เรื่องนี้น่าเชื่อแค่ไหน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย หลบภัย, 11 มีนาคม 2012.

  1. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,209
    ค่าพลัง:
    +3,129
    ตายแล้วจะเป็นอะไร

    ความตายเป็นเรื่องที่น่ากลัวยิ่ง ของผู้คนทั้งหลาย เพราะคนส่วนใหญ่ยังไม่อยากตาย และที่สำคัญคือไม่รู้ว่าเมื่อตายแล้วจะไปไหนจะเกิดเป็นอะไรจะถูกยมบาลจับไปลงกระทะทองแดงหรือเปล่า หรือว่าตายไปแล้ว จะต้องเป็นผีเร่ร่อนไปไม่จบสิ้น เรื่องที่มองไม่เห็นจึงเป็นเรื่องที่น่ากลัวสำหรับผู้คน แต่ตายแล้วจะไปเป็นอะไรนั้น ตามคำสอนของครูบาอาจารย์ที่ท่านได้ฝึกกรรมฐานจนสามารถมีญาณ ได้พิทพ์จักษุ หรือได้อนาตังสญาณ สามารถรู้อดีตชาติ รู้ปัจจุบัน และล่วงรู้ไปถึงอนาคตของสัตว์โลก ตลอดจนมนุษย์ทั้งหลาย ได้กล่าวสอนว่า ความสำคัญอยู่ที่ว่า ขณะที่บุคคลนั้นจะตายหรือใกล้จะตายนั้น ตอนนั้นเขาได้มีจิตนึกคิดสิ่งไรอยู่ มีสติจดจ่ออยู่กับเรื่องอะไร มีจิตกังวลหรือมุ่งมั่นกับอะไร เมื่อวิญญาณได้หลุดลอยออกจากร่างที่หมดแล้ว วิญญาณของคนนั้นก็จะมุ่งตรงไปหาสิ่งที่ได้ตั้งใจไว้ก่อนตาย เรียกว่า ไปตามจิตใจที่ได้คิดไว้ก่อนตาย ดังยกตัวอย่างเรื่องจริงในอดีตที่ท่านพระอาจารย์ได้เล่าเขียนเป็นหนังสือไว้ว่า

    มีสามีภรรยาที่ยกจนคู่หนึ่ง ได้ย้ายถิ่นฐาน เพื่อไปทำมาหากินเมืองอื่น เดินทางไปหลายวัน เสบียงอาหารได้หมดลง อดข้าวไม่ได้กินอยู่ ๒ วัน บังเอิญได้ไปพบกับบ้านเศรษฐีใจบุญเข้า จึงได้สั่งให้คนรับใช้นำข้าวปลาไปให้ทาน ทั้งคู่จึงทานด้วยความหิวโหย ฝ่ายสมาขณะที่ทานไป ได้เห็นสุนัขของบ้านเศรษฐี ก็กลังทานอาหารเช่นกัน เป็นสุนัขของบ้านเศรษฐีนี้ดีนะ มีข้าวปลาอาหารเลี้ยงดูอย่างสมบูรณ์ แถมยังมีชามข้าวเป็นทองคำด้วยระหว่างทานข้าวไปก็มองคิดไป บังเอิญความหิว จึงทานอย่างรีบร้อน จึงสำลักข้าวตายเมื่อตายไปแล้วเกิดมาเป็นลูกสุนัขเศรษฐีนี้อย่างทันการณ์ทันที

    เมื่อเป็นสุนัขแล้ว ก็เป็นสุนัขที่แสนรู้ คนเขาพูดอะไรก็รู้เรื่องหมด ใช้งานได้จนเศรษฐีมีความรักเมตตาต่อสุนัขตัวนี้มาก และตัวเศรษฐีเองก็เป็นคนถือศีลขอบฟังธรรมได้นิมนต์พระปัจเจกพระพุทธเจ้ามาสอนธรรมะอยู่เสมอและเวลาที่พระปัจเจกพระพุทธเจ้ามา ก็จะเรียกเจ้าสุนัขที่เคยเกิดเป็นคนยากจนให้ไปเชิญพระปัจเจกพระพุทธเจ้ามา และเวลากลับเจ้าสุนัขแสนรู้จะไปส่งพระปัจเจกพระพุทธิเจ้ากลับเป็นเช่นนี้อยู่เสมอ จนกระทั่งวันหนึ่งพระปัจเจกพระพุทธเจ้าบอกสุนัขว่า เอาล่ะส่งแค่นี้ล่ะ เพราะข้าฯ จะไปธุระที่อื่น จะเหาะไปเพราะอยู่ไกลมาก ว่าแล้วพระปัจเจกพระพุทธเจ้าก็แสดงฤทธิเหาะเหินเดินอากาศลอยไปเลย เจ้าสุนัขจึงเห่าด้วยความยินดีแล้วคิดว่าเป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้านี่ดี ไม่ต้องเดิน ใช้เหาะเอาก็ได้ เรานี้น่าจะเป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้านะ คิดและตั้งใจเช่นนั้นเดินไปถึงบ้านเศรษฐีบังเอิญเกิดตายขึ้นมา พอตายปั๊บก็ไปเกิดเป็นเทวดา นี่เป็นตัวอย่างที่ง่าย ๆ ในการเปลี่ยนแปลงภพชาติของมนุษย์และสัตว์สำคัญที่ว่าในขณะที่กำลังจะตายนั้นบุคคลจะมีสติอยู่หรือไม่ ยึดติดกับสิ่งไร ตายไปแล้วก็เฝ้าหวงอยู่กับสิ่งนั้น ในสมัยพุทธกาล มีพระภิกษุรูปหนึ่งบวชเป็นพระได้ไม่นาน ยังฝึกกรรมฐานไม่มาก ถึงแม้จะอยู่ใกล้พระพุทธเจ้าก็ตาม อยู่มาวันหนึ่ง มีเศรษฐีมาถวายผ้าไตรจีวร และพระภิกษุรูปนี้ก็ได้รับด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ทุกวันจะจับต้องลูบคลำเอามาดูอยู่เสมอ แต่ได้ชื่นชมอยู่ไม่นาน ก็ถึงคราวต้องตาย พอตายแล้ววันรุ่งขึ้น พระพุทธเจ้าฯ ได้บอกต่อพระอานนท์ว่า “ผ้าจีวรผืนนี้ อย่าเพิ่งเอาไปใช้ ให้รอครบ ๗ วันก่อน จึงค่อยนำไปซักล้าง” ฝ่ายพระที่หลงใหลในผ้าจีวรผืนใหม่นี้ เมื่อตายไปเกิดเป็นตัวเล็น ซึ่งเป็นแมลงเล็กชนิดหนึ่งแล้วอาศัยอยู่กับผ้าผืนนั้น ตลอดจนอายุขัยคือ ๗ วัน จึงตายจากผ้าผืนนั้นไป

    การที่พระรูปนี้เมื่อมรณภาพเป็นแล้ว ไปเกิดเป็นแมลงเล็ก ๆ ทันทีแล้วเกิดอยู่เฝ้าอยู่กับผ้าที่ตัวเองเฝ้าหวงรักมันเป็นเพราะว่าขณะที่ตายไปนั้นได้มีจิตใจจดจ่อกับผ้านั้นตลอดจนแม้กระทั่งดับจิตอยู่ก็ได้คิดมันอยู่เช่นนี้ เมื่อเกิดใหม่จึงเป็นแมลง มาเฝ้ารักสมบัติที่ตัวเอง ทั้งห่วงทั้งหวงนั่นเองพระพุทธเจ้าก็มีญาณรู้อยู่ว่า

    พระรูปนี้เมื่อมรณภาพไปแล้วจะต้องต้องเกิดมาเป็นแมลงอยู่ในผ้าจีวร จึงทรงห้ามพระอานนท์ไม่ให้นำไปซักล้าง ปล่อยให้แมลงตัวนี้ตายไปก่อน จึงค่อยนำมาใช้

    ฉะนั้นคนเรา เมื่อจะตาย ควรปล่อยวางทุกอย่างอย่ายึดทุกสิ่ง มิฉะนั้นต้องกลับมาอีก และอาจจะเกิดเป็นแมลง เป็นจิ้งจก เป็นสุนัขมาเฝ้าสมบัติของตัวเองก็ได้ ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย จึงเฝ้าอบรมให้ฝึกสมาธิให้หัดนั่งกรรมฐานอยู่เสมอ เพื่อที่จะได้มีสติ รู้อยู่ตลอดเวลา เมื่อถึงคราวที่จะตาย ก็สามารถกำหนดจิตเข้าญาณได้ จะให้ตายแล้วไปเป็นเทวดา เป็นเทพอยู่สวรรค์ชั้นไหนก็สามารถทำได้
     
  2. โชแปง

    โชแปง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    851
    ค่าพลัง:
    +63
    สาธุครับ

    มีอีกเรื่องให้ พิจารณา

    สร้างเหตุอะไรไว้หนอ จึงเกิดเป็นสัตว์กินผัก ^^
     
  3. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,209
    ค่าพลัง:
    +3,129
    ไม่รู้หรอกแต่ขอเดา แบบไม่ให้กระทบ
    เพราะมีโมหะนำ นำพาไปเกิดเป็นสัตว์
    และทิฐิความเห็นผิด ใจที่ยัดมั่น มันพาไป
     
  4. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    หากผู้ใดหยุดการนึกคิดเสียได้ จิตใจไม่ปรุงแต่ง สิ้นแล้วซึ่งความเคยชิน

    การเกิดจะไม่มีอีก เพราะถึงที่สุดแห่งทุกข์ ด้วยจิตใจที่ไม่อาลัยอาวรณ์ต่อการมีชีวิต

    อนุโมทนาสาธุครับ จากบทความที่นำมาเผยแผ่ครับ คุณ หลบภัย
     
  5. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    อันนี้ล่ะ น่าเชื่อไหม

    ตะลึง!!10ขวบตายแล้วฟื้น

    ตะลึง เด็กอ่างทองวัย 10 ขวบ ป่วยเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่ว พาไปรักษาที่โรงพยาบาล แพทย์ผ่าตัดหัวใจแต่ไม่รอด นอนแน่นิ่ง แพทย์ลงความเห็นเสียชีวิตแล้ว ญาติขอไม่ให้ถอดเครื่องช่วยหายใจ ผ่านไป 14 วันฟื้นขึ้นมา หมอ-ญาติตกใจ


    เวลา 16.00 น. วันที่ 18 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรับแจ้งว่ามีเหตุการณ์ประหลาด เมื่อเด็กตายไปแล้ว 14 วัน ฟื้นขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ หลังรับแจ้งจึงเดินทางไปยังบ้านเลขที่ 62 ม.5 ต.มงคลธรรมนิมิต อ.สามโก้ จ.อ่างทอง ซึ่งเป็นบ้านของเด็กชายพิฆเนศ หรือน้องจ่อย คล้ายทอง อายุ 10 ปี ที่ป่วยเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่ว และเข้ารับการผ่าตัดหัวใจที่โรงพยาบาลเด็ก และเสียชีวิตไปแล้วฟื้นขึ้นมา
    <!-- inside news --><SCRIPT type=text/javascript><!-- google_ad_client = "ca-pub-1114872005097511"; /* Inside News */ google_ad_slot = "2991170088"; google_ad_width = 300; google_ad_height = 250; //--> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20120229/r20110914/show_ads_impl.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><IFRAME id=google_ads_frame2 name=google_ads_frame2 marginWidth=0 marginHeight=0 src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?client=ca-pub-1114872005097511&output=html&h=250&slotname=2991170088&w=300&lmt=1331436933&ea=0&flash=10.3.183.11&url=http%3A%2F%2Fwww.komchadluek.net%2Fdetail%2F20110818%2F106531%2F%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B6%25E0%25B8%2587!!10%25E0%25B8%2582%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A2%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%25A5%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%259F%25E0%25B8%25B7%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%2599.html&dt=1331436933390&shv=r20120229&jsv=r20110914&saldr=1&prev_slotnames=2069308164&correlator=1331436919750&frm=20&adk=1670996550&ga_vid=763973694.1331436920&ga_sid=1331436920&ga_hid=116465958&ga_fc=0&u_tz=420&u_his=2&u_java=1&u_h=768&u_w=1024&u_ah=738&u_aw=1024&u_cd=32&u_nplug=0&u_nmime=0&dff=tahoma&dfs=15&adx=34&ady=1014&biw=1003&bih=482&oid=3&ref=http%3A%2F%2Fwww.google.co.th%2Fsearch%3Fhl%3Dth%26source%3Dhp%26q%3D%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2594%25E0%25B9%2587%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A2%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%25B8%2B14%26gbv%3D2%26oq%3D%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2594%25E0%25B9%2587%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A2%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%25B8%2B14%26aq%3Df%26aqi%3D%26aql%3D%26gs_sm%3D12%26gs_upl%3D2531l7969l0l8453l16l12l0l0l0l0l0l0ll0l0&fu=0&ifi=2&dtd=125" frameBorder=0 width=300 scrolling=no height=250 allowTransparency></IFRAME>
    นางสมคิด คล้ายทอง อายุ 48 ปี แม่ของน้องจ่อย เล่าว่า น้องจ่อยเกิดมามีโรคประจำตัวหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นกระบังลมรั่ว ฝาผนังหัวใจรั่ว ลิ้นหัวใจรั่วทั้ง 4 ห้อง และเม็ดเลือดขาวและเม็ดเลือดแดงปนกัน ตนได้นำน้องจ่อยเข้ารับการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลสามโก้ จ.อ่างทอง ต่อมาโรงพยาบาลสามโก้ ได้ส่งตัวให้ไปทำการผ่าตัดหัวใจที่โรงพยาบาลเด็กที่กรุงเทพฯ
    น้องจ่อยเข้ารับการผ่าตัดเมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2554 ก่อนที่แพทย์จะผ่าตัดได้บอกให้ตนเตรียมใจไว้ก่อนแล้วว่าน้องจ่อยอาจแย่หรือเสียชีวิตก็ได้ แต่ตนก็ให้ทำการผ่าตัดเลย และหลังจากผ่าตัดกลับออกมา น้องจ่อยก็นอนรักษาตัวอยู่ที่ห้อง ICU ตลอดเวลา 14 วัน น้องจ่อยใช้เครื่องช่วยหายใจมาตลอด พยาบาลที่มาตรวจพบว่าน้องจ่อยไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบใด ๆ ไม่มีความดันในร่างกาย ไม่หายใจ ตัวเย็นเฉียบ แพทย์และพยาบาลจึงบอกตนว่าน้องจ่อยตายไปแล้ว ตนก็ได้แต่บอกหมอและพยาบาลว่าไม่ให้ถอดเครื่องช่วยหายใจ เพราะลูกอาจจะฟื้นขึ้นมาได้ เนื่องจากตนได้ไปบนไว้หลายแห่ง
    จนมาเมื่อวันที่ 9 พ.ค.ที่ผ่านมา แพทย์ได้มาบอกว่าจะถอดเครื่องช่วยหายใจแล้วเพราะว่าเด็กตายแน่ ๆ แขนขาเขียวคล้ำไปหมด นิ้วมือและนิ้วเท้าแห้งจนแข็งดำ หงิกงอ ผิวหนังแห้งเกรียม โดยเฉพาะที่นิ้วเท้าด้านขวาแห้งจนหลุดออกมา ให้ตนและญาติไปเตรียมเรื่องงานศพได้เลย ตนจึงบอกว่าขอเวลาอีกหนึ่งวัน จนกระทั่งเมื่อวันที่ 10 พ.ค. 2554 แพทย์ได้ถอดเครื่องช่วยหายใจออก ตนจึงได้นำดอกไม้ธูปเทียนพร้อมเงินจำนวนหนึ่งใส่ในมือลูก และเตรียมจะนำศพกลับไปบ้าน แต่หมอได้เดินมาและดึงธูปออก แล้วนำดอกไม้ธูปเทียนที่ตนใส่ไว้ในมือลูกออก โดยแพทย์บอกว่าจะอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายให้
    หลังจากนั้นตนก็ได้สังเกตุเห็นว่าใต้ตาของน้องจ่อยนั้นมีเหมือนเหงื่อซึมตามผิวหนังใต้ตาอยู่ และเท้ากระดิกได้ ตนจึงได้ตะโกนบอกหมอและพยาบาลให้รีบมาดู จากนั้นแพทย์และพยาบาลก็มาดูต่างตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยบอกกับตนว่านี่ถือว่ว่าสิ่งอัศจรรย์โดยไม่เคยพบเห็นมาก่อน จากนั้นจึงไปเอาที่วัดความดันมาวัด ก็พบว่าความดันเริ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ ตัวเริ่มอุ่นขึ้น ก็รีบช่วยกันรักษาพยาบาล
    นางสมคิด กล่าวต่อว่า หลังจากลูกตนฟื้นขึ้นมาทุกคนต่างดีใจ โดยช่วงที่น้องจ่อยนอนพักอยู่ในห้อง ICU นั้นยายของน้อยจ่อยได้ไปบนหัวหมู 25 หัว แต่ช่วงที่จุดธูป ธูปไม่ยอมติด จึงเปลี่ยนเป็นบนหัวหมู 50 หัว และจุดธูปใหม่ จึงติด ส่วนตนนั้นรู้มาจากหลานว่ามีคนเขาบอกมาว่า ถ้าคนไม่สบายมาก ๆ ให้ไปบนกับท้าวหิรัญพนาสูร ซึ่งเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ประจำโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ขอชีวิตเอาไว้ เขาสมหวังกันมามากแล้ว ตนจึงได้ไปบนขนุนไว้ 2 ลูก และไข่ต้ม 50 ใบ แต่ตนก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟังเลย แต่ที่น่าประหลาดใจ น้องจ่อย ได้เล่าให้ตนฟังว่า ช่วงที่นอนอยู่ได้เห็นว่ามีคนแก่แต่งตัวเหมือนเทพมายืนอยู่ที่เตียง น้ำหมากไหลตามปาก และบอกว่ากูจะเอาชีวิตคืนให้มึง แต่แม่มึงต้องมาแก้บนให้กูด้วย ซึ่งเรื่องที่ตนบนไว้ไม่ได้บอกให้ใครรู้เลย ตัวน้องจ่อยเองก็ไม่รู้ด้วย
    ส่วนน้องจ่อย เล่าว่า ช่วงที่นอนอยู่นั้น เหมือนว่าได้ไปที่ไหนไม่รู้มีแต่หมอกควัน เห็นคนหลายคนกำลังโดนแทง เห็นกระทะทองแดง แล้วก็พบตาที่ตายไปแล้ว 6 ปี มาหาบอกว่า "จ่อยมายังงัย" จากนั้นก็เห็นผู้ชายและผู้หญิงเดินมาบอกตาว่าให้พาเด็กคนนี้ไปส่ง เพราะยังไม่ถึงเวลา สักพักหนึ่งในมือของตนก็มีแต่เงินเต็มไปหมด ตนยังแบ่งให้ตาเลย แต่ตาก็ไม่เอา และหยิบคืนตน และรีบพาตนมาส่งที่ชั้น 2 ของโรงพยาบาล บอกว่าให้รีบไป เดี๋ยวจะไม่ทัน และเมื่อไปแล้วให้รีบเอาธูปที่มือออก จากนั้นตาก็หายไปทันทีและช่วงที่อยู่กับตานั้น ยังพบว่าคนแก่ข้างบ้านที่ตายไปแล้วอีกหลายคน ยังมาทักตนเลยว่ามายังงัย
    ด้านนางเพ็ญชิสา พิกุลขาว อายุ 49 ปี อยู่บ้านเลขที่ 80 หมู่ 5 ต.มงคลธรรมนิมิต เพื่อนบ้าน เล่าว่า เมื่อวันที่เด็กตาย นางสมคิดได้โทรเข้ามาหาตนบอกว่าน้องจ่อยได้เสียชีวิตแล้ว ให้ช่วยกันจัดเตรียมงานศพที่วัด พวกตนจึงได้ระดมเพื่อนบ้านไปช่วยกันทำความสะอาดศาลาวัด และเตรียมพิธีศพ เตรียมอาหารสำหรับไว้เลี้ยงแขก แต่ต่อมาก็ได้รับแจ้งว่าเกิดปาฎิหาริย์กับน้องจ่อย คือน้องจ่อยได้ฟื้นขึ้นมาอย่างอัศจรรย์ ทำให้ทุกคนที่กำลังเตรียมงานศพอยู่นั้น ต่างมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่ไปทำข่าวอยู่นั้น ก็พบว่าต่างมีเพื่อนบ้านจำนวนมากเข้ามาพูดคุยกับน้องจ่อยด้วยความสงสัย โดยเฉพาะได้ถามว่าตอนที่เสียชีวิตไปแล้วได้ไปเจออะไรมาบ้าง ซึ่งน้องจ่อยก็ได้เล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และผู้สื่อข่าวสังเกตเห็นนิ้วมือที่หงิกงออยู่ตอนแรกนั้น ตอนนี้สามารถคลายนิ้วมือแล้ว


     
  6. โชแปง

    โชแปง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    851
    ค่าพลัง:
    +63
    ก็ถูกนะ

    แต่ เป็นเรื่องทำบ่อย ยินดีในสิ่งที่ทำอยู่ทำอย่างนั้นซ้ำๆ จนมากพอเป็นเหตุนำเกิด

    แล้วเกิดเป็นพวก สัตว์จำศีลล่ะ ^^
     
  7. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    เรื่องนี้ล่ะ น่าเชื่อไหม

    สามเณรเลี่ยม ระลึกชาติก่อนได้



    พระบัว ลูกศิษย์พระอาจารย์ทอง ผู้ระลึกชาติได้แม้กำลังตกคลอด

    สามเณรเลี่ยม เกิดที่บ้านน้ำก่ำ อำเภอพระธาตุพนม จังหวัดนครพนม เธอเล่าว่า ชาติก่อนเธอเกิดที่บ้านโคกเลาะ จังหวัดอุบลราชธานี “บัว” เมื่อเป็นหนุ่ม มีพระธุดงค์คณะหนึ่งจาริกสั่งสอนธรรมแก่ประชาชน ไปถึงบ้านโคกเลาะ หัวหน้าคณะชื่อพระอาจารย์ทอง เวลาเย็นพากันไปรับอบรมฟังธรรม หนุ่มบัว(สามเณรเลี่ยมในชาตินี้) ก็ไปฟังธรรมด้วยมีความเลื่อมใสพระธุดงค์ และพระธรรมที่ท่านสั่งสอนจึงถวายตัวเป็นศิษย์ และติดตามไป จนได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุบัว บำเพ็ญสมณธรรม จาริกไปหาความสงบ ปฏิบัติธรรมในที่ต่าง ๆ กับท่านพระอาจารย์ทอง
    วาระสุดท้ายของชีวิต ได้จาริกไปกับ อาจารย์ทอง ไปจำพรรษาที่บ้านสามผง อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนมที่นั้นเป็นป่าทึบ มีไข้ป่า(มาลาเรีย) ชุกชุม ในพรรษามีพระเป็นไข้ป่ามรณภาพไปก่อน ๒ องค์ พระภิกษุบัว เริ่มเป็นไข้มีอาการหนักขึ้น ๆ จนรู้สึกตัวว่าจะไปไม่รอด วันสุดท้ายรู้ว่ากำลังจะตายแน่ พระภิกษุบัวซึ่งเป็นพระปฏิบัติทางจิตเป็นประจำอยู่แล้วก็ตั้งใจให้ดี มีสติประคองจิตมิให้เผลอตัวขณะดับจิต(ตาย) ถึงเวลาตายจริง ๆ จิตกลับไม่ดับไปจิตประจำร่างกาย พระบัวที่ตายแล้ว พระบัว(ในร่างทิพย์ไม่มีคนเห็น) ยืนดูพระเณรประชาชนที่มาเยี่ยมอาการป่วยและอาการตายของพระบัว
    พระบัว(ในร่างทิพย์) รู้สึกตัวว่ามีสงบจีวรนุ่ง - ห่มคลุมอยู่เรียบร้อย บ่าข้างหนึ่งสะพายบาตร อีกข้างหนึ่งแบกกลดคล้ายจะเดินทางเพื่อธุดงค์ ขณะนั้นยังไม่คิดมุ่งไปทางไหนยังยืนดูพระเณร ชาวบ้านจัดการศพ - เผาศพพระบัวอยู่ไม่มีใครเห็นพระบัว (ร่างทิพย์) ก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกยังคงสะพายบาตร แบกกลดไปยังอย่างนั้น เดินเรื่อยไปไม่มีจุดหมาย กระทั่งถึงศาลาใหญ่หลังหนึ่งไม่เคยเห็นในเมืองมนุษย์
    ในศาลามีชายหญิงอมทุกข์ หงอยเหงาจำนวนมากกลางศาลาโต๊ะใหญ่ มีเก้าอี๊นั่ง บนโต๊ะมีหนังสือ (บัญชี) สองกอง ใหญ่กอง เล็กกอง มีเจ้าหน้าที่ประมาณ ๓ คน ทุกคนประกายตาดูน่ากลัว คอยดูแลจัดการกับคนที่อยูบนศาลาเขาเรียกชื่อคนบนศาลาจัดเป็นกลุ่ม ๆ กลุ่มหนึ่งประมาณ ๑๐๐ คน น้อยกว่าร้อยก็มีบ้าง จัดส่งไปในที่ต่าง ๆ ตามแต่กรรมที่ทำไว้ มีเจ้าหน้าที่ ๒ -๓ คน และหญิงอายุราว ๖๐ คน อีก ๑ คน (เป็นหญิงมีบุญ) หญิงคนนี้เขาจัดให้ลงสระน้ำ (ทิพย์) ไปนั่งอีกฝั่ง มีรถทิพย์มาคอยรับพอดี หญิงนั้นได้รับสวมเครื่องนุ่งห่มใหม่ แทนชุดเดิมที่เขาให้เปลี้องทิ้งไปเครื่องประดับใหม่ตกแต่งสวยงามมากราวกับนางฟ้า ฝั่งสระทิพย์มีน้ำทิพย์มีน้ำทิพย์ ดอกไม้ทิพย์ กลิ่นหอม สีต่าง ๆ ชวนชมไม่จืดจางแต่งกายเสร็จ คนขับรถมาเชิญขึ้นรถทิพย์พาเหาะขึ้นอากาศ รถทิพย์ไม่ปรากฏว่ามีเครื่องยนต์ แต่เหาะไปได้ด้วยแรงบุญสู่สวรรค์
    เมื่อเขาเรียกคนและจัดส่งไปหมดแล้ว พระบัว(ร่างทิพย์) จึงถามว่า "ส่วนอาตมาเล่าไม่เห็นเรียกชื่อเลยว่าจะให้ไปทางไหน" เขาบอกว่า "ยังไม่มีชื่อในบัญชี ยังไม่สั่งมา ถ้าต้องการไปสวรรค์ให้ท่านลงสระน้ำทิพย์ รถทิพย์จะมารับ ถ้าท่านต้องการเกิดในโลกมนุษย์ นิมนต์กลับไปทางเดิมที่มา" พระบัว(ร่างทิพย์) ตอบเขาว่า "สวรรค์ก็ยังไม่อยากไป มนุษย์ก็ยังไม่ไป กระหายน้ำมาก ขอไปหาน้ำฉันก่อนจึงจะไปทีหลัง" แล้วเขาลงจากศาาลา ไปตามทางเดิม เดินมุ่งหาน้ำ พบหญิงคนหนึ่งกำลังเดินไปตักน้ำที่ทุ่งนา พระบัว(ร่างทิพย์) จึงขอบิณฑบาตน้ำฉัน หญิงนั้นบอกว่าให้ท่านไปรอที่บ้านหลังนั้น จะตักน้ำไปถวายที่บ้าน พระบัว(ร่างทิพย์) เดินไปขึ้นบนบ้านหลังนั้นอยู่ไม่ไกลจากบ่อน้ำ พอนั่งลงพักบนบ้าน ก็รู้สึกง่วงมาก นึกจะเอนหลังพักสักนิดก่อนน้ำมา พอล้มตัวนอน ก็หลับไปงีบหนึ่งเท่านั้น พอตื่นก็กลายเป็นเกิดใหม่เสียแล้ว
    ขณะที่ตกคลอดรู้สึกตัวทันทีว่าเกิดใหม่ เมื่อเป็นทารกตกคลอดออกมา ยังมีสัญญาว่าเป็นพระติดตัวมาไม่เลือนลาง รู้สึกตัวเหมือนยังครองจีวร แบกกลดสะพายบาตรอยู่ และยังสามารถระลึกย้อนหลังได้โดยลำดับบ้านเกิดภพก่อน ที่อยู่ภพก่อน พ่อแม่วงศ์ญาติจำได้หมด แต่พูดไม่ออกเพราะยังเป็นทารกแดง ๆ อยู่ ต่อมาพอพูดได้บ้าง ก็พูดแบบพระว่า “อาตมา ๆ” เพราะรู้สึกเหมือนตนเองเป็นพระตลอดเวลา พ่อแม่ ญาติวงศาพากันห้ามพูดคำว่า“อาตมา” เด็กพูดชัดขึ้นทุกวัน ยังพูดคำว่า “อาตมา” ไม่ยอมละโดยยังมีความรู้สึกตัวเองเหมือกำลังเป็นพระอยู่ กระทั่งถูกดุ ถูกตวาดเอาว่า เป็นเด็กไม่ใช่พระ พูดว่า “อาตมา” เดี๋ยวบาปตายจริง ๆ นะ เด็กซึ่งได้ชื่อในภพใหม่ว่า “เลี่ยม” ก็ตกใจเสียใจความรู้สึกเป็นพระที่ติดตัวอยู่ก็ค่อย ๆ หายไปหมด พยายามละคำที่ติดปาก ไม่พูด “อาตมา” อีกเลย
    เด็กชายเลี่ยม พอโตขึ้นมาบ้างก็คิดถึงพ่อ แม่ ญาติพี่น้องชาติก่อน บ่นกับพ่อแม่ชาติใหม่ว่า อยากไปเยี่ยมพ่อแม่บ้าง พ่อแม่ก็ดุเอาอีกว่าพูดเรื่องร้ายแก่ตัว ต่อมาเด็กชายเลี่ยมตัดสินใจเล่าความจริงในชาติเก่าให้พ่อแม่ใหม่ทราบโดยละเอียด ตลอดถึงการสิ้นชีวิตเมื่อตอนเป็นพระภิกษุบัว แล้วมาเกิดชาตินี้กับพ่อแม่ใหม่นี้ พ่อแม่ได้ยินเป็นเรื่องเป็นราวจริง ๆ ดังนั้นก็เกิดความสลดสังเวชและร้องไห้ เห็นโทษในการดุด่าเด็ก กล่าวคำขออภัยลูก อย่าให้มีบาปกรรมต่อพ่อแม่ใหม่เลย กับพูดจาแสดงความรักความห่วงใยลูกมากมาย กระทั่งเด็กชายเลี่ยมงดเว้นยังไม่กลับไปหาพ่อแม่เก่า เพราะสงสารแม่ใหม่ เมื่อเด็กชายเลี่ยม เติบโตขึ้นพอบวชได้ก็ได้บวชเป็นสามเณรด้วยความศรัทธา สืบต่อมาจากชาติเป็นพระภิกษุบัว ดังที่ดำรงเพศอยู่
    ขณะสัมภาษณ์นี้ เมื่อถูกถามถึงอาจารย์ทองซึ่งเป็นอาจารย์ชาติก่อน สามเณรเลี่ยมเรียนตอบว่า ยังไม่เคยพบท่านเลย หากได้พบต้องจำท่านได้แน่ ยุติสัมภาษณ์ไว้ให้สามเณรกลับที่พักก่อน พระคุณเจ้า ญ.บ. จะทดสอบสามเณรเลี่ยมถึงความจำอาจารย์เก่าต่อไป พระคุณท่าน จึงพาตระเวนหาพระอาจารย์ทองในบริเวนวัด เมื่อพบท่านแล้วจึงพาสามเณรเลี่ยมมาทดสอบโดยชี้ไปที่พระอาจารย์องค์อื่น ๆ ที่มาพักอยู่บริเวนจะมีงานปีหลายครั้งหลายองค์ ถามว่าองค์นี้ใช่ไหม สามเณรเลี่ยมก็ตอบทันทีว่าไม่ใช่ ๆ กระทั้งไปชี้อาจารย์ทององค์จริง สามเณรตอบทันทีว่าใช่แล้ว องค์นี้และอาจารย์ทองที่เป็นอาจารย์ของสามเณรในภพก่อนที่เป็นพระภิกษุบัวแน่นอน เธอตอบด้วยความมั่นใจ พระคุณท่าน ญ. บ. พอใจในการทดสอบ บังเอิญขณะนั้นอาจารย์ทองมีแขกมาก กำลังสนทนาธรรมกับแขก จึงมิได้พาสามเณรเข้าไปกราบท่าน พาสามเณรกลับที่พักก่อน โดยหวังว่ามีโอกาสจะพาสามเณรไปกราบนมัสการ และเล่าเรื่องการระลึกชาติได้ของสามเณรถวายพระอาจารย์ทอง
    ต่อมางานเริ่มต่างคนต่างยุ่งในการช่วยงานจึงพลาดโอกาสที่ได้ทำอย่างที่ตั้งใจ อย่างไรก็ดีในปีเดียวกันกับงานนั้น ( พ.ศ. ๒๔๙๓ ) พระคุณเจ้า ญ.บ. ได้มีโอกาสพระพระอาจารย์ทอง และเรียน ถามเรื่องราวของพระบัว ได้ความว่า
    ๑. ท่านอาจารย์ทองเคยไปจำพรรษาที่วัดบ้านสามผง จังหวัดนครพนม ตรงกับปีที่พระภิกษุบัวเป็นองค์สุดท้าย (ตรงกับคำบอกเล่าของสามเณร)
    ๒. ในพรรษา มีพระเป็นไข้มาลาเรีย มรณภาพ ๓ องค์ รวมทั้งพระภิกษุบัวเป็นองค์สุดท้าย (ตรงกับคำบอกเล่าของสามเณร)
    ๓. พระบัว คือ ผู้ที่อาจารย์ทองรับตัวมาบวชเป็นพระแล้วพาเธอจาริกบำเพ็ญสมณธรรม จำพรรษาสุดท้ายที่วัดสามผง ปีที่พระบัวมรณภาพ เธอบวชได้ ๓ พรรษา (ตรงกับบอกเล่าของสามเณร)
    ๔. เมื่อพระภิกษุบัวยังมีชีวิตอยู่ เธอมีความขยันหมั่นเพียรมากในการปฏิบัติธรรมทางจิต
    ๕. พระอาจารย์ทองยืนยันว่า พระบัวศิษย์ของท่านมรณภาพมาได้ ๑๖ ปีแล้ว (นับถึง พ.ศ. ๒๔๙๓) และในปี พ.ศ. ๒๔๙๓ นั้น สามเณรเลี่ยมอายุได้ ๑๕ ปี (รวมที่ปฏิสนธิอยู่ในครรภ์ ๙ – ๑๐ เดือนด้วยประมาณ ๑๖ ปี เท่าจำนวน ๑๖ ปี ที่พระบัวมรณภาพ) นับว่าเธอมรณภาพแล้วไม่นานก็เกิดใหม่เป็นมนุษย์ มิได้ไปเกิดในภพภูมิอื่นเลย


    เรื่องการระลึกชาติของสามเณรเลี่ยมนี้ น่าสนใจเป็นพิเศษ คือ
    ๑. ชาติเป็นพระภิกภิกษุบัว เธอเพียรปฏิบัติธรรมทางจิตไว้มาก (ตามคำพระอาจารย์ทอง) คงจะได้สมาธิสูงพอสมควรส่งผลดีให้เธอมีสัญญาความจำ มีจิตอยู่เสมอ
    ๒. เมื่อเจ็บไข้จะตาย ก็รู้สึกตัวว่าจะตาย และมีสติอยู่ดี ขณะแม้กำลังจะตายหรือดับจิตอยู่แท้ ๆ เธอยังตั้งสติมั่น “ ตั้งใจให้ดี มีสติประคองจิต มิให้เผลอตัวขณะดับจิต ”
    ๓. กระทั่งร่างกายตาย ความรู้สึกหรือจิตก็มิได้ดับวูบกลับเกิดมีร่างพระภิกษุบัวอีกร่างหนึ่ง จิตในร่างเดิมที่ตายมาอยู่ในร่างใหม่ (ร่างทิพย์เฉพาะตัว) นี้ กำลังยืนมองเห็นร่างเก่าที่ตายแล้วอยู่ตรงหน้า
    ๔. ความประทับใจในเพศพระภิกษุ (เดิม) มีแน่นแฟ้นมาก แม้ในร่างทิพย์ก็ยังรู้สึกเป็นพระภิกษุ สะพายบาตรแบกกลดแยู่เหมือนเตรียมตัวพร้อมจะออกธุดงค์พระดกรรมฐานอย่างเคย
    ๕. กระทั่งการเดินทางไปไหน ๆ ในร่างทิพย์ก็ยังเป็นพระภิกษุบัวแบกกลด สบายบาตรอยู่
    ๖. ความจำชาติเก่าของสามเณรเลี่ยมชัดเจนมากแม้เมื่อตกคลอดในชาติไหม่ยังเป็นทารกแดง ๆ พูดยังไม่ได้ ก็ยังจำรำลึกได้ ว่าตัวยังเป็นพระภิกษุบัว สะพายบาตรแบกกลดอยู่
    ๗. สติความรำลึก ความจำแจ่มชัด แม้ยังเป็นทารกแดง ๆ นี้ คงเนื่องจากได้บำเพ็ญธรรม ทำสมาธิไว้ดีมากในชาติเป็นพระภิกษุบัว เรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่น่าพิจารณามากสำหรับชาวพุทธศาสนิกชนที่ยังไม่ได้ปฏิบัติทางสมาธิธรรม หรือปฏิบัติแต่ยังไม่แน่วแน่มั่นคง ควรตั้งความเพียรปฏิบัติสมาธิธรรมให้ได้ผลแน่วแน่มั่นคงไว้เพื่อความไม่ประมาท....
    จาก พระมหา ดร. สุเทพ อกิญฺจโน จังหวัดชลบุรี
    เรียบเรียงโดย : ส. ทับทิมเทศ

     
  8. โชแปง

    โชแปง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    851
    ค่าพลัง:
    +63
    บทความตายแล้วฟื้นนั้น ที่จริงไม่ได้ตายอะไรเลย

    ไม่มีการปฏิสนธิ หรือ จุตติจิตในขณะนั้น

    ผมให้เหตุผล ว่า เหมือนผู้นั่งสมาธิ จนสำคัญว่าจิตล่องลองออกจากร่างไปเห็นโน่นนี่

    หากรูปกายทนไม่ได้ อยู่ไม่ได้ นามกานย่อมอาศัยไม่ได้ อยู่ไม่ได้ ต้องแสวงหาภพใหม่ทันที

    ไม่เคยมีข่าวว่า ศพเละ หัวขาด กายขาดแล้วพื้น

    นี่น่าคิดไหมน้าปราบ ^^
     
  9. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,209
    ค่าพลัง:
    +3,129
    สัตว์พวกจำศีลเหรอ ในวิชาเรียน เพราะเขาต้องเก็บพลังงาน ไว้ใช้ในฤดูต่อไป
    เป็นการ ประหยัดพลังงาน

    หากตอบตามหลัก ก็เพราะเตรียมมาเกิดเป็นมนุษย์ บางท่านบอกว่าจะไปเกิดเป็นพรหม
    อันนี้ไม่ค่อยเชื่อเท่าไร หรอก
     
  10. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    นี่อีกเรื่อง




    หลวงตาพระมหาบัว...กับ..เณรระลึกชาติ

    "...ท่านกล่าวไว้ในมหาวิบาก นรกมีถึง 25 หลุม ตั้งแต่ใหญ่ๆ ขึ้นมาเรื่อยๆ นี่นรกเมืองผีมีถึง 25 หลุม แล้วจากนั้นก็มาปลีกย่อย ถ้าไปลงนรกอเวจีแล้วกี่กัปกี่กัลป์ก็ไม่ได้พ้นแหละ จมอยู่นั้น ถึงจะปรากฏอนิจจังก็กี่กัปกี่กัลป์ถึงจะเปลี่ยนมา

    กรรมของสัตว์ประเภทนี้ พวกฆ่าพ่อฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำลายพระพุทธเจ้า ยุยงให้สงฆ์แตกจากัน 5 ประการ ท่านเรียกอนันตริยกรรม แปลว่ากรรมนี้หนักมาก แล้วพวกนี้แหละพวกลงไปนั่น นี่มีนิทานสดๆ ร้อนๆ อันหนึ่งที่จะนำมาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เราเป็นคนซักด้วยปากของเราเองอันนี้ คือเอากันต่อหน้าเลย ซักเลย

    มีเณรองค์หนึ่ง อยู่บ้านน้ำก่ำ อำเภอพระธาตุพนม จังหวัดนครพนม เณรนี้ระลึกชาติได้ ระลึกชาติถอยหลังได้ ชาติเจ้าของนั่นเอง แต่ก่อนเขาชื่อว่าบัวเหมือนกับชื่อหลวงตาบัวนี่แหละ เขาอยู่บ้านโคกเลาะ ชื่อเขาพูดถูกหมดนะ เหตุที่จะมีการยืนยันรับรองกันคืออาจารย์ของเขาเอง เราพบกับเณรนี่แล้วก็ไปพบกับอาจารย์ ชื่ออาจารย์ทอง อาจารย์ของพระบัวนี่

    พระบัวนี่เป็นหนุ่มแล้วไปฟังเทศน์แล้วเกิดความเลื่อมใส ท่านอาจารย์ของท่านไปทางเมืองอุบล ไปโน้น แนะนำสั่งสอนประชาชน เขาเกิดความเคารพเลื่อมใส นายบัวนี่ก็มาขอบวชกับท่าน บวชแล้วก็ติดสอยห้อยตามท่านมา มาอยู่บ้านสามผง พอดีมาเป็นไข้ป่าที่สามผงตาย ปีนั้นพระตาย 3 องค์ นี่ท่านอาจารย์ทองท่านเล่าเอง ปีที่ตาย 3 องค์นี่นะ แต่พระบัวนั้นบอกแต่ว่า มาตายที่บ้านสามผงเท่านั้น ไม่ได้บอกว่าตายเท่านั้นองค์เท่านี้องค์

    พอตายแล้ว นี่เราสรุปเอาเลย แบกกลดสะพายบาตรดูเขาเผาศพเรา คนทั้งหลายเต็มอยู่มาเผาศพ ก็ยืนดูศพอยู่ สะพายบาตรแบกกลดอยู่ดูเขาเผาศพ เขาไม่สนใจกับเราเลย คนเป็นร้อยๆ เต็มอยู่นั่น เขาไม่สนใจกับเราสักคนเดียวเลย เราก็ไปยืนดูศพของเรา

    พอเสร็จแล้วก็ออกไปทางด้านตะวันออก ศพเรานี่ก็ถูกเผาเป็นเถ้าเป็นถ่าน ขนาดนี้แล้วจะหวังเอาอะไรอีก เราไปแล้วไม่ห่วงใยแล้ว แล้วก็ไป พอไปก็ไปถึงศาลาใหญ่หลังหนึ่ง ศาลานั้นใหญ่มากทีเดียว นี่เป็นเณรนี้เล่าให้ฟังนะ

    เหตุที่จะได้ซักถามเณรนี้เพราะมีพระมาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องเณรนี้ระลึกชาติได้ แล้วพอดีมางานศพหลวงปู่มั่นเรานี่ เณรนี้ก็จะมา เราก็นัดกับพระไว้ว่าถ้าเณรนั้นมา ให้มาหาเรา พอดีเณรนั้นมาก็ให้มาหาจริงๆ แต่ส่วนมากแกไม่ยอมเล่าเรื่องระลึกชาติได้

    "เล่าทีไรเป็นไข้ทุกที" ว่าอย่างนั้น

    "เข็ด พอเล่าเรื่องชาติหลังย้อนหลังแล้วไข้ทุกทีไม่เคยพลาด"

    "เอ้า คราวนี้ไม่ให้ใช้" เราก็ว่าอย่างนั้นแหละ



    [​IMG]


    "เอ้า เล่ามาให้หมดนะ คราวนี้ไม่ให้ไข้ มาเล่ากับเรานี่ไม่ให้ไข้" ก็ไม่ไข้จริงๆ นะ แปลกอยู่นะ มีหนเดียวรายเดียวนี่ไม่ไข้ พอมาก็ซักถามกันถึงเรื่องตายแล้วไปที่ว่านี่ ไปศาลาใหญ่หลังหนึ่ง

    ศาลาหลังนั้นเจ้าหน้าที่พวกยมบาลอะไรเหล่านี้เต็มอยู่นั่น สมุดบัญชีมีเป็น 2 กอง กองใหญ่เบ้อเริ่มเทียว กองหนึ่งเล็กแล้วกองใหญ่นั้นสำหรับบัญชีคนทำชั่ว กองเล็กนี้สำหรับบัญชีคนทำดี พระองค์นั้นก็สะพายบาตรแล้วไปยืน แล้วพวกนักโทษพูดง่ายๆ นักโทษทำกรรมหนักทำกรรมเบา กรรมอะไรก็ตาม เขาแยกไว้เป็นประเภทๆ เต็มศาลา

    ทีนี้เขาเรียกชื่อ พอเรียกชื่อนายนั้นๆ พอเรียกชื่อปั๊บต้องมาถึงปุ๊บเลย อำนาจแห่งกรรมมันบีบบังคับขนาดนั้น จะอืดอาดไม่ได้ พอเรียกชื่อปั๊บจะมาปุ๊บๆ เลย มีกี่คนโทษประเภทนี้ มีหัวหน้า 2 คนเท่านั้นแหละ หัวหน้าน่ากลัวมาก คนหนึ่งนำหน้า คนหนึ่งตามหลัง พอเรียกชื่อเสร็จแล้วไล่ลง พวกนี้ไปแล้วเรียกพวกนั้นมาอีกเป็นคณะๆ จนกระทั่งหมด นี่พูดสรุปเอาให้พอดีกับเวลา

    พอหมดแล้วก็ยังเหลือแต่ยายคนหนึ่งนั่งอยู่นั่น ยายคนนั้นเป็นคนเหมือนคน วัดเรานี่แหละ เหมือนคนแต่งตัวไปวัดเรานี่ ไปถือศีลถือธรรม มีผ้าเฉวียงบ่านุ่งผ้าซิ่นเรา ธรรมดาไปวัดนี่ แกนั่งอยู่ทางโน่น เขาเรียกคุณแม่นะ สำหรับยายคนนี้เขาเรียกคุณแม่ นอกนั้นเขาเรียกนายนั้นนายนี้ๆ ลงเลยๆ นี่เขาเรียกคุณแม่

    พอพวกสัตว์นรกไปหมดแล้ว เขาเรียนเชิญคุณแม่มาที่นี่ ถ้าคุณแม่อยากไปสวรรค์ให้ลงที่นี่เลย คุณแม่จะไปสวรรค์ชั้นไหนก็ไปได้ให้ลงไปนี้ แล้วรถเขาจะมา รถทิพย์จะมา ลงไปสระน้ำนี้แล้วก็ไปเปลื้องผ้านี้ออก ลงจากสระนี้แล้วก็เดินบุกน้ำไป

    รถจะมาทางฟากสระทางนั้น แล้วก็ขึ้นรถ ประดับตกแต่งใหม่หมด เครื่องประดับประดาตกแต่งเขาจัดเอามาพร้อมรถเลย พอไปแล้วลงน้ำนี่ปั๊บก็ขึ้น เขาก็เชิญเลย จูงขึ้นแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็เหาะบึ่งขึ้น เหมือนสำลี...รถทิพย์ รถทิพย์พูดอะไรพูดไม่ได้ แต่มันประจักษ์กับตาอยู่ว่างั้น

    เป็นสีงามอร่ามตาอะไรนี้เราพูดไม่ถูก...รถทิพย์ แต่ก็ไม่ได้ถามว่ารถทิพย์นี้มาจากชั้นไหนจะไปชั้นไหน เป็นแต่เพียงว่า ผู้หญิงคนนี้จะไปสวรรค์ พอเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ยังเหลือแต่พระองค์เดียวยืนอยู่นั่น คือพระบัวที่ตายไปนั่นแล

    เจ้าหน้าที่เหล่านั้นเขาก็ไม่ได้มาสนใจกับเราแหละ พอเขาส่งยายคนนั้นเสร็จแล้ว เขาก็ทำงานของเขาอยู่บนโต๊ะ

    "แล้วอาตมาเล่าจะให้ไปไหน? ไม่เห็นเเรียกอาตมา"

    "โห ท่านน่ะถ้าตั้งใจจะไปเกิดเมืองมนุษย์ก็ให้กลับหลัง ย้อนหลังนี้ไป ถ้าจะไปสวรรค์ก็ให้ลงไปนี้ ท่านไปได้ทั้งไปสวรรค์ทั้งไปเมืองมนุษย์ ถ้าท่านจะไปสวรรค์ก็ให้ลงนี้เหมือนกับยายคนนั้น ลงแล้วรถทิพย์จะมาเอง"

    "อาตมาไม่ไปแหละอาตมาหิวน้ำ จะไปหาฉันน้ำก่อน"

    ลงจากนั้นก็ลงไปๆ จนถึงบ้านน้ำก่ำนี่แหละ บ้านเขาอยู่ริมทุ่งนา เขามาตักน้ำก็ไปขอบิณฑบาตฉันน้ำกับเขา เขาบอกว่าให้ไปบ้านหลังนี้นะ เขาจะตักน้ำแล้วให้ไปที่นั่น ไปรออยู่บ้านหลังนั้น เขาชี้บอกเห็นบ้านชัดๆ อยู่บ้านหลังนั้น บ้านหลังจะเกิดเข้าใจหรือเปล่า พอไปที่นั่นรู้สึกเคลิ้มๆ จะหลับเหนื่อยเพลียมาก เคลิ้มๆ แล้วหลับไปเลย เลยยังไม่ทันได้ฉันน้ำ

    พอตื่นขึ้นมาที่ไหนได้เกิดแล้ว นั่นละที่นี่แกระลึกชาติของแกได้ตลอดนะ ระลึกชาติย้อนหลังๆ ได้ตลอดเลย นี่เวลาเราซักถาม ทีนี้พอดีอาจารย์ทองของเธอมา เราก็กราบเรียนถามเล่าเรื่องนี้ให้ฟังแล้ว โห่ ท่านตกตะลึกนะ ท่านตกใจ

    "ใช่แล้ว นี่พระบัว"


    [​IMG]

    ท่านก็อธิบายให้ฟังตลอดหมดเลยไปสามผง ไปตายด้วยกัน 3 องค์ อะไรๆ พระองค์นี้ชื่อบัง ไล่ผีเก่งนะพระองค์นี้ แต่ไม่เห็นไล่ผีเจ้าของได้ ท่านพูดเราก็ยังไม่ลืม นี่พูดถึงเรื่องระลึกชาติได้


    คำว่าระลึกชาติได้นี้กับพระพุทธเจ้า ระลึกชาติได้มันต่างกันนะ พวกนี้สลบไสล พวกนี้ตาย การระลึกนั้นระลึกนี้รู้นั้นรู้นี้มันอาจเคลื่อนคลาดเพราะคนกระเสือกระสนกระวนกระวาย ไม่ได้เหมือนพระญาณหยั่งทราบของพระพุทธเจ้าที่ระลึกชาติย้อนหลังเช่น ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติย้อนหลังได้

    เฉพาะชาติของพระองค์นี้มีกี่ภพกี่ชาติทรงทราบได้ตลอดทั่วถึง ตลอดถึงภพชาติของสัตว์ทั้งหลายรู้ได้หมดด้วยพระญาณหยั่งทราบ ไม่ได้ด้วยการสลบไสลเหมือนอย่างโลกทั้งหลายเขาเป็นกัน คนนั้นตายฟื้นกลับคืนมาแล้วระลึกชาติได้อย่างนั้นอย่างนี้ แล้วมาฮือกันเป็นบ้าไป

    พระพุทธเจ้าตรัสรู้พระญาณหยั่งทราบ ประกาศธรรมสอนโลกมานี้กี่ปีแล้วไม่เห็นตื่นกันบ้าง มันเป็นบ้าหรือยังไงมนุษย์เรานี่มันอยากว่าอย่างงั้นนะ เราไปตื่นกับเรื่องแบบบ้าอย่างงั้น พวกคนสลบไสลตายฟื้นกลับคืนมาแล้วมาระลึกชาติได้ แล้วตื่นกันฮือฮาๆ

    พระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นคนสลบไสลตรัสรู้ขึ้นมาเป็นอรรถเป็นธรรมเป็นศาสดาเอกของโลก รู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งทั้งหลาย ประกาศธรรมสอนไว้ ทำไมถึงไม่ตื่นก็บ้าง ให้ตื่นนะ ไม่ตื่นไม่ได้นะ จมจริงๆ นะ ฟังซิว่านรกเดือดพล่านๆ ไม่มีวันมีคืนมีปีมีเดือนมีอย่างนั้นตลอดเวลา พวกสัตว์นรกนี้ก็แน่นอัดๆ เพราะสัตว์ทั้งหลายทำแต่กรรมชั่วนั่นซฺ ทางสวรรค์นี้เบาบาง ทางนรกนี้แน่นหนามั่นคงมากทีเดียวตั้งแต่เรื่องกรรมของสัตว์ๆ นี่ละ ให้จำให้ดีให้สดๆ ร้อนๆ...


    ----------------------------------
    คัดจากหนังสือหยดน้ำบนใบบัว หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
    วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี

    http://palungjit.org/threads/ประสบการณ์โลกทิพย์-หลวงตามหาบัว-กับเณรระลึกชาติ-02-a.76759/
     
  11. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,209
    ค่าพลัง:
    +3,129
    จะว่าไป เคยผ่าตัดนะตายไป 5 นาทีได้มั้ง แต่เราไม่รู้สึกว่าเราตายแฮะเพราะมันดับไม่รู้เรื่อง
    แต่หมอบอกว่า เราตายไป ได้ 5 นาที เออนึกออกแล้ว มิน่าเราถึงได้เพี้ยนหนักเอาการ เพราะสมองเราตายไปตั้ง 5 นาที
    :'(
     
  12. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    งืม ๆ เคยฟังหลวงปู่สมจิต ที่เพชรบูรณ์
    เคยฟังท่านเล่า เมื่อครั้งผมเคยไปผาซ่อนแก้ว

    ประสบการในการตาย ท่านพิศดาร

    อยากฟังเรื่องแนวๆ จากพระท่านเอง ก็ต้องลองไปพบท่านที่เพชรบูรณ์ดู

    แต่ว่าไม่รู้จะเจอไหม ท่านชอบไปเก็บสมุนไพรมาทำยารักษาโรค
     
  13. โชแปง

    โชแปง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    851
    ค่าพลัง:
    +63
    เขาบอกว่า ตา หู ลิ้น จมูก กาย นั้น เกิดจากกรรมต่างๆ ทำให้รูปร่างหน้าต่าง จิตใจแตกต่างกันออกไป

    เกิดเป็นสัตว์กินพืช ก็อีกปัจจัยหนึ่ง

    เกิดเป็นสัตว์จำศีล ก็อีกปัจจัยหนึ่ง

    ทั้งนี้ทั้งน้้น เพราะอำนาจโมหะ อำนาจโลภะ เป็นกำลังสำคัญ

    นี่ก็ต้องพิจารณาว่า สร้างเหตุอะไร ย่อมได้ผลกรรมอย่างนั้นเสมอ
     
  14. โชแปง

    โชแปง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    851
    ค่าพลัง:
    +63
    ศัลยกรรมหรอ
     
  15. โชแปง

    โชแปง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    851
    ค่าพลัง:
    +63
    น้าปราบว่า เทวดา มีชฏา เหาะเหมือนในภาพฝาผนังวัดไหม

    หรือ มีปีกแบบเทวดาฝรั่ง ^^
     
  16. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,209
    ค่าพลัง:
    +3,129
    ไปรักษาอาการ ผิดปกติ เฟ้ย ผ่าหลายครั้งแล้ว
    มีอยู่ครั้งนึง ก่อนจะฟื้นเราเห็นแสงอะไรไม่รู้ บรรยากาศมันสบายๆ
    แว๊บๆ จำได้แค่นั้น แล้วก็ตื่นเพราะอุปกรณ์กระตุ้นปลุกให้เราตื่น
     
  17. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    บางคนหน้าเหมือนม๋า
    บางคนหน้าเหมือนหมู
    บางคนหน้าเหมือนวัว
    บางคนหน้าเหมือนช้าง
    บางคนหน้าเหมือนหมู
    บางคนหน้าเหมือนเสือ
    บางคนหน้าเหมือนลิง


    เคยสังเกตุป่ะ

    ใบหน้าแต่ละคน จะมีอิลิเม้น คือส่วนประกอบองค์ประกอบ
    มาผสม คลี่คลายในรูปหน้า จึงทำให้ คลับคล้ายคลับคลา ในหน้าสัตว์แต่ละชนิด

    บางได้อิลิเม้น จูมกเสือ ได้ตาวัว ตาหวาน หูช้าง หูม๋าก็ว่ากานปาย

    นี่ยังไม่พอ ยังมี ลักษณะอากัปกิริยา ท่าทางการเดิน ขยับคู้แขนขา
    เสียงลมหายใจ ความกลับกลองของลูกกระตา
    ทิศทางของขน โครงลักษณะกระดูก โอ้ย มีอีกเพียบ
     
  18. โชแปง

    โชแปง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    851
    ค่าพลัง:
    +63
    เปลี่ยนหัวกันได้ด้วยหรอ การแพทย์เดี๋ยวนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ

    เรื่องโปะยาสลบ แล้วเห็นแสง เห็นบุคคลแปลกๆ ผมก็เคยมีประสบการณ์

    แต่เด็กมากแล้ว :cool:
     
  19. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,209
    ค่าพลัง:
    +3,129
    พี่หลงๆ จะบอกว่า ปราบน่ะหน้าเหมือน ........
     
  20. โชแปง

    โชแปง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    851
    ค่าพลัง:
    +63
    ก็มีให้เห็นเยอะ บางคนเลี้ยงไก่ไปเลี้ยงไก่มา หน้าเหมือนไก่ไปทุกวัน ^^

    แต่นี่กำลังพูดเรื่องเหตุนำเกิด

    เช่น มีจริตชอบทานผัก พอใจในรสผัก เวลาทานแล้วปลื้มใจยินดี ชักชวนชาวบ้าน

    แค่ไม่รู้เหตุรู้ผล คือทานด้วยโลภะติดข้องในภพ

    มันก็นำเกิด ได้รับประทานกันทั้งชาติ

    ทีนี้จะเป็นสัตว์เล็ก สัตว์ใหญ่ ก็ต้องพิจารณาเป็นเหตุๆไป เป็นไปได้ไหม ^^
     

แชร์หน้านี้

Loading...