เรื่องเด่น เล่าขานตำนานหลวงพ่อจง เอกอรหันตเถระแห่งเมืองกรุงเก่า

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 31 มีนาคม 2017.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    เล่าขานตำนานหลวงพ่อจง เอกอรหันตเถระแห่งเมืองกรุงเก่า ตอน ปฐมวัยวันเยาว์
    17626689_10212605818610098_5038742676689039591_n.jpg

    หลวงพ่อจง พุทฺธสโร ท่านได้ถือกำเนิดที่ตำบลหน้าไม้ อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในต้นสมัยรัชกาลที่ 5 ของราชวงศ์จักรี ท่านเกิดในวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 4 ปีวอก ซึ่งตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคม 2415
    นามเดิมของท่านชื่อว่า "จง" ในสมัยนั้นยังไม่มีการใช้นามสกุล เลยยังไม่มีนานสกุลพ่วงท้ายชื่อ เป็นบุตรชายคนโตของ "นายยอด" และ "นางขลิบ" ที่มีอาชีพเป็นชาวนา หลวงพ่อจงท่านมีน้องร่วมอุทรเดียวกันอีก 2 คน คือ "นายนิล" หรือ "พระอธิการนิล" และ "นางปลิก"

    ชีวิตในวัยเยาว์ของหลวงพ่อจงท่านอยู่ในฐานะเฉกเช่นผู้อาภัพอับโชค อุดมไปด้วยทุกขโรคา มากกว่าความสุขร่าเริงสดใสเหมือนกับเด็กในวัยเดียวกันทั่วไป

    หลวงพ่อจงท่านถูกโรคพยาธิเบียดเบียนมาตั้งแต่เล็ก จึงทำให้มีรูปร่างค่อนข้างจะผอมโซ ไม่แข็งแรง หน้าตาซีดเซียว แถมยังมีอุปนิสัยค่อนข้างขี้อาย เซื่องซึม ขาดความกระตือรือร้น ชอบเก็บตัวอยู่ตามลำพังคนเดียว ไม่ค่อยพูดคุยกับใคร ถามมาคำก็ตอบกลับไปคำ และซ้ำร้ายไปกว่านั้นได้กลายเป็นที่น่าเวทนาสำหรับผู้พบเห็นและรู้จักมักคุ้นก็คือหลวงพ่อจงในวัยเยาว์ท่านมีอาการหูอื้อจนเกือบหนวกรับฟังเสียงต่าง ๆ ไม่ค่อยชัดเจน นัยน์ตาก็ฝ้าฟางมองอะไรแทบไม่เห็น

    แต่ด้านของจิตใจท่านกลับเพียรใฝ่หารสพระธรรม ชอบทำบุญตักบาตรในวันธรรมสวนะอยู่เป็นเนืองนิจ โดยให้บิดามารดาหรือญาติพี่น้องพอไปยังวัดหน้าต่างใน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก
    วบจนกระทั่งอายุของหลวงพ่อจงอายุได้ 12 ปี บิดามารดาของท่านเห็นถึงอุปนิสัยของท่านว่ามีความชอบวัด ติดวัด จึงนำเข้าบรรพชาเป็นสามเณรซะเลย ณ วัดหน้าต่างใน และก็ช่างเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง เพราะปรากฏว่าเมื่อท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรแล้ว โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ที่รุมเร้ามานานแรมปี ไม่ว่าจะเป็นโรคพยาธิ ที่ทำให้เกิดอาการผอมโซ เซื่องซึม หูอื้อ นัยน์ตาฝ้าฟาง ก็ได้หายไปจนหมดสิ้น ท่านกลับกลายเป็นผู้ที่มีสุขภาพพลานามัยดีมาก และท่านก็มีความสุขในสมณเพศนั้น ดุจดั่งเป็นนิมิตหมายให้รู้ว่า หลวงพ่อจงจะต้องครองเพศอยู่ใต้ร่มผ้ากาสาวพัสตร์ไปจนชีวิตจะหาไม่

    ในปี พ.ศ. 2435 เมื่ออายุครบบวช โยมบิดามารดาจึงได้จัดพิธีอุปสมบทให้ ณ พัทธสีมาวัดหน้าต่างใน โดยมี หลวงพ่อสุ่น เจ้าอาวาสวัดบางปลาหมอ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์อินทร์ เจ้าอาวาสวัดหน้าต่างนอก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์โพธิ วัดหน้าต่างใน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "พุทฺธสโรภิกขุ"

    และหลวงพ่อจงก็ได้พนักจำพรรษาอยู่ ณ วัดหน้าต่างใน ศึกษาพระปริยัติธรรมและธรรมสิกขา พร้อมด้วยฝึกฝนในอักษรสมัยทั้งขอมและไทย จากพระอาจารย์เจ้าอาวาสจนมีความรู้ปราดเปรื่องชำนาญ จนใคร ๆ ก็อดสงสัยมิได้ว่า เอ๊ะ ทำไมหลวงพ่อจง มิยังงมโข่งหรืออุ้ยอ้ายอับปัญญาดุจดั่งที่มีบุคลิกอันอ่อนแอ ส่อสำแดงว่าน่าจะเป็นไปในทางทึบ หรือ อับ

    หลวงพ่อจง พลิกความเข้าใจของโยมและวงศ์ญาติให้เป็นการกลับตาลปัตรไปไกลกว่านั้น โดยนอกจากศึกษารู้แจ้งในพระธรรมและภาษาหนังสือจนแตกฉานแล้ว มิช้ามินาน ยังสามารถรับการถ่ายทอดวิทยาการในแขนงว่าด้วยคุณเวทย์วิทยาคมขลัง จากพระอาจารย์โพธิ เจ้าอาวาสวัดหน้าต่างใน ซึ่งท่านเป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง มีผู้ศรัทธาเลื่อมใสไพศาลในยุคนั้น มาได้ขนาดว่าหมดสิ้นพุงความรู้ของพระอาจารย์ และก็มิได้หยุดยั้งแค่นั้น หลวงพ่อจงยังได้พากเพียรแสวงหาความรู้ไม่ขาด รู้ว่าที่ไหนมีพระอาจารย์ดี มีผู้เคารพนับถือมาก ในวิชาหรือเจนบจนในวิทยาการหนึ่งวิทยาการใด ท่านเป็นเสาะแสวงหาหนทางนำตนไปนมัสการน้อมยอมเป็นสานุศิษย์ ศึกษาวิชาอย่างไม่มีท้อถอยไม่มีกลัวความลำบาก ในการต้องบุกป่าฝ่าหนามข้ามทุ่งไกล ๆ ซึ่งสมัยนั้นไปไหนต้องใช้พาหนะเท้าย่ำกันเป็นหลัก

    ต่อมาจึงได้ไปศึกษาเรียนวิชาปฏิบัติกรรมฐานจากพระอาจารย์หลวงพ่อปั้น เกจิอาจารย์ของวัดพิกุล ซึ่งท่านมีชื่อเสียงกิตติศัพท์โด่งดังมากจนสมญาว่า เป็นพระมหาเถระฝ่ายอรัญวาสีผู้ยิ่งใหญ่รูปหนึ่งหมั่นศึกษาและพากเพียรด้วยอิทธิบาทอันแก่กล้าช้านาน

    จนในที่สุด "ทั่ง" ถูกฝนลงเป็นเข็มสำเร็จ กาลต่อมา หลวงพ่อจงจึงได้รับขนานนามเป็นผู้เชี่ยวชาญทางเจริญกรรมฐาน ประเภท อสุภปฏิกูล โดยที่ท่านมีบุคลิกภาพเปี่ยมพร้อมสมบูรณ์ สำหรับการปฏิบัติเจริญภาวนา เหมาะสมกับสภาวะนั้นได้ ด้วยปราศจากอารมณ์หวาดหวั่น หวาดไหว เป็นต้น เปี่ยมพร้อมด้วย มีองค์คุณอันเหมาะสมที่เรียกว่า สัปปายะ (สี่) และมี องค์คุณอันเป็นที่ตั้งของความเพียร (ห้า) ที่เรียกว่า ปธานิยังคะ

    เมื่อได้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมสิกขา และปฏิบัติพระปริยัติธรรมศึกษาพระเวทย์และวิชาการคุณเวทย์วิทยาคม ซึ่งมีความสนใจเป็นพิเศษ เพราะนอกจากมีนิสัยส่วนตัวพอใจแล้ว ยังมีเหตุแวดล้อมจากความรู้สึกชมชื่นและศรัทธาของชาวบ้านชาวเมืองสมัยยุคนั้นให้ความนิยมต่อศาสตร์แขนงนี้ ดังจะเห็นจากมีผู้ถวายความเคารพศรัทธาต่อความเป็นพหูสูต ความยิ่งยงเกรียงไกรในอำนาจฤทธิ์มนต์ขลังของท่านพระครูโพธิ ท่านเจ้าอาวาสวัดหน้าต่างใน ซึ่งครั้งกระนั้นเป็นต้นสังกัดของหลวงพ่อจงจนล่วงผ่านวันเดือนไปหลายรอบปีนักษัตร ตราบจนพระอาจารย์โพธิได้ถึงมรณภาพไปเพราะโรคภัยเบียดเบียนตามอายุขัยของผู้ชราภาพ ประกอบด้วยหลวงพ่อจง เป็นผู้ขึ้นชื่ออยู่ในความรับรู้ของผู้ใกล้ชิด ทั้งใกล้ไกลตลอดมวลหมู่ผู้สนใจเฝ้าสังเกตว่า ได้รับการถ่ายทอดวิทยาการทางเวทย์วิทยาคมมาจากพระอาจารย์โพธิได้อย่างเต็มภาคภูมิ วุฒิที่พระอาจารย์โพธิมีอยู่ แต่นั้นมาบรรดาชาวบ้านก็ให้ความศรัทธาเชื่อมั่นต่อหลวงพ่อจงอย่างท่วมท้น ทำให้ท่านต้องรับภาระหนักในการทำพิธีรดน้ำมนต์ ใช้เวทย์วิทยาคมกระทำพิธีสะเดาะเคราะห์ ให้ฤกษ์งามยามดี บำบัดเหตุมิดีกาลีร้ายนานาประการ ตามแต่จะมีผู้มาอาราธนานิมนต์ให้โปรดจึงกระทำให้ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นเงาตามตัว

     
  2. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    เล่าขานตำนานหลวงพ่อจง เอกอรหันตเถระแห่งเมืองกรุงเก่า ตอน หลวงพ่อจงชำนาญอสุภกรรมฐาน
    17634532_10212605825690275_3924283015854870961_n.jpg
    ในขบวนการใช้อุบายอันแยบคาย อบรมบ่มจิตให้ได้รับความสงบจนบังเกิดเป็นสมาธิและฌาน (สมถะกัมมัฏฐาน หรือเรียกว่าสมถะกรรมฐาน) กับอาการบอรมจนให้ดวงจิตบังเกิดปัญญาที่เรียกว่า วิปัสสนากรรมฐาน (กัมมัฏฐาน) หลวงพ่อจงพอใจชอบใช้ฝึกจิตในแนวทางเรียกว่า อสุภะ

    อสุภะ ตามความหมายก็คือ หมายความถึง สิ่งอันเป็นซากของวัตถุหรือซากร่างปราศจากชีวิต อันไร้ความน่าดู ปราศจากความสวยงามตรงข้ามกลับน่ารังเกียจ น่าเบื่อหน่าย และน่าขยะแขยงสะอิดสะเอียน หลวงพ่อจงพอใจใช้วิธีการ เพ่งอสุภะ เป็นแนวทางอบรมบ่มจิต ก็เพราะได้ความคิดว่า มันเป็นการช่วยให้ตนสามารถมองเห็นชัดด้วยตา และบังเกิดความรู้สึกในใจให้คิดสังเวชอย่างซาบซึ้งถึงความจริงในข้อที่ว่าตนและสรรพสัตว์ เมื่อต้องมีอันต้องตายไปแล้วก็ต้องมีสภาพน่าอเนจอนาถไม่น่าดู ไม่น่ารัก แต่น่าชัง น่ารังเกียจ ทุเรศ อุจาดตา ดังนี้ด้วยกันทั้งนั้นและเป็นสิ่งที่ไม่มีใครหนีพ้น ซึ่งจากข้อคิดนี้ จะทำให้ดวงจิตแห้งแล้งหดหู่ ปราศจากความร่านยินดีในรูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ ปราศจากความหลงงมงาย คิดว่าร่างกายเป็นสิ่งสวยงาม จะได้เป็นเครื่องบรรเทาอัสมิมานะ คือ ความสำคัญผิด เพ้อเห็นไปว่าร่างกายนั้นมันเป็นตัวตนของเขาของเราจริงแท้ ซึ่งความจริงมันมิใช่ ความจริงมันเป็นเพียง อัตตะปราศจากตัวตน เป็นที่รวมอยู่ของธาตุทั้งห้าชั่วครั้งคราว โดยสภาวะปรุงแต่งแวดล้อม ครั้นถึงกาลเวลาก็แตกดับล่วงลับสลายไป ไม่เป็นเขาไม่เป็นเรา ดังนั้น หลงและโลภในรูปรส กลิ่น เสียง

    หลวงพ่อจงชอบเพ่งมอง อสุภะ คือ รูปเน่าเปื่อยของศพที่มีผู้เอามามอบให้ และท่านเก็บไว้ในห้องที่จัดไว้พิเศษโดยเฉพาะอย่างซ่อนเร้น มิให้ประเจิดประเจ้อต่อการรู้เห็นของผู้อื่น ท่านจะใช้เวลายามปลอดและสงัดจากผู้คนเข้าไปในห้องพิเศษพร้อมด้วยดวงเทียนที่มีแสงสว่างเพียงมองเห็น ท่านจะนั่งเฝ้าเพ่งมองดูรูปศพคนตาย ไม่เลือกว่าจะเป็นศพขึ้นอืดจนเป็นน้ำเหลืองหยด มีกลิ่นเหม็น หรือเป็นซากศพแห้งเหี่ยวจนหน้าตาน่าเกลียดเพียงใด ท่านก็จะเฝ้าจ้องมองเพ่งดูอย่างจริงจัง เพ่งมองให้เป็นภาพติดตา จนจำขึ้นใจว่า ศพนั้นท่าทางรูปร่างเป็นอย่างนั้น แห้งเหี่ยวเป็นรอยย่นผิดหน้าตามนุษย์ธรรมดายังงั้นยังงี้ หรือมีน้ำเหลืองหยดเพราะอาการเน่าเปื่อยตรงนั้นตรงนี้ พร้อมกันนั้นก็กระทำจิตใจให้บังเกิดอารมณ์สังเวช ว่ารูปกายที่เกิดมาแล้วก็ต้องถึงวาระมีอันเป็นไปให้เจ็บป่วย ถูกทำร้ายหรือยังเกิดอุบัติเหตุเป็นภัยอันตรายถึงตาย ตายแล้วก็มีอาการน่าอเนจอนาถต่าง ๆ นานา เป็นเช่นนี้เสมอไป ร่างกายหนอ... ชีวิตหนอ... ต่างล้วนเป็นภาพน่าอนาถ น่าสังเวช น่าชิงชัง น่าเบื่อด้วยกันทั้งนั้น

    เมื่อมีผู้สงสัยถามว่า ทำดังนี้และปลงอารมณ์ได้ดังนี้แล้ว จะบังเกิดประโยชน์อะไร หลวงพ่อจงให้คำตอบว่าได้ประโยชน์คือ ทำให้ไม่หลงใหลรักตัวตนว่าเป็นตัวตนของเขาของเรา มันเป็นแค่ชีวิตกายเกิดที่ก่อสารรูปขึ้นได้ด้วยสภาวะแวดล้อมของธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ เช้ารวมตัวกัน ความคิดเห็นแก่ตนเอง เอาเปรียบเบียดเบียนผู้อื่น จะหย่อนหายไปจากสันดานโลภโมโทสัน เป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งขัดเกลาสันดานจิตใจ ให้ผ่องใสสะอาด หากมนุษย์อันเป็นตัวสมมติของกาย เกิดไม่หลงนึกแยกประเภทของกายเกิด ว่านั่นเป็นเขา นี่เป็นเรา ดังนี้แล้ว การอยู่ร่วมกันในสังคม บ้านเมือง ตลอดทั่วโลก ก็จะมีแต่ความสงบสุข ไม่ต้องมีการดิ้นรนจองล้างจองผลาญย่ำยีต่อกันและกัน

    หลวงพ่อจงเป็นผู้มีกำลังหนุนมั่นคงด้วยการใช้แรงอิทธิบาทสี่ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา เข้าปฏิบัติกระทำในกิจการไม่ว่าสิ่งใดที่สนใจ ตลอดจนการท่องบ่นทบทวนวิทยาคมที่พระอาจารย์โพธิ์ประสิทธิ์ประสาทให้ไม่ย่อท้อ ท่านได้พากเพียรกระทำสม่ำเสมออยู่เป็นนิจ ด้วยความมานะแรงกล้า

    ยิ่งนานวันนานคืนล่วงไป ภูมิจิตของท่านก็เพิ่มพลังความชำนาญจนเข้าขั้นนับว่าเป็นผู้ได้ฌานสมาบัติขั้นสูงผู้หนึ่งหลวงพ่อจงเป็นผู้มีบุคลิกเหมาะสมหลายประการ เหมาะสมจะเข้าบำเพ็ญบารมีใฝ่หาสัจธรรม อาทิ

    เป็นผู้มีสัจจะ คือ ผู้ซื่อตรงต่อตนเองและผู้อื่น มีจิตใจปราศจากความกลับกลอก พูดคำไหนเป็นคำนั้น ตั้งใจทำสิ่งใด ด้นดั้นใช้ความพากเพียรทำไปจนปรากฏผลโดยปราศจากยับยั้ง ไม่มีถอยหน้าถอยหลัง

    เป็นผู้เปี่ยมด้วย ทมะ คือ เป็นผู้มีอำนาจใจกล้าแข็ง สามารถยืนหยัดบังคับใจตนเองไว้ในอำนาจการตัดสินปลงใจ ได้อย่างเด็ดขาด

    เป็นผู้ซึ่งพร้อมด้วย จาคะ คือ มีดวงจิตสะอาดบริสุทธิ์ พร้อมจะเสียสละได้ทุกเมื่อ มีความกล้าหาญสามารถทุ่มเทแม้แต่ชีวิตเพื่อเลี่ยงเสียแลกกับประโยชน์ยิ่งใหญ่ ซึ่งหากทำไปแล้วผู้อื่นหรือสาธารณประโยชน์จะพึงได้รับจากการเสียสละนั้น ๆ ของท่าน โดยเฉพาะเมื่อแน่ใจว่าการปฏิบัติตามธรรมะของพระพุทธเจ้าย่อมเป็นเครื่องทำให้จิตใจได้รับความสงบหนีพ้นจากทุกข์ได้ ท่านก็มิเห็นแก่ความลำบากเหนื่อยยาก หรือกลัวเกรงสิ่งใด นอกจากตั้งหน้าบำเพ็ญธรรมนั้น ๆ อยู่อย่างสม่ำเสมอ

    เป็นผู้มีภูมิปัญญา คือ มีความฉลาดสามารถรู้จักสิ่งใด ทำแล้วเป็นคุณงามความดีมีประโยชน์ต่อตนเอง และกับผู้อื่น ควรไม่ควร เป็นไปได้หรือเป็นไปมิได้ ทั้งเป็นผู้ใช้ความฉลาด บ่มเกลานิสัยทั้งของตนและผู้อื่นอย่างไม่ขาดสาย

    เป็นผู้มี ศีล ครบถ้วน ไม่ก่อกรรมสร้างเวรรุกรานรังควานใครให้เดือดร้อน เป็นผู้ใช้ศีลฟอกใจตนเองให้สะอาดประณีตเป็นนิจ แม้แต่คำน้อยไม่เคยตำหนิติเตียนให้ผู้ใดต้องได้รับความสะเทือนใจ เด็กศิษย์วัดขโมยเงินที่เก็บไว้ทำบุญสร้างโบสถ์ ก็ไม่โกรธไม่เอาเรื่อง ตรงข้าม กลับขอร้องมิให้ตำรวจถือผิดเพราะเป็นเรื่องในวัด ส่วนพวกเด็ก ๆ ก็โดนดุเพียงว่า ที่เขาจับพวกเอ็งได้ว่าเป็นคนขโมยเงินของอาตมาไป ก็เพราะเอาไปแล้วไปแบ่งไม่ยุติธรรม อย่าเอาเปรียบ อย่าขัดคอขัดใจกันซิ จะได้ไม่แตกความสามัคคี

    เป็นผู้มีสมาธิและฌาน มั่นคงเป็นพื้นฐาน หลวงพ่อจง สามารถบำเพ็ญฌาน และกระทำบำเพ็ญสมาธิได้อย่างสงบทันที แม้ในท่ามกลางเสียงกระจองอแง

    เป็นผู้มีสุขภาพดี ฉันเป็นเวลา แม้จะนอนไม่เป็นเวลา แต่สามารถลุกขึ้นปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน ตามกำหนดกฎเกณฑ์สม่ำเสมอ มีอำนาจจิตแข็งขัน จวบจนลุล่วงวัย 94 ปี ในปีสุดท้ายที่มรณะเข้ามาเยือนและพาสังขารของท่านไปสู่ความผุพัง ยังคงมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เมื่อเจ็บหนัก รู้ว่าจะไม่รอด ท่านพูดว่า "คราวนี้เขาเอาเราอยู่แน่ อย่างไรเป็นหนีไม่รอด"... จากนั้นก็รอความตายโดยสงบ ไม่บ่นไม่หวั่นไหวอย่างไรทั้งสิ้น
     
  3. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    เล่าขานตำนานหลวงพ่อจง เอกอรหันตเถระแห่งเมืองกรุงเก่า ตอน หลวงพ่อจงชำนาญอสุภกรรมฐาน
    17634532_10212605825690275_3924283015854870961_n.jpg
    ในขบวนการใช้อุบายอันแยบคาย อบรมบ่มจิตให้ได้รับความสงบจนบังเกิดเป็นสมาธิและฌาน (สมถะกัมมัฏฐาน หรือเรียกว่าสมถะกรรมฐาน) กับอาการบอรมจนให้ดวงจิตบังเกิดปัญญาที่เรียกว่า วิปัสสนากรรมฐาน (กัมมัฏฐาน) หลวงพ่อจงพอใจชอบใช้ฝึกจิตในแนวทางเรียกว่า อสุภะ

    อสุภะ ตามความหมายก็คือ หมายความถึง สิ่งอันเป็นซากของวัตถุหรือซากร่างปราศจากชีวิต อันไร้ความน่าดู ปราศจากความสวยงามตรงข้ามกลับน่ารังเกียจ น่าเบื่อหน่าย และน่าขยะแขยงสะอิดสะเอียน หลวงพ่อจงพอใจใช้วิธีการ เพ่งอสุภะ เป็นแนวทางอบรมบ่มจิต ก็เพราะได้ความคิดว่า มันเป็นการช่วยให้ตนสามารถมองเห็นชัดด้วยตา และบังเกิดความรู้สึกในใจให้คิดสังเวชอย่างซาบซึ้งถึงความจริงในข้อที่ว่าตนและสรรพสัตว์ เมื่อต้องมีอันต้องตายไปแล้วก็ต้องมีสภาพน่าอเนจอนาถไม่น่าดู ไม่น่ารัก แต่น่าชัง น่ารังเกียจ ทุเรศ อุจาดตา ดังนี้ด้วยกันทั้งนั้นและเป็นสิ่งที่ไม่มีใครหนีพ้น ซึ่งจากข้อคิดนี้ จะทำให้ดวงจิตแห้งแล้งหดหู่ ปราศจากความร่านยินดีในรูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ ปราศจากความหลงงมงาย คิดว่าร่างกายเป็นสิ่งสวยงาม จะได้เป็นเครื่องบรรเทาอัสมิมานะ คือ ความสำคัญผิด เพ้อเห็นไปว่าร่างกายนั้นมันเป็นตัวตนของเขาของเราจริงแท้ ซึ่งความจริงมันมิใช่ ความจริงมันเป็นเพียง อัตตะปราศจากตัวตน เป็นที่รวมอยู่ของธาตุทั้งห้าชั่วครั้งคราว โดยสภาวะปรุงแต่งแวดล้อม ครั้นถึงกาลเวลาก็แตกดับล่วงลับสลายไป ไม่เป็นเขาไม่เป็นเรา ดังนั้น หลงและโลภในรูปรส กลิ่น เสียง

    หลวงพ่อจงชอบเพ่งมอง อสุภะ คือ รูปเน่าเปื่อยของศพที่มีผู้เอามามอบให้ และท่านเก็บไว้ในห้องที่จัดไว้พิเศษโดยเฉพาะอย่างซ่อนเร้น มิให้ประเจิดประเจ้อต่อการรู้เห็นของผู้อื่น ท่านจะใช้เวลายามปลอดและสงัดจากผู้คนเข้าไปในห้องพิเศษพร้อมด้วยดวงเทียนที่มีแสงสว่างเพียงมองเห็น ท่านจะนั่งเฝ้าเพ่งมองดูรูปศพคนตาย ไม่เลือกว่าจะเป็นศพขึ้นอืดจนเป็นน้ำเหลืองหยด มีกลิ่นเหม็น หรือเป็นซากศพแห้งเหี่ยวจนหน้าตาน่าเกลียดเพียงใด ท่านก็จะเฝ้าจ้องมองเพ่งดูอย่างจริงจัง เพ่งมองให้เป็นภาพติดตา จนจำขึ้นใจว่า ศพนั้นท่าทางรูปร่างเป็นอย่างนั้น แห้งเหี่ยวเป็นรอยย่นผิดหน้าตามนุษย์ธรรมดายังงั้นยังงี้ หรือมีน้ำเหลืองหยดเพราะอาการเน่าเปื่อยตรงนั้นตรงนี้ พร้อมกันนั้นก็กระทำจิตใจให้บังเกิดอารมณ์สังเวช ว่ารูปกายที่เกิดมาแล้วก็ต้องถึงวาระมีอันเป็นไปให้เจ็บป่วย ถูกทำร้ายหรือยังเกิดอุบัติเหตุเป็นภัยอันตรายถึงตาย ตายแล้วก็มีอาการน่าอเนจอนาถต่าง ๆ นานา เป็นเช่นนี้เสมอไป ร่างกายหนอ... ชีวิตหนอ... ต่างล้วนเป็นภาพน่าอนาถ น่าสังเวช น่าชิงชัง น่าเบื่อด้วยกันทั้งนั้น

    เมื่อมีผู้สงสัยถามว่า ทำดังนี้และปลงอารมณ์ได้ดังนี้แล้ว จะบังเกิดประโยชน์อะไร หลวงพ่อจงให้คำตอบว่าได้ประโยชน์คือ ทำให้ไม่หลงใหลรักตัวตนว่าเป็นตัวตนของเขาของเรา มันเป็นแค่ชีวิตกายเกิดที่ก่อสารรูปขึ้นได้ด้วยสภาวะแวดล้อมของธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ เช้ารวมตัวกัน ความคิดเห็นแก่ตนเอง เอาเปรียบเบียดเบียนผู้อื่น จะหย่อนหายไปจากสันดานโลภโมโทสัน เป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งขัดเกลาสันดานจิตใจ ให้ผ่องใสสะอาด หากมนุษย์อันเป็นตัวสมมติของกาย เกิดไม่หลงนึกแยกประเภทของกายเกิด ว่านั่นเป็นเขา นี่เป็นเรา ดังนี้แล้ว การอยู่ร่วมกันในสังคม บ้านเมือง ตลอดทั่วโลก ก็จะมีแต่ความสงบสุข ไม่ต้องมีการดิ้นรนจองล้างจองผลาญย่ำยีต่อกันและกัน

    หลวงพ่อจงเป็นผู้มีกำลังหนุนมั่นคงด้วยการใช้แรงอิทธิบาทสี่ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา เข้าปฏิบัติกระทำในกิจการไม่ว่าสิ่งใดที่สนใจ ตลอดจนการท่องบ่นทบทวนวิทยาคมที่พระอาจารย์โพธิ์ประสิทธิ์ประสาทให้ไม่ย่อท้อ ท่านได้พากเพียรกระทำสม่ำเสมออยู่เป็นนิจ ด้วยความมานะแรงกล้า

    ยิ่งนานวันนานคืนล่วงไป ภูมิจิตของท่านก็เพิ่มพลังความชำนาญจนเข้าขั้นนับว่าเป็นผู้ได้ฌานสมาบัติขั้นสูงผู้หนึ่งหลวงพ่อจงเป็นผู้มีบุคลิกเหมาะสมหลายประการ เหมาะสมจะเข้าบำเพ็ญบารมีใฝ่หาสัจธรรม อาทิ

    เป็นผู้มีสัจจะ คือ ผู้ซื่อตรงต่อตนเองและผู้อื่น มีจิตใจปราศจากความกลับกลอก พูดคำไหนเป็นคำนั้น ตั้งใจทำสิ่งใด ด้นดั้นใช้ความพากเพียรทำไปจนปรากฏผลโดยปราศจากยับยั้ง ไม่มีถอยหน้าถอยหลัง

    เป็นผู้เปี่ยมด้วย ทมะ คือ เป็นผู้มีอำนาจใจกล้าแข็ง สามารถยืนหยัดบังคับใจตนเองไว้ในอำนาจการตัดสินปลงใจ ได้อย่างเด็ดขาด

    เป็นผู้ซึ่งพร้อมด้วย จาคะ คือ มีดวงจิตสะอาดบริสุทธิ์ พร้อมจะเสียสละได้ทุกเมื่อ มีความกล้าหาญสามารถทุ่มเทแม้แต่ชีวิตเพื่อเลี่ยงเสียแลกกับประโยชน์ยิ่งใหญ่ ซึ่งหากทำไปแล้วผู้อื่นหรือสาธารณประโยชน์จะพึงได้รับจากการเสียสละนั้น ๆ ของท่าน โดยเฉพาะเมื่อแน่ใจว่าการปฏิบัติตามธรรมะของพระพุทธเจ้าย่อมเป็นเครื่องทำให้จิตใจได้รับความสงบหนีพ้นจากทุกข์ได้ ท่านก็มิเห็นแก่ความลำบากเหนื่อยยาก หรือกลัวเกรงสิ่งใด นอกจากตั้งหน้าบำเพ็ญธรรมนั้น ๆ อยู่อย่างสม่ำเสมอ

    เป็นผู้มีภูมิปัญญา คือ มีความฉลาดสามารถรู้จักสิ่งใด ทำแล้วเป็นคุณงามความดีมีประโยชน์ต่อตนเอง และกับผู้อื่น ควรไม่ควร เป็นไปได้หรือเป็นไปมิได้ ทั้งเป็นผู้ใช้ความฉลาด บ่มเกลานิสัยทั้งของตนและผู้อื่นอย่างไม่ขาดสาย

    เป็นผู้มี ศีล ครบถ้วน ไม่ก่อกรรมสร้างเวรรุกรานรังควานใครให้เดือดร้อน เป็นผู้ใช้ศีลฟอกใจตนเองให้สะอาดประณีตเป็นนิจ แม้แต่คำน้อยไม่เคยตำหนิติเตียนให้ผู้ใดต้องได้รับความสะเทือนใจ เด็กศิษย์วัดขโมยเงินที่เก็บไว้ทำบุญสร้างโบสถ์ ก็ไม่โกรธไม่เอาเรื่อง ตรงข้าม กลับขอร้องมิให้ตำรวจถือผิดเพราะเป็นเรื่องในวัด ส่วนพวกเด็ก ๆ ก็โดนดุเพียงว่า ที่เขาจับพวกเอ็งได้ว่าเป็นคนขโมยเงินของอาตมาไป ก็เพราะเอาไปแล้วไปแบ่งไม่ยุติธรรม อย่าเอาเปรียบ อย่าขัดคอขัดใจกันซิ จะได้ไม่แตกความสามัคคี

    เป็นผู้มีสมาธิและฌาน มั่นคงเป็นพื้นฐาน หลวงพ่อจง สามารถบำเพ็ญฌาน และกระทำบำเพ็ญสมาธิได้อย่างสงบทันที แม้ในท่ามกลางเสียงกระจองอแง

    เป็นผู้มีสุขภาพดี ฉันเป็นเวลา แม้จะนอนไม่เป็นเวลา แต่สามารถลุกขึ้นปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน ตามกำหนดกฎเกณฑ์สม่ำเสมอ มีอำนาจจิตแข็งขัน จวบจนลุล่วงวัย 94 ปี ในปีสุดท้ายที่มรณะเข้ามาเยือนและพาสังขารของท่านไปสู่ความผุพัง ยังคงมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เมื่อเจ็บหนัก รู้ว่าจะไม่รอด ท่านพูดว่า "คราวนี้เขาเอาเราอยู่แน่ อย่างไรเป็นหนีไม่รอด"... จากนั้นก็รอความตายโดยสงบ ไม่บ่นไม่หวั่นไหวอย่างไรทั้งสิ้น
     
  4. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    เล่าขานตำนานหลวงพ่อจง เอกอรหันตเถระแห่งเมืองกรุงเก่า ตอน พระเวทย์หลวงพ่อจงช่วยทหารไทยในสงครามโลก
    17553478_10212605853210963_3841126200405097892_n.jpg 17553478_10212605853210963_3841126200405097892_n.jpg
    หลวงพ่อจงท่านเป็นผู้รู้พระปริยัติธรรมตามฐานันดร และตามความต้องการเรียนรู้ให้เข้าใจในพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อใช้ปฏิบัติให้บังเกิดความสงบสุข และบรรลุเข้าสู่วิถีแห่งความพ้นทุกข์ พร้อมด้วยใช้เป็นเครื่องกล่อมเกลาบรรเทาทุกข์ให้แก่ผู้อื่นตามควรแก่ฐานานุรูป เหมาะสมตามกาลเทศะ...ตลอดจนได้เป็นผู้รอบรู้เจนจบในทางวิทยาคม ซึ่งพระอาจารย์โพธิผู้เป็นพระอาจารย์ได้ถ่ายทอดไว้ให้และท่านก็สามารถนำไปใช้ช่วยปลดทุกข์ทางกายทางใจแก่ปวงชนมากหลาย แม้แต่ในมหาสงครามโลกครั้งที่สอง สมรภูมิอินโดจีน และสมรภูมิรบในเกาหลี อิทธิบารมีของหลวงพ่อจง ก็ได้สอดแทรกมีบทบาทช่วยให้เหล่าทหารหาญของชาติไทยทั้งสามกองทัพบังเกิดพลังใจใหญ่หลวง กระทำการรบได้อย่างห้าวหาญ มีชื่อเสียงเกรียงไกรไพศาล เป็นที่หวาดหวั่นยั่นระย่อต่อเหล่าข้าศึกไม่น้อย

    เมื่อเผชิญกับการรับรุกบุกเข้าปะทะหมายกวาดล้างของทหารไทย ข้าศึกก็ล้มตายอย่างย่อยยับหรือถอยหนีโดยไม่คิดสู้บ่อยที่สุด...แม้แต่ในวงล้อมของฝูงข้าศึก ที่จอมทัพฝ่ายพันธมิตรคาดหมายว่าอย่างไรเสียกองร้อยทหารไทยคงไม่มีทางรอดเหลือกลับฐานทัพ เพราะคำนวณจากจำนวนทหารข้าศึกที่ล้อมทหารไทยไว้กว่าห้าชั้น ด้วยกำลังรบที่มากกว่าเป็นสิบ ๆ เท่า ไม่มีทางที่จอมทัพฝ่ายพันธมิตรซึ่งทัพไทยร่วมด้วยจะคาดคิดเป็นอย่างอื่นไปได้ และไม่น่าจะเป็นการคาดคะเนที่ผิดไปเลย

    แต่...ทหารไทยผู้ห้าวหาญก็สามารถต่อสู้กับข้าศึกษาทั้งทางพื้นดินและหลบระเบิดที่เครื่องบินข้าศึกทิ้งปูพรมลงมาไม่ขาดสาย พร้อมกับต้องบุกฝ่าพายุปืนกลหนักเบาจากวงล้อมห้าชั้นทั้งสี่ทิศ หลุดรอดออกมาได้เกือบครึ่งจำนวน... ทหารไทยเลยถูกลือว่าเป็นกองทัพมัจจุราช กองทัพมหากาฬ กองทัพผี สารพัดจะถูกขนานสมญานาม

    มันเป็นการรบในยุทธวิธีตีฝ่าที่ใจห้าวกร้าวแกร่งอย่างอัศจรรย์เหมือนฝัน... จอมทัพพันธมิตรรับรู้ข่าวแสนจะพึงปิติปราโมทย์ด้วยอาการตกตะลึง ต้องสั่นหัวและถามซ้ำเป็นสองสามซ้ำว่า นั่นเป็นรายงานข่าวรับฟังเชื่อได้รึ ? แต่เมื่อเป็นข่าวชัดเจนมีการยืนยันเป็นหลักฐาน จอมทัพพันธมิตรภาคเอเซียก็ต้องเชื่อและอุทานชมลั่น

    ถึงขนาดจอมทัพแม๊คอาเธอร์ ขอพบผู้บังคับบัญชากองทัพ เพราะอยากเห็นตัวเหล่ายอดทหารไทยผู้เกรียงไกร และจอมทัพแม๊คอาเธอร์ก็ได้รู้ว่าเลือดไทยทุกคนระอุอ้าวไปด้วยความห้าวเหี้ยมหาญ คิดเชื่อมั่นกันอยู่แต่ว่า ถ้ายิง ต้องยิงให้ถูกข้าศึก แต่ข้าศึกจะยิงไม่ถูก เพราะพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระอริยสงฆ์เจ้า แห่งบวรพุทธศาสนาท่านคุ้มครอง

    ธรรมต้องชนะอธรรมไม่มีปัญหา แต่อย่างไรก็ดี ทหารไทยที่รอดตายเกือบครึ่ง ปรากฏว่า ส่วนใหญ่บ้างมีตะกรุดชุด 16 ดอก บ้างมีตะกรุดโทน บ้างก็ใช้เสื้อพระยันต์ราชสีห์สีแดงบ้างมีพระทุ่งเศรษฐีดำใหญ่ของหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก และจำนวนทหารผู้รอดตายเหล่านั้นเชื่อว่าบรรดาเครื่องรางของขลังที่พวกตนมั่นใจในคุณขลังเหล่านี้มีส่วนช่วยชีวิตของตน

    ทหารรุ่นศึกอินโดจีน และต่อมาในมหาสงครามโลก จนกระทั่งศึกษาเกาหลี ส่วนมากมีความศรัทธานิยมบูชาสักการะต่อตะกรุดโทน ตะกรุดชุด 16 ดอก และเสื้อยันต์แดงราชสีห์ นำติดตัวเข้าสมรภูมิเพื่อเป็นการบำรุงขวัญ

    กองทัพไทยทั้งสามเหล่า ขึ้นชื่อว่าเป็นที่รับรู้ของกองทัพข้าศึก ไม่ว่าครั้งอินโดจีน มหาสงครามโลกครั้งที่สอง หรือสงครามเกาหลี ว่าเป็นทหารหาญที่ทำการรบเก่งกล้าที่สุด ตายและเสียหายน้อยที่สุด เฉพาะขวัญของทหารได้รับการยกย่องว่าเลิศที่สุด

    มนต์ขลังและวิทยาคม เป็นเครื่องประสิทธิ์ประสาทให้ผู้ศรัทธาสักการะ แคล้วคลาด ยิงไม่ออก ฟันไม่เข้า ตีไม่แตก และบ้างเป็นมหาลาภ มหาเสน่ห์ มหานิยม ได้จริงจังแค่ไหนเพียงไรหรือไม่ หากจะพิสูจน์กันจริงจัง บางทีอาจจะกระทำได้ยาก เพราะอุปมาดุจดั่งเป็นอิทธิพลหรืออำนาจลึกลับอะไรทำนองนั้น จึงยากจะหาผู้ยืนยันท้าพิสูจน์เป็นผลแตกหัก..แต่อย่างไรก็ตาม ความศรัทธา ความเชื่อมั่นในอิทธิพลบารมี ของความขลังศักดิ์สิทธิ์ในประการเหล่านี้ ก็มีอยู่ในความรู้สึกอย่างมั่นคงของชาวไทย ไม่เลือกชั้น วรรณะ มานานกว่าพัน ๆ ปี...ฉะนั้นใครจะเชื่อหรือไม่ ก็แล้วแต่จิตใจของคนนั้น
     
  5. ครึ่งชีวิต

    ครึ่งชีวิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,178
    ค่าพลัง:
    +15,103
    ครูอาจาริยัง วันทามิ
     
  6. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    เล่าขานตำนานหลวงพ่อจง เอกอรหันตเถระแห่งเมืองกรุงเก่า ตอน หลวงพ่อจงจะไปนมัสการพระมหาเจดีย์ชเวดากอง
    17626218_10212619305387259_7764154875000605637_n.jpg 17626218_10212619305387259_7764154875000605637_n.jpg 17626218_10212619305387259_7764154875000605637_n.jpg
    สมัยเมื่อเป็นภิกษุในระยะสิบพรรษาแรก เป็นระยะกำลังอยู่ในวัยศึกษาหาความรู้ หลวงพ่อจงเป็นผู้มีมานะพยายาม และกระตือรือร้นใคร่เป็นพหูสูตอยู่เสมอ เมื่อรู้ว่ามีพระอาจารย์ทรงวิทยาคุณดีเด่นในทางใดก็ขวนขวายไปนมัสการขอน้อมยอมเป็นศิษย์ และหลังจากได้รับการถ่ายทอดวิทยาอาคมจากพระอาจารย์โพธิจนชำนาญ ต่อมาท่านเจ้าอาวาสวัดหน้าต่างนอก คือหลวงพ่ออินทร์ลาสิกขาบทไปประกอบอาชีพทางฆราวาส ชาวบ้านส่วนมากของตำบลนั้นและใกล้เคียง ซึ่งต่างเริ่มมองเห็นว่า ภิกษุจงเป็นผู้ทรงสมถะ สำรวม พร้อมทั้งมีคุณสมบัติแห่งความเป็นอริยสงฆ์ดีเด่นหลายประการประกอบทั้งเป็นศิษย์เอกของหลวงพ่อโพธิ วัดหน้าต่างใน ซึ่งมีผู้เลื่อมใสศรัทธาในวิทยาคุณของท่านมาก จึงพากันนิมนต์ให้เป็นเจ้าอาวาสเสียที่วัดหน้าต่างนอกแทนพระอธิการอินทร์ (สมัยนั้น ชาวบ้านมีสิทธิมีเสียงเลือกตั้งเจ้าอาวาสได้เอง)

    หลวงพ่อจงเมื่อเป็นเจ้าอาวาสวัดหน้าต่างนอกแล้ว ก็ได้พยายามปฏิบัติตนตามฐานะ ได้รับยกย่องเขยิบฐานะอย่างเหมาะสม นอกจากบริหารภารกิจอันเป็นของสงฆ์และของวัด อันพึงกระทำตามสิกขาบทเฉพาะที่เกี่ยวกับชาวบ้าน ก็ได้สำแดงจิตอัธยาศัย แผ่ไมตรีโอบเอื้ออารีต่อบุคคลไม่เลือกหน้า ไม่ว่าใคร จะยากดี มีจนหรือเป็นคนถ่อยชั่ว จนขึ้นชื่อว่าพาลชน จะเข้าหาหรือขอร้องให้ช่วยงานกิจธุระหรือจะช่วยทุกข์ หรือนิมนต์ไปโปรดที่ไหน ไม่ว่าหนทางใกล้ไกล ท่านเป็นยอมรับยินดีกระทำธุระปลดเปลื้องบำเพ็ญกรณีให้ผู้ขอได้รับความสมปรารถนา ตามปัญญาของท่านโดยควรแก่ฐานานุรูป และกาลเทศะของผู้ขอเสมอไป ด้วยความเต็มใจยิ้มแย้มแจ่มใส ท่านไม่เคยปฏิเสธหรือผัดผ่อน มิเคยสำแดงกิริยาการอ้ำอึ้งไม่พอใจ หรือขึ้นโกรธกระทำแง่เงื่อนอิดออดอย่างไร และแม้แต่การกินอยู่ (ฉัน) ท่านไม่เคยบ่นไม่เคยพูดว่า อยากฉันโน่นนี่ ถึงเวลาใครถวายอะไรให้ฉัน ก็ฉันจนอิ่มตามความพอใจไม่มีอาการผิดปกติ

    ต่อมาราวอายุได้ 30 เศษ ภายหลังจากที่ได้เคยเดินทางบุกดงรกชัฏท่องป่า ข้ามภูเขา ห้วย ละหานเหว ไปกระทำนมัสการบูชารอยพระพุทธบาท และเจดีย์สำคัญทุกแห่งในเมืองไทยแล้ว หลวงพ่อจงได้ยินเขาเล่าว่าประเทศพม่ามีเจดีย์สำคัญสูงใหญ่ คือพระมหาเจดีย์ชะเวดากอง ท่านก็เกิดความกระตือรือร้นใคร่จะได้ไปนมัสการทันที แต่เมื่อได้ปรารภเรื่องนี้ให้ญาติ เพื่อนภิกษุ และสงฆ์ผู้ใหญ่ฟังแล้ว ส่วนมากทักท้วงให้ระงับยับยั้ง มิอยากให้ไป ต่างอ้างเหตุผลว่าทางมันไกลนัก อีกอย่างเป็นเมืองต่างด้าวพูดกันไม่รู้เรื่อง ประการสำคัญคือถนนหนทางที่จะไปก็ไม่มีเป็นเส้นสายแน่นอน นอกจากจะต้องเดินวกเวี้ยวเลี้ยวลัดและมุดลอดไปตามดงทึบ หรือป่าเถาวัลย์ ไม้พุ่มไม้เลื้อยนานาชนิด

    ด่านแรกสำคัญที่สุดก็คือจะต้องบุกฝ่าไปในดงพญาเย็น ดงพญาไฟ ซึ่งครั้งกระนั้นรกชัฎ ยามร้อนก็ร้อนจัด ยามเย็นก็เย็นยะเยือก และชื้นแฉะ จนได้รับสมญาขนานนามเป็นดงผีห่า ผู้เดินทางผ่านดงยิ่งใหญ่ทั้งสองซึ่งมีระยะยาวนับเป็นร้อย ๆ กิโลเมตร มีสภาพถูกปกคลุมไปด้วยไม้ใหญ่เป็นดงทึกจนมองไม่เห็นแสงแดด เต็มไปด้วยไม้เลื้อยพัวพันกันเป็นพืด เหมือนแนวกำแพงชั้นแล้วชั้นเล่าไม่มีที่สิ้นสุด นอกจากนี้ก็เต็มไปด้วยหินแหลมหินคม โขดเขา หุบเหวใหญ่น้อย เต็มไปด้วยสรรพสัตว์ร้ายทั้งทวิบาท จตุบาท กับอสรพิษสัตว์เลื้อยคลานร้อยแปดพันอย่าง ซึ่งหากพลั้งเผลอปราศจากระวังพริบตาเดียว ก็เท่ากับเอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่า ยิ่งกว่านั้น ในเรื่องหมอเรื่องยา หลวงพ่อจงก็ปราศจากความรู้ ผู้จะเป็นเพื่อนเดินทางไปด้วยก็เช่นกัน ฉะนั้นแม้จะรอดจากเขี้ยวเล็บ สัตว์จตุบาทไหนเลยจะรอดจากโรคภัย โดยเฉพาะจากดงใหญ่มหากาฬ พญาเย็น-พญาไฟ ซึ่งขึ้นชื่อกระฉ่อนว่า เป็นดงผีห่ามหาประลัยไปพ้น

    ใครจะชักแม่น้ำทั้งห้ากีดกัน ขัดคออย่างไรก็ไม่เป็นผล... หลวงพ่อจงไม่เถียง ไม่แม้แต่จะเหตุผลใดเข้าหักร้างข้อแย้ง เป็นแต่เพียงหัวเราะ หึ หึ หึ ตีหน้าตาเสมือนมิได้แยแสต่อสรรพสิ่งที่น่ากลัวสยดสยอง ตามคำบอกเล่าเหล่านั้นแม้แต่น้อย คำพูดของท่าน พูดสั้น ๆ ห้วน ๆ ตามนิสัยซึ่งผู้ฟัง ฟังแล้วรู้สึกได้ทันทีว่า ลงพูดยังงั้นเอาช้างฉุดไว้ก็ฉุดไม่อยู่ ท่านว่า "ไม่เป็นไรน่า ทั้งฉันก็ศรัทธาอยากไปจริง ๆ ด้วย"

    เมื่อปณิธานมั่นคงไม่เอนเอียงไม่ทรุดต่ำต่อเหตุผลของใคร ในใจท่านแน่วแน่เป็นประการฉะนี้ การทักท้วงทัดทานมิว่าด้วยเหตุผลน่า หวั่นไหวอย่างใด ก็ไม่ทำให้ท่านเอนเอียงย่อท้อถอยหลัง หลวงพ่อจงปักหลักเจตนาของท่านไม่มีแคลนคลอน ตั้งจิตจะไปนมัสการพุทธเจดีย์ชะเวดากอง ไม่ว่าอยู่พม่าหรือมุมใดของโลกก็ต้องไปให้ถึงจนได้ เพื่อกระทำไตรสรณะคมน์สักการะให้สมศรัทธาซึ่งจงใจใฝ่ฝันไว้
     
  7. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    เล่าขานตำนานหลวงพ่อจง เอกอรหันตเถระแห่งเมืองกรุงเก่า ตอน หลวงพ่อจงจะไปนมัสการพระมหาเจดีย์ชเวดากอง
    17626218_10212619305387259_7764154875000605637_n.jpg 17626218_10212619305387259_7764154875000605637_n.jpg 17626218_10212619305387259_7764154875000605637_n.jpg
    สมัยเมื่อเป็นภิกษุในระยะสิบพรรษาแรก เป็นระยะกำลังอยู่ในวัยศึกษาหาความรู้ หลวงพ่อจงเป็นผู้มีมานะพยายาม และกระตือรือร้นใคร่เป็นพหูสูตอยู่เสมอ เมื่อรู้ว่ามีพระอาจารย์ทรงวิทยาคุณดีเด่นในทางใดก็ขวนขวายไปนมัสการขอน้อมยอมเป็นศิษย์ และหลังจากได้รับการถ่ายทอดวิทยาอาคมจากพระอาจารย์โพธิจนชำนาญ ต่อมาท่านเจ้าอาวาสวัดหน้าต่างนอก คือหลวงพ่ออินทร์ลาสิกขาบทไปประกอบอาชีพทางฆราวาส ชาวบ้านส่วนมากของตำบลนั้นและใกล้เคียง ซึ่งต่างเริ่มมองเห็นว่า ภิกษุจงเป็นผู้ทรงสมถะ สำรวม พร้อมทั้งมีคุณสมบัติแห่งความเป็นอริยสงฆ์ดีเด่นหลายประการประกอบทั้งเป็นศิษย์เอกของหลวงพ่อโพธิ วัดหน้าต่างใน ซึ่งมีผู้เลื่อมใสศรัทธาในวิทยาคุณของท่านมาก จึงพากันนิมนต์ให้เป็นเจ้าอาวาสเสียที่วัดหน้าต่างนอกแทนพระอธิการอินทร์ (สมัยนั้น ชาวบ้านมีสิทธิมีเสียงเลือกตั้งเจ้าอาวาสได้เอง)

    หลวงพ่อจงเมื่อเป็นเจ้าอาวาสวัดหน้าต่างนอกแล้ว ก็ได้พยายามปฏิบัติตนตามฐานะ ได้รับยกย่องเขยิบฐานะอย่างเหมาะสม นอกจากบริหารภารกิจอันเป็นของสงฆ์และของวัด อันพึงกระทำตามสิกขาบทเฉพาะที่เกี่ยวกับชาวบ้าน ก็ได้สำแดงจิตอัธยาศัย แผ่ไมตรีโอบเอื้ออารีต่อบุคคลไม่เลือกหน้า ไม่ว่าใคร จะยากดี มีจนหรือเป็นคนถ่อยชั่ว จนขึ้นชื่อว่าพาลชน จะเข้าหาหรือขอร้องให้ช่วยงานกิจธุระหรือจะช่วยทุกข์ หรือนิมนต์ไปโปรดที่ไหน ไม่ว่าหนทางใกล้ไกล ท่านเป็นยอมรับยินดีกระทำธุระปลดเปลื้องบำเพ็ญกรณีให้ผู้ขอได้รับความสมปรารถนา ตามปัญญาของท่านโดยควรแก่ฐานานุรูป และกาลเทศะของผู้ขอเสมอไป ด้วยความเต็มใจยิ้มแย้มแจ่มใส ท่านไม่เคยปฏิเสธหรือผัดผ่อน มิเคยสำแดงกิริยาการอ้ำอึ้งไม่พอใจ หรือขึ้นโกรธกระทำแง่เงื่อนอิดออดอย่างไร และแม้แต่การกินอยู่ (ฉัน) ท่านไม่เคยบ่นไม่เคยพูดว่า อยากฉันโน่นนี่ ถึงเวลาใครถวายอะไรให้ฉัน ก็ฉันจนอิ่มตามความพอใจไม่มีอาการผิดปกติ

    ต่อมาราวอายุได้ 30 เศษ ภายหลังจากที่ได้เคยเดินทางบุกดงรกชัฏท่องป่า ข้ามภูเขา ห้วย ละหานเหว ไปกระทำนมัสการบูชารอยพระพุทธบาท และเจดีย์สำคัญทุกแห่งในเมืองไทยแล้ว หลวงพ่อจงได้ยินเขาเล่าว่าประเทศพม่ามีเจดีย์สำคัญสูงใหญ่ คือพระมหาเจดีย์ชะเวดากอง ท่านก็เกิดความกระตือรือร้นใคร่จะได้ไปนมัสการทันที แต่เมื่อได้ปรารภเรื่องนี้ให้ญาติ เพื่อนภิกษุ และสงฆ์ผู้ใหญ่ฟังแล้ว ส่วนมากทักท้วงให้ระงับยับยั้ง มิอยากให้ไป ต่างอ้างเหตุผลว่าทางมันไกลนัก อีกอย่างเป็นเมืองต่างด้าวพูดกันไม่รู้เรื่อง ประการสำคัญคือถนนหนทางที่จะไปก็ไม่มีเป็นเส้นสายแน่นอน นอกจากจะต้องเดินวกเวี้ยวเลี้ยวลัดและมุดลอดไปตามดงทึบ หรือป่าเถาวัลย์ ไม้พุ่มไม้เลื้อยนานาชนิด

    ด่านแรกสำคัญที่สุดก็คือจะต้องบุกฝ่าไปในดงพญาเย็น ดงพญาไฟ ซึ่งครั้งกระนั้นรกชัฎ ยามร้อนก็ร้อนจัด ยามเย็นก็เย็นยะเยือก และชื้นแฉะ จนได้รับสมญาขนานนามเป็นดงผีห่า ผู้เดินทางผ่านดงยิ่งใหญ่ทั้งสองซึ่งมีระยะยาวนับเป็นร้อย ๆ กิโลเมตร มีสภาพถูกปกคลุมไปด้วยไม้ใหญ่เป็นดงทึกจนมองไม่เห็นแสงแดด เต็มไปด้วยไม้เลื้อยพัวพันกันเป็นพืด เหมือนแนวกำแพงชั้นแล้วชั้นเล่าไม่มีที่สิ้นสุด นอกจากนี้ก็เต็มไปด้วยหินแหลมหินคม โขดเขา หุบเหวใหญ่น้อย เต็มไปด้วยสรรพสัตว์ร้ายทั้งทวิบาท จตุบาท กับอสรพิษสัตว์เลื้อยคลานร้อยแปดพันอย่าง ซึ่งหากพลั้งเผลอปราศจากระวังพริบตาเดียว ก็เท่ากับเอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่า ยิ่งกว่านั้น ในเรื่องหมอเรื่องยา หลวงพ่อจงก็ปราศจากความรู้ ผู้จะเป็นเพื่อนเดินทางไปด้วยก็เช่นกัน ฉะนั้นแม้จะรอดจากเขี้ยวเล็บ สัตว์จตุบาทไหนเลยจะรอดจากโรคภัย โดยเฉพาะจากดงใหญ่มหากาฬ พญาเย็น-พญาไฟ ซึ่งขึ้นชื่อกระฉ่อนว่า เป็นดงผีห่ามหาประลัยไปพ้น

    ใครจะชักแม่น้ำทั้งห้ากีดกัน ขัดคออย่างไรก็ไม่เป็นผล... หลวงพ่อจงไม่เถียง ไม่แม้แต่จะเหตุผลใดเข้าหักร้างข้อแย้ง เป็นแต่เพียงหัวเราะ หึ หึ หึ ตีหน้าตาเสมือนมิได้แยแสต่อสรรพสิ่งที่น่ากลัวสยดสยอง ตามคำบอกเล่าเหล่านั้นแม้แต่น้อย คำพูดของท่าน พูดสั้น ๆ ห้วน ๆ ตามนิสัยซึ่งผู้ฟัง ฟังแล้วรู้สึกได้ทันทีว่า ลงพูดยังงั้นเอาช้างฉุดไว้ก็ฉุดไม่อยู่ ท่านว่า "ไม่เป็นไรน่า ทั้งฉันก็ศรัทธาอยากไปจริง ๆ ด้วย"

    เมื่อปณิธานมั่นคงไม่เอนเอียงไม่ทรุดต่ำต่อเหตุผลของใคร ในใจท่านแน่วแน่เป็นประการฉะนี้ การทักท้วงทัดทานมิว่าด้วยเหตุผลน่า หวั่นไหวอย่างใด ก็ไม่ทำให้ท่านเอนเอียงย่อท้อถอยหลัง หลวงพ่อจงปักหลักเจตนาของท่านไม่มีแคลนคลอน ตั้งจิตจะไปนมัสการพุทธเจดีย์ชะเวดากอง ไม่ว่าอยู่พม่าหรือมุมใดของโลกก็ต้องไปให้ถึงจนได้ เพื่อกระทำไตรสรณะคมน์สักการะให้สมศรัทธาซึ่งจงใจใฝ่ฝันไว้
     
  8. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    เล่าขานตำนานหลวงพ่อจง เอกอรหันตเถระแห่งเมืองกรุงเก่า ตอน เริ่มออกธุดงค์
    17634356_10212619327067801_9116623470386014997_n.jpg
    และในราวกลางปีพุทธศก 2450 หลวงพ่อจงพร้อมด้วยย่ามสองย่ามยาวศอกเศษ มีเครื่องใช้ไม้สอยที่จำเป็นกับตัวยาประเภทแก้ปวดท้อง บำรุงธาตุ ห้ามเลือด ไม้ขีดไฟ เทียนไข และกระป๋องตักน้ำเล็ก ๆ พร้อมด้วยกลดสำหรับกางนอน ในขณะธุดงค์ได้ออกเดินจาริกด้วยเท้าเปล่า โดยลำพังองค์เดียวจากวัดหน้าต่างนอกมุ่งหน้าไปสู่วัดพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี และที่นี่ท่านก็ได้พระภิกษุผู้มีจิตศรัทธาขอติดตามไปอีกสององค์ จากนั้นเมื่อเดินไปถึงชายแดนลพบุรี ซึ่งเป็นทางออกสู่ดงพญาเย็น ดงพญาไฟ ก็ได้ภิกษุเพิ่มอีกสององค์ร่วมเดินทางไปด้วย รวมเป็นห้าองค์ทั้งหลวงพ่อจง และทั้งห้าองค์ก็ไม่มีศิษย์แม้แต่คนเดียวที่จะติดตามไปรับใช้ปฏิบัติวัฏฐาก

    ตั้งแต่สระบุรีเข้าดงพญาเย็น ดงพญาไฟ ต้องใช้เวลาถึงสี่วันกว่าจะผ่านไปได้ เพราะหนทางเดินนั้นขวางกั้นไปด้วยอุปสรรค บางแห่งหนาแน่นไปด้วยดงหญ้าและเถาวัลย์รกทึบ ยิ่งกว่านั้นบางตอนก็ต้องเดินผ่านห้วยลึกและหุบเหว ซึ่งมองหรือสังเกตไม่เห็นได้โดยง่ายว่าเป็นเส้นทางที่ใช้เดิน บางตอนก็ไปออกทางเกวียนและริมน้ำ ซึ่งมีทั้งรอยตีนเสือ ช้าง หมี ที่เป็นรอยใหญ่ ๆ ก่อให้เกิดความหวั่นไหวได้ไม่น้อย แต่พระภิกษุทั้งห้าก็มิได้เกรงกลัว และบางครั้งก็เดินหลงทางบ่อย ๆ บางวันต้องหาทางเดินใหม่ให้เข้าสู่เส้นทางที่ชาวบ้านใช้ถึงสี่ครั้งห้าครั้ง และบางวันเดิน ๆ ไปแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเวลาไหน ก็เป็นอันว่าไม่ได้หยุดหุงหาฉันเพล เพราะบางที่กว่าจะรู้มันเลยเที่ยงไปนานแล้ว รู้จากแสงตะวันที่เผอิญทางเดินไปออกป่าโปร่ง ก็ได้แต่อาศัยฉันผลหมากรากไม้แก้หิวไปพลางบางวันที่ฉันเพลแทนเช้าไปเลยก็มี

    และในตอนสายของวันที่สี่ ขณะที่อยู่กลางดงพญาไฟ ก่อนจะถึงจังหวัดนครราชสีมา ภิกษุผู้ร่วมทางได้อาพาธเป็นไข้ป่าอย่างรุนแรง แม้จะช่วยกันถวายยาที่มีติดไปเท่าไรก็ไม่หาย อาการรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว หลวงพ่อจงและพระภิกษุอีกสามองค์ก็ต้องผลัดกันเฝ้าดูแลอาการ เพราะมาด้วยกันจะทิ้งไว้เดียวดายนั้นไม่ได้ ที่สุดก็ต้องเสียเวลาอยู่ในป่า โดยเลือกเอาริมเหวที่มีพื้นราบสูงกว่าแห่งอื่นได้แห่งหนึ่งเป็นที่พำนัก พักรักษาภิกษุผู้อาพาธ จวบจนวันรุ่งขึ้นตอนสาย ภิกษุองค์นั้นมิอาจทนทานพิษไข้ได้ ก็ถึงกับมรณภาพ เมื่อช่วยกันฝังไว้ตามมีตามเกิดแล้ว บ่ายวันนั้นจึงได้เดินทางหลุดรอดจากดงพญาเย็น ดงพญาไฟ ผ่านเขตลพบุรี ย่างเข้าเขตนครสวรรค์ที่นครสวรรค์ ก็ได้มีพระภิกษุขอร่วมเดินทางไปด้วยอีกรูปหนึ่งรวมจำนวนเป็นห้ารูปเหมือนเดิม เส้นทางเดินระหว่างนครสวรรค์จนถึงพิษณุโลกเป็นพื้นที่ราบป่าโปร่ง ไม่เป็นป่าทึบเหมือนในดงพญาเย็น ดงพญาไฟก็จริง แต่บางแหล่งก็เต็มไปด้วยอสรพิษร้าย โดยเฉพาะตอนที่เป็นบึงบรเพ็ดเวลานี้ มีน้ำท่วมเจิ่งนองเป็นบริเวณกว้าง ท่วมตอนที่เป็นทางรถไฟอยู่นานหลายเดือนในปีหนึ่ง ๆ ตามทางที่เป็นป่าริมน้ำซึ่งต้องเดินผ่าน มีจระเข้อยู่เต็มไปหมดทั้งสองฟากฝั่ง รวมทั้งงูเห่าและงูจงอางเลื้อยเพ่นพ่านให้เห็นอยู่ตลอดระยะทางเดิน เมื่อได้ยินฝีเท้าแม้จะเดินกันอย่างแผ่วเบา แต่สัญชาตญาณระวังภัยและมีสันดานดุโดยกำเนิดของมันตามธรรมชาติ มันต่างชูคอแผ่แม่เบี้ยคุกคามภิกษุทั้งห้ารูปอย่างน่าสยดสยอง แม้จะมีการระมัดระวังกันเป็นอย่างดี เจ้างูจงอางตัวหนึ่งก็ได้ฉกกัดพระภิกษุรูปหนึ่งที่มาจากสระบุรีเข้าจนได้ และพิษร้ายกำเริบจนทนไม่ได้ พระภิกษุองค์นั้นก็ต้องมรณภาพไปอย่างน่าสลดใจ

    เมื่อผ่านถึงจังหวัดพิจิตร ที่วัดตะพานหิน ก็ได้มีพระภิกษุอีกรูปหนึ่งขอร่วมทางไปด้วย ฉะนั้นการเดินทางจากพิจิตรมุ่งสู่พิษณุโลก ก็ยังคงมีคณะร่วมทางครบจำนวนห้ารูปตามเดิม แต่จากพิจิตรระหว่างเข้าเขตพิษณุโลก พระภิกษุจากลพบุรีก็ต้องมรณภาพ เสียชีวิตไปอีกรูปหนึ่งขณะเดินข้ามลำธารที่เป็นพงรก โดยถูกจระเข้คาบไปกัดกิน และทิ้งซากศพไว้เพียงครึ่งเดียว

    หลวงพ่อจงกับพระภิกษุอีกสามรูปจากพิษณุโลกมุ่งเข้าสู่แม่สอดเดินขึ้นไปเชียงราย โดยหมายเส้นทางเข้าไปแม่ฮ่องสอน และจะเข้าสู่พม่าในด้านที่ตั้งเจดีย์ชะเวดากอง พระภิกษุร่วมเดินทางต่างค่อยมรณภาพไปทีละองค์ด้วยโรคไข้ป่า และบ้างขาดอาหาร เป็นโรคท้องร่วงอย่างแรง (อหิวาต์) จึงคงเหลือเพียงหลวงพ่อจงแต่องค์เดียว ที่ธุดงค์ไปถึงพม่าและได้เข้านมัสการพระเจดีย์ชะเวดากองอย่างที่ตั้งใจเอาไว้

    หลวงพ่อจงยอมรับว่าแรก ๆ เมื่อเห็นภิกษุผู้ร่วมเดินทางมีอันเป็นต้องจากกันไปในสภาพที่เรียกว่า ตายจากก็รู้สึกใจคอหดหู่และสลดจิตคิดสังเวช แต่เมื่อได้ทบทวนคิดได้ว่า อันรูปกายเกิดของมนุษย์และปวงสรรพสัตว์ก็มีความตายนี่แลเป็นความเที่ยงแท้ที่ชีวิตกายเกิดทุกรูปนามยังต้องประสบ รูปกายใดมิว่าจะอยู่ในฐานันดรและอยู่ในสภาพมิว่าเยี่ยงใด จะเป็นจอมนับรบผู้เกรียงไกร เป็นจอมมหาราชผู้มีศักดินายิ่งใหญ่ รูปกายเกิดเหล่านี้ก็จะต้องประสบกับมรณะสัญญาเป็นปริโยสานด้วยกันทั้งนั้น มิว่าจะในลักษณะการละม้ายแม้นเหมือน หรือแตกต่างกันในบทบาทเคลื่อนไหวอย่างใดก็ตาม มฤตยูมิยอมยกเว้นหรือแม้แต่จะให้มีการผ่อนผันให้รูปกายใดผัดผ่อนประกันวันตายยืดออกไป

    เมื่อปลงตกคิดเห็นสาเหตุความต้องตายเป็นอย่างนี้จิตก็รู้สึกจืดชืดต่อความหวั่นไหวหวาดเสียวแห่งมรณะสัญญาณ มิว่าจะย่างกรายเข้ามาคุกคามในวิธีการเยี่ยงใด ตรงข้ามเมื่อเห็นความตายของผู้อื่น แต่ตนเองยังมิเคยถูกรุกรานให้มีเหตุเภทภัยย่ำยี กลับทำให้บังเกิดเพิ่มพูนอำนาจใจให้ทวีความกล้าแข็งยิ่งขึ้น
     
  9. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    เล่าขานตำนานหลวงพ่อจง เอกอรหันตเถระแห่งเมืองกรุงเก่า ตอน ตะขาบช่วยชีวิตจากงูจงอาง

    17757615_10212619353188454_4469666733219865465_n.jpg 17757615_10212619353188454_4469666733219865465_n.jpg
    ที่พม่า แม้จะพูดจากันไม่รู้เรื่องในตอนแรก ๆ แต่เมื่ออยู่กันไปการใช้ภาษาบุ้ยใบ้บ้าง ใช้ภาษามคธ และภาษาพม่าที่สังเกตจดจำไว้ ก็ทำให้หลวงพ่อจงรู้เรื่องและได้รับความสะดวกในการอยู่ในพม่าเป็นเวลานานหลายเดือนเป็นอย่างดี

    ตอนขากลับ หลวงพ่อจงต้องเดินทางเพียงรูปเดียวอย่างโดดเดี่ยวด้วยจิตใจกล้าหาญ ไม่กริ่งเกรงเหตุเภทภัยอย่างใด และได้แวะจำพรรษาที่วัดแห่งหนึ่งที่กำแพงเพชร เพราะคาดคะเนแล้วว่าการเดินทางจะทำไม่ได้รวดเร็วตามกำหนด จึงคิดเห็นสมควรกลับวัดเมื่อรอให้พ้นกำหนดออกพรรษาจะสะดวกกว่า

    ทั้งขาไปและขากลับ หลวงพ่อจงได้รับความปลอดภัยอย่างอัศจรรย์แต่ผู้เดียว ส่วนภิกษุผู้ร่วมทาง 7 องค์ถึงแก่มรณภาพไปสิ้น

    หลวงพ่อจงเคยพูดว่า ท่านเองก็ไม่รู้ได้เหมือนกันว่าเป็นเพราะเหตุใด ท่านจึงไม่พานพบเหตุร้ายหรือเจ็บปวดแม้แต่เล็กน้อยก็ไม่เคยมี แต่ระหว่างทางเคยเหยียบหินและลื่นลงหลุมเล็กจนเท้าแพลงสักหนสองหน นอกนั้นไม่เคยประสบเหตุการณ์อะไร จิตใจของท่านก็รู้สึกว่ามันเป็นปกติ ไม่เคยซู่ซ่าพลุ่งพล่านหวาดสยองกับการคุกคามของธรรมชาติอันเป็นวิบากทุรกันดาร ไม่เคยกริ่งกลัวต่อความวิเวกวิกาล หรือความอ้างว้างท่ามกลางเสียงสายฝนที่สาดโกรกลอดใบไม้ทึบลงมา สายฟ้าได้ฟาดกราดเกรี้ยวลงมาถึงสองครั้ง กิ่งยางต้นใหญ่ขนาดสองสามคนโอบได้หลุดมาทั้งกิ่งไหม้ดำ แต่ในกรณีนั้น ไม่มีใครผู้ใดเป็นอันตราย กลับพากันหลุดรอดไปได้ จนต่อภายหลังจึงเสียชีพเพราะสัตว์ร้ายขบกัด และพิษไข้ป่า

    ระหว่างทางเขตแม่ฮ่องสอน ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อจงท่านกำลังจะกางกลดจำวัดอยู่ใต้เพิงผาหุบเขาแห่งหนึ่ง ก็มีงูจงอางสีเหลือง แวววาวมะเมื่อม พุ่งปราดเข้ามาทางท่านอย่างว่องไว ท่านก็มองจ้องไปที่งูจงอางตัวนั้น รู้สึกระทึกใจอยู่ว่า นี่ถ้าจะตรงเข้าจู่โจมเล่นงานเราแน่ แต่เวรกรรมอย่างนี้เป็นกรรมเก่า หากเคยเป็นคู่ผลาญกันมาก็ยากจะหนีเขาไปรอดพ้น งูตัวนั้นใหญ่ยาวสักสองเมตรเห็นจะได้ มันชูคอพลิกเอียงไปเอียงมาอย่างผยองฤทธิ์ พุ่งปราดผ่านกองไม้ริมธารน้ำอีกสักห้าวาจะถึงตัวหลวงพ่อจง ท่านก็คงมองเพ่งอาการของมันด้วยความสงบ ในใจนึกภาวนาว่า หากไม่เคยมีเวรเก่าต้องชดใช้ ขออย่ามาก่อกรรมสร้างหนี้เวรใหม่ไว้ต่อกันเลย เจ้าจงไปตามทางของเสียเถิด

    เมื่อหลวงพ่อจงนึกแผ่กระแสจิตอยู่นั้น งูจงอางได้พุ่งมุ่งสู่กองไม้ ข้ามเข้าหาท่านอย่างปราดเปรียว แต่ในทันทีทันใด ดุจดั่งราวกับถูกเบรกห้ามล้ออย่างแรง มันชะงักพรืดพลางบิดตัวอย่างรุนแรงพลิกคล่ำลงจากกองไม้ ปรากฏว่าตะขาบสีเขียวแก่จนเกือบดำตัวหนึ่งยาวราวสักสองคืบตัวใหญ่แบนสองนิ้วเศษ กำลังขบกัดติดอยู่ตรงสะดือใต้ท้องของมัน เมื่อตอนงูจงอางสะบัดโผนตัวโดยแรงนั้น ตะขาบได้กระเด็นหลุดออกไป ปรากฏว่าตรงสะดือขาดมีก้อนกลมเล็กไหลย้อยเป็นน้ำเขียวจาง ๆ ออกมาจุกอยู่ และการสะบัดอย่างแรงทำให้มันพลิกตัวหล่นลงไปในน้ำนอนหงายท้องอยู่ และไม่นานนักก็สิ้นใจตาย ส่วนตะขาบตัวฮีโร่ก็คลานงุ่มง่ามออกจากกองไม้มุ่งเข้าราวป่าข้างหน้า โดยมิได้สนใจจะหันหลังมามองหลวงพ่อจงเป็นการอำลาหรือทวงคุณแม้แต่น้อย
     
  10. mrmos

    mrmos Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2016
    โพสต์:
    1,190
    ค่าพลัง:
    +1,095
    sa16.jpg
     
  11. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    เล่าขานตำนานหลวงพ่อจง เอกอรหันตเถระแห่งเมืองกรุงเก่า ตอน ช่วยขโมย
    17760114_10212633930712883_859809199783427006_n.jpg
    เมื่อเป็นบุคคลมีจิตแกล้วกล้าสามารถธำรงตนจนมีสมาธิศีลบริสุทธิ์ปราศจากว่อกแว่กหวั่นไหวในสรรพเหตุอันจักมาสั่นคลอนดวงใจให้ไหวหวาด ไม่ว่าจะเป็นต้นตอก่อภัยมืดสว่าง จากเวรกรรมเก่า หรือจากกรณีแวดล้อมซึ่งจะจู่โจมเข้ามาไม่ว่าในลักษณะการใด จวบแม้กระทั่งสามารถเดินทางโดดเดี่ยวกลับจากพม่าสู่ผืนแผ่นดินไทยด้วยตนเองตามลำพัง

    แต่นั้นมาหลวงพ่อจง ก็ทวีความเชื่อมั่นในบำเพ็ญบารมีแสวงสำรวมหาอิทธิบารมีในทางปฏิบัติ กัมมัฏฐานตั้งในแนวทางของสมถะกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน กระทั่งอบรมบ่มฌานสมาบัติให้แก่กล้าทั้งทางกสิณและสมาธิ จนปรากฏว่า หลวงพ่อจงประสบความสำเร็จสมมโนหมายในวิถีซึ่งท่านต้องการเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทาง

    ภายหลังต่อมา หลวงพ่อจงได้ชื่อว่าเป็นอริยสงฆ์ผู้บริสุทธิ์ มีพร้อมซึ่งอิทธิบาท แก่กล้าในแนวทางของวิชาแปดประการ อันเรียกขานกันว่า "อภิญญา"

    ความเป็นผู้รู้ในธรรมแจ่มกระจ่างและปฏิบัติธรรมได้สม่ำเสมอเป็นนิจสิน มิเคยเบื่อหน่ายท้อถอยของหลวงพ่อจง ย่อมประจักษ์แก่ตาแก่ใจของบุคคลผู้ใกล้ชิดทั่วไปเป็นอย่างดี จนท่านถือเป็นคติพจน์ขึ้นว่า "การสวดมนต์ไหว้พระ เป็นกิจวัตรอันมิควรขาดกระทำ"

    หลวงพ่อจงขึ้นชื่อลือเลื่องว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญในทางกสิณ สมาธิ ท่านสามารถหลับตานอนและตื่นเวลาใดก็ทำได้ดั่งใจหมาย ดวงจิตของท่านเปี่ยมด้วยความสันโดษและสงบอย่างแน่วแน่จริงแท้เปี่ยมด้วยความเมตตาพร้อมจะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อส่ำสัตว์ทั้งผองให้ได้ผ่านพ้นทุกข์ภัยทั้งมวลและได้ประสบพบแต่ความสุขสำเร็จประสงค์ หลวงพ่อจงมีแต่ความมุ่งดี หวังดี ปรารถนาดี ต่อชีวิตกายเก่าสม่ำเสมอโดยปราศภยาคติ อันเป็นความลำเอียง ไม่เลือกหน้า ไม่มีจิตคิดเห็นแก่ฐานะความเป็นอยู่ หรือ อำนาจฐานันดรและภาวะสภาพของใครสิ่งใดมาเป็นน้ำหนักถ่วง หรือกดดันให้บังเกิดความโน้มน้าวโอนเอียง มิว่าใครผู้ใดไปหาสู่ ท่านโอภาปราศรัยต้อนรับด้วยความยิ้มแย้มทันทีไม่ต้องให้มีการรีรอหรือผิดหวัง

    ไม่มีใครเลยจะสามารถสร้างความรังเกียจความขึงขังให้บังเกิดในน้ำใจหลวงพ่อจงขึ้นได้ ท่านไม่เคยจะพูดจาว่ากล่าวว่าใครผู้ใดไม่ดีเลวร้าย บางครั้งแม้แต่มีใครไปเล่าเรื่องราวของคนไม่ดี กระทำทุราจาร ผิดศีล หรือประพฤติเลวร้ายแสนสาหัสในทางใจ พร้อมด้วยวิพากษ์วิจารณ์ด่าว่ากันตามสันดานอัธยาศัย หลวงพ่อจงก็ไม่ห้ามไม่ให้พูด ใครพูด ใครด่ากัน ก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ไปจนเขาพูดจบเรื่อง แต่ไม่เคยสนับสนุนซ้ำเติมว่าใครดีใครไม่ดี ท่านพูดเป็นกลาง ๆ ว่า

    "เรารู้ว่าใครไม่ดีก็หลีกออกให้ห่าง ใครดีจึงคบหาไปมาสู่กัน ทุก ๆ คน ควรกระทำแต่ความดีมีศีลสัจจธรรม ส่วนคนประพฤติชั่วก็จะต้องได้รับกรรมตามสนอง และเขาเป็นคนน่าสงสาร หากช่วยกันได้ควรช่วยกัน ตามหลักพรหมวิหาร ทำบุญทุกอย่างย่อมได้กุศลสนอง แต่การช่วยผู้มีทุกข์ ช่วยคนคิดผิดให้คิดถูก กลับตนประพฤติชอบนั้นเป็นกุศลอย่างยิ่ง"

    ครั้งหนึ่ง มีขโมยเข้าไปขโมยสมบัติของวัด ขโมยแม้กระทั่งโอ่งไหลายมังกร หลวงพ่อจงยังนอนไม่หลับในคืนหนึ่งนั้น ตื่นขึ้นมาเห็นหัวขโมยกำลังช่วยกันหามโอ่งชุลมุนวุ่นวาย ท่าทางเกะกะเก้งก้าง จะเอาไปได้ลำบากอยู่ ท่านเดินเข้าไปหาหัวขโมยพร้อมด้วยให้สติว่า

    "ทำไมต้องรีบด่วนขนให้เป็นการยุ่งยากลำบาก การขนโอ่งคราวละหลายใบมันหนัก เอาไปก็เกะกะหาบหามไม่สะดวก ควรขนไปครั้งละใบดีกว่า มันจะไม่ตกแตกและเอาไปใช้ประโยชน์ตามต้องการได้"

    พวกหัวขโมยมองหลวงพ่อ นึกว่าท่านจะเอาเรื่อง แต่เห็นท่านพูดยิ้ม ๆ อาวุธอะไรก็ไม่มีติดมือที่จะให้คิดว่าท่านคงจะเล่นงาน พวกหัวขโมยเลยวางโอ่งนั่งยอง ๆ ยกมือไหว้ แล้วเดินหลบหลีกไปโดยพูดว่า

    "ถึงท่านจะให้ พวกกระผมก็ไม่ขอเอาไปแล้ว"

    อีกเรื่องหนึ่ง เด็กวัดร่วมใจกันขโมยเงินในถุงย่ามไปสามพันบาท เงินจำนวนนั้นมีผู้ศรัทธาถวายเพื่อสร้างโบสถ์ แต่ยังไม่ทันมอบให้ผู้ดูแล ฝ่ายเด็กวัดครั้นเอาไปแล้วเกิดแบ่งไม่ถูกใจกัน เรื่องเลยไปถึงตำรวจ เมื่อตำรวจไปขอถ้อยคำทำคดีจากหลวงพ่อจง ท่านกลับว่าเป็นความบกพร่องของท่านที่เก็บไว้ไม่มิดชิดเด็ก ๆ มันอยากได้และสามารถหยิบฉวยง่าย มันจึงเอาไปตามประสาสันดาน แต่เป็นเรื่องในวัด ขอให้ทางวัดจัดการเองเถอะ ไม่อยากให้เรื่องไปถึงทางบ้านเมือง เพราะเด็กพวกนั้นมันยังอ่อนศึกษา ยังโง่ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ไม่งั้นคงไม่เอาของวัดพระดังนี้

    พร้อมกันนั้น ท่านเรียกเด็กวัดสองสามคนมาสอนว่า

    "ต่อไปการจะทำอะไรจงอย่าให้แตกสามัคคีกัน ร่วมมือกันทำงาน มีรายได้ก็ควรแบ่งสันปันส่วนให้มันยุติธรรม ถ้าแตกสามัคคีก็ต้องมีการอิจฉาแก่งแย่งทะเลาะวิวาทกัน มีแต่ทำให้เสียพวกเสียประโยชน์ ดีไม่ดีจะต้องติดคุกตารางลำบากเสียชื่อตระกูลไม่ควรทำ"
     
  12. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    เล่าขานตำนานหลวงพ่อจง เอกอรหันตเถระแห่งเมืองกรุงเก่า ตอน หลวงพ่อจงไม่สนใจยศศักดิ์
    17634776_10212633955673507_5632197826945187334_n.jpg 17634776_10212633955673507_5632197826945187334_n.jpg ปกติหลวงพ่อจงไปไหนท่านชอบไปองค์เดียว จนตอนระยะวัยสูงมีสภาพของคนชรา ไม่น่าวางใจว่าอาจไปเกิดพลั้งเผลอมีอุบัติเหตุ ผู้เจตนาดีและศิษย์ผู้ภักดีจึงต้องติดตามท่านไปด้วยสองสามคน เพื่อคอยดูแลและรับใช้ถวายปรนนิบัติท่าน

    หลวงพ่อจงเป็นภิกษุผู้ปราศจากละโมบในลาภสักการ ยศศักดิ์ทั้งปวง ท่านพอใจสภาพที่เป็นเจ้าอาวาสวัดหน้าต่างนอกเท่านั้น ต่อมามีผู้คิดสนับสนุนให้ท่านมียศทางสมณะศักดิ์ ท่านก็ห้ามปรามไม่ยินยอมให้ทำเรื่องราวเสนอขึ้นไปตามระเบียบ ซึ่งเมื่อไม่มีเรื่องเสนอตามแบบของทางราชการ ก็ไม่มีการให้สมณศักดิ์ แทนที่ท่านจะสนใจเพราะมีผู้หมั่นไปกระตุ้นและหว่านล้อม ท่านกลับหัวร่อแล้วพูดว่า

    "ไม่น่าสนใจเรื่องนี้ เพราะยศ ตำแหน่ง บรรดาศักดิ์ เป็นเรื่องของโลก อาตมาไม่ใยดีในทางนี้ เมื่อเป็นภิกษุและได้ศึกษาพระธรรม มีความรู้ในธรรม หมั่นปฏิบัติธรรมได้เป็นนิจ ได้รับความสงบทางใจ ได้มีช่องทางให้ผู้อื่นมีโอกาสพิจารณาปฏิบัติได้ด้วยดีอย่างนี้ก็ควรเป็นสิ่งพึงใจของสมณะสงฆ์แล้ว เพราะพวกเรานี้ ที่มาบวชก็เพราะมุ่งเสียสละทางตัณหาโลกามิส ได้ตัดใจตัดโลกไว้เบื้องหลัง เพื่อเข้าแสวงหาวิถีทางให้รอดพ้นจากทุกข์ทรมาน ใครทั้งหลายเคารพกราบไหว้เรา เพราะรู้ว่าเราเป็นผู้พยายามสละกิเลสอันเป็นมารชั่วร้ายเจ้าของ โทสะ โลภะ โมหะ และ ราคะ ความทะยานอยากทั้งผอง ซึ่งแม้เราตัดไม่ออกหมด แต่กิเลสสงฆ์ถึงอย่างไรก็ต้องบางเบากว่าปุถุชนฆราวาส เราก็จึงต้องบำเพ็ญแนวทางตามความรู้ของพระธรรมให้เขาเห็น เช่น เรามุ่งมาเป็นนักเสียสละ เราก็ต้องเสียสละทุกสิ่ง เท่าที่จะพึงกระทำได้ หากเราไม่ประพฤติกระทำ คำว่าสงฆ์ หรืออริยสงฆ์ก็จะหมดความหมายลงทุกวัน... แต่นี่ก็มิจำเป็นต้องเป็นความคิดที่ถูกเสมอไป การกระทำตามระเบียบที่มีวางไว้เป็นปทัสถานนั้นเป็นไม่ผิด แต่การที่อาตมาไม่นิยมมีสมณะศักดิ์ประดับกาย ก็เป็นเอกสิทธิ์และความพอใจตามอัตภาพของอาตมา ไม่มีอะไรเป็นผิดดอก"

    ความเป็นผู้ถือสันโดษ ถือความสงบทางโลกเป็นสรณะยิ่งใหญ่ของหลวงพ่อจง ท่านแสดงแน่วแน่มั่นคงไม่มีบิดเบือนทำบ้างไม่ทำบ้าง ท่านกระทำเป็นอาจิณ ในถุงย่ามของท่านนอกจากมีเหล็กจาน สำหรับประกอบกิจกรรมสุดแต่จะมีผู้นมัสการในด้านวิทยาคมแล้ว ก็ช้อนซ้อมสำหรับตักอาหารฉัน นอกนั้นไม่มีแม้แต่หมากยา ไฟขีด ยานัตถุ์ หมากพลูบุหรี่ เพราะท่านไม่เสพย์ติดมัน และไม่ต้องการมัน โรคภัยเจ็บป่วยนั้นก็ไม่มี ซึ่งท่านเคยกล่าวว่า ถ้ามีก็ต้องรู้อาการล่วงหน้า มีโรครักษาเองไม่ได้ ต้องหาหมอ เพราะยังงั้นหยูกยาในย่ามไม่ต้องเตรียมไป แต่เผอิญมีผู้ใจบุญเขาบริจาคถวายข้าวของเงินทองมีราคาติดมา หากใครเกิดโชคดีรู้วี่แววและอาราธนาขอ หลวงพ่อจงจะรีบหยิบยื่นให้ด้วยความยิ้มแย้ม โดยไม่ถามไถ่ว่าเป็นใครมาจากไหน จะเอาไปทำไม เหตุไฉนต้องมาขอของมีราคาอย่างนี้ไปจากท่าน
     
  13. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    เล่าขานตำนานหลวงพ่อจง เอกอรหันตเถระแห่งเมืองกรุงเก่า ตอน ขลังไม่ขลังอยู่ที่ใจ
    17759803_10212647651215887_3128987808836621094_n.jpg
    เรื่องความมีชื่อลือเลื่องโด่งดังในทางวิทยาคม ซึ่งลูกศิษย์เกือบทั่วประเทศมีความเลื่อมใสศรัทธาอย่างแก่กล้า เพราะเชื่อหลวงพ่อจงท่านมีอาคมขลังในทางเมตตา คงกระพันแคล้วคลาด

    หลวงพ่อจงได้อรรถาธิบายไขข้อเคลือบแคลงว่า การซึ่งผู้ใดจะยึดมั่นเชื่อถือต่อสิ่งใดเป็นสรณะหรือไม่ แล้วแต่ศรัทธาความเชื่อของจิต จิตบางดวงมีพลังต่ำ บางดวงทรงพลัง จิตทั้งหลายปราศจากระดับอิทธิแห่งพลังเท่าเทียมกัน แต่ถึงกระนั้น จิตเป็นสิ่งที่อาจลดอัตราระดับหรือเพิ่มพูนอิทธิพลังให้สูงส่งมีอำนาจขึ้นได้ คนที่ไม่เชื่อว่ามีผีเพราะเห็นและคิดเห็นขึ้นว่าคนตายแล้วย่อมผุพังเน่าเปื่อยจะกลายเป็นผีไปไม่ได้ คนผู้นั้นไม่มีวันกลัวผี แต่บางคนเชื่อว่ามีผีจริง ผู้นั้นก็ย่อมจะมีพลังจิตอ่อนไหวกลัวผีเสมอไป ก่อนนี้เราไม่เชื่อกันว่ามนุษย์จะเหาะเหินเดินฟ้าได้ นอกจากในนิยาย แต่เราก็สามารถมีจรวดและอากาศยานเข้าไปนอนนั่งดั้นฟ้าได้... ความเชื่อของมนุษย์คือ ขุมกำเนิดซึ่งก่อให้เกิดสิ่งใดที่มนุษย์เชื่อว่ามีได้ให้บังเกิดได้มีได้อยู่เสมอ

    มนต์ขลังทำให้เกิดกำลังใจเป็นขุมพลังของจิตไม่มีที่สิ้นสุด ผู้ไม่เคยเชื่อว่าเขาจะทำสิ่งไรได้สำเร็จ เขาก็ยากจะประสบความสำเร็จในชีวิต ความเชื่อคือพลังของโลกและพลังของชีวิตเชื่อหรือไม่ จึงเป็นเรื่องของศรัทธาตัวเดียว หากเชื่อว่าอริยสัจสี่และทางของมรรคแปด เป็นทางเดินไปสู่ความพ้นทุกข์กำจัดต้นตอทุกข์ได้ ก็มีทางเดินไปสู่บั้นปลายของความเชื่อ ถ้าเริ่มขึ้นด้วยความไม่เชื่อ ก็ไม่มีทางพิสูจน์และไม่มีทางเดินไปสู่.
     
  14. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    เล่าขานตำนานหลวงพ่อจง เอกอรหันตเถระแห่งเมืองกรุงเก่า ตอน บารมีช่วยทหารอากาศ
    17760832_10212647675496494_5144616561186461423_o.jpg
    หลวงพ่อจงชอบขึ้นนั่งบนเครื่องบินมาก ในสงครามอินโดจีนจนถึงมหาสงครามโลกครั้งที่สอง หลวงพ่อจงได้นั่งเครื่องบินนับเป็นร้อย ๆ ครั้ง เพราะท่านถูกนิมนต์ไปกระทำพิธีรดน้ำมนต์ ปัดรังควานบ่อยที่สุด ไม่ว่าจะมีการเคลื่อนทัพบก เรือ อากาศ ไปสู่สมรภูมิรบที่ใด ก่อนเดินทัพจะต้องมีพิธีทางศาสนาเป็นมิ่งมงคลบำรุงขวัญทหาร มีการประพรมน้ำพระพุทธมนต์ เจิมอาวุธกับพาหนะและอุปกรณ์รบ บรรดาหลวงพ่อและเกจิอาจารย์อันเป็นที่เคารพศรัทธาในอัจฉริยะความเป็นอริยสงฆ์ต่างจะต้องถูกนิมนต์ไปร่วมกระทำพิธีอยู่อย่างไม่ควรขาด

    หลวงพ่อจงเป็นสงฆ์ผู้มีบุคลิกเด่นดวง ลักษณะใบหน้าของท่านอิ่มเอิบ ดวงตาวาววับด้วยแสงเมตตาจิต ใครเห็นท่านจะรู้สึกเคารพรักและบังเกิดศรัทธาในวูบแรก แม้ว่าดวงหน้าท่าทีของท่านจะเฉยเมย แต่ปมเด่นทางเมตตาของท่านโผล่ผลุดดุจเป็นรัศมี รอบกายปรากฏออกมาสะดุดความรู้สึกผู้พบเห็นเอง และยิ่งเมื่อผู้ใดได้เข้าใกล้ชิดด้วยพระคุณท่าน ก็จะประจักษ์ในอัธยาศัยและไมตรีที่ท่านหลั่งโอภาปราศรัยออกมาแล้ว ไม่เคยมีผู้ใดลืมเลือน อัธยาศัยวิเศษของท่านจะเข้าซึมแทรกดวงจิตผู้ใกล้ชิดทันทีอย่างตราตรึงใจ

    ทหารน้อยใหญ่ของสามกองทัพ ส่วนมากที่ได้เคยพบเห็นและเข้าหานมัสการหลวงพ่อจงในทุกหนที่ไปกระทำพิธีแจกเสื้อพระยันต์ราชสีห์ตะกรุดโทนจึงพากันเคารพสักการะศรัทธาในท่านมากที่สุด

    เฉพาะกองพลทหารม้ายานเกราะสระบุรี ดูเหมือนจะศรัทธาแก่กล้าในอิทธิบารมีของหลวงพ่อจงมากที่สุด ถัดไปก็น่าจะเป็นในกองทัพอากาศ ซึ่งตั้งแต่นานมาแล้ว เริ่มแต่ปี 2475 สมัยปฏิวัติหนแรกบรรดาแม่ทัพนายกองต่างขึ้นชื่อเป็นศิษย์และเป็นผู้ศรัทธาเคารพขึ้นในหลวงพ่อจง อาทิ ท่านจอมพลฟื้นรนภากาศฤทธาคนี พลอากาศเอกนักรบ บิณฑศรี นาวาอากาศเอกประสงค์ สุชีวะ ฯลฯ ท่านที่กล่าวนามเหล่านี้ ตลอดจนทหารเหล่าอื่น ต่างได้รับแจกเสื้อพระ ยันต์ราชสีห์และตะกรุดโทน จากหลวงพ่อจงด้วยมือท่านเองเป็นส่วนมาก

    ท่านจอมพลฟื้นได้พบกับประสบการณ์ในสมัยศึกอินโดจีน เมื่อต้องคุมขบวนเครื่องบินรบไปทิ้งระเบิดสะตรึงเต็งและอื่น ๆ อันเป็นฐานทัพสำคัญของฝรั่งเศสยุคนั้นจนไฟลุกไหม้แหลกลาญ ขณะกำลังจะคิดผละจากความเพลิดเพลินเข่นขยี้ข้าศึกจนไม่มีคู่ต่อสู้ และบรรดาเครื่องบินรบที่อยู่ในการดูแลกองนั้นต่างทยอยกลับฐานทัพดอนเมืองแล้วจนหมดสิ้น จู่จู่ก็มีเครื่องบินจากฐานทัพใหญ่ของข้าศึกอันเป็นกองหนุนสามเครื่องจิกหัวโฉบเข้าใส่ รุมกันทักทายเครื่องบินรบของจอมพลฟื้นด้วยกระสุนปืนกลประจำเครื่องอย่างเกรี้ยวกราด

    แต่... ยอดเสืออากาศไม่สะดุ้ง คันบังคับถูกดึงเลี้ยวซ้ายกะทันหันดิ่งหัวหลบวูบลงไปราวห้าร้อยเมตร และครั้นแล้วก็ตั้งลำเชิดขึ้นมาใหม่พุ่งเข้าหาเครื่องบินข้าศึกด้านขวามือ ซึ่งเป็นเรือธงบังคับการดุจเหยี่ยวไล่เหยื่อ กระสุนนับร้อยหลายชุดถูกพ่นกรูเกรียวออกไป แค่นั้นเองเครื่องบินของศัตรูผู้ผยอง ก็ม้วนเอียงลำดิ่งพสุธาพร้อมควันดำโขมง

    จากนั้นเหยี่ยวฟ้าไทย โผโผนลำขึ้นเบื้องสูงทำทีจะหนีจาก และเครื่องบินของข้าศึกกำลังจะเลี้ยวไล่นั่นเอง เสืออากาศไทยก็บังคับเครื่องบินพุ่งควับลงมาดุจสายฟ้าก็ปานกัน มีเสียงคำรามติดต่อกันอย่างดุดันกระสุนกลที่ยิงเหมือนจับวางเป็นร้อย ๆ พรูพรั่งเข้าตัดกลางลำ เครื่องบินของข้าศึกษาเป็นรูพรุนตลอดถึงแพนหาง ปรากฏเป็นควันดำแล้วก็ดิ่งสู่พสุธาไปอีกลำ

    ทันทีทันใดนั้น เครื่องบินลำของข้าศึกถลาหัวฉกจิกลงมาจากเบื้องสูง สาดกระสุนกึกก้องเข้าใส่เครื่องบินของจอมพลฟื้นอย่างเหี้ยมเกรียม แต่เปล่า...เครื่องบินของเสืออากาศไทยไม่ยักมีอันเป็นไปเพราะห่ากระสุนสองสามชุดที่ข้าศึกรัวเข้าใส่ จอมพลฟื้นยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม นึกในใจว่าดีละ เดี๋ยวรู้กัน

    ทว่า เมื่อสายตามัจจุราชของจอมเสืออากาศไทยเหลือบแลที่เครื่องวัดน้ำมัน อัตราน้ำมันที่มีอยู่จะไม่พอพาเครื่องบินกลับฐานทัพ ถ้ายังจะบินอยู่อีก

    แต่อย่างไรก็ดี ก่อนตีจาก ก็ควรจะมีการอำลากันอย่างไว้ลายเสือจอมพลฟื้นลูบหมับไปที่พระยันต์แดงราชสีห์ พลางดึงตะกรุดมหารูดมงคลชาตรี (โทน) ของหลวงพ่อจง อาราธนาขอความคุ้มครองแคล้วคลาดตามพิธี ด้วยพลังจิตอันมั่นคงแน่วแน่อบอุ่นใจเต็มที่ จากนั้นก็โยกคันบังคับผงกหัวเข้าใส่นกเหล็กของข้าศึกอย่างปราศจากพรั่นพรึงปืนกลหน้าถูกเร่งกระสุนกราดออกไปถี่ยิบ พร้อมกับฝ่ายข้าศึกก็ตอบโต้ด้วยปืนหลังแล้วทำมุมเลี้ยวขวาแสดงท่าจะปรี่เข้าโจมตีใหม่อย่างบ้าบิ่น แต่ทันทีนั้นเองกระสุนอีกชุดหนึ่งของเหยี่ยวฟ้าไทย ก็กระทบเข้าที่แพนหางนกเหล็กของข้าศึกเสียงกราวสนั่นเป็นระยะข้าศึกเปลี่ยนใจเป็นบินหนี ซึ่งเป็นการสมประสงค์ของเสืออากาศไทยยิ่งนัก เพราะหากมีภาวะต้องจำพัวพันกันไป ไม่ถูกยิงหกคะเมนก็ต้องดิ่งนรก เพราะไม่มีฐานทัพจะลงและไม่มีน้ำมันสำหรับเครื่องบินจะพากลับ

    เหตุการณ์เหล่านี้ ภายหลังต่อมาเมื่อศึกสงบ ทหารนักบินข้าศึกชาวฝรั่งเศสซึ่งเป็นนักบินผู้ทำการรบกับเครื่องบินของจอมพลฟื้นได้เล่าให้เพื่อนฝูงทหารไทยหลายคนฟังในโอกาสที่นักบินไทยผู้หนึ่งได้ไปราชการที่ไซ่ง่อน โดยเขาบอกว่าการที่ทัพอากาศของเขาต้องพ่ายเสมือนไร้ฝีมือ เป็นเพราะเหตุสองประการ เครื่องบินฝ่ายเขาหย่อนสมรรถภาพและนักบินมีขวัญย่อหย่อน แต่ในประการสำคัญก็คือ มันคล้ายกับมีอุปาทานทำให้ฝ่ายเขามองเห็นเครื่องบินของฝ่ายไทย เป็นสีแดงฉานคล้ายกลุ่มควันแดง ทำให้นักบินพิศวงสงสัยและตกตื่นขวัญเสีย
     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,678
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,017
  16. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    เล่าขานตำนานหลวงพ่อจง เอกอรหันตเถระแห่งเมืองกรุงเก่า ตอน หลวงพ่อจงหยุดเครื่องบินด้วยนิ้ว
    17795909_10212657613624941_5978509460566146699_n.jpg
    อนึ่ง โดยเหตุนี้หลวงพ่อจงชอบขึ้นเครื่องบิน ท่านมักถูกนิมนต์จากนายทหารชั้นผู้ใหญ่ในบางโอกาสเสมอ ท่านเคยพูดว่า เมื่อได้เหาะขึ้นเบื้องสูงแล้วหายใจสบาย มองอะไรก็เห็นเป็นธรรมชาติสวยงาม

    และได้มีนักบินผู้หนึ่งเล่าว่า ครั้งหนึ่งหลวงพ่อจงได้ขึ้นเครื่องบินสองที่นั่งไปกับจ่าอากาศเอกผู้หนึ่ง ขณะเครื่องบินวนไปทางอยุธยา หลวงพ่ออยากดูวิววัดหน้าต่างนอกของท่านทางอากาศ จึงชี้ทิศทางบอกให้นักบินพาไป เมื่อถึงแล้วนักบินจึงแจ้งให้ทราบ ตอนนั้นเองหลวงพ่อจงนึกสนุกขึ้นมา เพราะมองเห็นวัดของท่านมีขนาดเล็กนิดเดียว จึงกล่าวแก่นักบินว่าจะหยุดสักครู่ได้ไหม นักบินตอบว่า หยุดนั้นเห็นจะไม่ได้เพราะไม่มีสนามลง นอกจากทำได้ก็เพียงแต่เบาเครื่องโฉบลงไปต่ำหน่อย

    หลวงพ่อจงหัวเราะหึหึ พูดทำนองปรารภขึ้นว่า เอ๊ะน่าจะได้นะพลางชี้นิ้วไปที่คันบังคับและเครื่องบินทันใดนั้นเครื่องบินมีสภาพคล้ายตกหลุมอากาศมหึมา ไม่มีอาการพุ่งไปข้างหน้า แต่หล่นวูบลง นักบินตกใจเป็นอย่างมากและยังคิดไม่ออกว่าจะแก้ไขอย่างไรดี ด้วยไปคิดสงสัยในด้านว่าเครื่องบินอาจมีอุบัติเหตุเครื่องเสีย ในใจก็ให้นึกเป็นห่วงหลวงพ่อจง ครั้นเหลียวมามองดูก็เห็นท่านหลับตาเฉยราวเกือบสิบวินาที ท่านจึงลืมตาขึ้นในขณะที่นักบินก็ง่วนอยู่กับการตรวจดูนั่นนี่หาทางแก้ไขเพื่อความปลอดภัย แล้วก็ได้ยินหลวงพ่อจงพูดยิ้ม ๆ ขึ้นว่า ลงมามากโขพอแล้วเครื่องบินบินต่ำแบบนี้หัวใจมันวูบวาบชอบกล

    ท่านพูดสิ้นคำ เครื่องบินก็ครางกระหึ่ม ทรงตัวเคลื่อนลำพุ่งหน้าออกไป พ้นจากภาวะดั่งราวถูกดูดดึงอยู่กลางหลุมอากาศ
     
  17. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    เล่าขานตำนานหลวงพ่อจง เอกอรหันตเถระแห่งเมืองกรุงเก่า ตอน หลวงพ่อจงหยุดเครื่องบินด้วยนิ้ว
    17795909_10212657613624941_5978509460566146699_n.jpg
    อนึ่ง โดยเหตุนี้หลวงพ่อจงชอบขึ้นเครื่องบิน ท่านมักถูกนิมนต์จากนายทหารชั้นผู้ใหญ่ในบางโอกาสเสมอ ท่านเคยพูดว่า เมื่อได้เหาะขึ้นเบื้องสูงแล้วหายใจสบาย มองอะไรก็เห็นเป็นธรรมชาติสวยงาม

    และได้มีนักบินผู้หนึ่งเล่าว่า ครั้งหนึ่งหลวงพ่อจงได้ขึ้นเครื่องบินสองที่นั่งไปกับจ่าอากาศเอกผู้หนึ่ง ขณะเครื่องบินวนไปทางอยุธยา หลวงพ่ออยากดูวิววัดหน้าต่างนอกของท่านทางอากาศ จึงชี้ทิศทางบอกให้นักบินพาไป เมื่อถึงแล้วนักบินจึงแจ้งให้ทราบ ตอนนั้นเองหลวงพ่อจงนึกสนุกขึ้นมา เพราะมองเห็นวัดของท่านมีขนาดเล็กนิดเดียว จึงกล่าวแก่นักบินว่าจะหยุดสักครู่ได้ไหม นักบินตอบว่า หยุดนั้นเห็นจะไม่ได้เพราะไม่มีสนามลง นอกจากทำได้ก็เพียงแต่เบาเครื่องโฉบลงไปต่ำหน่อย

    หลวงพ่อจงหัวเราะหึหึ พูดทำนองปรารภขึ้นว่า เอ๊ะน่าจะได้นะพลางชี้นิ้วไปที่คันบังคับและเครื่องบินทันใดนั้นเครื่องบินมีสภาพคล้ายตกหลุมอากาศมหึมา ไม่มีอาการพุ่งไปข้างหน้า แต่หล่นวูบลง นักบินตกใจเป็นอย่างมากและยังคิดไม่ออกว่าจะแก้ไขอย่างไรดี ด้วยไปคิดสงสัยในด้านว่าเครื่องบินอาจมีอุบัติเหตุเครื่องเสีย ในใจก็ให้นึกเป็นห่วงหลวงพ่อจง ครั้นเหลียวมามองดูก็เห็นท่านหลับตาเฉยราวเกือบสิบวินาที ท่านจึงลืมตาขึ้นในขณะที่นักบินก็ง่วนอยู่กับการตรวจดูนั่นนี่หาทางแก้ไขเพื่อความปลอดภัย แล้วก็ได้ยินหลวงพ่อจงพูดยิ้ม ๆ ขึ้นว่า ลงมามากโขพอแล้วเครื่องบินบินต่ำแบบนี้หัวใจมันวูบวาบชอบกล

    ท่านพูดสิ้นคำ เครื่องบินก็ครางกระหึ่ม ทรงตัวเคลื่อนลำพุ่งหน้าออกไป พ้นจากภาวะดั่งราวถูกดูดดึงอยู่กลางหลุมอากาศ
     
  18. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    เล่าขานตำนานหลวงพ่อจง เอกอรหันตเถระแห่งเมืองกรุงเก่า ตอน หลวงพ่อจงรู้วาระใจของผู้ที่มาขอพึ่งบารมีธรรม
    17800215_10212657649345834_5223476484924266229_n.jpg
    หลวงพ่อจงขึ้นชื่อว่า เป็นอริยสงฆ์ผู้เปี่ยมด้วยสง่าราศีมาก ผิวพรรณวรรณะของท่านผ่องใส ดวงหน้าผุดผ่องด้วยละอองเลือด และเมลืองเรื่อไปด้วยรัศมีแห่งพระ แห่งความเมตตาฉายกราดอยู่ตลอดเวลา สายตาของท่านมองทุกคนไม่ว่ายากดีมีจน ผู้องอาจมีสง่าหรือผู้อาภัพหม่นหมอง ท่านมองทุกคนด้วยสายตาของมิตรผู้พร้อมจะเข้าช่วย และโดยมากผู้ที่วิงวอนขอให้ท่านช่วยปลดเปลื้องทุกข์ แม้ท่านเองต้องเสียสละเพียงไร ท่านก็ไม่เคยทำให้ผู้ขอผิดหวัง นอกจากสิ่งที่ท่านไม่มีและไม่อาจแสวงหาให้ได้หรือหมดหนทางช่วยเพราะผิดศีลผิดธรรม

    ยิ่งกว่านั้น ท่านเป็นผู้มีอัธยาศัยอ่อนโยน พอใจในความอะลุ้มอล่วยไม่ต้องการให้ใครทะเลาะเบาะแว้งวิวาทแก่งแย่งชิงดีกันในทางผิดศีลธรรม หลวงพ่อจงถือว่าเป็นภารกิจอันหนักอึ้งซึ่งท่านจะต้องแบกไว้เสมอ แม้ว่าบางครั้งท่านจะต้องลำบากยากกาย เพื่อเสียสละในการเข้าโอบอุ้มช่วยคนทำถูก สิ่งที่ท่านหมั่นกระทำไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยก็คือ พอใจเกลี้ยกล่อมให้โอวาทแก่ผู้ประสบทุกข์ร้อนด้วยการแนะแนวทางที่ชอบที่ควรให้เอาไปมั่นประพฤติปฏิบัติ ท่านเป็นผู้มีภูมิปฏิภาณสูงส่ง สามารถรอบรู้จิตใจผู้ที่เข้าหาท่าน และรู้ว่าท่านพูดอย่างไรจึงจะเป็นที่สบอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดของเขาประกอบกับท่านมีความรู้ในการดูลักษณะคนเป็นอย่างเยี่ยมยอด เพียงแต่เห็นดวงหน้า ท่าทางเดินเหินยืนนั่ง และพูดจาฟังน้ำเสียง ท่านก็จะหยั่งทราบได้ทันทีว่าบุคคลผู้นั้นมีสภาพฐานะเป็นอย่างไร และควรจะยึดถืออาชีพเป็นหลักธำรงชีวิตอย่างไรจึงจะมีฐานะมั่นคงสถาวรตามสมควรแก่อัตภาพ บุคคลนับเรือนหมื่นแสนที่ได้รับคำชี้แจงแนะนำจากหลวงพ่อจง แล้วเชื่อถือเอาไปปฏิบัติตามไม่ทอดทิ้ง ปรากฏว่าบุคคลเหล่านั้นมีอาชีพหลักแหล่งเป็นหลักฐานทำมาหากินคล่อง มีความสุขกายสบายใจตามอัตภาพอันสมควร
     
  19. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    เล่าขานตำนานหลวงพ่อจง เอกอรหันตเถระแห่งเมืองกรุงเก่า ตอน หลวงพ่อจงปราบพวกนอกพระศาสนา
    17799168_10212670578749061_6794152124219996896_n.jpg
    เรื่องราวเกี่ยวกับความเก่งกาจ แผลง ๆ ซึ่งบุคคลและสงฆ์อื่นยากจะทำได้ ยังมีเรื่องพิลึกพิลั่นมาเล่าลือสืบเนื่องกันอีกมากหลายกระทงความ อย่างกับอีกครั้งหนึ่งท่านไปปัตตานี และสงขลาตามคำอาราธนานิมนต์ให้ไปประกอบพิธีมงคลทางพุทธศาสนา ได้มีคนนอกศาสนา สติไม่ใคร่เรียบร้อย มักชอบตลบตะแลงลิ้น พ่นหาว่าพระสงฆ์ไทยไม่ดีจริงไม่เก่งจริง กล่าวท้าทายกระทำวุ่นวายหลายครั้งหลายคราต่อภิกษุสงฆ์ไทยหลายองค์ และวันที่เขาจะเจอดีก็มาถึงเมื่อหลวงพ่อจงต้องเดินทางผ่านสวนยางพาราของเขาไป เห็นมีไฟป่าลุกไม้อย่างรุนแรงแล้วลามเข้าหาสวนยางของเขา เขาผู้นั้นได้ร้องเอ็ดตะโรและคร่ำครวญต่าง ๆ นานาว่าฉิบหายแล้ว ฉิบหายแน่. หลวงพ่อจงเห็นเป็นการน่าเวทนา จึงพูดขึ้นว่า ไม่ฉิบหายน่า พูดแล้วท่านก็ปีนขึ้นไปบนยอดกอไผ่จีนที่ขึ้นอยู่ข้างทาง เอายอดไผ่มาอมในปาก สะบัดไปแล้วร้อง ดับ...ดับ...ดับ...ดับ...ซึ่งอีกสิบนาทีต่อมา ไฟป่าก็ดับโดยอัศจรรย์ ทำคนนอกศาสนาคนนั้นเกิดอาการตะลึงจังงัง และแต่นั้นมาก็ไม่กล้ากระทำวุ่นวายท้าทายใครต่อใครในพุทธศาสนาอย่างคนปากพล่อยสามหาวอีก พร้อมทั้งมีจิตใจหันไปเคารพศรัทธาเลื่อมใสต่อภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่งสืบไปในระยะหลังของชีวิต

    เคยมีผู้สงสัย แคลงใจหลายข้อกระทงความต่อคำเลื่องลือต่าง ๆ ที่ออกจะเชื่อยากว่า เรื่องราวเหล่านี้ที่เขาเล่าลือกันมาจะเป็นความจริงเพียงใด

    หลวงพ่อจงกล่าวตอบด้วยอาการสำรวมมีนัยว่า เรื่องของอารมณ์อย่างนี้ อริยสงฆ์ไม่พึงถือเป็นกิจ แต่อาตมาจะเคยทำอะไรมาบ้าง ถ้าเป็นเรื่องนานแล้ว ก็ไม่ได้สนใจจดจำเอาไว้ เพราะต้องใช้เวลาปฏิบัติกิจของสงฆ์หนักเหนื่อยอยู่เป็นอันมาก ทำชั่วชีวิตก็ยังคงทำไปไม่ได้เท่าไร ส่วนผู้อื่นจะพูดกล่าวขวัญถึงอาตมาทำนองไหนอย่างไร อาตมาไม่ถือสาโกรธเขาดอกนะ
     
  20. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    เล่าขานตำนานหลวงพ่อจง เอกอรหันตเถระแห่งเมืองกรุงเก่า ตอน หลวงพ่อเดิมประลองยุทธ์กับหลวงพ่อจง
    มีเรื่องเล่าลือกันมากเรื่องหนึ่งว่า
    17796309_10212670556708510_8274425347421037879_n.jpg ครั้งหนึ่ง ณ ตำบลบางช้าง ได้มีพระเกจิอาจารย์หลวงพ่อโอภาสี หลวงพ่อแช่ม หลวงพ่อปาน หลวงพ่อจีม ท่านพระอาจารย์ฟ้อน หลวงพ่อเดิม หลวงพ่อเงิน และหลวงพ่อจง ได้รับกิจนิมนต์ไปร่วมพิธีสงฆ์ร่วมกันในงานพิธีนั้นเจ้าของบ้านเขาได้เอาไม่ไผ่มาจักตอกสลับเป็นฉัตรเจ็ดชั้นรูปลักษณะคล้ายเจดีย์ยอดสูงมีความสูงราวสักสองวาเห็นจะได้ และเจ้าของผู้เป็นเข้าพิธีได้อาราธนาขอให้เหล่าเกจิอาจารย์ปีนขึ้นไปบนยอดฉัตร โดยถือว่าเป็นเทพเจ้าแห่งสวรรค์มาประทานพระให้กับเจ้าของบ้าน อันนี้จะเป็นกิจของสงฆ์หรือไม่อย่างไร เมื่อเขาอาราธนานิมนต์พระเกจิเหล่านั้นท่านก็มีอาการอีหลักอีเหลื่อ แต่บางองค์เห็นว่าจะกระทำมิได้เพราะไม่ไผ่สานถักเป็นรูปฉัตรสูงตั้งสองวานั้น และมีลักษณะแบบบาง ตามรูร่องที่ทำไว้ให้เหยียบก็ไม่มั่นคง อาจงอหักเรือล้มลงมามีอันตรายได้โดยง่าย พระหลายรูปจึงปฏิเสธ

    จะมีก็หลวงพ่อเดิม เห็นว่าควรรับนิมนต์ไม่ควรขัดอัธยาศัยเจ้าของบ้าน ซึ่งขณะนั้นทั้งหลวงพ่อเดิมและหลวงพ่อจงต่างมีชื่อโด่งดังในทางคล้ายคลึงกัน หลวงพ่อเดิมได้ปรึกษาหลวงพ่อจงว่า หากท่านเห็นด้วย เราทั้งสองควรรับนิมนต์เป็นผู้เทนพระรูปอื่นเสียด้วยก็จะดี จะได้เสร็จกิจไป เพราะเคยได้ยินว่าท่านก็มีพลังจิตในทางทำตัวเบาเป็นเยี่ยม... พลางก็ชี้ฉัตรด้านข้างเป็นสัญญาณว่าให้หลวงพ่อจงไปที่นั่น ส่วนหลวงพ่อเดิมเองยึดเอาฉัตรที่ตั้งตรงหน้า ตั้งท่าป่ายปืนขึ้นไป อันฉัตรที่สร้างด้วยไผ่สานนี้ ไม่มีที่เกาะจับ แม้จะสอดเท้าเข้ารูที่เว้นเป็นช่องไว้ก็จะสอดเข้าได้เพียงปลายนิ้วเท้าเท่านั้น

    ฝ่ายหลวงพ่อจงไม่ว่ากระไร ท่านหัวร่อหึหึ แล้วออกเดินดุ่มไปหาฉัตรที่ห่างออกไปราวสามวาทันทีหลวงพ่อเดิมสอดปลายเท้าเข้าไปที่รูสำหรับเหยียบ มือเพียงแตะฉัตรก้าวอย่างแผ่วเบาปราดขึ้นไป ท่ามกลางสายตาผู้คนรอบ ๆ ชะเง้อมองอย่างตื่นเต้น พลางปรายตามองดูหลวงพ่อจง แต่แล้วก็ต้องตะลึงเพราะพอหลวงพ่อเดิมขึ้นไปได้ราวห้าศอก หลวงพ่อจงก็ขึ้นไปยืนคร่อมยอดฉัตรซะแล้ว
     

แชร์หน้านี้

Loading...