตรกัป ส่วน ๑ พุทธันดรของพระศรีอาริยเมตไตรยยาวนานถึงอสงไขยหนึ่ง

    ระยะเวลาช่างยาวนาน แต่สัตว์โลกก็ยังคงวนเวียนเวียนว่ายตายเกิด ชั่วกัปชั่วกัลป์

    เมื่อใดพบพระธรรมแล้วจึงอย่าได้ประมาทพากันสั่งสมบุญบารมี ภาวนาปฎิบัติ เพื่อถึงซึ่งพระนิพพานโดยพลัน ออกจากวงจรแห่งความทุกข์ที่ไม่จบไม่สิ้นนี้เสียเทอญ.

    คำว่า "กัป" หมายถึง ระยะเวลาที่ยาวนานเหลือเกินที่กำหนดว่าโลกคือสกลจักวาฬ ประลัยครั้งหนึ่ง คือกำหนดอายุของโลก

    ท่านให้เข้าใจด้วยอุปามาว่าเปรียบเหมือนมีภูเขาศิลาล้วน กว้าง ยาว สูงด้านละ ๑ โยชน์ (๔๐๐ เส้นหรือประมาณ ๑๖ กิโลเมตร)

    ทุก ๑๐๐ ปี มีคนนำผ้าเนื้อละเอียดอย่างดีมาลูบครั้งหนึ่ง จนกว่าภูเขานั้นจะสึกหรอสิ้นไป กัปหนึ่งยาวกว่านั้น

    "กัป" ปัจจุบันนี้เรียกว่า "ภัททกัป" หรือ "ภัทรกัป" แปลว่า กัปเจริญ เพราะในภัททกัปจะมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นถึง ๕ พระองค์ คือ

    ๑. พระกกุสันธะ

    ๒. พระโกนาคมนะ

    ๓. พระกัสสปะ

    ๔. พระโคตมะ (คือพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน)

    ๕. พระศรีอริยเมตไตรโย

    ในภัททกัปนี้จักมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในอนาคตอีกหนึ่ง พระองค์คือ " พระศรีอริยเมตไตรโย "

    บทนมัสการว่า "นโม พุทธาย" แปลตามศัพท์ว่า "นอบน้อมแต่พระพุทธเจ้า"เป็นคำ กลาง ๆ แต่ก็นับถือกันว่าเป็นบทไหว้พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ น่าจะเพราะนับได้ ๕ อักษร และพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์นั้น ก็หมายถึง พระพุทธเจ้าซึ่งได้อุบัติแล้วและจักอุบัติในภัททกัปนี้

    คำว่า กัป ในคำว่า กปฺเป นั้นมี ๔ อย่างเท่านั้นคือ สารกัป วรกัป มัณฑกัปและภัททกัป.

    ในบรรดากัปทั้ง ๔ อย่างนั้น พระพุทธเจ้าองค์เดียวทรงอุบัติขึ้นในกัปใด กัปนี้ชื่อว่าสารกัป.

    พระพุทธเจ้า ๒ พระองค์หรือ ๓ พระองค์ ทรงอุบัติขึ้นในกัปใด กัปนี้ชื่อว่าวรกัป.

    พระพุทธเจ้า ๔ พระองค์ทรงอุบัติขึ้นในกัปใด กัปนี้ชื่อว่ามัณฑกัป
    .
    พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ทรงอุบัติขึ้นในกัปใด กัปนี้ชื่อว่าภัททกัป.

    แต่ในที่อื่นท่านกล่าวกัปไว้ ๕ อย่าง อย่างนี้คือ :-

    กัปมี ๕ อย่างคือ สารกัป มัณฑกัป สารมัณฑกัป
    วรกัปและภัททกัป.

    พระผู้นำโลกย่อมทรงอุบัติขึ้น ในบรรดากัปทั้ง ๕ อย่างเหล่านี้ตามลำดับคือ :-

    พระพุทธเจ้า ๑ พระองค์ทรงอุบัติขึ้นในสารกัป

    พระพุทธเจ้า ๒ พระองค์ทรงอุบัติขึ้นในมัณฑกัป

    พระพุทธเจ้า ๓ พระองค์ทรงอุบัติขึ้นในสารมัณฑกัป

    พระพุทธเจ้า ๔ พระองค์ทรงอุบัติขึ้นในวรกัป

    พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ทรงอุบัติขึ้นในภัททกัป.

    บรรดาบทเหล่านั้น กัปนี้ได้มีชื่อว่าภัททกัป เพราะประดับไปด้วยพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ คือ

    พระกกุสันธพุทธเจ้า, พระโกนาคมนพุทธเจ้า, พระกัสสปพุทธเจ้า,

    พระโคตมะพุทธเจ้า และพระเมตเตยโยพุทธเจ้า.

    เชื่อมความว่า เพราะฉะนั้น พระกัสสปพุทธเจ้าผู้นำโลกทรงอุบัติขึ้นแล้วในภัททกัปนี้.

    คำที่เหลือมีเนื้อความง่ายทั้งนั้นแล...........

    ที่มา : อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ ๕๕. ภัททิยวรรค และ

    โอวาทธรรมหลวงปู่ดู่ พฺรหฺมปัญโญ. วัดสะแก ม.๗ บ้านสะแก ต.ธนู อ.อุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

    ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๙

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุกๆท่านครับ

    ขออนุโมทนาบุญและขอขอบพระคุณทุกๆท่าน

    https://www.facebook.com/ThammaLuangpuSaoPage
     

แชร์หน้านี้

Loading...