เอ็ดการ์ เคย์ซี นักพลังจิตที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งอเมริกา

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 22 พฤศจิกายน 2010.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    เมษายน 04, 2009 โดยคุณจิตทิพย์

    เอ็ดการ์ เคย์ซี นักพลังจิตมหัศจรรย์อันดับหนึ่งของอเมริกา เอ็ดการ์ เคย์ซี เคยพยากรณ์ความตายของอดีตของประธานาธิบดีรูสเวลต์ และอดีตประธานาธิบดีเคนเนดีไว้ล่วงหน้า และปรากฏเป็นจริงตามคำทำนายของเขาทุกประการ นับว่าป็นเรื่องแปลกแต่จริง แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงของอเมริกาหลายท่านต่างก็ตะลึงของความมหัศจรรย์ เกี่ยวกับความสามารถของเขาจนแทบไม่น่าเชื่อ

    และนอกจากนี้ เอ็ดการ์ เคย์ซี ยังได้เคยพยากรณ์ได้ถูกต้องว่า จะพบดินแดนบางส่วนที่สัมพันธ์กับอาณาจักรแอตแลนติสมาก่อน

    เอ็ดการ์ เคย์ซี ได้เคยพยากรณ์ไว้ในปี ค.ศ. 1940 ก่อนที่เขาจะสิ้นชีวิตว่า ซากวิหารแห่งหนึ่งของแอตแลนติส จะโผล่ขึ้นมาปรากฏแก่สายตาของชาวโลกในบริเวณใกล้กับหมู่เกาะไบมินิ ในปี ค.ส. 1968 หรือ 1969 อย่างแน่นอน ปรากฏว่าคำพยากรณ์ของ เอ็ดการ์ เคย์ซี ที่กล่าวไว้ก่อนสิ้นชีวิตช่างแม่นยำอะไรขนาดนั้น ซากปรักหักพังหรือซากวิหารได้ปรากฏขึ้นในปีที่เขาทำนายไว้ทุกอย่างถูกต้อง สามารถถ่ายภาพทางอากาศได้อย่างชัดเจน

    เอ็ดการ์ เคย์ซี คือใคร?

    เอ็ดการ์ เคย์ซี คือชาวเวอร์จิเนีย ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกงานค้นคว้าเกี่ยวกับพลังจิต อี.เอส.พี(ESP) ของมนุษย์รุ่นแรกสุดในอเมริกา เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นมนุษย์มหัศจรรย์ที่มีความสามารถสูงในการรับรู้ เหตุการณ์และสิ่งต่างๆล่วงหน้าทางพลังจิต เอ็ดการ์ เคย์ซี เคยกล่าวว่า เรื่องราวของแอตแลนติสนั้นเป็นจริงทีเดียว เกี่ยวกับชีวิตของมวลมนุษย์ในเกาะแอตแลนติส และการเปลี่ยนแปลงของมันนั้น เขาบอกได้ชัดเจนราวกับตาเห็น

    ความสามารถของพลังจิตของเขาทั้งการพยากรณ์ และการรักษาโรค การส่งพลังจิตหรือแม้แต่การรับรู้วาระจิต ขอบุคคลอื่นนั้น มีอิทธิพลอย่างกว้างขวาง และก่อให้เกิดสมาคมหรือองค์การมูลนิธิเอ็ดการ์ เคย์ซีขึ้น ต่อมาได้แตกสาขาย่อยออกไปตามเมืองต่างๆ ในสหรัฐฯอีกเป็นจำนวนมาก

    นอกจากนี้ในระยะเวลาไล่เลี่ยกันนั้น ปรากฏว่าในดินแดนแห่งหนึ่งใกล้กับตอนเหนือของเกาะอันดรอส ซึ่งเป็นเกาะหนึ่งในหมูเกาะบาฮามาสทางตอนใต้ มีซากปรักหักพังของวิหารและป้อมปราการของนครในอดีต ปรากฏขึ้นมาใกล้ๆกับผิวน้ำ ซึ่งสามารถมองเห็นได้ในขณะที่พื้นน้ำสงบนิ่ง

    ประเด็นที่น่าทึ่งที่สุดก็คือ บริเวณที่ซากสิ่งก่อสร้างอันเร้นลับโผล่ขึ้นมาท้าทายสายตาชาวโลกดังกล่าวนั้น ตรงกับตำแหน่งที่ เอ็ดการ์ เคย์ซี ทำนายไว้ทุกประการ มันเป็นไปได้อย่างไร?

    คำทำนายเกี่ยวกับอาณาจักร แอตแลนติส ที่เชื่อกันว่าเป็นแหล่งอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง ในสมัยแรกของโลก

    เอ็ดการ์ เคย์ซี ได้พยากรณ์ไว้ตอนหนึ่งว่า

    ...ทวีปแอตแลนติส เป็นทวีปที่ใหญ่ที่สุดในโลก
    มีขนาดใหญ่กว่ายุโรปทั้งหมด รวมกับแผ่นดิน
    รัสเซีย มีดินแดนต่อทอดไปทั่วโลก

    ชนชาติทีอาศัยอยู่บนทวีปแอตแลนติส
    เป็นชนชาติผิวแดงที่มีความเฉลียวฉลาดเป็นเลิศ
    ผู้คนทั่วไปมีประสิทธิภาาพอย่างดียิ่ง
    มีความรู้ความสามารถในศาสตร์ต่าง ๆ ทั้งปวง
    รวมทั้งงานด้านประติมากรรม วิศวกรรม
    และสถาปัตยกรรมด้วย

    โดยเฉพาะความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์นั้น
    เคย์ซีได้บันทึกไว้เป็นคำพยากรณ์ในบทที่ 2794-L-1
    โดยสรุปว่า ชาวแอตแลนติสมีความรู้
    ความเจริญก้าวหน้าทางด้านเคมี ฟิสิกส์
    และจิตวิทยามาก พวกเขารู้จักประดิษฐ์ไฟฟ้าใช้
    รู้จักผลิตพลังปรมาณูจากยูเรเนียม
    รู้จักผลิตแสงเลเซอร์ ตลอดจนผลิต
    คลื่นวิทยุติดต่อกับดินแดนอื่นได้

    สิ่งสำคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่งก็คือ
    ชาวแอตแลนติสสามารถผลิตพลังงาน
    มหาศาลจากพลึกมหัศจรรย์ชนิดหนึ่ง
    ซึ่งสามารถรวมเอาพลังธรรมชาติ
    ทั้งหมดที่มีอยู่ในโลกและจักรวาล
    เข้าด้วยกัน และเป็นที่น่าสังเกตว่า
    ความสำเร็จในทางวิทยาศาสตร์
    ของชาวแอตแลนติสนั้น อาศัยพลังงาน
    แสงอาทิตย์เป็นสำคัญ

    วัฒนธรรมสูงส่งของชาวแอตแลนติสพัฒนา
    ตลอดมา โดยมีความเกี่ยวพันทางศาสนา
    เริ่มตั้งแต่มีการทำพิธีบูชาพระอาทิตย์
    และเทพเจ้า

    วัฒนธรรมของอาณาจักรแอตแลนติส
    หายสาปสูญไปในที่สุด เมื่อเกิดภัยพิบัติ
    ครั้งใหญ่ ดินแดนของมหาอาณาจักรเกิด
    สั่นสะเทือน และได้ถล่มทลายลงไป
    ใต้ทะเล ภายในชั่วคืนกับชั่ววัน ดังน้นเมื่อ
    ปี 9500 ก่อนคริสต์กาล ชาติแอตแลนติสก็
    หายไปจากโฉมหน้าของโลก

    เคย์ซีกล่าวว่า วัฏจักรแห่งประวัติศาสตร์
    มักจะหมุนเวียนกลับมาอีกเสมอ
    ดังนั้นวิญญาณของชาวแอตแลนติสย่อม
    มีโอกาสกลับมาเกิดใหม่ได้อีก
    จากดินแดนหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง
    และจากทวีปหนึ่งไปยังอีกทวีปหนึ่ง
    หรือจากเกาะหนึ่งไปยังเกาะอื่น ๆ

    มหาอาณาจักรแอตแลนติสมีความเจริญ
    ก้าวหน้าทางวิทยาการเท่ากับโลกเรา
    สมัยปัจจุบัน หรือบางอย่างมีความก้าวหน้า
    มากกว่า พวกเรารู้จักพัฒนา โดยนำเอา
    พลังงานอันมหาศาลมาใช้ให้เกิดประโยชน์

    ในปัจจุบันเคย์ซีเชื่อว่า โลกเราได้มีการ
    เปลี่ยนแปลงอย่างปัจจุบันทันด่วน
    ที่ร้ายแรงที่สุดมาหลายครั้งแล้ว ซึ่งอาจมีผล
    ทำให้อาณานิคมหรือดินแดนบางส่วนของ
    มหาอาณาจักรแอตแลนดิสโผล่ขึ้นมาให้ชาวโลก
    ได้เห็นอีกก็เป็นได้ เช่น เมื่อปี 2483 เคย์ซี
    ทำนายว่าพื้นที่บางส่วนทางด้านตะวันตก
    ของแอตแลนติสจะโผล่ขึ้นมาใกล้ ๆ
    บริเวณหมู่เกาะบาฮามา

    ในช่วงระหว่าง พ.ศ.2511-2512 ปรากฏว่า
    คำทำนายของเคย์ซีได้กลายเป็นความจริง
    คือ ได้มีการค้นพบซากเมืองใต้บาดาลใกล้ ๆ
    หมู่เกาะบาฮามา เรียงต่อกันอย่างประณีต
    ราวกับมีการใช้เทคโนโลยีทางวิศวกรรม
    และสถาปัตยกรรมชั้นสูง หินบางก้อนมีขนาดใหญ่
    พอ ๆ กับขนาดรถบรรทุกเลยดีเดียว
    ลำพังจะใช้กำลังคนช่วยกันแบกหาม
    ขึ้นไปวางเรียงต่อกันก็คงจะไม่ทำได้
    เรียบร้อยและปราณีตเช่นนั้น

    เคย์ซียังทำนายต่อไปอีกว่า
    ภัยพิบัติครั้งร้ายแรงที่เกิดขึ้น จนทำให้
    มหาอาณาจักรแอตแลนติส อันกว้างใหญ่
    ไพศาลถล่มทลายพังพินาศจมหายไปใต้
    ทะเลนั้น จะเกิดขึ้นอีกหลายแห่งในโลก

    เคย์ซีกล่าวว่า
    ในช่วงแรกสุดของโลกเรา เมื่อประมาณ
    10 ล้านห้าแสนปีมาแล้ว มีอารยธรรม
    เกิดขึ้นแล้วเสื่อมสลายไปหลายครั้ง
    ยุคเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรมชาวแอตแลนติส
    อยู่ระหว่างช่วงนับจาก 200000 ลงมา
    จนถึงปี 10700 ก่อนคริสต์กาล คือนับตั้งแต่
    ช่วงเวลาประมาณ 13000 ปี ถอยหลังเป็นต้นไป
    คือสรุปแล้ว จะมีอายุนานประมาณ 80000-
    900000 ปี

    เอ็ดการ์ เคย์ซี เป็นผู้ให้ความกระจ่างยิ่งขึ้นเกี่ยวกับพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาลที่จะได้รับผลกระทบกระเทือนจากแผ่นดินไหวในนครนิวยอร์ก โดยในปี พ.ศ. 2475 เมื่อมีผู้ถามว่าในอนาคตจะเกิดแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงในสหรัฐอเมริกาที่ใดบ้าง เอ็ดการ์ เคย์ซี นั่งทางในอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ตอบว่าจะเกิดแผ่นดินไหวในภาคตะวันตก ภาคกลาง และภาคตะวันออกของสหรัฐอเมริกา โดยจะมีความรุนแรงมากตามบริเวณชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ต่อมาในปี พ.ศ. 2484 เอ็ดการ์ เคย์ซี ระบุแน่ชัดยิ่งขึ้นว่าพื้นที่ในนครนิวยอร์ก และคอนเนคติคัตจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงเนื่องจากแผ่นดินไหว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นครนิวยอร์กจะจมหายไปอย่างไม่เหลือร่องรอยอะไรไว้ นอกจากนั้นเขายังพยากรณ์ไว้ด้วยว่า ดินแดนในทางภาคใต้ของรัฐนอร์ทคาโรไลนา รัฐเซาท์คาโรไลนา และรัฐจอร์เจีย จะเกิดภาวะน้ำท่วมอย่างรุนแรง

    โหรอีกผู้หนึ่งที่ทำนายไว้ในทำนองเดียวกัน ได้แก่ นายจอห์น เพนดรากอน โหรชาวอังกฤษพยากรณ์ไว้ก่อนจะเสียชีวิตไม่นานว่า พื้นที่ทุกหนทุกแห่งตามชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก นับตั้งแต่เมืองบอสตันไปจนถึงเมืองบัลติมอร์ จะพบความวิบัติอย่างย่อยยับ ความวิบัติครั้งนี้จะมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่นครนิวยอร์ก และจะส่งผลทำลายล้างออกไปภายในรัศมี 500 ไมล์ เมืองที่จะถูกทำลายในครั้งนี้รวมทั้งเมืองพิตต์สเบิร์กและเมืองฟิลาเดลเฟีย เมืองเหล่านี้จะถูกทำลายอย่างย่อยยับโดยไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่เลย นอกจากผืนแผ่นดินอันเป็นที่ตั้งของเมืองเท่านั้น

    ภาคพิเศษ

    โหรเทวดา "เอ็ดการ์ เคย์ซี" ได้เปิดเผย (จากการรับรู้ ทางจิตของตัวเอง) ซึ่งข้อมูลไม่ได้พึ่งพาเอกสาร หรือการค้นคว้าใดๆ ทั้งสิ้น ดังเช่นเดียวกับการทำนายอื่นๆ โดยมหาปิระมิดแห่งกิเซนั้น ถูกสร้างขึ้นราวๆ หนึ่งหมื่นปีก่อนคริสต์กาล ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 100 ปีเต็ม โดยใช้ "พลังจักรวาล" ที่มาตลอดช่วงเวลาสองแสนห้าหมื่นปี ซึ่งอียิปต์นั้นยังเป็นดินแดนอยู่ใต้ทะเล แต่ที่ที่อยู่เหนือพ้นน้ำก็มีแต่ทะเลทรายซาฮาร่ากับด ินแดนตอนบนของลุ่มแม่น้ำไนล์ เมื่อดินแดนอื่นๆ เริ่มผุดขึ้นมาเป็นแผ่นดิน ก็ยังกินเวลาอีกนานกว่าที่อียิปต์จะกลายเป็นพื้นที่ท ี่มีคนอยู่อาศัย และชนเผ่าแรกที่มาอาศัยอยู่นั้น เป็นพวกผิวดำ อาศัยอยู่บริเวณตอนบนของลุ่มแม่น้ำไนล์ หลังจากนั้น ก็มาถึงยุคของพระเจ้าไร ซึ่งเป็นกษัตริย์ผู้ปกครองอียิปต์ที่ทรงพระปรีชาสามา รถมากเกี่ยวกับเรื่องทางจิตวิญญาณ เข้าใจเกี่ยวกับกฎของจักรวาล คำสอนต่างๆของพระองค์ ได้ถูกบันทึกไว้ในแผ่นหินและแผ่นไม้ กลายเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เล่มแรกๆ ที่มีผู้รู้จักในชื่อ "คัมภีร์มรณะอียิปต์" (the book of the death) พระเจ้าไรปกครองอียิปต์เป็นเวลา 199 ปี จนคนรุ่นหลังๆ บูชาพระองค์เปรียบเป็น เทพเจ้าองค์หนึ่ง แต่การปกครองของพระองค์มิได้ต่อเนื่อง เพราะถูกรุกราน จนพระองค์ต้องเสียราชบัลลังก์ การถูกรุกรานเกิดขึ้นเมื่อ 11,016 ปี ก่อนคริสต์กาล หรือราวๆ 300 ปี ก่อนที่จะเกิดการระเบิดครั้งสุดท้ายในทวีปแอตแลนติส (ซึ่งเป็นผลให้แอตแลนติสจม) มีชนผิวขาวกลุ่มใหญ่ โดยการปกครองของพระเจ้าอารีท บุคคลผู้นี้มีความเลื่อมใสในพระหนุ่มรูปหนึ่ง ที่มีความสามารถดุจผู้วิเศษ ชื่อราตะ

    --------------------------------------------------------------------------------

    พระราตะ ได้ทำนายไว้ว่า ชาวเผ่าซูที่อพยพมาจากอารเบียจะรุกรานเข้ามาในอียิปต ์ และต่อไปอียิปต์จะเป็นรัฐชั้นนำแห่งยุค เมื่อได้ฟังคำทำนายนั้น พระเจ้าไรก็เอาแต่หมกมุ่นค้นคว้าในเรื่องอภิปรัชญา ไม่ใส่ใจกับการปกครองบ้านเมือง จึงทำให้พระเจ้าอารีท ยึดอียิปต์ได้โดยง่ายอย่างแทบจะไม่มีการต่อต้าน ซึ่งส่งผลให้ทั้งสองประนีประนอมกัน พระเจ้าไรก็ยอมสละราชบัลลังก์ให้พระเจ้าอารีท โดยยกธิดาโฉมงามของพระองค์ให้เป็นพระชายา และสละราชสมบัติให้แก่ราชบุตรของพระองค์ชื่ออารารัทโ ดยพระองค์หันมาเป็นที่ปรึกษาคอยค้ำบัลลังก์ ให้แก่ราชบุตรของตนแทน ต่อมา ก็มาถึงยุคการปกครองของอารารัท ได้มีชาวแอตแลนติส อพยพมาอยู่อียิปต์เป็นจำนวนไม่น้อย คนเหล่านี้มีความสามารถสูง และมีความทะเยอะทะยาน จนพระองค์ต้องยกตำแหน่งสำคัญๆ ทางการเมืองให้แก่ชาวแอตแลนติส เพื่อมิให้คนเหล่านี้คิดการกบฏ ฝ่ายพระราตะ (โหร) ได้รับความไว้วางใจให้เป็นสังฆราชแห่งอียิปต์ มีหน้าที่ในการค้นคว้าเรื่องของจิตวิญญาณและอภิปรัชญ าต่างๆ เพื่อนำมาเผยแพร่แก่ประชาชน เพื่อเป็นการฝึกฝนตนได้พระราตะได้สร้างวิหาร ซึ่งเป็นแหล่งบำบัดสุขภาพของประชาชน โดยเรียนรู้มาจากชาวแอตแลนติส ชื่อเฮปซาฟ ที่เป็นผู้นำทางจิตฝ่ายธรรมะของแอตแลนติสส่วนข้างน้อ ย วิหารที่สร้างขึ้น มีการรักษาผู้ป่วย นันทนาการต่างๆ แต่สิ่งที่พระราตะเน้นก็คือ "การทำสมาธิ"เพื่อสัมผัสโดยตรงกับพลังของพระเจ้าเพื่อขจัดกิเลสให ้หมดไปจากใจ เพราะเป็นข้อบกพร่องทางกายภาพของมนุษย์ ในทัศนะของ "ราตะ" และในช่วงที่พระราตะไม่อยู่ ได้มีกลุ่มการเมืองซึ่งเป็นชาวแอตแลนติส ที่กระหายในอำนาจ ได้วางแผนกำจัดพระราตะ โดยใส่ร้ายว่า พระราตะทำผู้หญิงท้อง พระเจ้าอารารัท หลงเชื่อในคำยุยง ได้เนรเทศพระราตะไปอยู่เมืองชายแดน แต่เมื่อความจริงกระจ่าง ชาวเมืองอียิปต์จึงเชิญพระราตะ กลับมาดังเดิมช่วงนี้เอง ที่พวกผู้นำของอียิปต์ ตัดสินใจที่จะสร้างปิระมิด กับสฟิงส์ขึ้นมา เพื่อใช้เป็นสถานที่เก็บความรู้ บันทึก และหลักวิชาศาสตร์ต่างๆที่เร้นลับของแอตแลนติส กับพระเจ้าไรและพระราตะ ให้ปลอดภัย และอยู่นานเท่านาน เพราะเขารู้ว่า โลกใบนี้จะต้องเผชิญกับการ "เคลื่อนย้ายของแกนโลก" เหมือนอย่างในยุคของแอตแลนติส จึงตัดสินใจสร้างและเลือกที่ราบกิเซนี้เป็นที่ตั้ง เพราะอยู่สูงปลอดภัยจากน้ำท่วม (ในทางตัวเลข ยังอยู่ใกล้ศูนย์กลางของโลก ทำให้ได้รับภัยแผ่นดินไหวได้ยาก) สถานที่เก็บความรู้เร้นลับของชาวแอตแลนติสนี้ อยู่ในห้องลับ ที่เชื่อมระหว่างมหาปิระมิดกับสฟิงซ์ โดยมีทางเข้าใต้ดินอยู่ที่ด้านขาหน้าข้างขวาของสฟิงซ ์ มหาปิระมิดถูกสร้างขึ้นในปี 10,490 ก่อนคริสต์กาล ใช้เวลาก่อสร้าง 100 ปีเต็ม โดยผู้รับผิดชอบเรื่องนี้คือ เฮลเมส ที่เป็นชาวแอตแลนติส


    เอ็ดการ์ เคย์ซี เริ่ม "อ่าน" เรื่องราวเกี่ยวกับแอตแลนติสจาก "บันทึกจักรวาล" ในขณะที่เขาเข้าสู่ภวังค์ ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ.1923 และก็อ่านเรื่อยมา เป็นเวลา 23 ปีเต็ม อิทธิพลของชาวแอตแลนติส ที่กลับมาเกิดในยุคนี้ ส่งผลใหญ่หลวงต่ออารยธรรม ในยุคต้นๆของชาวแอตแลนติส "มนุษย์" กับ "เทพ" มีความแตกต่างกันไม่มาก เพราะมนุษย์สมัยนั้นมีตาที่สามสามารถพัฒนาต่อมไพนิลใ นสมองจนมีพลังจิตมีฤทธิ์เดชต่างๆ แต่เมื่อมนุษย์ยอมแพ้ต่อกิเลส ศีลธรรมเสื่อม โศกนาฏกรรมจึงเกิดขึ้นกับชาวแอตแลนติส 3 ครั้ง ครั้งแรกราวๆ 50,700 ปีก่อนคริสต์กาล เพราะมนุษย์นำสารเคมีมาทำเป็นระเบิด ขับไล่สัตว์ร้ายจนก่อให้เกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไประเบิด ทำให้แกนโลกเอียง เข้าสู่ยุคน้ำแข็ง ครั้งที่สอง ราวๆ 28,000 ปีก่อนคริสต์กาล เกิดน้ำท่วมใหญ่ที่คำภีร์ไบเบิลบอกว่าเป็นยุคของโนอาห์ โดยมีสาเหตุมาจากการใช้พลังคริสตัล ซึ่งเป็นพลังค้ำจุนอารยธรรมมากจนเกินไป จนเกิดภูเขาไประเบิดและแผ่นดินไหว และครั้งสุดท้าย ราวๆ 10,700 ปีก่อนคริสต์กาล
    แต่คราวนี้พวกผู้นำทางจิต ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในหมู่ชาวแอตแลนติสได้มองเห็นเหต ุการณ์จึงได้อพยพและนำความรู้และศาสตร์ต่างๆ มาเก็บไว้เพื่อมิให้สูญหายวิชาเหล่านั้นในยุคของเราร ู้จักกันในชื่อของ โยคะ , ตันตระ , เต๋า และพราหมณ์ นั่นเอง

     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    ยูริ เกลเลอร์
    บทความต่อไปนี้เป็นของนายยูริที่เล่าประวัติของตัวเองไว้นะครับ
    ผมเริ่มต้นด้วยอาชีพแสดงโชว์ในอิสราเอล โดยผมอยู่บนเวทีและอ่านใจผู้ที่เข้ามาชมงาน งอช้อน แหวน กำไล และบังคับให้นาฬิกาที่เสียแล้วกลับมาเดินได้ใหม่ ผมพอใจกับการแสดงนั่นในระดับหนึ่ง ถึงแม้ผู้คนที่นั่นจะคิดว่ามันเป็นเพียงแค่เทคนิคมายากลก็ตาม


    การแสดงบนเวทีพวกนั้นจริงๆไม่มีอะไรต่างจากสิ่งที่ผมทำในชีวิตจริงเลย ผมโตมากับพลังจิตและผมก็อยู่กับมัน ถึงแม้ว่าตอนนั้นผมจะทึ่งกับมัน ซึ่งตอนนี้ผมก็ยังทึ่งอยู่ แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ผมสร้างขึ้นเพื่อให้ตนเองโด่งดังเลย เท่าที่ผมจำได้ พลังอันน่าพิศวงของผมตื่นขึ้นมาโดยเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ประหลาดสองครั้งเมื่อตอนที่ผมยังเด็ก ครั้งแรกสมัยที่ผมอายุ 4 ขวบ ผมชอบไปเล่นในสวนร้างใกล้ๆบ้านในเมืองเทล-อะวี ผมชอบสวนนั่นมาก มันคืออาณาจักรส่วนตัวของผม และบ่ายแก่ๆวันหนึ่งขณะที่ผมเล่นอะไรไปตามปกติเหมือนเด็กทั่วไป ผมได้ยินเสียงแหลมสูงประหลาดเสียงหนึ่งดังก้องในหู เสียงแบบนี้ผมไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อน ผมรู้สึกราวกับว่าเวลาหยุดนิ่งลง และเมื่อผมมองไปรอบๆ ผมพบว่าท้องฟ้าและดวงอาทิตย์หายไป แต่กลับกลายเป็นแสงสีเงินจ้าเคลื่อนลงมาหาผมจากด้านบน มันเคลื่อนลงมาเรื่อยๆจนในที่สุด ผมก็หมดสติไป นั่นคือจุดเริ่มต้นของพลังพิศวงที่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกยังกุมขมับ เมื่อรู้สึกตัวผมพบตัวเองนอนอยู่บนสนามหญ้าโดยไม่ได้รับอันตราย ผมรีบวิ่งกลับบ้านไปบอกแม่ และท่านก็ทำอย่างที่พ่อแม่ทั่วไปทำเวลาที่พวกท่านกังวล….แน่นอนท่านโกรธผม







    เหตุการณ์ประหลาดอีกครั้งหนึ่งที่อาจจะช่วยดึงพลังของผมออกมาหรือมอบให้ มันเกี่ยวกับไฟฟ้า แม่ผมทำงานเป็นช่างเย็บผ้าเพื่อหารายได้เสริมให้กับครอบครัว วันหนึ่งขณะที่แม่ผมทำงานอยู่ ผมสังเกตเห็นแสงสีฟ้าสว่างออกมาจากจักรเย็บผ้า ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนั้นมาก่อน ผมเดินเข้าไปแล้วยื่นมือไปแตะแสงนั่น พอมือผมถูกแสงนั่นก็เกิดแรงกระแทกโยนผมออกไปกลางอากาศ 3-4 ฟุต แล้วหล่นลงมาที่พื้นห้อง คุณคงไม่ต้องอาศัยพลังจิตก็เดาได้ว่าแม่ผมจะเกิดอาการอย่างไร



    และต่อมาเมื่อผมอายุประมาณ 5-6 ขวบ ผมเริ่มตระหนักว่ามีบางอย่างไม่ผิดปกติเกิดขึ้น ผมไม่สามารถเข้าใจได้ว่าสิ่งต่างๆพวกนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร มีครั้งหนึ่งพ่อแม่ผมซื้อนาฬิกาข้อมือให้ ผมดีใจและเห่อมันมาก ผมจะหงุดหงิดมากเมื่อมันเกิดเสียโดยเดินเร็วกว่าปกติขึ้นมาเฉยๆ แต่ผมต้องเล่าให้ฟังว่าช่วงนั้นผมไม่ชอบการเรียนหนังสือที่โรงเรียนเลย ทุกวันผมจะรอคอยเวลาที่วิชาสุดท้ายเลิก และคุณคงพอจะจินตนาการได้ว่าผมผิดหวังแค่ไหนเมื่อผมมองดูที่ข้อมือเห็นว่าได้เวลากลับบ้านแล้ว แต่พอเงยหน้าขั้นมองนาฬิกาหน้าชั้นกลายเป็นว่าชั่วโมงเรียนเพิ่งจะผ่านไปแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น
    ทุกครั้งผมจะตั้งนาฬิกาของผมใหม่และนั่งกัดฟันรอเวลาให้ผ่านไปช้าๆนาทีแล้วนาทีเล่า ผมบอกแม่ว่านาฬิกามีปัญหาแล้วถอดมันทิ้งไว้ที่บ้าน ให้ท่านดู แต่กลายเป็นว่ามันทำงานปกติสมบูรณ์ทุกอย่าง จนผมสวมมันที่ข้อมือ มันก็เสียอย่างเดิมแบบนี้ทุกครั้ง นาฬิกาเป็นกลไกที่ละเอียดอ่อนมาก และผมคงบังคับมันเข้าโดยที่ไม่รู้ตัว ซึ่งน่าจะเป็นเพราะจิตใต้สำนึกของผมต้องการให้เวลาเรียนผ่านไปเร็วๆ จิตของผมจึงไปหมุนเข็มนาฬิกาทุกครั้ง

    ในที่สุด พ่อแม่ผมยอมซื้อนาฬิกาใหม่ให้ ตอนนั้นผมคิดว่า ผมคงจะได้นาฬิกาที่ใช้ได้จริงๆเสียที และในวันแรกที่ผมใส่นาฬิกาใหม่ ผมก้มลงมองดูเวลาและพบว่าเข็มนาฬิกาหงิกงอราวกับพยายามเจาะกระจกหน้าปัดออกมา นับแต่นั้นมาผมไม่ใส่นาฬิกาไปอีกนาน และก็ยังไม่ใส่จนถึงทุกวันนี้


    ตอนนั้นผมค้นพบอย่างทุลักทุเลว่าผมสามารถงอช้อนได้ตั้งแต่เมื่ออายุเพียง 4 ขวบ ผมกำลังกินอาหารกลางวัน แม่ผมทำซุปเห็ดและผมนั่งกินซุปบนโต๊ะในครัว ทันใดนั้นช้อนซุปเกิดงอตัวและดันเอาชามซุปหกราดลงบนตักผม ผมกับแม่ไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น
    เมื่อผมโตขึ้น ผมพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆเข้าด้วยกัน ผมรู้ว่ามีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นกับผมและมันไม่เกิดกับคนอื่นทั่วๆไปแน่ๆ เหตุการณ์แปลกๆพวกนั้นเริ่มทำให้ผมเชื่อว่าเพียงความคิดนั้นเคลื่อนไหววัตถุได้จริงๆ สิ่งประหลาดทั้งหลายเกิดขึ้นโดยผมไม่ได้ต้องการและทำให้ผมอับอายและรู้สึกแปลกแยก


    แม้ตอนที่ผมพยายามแสดงพลังของ ผมเช่นบังคับเข็มนาฬิกา เพื่อนที่โรงเรียนก็หัวเราะเยาะผมเพราะคิดว่าผมได้แสดงกลหลอกเด็ก ซึ่งนั่นทำให้ผมไม่สบายใจ พ่อแม่ผมถึงกับแนะนำให้ผมไปพบนักจิตบำบัดเพื่อหาคำตอบ และเมื่อผมโตขึ้น ผมเรียนรู้ที่จะไม่แสดงออกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับผม เพราะนั่นจะทำให้ผมแปลกแยกจากคนอื่นๆทั้งหมด


    ต่อมา หลังจากที่ผมผ่านช่วงเกณฑ์ทหารให้กับกองทัพอิสราเอลไปแล้ว ผมเริ่มทำงานเป็นนักแสดงบนเวที ผมชอบที่จะอยู่บนเวทีแล้วใช้พลังของผม เวลาผ่านไปผมก็เป็นที่รู้จักมากขึ้น มีอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อท่านรัฐมนตรีโกลดา เมอิร ถูกสื่อมวลชนขอให้ทำนายความเป็นไปของอิสราเอลในปีที่จะมาถึง ท่านรัฐมนตรีตอบอย่างติดตลกว่า “อันนี้น่าจะไปถามยูริ เกลเลอร์ นะครับ”
    ในฤดูร้อนของปี ค.ศ.1971 นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งชื่อ อันดริจา พูฮาริค
    มาพบผมที่เทล-อะวี เขาได้ยินเรื่องราวของผมและต้องการพิสูจน์ด้วยตัวของเขาเองว่าสิ่งที่ผมทำได้เป็นความจริงหรือไม่และไม่นานหลังจากนั้นอันดริจาได้ตัดสินใจว่าควรจะให้ผมเข้าโครงการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์อย่างเต็มรูปแบบภายใต้การควบคุมอย่างเคร่งครัดให้ชัดเจนโดยสมบูรณ์


    ในฤดูใบไม้ผลิ ผมไปที่เยอรมนีเพื่อเปิดตัวต่อสาธารณะชน ในตอนแรกสื่อมวลชนประโคมข่าวว่าผมเป็นผู้ใช้เวทมนต์ ไม่ใช่นักพลังจิต แต่หัวข้อข่าวนั้นก็กลายเป็นเรื่องโคมลอยไปทันทีเมื่อผมได้ทำการหยุดรถเคเบิ้ลกลางอากาศและทำให้บันไดเลื่อนหยุดทำงานด้วยพลังจิตควบคุมวัตถุ


    และที่เยอรมนีนี่เองที่ผมตัดสินใจตกลงทำตามคำและนำของพูฮาริค ที่จะเข้ารับการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ ผมได้ทำการทดสอบต่อหน้า ดอกเตอร์เฟรดเบริท คารเกอร์แห่งสถาบันพลาสมาฟิสิกส์แมกซ์แพลงค์ ในการทดลองคราวหนึ่งดอกเตอร์คารเกอร์ถือแหวนโลหะไว้ในมือ เมื่อผมแตะแหวนนั้นเล็กน้อยแหวนก็บิดอย่างแรงจนขาดออกจากกันเป็นสองชิ้น นักวิทยาศาสตร์ที่สถาบันนำแหวนไปตรวจสอบอย่างละเอียดและให้ข้อสังเกตว่ารอยบิดของเศษแหวนดูคล้ายกับถูกบิดไปคนละทางด้วยคีมสองอัน ซึ่งผมไม่ได้ใช้อุปกรณ์พวกนั้น ทางสถาบันจึงประกาศว่า “พลังของชายผู้นี้เป็นปรากฏการณ์ที่ทฤษฎีทางฟิสิกส์อธิบายไม่ได้”และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้ารับการทดลองทางวิทยาศาสตร์อีกมากมายของผม
    จากเยอรมนี ผมเดินทางไปที่แคลิฟอร์เนียเพื่อเข้ารับการทดลองที่ยาวนานและยืดเยื้อที่สถาบันวิจัยสแตนฟอร์ด (ปัจจุบันคือสถาบันนานาชาติ SRI.)
    การทดลองได้รับการร่วมมือจากนักวิทยาศาสตร์จากหลายประเทศ โดยการนำของนักฟิสิกส์เลเซอร์สองท่าน ดอกเตอร์ฮาล พูธอฟ และ ดอกเตอร์รัซเซล ทาร์ก คุณอันดริจาเองก็เข้าร่วมการทดลองนี้ด้วย รวมถึงกัปตันเอ็ดการ์ มิตเชลที่ได้ลงเหยียบดวงจันทร์เป็นคนที่ 6 ในภารกิจอพอลโล 14 ซึ่งกลายเป็นเพื่อนที่ดีของผมในเวลาต่อมา


    พวกเขาแทบจะผ่าตัวผมออกมาดูในการทดลองครั้งนั้นเพื่อจะหาว่าผมทำอะไรและทำได้อย่างไร พวกเขาเริ่มศึกษาสิ่งที่ผมแสดงในสมัยก่อน การอ่านใจ การงอช้อน และเริ่มให้ผมทดลองทำสิ่งที่พวกเขาคิดขึ้นใหม่ เช่นการลบข้อมูลในม้วนวีดีโอเทป และเบี่ยงเบนตาชั่งดิจิตอลที่มีก้อนน้ำหนักวางไว้ ซึ่งผลก็คือค่าที่ตาชั่งอ่านได้บางครั้งจะน้อยกว่าและบางครั้งจะมากกว่าที่ก้อนน้ำหนักควรจะเป็น ในการทดลองเหล่านี้ผมจะนั่งเงียบๆรวบรวมความสนใจไปที่วัตถุนั้นๆและท่องคำที่เหมาะสมในใจ เช่นคำว่า “ลบ..ลบ”สำหรับม้วนวีดีโอเทปและ”ขยาย”ในกรณีก้อนน้ำหนักเพื่อให้มันหนักกว่าเดิม


    ในขณะที่ผมประหลาดใจกับการทดลองใหม่ๆที่สถาบันนี้ ผมรู้สึกรำคาญที่ต้องนั่งตั้งจิตอยู่เฉยๆนานมากขนาดนั้นทุกวัน และมันยิ่งไม่ง่ายเลยเมื่อพลังของผมเริ่มดึงดูดปรากฏการณ์แปลกๆออกมาอีก : วัตถุบางชิ้นลอยขึ้น,บางชิ้นหายวับไปเฉยๆต่อหน้าต่อตาผมเองและคนที่อยู่ด้วยในขณะนั้น เทปบันทึกเสียงเริ่มบันทึกเสียงโดยที่ไม่ได้เปิดเครื่อง หรือเทปบางม้วยหายไปจากในเครื่องอัด หรือบางทีปุ่มอัดเสียงก็กดตัวมันเองให้ทำงานได้


    และแล้ว ประสบการณ์ที่แปลกที่สุดเกิดขึ้นในคืนหนึ่งของเดือนพฤศจิกายนที่นิวยอร์ก
    ผมพักอยู่ในห้องเช่าในฝั่งตะวันออกของเมืองและไปเยี่ยมเพื่อนผม ไบรอนและมาเรีย เจนนิส ซึ่งอาศัยอยู่ในฝั่งตะวันออกเหมือนกัน ผมออกจากบ้านของเพื่อนทั้งสองเวลา 17:30 น. เพื่อซื้อของขวัญที่ห้างสรรพสินค้าแล้วกลับบ้านอาบน้ำแต่งตัวเพื่อเอาไปให้เพื่อนเวลา 18:00 น. วันนั้น ที่ห้างสรรพสินค้า ผู้คนที่มาจับจ่ายซื้อสินค้าค่อนข้างมาก ผมจึงเปลี่ยนไปซื้อที่ร้านอื่นบริเวณนั้นและกลับบ้าน ผมเริ่มวิ่งเหยาะๆเพราะไม่ต้องการจะไปสายกว่าที่นัดไว้ ทันใดนั้น ผมรู้สึกแปลกอย่างที่สุด คล้ายๆกับว่าผมกำลังวิ่งถอยหลังและรู้สึกว่าตัวผมพุ่งขึ้นข้างบน สิ่งต่อมาที่ผมเห็นก็คือเขตระนาบรังสีแปลกๆอยู่เหนือหัวผมขึ้นไปในอากาศ และผมจึงพบว่าตอนนี้ผมอยู่กลางอากาศถูกดูดเข้าหาแผ่นรังสีนั่น โชคดีที่ผมรู้สึกตัวก่อนและมีเวลาเตรียมรับแรงปะทะที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ผมพุ่งทะลุแผ่นอะไรสักอย่างนั่น และหล่นลงบนโต๊ะกระจกตัวหนึ่ง ซึ่งผมตกใจมาก เพราะมันคือที่ที่ผมรู้จักดี มันคือบ้านของคุณอันดริจา พูฮาริคในเมืองออสซินิงก์ ซึ่งหากออกไปประมาณ 30 ไมล์จากนิวยอร์ก
    เวลา 18:15 หลังจากที่ผมตกลงมาบนโต๊ะกระจก อันดริจากำลังดูโทรทัศน์อยู่ที่บ้านและก็ได้ยินเสียงกระจกบานใหญ่แตกจึงรีบมาดู เขาแทบไม่เชื่อตาตัวเองที่เห็นผมนอนอยู่บนพื้นกับเศษกระจก ผมตกใจจนทำอะไรไม่ถูก และขณะที่ผมกำลังพยายามลุกขึ้น มาเรียก็โทรมาจากนิวยอร์ก และพอคุณอันดริจาเอาหูโทรศัพท์ให้ผมคุยกับมาเรียเธอถึงกับพูดอะไรไม่ออกด้วยความประหลาดใจ ผมเพิ่งออกจากห้องเช่าของเธอเมื่อห้าสิบนาทีก่อนและไม่มีทางเดินทางมาที่นี่ด้วยวิธีทีเดินทางปกติเลย



    ผมดีใจมากที่ สถาบัน SRI ประกาศ (ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมรู้อยู่แล้ว) ว่าสิ่งที่ผมทำเป็นผลจากจิตของผมโดยไม่เกี่ยวกับเทคนิคมายากลหรือการตบตาผู้ชมแบบอื่นๆแต่อย่างใด ผมเคยถูกกล่าวหาว่าใช้เทคนิคแผลงๆในการทำสิ่งที่เกิดขึ้น เช่นว่าแอบเอาเครื่องยิงแสงเลเซอร์ซ่อนไว้ในแขนเสื้อ (คุณคิดว่าผมจะมีแขนเหลือหรือไม่ถ้าผมทำแบบนั้น) หรือซุกสารเคมีที่มีอำนาจบิดงอโลหะไว้ในฝ่ามือ (นิ้วผมจะเป็นยังไงนะแบบนั้น)ไปจนถึงสะกดจิตผู้สังเกตการณ์และซ่อนเครื่องส่งวิทยุไว้ในฟัน ข้อครหาที่กล่าวมาล้วนน่าตลกสิ้นดี




    ขณะที่เรากำลังจะจบโครงการทดลอง เราได้ยินว่านิตยสารTIMES กำลังจะตีพิมพ์เรื่องมั่วๆ (ขอใช้คำนี้นะคับ) อย่างหนึ่งเกี่ยวกับการทดลองนี้โดยไม่มีมูลความจริง พวกเขาร้องขอสำเนารายงานของทางสถาบัน ซึ่งไม่สามารถจะให้ได้ เพราะฮาล พูธอฟ กับ รัซเซล ทาร์ก กำลังจะนำเรื่องนี้ลงตีพิมพ์ในนิตยสาร NATURE (ซึ่งพวกเขาลงจริงๆในเวลาต่อมา) เหตุการณ์ นี้เหมือนน้ำทะลักออกจากเขื่อน เราถูกโจมตีจากสื่อต่างๆรอบด้าน นิตยสาร NEW SCIENTIST นำเรื่องของเราในนิตสาร NATURE ไปขึ้นปกวิจารณ์และเชิญเหล่าผู้เชี่ยวชาญมาร่วมแสดงความเห็นกันอย่างเป็นตุเป็นตะ นิตยสารต่างๆวิจารณ์เราอย่างไม่มีความเป็นวิทยาศาสตร์จนผลการทดลองของเราดูเหมือนขยะที่ไม่มีความเป็นวิทยาศาสตร์เลย



    ผมเชื่อว่าทุกคนมีสิทธิ์ที่จะแสดงความคิดเห็นของเขาเอง แต่สิ่งที่ไม่เคยทำให้ผมหยุดทึ่ง ก็คือการที่คนบางคนยินดีเสียเหลือเกินที่จะไม่ยอมรับเรื่องบางอย่างเพียงเพราะพวกเขาไม่เข้าใจมัน แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงบางคนซึ่งคุณเองก็คิดว่าเขาน่าจะฉลาดมาก ก็ยังปฏิเสธที่จะชื่นชมแนวคิดใหม่ๆเพราะมันขัดแย้งกับทฤษฎีของเขา เขาโจมตีแนวคิดใหม่นั้นว่าเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้และไม่คู่ควรต่อการใส่ใจ


    ในยุคที่กำลังจะถึงปี 1970 ผมได้อำลาจากวงการสื่อมวลชน มีบางอย่างที่ผมต้องไปจัดการให้เสร็จสิ้น รวมถึงสุขภาพและภารกิจส่วนตัว ผมต้องใช้พลังของผมในการแก้ภาวะผิดปกติในการกินอาหารของผม (Bulimia eating disorder)

    ผมแต่งงาน มีบุตรที่วิเศษสองคนคือแดเนียลและนาตาลี ผมรับงานลับๆที่บริษัท เอกชนและรัฐบาลจ้างผม และผมยังทำงานเป็นนักค้นหาตำแหน่งให้กับบริษัทน้ำมันและเหมืองแร่ขนาดยักษ์ ในกลางทศวรรษ 1980 ผมและครอบครัวย้ายจากอเมริกาไปอยู่ที่เกรท บริเทน ที่หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง ใกล้กรุงลอนดอน ซึ่งเราใช้ชีวิตที่นั่นอย่างสงบสุขเรื่อยมา

    นักพลังจิต ???
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    ข้อความนี้แต่งขึ้นจากความจริงเล็กน้อยและมีความสมเหตุสมผลบ้าง ข้าพเจ้าให้มันเป็นเป็นทฤษฎีเชิงปรัชญา โดย Marton“เมื่อ2600ปีที่แล้ว มีมหาบุรุษผู้หนึ่งได้ประสูติขึ้น ณ ดินแดนชมพูทวีป พระนามว่า สิทธัตถะ พระองค์ได้ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ตามความเห็นส่วนตัวของข้าพเจ้าคำว่าพระพุทธเจ้า เป็นสรรพนามที่ใช้เรียกผู้ที่รู้ในทุกสรรพสิ่งแต่ด้วยความรู้แล้วอาจไม่สามารถใช้คำว่าพระพุทธเจ้าได้ แต่ต้องเป็นผู้ที่ละซึ่งกิเลสได้หมดสิ้นอาจกล่าวได้ว่าพระพุทธเจ้าคือ มนุษย์คนเดียวที่ละกิเลสได้หมดสิ้น ข้าพเจ้าคิดว่าแบบนั้น พระองค์มีกระบวนการคิด มีเหตุผล และอัจฉริยะยิ่งกว่านักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่อย่าง อะคีมิดิส หรือไอน์สไตน์ อย่างน้อยสามคูณสิบกำลังแปดเท่าหรือมากมายมหาศาลกว่านั้นมาก เมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้วได้ทรงเทศนาสั่งสอนผู้คนในเชิงชีวิต ทั้งที่พระองค์มีความรู้ทุกเรื่อง ข้าพเจ้าคิดว่า วิทยาการที่มนุษย์จุบันมีหรือค้นพบพระองค์ทรงรู้เป็นแน่แท้แต่ พระองค์ไม่บอกเฉยๆเพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้หลุดพ้นเลย เคยมีเรื่องเล่าว่า เมื่อข่าวคราวของการบังเกิดขึ้นของผู้รู้ได้แพร่ไปทั่วจนถึงหูของนักปราชญ์ยุโรปผู้หนึ่งที่กำลังค้นคว้า หรือสงสัยว่าจักรวาลเกิดขึ้นได้อย่างไรเขาจึงคิดที่จะนำคำถามดั้นด้นจากดินแดนยุโรปมาที่ชมพูทวีป และเขาก็ได้พบกับพระพุทธเจ้าแล้วถามไปว่า ใช่ท่านหรือไม่ที่ผู้คนบอกว่าเป็นผู้รู้ ถูกต้องแล้วท่านนักปราชญ์ พระพุทธเจ้าตอบ เขาเลยถามพระพุทธเจ้าว่า ข้าอยากรู้เป็นยิ่งว่าจักรวาลเกิดขึ้นอย่างไร พระพุทธเจ้าตอบคำถามของเขาด้วยนิทานเรื่องหนึ่งว่า มีนักรบผู้เกรียงไกรผู้หนึ่ง นำทับออกจากเมืองของเขาไปรบตีเมืองต่างๆไปทั่วสารทิศไม่มีที่ใดที่เขาตีไม่ได้ ยึดดินแดนไปเกือบค่อนทวีปความยิ่งใหญ่ของเขาได้ส่งความหวาดกลัวไปทั่ว จนวันหนึ่งในขณะรบ เขามิได้ทันระวังตัวเขาจึงโดนยิงด้วยธนูที่กลางอกเขาเขาบาดเจ็บสาหัสเหล่าทหารจึงถอยทับนำเขากลับมาที่เมืองของเขาเพื่อจะให้แพทย์ผ่าตัดเอาศรธนูออก แต่นักรบผู้เกรียงไกรมีความทรนงในศักดิ์ศรีจะไม่ยอมให้แพทย์ผ่าตัดเอาศรธนูออก หากไม่รู้ว่าใครเป็นคนยิงศรธนู เป็นชนชาติใด โลหะที่ใช้ทำหัวศรคือโลหะใด ใช้ไม้ชนิดใดทำคันศรและตัวธนู ใช้วัสดุใดทำเชือก คนยิงอยู่ห่างตัวของเขาขณะยิงเท่าใด หากรู้สิ่งเหล่านี้แล้วจึงค่อยผ่าตัดออก ในขณะที่ชีพจรของเขาริบหรี่ลงเขาสั่งให้ทหารไปหาสิ่งที่เขาอยากรู้เขาจะรอ แพทย์ผู้ทำการผ่าตัวมองเห็นแล้วว่าหากไม่รีบผ่าตัดเอาหัวศรออกบัดเดี๋ยวนี้ นักรบผู้เกรียงไกรจักต้องตายเป็นแน่แท้ แพทย์เลยบอกกับนักรบผู้เกรียงไกรว่า ท่านนักรบผู้เกรียงไกร ท่านจะรอที่จะรู้ทำไมเล่าสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ทำอะไรดีขึ้นเลยมีแต่จะยืดเวลาให้ศรธนูกินชีวิตท่านให้หมดสิ้นหากท่านไม่รีบผ่าตัดออกชีวิตของท่านคงไม่เหลือบัดเดี๋ยวนี้ คำพูดของแพทย์ผู้ผ่าตัด ทำให้นักรบผู้เกรียงไกรตระหนักเห็นว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดยิ่งกว่าสิ่งที่เขาอยากจะรู้คือ ชีวิตของเขา นักรบผู้เกรียงไกรจึงให้แพทย์ผ่าตัดเอาหัวศรออก โดยไม่รอแล้วว่าสิ่งที่เขาอยากรู้เป็นอะไร เพราะเขารู้รู้แล้วว่าสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ชีวิตของเขา พอพระพุทธเจ้าเล่าจบเลยบอกกับเขาว่าบางสิ่งไม่สำคัญเลย สังขารหายืนยงไม่ ชีวิตของท่านไม่เที่ยงแท้ ท่านอย่ามีชีวิตอยู่บนความประมาทเลย จงรีบขวานขวายทำความดีให้ชีวิตพนจากทุกข์เถิดเมื่อพระพุทธเจ้าพูดจบ ไม่มีใครรู้เลยว่านักปราชญ์จากยุโรปผู้นั้นคิดเยี่ยงไร เขาได้ลาพระพุทธเจ้าแล้วได้เดินทางกลับ พระพุทธเจ้าจะไม่ปฏิเสธคำถามแต่จะตอบคำถามในเชิงคำสอน ชึ่งจะเป็นนัยให้คิดได้ ไม่แน่อาจเป็นสิ่งที่เราต้องการคำตอบก็เป็นได้”“ในคำสอนของพระพุทธเจ้าผู้ที่ไม่มีคำโกหกแม้แต่ 1/1000000000000000.........ของอิเล็กตรอน ได้กล่าวว่า ครั้งหนึ่งก่อนที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์เป็นคนอื่นมาก่อนซึ่งเยอะมากซึ่งที่สำคัญ มีอยู่ 10 ชาติ เท่าที่ข้าพเจ้ารู้มา มีอยู่ 500 ชาติ ซึ่งทำให้เกิดแง่คิดที่สำคัญว่า เคยมีอารยะธรรมก่อนหน้านั้นมาก ซึ้งตาหลักแล้วที่ข้าพเจ้ารู้มาชีวิตเฉลี่ยของมนุษย์จะลดลง 1 ปี ทุกๆ 100 ปี หากเปรียบเทียบกับอายุเฉลี่ยของมนุษย์ปัจจุบันแล้วอาจกล่าวได้ว่าสมัยพุทธกาล อายุเฉลี่ยของมนุษย์คือ 100 ปี หากอ้างตาม เรื่องราว 500 ชาติ ของพระพุทธเจ้าแล้ว ให้ 1 ชาติ มีอายุ 100 ปี จะได้ว่ามนุษย์ได้มีอารยะธรรมมาแล้วอย่างน้อย 50000 ปี ซึ่งไม่เกินเวลาที่นักโบราณคดีปัจจุบันได้ศึกษาแล้วว่าช่วงเวลาที่นับว่ามีมนุษย์โดยไม่นับรวมช่วงที่ยังเป็นมนุษย์วานร คือ 100000 ปี ”“หากเราลองคิดถึงพัฒนาการด้านความสามารถ ความรู้ของมนุษย์ในช่วง 2000 ที่ผ่านมา จะเห็นสามารถทำให้มีเทคโนโลยีที่ดี และยอดเยี่ยมได้ถึงเพียงนี้ หากเราให้เวลาในการพัฒนาการของมนุษย์อย่างเต็มที่ 10000 ปี จะทำให้จะทำให้เรารู้ว่ามนุษย์เรามีความเจริญอย่างเต็มขีด หรือไม่ก็สูงส่งมาแล้วอย่างน้อย 10 ช่วง”“จากความเป็นมนุษย์ที่เราคุ้นเคยและรู้จัก มนุษย์ย่อมมีกิเลส ยิ่งยุคสมัยเปลี่ยนไป เทคโนโลยีเจริญก้าวหน้า มีอาวุธร้ายแรง เช่น ไฟบรรลัยกัลป์ มนุษย์บ้าคลั่งในอำนาจ แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าจะพูดคือช่วงเวลาที่มนุษย์มีความเจริญถึงขีดสุดยอมทำให้มนุษย์ใช้เทคโนโลยีในทางที่ผิดทำลายล้างกันเองจนเกิดความหายนะแก่อนาจักร”
    Bermudathai: เบอร์มิวดา
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    เบอร์มิวดา


    <SMALL class=date-header>Saturday, January 30, 2010</SMALL>
    [​IMG]

    สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา (อังกฤษ: Bermuda Triangle) เป็นบริเวณสมมติในมหาสมุทรแอตแลนติก มีเนื้อที่ประมาณ 1.2 ล้าน ตร.กม. อยู่ระหว่างจุด 3 จุดที่ไม่เป็นรูปสามเหลี่ยมด้านเท่า ได้แก่ เปอร์โตริโก ปลายสุดของมลรัฐฟลอริดาในสหรัฐอเมริกา และเกาะเบอร์มิวดาซึ่งเป็นดินแดนในปกครองของสหราชอาณาจักร สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นที่รู้จักทางสื่อมวลชนอย่างแพร่หลาย หลังจากที่ค้นพบว่าคุณสมบัติทางฟิสิกส์ต่างๆ ไม่เป็นไปตามกฎพื้นฐาน

    สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา เริ่มเป็นที่รู้จักในปี พ.ศ. 2494 (ค.ศ. 1951) หลังจากที่มีเรือขนาดใหญ่หายสาบสูญภายในบริเวณสามเหลี่ยม รวมถึงเครื่องบินและเรือขนาดเล็กอื่นๆ จนได้รับขนานนามว่า "สามเหลี่ยมปีศาจ" (The Devil's Triangle)
    ที่มา
    ศัพท์คำว่า "สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา" หรือ "Bermuda Triangle" นี้ มีที่มาจากบทความนิตยสารอาร์กอสซี่ เจ้าของบทความชื่อ Vincent H. Gaddis ได้นำเสนอเรื่องราวของเรือและเครื่องบินที่สาบสูญไปอย่างลึกลับโดยปราศจากคำอธิบายในนิตยสารดังกล่าว เมื่อปี ค.ศ. 1964 แต่ แกดดิส ไม่ได้เป็นคนแรกที่สังเกตเรื่องนี้ ก่อนหน้าในปี ค.ศ. 1952 นาย George X. Sands เสนอเรื่องทำนองนี้เช่นกันในนิตยสาร Fate เนื้อหากล่าวถึงปริมาณของเรือและเครื่องบินที่สาบสูญไปอย่างผิดปกติในบริเวณน่านน้ำดังกล่าว ซึ่งยอดสูญหายนี้มันมากเกินไปกว่าที่จะสันนิษฐานว่าเป็นอุบัติเหตุ

    ถัดมาในปี ค.ศ. 1969 นายวอลเลซ สเปนเซอร์ ได้เขียนหนังสือว่าด้วยสามเหลี่ยมปริศนานี้โดยเฉพาะออกจำหน่ายในชื่อว่า "Limbo of the Lost" ถัดจากนั้น ก็มีหนังสือออกจำหน่ายตามมาอีกมากมายเกี่ยวกับความลึกลับของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ซึ่งก็มียอดจำหน่ายดีแทบทุกเล่ม ที่มีชื่อเสียงเป็นพิเศษคือบทความที่มีชื่อว่า "The Devil's Triangle" ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1974 ซึ่งเป็นเนื้อหาสำหรับเป็นคนที่ชื่นชอบความลึกลับเกี่ยวกับสามเหลี่ยเบอร์มิวดาเป็นอันมาก เป็นที่น่าสังเกตคือ หนังสือแทบทุกเล่มมุ่งประเด็นไปยังมุมมองที่ว่า เบื้องหลังของการสูญหายนี้ มาจากเทคโนโลยีของสิ่งทรงภูมิปัญญามากกว่าประเด็นอื่น เช่นมาจากมนุษย์ต่างดาว หรือมนุษย์ที่อาศัยอยู่ใต้มหาสมุทรบริเวณนั้น ต่างก็หาหลักฐานและทฤษฎีมาถกเถียงกันและบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดามีอาณาบริเวณที่กว้างมากจาก ฟลอริด้า-เปอร์โต ริโก-เกาะเบอร์มิวดา กินพื้นที่ประมาณ ห้าแสนตารางไมล์ เพราะฉะนั้นการจะค้นหาอะไรๆจากสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาจึงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็มีองค์กรของรัฐ เอกชน ต่างให้ความสนใจในการสำรวจ โดยหวังว่าจะเจอหลักฐานอะไรก็ตามที่นำมาใช้ไขปริศนาของดินแดนบริเวณนี้ได้ . และมีนักบินขี่เครื่องบินสามลำแล้วหายไปในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ล่าสุดมีนักบินที่ขี่ผ่านบริเวณนั้นเห็นยานUFOและได้ถ่ายภาพเอาไว้ได้
    นักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ นักสมุทรวิทยา และอีกหลายอาชีพ ให้ความเห็นและทฤษฎีเกี่ยวกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา มาดังนี้

    ทฤษฎีที่ว่า อาจจะเป็นไปได้ที่บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดานั้น ตั้งอยู่ในจุดสมดุลของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า กับพลังของสนามแห่งแรงโน้มถ่วงพอดี ซึ่งทำให้เกิดช่องว่างของอีกมิติหนึ่งในห้วงเวลาอวกาศ และเมื่อเรือหรือเครื่องบินแล่นเข้าสู่ช่องว่างแห่งนี้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางมิติหายลับไปทันที แต่เนื่องจากว่าวิทยาการทางเทคนิคของเราในปัจจุบันนี้ยังไม่มีความรู้พอที่จะแก้ไขสถานการณ์อันนี้ได้ การหายสาบสูญของพวกเรา ก็เป็นไปในทำนอง เดินทางเดียว เท่านั้น คือเมื่อมิติถูกเปลี่ยนไปแล้ว ก็ไม่อาจจะทำให้กลับคืนสู่มิติเดิมได้ ส่วนสิ่งมีชีวิตปัญญาสูงจากนอกโลกที่มาจากจานบิน คงจะทราบและเข้าใจในกฎเกณฑ์อันนี้เป็นอย่างดีจึงได้ใช้ช่องว่างที่เกิดจากสมดุลอันนี้ เป็น ประตู ทางเข้าออกในการเปลี่ยนแปลงทางมิติเพื่อเข้าสู่โลก ด้วยเหตุจึงมีผู้พบเห็นจานบินบ่อยๆ (สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นสถานที่ซึ่งมีผู้พบเห็นจานบินบ่อยที่สุดและมากที่สุดในโลก) และมันจะหายตัวไปแบบฉับพลัน ซึ่งตอนนั้นเองที่จานบินเปิดประตูมิติ เรือหรือเครื่องบินผ่านมาบริเวณนั้นพอดี ก็เลยแล่นเข้าสู่ประตูมิติ
    ทฤษฎีที่ว่า บริเวณใต้สามเหลี่ยมเบอร์มิวดานั้นเป็นจุดที่ อาณาจักรแอตแลนติสจมลง ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าชาวแอตแลนติสมีความเจริญรุ่งเรืองมาก ต้องมีพลังงานอะไรบางอย่างที่ชาวแอตแลนติสสร้างเอาไว้ ทำให้เรือและเครื่องบินบริเวณนั้นหายสาบสูญแบบไร้ร่องรอย
    ทฤษฎีที่ว่า บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา เป็นเหมือนสถานีที่สิ่งมีชีวิตที่ทรงปัญญากว่ามาสร้างเอาไว้ เพราะหลายต่อหลายครั้งที่มีผู้คนพบเห็นแสงไฟจากใต้น้ำบ้าง จานบินใต้น้ำบ้างและก็มีผู้พบเห็นจานบินโผล่ขึ้นมาจากน้ำ ดำดิ่งลงไปในน้ำ ความเร็ว 150 นอตต่อชั่วโมงเท่ากับเฮลิคอปเตอร์ และในปัจจุบันก็ยังไม่มีเรือดำน้ำให้ทำความเร็วได้ขนาดนั้น บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นจุดที่พบเห็นจานบินบ่อยและมากที่สุดในโลก เพราะบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นจุดบอดของสนามแม่เหล็กจึงสามารถทำให้สามารถนำยานลงจอดซึ่งมีไม่กี่แห่งบนโลก
    ทฤษฎีที่ว่า มีสิ่งมีชีวิตที่มีภูมิปัญญาอยู่ใต้ท้องมหาสมุทร ตามหลักของชีววิทยา สิ่งมีชีวิตจะเริ่มต้นมาจากทะเลก่อน และเนื่องมากจากท้องทะเลมีอาณาเขตมากกว่าพื้นดินถึงสองเท่า มนุษย์ใต้มหาสมุทรเหล่านี้จึงมีเนื้อที่สำหรับ การแพร่ขยายพันธุ์มากกว่าเรา และจากเหตุที่พวกนี้ได้เกิดขึ้นก่อนมนุษย์เรา ดังนั้น การพัฒนาทางเทคนิคของพวก เขาก็คงล้ำหน้าไปกว่าเรามากทีเดียว เท่าที่ผ่านมาเป็นเวลานาน มนุษย์ใต้สมุทรเหล่านี้จะไม่ติดต่อเกี่ยวข้องอันใดกับพวกเรา ถือว่าต่างคนต่างอยู่ แต่จากความก้าวหน้าทางเทคนิคของพวกเราในปัจจุบัน อาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อสภาพแวดล้อมของพวกเขาได้ พวกนี้จึงเปลี่ยน นโยบายที่ว่าต่างคนต่างอยู่ ออกมาสังเกตความเป็นไปของชาวเรา ที่อยู่บนพื้นโลกอย่างลับๆและเงียบสงบ ซึ่งบางทีบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา อาจเป็นบริเวณที่สะดวกที่สุดที่พวกเขาจะออกมาสำรวจโลกเบื้องบน
    ทฤษฎีที่ว่า เป็นจุดที่มีแรงดึงดูดของโลกมากที่สุด เนื่องจากแรงดึงดูดของบริเวณนี้สูงกว่าบริเวณอื่น จะทำให้เครื่องบิน หรือเรือ จมลงทะเล
    ทฤษฎีที่ว่า เป็นบริเวณที่สนามแม่เหล็กมีความเข้มข้นสูงที่สุด ซึ่งจะทำให้เครื่องบิน หรือเรือที่ใช้เครื่องยนต์ โดนสนามแม่เหล็กทำให้เครื่องยนต์เสียหาย และจมลงในที่สุด

    [​IMG]
    [​IMG]
    ทฤษฏีที่ว่า เป็นบริเวณของประตูเวลาที่เกิดขึ้นโดยตัวเรายังคงอยู่ที่เดิมในขณะที่กาลเวลาเปลี่ยนแปลงไป[1] หรือที่เรารู้จักมักคุ้นกันในนามของ ไทม์แมชชีน นั่นเอง ซึ่งหลังจากที่ประตูเวลาปิดตัวลง เมื่อนั้นเวลาก็จะคืนกลับสู่ความเป็นปัจจุบัน เราจึงไม่สามารถหาสถานที่แห่งนั้นได้พบ 1. ทฤษฎีเกี่ยวกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรีสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า (Bermuda Triangle) เป็นดินแดนในมหาสมุทรแอตแลนติก เนื่้อที่ประมาณ 1.5 ล้าน ตร.กม. ระหว่าง 3 จุด คือ เปอร์โตริโก้ ปลายสุดของรัฐฟลอริด้า (สหรัฐอเมริกา) และ ประเทศเบอร์มิวด้า (ประเทศในอาณานิคมของสหราชอาณาจักร) สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าเป็นที่รู้จักทางสื่อมวลชน อย่างแพร่หลาย หลังจากที่ค้นพบว่าคุณสมบัติทางฟิสิกส์ต่างๆ ไม่เป็นไปตามกฎพื้นฐานสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า เริ่มเป็นที่รู้จักในปี พ.ศ. 2494 (ค.ศ. 1951) หลังจากที่มีเรือขนาดใหญ่หายสาบสูญภายในบริเวณสามเหลี่ยม รวมถึงเครื่องบินและเรือขนาดเล็กอื่นๆ จนได้รับขนานนามว่า "สามเหลี่ยมปีศาจ" (The Devil's Triangle) สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ( Bermuda Triangle ) ดินแดนต้องคำสาปที่ชาวโลกต่างยกให้เป็นที่หนึ่งในเรื่องความเร้นลับและอาถรรพ์ พื้นที่ตั้งของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นพื้นที่สามเหลี่ยมในทะเลซึ่งมีเนื้อที่ 1.5 ล้านตารางไมล์ ซึ่งอยู่บริเวณหมู่เกาะในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือไปถึงตอนใต้ของฟลอริดามุ่งตรงไปทางตะวันออก ทำมุมสี่สิบองศากับเส้นรุ้งผ่านบาฮามัสและเปอร์โตริโกจากนั้นก็ย้อนเฉียงกลับไปสู่ทางใต้ตอนเหนือของเบอร์มิวด้าทำให้อาณาบริเวณแห่งนี้กลายเป็นรูปสามเหลี่ยมและเป็นแหล่งกำเนิดปรากฏการณ์เร้นลับขึ้นปรากฏการณ์ลึกลับและเหลือเชื่อ เริ่มต้นตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองในปี ค.ศ. 1945 จนถึงปัจจุบัน ในน่านน้ำแห่งนี้ได้กลืนกินเครื่องบินจำนวนกว่า 100 เครื่องและเรือเดินสมุทรอีกจำนวนมาก รวมถึงมนุษย์อีกนับพันคน ทั้งหมดนั้นล้วนหายไปในบรรยากาศและพื้นทะเลของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาแห่งนี้โดยไม่มีร่องรอยหรือเศษชิ้นส่วนใดๆ ของเรือหรือเครื่องบินที่หายไปเหลือให้เห็นเลยและมันยังคงดำเนินอย่างนี้ต่อไปโดยมีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ( Bermuda Triangle ) ดินแดนต้องคำสาปที่ชาวโลกต่างยกให้เป็นที่หนึ่งในเรื่องความเร้นลับและอาถรรพ์ พื้นที่ตั้งของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นพื้นที่สามเหลี่ยมในทะเลซึ่งมีเนื้อที่ 1.5 ล้านตารางไมล์ ซึ่งอยู่บริเวณหมู่เกาะในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือไปถึงตอนใต้ของฟลอริดามุ่งตรงไปทางตะวันออก ทำมุมสี่สิบองศากับเส้นรุ้งผ่านบาฮามัสและเปอร์โตริโกจากนั้นก็ย้อนเฉียงกลับไปสู่ทางใต้ตอนเหนือของเบอร์มิวด้าทำให้อาณาบริเวณแห่งนี้กลายเป็นรูปสามเหลี่ยมและเป็นแหล่งกำเนิดปรากฏการณ์เร้นลับขึ้น ปรากฏการณ์ลึกลับและเหลือเชื่อ เริ่มต้นตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองในปี ค.ศ. 1945 จนถึงปัจจุบัน ในน่านน้ำแห่งนี้ได้กลืนกินเครื่องบินจำนวนกว่า 100 เครื่องและเรือเดินสมุทรอีกจำนวนมาก รวมถึงมนุษย์อีกนับพันคน ทั้งหมดนั้นล้วนหายไปในบรรยากาศและพื้นทะเลของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาแห่งนี้โดยไม่มีร่องรอยหรือเศษชิ้นส่วนใดๆ ของเรือหรือเครื่องบินที่หายไปเหลือให้เห็นเลยและมันยังคงดำเนินอย่างนี้ต่อไปโดยมีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ชนชาติต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสูญเสียเหล่านี้ ต่างพยายามดำเนินการค้นคว้าหาสาเหตุแห่งปรากฏการณ์อันประหลาดและลึกลับนี้อย่างจริงจัง แต่ก็ยังไม่มีใครสามารถบอกสาเหตุและหาทางป้องกันจากภัยที่เกิดขึ้นในอาณาบริเวณท้องทะเลแห่งนี้ได้ มันคือสิ่งท้าทายความสามารถของมนุษย์ที่สุด ในการที่จะแก้ปมปริศนา นักวิชาการต่างเสนอทฤษฎีต่างๆ บ้างก็ว่าเกิดจากสภาพอากาศที่แปรปรวน บ้างก็ว่าเกิดจากความผิดปกติของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า บ้างก็ว่าเกิดจากอำนาจของสิ่งบินลึกลับ อีกทฤษฎีที่มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงเพราะสามารถอธิบายสาเหตุของการสูญหายของเรือและเครื่องบินได้อย่างค่อนข้างครอบคลุม นักวิทยาศาสตร์ได้ชี้ว่าบริเวณใต้ทะเลของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านั้นอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติมากมาย โดยเฉพาะแหล่งของแก็สมีเธนไฮเดรท (Methane hydrates) ซึ่งในบางครั้งแรงดันของแหล่งแก็สเหล่านี้จะมีมากจนดันผ่านรอยแตกของเปลือกโลกขึ้นมา มันจะลอยขึ้นสู่ผิวน้ำเบื้องบน จึงไม่แปลกหากปรากฏการณ์นี้จะจมเรือสักสิบลำที่อยู่ในบริเวณนั้นพร้อมๆ กันได้ในพริบตา มีเธนไฮเดรทนี้สามารถรบกวนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้ ทำให้วิทยุสื่อสารตลอดจนเรดาร์หมดประสิทธิภาพในการทำงาน ส่วนกลุ่มควันความร้อนที่อบอวลอยู่รอบบริเวณ ก็อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ลูกเรือตกใจ นึกว่าตัวเองหลงเข้าไปในมิติสนธยา เพราะเคยมีการจำลองปรากฏการณ์นี้ ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งของอเมริกามาแล้ว นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่พอใจกับคำตอบนี้แต่ทั้งนี้ ยังมีอีกหลายทฤษฎีที่ยังรอให้เราพิสูจน์ อย่างเช่น มีคนพบเห็นสัตว์ยักษ์ในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าจำนวนมาก มีตั้งแต่ปลาหมึกยักษ์ยาวหลายร้อยฟุต ไปจนถึงตัวอะไรบางอย่างที่มีลักษณะเหมือนมังกรทะเล บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านี้ มีนักเดินเรือหรือนักบิน มักพบเห็นUFO บ่อยเป็นพิเศษ บางครั้งสถานีเรด้าชายฝั่งก็จับสัณญาณวัตถุลึกลับได้ส่วนประเด็นสุดท้ายก็คือ มิติที่ 4 การที่มีเครื่องบินหายไปจากจอเรดาร์ ทั้งนี้เพราะเหตุที่ว่าเครื่องบินเหล่านั้นได้บังเอิญบินหลุดเข้าไปในความแปรผันของสนามเวลา ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางมิติขึ้นในทันทีทันใด จุดแปรผันของกาลเวลาอาจเป็นเพียงบริเวณเล็กๆ ที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่เท่านั้น การเคลื่อนย้ายออกไปจากมิติคือการแปรผันอย่างรุนแรงของสภาพมิติ ในบางครั้งมันก็อาจทำให้เรือเดินทะเลขนาดใหญ่หรือเครื่องบินทั้งฝูงหลุดเข้าไปสู่อีกห้วงหนึ่งของกาลเวลาที่ไม่ใช่ปัจจุบันและผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้นก็จะติดอยู่ในห้วงแห่งกาลเวลานั้นโดยไม่มีทางกลับสู่มิติเดิมของเขาได้อีกเลย

    2.สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า
    สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า (Bermuda Triangle) เป็นดินแดนในมหาสมุทรแอตแลนติก เนื่้อที่ประมาณ 1.2 ตร.กม. ระหว่าง 3 จุด คือ เปอร์โตริโก้ ปลายสุดของรัฐฟลอริด้า (สหรัฐอเมริกา) และ ประเทศเบอร์มิวด้า (ประเทศในอาณานิคมของสหราชอาณาจักร) สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าเป็นที่รู้จักทางสื่อมวลชน อย่างแพร่หลาย หลังจากที่ค้นพบว่าคุณสมบัติทางฟิสิกส์ต่างๆ ไม่เป็นไปตามกฎพื้นฐาน

    สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า เริ่มเป็นที่รู้จักในปี พ.ศ. 2494 (ค.ศ. 1951) หลังจากที่มีเรือขนาดใหญ่หายสาบสูญภายในบริเวณสามเหลี่ยม รวมถึงเครื่องบินและเรือขนาดเล็กอื่นๆ จนได้รับขนานนามว่า "สามเหลี่ยมปีศาจ" (The Devil's Triangle) มีนักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ นักสมุทรวิทยา และอีกหลายอาชีพ ให้ความเห็นและทฤษฎีเกี่ยวกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า มาดังนี้

    1. ทฤษฎีที่ว่า อาจจะเป็นไปได้ที่บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านั้น ตั้งอยู่ในจุดสมดุลของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า กับพลังของสนามแห่งแรงโน้มถ่วงพอดี ซึ่งทำให้เกิดช่องว่างของอีกมิติหนึ่งในห้วงเวลาอวกาศ และเมื่อเรือหรือเครื่องบินแล่นเข้าสู่ช่องว่างแห่งนี้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางมิติหายลับไปทันที แต่เนื่องจากว่าวิทยาการทางเทคนิคของเราในปัจจุบันนี้ยังไม่มีความรู้พอที่จะแก้ไขสถานการณ์อันนี้ได้ การหายสาบสูญของพวกเรา ก็เป็นไปในทำนอง เดินทางเดียว เท่านั้น คือเมื่อมิติถูกเปลี่ยนไปแล้ว ก็ไม่อาจจะทำให้กลับคืนสู่มิติเดิมได้ ส่วนสิ่งมีชีวิตปัญญาสูงจากนอกโลกที่มาจากจานบิน คงจะทราบและเข้าใจในกฎเกณฑ์อันนี้เป็นอย่างดีจึงได้ใช้ช่องว่างที่เกิดจากสมดุลอันนี้ เป็น ประตู ทางเข้าออกในการเปลี่ยนแปลงทางมิติเพื่อเข้าสู่โลก ด้วยเหตุจึงมีผู้พบเห็นจานบินบ่อยๆ (สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าเป็นสถานที่ซึ่งมีผู้พบเห็นจานบินบ่อยที่สุดและมากที่สุดในโลก) และมันจะหายตัวไปแบบฉับพลัน ซึ่งตอนนั้นเองที่จานบินเปิดประตูมิติ เรือหรือเครื่องบินผ่านมาบริเวณนั้นพอดี ก็เลยแล่นเข้าสู่ประตูมิติ

    2. ทฤษฎีที่ว่า บริเวณใต้สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านั้นเป็นจุดที่ อาณาจักรแอตแลนติสจมลง ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าชาวแอตแลนติสมีความเจริญรุ่งเรืองมาก ต้องมีพลังงานอะไรบางอย่างที่ชาวแอตแลนติสสร้างเอาไว้ ทำให้เรือและเครื่องบินบริเวณนั้นหายสาบสูญแบบไร้ร่องรอย

    3. ทฤษฎีที่ว่า บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า เป็นเหมือนสถานีที่สิ่งมีชีวิตที่ทรงปัญญากว่ามาสร้างเอาไว้ เพราะหลายต่อหลายครั้งที่มีผู้คนพบเห็นแสงไฟจากใต้น้ำบ้าง จานบินใต้น้ำบ้างและก็มีผู้พบเห็นจานบินโผล่ขึ้นมาจากน้ำ ดำดิ่งลงไปในน้ำ ความเร็ว 150 นอตต่อชั่วโมงเท่ากับเฮลิคอบเตอร์ และในปัจจุบันก็ยังไม่มีเรือดำน้ำให้ทำความเร็วได้ขนาดนั้น บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าเป็นจุดที่พบเห็นจานบินบ่อยและมากที่สุดในโลก เพราะบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าเป็นจุดบอดของสนามแม่เหล็กจึงสามารถทำให้สามารถนำยานลงจอดซึ่งมีไม่กี่แห่งบนโลก

    4. ทฤษฎีที่ว่า มีสิ่งมีชีวิตที่มีภูมิปัญญาอยู่ใต้ท้องมหาสมุทร ตามหลักของชีววิทยา สิ่งมีชีวิตจะเริ่มต้นมาจากทะเลก่อน และเนื่องมากจากท้องทะเลมีอาณาเขตมากกว่าพื้นดินถึงสองเท่า มนุษย์ใต้มหาสมุทรเหล่านี้จึงมีเนื้อที่สำหรับ การแพร่ขยายพันธุ์มากกว่าเรา และจากเหตุที่พวกนี้ได้เกิดขึ้นก่อนมนุษย์เรา ดังนั้น การพัฒนาทางเทคนิคของพวก เขาก็คงล้ำหน้าไปกว่าเรามากทีเดียว เท่าที่ผ่านมาเป็นเวลานาน มนุษย์ใต้สมุทรเหล่านี้จะไม่ติดต่อเกี่ยวข้องอันใดกับพวกเรา ถือว่าต่างคนต่างอยู่ แต่จากความก้าวหน้าทางเทคนิคของพวกเราในปัจจุบัน อาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อสภาพแวดล้อมของพวกเขาได้ พวกนี้จึงเปลี่ยน นโยบายที่ว่าต่างคนต่างอยู่ ออกมาสังเกตความเป็นไปของชาวเรา ที่อยู่บนพื้นโลกอย่างลับๆและเงียบสงบ ซึ่งบางทีบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า อาจเป็นบริเวณที่สะดวกที่สุดที่พวกเขาจะออกมาสำรวจโลกเบื้องบน

    3. มาคุยกันเรื่อง สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า กันดีกว่าครับ

    นี่คือเหตุการณ์ประหลาดเหลือเชื่อที่เกิดขึ้นจริงๆ บนพิภพของเรานี้ ณ บริเวณที่เรียกกันว่า "สามเหลี่ยมปิศาจ เบอร์มิวด้า" (Bermuda Triangle)... ชื่อนี้เป็นที่รู้จักกันดีในปัจจุบัน เพราะมันเป็นบริเวณดินแดนอาถรรพณ์ อันเป็นที่ล่ำลือกันว่าเต็มไปด้วยความลี้ลับ มันเป็นดินแดนที่กลืนกินชีวิตมนุษย์ และเรือเดินทะเลที่กลืนกินชีวิตมนุษย์และเรือเดินทะเล เครื่องบินที่โชคร้ายบังเอิญผ่านเข้าไป... ก็อาจหายสาบสูญไปอย่างไม่มีร่องรอยให้เห็นอีกเลย ดินแดนอาถรรพณ์ สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า โดยแท้จริงแล้ว เป็นอาณาบริเวณกว้างใหญ่มากเป็นส่วนมาก เป็นส่วนหนึ่ง ของมหาสมุทรแอตแลนติกภาคตะวันตก พื้นที่ทั้งหมด ปกคลุมพื้นทะเลตั้งแต่ตอนเหนือของหมู่เกาะเบอร์มิวด้า ไปยังทางตอนใต้ของรัฐฟลอริดาตีวงออกไปในทะเลทางตะวันออก ไปจนภึงหมู่เกาะบาฮามัส เลยไปอีกจนถึงอ่าวเม็กซิกโน้น .. ทั้งหมดถ้าดูตามแผนที่จะครอบคลุ่มพื้นที่ประมาณ 380,000 ตารางไมล์ทะเล ซึ่งถ้าดูกันจริงๆ แล้ว มันไม่ใช่พื้นที่เป็นรูปสามเหลี่ยมเหมือนกับชื่อของมันเลย ไม่ทราบว่าชื่อ "สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า" นี้ได้มาอย่างไร ....มีผู้พยายามตั้งชื่อเสียใหม่ว่า "บริเวณดินแดนปิศาจ" บ้างก็เรียกว่า "สามเหลี่ยมปีศาจ" (Devil's Triangle)...อย่างไรก็ตามชื่อเสียงของมันได้ถูกขนานนามขึ้นมาในราวๆ ปี ค.ศ.1960 โดยไม่ทราบว่าใครเป็นคนต้นคิดชื่อเหล่านี้ขึ้นมา แต่ด้วยเหตุที่ว่า ในบริเวณทะเลดังกล่าวนั้นมักจะปรากฏแต่เรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นเสมอๆ บ่อยๆ ครั้ง และเป็นประจำจนเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่วถึงอันตราย ของการหายสาบสูญอย่างไม่มีวันได้กลับคืนมา... จากบันทึกของกองเรือยามฝังสหรัฐฯ และบริษัทประกันภัยทางทะเล บริษัทประกันภัยเรือเดินสมุทรและเครื่องบิน มีสถิติความสูญหาย อย่างผิดปกติในอาณาบริเวณนี้ เป็นบริเวณต้องห้ามและเป็นดินแดนอาถรรพณ์จริงๆ มันอาถรรพณ์อย่างไร? สิ่งที่ทำให้ย่านทะเลแห่งนี้กลายเป็นดินแดนมรณะ ซึ่งทำให้นักบินหรือนักเดินเรือต่างพยายามหลีกเลี่ยง ถ้าไม่จำเป็นก็จะไม่ยอมผ่านเข้าไปในบริเวณนี้อย่างเด็ดขาด อาจเป็นเพราะความเชื่อในเรื่องอันพิลึกกึกกือที่เป็นข่าวระบือลือลั่น กันไม่รุ้จบระหว่างคนในระแวกนั้น เหตุการณ์ประหลาดๆ อย่างที่ไม่น่าเชื่อ ไม่น่าจะเป็นไปได้ มักจะเกิดขึ้นกับเรือ หรือเครื่องบินที่ผ่านเข้าไปในบริเวณนั้น นับตั้งแต่อดีตกาลจนถึงปัจจุบัน จากสถิติของบริษัท Lioyd's ov London ซึ่งเป็นบริษัทรับประกันภัยเรือเดินสมุทร พบว่านับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1963 ถึง 1973 มีเรือในประกันของบริษัทจำนวน 60 ลำ รวมผู้โดยสาร 900 คน ได้หายสาบสูญไปในบริเวณน่านน้ำเบอร์มิวด้า โดยเฉพาะในปี ค.ศ. 1967 มีเรือทะเล เรือพาณิชย์ขนาดใหญ่ได้หายไปอย่างลึกลับ เป็นจำนวน 15 ลำ ทั้ง 15 ลำไม่มีการส่งสัญญาณ "SOS" หรือส่งวิทยุขอความช่วยเหลือใดๆ ทั้งสิ้น ... สิ่งที่แปลกน่าฉงน และน่ากลัวที่สุดก็คือ เรือทั้ง 15 ลำนั้นเป็นเรือขนาดใหญ่ มีอุปกรณ์เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ ช่วยในการเดินเรือแบบทันสมัยบริบูรณ์ เช่นวิทยุสื่อสาร เรดาร์นำร่องโซน่าร์นำร่อง การค้นหาได้กระทำกันเป็นเดือนๆ แต่ก็ประสบผลล้มเหลวโดยสิ้นเชิงไม่พบแม้แต่เงา... นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งที่ได้มาจากบริษัทประภัยของเอกชนที่ต้องจ่ายประกันไป จนบริษัทแทบล้มละลาย นำมาซึ่งความงุนงง ให้แก่ผู้ที่อยู่ข้างหลังอย่างสิ้นหวัง... อะไรเกิดขึ้นกับเรือเหล่านั้น ลูกนาวี 900 คนหายไปไหนใครบ้างจะมีคำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้ ตัวอย่างอีกรายหนึ่งที่จะขอยกมาให้พิจารณาว่ามันเป็นอาถรรพณ์ ของดินแดนมรณะแห่งนี้ หรือเป็นเพียงอุบัติเหตุ ได้แก่ การหายสาบสูญของฝูงบินขับไล่ทิ้งระเบิดนาวีสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1945 เครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ TBM ของนาวีสหรัฐฯ 1 ฝูงบิน (5 เครื่อง) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ประจำเครื่อง ทั้งหมด 14 นายไดออกทำการบินฝึกทิ้งระเบิดเหนือดินแดนเบอร์มิวด้า ห่างจากฐานทัพฟอร์ทล๊อคเดอร์เดลประมาณ 225 ไมล์... และแล้ว ฝูงบินทั้ง 5 ลำก็หายสาบสูญ ไม่เหลือแม้แต่เงา .. นาวีสหรัฐฯ ส่งเครื่องบินผู้ประสบภัยมาร์ติน มารีนเนอร์ แบบ PBM (เป็นเครื่องบินน้ำ 2 เครื่องยนต์) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ประจำเครื่อง 13 นาย ออกตามหา ...20 นาทีต่อมา .... PBM ก็หายสาบสูญ โดยขาดการติดต่อ กับหอบังคับการ และหายไปอย่างลึกลับเช่นกันไม่มีเหลือแม้แต่เงา มันจะเป็นเหตุบังเอิญ อุบัติเหตุ หรือเป็นดินแดนอาถรรพณ์จริง แนวโน้มจากสถิติการสูญหายอาจบอกเราได้ นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1800 จนถึงปี ค.ศ.1976 มีเรือและเครื่องบินหายสาบสูญไปในบริเวณ เบอร์มิวด้าแล้วเป็นจำนวน 143 ราย รวมชีวิตมนุษย์เท่าที่ทราบแน่นอน เป็นจำนวน 2,101 คน ที่ต้องสังเวยไปในดินแดนอาถรรพณ์แห่งนี้ .. สถิติการสูญหายมีมากที่สุดในปี ค.ศ. 1975 คิดมีการสูญสาย 11 ราย เฉลี่ยเดือนละราย... เมื่อเปรียบเทียบความเสียหายในบริเวณนี้ กับบริเวณเส้นทางเดินเรืออื่นๆ แล้ว พบว่า...แถบเบอร์มิวด้า ต้องเป็นดินแดนอาถรรพณ์จริงๆ ...เพราะในน่านน้ำที่อื่นๆ ไม่มีสถิติการสูญหายมากเท่านี้เลย ดินแดนอาถรรพณ์มีอยู่แห่งเดียวรึ? เปล่าเลยครับ...เบอร์มิวด้าไม่ใช่ดินแดนอาถรรพณ์เพียงแห่งเดียวบนโลกนี้เท่านั้น ยังมีอีกแห่งหนึ่งเป็นอาณาบริเวณบนท้องทะเลเล็กๆ อยู่ทางตอนทิศตะวันออกเฉียงใต้ ของประเทศญี่ปุ่น บริเวณนี้เคยเป็นดินแดนอาถรรพณ์เช่นกัน แต่ปัจจุบันความอาถรรพณ์ของบริเวณนี้ เบาบางลง จนดูเหมือนจะจางหายไปแล้ว เมื่อสมัยปี ค.ศ. 1950 บริเวณนี้ได้ถูกขนานนามว่า "ทะเลปิศาจ" (Devil's Sea) มันเคยกลืนกินเรือเดินทะเลขนาดใหญ่ๆ ไปกล่า 50 ลำ...ในปี ค.ศ. 1955 รัฐบาลญี่ปุ่นถึงกับลงทุนจ้างคณะนักสำรวจสมุทรศาสตร์ และนักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญพร้อมด้วยอุปกรณ์สำรวจ ทางวิทยาศาสตร์อันทันสมัยที่สุดเท่าที่จะหาได้ในสมัยนั้น ลงเรือสำรวจสมุทรศาสตร์ขนาดยักษ์ เดินทางไปยังทะเลปิศาจ เพื่อค้นหาคำตอบของความอาถรรพณ์ลี้ลับ ณ บริเวณนั้น ... สองสามวันต่อมาเมื่อเรือไปถึงบริเวณทะเลปิศาจ...รัฐบาลญี่ปุ่น ก็ต้องพบกับความอาถรรพณ์ ความงุนงงและความตกตะลึง ก็จะอะไรเสียอีกละครับ...เรือของคณะนักสำรวจลำนั้น ได้หายสาบสูญไป ไม่เหลือแม้แต่เงา ไม่มีสัญญาณวิทยุ ไม่มีสัญญาณขอความช่วยเหลือ ไม่มีอะไรทั้งนั้น.. หน่วยค้นหาถูกส่งตามออกไปค้นหากันแทบพลิกท้องทะเล...แต่ไม่พบแม้แต่เงา มีอะไรเกิดขึ้นที่แดนอาถรรพณ์ เราพอจะหาคำตอบอะไรได้บ้างไหมเกี่ยวกับการหายสาบสูญอย่างไร้เงา ของบรรดาผู้เคราะห์ร้ายที่หลุดเข้าไปในดินแดนมรณะเหล่านั้น... พวกที่หายสาบสูญไปแล้วย่อมไม่มีโอกาสที่จะกลับมา บอกเล่าให้คนข้างหลังได้ทราบได้ว่าเขาได้ไปเผชิญกับอะไรมา แต่..เราก็ยังคงพอจะมีข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ที่สามาถนำประติดประต่อกัน พอจะให้ดูออกเป็นรูปร่างได้ว่า มันเกิดกันพอจะให้ดูออกเป็นรูปร่างได้ว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาเหล่านั้น ข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้มาจากบรรดาผู้ที่บังเอิญรอดตายหรือหลบหลีกกันได้ จากบันทึกการติดต่อครั้งสุดท้ายโดยวิทยุกับพวกที่หายสาบสูญไป... มีรายงานที่น่าสนใจหลายชิ้นที่แสดงให้เห็นว่า อะไรก็ตามที่ได้เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น คล้ายปรากฏการณ์ของธรรมชาติ ที่ยังไม่มีมนุษย์หน้าไหนเคยรู้จักกันมาก่อน ....อย่างไรก็ตาม เมื่อนำเอาข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ มาปะติดปะต่อกันดูแล้วก็จะพบกับปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่ อันนำไปสู่ความปวดเศียรเวียนเกล้าให้แก่บรรดานักวิทยาศาสตร์เป็นที่สุด มันไม่ได้ช่วยทำให้ปัญหาคลี่คลายออกไปได้เลย แต่กลับเพิ่มความงุนงง สนเท่ห์ใจให้มากยิ่งขึ้นเพราะมันยังคงเต็มไปด้วยอาถรรพณ์ลี้ลับจริงๆ เราอาจจะสรุปคำตอบได้เป็นข้อตามความเป็นไปได้ ทั้งโดยทางทฤษฎีวิทยาศาสตร์ และโดยสามัญสำนึก ซึ่งจะช่วยให้เราแจกแจงได้ว่าคำตอบใดจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด สำหรับปัญหาสามเหลี่ยมมรณะแต่ในลำดับแรก เราจะเริ่มด้วยการประมวลเหตุการณ์ว่า "มีอะไรเกิดขึ้นที่แดนอาถรรพณ์" เสียก่อน เพื่อที่เราจะได้เข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันมีธรรมชาติ พฤติการณ์คุณลักษณะเป็นอย่างไรกันแน่.... 1)รายงานที่พบเป็นประจำ เริ่มแรกผู้ประสบเหตุจะรายงานว่า มีการขัดข้องเกิดขึ้นกับเครื่องมือนำล่อง ตัวอย่างรายงานทำนองนี้ ได้แก่รายงานทางวิทยุครั้งสุดท้ายก่อนการหายสาบสูญไป ของนักบิน นาวีร้อยเอกเทเลอร์ (Charles Taylor) ได้ส่งวิทยุติดต่อแจ้งเข้ามา ยังหอบังคับการบินที่ Fort Lauderdale Naval Air Station ในขณะที่ กำลังบินกลับจากการฝึกบินตามปกติ เขาแจ้งเข้ามาด้วยวิทยุความถี่ฉุกเฉินว่า... "เข็มทิศหมุนอย่างบ้าคลั่ง ผมจับทิศไม่ถูกแล้วผมไม่ทราบตำแหน่งว่าผมอยู่ที่ไหน..." ...จากนั้นเสียงก็ขาดหายไป และแล้วร้อยเอกเทเลอร์กับเครื่องบินของเขา ก็ไม่ปรากฏตัวที่ไหนอีกเลย เขาหายสาบสูญไปชั่วนิรันดร อีกตัวอย่างหนึ่ง เป็นรายงานที่ได้มาจาก ร้อยเอกเดนตาย อูลเมอร์ (Robert Ulmer) นักบินมือสองและด๊อกเตอร์ดิ๊กบาย (Dr. Robert Digby) ผู้โดยสารเดนตายคนเดียวที่รอดมาได้ จากเที่ยวบินพิเศษในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ บี-24 .."ขณะบินอยู่ในระดับสูง 9,000 ฟุต ทางเหนือของเบอร์มิวด้าอากาศแจ่มใส่มาก ...จู่ๆ เครื่องบินก็สั่นยังกับจ้าวเข้าทรง เครื่องวัดต่างๆ หมุนไปมาอย่างไม่มีจุดหมาย และแล้วเครื่องบินก็เริ่มปักหัวลงทะเล กัปตันพยายามดึงขึ้นทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ... เราต่อสู้กับอำนาจลึกลับที่พยายามดึงเครื่องบินให้ปักหัวลงทะเลตลอดเวลา เราดึงเครื่องขึ้น เครื่องบินเอียง เซไปมา และจะดำดิ่งลงท่าเดียว เราก็ดึงมันขึ้นอีก ต่อสู้กันจนเราแทบหมดแรง...ผมไม่รู้จริงๆ ว่าผีบ้าซาตานอะไรมาเข้าสิงเครื่องบิน บินแบบถูลู่ถูกัง มาจนถึงฝั่งเม็กซิโก และตกบนภูเขาเหนืออ่างเปอร์โตริโก เป็นระยะทาง 1,500 ไมล์ที่ขับเขี้ยวมากับอำนาจเร้นลับ ที่พยายามดึงเครื่องบินให้ปักหัวลง ...ดร.ดิ๊กบายเล่าว่า.. "ผมเป็นผู้โดยสารคนเดียวที่รอดมาได้ ในสมัยนั้นเราไม่รู้ว่า มีบริเวณที่เรียกว่าสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า...แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็เจอมาแล้วกับตัวเอง มันมีอำนาจอะไรบางอย่าง ที่ดึงดูดเครื่องบินของเราลงไป ผมไม่รู้ว่าจะอธิบายได้อย่างไร แต่อำนาจลี้ลับนั้นมีอยู่แน่ๆ ที่บริเวณสามเหลี่ยมมรณะนั้น"... สรุปแล้ว ข้อมูลประการที่หนึ่งที่เราพบก็คือ มีพลังบางอย่าง ที่มีผลกระทบกับเครื่องมือนำทาง เช่นเข็มทิศ เครื่องวัดความสูง เครื่องวัดความเร็ว และเครื่องมือสื่อสาร นั่นคืออำนาจลึกลับนี้มีผลกระทบกับ อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับแม่เหล็กไฟฟ้าทั้งหมด โดยเฉพาะเข็มทิศแม่เหล็ก 2)เกิดความสับสนขึ้นกับประสาทความรู้สึกในการรับรู้ทั้ง 5 ของผู้ที่หลุดเข้าไปในดินแดนอาถรรพณ์ ทำให้ผู้นั้นงุนงง สับสนต่อเหตุการณ์ และที่สุดคือสูญเสียความรู้สึกในเรื่องเวลา และการทรงตัว ดังตัวอย่างรายงานอดีตผู้บังคับการฝูงบินทิ้งระเบิด บิลล์สัน (Commander Marcus Billson) เมื่อวันที่ 25 เดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 1945 ขณะทำการบินด้วยเครื่องบิน PBM (เครื่องบินน้ำ แบบสองเครื่องยนต์) และรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดเล่าว่า... "ผมกำลังบินในตอนกลางคืน อยู่ระหว่างครึ่งทาง จากฟลอริด้า ไปเกาะบาฮาม่า...ในขณะนั้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เจ้าวิทยุเข็มทิศ (radio compass) ก็เริ่มหมุนติ้วยังกับกังหันต้องลม และเข็มทิศแม่เหล้กก็เอากับเขาด้วยวิทยุติดต่อก็เกิดเสียงรบกวนซู่ซ่า จนใช้การอะไรไม่ได้เลย ผมงงไปหมด ไม่รู้ว่ามันเกิดบ้าอะไรกันขึ้นมา แล้วต่อมาไฟฟ้าในห้องนักบินก็ดับพรึ่บลง ทีนี้มันก็มืดสนิท มองไม่เห็นอะไร มองออกไปนอกหน้าต่างก็ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ไม่มีท้องฟ้า ไม่มีแสงดาว ไม่มีอะไรเลย นอกจากความมืดสนิท... ผมไม่เข้าใจว่าแสงดาวบนท้องฟ้ามันดับหายไปไหนหมด แสงระยิบระยับบนท้องทะเลก็ควรจะมองเห็นได้บ้างเป็นบางครั้ง แต่นี่มันมืดมิดจริงๆ ...ผมนึกว่าผมคงตาบอดแน่ๆ ...ผมไม่รู้ว่า เราบินไปทางไหนเอาหัวขึ้น หรือเอาหัวลงก็บอกไม่ได้ ผมมีประสบการณ์การบินมามากกว่า 5,000 ชั่วโมง หลับตาบินผมก็รู้ว่าผมบินได้... แต่นี่มันต่างกัน ผมสูญเสียความรู้สึกไปหมดผมเหมือนคนตาบอดสนิท.. ผมถือคันบังคับเครื่องบินแน่น พยายามเลี้ยง ประคองเอาไว้ให้ตรงที่สุด เท่าที่ความรู้สึกนึกคิดของผมจะมีอยู่ในเวลานั้น .. ต่อมาทุกอย่างก็กลับสู่สภาพปกติ ไฟฟ้าสว่างขึ้นเอง เข็มวัดทุกอย่างทำงานเหมือนเดิม เหมือน/ไม่มีอะไรเกิดขึ้น... และผมก็งงไปหมด เครื่องได้มาบินอยู่เหนือสนามบินบาฮาม่าแล้ว... ผมงงจริงๆงงจนไม่รู้ว่าจะพูดหรืออธิบายว่าอย่างไรถูก.. เหตุการณ์มันเป็นอย่างนี้จริงๆ แล้วคุณจัให้ผมอธิบายว่าอย่างไร ผมก็จนปัญญา"... 3)มีการรบกวนทางระบบไฟฟ้า และการติดต่อสื่อสารทางวิทยุ จะถูกตัดขาดนี่คือข้อมูลอีกข้อหนึ่งที่เราจะพบเสมอจากรายงานครั้งสุดท้าย ของผู้ที่หายสาบสูญไปในดินแดนอาถรรพณ์ ดังตัวอย่างการหายสาบสูญ ของฝูงบินขับไล่ทิ้งระเบิดที่ 19 ของนาวีสหรัฐอเมริกา ... หายทั้งฝูงเลยนะครับ..ไม่ใช้ลำเดียว..ฝูงบินที่ 19 มีเครื่องบินแบบ TBM อเว็งเจอร์ จำนวน 5 ลำ ได้ออกบินฝึกตามภารกิจปกติ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1945 และได้หายสาบสูญไปอย่างลึกลับ ถึงแม้จะมีการระดมหน่วยค้นหาตามล่ากันอย่างละเอียดถี่ถ้วน ครอบคลุมพื้นที่ทุกๆ ตารางฟุต กว้างถึง 380,000 ตารางไมล์ แต่ก็ไม่พบแม้แต่เงา... รายงานสุดท้ายที่จ่าฝูง.ร้อยเอก โรเบิร์ต คอส รายงานมา รับฟังได้จากวิทยุ ณ ฐานทัพภาคพื้นดิน ตอนหนึ่ง กล่าวด้วย น้ำเสียงของคนตกใจสุดขีดว่า.. "อย่าตามผมมา.. แยกกันออกไป แยกกันออกไป.." แล้วเสียงวิทยุก็ถูกตัดขาดทันที เหมือนกับว่ามีใครไปปิดเครื่องส่งของเขาฉะนั้น ... ร้อยเอกโรเบิร์ต คอส บินเข้าไปพบอะไร ไม่มีใครทราบ แต่สิ่งที่เขาพบต้องเป็นสิ่งที่น่ากลัวจนทำให้เขาสั่งลูกฝูงไม่ให้บินตามเข้าไป... แต่ก่อนหน้านั้นมีเสียงวิทยุโต้ตอบกันระหว่างจ่าฝูงกับลูกฝูงของเขา ซึ่งรับฟังได้ยินไม่ชัดเจน เป็นเสียงขาดๆ จางๆ และมีคลื่นแทรกรบกวนมาก พอจะจับความได้บ้างบางตอนว่า ฝูงบินที่ 19 กำลังหลงเข้าไป ในสภาพบรรยากาศอันผิดปรกติ แปลกประหลาดอย่างหนึ่ง ปรากฏการณ์ "หมอกเรืองแสงสีขาว" ....นี่ คือข้อมูลที่ได้รับจากวิทยุติดต่อกันระหว่างฝูงบินที่ 19... เสียงจ่าฝูงดังมาแล้วได้ยินชัดว่า "สงสัยว่าเราหลงทาง ทำไมแถวนี้มีแต่หมอกสีขาวเรืองแสงไปหมด...เฮ้ พื้นน้ำเป็นสีขาว ไปหมด.. มองไม่เห็นท้องฟ้า ..มันขาวโพลนไปหมด..." นี่เราอยู่ที่ไหนกัน.. เข็มทิศผมมันหมุนติ้วไปหมดแล้ว "แล้วทุกอย่างก็เงียบหายไป.. ฝูงบินที่ 19 หายสาบสูญไปจากโลกของเรา อีกตัวอย่างหนึ่ง ได้แก่รายงานการหายตัวอย่างลึกลับของเครื่อง 727 หายวับจากจอเรดาร์ของสนามบินไมอามี่ ขณะเรื่อง 727ลำนั้น กำลังปักหัวลงสู่สนามบิน ....727 ของสายการบิน "National airline บินดำดิงลงมา ผ่านเข้าหมูเมฆขาวก้อนเล็กๆ จู่ ๆ ก็หายวับไปจากจอ เรดาร์ พนักงานหอบังคับการต่างวิ่งกันวุ่นกรดปุ่มสัญญาณเตรียมลงฉุกเฉิน บางคนกล้องส่องทางไกล เผ่นออกไปนอกบังคับการ เพื่อมองหาเครื่อง 727 เพราะว่าว่าตกโหม่งโลกไปแล้ว แต่ไม่มีใครเห็นอะไร นอกจากก้อนเมฆก้อนนั้น ภาพปรากฏใหม่บนจอเรด้าร์ แล้ว 727 ก็บินลงสนามทางปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น .. ทั้งนักบินและผู้โดยสานเครื่องบิน 727 ต่างงงไปตามๆ กัน เมื่อเห็นว่ามีรถดับเพลิง รถพยาบาล รถกู้ภัย ของสนามบิน ต่างวิ่งตามกันมาห้อมล้อมกันเต็มไปหมด..ภายหลังจึงทราบว่าอะไรเกิดขึ้น .. เวลาของนักบินและของผู้โดยสาย เที่ยวบินนั้นได้ขาดหายไป 10 นาที ทั้งๆ ที่ไม่มีใคร รวมทั้งนักบิน 10 นาที ทั้งๆ ที่ไม่มีใคร รวมทั้งนักบินรู้เลยว่าเวลา 10 นาทีนั้นขาดหายไปไหน ..และหายไปได้อย่างไร.. การสอบสวนไม่ได้ให้ความกระจ่างอะไรเพิ่มเติม นอกจากจะเพิ่มความงุนงงมากขึ้นเท่านั้น..เวลามันหายไป 10 นาที ตอนที่เครื่อง 727 บินเข้าไปในเมฆก้อนเล็กๆ "มันแปลกอยู่หน่อยที่เมฆก้อนนั้นมันมีความสว่างผิดปรกติธรรมดา คล้ายกับว่ามันมีแสงเรืองในตัวเอง..แต่ผมก็ไม่คิดว่ามันจะมีปัญหาอะไรเลย.. ผมไม่เข้าใจว่าเวลามันหายไปตอนไหน.. เจ้าหน้าที่หอบังคับการเขาว่าผมบินหายเข้าไปในเมฆนานถึง 10 นาที แต่มันเป็นไปไม่ได้แน่ๆ ..เพราะเมฆมันก้อนเล็กนิดเดียว ผมบินทะลุเมฆลงมาในเวลาไม่ถึง 3 วินาทีก็ออกมาเป็นทางวิ่งลงแล้วนี่ครับ.." คำตอบคืออะไร? ความประหลาด ความลึกลับ ของสิ่งที่เกิดขึ้นในย่านทะเลเบอร์มิวด้า มีผู้ที่พยายามจะค้นคว้าหาคำตอบกันมากมาย มันเป็นดินแดนอาถรรพณ์จริงๆ หรือมันเป็นเพียงเหตุบังเอิญหรือปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ... คำตอบต่างๆ มีมากมายแต่ข้อไหนล่ะที่ถูกต้องหรือใกล้เคียงกับความจริงที่สุด ขอให้เรามาดูกันเป็นข้อๆ ดีกว่านะครับ.. 1)การหายสาบสูญสูญของเรือในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า อาจเกิดจากสาเหตุที่ว่าเรื่อเหล่านั้นแล่นไปชนเอาทุ่นระเบิดเข้าก็ได้ ทุ่นระเบิดที่หลงเหลือจากสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ยังคงมีหลงเหลืออยู่อย่างไม่ต้องสงสัย..แนวคิดข้อนี้ดูจะเป็นไปได้น้อยมากนะครับ เพราะมันไม่สามารถอธิบายเหตุการณ์ประหลาดอย่างอื่นๆ อีกหลายๆ กรณีได้เลย เช่นในกรณีที่เรือเดินทะเลบางลำลอยเท้งเต้งเข้าหาฝั่ง โดยที่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่บนเรือนั้นเลยแม้แต่คนเดียว ข้าวของและของมีค่าอื่นๆ ยังอยู่ครบบริบูรณ์บนเรือ กะลาสีเรือและกัปตันเรือหายตัวไปหมดโดยไม่ทราบสาเหตุ อย่างนี้จะอธิบายได้อย่างไรละครับ.. 2)การหายสาบสูญของเรือ อาจเกิดจากพายุในทะเลที่ก่อตัวขึ้นอย่างฉับพลันทันที.. นี่ก็เป็นข้อเสนออีกแนวหนึ่งที่มีทางเป็นไปได้ แต่น้อยมาก เพราะโดยหลักการแล้ว แถบทะเลในย่านนี้ ถ้าจะมีพายุขนาดใหญ่ ชนิดที่จะสามารถทำให้เรือเดินทะเลอับปางทันทีทันใดนั้น จะต้องเป็นพายุใหญ่ที่ต้องรู้ล่วงหน้าก่อนเสมอ ไม่มีวันที่พายุใหญ่ๆ ขนาดนั้นจะรอดสายตาของนักอุตุนิยมวิทยาไปได้ และอย่างน้อยเรือเดินทะเลขนาดใหญ่ๆ ก็มีเครื่องมือตรวจพายุอยู่ด้วย อย่างน้อยก็ต้องมีการส่งขาว รายงานเข้าสู่ฝั่ง หรือวิทยุขอความช่วยเหลือมาบ้าง ถ้าเจอเข้ากับพายุใหญ่ขนาดที่จะจมเรือเดินสมุทรได้ 3)"มันเป็นเรื่องความเชื่อ อันเกิดมาจากเหตุบังเอิญ".. นี่คือคำประกาศเป็นทางการของกองเรือยามฝังที่เจ็ด ของนาวีสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหน่ายงานของรัฐบาล ที่ทำงานรับผิดชอบอยู่ในเขตน่านน้ำ บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า... "ความอาถรรพณ์นั้นไม่มีจริง ความจริง เป็นเพียงเรื่องล่ำลือ เชื่อกันไปเอง การหายไปของเรือไม่ใช่ของแปลกอะไร ที่ไหนๆ ก็มีเหตุการณ์เช่นนี้ เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น เพียงแต่ว่าบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า เป็นบริเวณที่มีการสัญจรทางเรือ และทางอากาศหนาแน่นมากกว่าบริเวณอื่นๆ เท่านั้น เปอร์เซ็นอุบัติเหตุต่างๆ จึงมีมากกว่าที่อื่นๆ และด้วยเหตุพ้องจองที่ว่า แถบเบอร์มิวด้า มีภาวะแวดล้อมที่ผิดแผกไปจากบริเวรเส้นทางเดินเรืออื่นๆ เท่านั้นเอง จึงทำให้เกิดความผิดพลาดและเกิดอุบัติเหตุทางเรือได้ง่าย เป็นเหตุให้เกิดเรืออับปาง และเครื่องบินตกได้ง่ายกว่าที่อื่น.." ทฤษฎีนี้ฟังดูเข้าทีที่สุด เพราะมันประกอบด้วยข้อมูลสถิติ และหลักสามัญสำนึกธรรมดาๆ แต่มีปัญหาหนึ่งทฤษฎีนี้พยายามปิดบัง ไม่กล่าวถึง อันทำให้เป็นที่น่าสงสัยนั่นก็คือ การอับปางของเรือ และเครื่องบินทำไมจึงไม่พบร่องรอยหรือซากอับปางให้เห็นบ้างเลย.. เรือและเครื่องบินเหล่านั้นอับปางจริงหรือ? มันเป็นไปได้อย่างไรกัน ที่คนหลายร้อยหลายพันคนจะจมหายไปกับเรือ ไม่มีสิ่งของ หรือเศษชิ้นส่วนใดๆ หลุดออกมาให้เห็นเลย แม้แต่นิดเดียว ..แล้วก็อย่างในกรณีเรือ ไซคล๊อปส์ หายไปอย่างลึกลับเมื่อวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ.1918 ..แต่จู่ๆ มันก็ปรากฏตัวลงเท้งแต้งเข้าฝั่งมาเกยตื้น โดยมีแต่เรือเปล่าปราศจากผู้คน..ผู้โดยสานจำนวน 309 คนหายไปไหนกันหมด ข้าวของมีค่าทุกชิ้นทั้งอาหารและสินค้าบนเรือยังอยู่บริบูรณ์ จะว่าเรือถูกโจรสลัดปล้นก็ไม่ใช่แต่อะไรละได้เกิดขึ้นกับผู้คน 309 ชีวิตเขาหายไปไหน? 4)ทฤษฎีกาบ่ายเบนของสภาพเวลาอวกาศ ...ดร.แซนเดอร์สัน ไอแว (Dr" Sanderson Ivan) เป็นผู้เสนอแนวความคิดนี้ขึ้นเป็นทฤษฎีทางเวลาอวกาศ เขียนไว้ในหนังสือชื่อ "Invisible Residents" ทฤษฎีนี้กล่าวสรุปว่า บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า อาจเป็นบริเวณที่มี "สาเหตุไม่ปกติ" ทางธรรมชาติเกิดขึ้นเนื่องมาจากเป็นบริเวณที่มีการเปลี่ยนแปลง ของสนามแม่เหล็กโลก และสนามไฟฟ้าของโลกมากที่สุด ... เมื่อมีกระแสน้ำอุ่นจากตอนเส้นศูนย์สูตรไหลขึ้นไปสู่ทางเหนือของมหาสมุทรแอสแลนติค ปะทะกับกระแสน้ำเย็นที่ไหลลงสู่ทางใต้จากขั้วโลกเหนือ การปะทะกันของกระแสน้ำทั้งสองชนิดทำให้เกิดการแบ่งตัวกัน ของระดับน้ำเป็นชั้นๆ ชั้นบนจากผิวน้ำลงไปสู่ความลึกประมาณ 500 ถึง 1,000 ฟุต จะเป็นชั้นของกระแสน้ำอุ่น ลึกลงไป จากนี้ก็จะเป็นชั้นของกระแสน้ำเย็น ทั้งสองชั้นนี้มีทิศทางการไหลของน้ำสวนทางกัน ซึ่งอยู่ในระดับความลึก 500 ถึง 1,000 ฟุต จะเกิดการอันแน่นของกระแสน้ำ มีการขัดถูกัน และมีการถ่ายเทอุณหภูมิกันอย่างมกมาย เกิดการถ่ายถ่ายเทขัดสีกัน ของประจุไฟฟ้าสถิตขึ้นอย่างมากมาย เป็นจำนวนมหาศาล หลายพันล้านโวลต์เกิดการเหนี่ยวนำของสนามไฟฟ้าเป็นผลกระทบตามมา ประกอบกับการผันแปรของสนามแม่เหล็กโลกซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งในบริเวณนี้ การผันแปรของสนามแม่เหล็กโลก และสนามไฟฟ้าอาจมีการแปรผันสัมพันธ์กัน นำไปสู่ภาวะการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นชั่วคราว กระทบกระเทือน กับสนามแรงโน้มถ่วงของโลกในบริเวณนั้น.. และนี่คือผลกระทบทีทำให้เกิดการบ่ายเบนของสภาพเวลา-อวกาศ เมื่อสาเหตุไม่ปกตินี้เกิดขึ้น ก็จะทำให้เรือหรือเครื่องบินที่บังเอิญอยู่ตรงบริเวณนั้น ในขณะนั้น แล่นหรือบินออกจากจุดแห่งความแตกต่างของห้วงกาลเวลา หรืออีกนัยหนึ่งอาจกล่าได้ว่าบริเวณนั้น มีการเปลี่ยนแปลงของมิติที่ 4 เกิดขึ้น เรือหรือเครื่องบินก็ตาม อาจหลุดหรือผ่านเข้าไปสู่อีกมิติหนึ่ง หรืออีกกาลเวลาหนึ่งก็ได้ และนี่คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้เรือ ปรือเครื่องบินหายวับไปโดยปราศจาร่อง.. นอกจากนี้ ทฤษฎีของ ดร.แซน เดอร์สัน ยังสามารถใช้อธิบายในกรณี ที่มีเครื่องบินหายไปจากจอเรดาร์ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วก็กลับปรากฏขึ้นมาอีกได้นั้นหรือในกรณีที่เครื่องบินหายไป ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วกลับมาโดยไม่ทราบว่าหายไปไหนมา .. ทั้งนี้เพราะเหตุที่ว่าเครื่องบินเหล่านั้น ได้บังเอิญบินหลุดเข้าไปในความแปรผัน ของสนามเวลา ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางมิติขึ้นในทันทีทันใด จุดแปรผันของกาลเวลานาอาจเป็นเพียงบริเวณเล็กๆ ที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นดังนั้นจึงมิได้ทำให้เครื่องบินนั้น เคลื่อนย้ายออกไปจากมิติ หรือกาลเวลาปัจจุบันไม่มากนัก ระยะเวลาที่เกิดขึ้นกับเครื่องบินอาจจะเป็นชั่วระยะสั้นๆ แค่ 1 ในพันของวินาที หรืออาจจะไม่ถึงพริบตา แต่จะทำให้เกิดความแตกต่างกัน กับเวลาบนโลกนับได้เป็นนาที หรือชั่วโมงก็เป็นได้ และก็ด้วยการแปรผันอย่างรุนแรงของสภาพมิติ ในบางครั้ง มันก็อาจทำให้เรือเดินทะเลขนาดใหญ่ หรือเครื่องบินทั้งฝูง หลุดเข้าไปสู่อีกห้วงหนึ่งของกาบเวลาที่ไม่ใช้ปัจจุบัน และผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้น ก็จะติดอยู่ในห้วยแห่งกาลเวลานั้นโดยไม่มีทางได้กลับออกมาสู่มิติเดิมของเขาได้อีกเลย.. เป็นไงครับทฤษฎีของ ดร.แซนเดอร์สัน ฟังเข้าท่าพอเป็นไปได้นะครับ.. แต่ใครละจะกล้าพิสูจน์ว่าทฤษฎีนี้เป็นจริงความเป็นไปได้ ของการบ่ายเบนของมิตินั้นก็เป็นทฤษฎีที่มีตัวเลขยืนยันคำนวณกันแต่บนกระดาษ แต่ในความเป็นจริงแล้วทฤษฎีนี้ก็ยังไม่มีใครกล้าทดลองเพื่อยืนยัน ให้เป็นจริงกันสักที จึงเป็นอันว่าเราต้องคอยดูกันต่อไปดีกว่า 5)บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า อาจเป็นที่ตั้งฐานทัพลับใต้สมุทร ของชนชาติลึกลับ หรือของพวกมนุษย์ต่างดาวก็ได้การหายไปของเรือและเครื่องบิน อาจเกิดจากการจงใจ "ขโมย" เรือหรือเครื่องบินรวมทั้งการลักพาคนไปเพื่อการศึกษา หรือเพื่อการทดลอง หรือเพื่อการเก็บไปเป็นตัวอย่างดูเล่นก็เป็นได้..แนวความนึกคิดทำนองนี้ อาจมีทางเป็นไปได้อย่างเหมือนกันผู้ที่ค้นคว้าศึกษาตามแนวทางนี้ โดยเฉพาะจะพบว่า ย่านท้องทะเลแอตแลนติก แถบหมู่เกาะเบอร์มิวด้านี้ มีรายงานการปรากฏตัวของ ยูเอฟโอ (UFO) หนาแน่นพอๆ กับที่เห็นบนบก ตามจุดสำคัญๆ เหมือนกัน..แต่ปัญหาสำคัญคือ ทฤษฎียังไม่มีหลักฐานอย่างอื่นที่พอจะอ้างได้หรือนำมาชี้ทางสนับสนุนได้ว่า ยูเอฟโอ มีอะไรเกี่ยวข้อกับการศูนย์หายไปของเรือและเครื่องบิน การปรากฏตัวอย่างหนาแน่นของยูเอฟโอในย่านนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า จะมีฐานทัพเร้นลับซ่อนอยู่ใต้มหาสมุทร หรือบนเกาะร้างลี้ลับ แห่งใดแห่งหนึ่ง และก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่มนุษย์ต่างดาว จะต้องมาตั้งป้อมคอยขโมยเรือ และเครื่องบิน ของชาวโลกไปมากมายเพื่อประโยชน์อันใดกัน .. ในกรณีนี้แนวโน้มที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านั้น เป้นบริเวณที่มีสภาวะผิดปกติทางสภาพเวลา - อวกาศตามทฤษฎีของ ดร.แซนเดอต์สันมากกว่าและยูเอฟโอ ที่มาปรากฏตัวในบริเวณนี้มากนั้น ก็เนื่องมาจากว่า ยูเอฟโอใช้บริเวณนี้มากนั้นก็เนื่องมาจากว่า ยูเอฟโอ ใช้บริเวณนี้เป็นเส้นทางผ่านเข้าออกระหว่างมิติภพ.. หรือพูดง่ายๆ ก็คือ บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิด้า อาจเป็นบริเวณ ที่มีการเปิดปิดประตูแห่งกาลเวลา หรือประตูแห่งมิติ โดยธรรมชาติก็ได้.. มันหมายถึงช่องทางที่จะใช้เดินทางผ่านเข้าออกไปสู่ย่าน "ไฮเปอร์สเปซ" นั่นเอง หรือเป็นการเดินทางผ่านมิติในระบบของแสง ที่หนังหลายเรื่องเฝ้าฝันว่ามันจะเป็นความจริง
    แอตแลนติส (Atlantis) คืออาณาจักรโบราณที่อยู่ในความทรงจำของคนทั้งโลก ซึ่งผู้ที่สร้างตำนานอาณาจักรลึกลับนี้ คือ เพลโต นักปรัชญาชาวกรีกโบราณที่มีอิทธิพลอย่างสูงต่อแนวคิดตะวันตก กล่าวกันว่าอาณาจักรแอตแลนติส เป็นทวีป ๆ หนึ่งที่อยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก เป็นที่อยู่อาศัยของพลเมืองผู้ทรงคุณธรรมและเทคโนโลยีที่สูงส่ง กำแพงเมืองเป็นทองคำและวิหารสร้างด้วยเงิน มีอุทยานหย่อนใจและสนามแข่งม้า ทว่ามันถูกทำลายพังพินาศด้วยความพิโรธของเทพเจ้าผู้เนรมิตรมันขึ้นมา
    คำทำนายเกี่ยวกับอาณาจักรแอตแลนติส ที่เชื่อกันว่าเป็นแหล่งอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในสมัยแรกของโลก
    เอ็ดการ์ เคย์ซี ได้พยากรณ์ไว้ตอนหนึ่งว่า
    ...ทวีปแอตแลนติส เป็นทวีปที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีขนาดใหญ่กว่ายุโรปทั้งหมด รวมกับแผ่นดินรัสเซีย มีดินแดนต่อทอดไปทั่วโลกชนชาติทีอาศัยอยู่บนทวีปแอตแลนติสเป็นชนชาติผิวแดงที่มีความเฉลียวฉลาดเป็นเลิศผู้คนทั่วไปมีประสิทธิภาาพอย่างดียิ่งมีความรู้ความสามารถในศาสตร์ต่าง ๆ ทั้งปวงรวมทั้งงานด้านประติมากรรม วิศวกรรมและสถาปัตยกรรมด้วยโดยเฉพาะความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์นั้นเคย์ซีได้บันทึกไว้เป็นคำพยากรณ์ในบทที่ 2794-L-1โดยสรุปว่า ชาวแอตแลนติสมีความรู้ความเจริญก้าวหน้าทางด้านเคมี ฟิสิกส์ และจิตวิทยามาก พวกเขารู้จักประดิษฐ์ไฟฟ้าใช้รู้จักผลิตพลังปรมาณูจากยูเรเนียมรู้จักผลิตแสงเลเซอร์ ตลอดจนผลิตคลื่นวิทยุติดต่อกับดินแดนอื่นได้สิ่งสำคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่งก็คือชาวแอตแลนติสสามารถผลิตพลังงานมหาศาลจากพลึกมหัศจรรย์ชนิดหนึ่งซึ่งสามารถรวมเอาพลังธรรมชาติทั้งหมดที่มีอยู่ในโลกและจักรวาลเข้าด้วยกัน และเป็นที่น่าสังเกตว่าความสำเร็จในทางวิทยาศาสตร์ของชาวแอตแลนติสนั้น อาศัยพลังงานแสงอาทิตย์เป็นสำคัญวัฒนธรรมสูงส่งของชาวแอตแลนติสพัฒนาตลอดมา โดยมีความเกี่ยวพันทางศาสนาเริ่มตั้งแต่มีการทำพิธีบูชาพระอาทิตย์และเทพเจ้าวัฒนธรรมของอาณาจักรแอตแลนติสหายสาปสูญไปในที่สุด เมื่อเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ ดินแดนของมหาอาณาจักรเกิดสั่นสะเทือน และได้ถล่มทลายลงไปใต้ทะเล ภายในชั่วคืนกับชั่ววัน ดังน้นเมื่อปี 9500 ก่อนคริสต์กาล ชาติแอตแลนติสก็หายไปจากโฉมหน้าของโลกเคย์ซีกล่าวว่า วัฏจักรแห่งประวัติศาสตร์มักจะหมุนเวียนกลับมาอีกเสมอดังนั้นวิญญาณของชาวแอตแลนติสย่อมมีโอกาสกลับมาเกิดใหม่ได้อีก จากดินแดนหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง และจากทวีปหนึ่งไปยังอีกทวีปหนึ่งหรือจากเกาะหนึ่งไปยังเกาะอื่น ๆมหาอาณาจักรแอตแลนติสมีความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการเท่ากับโลกเราสมัยปัจจุบัน หรือบางอย่างมีความก้าวหน้ามากกว่า พวกเรารู้จักพัฒนา โดยนำเอาพลังงานอันมหาศาลมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในปัจจุบันเคย์ซีเชื่อว่า โลกเราได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างปัจจุบันทันด่วนที่ร้ายแรงที่สุดมาหลายครั้งแล้ว ซึ่งอาจมีผลทำให้อาณานิคมหรือดินแดนบางส่วนของมหาอาณาจักรแอตแลนดิสโผล่ขึ้นมาให้ชาวโลกได้เห็นอีกก็เป็นได้ เช่น เมื่อปี 2483 เคย์ซีทำนายว่าพื้นที่บางส่วนทางด้านตะวันตกของแอตแลนติสจะโผล่ขึ้นมาใกล้ ๆบริเวณหมู่เกาะบาฮามาในช่วงระหว่าง พ.ศ.2511-2512 ปรากฏว่าคำทำนายของเคย์ซีได้กลายเป็นความจริงคือ ได้มีการค้นพบซากเมืองใต้บาดาลใกล้ ๆหมู่เกาะบาฮามา เรียงต่อกันอย่างประณีตราวกับมีการใช้เทคโนโลยีทางวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมชั้นสูง หินบางก้อนมีขนาดใหญ่พอ ๆ กับขนาดรถบรรทุกเลยดีเดียว ลำพังจะใช้กำลังคนช่วยกันแบกหามขึ้นไปวางเรียงต่อกันก็คงจะไม่ทำได้เรียบร้อยและปราณีตเช่นนั้นเคย์ซียังทำนายต่อไปอีกว่าภัยพิบัติครั้งร้ายแรงที่เกิดขึ้น จนทำให้มหาอาณาจักรแอตแลนติส อันกว้างใหญ่ไพศาลถล่มทลายพังพินาศจมหายไปใต้ทะเลนั้น จะเกิดขึ้นอีกหลายแห่งในโลกเคย์ซีกล่าวว่าในช่วงแรกสุดของโลกเรา เมื่อประมาณ10 ล้านห้าแสนปีมาแล้ว มีอารยธรรมเกิดขึ้นแล้วเสื่อมสลายไปหลายครั้งยุคเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรมชาวแอตแลนติสอยู่ระหว่างช่วงนับจาก 200000 ลงมาจนถึงปี 10700 ก่อนคริสต์กาล คือนับตั้งแต่ช่วงเวลาประมาณ 13000 ปี ถอยหลังเป็นต้นไปคือสรุปแล้ว จะมีอายุนานประมาณ 80000-900000 ปีนี่ก็เป็นคำพยากรณ์บางส่วนของ เอ็ดการ์ เคย์ซี ที่ทำนายอดีตของโลกเราย้อนหลังไปหลายแสนหลายล้านปีซึ่งความเป็นจริงในสิ่งที่เขาพยากรณ์ไว้นั้นต้องรอคอยให้นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ในโลกปัจจุบันพิสูจน์ให้เห็นเด่นชัดในอนาคต
    อาณาจักรที่ล่มสลายไปในอดีตกาล ที่ซึ่งนักสำรวจทั่วโลกต่างให้ความสำคัญในการค้นหา จาก บทบันทึกของเพลโตได้กล่าวถึงดินแดนแห่งนี้ไว้ว่า เป็นอาณาจักรที่มีอารยธรรมรุ่งเรืองถึงขีดสุด แต่ได้ล่มสลายลง และถูกคลื่นยักษ์ กวาดกลืนจนไร้ร่องรอย แอตแลนติส (Atlantis) เป็นเรื่องราวที่ปรากฏอยู่ในงานเขียนของเพลโตชื่อทีมาอุส (Timaeus) และ ครีติอัส (Critias) ซึ่งเป็นบทสนทนาเกี่ยวกับสิ่งที่บรรพบุรุษของเพลโตเล่าต่อกันมาว่า แอตแลนติสเป็นชนชาติที่อยู่บนเกาะ ในช่วงระหว่าง 11,500 ปีที่แล้ว ซึ่งได้พัฒนาอารยธรรม จนเจริญก้าวหน้าไปมาก ส่วนสาเหตุที่ทำให้ดินแดนแห่งนี้ล่มสลายนั้นมีทั้งจากภัยธรรมชาติหรือ จากตำนานเทพเจ้ากรีกที่ระบุว่าชาวเมืองแอตแลนติสมีความละโมบ และกระหายอำนาจ เทพเจ้า จึงลงโทษด้วยการทำลายเมืองไปในที่สุด นอกจากนี้ยังมีผู้สงสัยว่า แอตแลนติสที่แท้จริงอาจเป็น เพียงแค่จินตนาการของเพลโตก็เป็นได้ แต่จากความรุ่งเรืองของอารยธรรมแห่งนี้ จึงเป็นมนเสน่ห์ดึงดูดให้ทั้งนักประวัติศาสตร์และนัก สำรวจพยายามค้นหาที่ตั้งของแอตแลนติส จากที่เพลโตได้เขียนไว้ว่า แอตแลนติสตั้งอยู่เลยเสา หินแห่งเฮอร์คิวลีส (Pillars of Hercules) ออกไป ซึ่งในปัจจุบัน คือ ช่องแคบยิบรอลตา (Gibraltar) ดังนั้นแอตแลนติส จึงควรอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก โดยน่าจะเป็นหมู่เกาะ อะซอเรส (Azores) หรือ มาดีราส (Madeiras) หรือ คานารีส (Canaries) แต่การศึกษา ทางโบราณคดีที่หมู่เกาะเหล่านี้ไม่ได้ให้หลักฐานใดๆ ว่าเคยเป็นอาณาจักรแอตแลนติส มาก่อน เมื่อไม่มีหลักฐานใดๆ ในแอตแลนติก ผู้คนที่ยังมีความศรัทธาในเรื่องของอาณาจักรแอตแลนติส ก็ได้หันมาพิจารณาคำของเพลโต ที่ว่า พิลาร์ ออฟ เฮอร์คิวลีส นั้นจริงๆ แล้ว เพลโตน่าจะหมาย ถึงช่องแคบ ดาร์ดาแนลเลส (Dardanelles) ของทะเลดำ (Black Sea) มากกว่าช่องแคบ ยิบรอลตา ดังนั้นการค้นหาแอตแลนติสจึงได้ถูกย้ายจากมหาสมุทรแอตแลนติกมากระทำในแถบ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean) แทนโรเบิร์ต ซาร์แมสต์ (Robert Sarmast) นักวิจัยจากสหรัฐฯ ค้นพบว่าแอ่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean) ได้จมลงไปขณะน้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อประมาณ 1,900 ปีก่อนคริตกาล จึง สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นบริเวณซึ่งเป็นที่ตั้งของแอตแลนติส โดยบริเวณนี้จมลึกลงไปถึง 1 ไมล์ใต้ ้ทะเลระหว่างไซปรัส (Cyprus) และซีเรีย (Syria) จากการสแกนฟังเสียงสะท้อนใต้น้ำลึก แสดงว่ามีสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นบริเวณหุบเขาที่จมน้ำ รวมถึงกำแพงที่ยาวประมาณ 3 กิโลเมตร ซึ่งกั้นอยู่บนยอดเขาและมีคูลึกล้อมรอบอยู่ด้วย เชื่อว่าพื้นที่ดังกล่าวน่าจะเป็นตำแหน่งของวิหาร แห่งเมืองแอตแลนติสแต่การค้นพบของซาร์แมสต์ ก็ถูกโต้แย้งโดย คริสเตียน ฮูบเชอร์ (Christian Huebscher) นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน ฮูบเชอร์กล่าวว่า พื้นที่ที่ซาร์แมสต์พบนั้นเป็นปรากฏการณ์เมื่อ 10,000 ปี ีที่แล้ว ที่ภูเขาไฟได้พ่นดินโคลนออกมาก่อนหน้านี้นักสำรวจได้พุ่งเป้าที่ชายฝั่งของสเปน คิวบา และทางตะวันตกของเกาะอังกฤษ ไม่เว้น แม้กระทั่งทะเลจีนใต้ โดยงานสำรวจที่เป็นชิ้นเป็นอันก่อนหน้านี้คือ ภาพถ่ายดาวเทียมบริเวณ อุทยานแห่งชาติดอนานาของสเปน (Donana) จากนักโบราณคดี มหาวิทยาลัยเอดินเบอร์ก (University Edinburgh) ของอังกฤษ ซึ่งภาพดังกล่าวได้พบสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่รูปสี เหลี่ยม 2 หลังจมอยู่ในโคลนใต้ทะเล โดยพบโลหะที่มีรัศมีเป็นวงกลมและมีสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ล้อมรอบ ทีมวิจัยในครั้งนั้นเชื่อว่าสิ่งก่อสร้างทั้ง 2 คือ วิหารทองคำที่ชาวแอนแลนตีสสร้างขึ้น เพื่อบูชาเทพโพเซดอน และวิหารเงินเพื่อบูชาพระนางไคลโต อันเป็นผู้ถือกำเนิดกษัตริย์ที่ปกครอง นครแอตแลนติส ซึ่งหลังที่ภาพถ่ายดาวเทียมได้ถูกเผยแพร่ออกไปแล้ว พื้นที่ดังกล่าวก็ยังไม่ได้รับ การขุดพิสูจน์แต่อย่างใดแอตแลนติสจึงเป็นตำนานอันลี้ลับ ให้มนุษย์ได้ศึกษาค้นคว้ากันต่อไป บทแปลต่อไปนี้ เป็นการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับแอตแลนติส ที่พระอียิปต์รูปหนึ่ง เล่าให้รัฐบุรุษกรีก ชื่อ โซลอน ( Solon ) ฟังมีบันทึกเก่าแก่ของเรา เรื่องราวในอดีตแสนไกลว่า เมืองของท่านสกัดการบุกของกองทัพอันเกรียงไกร จากเกาะแสนไกลในมหาสมุทรแอตแลนติกได้อย่างไร กองทัพยิ่งใหญ่ที่มุ่งมั่นโจมตียุโรปทั้งหมด และเอเชียด้วย เอาละ เกาะนี้เป็นเกาะใหญ่มาก ใหญ่กว่าแอฟริกา และเอเชีย รวมกัน - และตั้งอยู่ตรงข้ามกับช่องแคบระหว่างเสาหินของเฮอคิวลีส เกาะแอตแลนติส ปกครองโดยตระกูลกษัตริย์ ที่ทรงอำนาจ ที่ปกครองมิใช่เพียงเกาะนี้ แต่เกาะอื่นๆ และบางส่วนของแผ่นดินใหญ่ด้วย ราชวงศ์กษัตริย์ ที่ปกครองแอฟริกาเหนือ ไกลออกไปถึงอียิปต์ และยุโรปใต้ไกลออกไปถึงอิตาลี ราชวงศ์ผู้ปกครองแอตแลนติส เป็นเชื้อสายของ เทพโพซีคอน ที่แบ่งดินแดนให้โอรสสิบองค์ปกครอง โอรสองค์โต เป็นกษัตริย์ของเกาะทั้งหมด เกาะที่มีชื่อเรียกว่าแอตแลนติส ส่วนมหาสมุทรยังเรียกเป็นแอตแลนติก เพราะว่ากษัตริย์พระองค์แรก ชื่อ แอตลาส ( Atlas ) โอรสองค์อื่นๆ ได้รับการจัดสรรดินแดนให้ปกครองทุกองค์ เชื้อสายของกษัตริย์แอตลาสเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก เป็นราช วงศ์ที่ร่ำรวย และทรงอำนาจอย่างที่ไม่เคยมีราชวงศ์ใดเคยทำได้มาก่อน หรือจะมีขึ้นอีก ชาวแอตแลนติส ไม่เพียงแต่สั่งสินค้าส่วนใหญ่จากภายนอก แต่พวกเขาเองก็ผลิตแทบจะทุกสิ่งได้ที่จำเป็นสำหรับชีวิตประจำวัน โลหะแข็ง โลหะอ่อน และโลหะซึ่งเหลือแต่ชื่อ คือ โอริชาลคัม โลหะที่มีค่ามากที่สุด ยกเว้นทองคำ และแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีต้นไม้สีเขียวทุกหนแห่ง อากาศที่แสนวิเศษ ทำให้ผลไม้สุกปีละสองครั้ง ในแผ่นดินมีช้าง และสัตว์อื่นๆ มากมาย ทั้งสัตว์ป่า และสัตว์เลี้ยงนครบนเขากลางเกาะ มีเส้นผ่าศูนย์กลางสามพันฟุต และเป็นนครอันชวนพิศวง สะพานถูกสร้างข้ามช่องแคบทะเลโดยโพซีดอน คลองถูกขุดจากนครสู่ทะเล และป้อมปราการเคลือบด้วยตะกั่ว ทองเหลือง และโอริชาลคัมสีแดง ณ ตำแหน่งใจกลางนคร คือ มหาราชวังและวิหารยิ่งใหญ่แห่งเทพโพซีดอน สถานศักดิ์สิทธิ์ ล้อมรอบด้วยกำแพงทอง ปกคลุมด้วยเงิน เด่นเป็นสง่าด้วยหอคอยทองคำเหนือหลังคางาช้าง ภายในวิหารมีอนุสาวรีย์ทองคำขององค์เทพ ขนาดใหญ่โตมโหฬาร จนกระทั่งสัมผัสหลังคาวิหาร ลากด้วยม้ามีปีกหกตัว ล้อมรอบด้วยเทพแห่งทะเล เป็นจำนวนร้อยขี่ปลาโลมา และที่ด้านนอกวิหาร มีอนุสาวรีย์ทองคำเจ้าชายแห่งแอตแลนติสทุกองค์พร้อมด้วยชายา และในเกาะมีน้ำพุร้อนและเย็น สำหรับอาบ เป็นน้ำพุประดับ สวนสาธารณะและสวนผลไม้ มีที่สำหรับออกกำลังกายสำหรับบุรุษและม้า สนามม้าแข่งขนาดใหญ่ โรงทหาร ห้องคนเฝ้ายาม อู่เรือ ท่าเรือ เต็มไปด้วยเรือสิน ค้าและเรือทหาร ที่ราบรอบนครล้อมรอบด้วยภูเขา และคลองหลายคลองลึกหนึ่งร้อยฟุต กว้างหกร้อยฟุต ทั้งหมดรวมกันแล้วยาวมากกว่าสามพันไมล์ แล้วกษัตริย์ทั้งสิบผู้ครองเกาะ ร่วมประชุมกัน ให้สัตย์ปฏิญาณต่อกันว่า จะช่วยเหลือกันเมื่อเผชิญกับสงคราม และพวกเขามีรถศึกหนึ่งหมื่นคัน กองทัพเรือ มีเรือมากกว่าหนึ่งพันลำ เวลาผ่านไปหลายชั่วอายุสมัย ผู้คนแห่งเกาะเป็นพลเมืองผู้เคารพกฎหมาย กษัตริย์ของพวกเขาก็ปกครองอย่างชาญฉลาดและยุติธรรม ไม่ให้คุณค่าแก่ทรัพย์สมบัติ ยกย่องคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ส่วนที่ดีแห่งจิตวิญญาณของพวกเขาก็ลดน้อยถอยลงไป และในหัวใจมีแต่ความทะเยอทะยานอย่างไม่คำนึงถึงกฎหมาย คลั่งไคล้หลงไหลในอำนาจ แล้ว ซูส กษัตริย์แห่งทวยเทพ ตระหนักถึงความเสื่อมทรามที่กำลังเกิดกับชนชาวแอตแลนติส ตั้งพระทัยจะลงโทษพวกเขา เพื่อว่าพวกเขาจะได้มีสติขึ้นมาอีก ซูสจึงเรียกทวยเทพมาชุมนุมกัน ดังนั้น กองทัพแห่งแอตแลนติสจึงรวมกำลังกัน มุ่งหวังจะพิชิตเฮลลาส และอียิปต์ และฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทั้งหมด และแล้ว มันก็เกิดขึ้น พระอียิปต์ปลอบใจโซลอน บุรุษแห่งเอเธนส์ได้แสดงออกถึงความกล้าหาญและความเก่งกล้าต่อโลก ในตอนแรก และในฐานะผู้นำของเฮลเลนส์ และแล้วก็ยืนอยู่อย่างเดียวดาย เมื่อถูกคนอื่น ๆ ผละหนีหาย หลังจากที่ได้เผชิญกับสุดยอดแห่งภยันตรายแล้ว เขาก็สามารถเอาชนะฝ่ายรุกรานได้ และสร้างอนุสรณ์สถานเอาไว้ รักษาความเป็นอิสระแก่คนจากความเป็นทาส และปลดปล่อยคนอื่น ๆ จากความเป็นทาส
    แต่แล้วก็เกิดมหันตภัยธรรมชาติ แผ่นดินไหวและน้ำท่วมใหญ่ ทั้งวันและคืนที่โหดร้าย แผ่นดินแยกและกลืนกินชีวิตนักรบของเอเธนส์ทั้งหมด ในขณะที่เกาะยิ่งใหญ่แห่งแอตแลนติสก็จมหายไปในทะเล และมาถึงทุกวันนี้ น้ำมหาสมุทรที่ตำแหน่งนั้นก็ตื้นเขิน เรือผ่านไม่ได้ กลายเป็นสันดอนดินโคลน ซึ่งเกิดจากแผ่นดินเมื่อเกาะถล่ม
    ข้อมูลจาก siamtalksdek-d.comwikipediahttp://www.pantip.comhttp://www.pantip.com
    ข้อความนี้แต่งขึ้นจากความจริงเล็กน้อยและมีความสมเหตุสมผลบ้าง ข้าพเจ้าให้มันเป็นเป็นทฤษฎีเชิงปรัชญา โดย Marton“เมื่อ2600ปีที่แล้ว มีมหาบุรุษผู้หนึ่งได้ประสูติขึ้น ณ ดินแดนชมพูทวีป พระนามว่า สิทธัตถะ พระองค์ได้ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ตามความเห็นส่วนตัวของข้าพเจ้าคำว่าพระพุทธเจ้า เป็นสรรพนามที่ใช้เรียกผู้ที่รู้ในทุกสรรพสิ่งแต่ด้วยความรู้แล้วอาจไม่สามารถใช้คำว่าพระพุทธเจ้าได้ แต่ต้องเป็นผู้ที่ละซึ่งกิเลสได้หมดสิ้นอาจกล่าวได้ว่าพระพุทธเจ้าคือ มนุษย์คนเดียวที่ละกิเลสได้หมดสิ้น ข้าพเจ้าคิดว่าแบบนั้น พระองค์มีกระบวนการคิด มีเหตุผล และอัจฉริยะยิ่งกว่านักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่อย่าง อะคีมิดิส หรือไอน์สไตน์ อย่างน้อยสามคูณสิบกำลังแปดเท่าหรือมากมายมหาศาลกว่านั้นมาก เมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้วได้ทรงเทศนาสั่งสอนผู้คนในเชิงชีวิต ทั้งที่พระองค์มีความรู้ทุกเรื่อง ข้าพเจ้าคิดว่า วิทยาการที่มนุษย์จุบันมีหรือค้นพบพระองค์ทรงรู้เป็นแน่แท้แต่ พระองค์ไม่บอกเฉยๆเพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้หลุดพ้นเลย เคยมีเรื่องเล่าว่า เมื่อข่าวคราวของการบังเกิดขึ้นของผู้รู้ได้แพร่ไปทั่วจนถึงหูของนักปราชญ์ยุโรปผู้หนึ่งที่กำลังค้นคว้า หรือสงสัยว่าจักรวาลเกิดขึ้นได้อย่างไรเขาจึงคิดที่จะนำคำถามดั้นด้นจากดินแดนยุโรปมาที่ชมพูทวีป และเขาก็ได้พบกับพระพุทธเจ้าแล้วถามไปว่า ใช่ท่านหรือไม่ที่ผู้คนบอกว่าเป็นผู้รู้ ถูกต้องแล้วท่านนักปราชญ์ พระพุทธเจ้าตอบ เขาเลยถามพระพุทธเจ้าว่า ข้าอยากรู้เป็นยิ่งว่าจักรวาลเกิดขึ้นอย่างไร พระพุทธเจ้าตอบคำถามของเขาด้วยนิทานเรื่องหนึ่งว่า มีนักรบผู้เกรียงไกรผู้หนึ่ง นำทับออกจากเมืองของเขาไปรบตีเมืองต่างๆไปทั่วสารทิศไม่มีที่ใดที่เขาตีไม่ได้ ยึดดินแดนไปเกือบค่อนทวีปความยิ่งใหญ่ของเขาได้ส่งความหวาดกลัวไปทั่ว จนวันหนึ่งในขณะรบ เขามิได้ทันระวังตัวเขาจึงโดนยิงด้วยธนูที่กลางอกเขาเขาบาดเจ็บสาหัสเหล่าทหารจึงถอยทับนำเขากลับมาที่เมืองของเขาเพื่อจะให้แพทย์ผ่าตัดเอาศรธนูออก แต่นักรบผู้เกรียงไกรมีความทรนงในศักดิ์ศรีจะไม่ยอมให้แพทย์ผ่าตัดเอาศรธนูออก หากไม่รู้ว่าใครเป็นคนยิงศรธนู เป็นชนชาติใด โลหะที่ใช้ทำหัวศรคือโลหะใด ใช้ไม้ชนิดใดทำคันศรและตัวธนู ใช้วัสดุใดทำเชือก คนยิงอยู่ห่างตัวของเขาขณะยิงเท่าใด หากรู้สิ่งเหล่านี้แล้วจึงค่อยผ่าตัดออก ในขณะที่ชีพจรของเขาริบหรี่ลงเขาสั่งให้ทหารไปหาสิ่งที่เขาอยากรู้เขาจะรอ แพทย์ผู้ทำการผ่าตัวมองเห็นแล้วว่าหากไม่รีบผ่าตัดเอาหัวศรออกบัดเดี๋ยวนี้ นักรบผู้เกรียงไกรจักต้องตายเป็นแน่แท้ แพทย์เลยบอกกับนักรบผู้เกรียงไกรว่า ท่านนักรบผู้เกรียงไกร ท่านจะรอที่จะรู้ทำไมเล่าสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ทำอะไรดีขึ้นเลยมีแต่จะยืดเวลาให้ศรธนูกินชีวิตท่านให้หมดสิ้นหากท่านไม่รีบผ่าตัดออกชีวิตของท่านคงไม่เหลือบัดเดี๋ยวนี้ คำพูดของแพทย์ผู้ผ่าตัด ทำให้นักรบผู้เกรียงไกรตระหนักเห็นว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดยิ่งกว่าสิ่งที่เขาอยากจะรู้คือ ชีวิตของเขา นักรบผู้เกรียงไกรจึงให้แพทย์ผ่าตัดเอาหัวศรออก โดยไม่รอแล้วว่าสิ่งที่เขาอยากรู้เป็นอะไร เพราะเขารู้รู้แล้วว่าสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ชีวิตของเขา พอพระพุทธเจ้าเล่าจบเลยบอกกับเขาว่าบางสิ่งไม่สำคัญเลย สังขารหายืนยงไม่ ชีวิตของท่านไม่เที่ยงแท้ ท่านอย่ามีชีวิตอยู่บนความประมาทเลย จงรีบขวานขวายทำความดีให้ชีวิตพนจากทุกข์เถิดเมื่อพระพุทธเจ้าพูดจบ ไม่มีใครรู้เลยว่านักปราชญ์จากยุโรปผู้นั้นคิดเยี่ยงไร เขาได้ลาพระพุทธเจ้าแล้วได้เดินทางกลับ พระพุทธเจ้าจะไม่ปฏิเสธคำถามแต่จะตอบคำถามในเชิงคำสอน ชึ่งจะเป็นนัยให้คิดได้ ไม่แน่อาจเป็นสิ่งที่เราต้องการคำตอบก็เป็นได้”“ในคำสอนของพระพุทธเจ้าผู้ที่ไม่มีคำโกหกแม้แต่ 1/1000000000000000.........ของอิเล็กตรอน ได้กล่าวว่า ครั้งหนึ่งก่อนที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์เป็นคนอื่นมาก่อนซึ่งเยอะมากซึ่งที่สำคัญ มีอยู่ 10 ชาติ เท่าที่ข้าพเจ้ารู้มา มีอยู่ 500 ชาติ ซึ่งทำให้เกิดแง่คิดที่สำคัญว่า เคยมีอารยะธรรมก่อนหน้านั้นมาก ซึ้งตาหลักแล้วที่ข้าพเจ้ารู้มาชีวิตเฉลี่ยของมนุษย์จะลดลง 1 ปี ทุกๆ 100 ปี หากเปรียบเทียบกับอายุเฉลี่ยของมนุษย์ปัจจุบันแล้วอาจกล่าวได้ว่าสมัยพุทธกาล อายุเฉลี่ยของมนุษย์คือ 100 ปี หากอ้างตาม เรื่องราว 500 ชาติ ของพระพุทธเจ้าแล้ว ให้ 1 ชาติ มีอายุ 100 ปี จะได้ว่ามนุษย์ได้มีอารยะธรรมมาแล้วอย่างน้อย 50000 ปี ซึ่งไม่เกินเวลาที่นักโบราณคดีปัจจุบันได้ศึกษาแล้วว่าช่วงเวลาที่นับว่ามีมนุษย์โดยไม่นับรวมช่วงที่ยังเป็นมนุษย์วานร คือ 100000 ปี ”“หากเราลองคิดถึงพัฒนาการด้านความสามารถ ความรู้ของมนุษย์ในช่วง 2000 ที่ผ่านมา จะเห็นสามารถทำให้มีเทคโนโลยีที่ดี และยอดเยี่ยมได้ถึงเพียงนี้ หากเราให้เวลาในการพัฒนาการของมนุษย์อย่างเต็มที่ 10000 ปี จะทำให้จะทำให้เรารู้ว่ามนุษย์เรามีความเจริญอย่างเต็มขีด หรือไม่ก็สูงส่งมาแล้วอย่างน้อย 10 ช่วง”“จากความเป็นมนุษย์ที่เราคุ้นเคยและรู้จัก มนุษย์ย่อมมีกิเลส ยิ่งยุคสมัยเปลี่ยนไป เทคโนโลยีเจริญก้าวหน้า มีอาวุธร้ายแรง เช่น ไฟบรรลัยกัลป์ มนุษย์บ้าคลั่งในอำนาจ แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าจะพูดคือช่วงเวลาที่มนุษย์มีความเจริญถึงขีดสุดยอมทำให้มนุษย์ใช้เทคโนโลยีในทางที่ผิดทำลายล้างกันเองจนเกิดความหายนะแก่อนาจักร”

    แอตแลนติส
    บทความนี้เกี่ยวกับอาณาจักรโบราณ สำหรับความหมายอื่น ดูที่ แอตแลนติส (แก้ความกำกวม)
    แอตแลนติส (Atlantis) คืออาณาจักรโบราณที่อยู่ในความทรงจำของคนทั้งโลก ซึ่งผู้ที่สร้างตำนานอาณาจักรลึกลับนี้ คือ เพลโต นักปรัชญาชื่อดังของกรีกโบราณที่มีอิทธิพลอย่างสูงต่อแนวคิดตะวันตก

    กล่าวกันว่าอาณาจักรแอตแลนติส เป็นทวีปๆ หนึ่งที่อยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก เป็นที่อยู่อาศัยของพลเมืองผู้ทรงคุณธรรมและเทคโนโลยีที่สูงส่ง กำแพงเมืองเป็นทองคำและวิหารสร้างด้วยเงิน มีอุทยานหย่อนใจ และสนามแข่งม้า ทว่ามันถูกทำลายพังพินาศ ด้วยความพิโรธของเทพเจ้าผู้เนรมิตรมันขึ้นมา คำว่า แอตแลนติส มาจากแอตลาสบุตรของโพไซดอน แอตแลนติสอาจอยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน นักประดาน้ำบางคนพบขุมทองบริเวณนั้นนั่นเอง

    เพลโต นักปราชญ์ชาวกรีกเขียนไว้เมื่อราว 300 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งยุคของเพลโต ห่างจากยุคของแอตแลนติสราว 9,000 ปี เพลโตเขียนถึงแอตแลนติสในหนังสือที่ชื่อว่า ทิเมอุส และ ครีทีแอซ โดยอ้างว่า โซลอน รัฐบุรุษคนหนึ่งของกรีกราวยุค 600 ปีก่อนคริสตกาล เป็นผู้นำมาเผยแพร่หลังจากรับทราบเรื่องราวของแอตแลนติสจากนักบวชชาวอียิปต์ท่านหนึ่ง

    มีการกล่าวว่า อารยธรรมโบราณหลายๆ แห่งของโลก ไม่ว่าจะเป็นอียิปต์ รวมถึงบรรดาวัฒนธรรมเมโสโปเตเมียทั้งหลาย ไปจนถึงวัฒนธรรมโบราณของชนเผ่าอินคา มายา และแอซแต็กในแถบอเมริกากลาง รวมทั้งสิ่งปลูกสร้างที่มหัศจรรย์ ไม่ว่าจะเป็นสโตนเฮ้นจ์ หรือปิรามิดในดินแดนต่างๆ ทั่วโลก ต่างก็เป็นมรดกจากชาวแอตแลนติสทั้งสิ้น

    [แก้] ทฤษฎีแอนตาร์กติกาคือแอตแลนติส
    ในหนังสือ แอตแลนติส ดินแดนที่สาบสูญ ได้ระบุไว้ว่า ทวีปแอนตาร์กติกา มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นดินแดนที่ตั้งของนครแอตแลนติส เนื่องจากมีการกล่าวไว้ว่า แอตแลนติส เป็นดินแดนที่ล้อมรอบไปด้วยมหาสมุทร และผืนแผ่นดิน ซึ่งเมื่อ 12,000 กว่าปีก่อน บริเวณช่องแคบแบริ่ง เคยเกิดทางเชื่อมต่อระหว่างทวีปเอเชียกับทวีปอเมริกาเหนือ ทวีปแอฟริกาและเอเชียเคยเชื่อมต่อกันมาก่อนที่จะขุดคลองสุเอซขึ้น และก่อนที่จะมีการสำรวจทวีปอเมริกาเหนือและใต้ ทวีปทั้งสองเคยเชื่อมต่อกัน ก่อนที่ชาวสเปนจะทำการขุดคลองปานามา ทำให้ทวีปเอเชีย ยุโรป แอฟริกา อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ และออสเตรเลีย เป็นผืนแผ่นดินเดียวกัน ล้อมรอบทวีปแอนตาร์กติกา ซึ่งเป็น "เกาะสีขาวกลางมหาสมุทร" อันเป็นแอตแลนติสนั่นเอง[1]

    ช่วงเวลาที่แอตแลนติสล่มสลาย คือประมาณ 12,000 ปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เปลือกโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสุดท้าย ซึ่งในช่วงนั้น แกนโลกเอียงไปมาก ทำให้แอนตาร์กติกาเล็ก (ดินแดนขนาดใหญ่ที่ถูกกั้นจากแอนตาร์กติกาใหญ่ด้วยเทือกเขาทรานส์แอนตาร์กติกา) ตอนนั้นยังไม่มีน้ำแข็งปกคลุม ด้านตรงข้าม บริเวณมหาสมุทรอาร์คติก ก็ยังไม่มีน้ำแข็งปกคลุม แต่บริเวณตะวันตกของประเทศสหรัฐอเมริกา และแอนตาร์กติกาใหญ่นั้น กลับมีน้ำแข็งปกคลุม จึงเชื่อว่า แอนตาร์กติกาเล็กคือที่ตั้งของแอตแลนติส[1]

    คำบอกเล่าของนักบวชอียิปต์ ได้กล่าวถึงร่องรอยของแอตแลนติส ไว้ 16 ประการ แต่ย่อได้ 5 ประการ ดังนี้

    ตั้งอยู่ในที่ราบใหญ่
    อยู่ใกล้มหาสมุทร
    อยู่กึ่งกลางระหว่างระยะทางที่ไกลที่สุดระหว่างทวีป
    มุ่งตรงไปยังเกาะ
    ล้อมรอบด้วยภูเขา
    ซึ่งบริเวณแอนตาร์กติกาเล็ก เมื่อ 12,000 ปีก่อน มีที่ราบถ้าลากจากกึ่งกลางทวีป ไปยังเกาะ จะเป็นเส้นที่ยาวที่สุด มีภูเขาอยู่อีกด้านของแอนตาร์กติกาเล็ก ดังนั้น แอตแลนติสจะต้องอยู่ระหว่างแอนตาร์กติกาเล็กกับเกาะๆ นั้น ซึ่งอยู่ระหว่างแหลมกู๊ดโฮกับแหลมแอนตาร์กติก[1]
    ภาพล่างนี้เป็นภาพลายเส้นและรูปวาดบนพื้นดินแห่งนัซกาและปัมปัสเดคูมานา


    [​IMG] เส้นนัซกา (Nazca Lines) เป็นลายเส้นลึกลับที่กินอาณาเขตพื้นที่กว่า 520 ตารางกิโลเมตรบนทะเลทราย​
    นัซกา ระหว่างเมืองนัซกากับเมืองปัลปาในแคว้นอีกา ประเทศเปรู สันนิษฐานว่าชาวนัซกาโบราณ (ซึ่ง
    ครอบครองดินแดนเปรูมาก่อนยุคจักรวรรดิอินคา) ขุดลายเส้นเหล่านี้ขึ้นเมื่อประมาณ 200 ปีก่อนคริสต
    ภาพล่างนี้เป็นภาพลายเส้นนกฮ้มมิงเบิร์ต

    [​IMG]
    กาลถึงประมาณปี ค.ศ. 500 ชาวนัซกาโบราณเป็นเกษตรกรเพาะปลูกอยู่บนที่ราบชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ไม่ได้ทิ้งหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรไว้เลย ที่พอจะเข้าใจได้บ้างก็มาจากการศึกษาสุสาน
    และข้าวของเครื่องใช้ในหลุมฝังศพเท่านั้น ซึ่งไม่ทราบแน่ชัดว่าเพราะเหตุใดพวกเขาจึงทำลวดลาย

    [​IMG]
    เหล่านี้ขึ้นลายเส้นนัซกาที่ทำขึ้นเป็นแบบวิธีเดียวกันหมด คือ ขุดเอาหินทรายสีแดงบนพื้นผิวทะเลทรายออก แล้ว
    เปิด ให้เห็นชั้นหินสีเหลืองอ่อนที่อยู่ข้างใน ไม่มีร่องรอยการใช้ลายเส้นและสัตว์ช่วยแม้แต่น้อย และภาพ
    เป็นเส้นเดียวไม่ขาดตอน ภาพของลายเส้นนัซกาแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ ๆ คือภาพที่เป็นรูปทรงและ
    ภาพที่เป็นเส้นลายเฉย ๆ มีภาพสัตว์ นก รูปเรขาคณิต เป็นต้น
    เส้นนัซกาได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี พ.ศ. 2537 ภาพซ้ายนี้เป็นภาพลายเส้นสุนัข
    นครเปตรา นครเปตรา (จากภาษากรีก πέτρα แปลว่าหิน ภาษาอารบิก البتراء) คือนครหินแกะสลักโบราณที่ซ่อนตัวอย่างลึกลับในหุบเขาวาดี มูซา หุบเขาที่ตั้งอยู่ระหว่างทะเลสาบเดดซีกับทะเลอัคบาในประเทศจอร์แดน นครนี้แต่เดิมนั้นเป็นนครแห่งการค้าขนาดใหญ่ซึ่งต่อมาถูกละทิ้งเป็นเวลานานกว่า 700 ปี จนเมื่อมีนักสำรวจชาวสวิตเซอร์แลนด์ โยฮันน์ ลุควิก บวร์กฮาร์ท เดินทางผ่านมาพบเห็นเข้าเมื่อปี พ.ศ. 2355 (ค.ศ. 1812)



    [​IMG]
    รูปบนนี้เป็นภาพวิหารใหญ่ในเมืองเปตรา

    นครเปตราได้รับลงทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2528 โดยกล่าวอธิบายไว้ว่า "เป็นหนึ่งในสิ่งที่ล้ำค่ามากที่สุดของมรดกทางวัฒนธรรมแห่งมวลมนุษยชาติ" (one of the most precious cultural properties of man's cultural heritage) [1] ปัจจุบันสามารถเดินทางเข้าไปโดยอาศัยม้าเท่านั้น
    เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 นครเปตราได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ของโลก จากการลงคะแนนทั่วโลกทั้งทางอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือ

    [​IMG]



    ประวัติ
    ก่อตั้งและเจริญรุ่งเรือง

    ชนกลุ่มแรกที่เดินทางเข้ามาสู่เปตราคือพวกเอโดไมต์ ซึ่งเข้ามาราวปี 1000 ปีก่อนคริสตกาล แต่ชนชาติที่สร้างเมืองเปตราขึ้นมานั้นคือชาวนาบาเทียน (Nabataeans) ในช่วงศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล[2] ซึ่งแต่เดิมเป็นเพียงชนเผ่าเร่ร่อนในทะเลทรายอาหรับ คนกลุ่มนี้สกัดผาหินทรายเป็นบ้านเรือนและอาศัยอยู่ในถ้ำทีมีอยู่ทั่วเมือง พวกเขามีอาชีพเป็นคนเลี้ยงแกะ แต่เปลี่ยนมาค้าขายและรับจ้างเป็นยามรักษาความปลอดภัยให้แก่กองคาราวาน คนเผ่านี้มีความซื่อสัตย์ ค่าธรรมเนียมผ่านทางที่เรียกเก็บจากผู้สัญจรก็ช่วยให้พวกนาบาเทียนมีชีวิตที่รุ่งเรื่องขึ้น

    [​IMG]
    รูปบนเป็นภาพอาคารที่ใหญ่ที่สุดในนครเปตราสาเหตุที่เปตราตั้งอยู่บนดินแดนอันแห้งแล้ง มีแต่หินกับทรายนั้นก็น่าจะเพราะเปตราตั้งอยู่เส้นทางการค้าสำคัญที่สุดของโลกในขณะนั้น 2 สาย ได้แก่เส้นทางสายสายตะวันออก - สายตะวันตก คาบสมุทรอาหรับกับอ่าวเปอร์เซียจนถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และสายสายเหนือ - ใต้ ที่เชื่อมทะเลแดงกับ กรุงดามัสกัส ซีเรีย นอกจากนั้นเมืองนี้ยังมีแหล่งน้ำจืดสำคัญซึ่งต่อมาเรียกกันว่า วาดี มูซา หรือ หุบเขาโมเสส ซึ่งเล่ากันว่าเป็นน้ำที่ได้เมื่อโมเสสเสกออกมาเพื่อให้ชาวยิวได้กินแก้กระหาย เหล่าพ่อค้าหรือนักเดินทางที่เดินทางผ่านทะเลทรายอันว่างเปล่าและแห้งแล้งใกล้เคียงนั้นไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากมุ่งมาที่เมืองเปตราอย่างเดียว

    [​IMG]



    เปตราเป็นศูนย์กลางค้าขนาดใหญ่ จนทำให้นักเดินทางชาวกรีกมักนำเรื่องความมั่งคั่งมาเล่าให้ฟัง ตามบันทึกของสตราโบ นักภูมิศาสตร์ชาวกรีกได้อธิบายไว้ว่า เมืองเปตราเป็นตลาดซื้อสินค้าสำคัญที่สุดของโลกตะวันออก ยางไม้หอม กำยาน เครื่องเทศของชาวอาหรับ ทองแดง เหล็ก เครื่องปั้นดินเผา รูปปั้น ผ้าย้อมของชาวฟินิเซียนล้วนถูกลำเลียงผ่านเมืองเปตราไปสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และชาวเปอร์เซีย


    [​IMG]




    วิหารใหญ่ในเมืองเปตราเปตราเจริญถึงขีดสูงสุดในช่วง 50 ปีก่อนคริสตกาล จนถึงคริสต์ศักราชที่ 70 ในช่วงเวลานี้เปตราถูกปกครองด้วยกษัตริย์นาม อารีตัสที่ 4 (Aretas IV) ผู้ที่ชาวกรีกยกย่องให้ว่า ฟิโลเดมอส (Philodemos) ซึ่งแปลว่า ผู้รักประชาชน และด้วยความมั้งคั้ง ความเป็นเมืองที่อยู่ห่างไกล และชัยภูมิอันจากแก่การพิชิต จึงทำให้เมืองมีโอกาสเจริญเติบโตได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องกลัวศัตรูจากพายนอก
    ชาวเปตรานับถือเทพเจ้าสององค์คือ เทพดูซาเรส (Dushares) เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ และเทพอัลอัซซา (Al Uzza) ชายาของเทพดูซาเรส เทวีแห่งน้ำ
    การล่มสลาย


    ด้วยเหตุที่เกิดเมืองใหม่และเส้นทางค้าขายใหม่ที่ปลอดภัยและสะดวกกว่าในช่วงเวลาต่อมา เปตราที่เคยเจริญรุ่งเรืองด้วยการค้าก็เริ่มสูญเสียอำนาจลง เมืองอ่อนแอและถูกต่างชาติโจมตีเข้าได้ง่าย จนเมื่อถึงปี พ.ศ. 649 (ค.ศ. 106) พวกโรมันนำโดยจักรพรรดิทราจัน หรือ ไทรอะนุส(Traianus) ได้เข้ายึดครองเปตราและผนวกนครนี้เข้าเป็นจังหวัดในจักรวรรดิโรมัน แต่เปตราก็ยังคงดำรงอยู่เรื่อยมาจนถึงราวปี ค.ศ. 300 เมื่อจักรวรรดิโรมันเริ่มคลอนแคลน ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ. 906 (ค.ศ. 363) แผ่นดินไหวก็ได้ทำลายอาคารและระบบชลประทานที่ถือว่าดีมากของเมืองลง

    [​IMG]



    ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5 เปตรากลายเป็นที่ตั้งคริสต์ศาสนามณฑลของบิชอป แล้วถูกมุสลิมยึดในคริสต์ศตวรรษที่ 7 แล้วก็เสื่อมถอยมาเรื่อยๆ จนลบเลือนหายไปจากผู้คน
    การค้นพบ


    ถึงแม้ซากเมืองเปตราจะเป็นสิ่งที่น่าอยากรู้อยากเห็นของผู้คนในช่วงยุคกลาง เช่นมีสุลต่านของอียิปต์ ไบบารส์ (Sultan Baibars) เดินทางเข้าไปเยี่ยมชนในช่วงก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 13 แต่การค้นพบเปตราที่นำไปสู่การเปิดเผยต่อสายตาชาวโลกเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ เมื่อปี พ.ศ. 2355 (ค.ศ. 1812) เมื่อมีนักสำรวจชาวสวิตเซอร์แลนด์ โยฮันน์ ลุควิก บวร์กฮาร์ท (Johann Ludwig Burckhardt) ซึ่งกำลังเดินทางจากจอร์แดนไปอียิปต์เพื่อไปศึกษาถึงแหล่งที่เป็นต้นกำเนินของแม่น้ำไนล์ บวร์กฮาร์ทได้เห็นด้านหน้าอันใหญ่โตของเปตรา แต่ผู้นำทางท้องถิ่นสั่งห้ามมิให้เขาลงไปทำอะไรที่นั่น บวร์กฮาร์ทจึงแอบบันทึกย่อไว้ขณะที่อูฐเดินผ่าน ถึงแม้จะเป็นเพียงบันทึกเล็กๆ คร่าวๆ แต่ก็ถือได้ว่าเป็นการที่เปิดเมืองสู่สายตาชาวโลก ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ. 2369 (ค.ศ. 1826) เลออง เดอ ลาบอร์ด (Leon de Laborde) ชาวฝรั่งเศสที่ได้เดินทางเข้าไปสำรวจเมืองและเขียนหนังสือออกมาเล่มหนึ่งชื่อว่า "Voyage de l'Arabie Pétrée" แปลว่า "การเดินทางในเปตราแห่งอาหรับ" (ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2373) ซึ่งการเขียนหนังสือครั้งนี้ถือเป็นการนำภาพและความรู้ต่างๆที่ชาวโลกไม่เคยเห็นมาเปิดเผยให้ได้รับรู้

    [​IMG]

    การสำรวจทางโบราณคดีเริ่มขึ้นในช่วงต้นของคริสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งในปัจจุบันก็ยังคงดำเนินการสำรวจอยู่
    มรดกโลก

    เปตราได้รับลงทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 9 เมื่อปี พ.ศ. 2528 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ด้วยข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการพิจารณา ดังต่อไปนี้


    [​IMG]


    (i) - เป็นตัวแทนที่แสดงถึงผลงานชิ้นเอกทีได้ถูกจัดทำขึ้นด้วยการสร้างสรรค์อันแสนฉลาด

    (iii) - เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรมหรืออารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้ว

    (iv) - เป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของประเภทของสิ่งก่อสร้างอันเป็นตัวแทนของการพัฒนาทางด้านวัฒนธรรม สังคม ศิลปกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ

    Bermudathai: เบอร์มิวดา
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    แอตแลนติส (Atlantis)
    [​IMG]

    แอตแลนติส (Atlantis) คืออาณาจักรโบราณที่อยู่ในความทรงจำของคนทั้งโลก ซึ่งผู้ที่สร้างตำนานอาณาจักรลึกลับนี้ คือ เพลโต นักปรัชญาชาวกรีกโบราณที่มีอิทธิพลอย่างสูงต่อแนวคิดตะวันตก กล่าวกันว่าอาณาจักรแอตแลนติส เป็นทวีป ๆ หนึ่งที่อยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก เป็นที่อยู่อาศัยของพลเมืองผู้ทรงคุณธรรมและเทคโนโลยีที่สูงส่ง กำแพงเมืองเป็นทองคำและวิหารสร้างด้วยเงิน มีอุทยานหย่อนใจและสนามแข่งม้า ทว่ามันถูกทำลายพังพินาศด้วยความพิโรธของเทพเจ้าผู้เนรมิตรมันขึ้นมา



    <CENTER>คำทำนายเกี่ยวกับอาณาจักรแอตแลนติส ที่เชื่อกันว่าเป็นแหล่งอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในสมัยแรกของโลก</CENTER>



    <CENTER>เอ็ดการ์ เคย์ซี ได้พยากรณ์ไว้ตอนหนึ่งว่า</CENTER>



    <CENTER>...ทวีปแอตแลนติส เป็นทวีปที่ใหญ่ที่สุดในโลก
    มีขนาดใหญ่กว่ายุโรปทั้งหมด รวมกับแผ่นดิน
    รัสเซีย มีดินแดนต่อทอดไปทั่วโลก

    ชนชาติทีอาศัยอยู่บนทวีปแอตแลนติส
    เป็นชนชาติผิวแดงที่มีความเฉลียวฉลาดเป็นเลิศ
    ผู้คนทั่วไปมีประสิทธิภาาพอย่างดียิ่ง
    มีความรู้ความสามารถในศาสตร์ต่าง ๆ ทั้งปวง
    รวมทั้งงานด้านประติมากรรม วิศวกรรม
    และสถาปัตยกรรมด้วย

    โดยเฉพาะความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์นั้น
    เคย์ซีได้บันทึกไว้เป็นคำพยากรณ์ในบทที่ 2794-L-1
    โดยสรุปว่า ชาวแอตแลนติสมีความรู้
    ความเจริญก้าวหน้าทางด้านเคมี ฟิสิกส์
    และจิตวิทยามาก พวกเขารู้จักประดิษฐ์ไฟฟ้าใช้
    รู้จักผลิตพลังปรมาณูจากยูเรเนียม
    รู้จักผลิตแสงเลเซอร์ ตลอดจนผลิต
    คลื่นวิทยุติดต่อกับดินแดนอื่นได้

    สิ่งสำคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่งก็คือ
    ชาวแอตแลนติสสามารถผลิตพลังงาน
    มหาศาลจากพลึกมหัศจรรย์ชนิดหนึ่ง
    ซึ่งสามารถรวมเอาพลังธรรมชาติ
    ทั้งหมดที่มีอยู่ในโลกและจักรวาล
    เข้าด้วยกัน และเป็นที่น่าสังเกตว่า
    ความสำเร็จในทางวิทยาศาสตร์
    ของชาวแอตแลนติสนั้น อาศัยพลังงาน
    แสงอาทิตย์เป็นสำคัญ

    วัฒนธรรมสูงส่งของชาวแอตแลนติสพัฒนา
    ตลอดมา โดยมีความเกี่ยวพันทางศาสนา
    เริ่มตั้งแต่มีการทำพิธีบูชาพระอาทิตย์
    และเทพเจ้า

    วัฒนธรรมของอาณาจักรแอตแลนติส
    หายสาปสูญไปในที่สุด เมื่อเกิดภัยพิบัติ
    ครั้งใหญ่ ดินแดนของมหาอาณาจักรเกิด
    สั่นสะเทือน และได้ถล่มทลายลงไป
    ใต้ทะเล ภายในชั่วคืนกับชั่ววัน ดังน้นเมื่อ
    ปี 9500 ก่อนคริสต์กาล ชาติแอตแลนติสก็
    หายไปจากโฉมหน้าของโลก

    เคย์ซีกล่าวว่า วัฏจักรแห่งประวัติศาสตร์
    มักจะหมุนเวียนกลับมาอีกเสมอ
    ดังนั้นวิญญาณของชาวแอตแลนติสย่อม
    มีโอกาสกลับมาเกิดใหม่ได้อีก
    จากดินแดนหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง
    และจากทวีปหนึ่งไปยังอีกทวีปหนึ่ง
    หรือจากเกาะหนึ่งไปยังเกาะอื่น ๆ

    มหาอาณาจักรแอตแลนติสมีความเจริญ
    ก้าวหน้าทางวิทยาการเท่ากับโลกเรา
    สมัยปัจจุบัน หรือบางอย่างมีความก้าวหน้า
    มากกว่า พวกเรารู้จักพัฒนา โดยนำเอา
    พลังงานอันมหาศาลมาใช้ให้เกิดประโยชน์

    ในปัจจุบันเคย์ซีเชื่อว่า โลกเราได้มีการ
    เปลี่ยนแปลงอย่างปัจจุบันทันด่วน
    ที่ร้ายแรงที่สุดมาหลายครั้งแล้ว ซึ่งอาจมีผล
    ทำให้อาณานิคมหรือดินแดนบางส่วนของ
    มหาอาณาจักรแอตแลนดิสโผล่ขึ้นมาให้ชาวโลก
    ได้เห็นอีกก็เป็นได้ เช่น เมื่อปี 2483 เคย์ซี
    ทำนายว่าพื้นที่บางส่วนทางด้านตะวันตก
    ของแอตแลนติสจะโผล่ขึ้นมาใกล้ ๆ
    บริเวณหมู่เกาะบาฮามา

    ในช่วงระหว่าง พ.ศ.2511-2512 ปรากฏว่า
    คำทำนายของเคย์ซีได้กลายเป็นความจริง
    คือ ได้มีการค้นพบซากเมืองใต้บาดาลใกล้ ๆ
    หมู่เกาะบาฮามา เรียงต่อกันอย่างประณีต
    ราวกับมีการใช้เทคโนโลยีทางวิศวกรรม
    และสถาปัตยกรรมชั้นสูง หินบางก้อนมีขนาดใหญ่
    พอ ๆ กับขนาดรถบรรทุกเลยดีเดียว
    ลำพังจะใช้กำลังคนช่วยกันแบกหาม
    ขึ้นไปวางเรียงต่อกันก็คงจะไม่ทำได้
    เรียบร้อยและปราณีตเช่นนั้น

    เคย์ซียังทำนายต่อไปอีกว่า
    ภัยพิบัติครั้งร้ายแรงที่เกิดขึ้น จนทำให้
    มหาอาณาจักรแอตแลนติส อันกว้างใหญ่
    ไพศาลถล่มทลายพังพินาศจมหายไปใต้
    ทะเลนั้น จะเกิดขึ้นอีกหลายแห่งในโลก

    เคย์ซีกล่าวว่า
    ในช่วงแรกสุดของโลกเรา เมื่อประมาณ
    10 ล้านห้าแสนปีมาแล้ว มีอารยธรรม
    เกิดขึ้นแล้วเสื่อมสลายไปหลายครั้ง
    ยุคเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรมชาวแอตแลนติส
    อยู่ระหว่างช่วงนับจาก 200000 ลงมา
    จนถึงปี 10700 ก่อนคริสต์กาล คือนับตั้งแต่
    ช่วงเวลาประมาณ 13000 ปี ถอยหลังเป็นต้นไป
    คือสรุปแล้ว จะมีอายุนานประมาณ 80000-
    900000 ปี

    นี่ก็เป็นคำพยากรณ์บางส่วนของ
    เอ็ดการ์ เคย์ซี ที่ทำนายอดีตของโลกเรา
    ย้อนหลังไปหลายแสนหลายล้านปี
    ซึ่งความเป็นจริงในสิ่งที่เขาพยากรณ์ไว้นั้น
    ต้องรอคอยให้นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ในโลก
    ปัจจุบันพิสูจน์ให้เห็นเด่นชัดในอนาคต</CENTER>



    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    อาณาจักรที่ล่มสลายไปในอดีตกาล ที่ซึ่งนักสำรวจทั่วโลกต่างให้ความสำคัญในการค้นหา จาก บทบันทึกของเพลโตได้กล่าวถึงดินแดนแห่งนี้ไว้ว่า เป็นอาณาจักรที่มีอารยธรรมรุ่งเรืองถึงขีดสุด แต่ได้ล่มสลายลง และถูกคลื่นยักษ์ กวาดกลืนจนไร้ร่องรอย แอตแลนติส (Atlantis) เป็นเรื่องราวที่ปรากฏอยู่ในงานเขียนของเพลโตชื่อทีมาอุส (Timaeus) และ ครีติอัส (Critias) ซึ่งเป็นบทสนทนาเกี่ยวกับสิ่งที่บรรพบุรุษของเพลโตเล่าต่อกันมาว่า แอตแลนติสเป็นชนชาติที่อยู่บนเกาะ ในช่วงระหว่าง 11,500 ปีที่แล้ว ซึ่งได้พัฒนาอารยธรรม จนเจริญก้าวหน้าไปมาก ส่วนสาเหตุที่ทำให้ดินแดนแห่งนี้ล่มสลายนั้นมีทั้งจากภัยธรรมชาติหรือ จากตำนานเทพเจ้ากรีกที่ระบุว่าชาวเมืองแอตแลนติสมีความละโมบ และกระหายอำนาจ เทพเจ้า จึงลงโทษด้วยการทำลายเมืองไปในที่สุด นอกจากนี้ยังมีผู้สงสัยว่า แอตแลนติสที่แท้จริงอาจเป็น เพียงแค่จินตนาการของเพลโตก็เป็นได้

    แต่จากความรุ่งเรืองของอารยธรรมแห่งนี้ จึงเป็นมนเสน่ห์ดึงดูดให้ทั้งนักประวัติศาสตร์และนัก สำรวจพยายามค้นหาที่ตั้งของแอตแลนติส จากที่เพลโตได้เขียนไว้ว่า แอตแลนติสตั้งอยู่เลยเสา หินแห่งเฮอร์คิวลีส (Pillars of Hercules) ออกไป ซึ่งในปัจจุบัน คือ ช่องแคบยิบรอลตา (Gibraltar) ดังนั้นแอตแลนติส จึงควรอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก โดยน่าจะเป็นหมู่เกาะ อะซอเรส (Azores) หรือ มาดีราส (Madeiras) หรือ คานารีส (Canaries) แต่การศึกษา ทางโบราณคดีที่หมู่เกาะเหล่านี้ไม่ได้ให้หลักฐานใดๆ ว่าเคยเป็นอาณาจักรแอตแลนติส มาก่อน เมื่อไม่มีหลักฐานใดๆ ในแอตแลนติก ผู้คนที่ยังมีความศรัทธาในเรื่องของอาณาจักรแอตแลนติส ก็ได้หันมาพิจารณาคำของเพลโต ที่ว่า พิลาร์ ออฟ เฮอร์คิวลีส นั้นจริงๆ แล้ว เพลโตน่าจะหมาย ถึงช่องแคบ ดาร์ดาแนลเลส (Dardanelles) ของทะเลดำ (Black Sea) มากกว่าช่องแคบ ยิบรอลตา ดังนั้นการค้นหาแอตแลนติสจึงได้ถูกย้ายจากมหาสมุทรแอตแลนติกมากระทำในแถบ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean) แทน

    โรเบิร์ต ซาร์แมสต์ (Robert Sarmast) นักวิจัยจากสหรัฐฯ ค้นพบว่าแอ่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean) ได้จมลงไปขณะน้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อประมาณ 1,900 ปีก่อนคริตกาล จึง สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นบริเวณซึ่งเป็นที่ตั้งของแอตแลนติส โดยบริเวณนี้จมลึกลงไปถึง 1 ไมล์ใต้ ้ทะเลระหว่างไซปรัส (Cyprus) และซีเรีย (Syria) จากการสแกนฟังเสียงสะท้อนใต้น้ำลึก แสดงว่ามีสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นบริเวณหุบเขาที่จมน้ำ รวมถึงกำแพงที่ยาวประมาณ 3 กิโลเมตร ซึ่งกั้นอยู่บนยอดเขาและมีคูลึกล้อมรอบอยู่ด้วย เชื่อว่าพื้นที่ดังกล่าวน่าจะเป็นตำแหน่งของวิหาร แห่งเมืองแอตแลนติส

    แต่การค้นพบของซาร์แมสต์ ก็ถูกโต้แย้งโดย คริสเตียน ฮูบเชอร์ (Christian Huebscher) นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน ฮูบเชอร์กล่าวว่า พื้นที่ที่ซาร์แมสต์พบนั้นเป็นปรากฏการณ์เมื่อ 10,000 ปี ีที่แล้ว ที่ภูเขาไฟได้พ่นดินโคลนออกมา

    ก่อนหน้านี้นักสำรวจได้พุ่งเป้าที่ชายฝั่งของสเปน คิวบา และทางตะวันตกของเกาะอังกฤษ ไม่เว้น แม้กระทั่งทะเลจีนใต้ โดยงานสำรวจที่เป็นชิ้นเป็นอันก่อนหน้านี้คือ ภาพถ่ายดาวเทียมบริเวณ อุทยานแห่งชาติดอนานาของสเปน (Donana) จากนักโบราณคดี มหาวิทยาลัยเอดินเบอร์ก (University Edinburgh) ของอังกฤษ ซึ่งภาพดังกล่าวได้พบสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่รูปสี เหลี่ยม 2 หลังจมอยู่ในโคลนใต้ทะเล โดยพบโลหะที่มีรัศมีเป็นวงกลมและมีสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ล้อมรอบ ทีมวิจัยในครั้งนั้นเชื่อว่าสิ่งก่อสร้างทั้ง 2 คือ วิหารทองคำที่ชาวแอนแลนตีสสร้างขึ้น เพื่อบูชาเทพโพเซดอน และวิหารเงินเพื่อบูชาพระนางไคลโต อันเป็นผู้ถือกำเนิดกษัตริย์ที่ปกครอง นครแอตแลนติส ซึ่งหลังที่ภาพถ่ายดาวเทียมได้ถูกเผยแพร่ออกไปแล้ว พื้นที่ดังกล่าวก็ยังไม่ได้รับ การขุดพิสูจน์แต่อย่างใด

    แอตแลนติสจึงเป็นตำนานอันลี้ลับ ให้มนุษย์ได้ศึกษาค้นคว้ากันต่อไป

    บทแปลต่อไปนี้ เป็นการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับแอตแลนติส ที่พระอียิปต์รูปหนึ่ง เล่าให้รัฐบุรุษกรีก ชื่อ โซลอน ( Solon ) ฟัง

    มีบันทึกเก่าแก่ของเรา เรื่องราวในอดีตแสนไกลว่า เมืองของท่านสกัดการบุกของกองทัพอันเกรียงไกร จากเกาะแสนไกลในมหาสมุทรแอตแลนติกได้อย่างไร กองทัพยิ่งใหญ่ที่มุ่งมั่นโจมตียุโรปทั้งหมด และเอเชียด้วย เอาละ เกาะนี้เป็นเกาะใหญ่มาก ใหญ่กว่าแอฟริกา และเอเชีย รวมกัน - และตั้งอยู่ตรงข้ามกับช่องแคบระหว่างเสาหินของเฮอคิวลีส

    เกาะแอตแลนติส ปกครองโดยตระกูลกษัตริย์ ที่ทรงอำนาจ ที่ปกครองมิใช่เพียงเกาะนี้ แต่เกาะอื่นๆ และบางส่วนของแผ่นดินใหญ่ด้วย ราชวงศ์กษัตริย์ ที่ปกครองแอฟริกาเหนือ ไกลออกไปถึงอียิปต์ และยุโรปใต้ไกลออกไปถึงอิตาลี

    ราชวงศ์ผู้ปกครองแอตแลนติส เป็นเชื้อสายของ เทพโพซีคอน ที่แบ่งดินแดนให้โอรสสิบองค์ปกครอง โอรสองค์โต เป็นกษัตริย์ของเกาะทั้งหมด เกาะที่มีชื่อเรียกว่าแอตแลนติส ส่วนมหาสมุทรยังเรียกเป็นแอตแลนติก เพราะว่ากษัตริย์พระองค์แรก ชื่อ แอตลาส ( Atlas ) โอรสองค์อื่นๆ ได้รับการจัดสรรดินแดนให้ปกครองทุกองค์ เชื้อสายของกษัตริย์แอตลาสเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก เป็นราช วงศ์ที่ร่ำรวย และทรงอำนาจอย่างที่ไม่เคยมีราชวงศ์ใดเคยทำได้มาก่อน หรือจะมีขึ้นอีก

    ชาวแอตแลนติส ไม่เพียงแต่สั่งสินค้าส่วนใหญ่จากภายนอก แต่พวกเขาเองก็ผลิตแทบจะทุกสิ่งได้ที่จำเป็นสำหรับชีวิตประจำวัน โลหะแข็ง โลหะอ่อน และโลหะซึ่งเหลือแต่ชื่อ คือ โอริชาลคัม โลหะที่มีค่ามากที่สุด ยกเว้นทองคำ และแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีต้นไม้สีเขียวทุกหนแห่ง อากาศที่แสนวิเศษ ทำให้ผลไม้สุกปีละสองครั้ง ในแผ่นดินมีช้าง และสัตว์อื่นๆ มากมาย ทั้งสัตว์ป่า และสัตว์เลี้ยง

    นครบนเขากลางเกาะ มีเส้นผ่าศูนย์กลางสามพันฟุต และเป็นนครอันชวนพิศวง สะพานถูกสร้างข้ามช่องแคบทะเลโดยโพซีดอน คลองถูกขุดจากนครสู่ทะเล และป้อมปราการเคลือบด้วยตะกั่ว ทองเหลือง และโอริชาลคัมสีแดง

    ณ ตำแหน่งใจกลางนคร คือ มหาราชวังและวิหารยิ่งใหญ่แห่งเทพโพซีดอน สถานศักดิ์สิทธิ์ ล้อมรอบด้วยกำแพงทอง ปกคลุมด้วยเงิน เด่นเป็นสง่าด้วยหอคอยทองคำเหนือหลังคางาช้าง ภายในวิหารมีอนุสาวรีย์ทองคำขององค์เทพ ขนาดใหญ่โตมโหฬาร จนกระทั่งสัมผัสหลังคาวิหาร ลากด้วยม้ามีปีกหกตัว ล้อมรอบด้วยเทพแห่งทะเล เป็นจำนวนร้อยขี่ปลาโลมา และที่ด้านนอกวิหาร มีอนุสาวรีย์ทองคำเจ้าชายแห่งแอตแลนติสทุกองค์พร้อมด้วยชายา

    และในเกาะมีน้ำพุร้อนและเย็น สำหรับอาบ เป็นน้ำพุประดับ สวนสาธารณะและสวนผลไม้ มีที่สำหรับออกกำลังกายสำหรับบุรุษและม้า สนามม้าแข่งขนาดใหญ่ โรงทหาร ห้องคนเฝ้ายาม อู่เรือ ท่าเรือ เต็มไปด้วยเรือสิน ค้าและเรือทหาร

    ที่ราบรอบนครล้อมรอบด้วยภูเขา และคลองหลายคลองลึกหนึ่งร้อยฟุต กว้างหกร้อยฟุต ทั้งหมดรวมกันแล้วยาวมากกว่าสามพันไมล์ แล้วกษัตริย์ทั้งสิบผู้ครองเกาะ ร่วมประชุมกัน ให้สัตย์ปฏิญาณต่อกันว่า จะช่วยเหลือกันเมื่อเผชิญกับสงคราม และพวกเขามีรถศึกหนึ่งหมื่นคัน กองทัพเรือ มีเรือมากกว่าหนึ่งพันลำ

    เวลาผ่านไปหลายชั่วอายุสมัย ผู้คนแห่งเกาะเป็นพลเมืองผู้เคารพกฎหมาย กษัตริย์ของพวกเขาก็ปกครองอย่างชาญฉลาดและยุติธรรม ไม่ให้คุณค่าแก่ทรัพย์สมบัติ ยกย่องคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ส่วนที่ดีแห่งจิตวิญญาณของพวกเขาก็ลดน้อยถอยลงไป และในหัวใจมีแต่ความทะเยอทะยานอย่างไม่คำนึงถึงกฎหมาย คลั่งไคล้หลงไหลในอำนาจ

    แล้ว ซูส กษัตริย์แห่งทวยเทพ ตระหนักถึงความเสื่อมทรามที่กำลังเกิดกับชนชาวแอตแลนติส ตั้งพระทัยจะลงโทษพวกเขา เพื่อว่าพวกเขาจะได้มีสติขึ้นมาอีก ซูสจึงเรียกทวยเทพมาชุมนุมกัน

    ดังนั้น กองทัพแห่งแอตแลนติสจึงรวมกำลังกัน มุ่งหวังจะพิชิตเฮลลาส และอียิปต์ และฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทั้งหมด และแล้ว มันก็เกิดขึ้น พระอียิปต์ปลอบใจโซลอน บุรุษแห่งเอเธนส์ได้แสดงออกถึงความกล้าหาญและความเก่งกล้าต่อโลก ในตอนแรก และในฐานะผู้นำของเฮลเลนส์ และแล้วก็ยืนอยู่อย่างเดียวดาย เมื่อถูกคนอื่น ๆ ผละหนีหาย หลังจากที่ได้เผชิญกับสุดยอดแห่งภยันตรายแล้ว เขาก็สามารถเอาชนะฝ่ายรุกรานได้ และสร้างอนุสรณ์สถานเอาไว้ รักษาความเป็นอิสระแก่คนจากความเป็นทาส และปลดปล่อยคนอื่น ๆ จากความเป็นทาส



    <CENTER> </CENTER>

    แต่แล้วก็เกิดมหันตภัยธรรมชาติ แผ่นดินไหวและน้ำท่วมใหญ่ ทั้งวันและคืนที่โหดร้าย แผ่นดินแยกและกลืนกินชีวิตนักรบของเอเธนส์ทั้งหมด ในขณะที่เกาะยิ่งใหญ่แห่งแอตแลนติสก็จมหายไปในทะเล และมาถึงทุกวันนี้ น้ำมหาสมุทรที่ตำแหน่งนั้นก็ตื้นเขิน เรือผ่านไม่ได้ กลายเป็นสันดอนดินโคลน ซึ่งเกิดจากแผ่นดินเมื่อเกาะถล่ม
    ข้อมูลจาก
    siamtalks
    dek-d.com
    wikipedia
    http://www.pantip.com
    http://www.pantip.com
    ที่มา BlogGang.com : : a00152 :
     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    <CENTER>คำพยากรณ์เหตุการณ์สำคัญของโลก ปี 2551และปี 2560

    </CENTER>


    จาก http://www.buddha-dhamma.com

    คำพยากรณ์เหตุการณ์สำคัญของโลก
    ในปี 2560 และ 2551
    ของบรรดาครูบาอาจารย์ โหรสำนักต่างๆ และอาจารย์ในทางวิชาโหราศาสตร์


    1. ในปี 2560 จะมีอะไรเกิดขึ้น

    1.1 อุกกาบาตถล่มโลก

    จากคำทำนายของครูบาอาจารย์บางท่านว่าอุกกาบาตลูกใหญ่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 1 กิโลเมตร อาจจะเข้ามาชนโลกในปี 2560 ได้ ภาพหายนะดังกล่าวยังมีอยู่อุกกาบาตลูกนี้ เดินทางมาด้วยความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อวินาที หรือมีความเร็วเท่ากับ 360,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ฟิสิกส์คำนวณว่า น่าจะมีอำนาจทำลายล้าง เท่ากับระเบิดปรมาณูที่สหรัฐอเมริกานำไปถล่มที่เกาะฮิโรชิมา เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2488 จำนวน 80,000 ลูกรวมกัน ซึ่งคาดหมายว่า จะมีคนตายรวมกันครั้งเดียวไม่น้อยกว่า 2,000 ล้านคน จากนั้นแรงสั่งสะเทือนเลื่อนลั่นดังกล่าว ก็จะก่อให้เกิดแผ่นดินไหวทั่วโลก รวมทั้งคลื่นยักษ์สึนามิ ก็จะมีติดตามมา อันเป็นความเชื่อว่าจะมีน้ำท่วมใหญ่ทั่วโลก อาจถึงขนาดเข้าสู่ยุคสมัยโนอาร์ใหม่ ต่างกันตรงที่มิใช่พระผู้เป็นเจ้าหลั่งน้ำตา 40 วันติดต่อกันเท่านั้น สภาพภูมิศาสตร์ของประเทศต่าง ๆ จะเปลี่ยนแปลงไป พื้นดินหลายส่วน บางส่วนจะโผล่จากพื้นใต้น้ำมาเป็นผืนแผ่นดินใหม่ มีชื่อว่า เกาะแอตแลนติส เป็นต้น

    สำหรับแนวที่จะเกิดภูเขาไฟระเบิดที่จะติดตามมา หรือบริเวณ “ริง ออฟ ไฟร์” หรือ วงแหวนแห่งไฟ ซึ่งจะเกิดตั้งแต่ ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ ไปถึงลอสแองเจลลิส ซานฟรานซิสโกและหลาย ๆ มลรัฐในสหรัฐอเมริกา จะเกิดการประทุอย่างรุนแรงของลาวาร้อนใต้พิภพพุ่งขึ้นมาสู่ผิวโลก สร้างหายนะครั้งใหญ่

    ผลพวงที่จะติดตามมาก็คือ ความอดอยากหิวโหย และความแร้นแค้นเป็นมหาทุพภิกภัยที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในโลก บรรยากาศของโลกจะเปลี่ยนแปลงไป ปรากฏการณ์ใหม่ที่เรียกว่า “เดอะ เกรท คิง ออฟ เทอร์-เรอร์” ก็จะเกิดขึ้น คือ บางแห่งที่หนาวก็จะหนาวจัด บางแห่งที่ร้อนก็จะร้อนจัด ที่เคยร้อนก็อาจกลายเป็นหนาว พืชพันธุ์ธัญญาหารจะถูกทำลายไปเป็นส่วนมาก การทำสงครามแย่งชิงอาหารจะเกิดขึ้น โรคระบาดร้ายแรงก็จะติดตามมา และเชื่อว่า ในประเทศไทย จะได้เห็นหิมะของจริงตก ไม่เกินปี 2560 อย่างไรก็ตามภายในปี 2549 - 2551 นี้ ให้ฟังข่าวจากต่างประเทศให้ดี จะมีการประกาศเขตหายนะในหลายจังหวัดของประเทศไทย และในหลาย ๆ มลรัฐของสหรัฐอเมริกา และหลายพื้นที่ของโลก ซึ่งยังไม่ถึงระดับร้ายแรงของโลกเป็นระดับร้ายแรงของแต่ละชาติ เป็นเพียงการเตือนของธรรมชาติและจักรวาลเท่านั้น

    1.2 สงครามอาร์มาเกดดอน

    - สงครามอาร์มาเกดดอน เป็นเนื้อหาที่มีการจารึกอยู่ในพระคัมภีร์เก่าของพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ (โอลด์ เทสเม้นท์) โดยศาสดาพยากรณ์ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ 7 ประการ หากมีเมื่อไร ให้มนุษยชาติจงรับรู้ เถิดว่าความฉิบหายวิบัติ กำลังจะเกิดขึ้นในโลกของเราแล้ว โดยในพระคัมภีร์เก่าเรียกว่า สงครามล้างโลก

    - เหตุการณ์ทั้ง 7 ประการจะเกิดก่อนมีสงครามล้างโลกนั้น เหตุการณ์ดังกล่าวได้แก่

    1. มีการอาศัยศาสนาเป็นเครื่องหลอกลวงต้มตุ๋นประชาชนมาก

    2. มีการปฏิวัติรัฐประหารเกิดขึ้นในหลายๆ แห่งของโลก

    3. มีการเกิดสงครามระหว่างประเทศในหลายๆประเทศ

    4. เกิดสภาวะสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ

    5. มีแผ่นดินไหวหลายแห่ง

    6. มีความวิปริตผันแปรทางธรรมชาติ ดินฟ้าอากาศไม่เป็นไปตามที่เคยเป็น มีลูกเห็บขนาดใหญ่ตกลงมาจากท้องฟ้า

    7. เกิดเชื้อโรคร้ายแรงระบาด รักษาไม่หายขาด

    - ณ บริเวณละติจูด 45 องศา จะกลายเป็นทะเลเพลิง ซึ่งหลายคนเชื่อว่า หมายถึง มหานครนิวยอร์ค จะเป็นสัญญาณให้ทราบว่าก่อนการเกิดสงครามอาร์มาเกดดอน รวมทั้งประเทศอาเจนติน่า จะถูกรุกราน เพราะเป็นแหล่งผลิตอาหารใหญ่ของอเมริกาใต้ ยุโรปจะมีปัญหาวิกฤต สหรัฐจะรวมจาไมก้า คิวบา ไฮติ และเม็กซิโก เข้าเป็นมลรัฐหนึ่งของสหรัฐอเมริกา กองเรือของสหรัฐอเมริกาจะถูกทำลาย รวมทั้งพันธมิตรของสหรัฐ เช่น อิสราเอล ตุรกี จะย่อยยับ แอฟริกาจะอดอยากแร้นแค้นมากขึ้น จีนจะรุกรานเวียตนาม ญี่ปุ่นจะมีปัญหาเศรษฐกิจอย่างหนัก (ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ บางเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นแล้ว แต่อีกหลายเหตุการณ์ยังไม่เกิด คาดว่าจะเกิดครบ น่าจะเกิดครบในปี 2017 หรือ ปี 2560 โปรดเก็บเอกสารนี้ ไว้ตรวจสอบ)

    1.3. แกนโลกเคลื่อนที่

    - ถ้าเราได้ข่าวว่าแกนโลกเคลื่อนที่ หรือเอียงไปจากองศาเดิม 23.5˚ เมื่อนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติอย่างสำคัญ และจะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อชีวิตมนุษย์ สัตว์ และพืชพันธุ์ธัญญาหาร พื้นแผ่นดินที่เราอยู่อาศัยในปัจจุบันอาจยุบตัวลงประมาณ 9 เมตร น้ำแข็งบริเวณขั้วโลกจะหลอมละลายผิดปกติ ปริมาณน้ำในทะเลและมหาสมุทรจะเพิ่มมากขึ้นจำนวนมหาศาล ส่วนใหญ่ของเกาะอังกฤษ และญี่ปุ่นจะจมอยู่ใต้น้ำ ยุโรปตอนเหนือจะถูกน้ำท่วมหนัก ชายฝั่งด้านตะวันตกของสหรัฐอเมริกาจะจมอยู่ใต้น้ำเช่นเดียวกัน แต่นอกฝั่งตะวันออกของอเมริกาเหนือ จะมีแผ่นดินใหม่ชื่อว่า แอตแลนติสโผล่ขึ้นมา และมนุษย์จะได้พบ “แคปซูลเวลา” ที่เกาะแอตแลนติส ซึ่งบรรจุเรื่องราวของประวัติศาสตร์มนุษยชาติที่แตกต่างไปจากที่เราได้เคยรับการอบรมสั่งสอนกันมา

    - การเอียงของแกนโลก จะทำให้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ มีผลทำให้ลอสแองเจลลีส ซานฟรานซิสโก และแมนฮัตตันพังทลายพร้อม ๆ กับนิวยอร์ค จะมีการระเบิดของภูเขาไฟมากมายติดตามมา เป็นยุคที่เอ็ดการ์ เคย์ซี เรียกว่า “ยุคแห่งบาดแผลอันยิ่งใหญ่” แต่จะเกิดขึ้นเมื่อไรนั้น เอ็ดการ์ เคย์ซี ไม่สามารถระบุได้ เพียงแต่เห็นในภาพนิมิตเท่านั้น แต่หลายท่านคาดว่าน่าจะเกิดในปี 2017 หรือปี พ.ศ. 2560 )

    - หลังจากผ่านยุคบาดแผลอันยิ่งใหญ่แล้ว ก็จะมีการกลับมาใหม่อีกครั้งของพระคริสต์ ผู้นำแสงสว่างแห่งยุคใหม่มาสู่มวลมนุษยชาติ จะเป็นยุคของการมีสันติภาพ และมีความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและจิตวิญญาณไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งคาดว่าจะเกิดราวปี 2019 (พ.ศ. 2562) นั่นก็หมายความว่า มนุษยชาติในยุคต่อไป ยังคงมีอยู่ และไม่เพียงเจริญทางด้านวัตถุเท่านั้น จิตวิญญาณก็มีพัฒนาการที่ดีด้วย

    2. ในปี 2551 จะมีอะไรเกิดขึ้น

    2.1 นักพยากรณ์ชาวรัสเซีย ทำนายว่า แกนของโลกจะเอียงลาดไปอีก 30 องศา และเอียงอย่างปัจจุบันทันด่วน มีผลทำให้คาบสมุทรสแกนดิเนเวียทั้งหมดจมอยู่ใต้น้ำ อังกฤษและญี่ปุ่น หายไปจากแผนที่โลก โดยโลกรอดพ้นหายนะครั้งนี้ได้ เนื่องจากมีมนุษย์ต่างดาวเข้ามาให้ความช่วยเหลือ หรือแก้ไขสถานการณ์ที่เลวร้ายให้หายนะลดลง

    2.2 นักพยากรณ์ชาวโปรตุเกส ทำนายว่า ประชากรของโลกจะถูกทำลายล้างด้วยนิวเคลียร์ และหายนะจากสิ่งแวดล้อม เมืองทั้งหลายจะถูกทลายราบเป็นหน้ากลอง โลกทั้งโลกจะตกอยู่ในทะเลเพลิง

    2.3 นักพยากรณ์ชาวอินเดีย ทำนายว่า จะมีเหตุการณ์ทำลายล้างครั้งยิ่งใหญ่จะเกิดภัยธรรมชาติ และวิบัติภัยจากการกระทำของ มนุษย์ อุทกภัยที่ยิ่งใหญ่ในรอบ 5000 ปี จะมีแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด และมีการใช้นิวเคลียร์ถล่มเมืองใหญ่ๆ เช่น โตเกียว นิวยอร์ค ซานฟรานซิสโก ลอสแองเจลลีส และบอมเบย์ จะถูกทำลาย คนในเมืองเหล่านี้ตายเกือบหมด

    2.4 นักพยากรณ์ชาวอเมริกัน ทำนายว่า แกนโลกจะเอียงจากปัจจุบัน 23.5 องศา ไปเป็น 45 องศา จะทำให้สหรัฐอเมริกาพบอุทกภัยครั้งร้ายแรงที่สุด มีคลื่นยักษ์สึนามิ แผ่นดินไหว และพายุเฮอริเคน จะมีความปั่นป่วนทางการเมือง และทุพภิกขภัย ไปทั่วสหรัฐอเมริกา อันเป็นหายนะที่หนักที่สุดตั้งแต่มีประเทศสหรัฐอเมริกามา

    2.5 โหรชื่อดังชาวอเมริกัน ทำนายว่า แอนตี้ไครสต์จะปรากฏตัวในปี 2008 และสร้างความเดือดร้อนไปทั่วโลก เป็นเวลา 7 ปี ซึ่งเรียกเหตุการณ์ดังกล่าวว่า “ห้วงแห่งทุกข์เข็ญ” ระหว่างปี 2008 – 2015 (ปี 2551 – 2558)

    2.6 นักพยากรณ์เรื่องของโลก บางท่านทำนายแตกต่างออกไปว่า

    2.6.1 โลกจะพบความวิบัติอย่างวินาศสันตะโร เมื่อประชากรโลกมีครบ 6,660 ล้านคน (ประมาณปี พ.ศ. 2551 หรือ ค.ศ. 2008 ก็คือวาระตามคำทำนายของนักพยากรณ์ท่านนี้นั่นเอง – ผู้เขียน)
    2.6.2 น้ำแข็งในขั้วโลกใต้แตกตัวและละลาย มีผลทำให้แกนโลกเปลี่ยนแปลง น้ำแข็งและน้ำเย็นจำนวนล้านล้านตัน จะแผ่กระจายไปทั่วโลก แม้ดินแดนทะเลทรายที่อิยิปต์ ก็มีน้ำท่วมถึงกึ่งกลางปิรามิด ประมาณปี 2008 (พ.ศ. 2551)

    วันจันทร์ ตุลาคม 2550
    http://www.oknation.net/blog/print.php?id=143734
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    คำพยากรณ์ชะตาของโลก (ดร.เอ็ดการ์ เคย์ซี) โดยคุณ นฤมิต<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_14185", true); </SCRIPT> 24-11-2004
    (ไม่มีอ้างอิงแหล่งที่มา โปรดใช้วิจารณญาณ ไม่รับรองความถูกต้องเพราะบอกที่มาไม่ได้)

    ไม่มีเวลาที่แน่นอน โปรดใช้วิจารณ_าณในการอ่าน
    1.การวิวัฒนาการของมนุษย์ จะมีพาหนะชนิดใหม่เกิดขึ้น

    2.พื้นดินภาพตะวันตกเฉียงเหนือ ของอเมริกา จะถูกดูดลงในโพรงของโลก หลังจากเกิดการผิดพลาดในการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ที่ นาวาโฮและพิวโบล เกิดแผ่นดินไหวครั้งให_่

    3.มียาชนิดใหม่ที่มีแคลอรี่สูงทำให้ผู้ห_ิงสามารถคลอดลูกได้ภายใน 9 สัปดาห์

    4.นักวิทยาศาสตร์_ี่ปุ่นสร้างอุปกรณ์ย้อนอดีตและไปสู่อนาคตได้สำเร็จ ขณะเดียวกันก็ส่งกองกำลัีงไปในอดีตสงครามโลกครั่งที่ 2 เพื่อแก้ประวัติศาสตร์เสียใหม่

    5. คนต่างชาติที่ชั่วช้า ผู้ชั่วร้ายจากแผ่นดินกลาง ลงมือฆ่ามนุษย์ สองล้านคน และทำลายปราสาทที่นิวยอร์ค ชิคาโก และเมืองเล็กๆ อีกหลายแห่ง ทันใดทูตสวรรค์ก็ปรากฎบนท้องฟ้าแล้วคนก็ฟื้นขึ้น มาอีกครั้ง
    6.มีพระนักบวชรูปหนึ่งสามารถเดินทะลุกำแพงได้และสอนให้คนนับล้านได้รับรู้

    7.พบมนุษย์ประหลาดที่ป่าเขตร้อนของอเมริกา มีหัวเหมือนหลอดไฟ มีสมองและวิวัฒนาการมากกว่าคนหลายเท่า มีไอคิวถึง 190

    8.นักวิทยศาสตร์ชาวรัสเซียได้รับสั__าณวิทยุทางไกลจากมนุษย์ต่างดาว ถอดคำสั่งออกมาแล้วเป็นคำสั่งให้ปลาโลมาทำร้ายมนุษย์
    9.ประธานาธิปบดีคนแรกที่มาจากพรรคคอมมิวนิสต์ถูกฆ่าตายให้ห้องทำงานรูปไข่ หลังจากได้รับตำแหน่งเพียงสัปดาห์เดียว

    10. สิ่งก่อสร้างเป็นรูปหน้าคนขนาดให้ส่งสั__าณคลื่นไมโครเวฟ จากดาวอังคาร มาเตือนชาวโลก(ภาพโทรทัศน์) ให้ระวังโลกจะถูกบุกจากกองกำลังต่างดาว

    11. ค้นพบเวทย์มนต์ที่ทำให้คนสวดเป็นหนุ่มเป็นสาวได้ แต่ต่อมาพบว่าเป็นบทสวดของลัทธิซาตาน คำสวดจึงถูกหวงห้าม<!-- google_ad_section_end -->

    12. อาณาจักรแอตแลนติสที่หายไปจะโผล่ขึ้นมาอีกครั้งพร้อมสิ่งก่อสร้างที่มีหลังคาเป็นรูปโดม ครึ่งวงกลมและวิทยาการล้ำยุค ผู้อยู่ในนครใต้บาดาลนั้น คือ มนุษย์จากต่างดาว

    13. พบภาพถ่ายสำคั_ บอกถึงหลักฐานการจมของเรือไททานิคเมือ 88 ปีก่อน ไม่ได้จมเพราะชนกับภูเขาน้ำแข็ง แต่เป็นเพราะตอปิโดที่ยิงมาจากอากาศ

    14. มนุษย์พันธ์ผสมแมลงถูกสร้างขึ้น โดยการตัดต่อพันธุกรรมระหว่างคนกับแมลง ทำให้มีชีวิตยาว และกระโดดได้ไกล และบินได้<!-- google_ad_section_end -->

    15. อากาศวิปริตแปรปรวนทำลายล้างสหรัฐอเมริกาอย่างหนัก จะเกิดภาวะทางเศรษฐกิจตกต่ำอีกครั้งและรุนแรงกว่าครั้งแรก

    16.แกนโลกเอียงกระทันหันจากแรงดึงดูดของดาวหางที่มีขนาดโตกว่าโลกถึง 2 เท่า โคจรเฉียดโลก ทำให้ขั่วโลกเหนือและใต้กลับทิศทางกัน ทำให้คนตายไปกว่าครึ่งโลก

    17.อิสราเอลใช้ขีปนาวุธนิวเคลียร์ยิงถล่มอิรักและถูกตอบโต้กลับมาด้วยหัวรบก๊าซพิษ สองหัว มีคนตายถึงสองแสนคน<!-- google_ad_section_end -->

    18. มีผู้อ้างตนว่าเป็นนักบุ_และผู้วิเศษเดินทางออกโปรดสัตว์ทั่วโลก รวมทั้งปรากฎตัวทางโทรทัศน์เพื่อเผยแพร่คำสอน ต่อถูกฉีกหน้ากาก แท้จริงเป็นนักลวงโลก

    19.เชื้อไวรัสชนิดใหม่ถึง 120 สายพันธ์ แพร่มาจากป่าลึกในทวีปแอฟริกาและกระจายไปทั่วโลก

    20.ก๊าซโอโซนที่ขั้วโลกได้แตกออกเป็นโพรงให_่กว่าเดิมถึง 3 เท่า ทำให้มีคนอพยพมาอยู่ขั่วโลกเหนือจำนวนมาก

    21. องค์การสหประชาติ รณรงค์ให้เลือกตั้งรัฐบาลโลกเดียว

    22.ซากศพนับล้านลุกขึ้นมาจากหลุมศพขณะที่ประตูนรกเปิดเพื่อรับวิ__าณบาปลงนรก


    ปล.จากคอมเม้นท์ของคุณ zipper<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_14266", true); </SCRIPT>

    [​IMG]
    เคยอ่านคำทำนายของดร.เอ็ดการ์ เคย์ซีมาบ้างแต่ไม่เคยได้ยินอย่างที่ว่ามาเลยอ่ะ<!-- google_ad_section_end -->

    http://palungjit.org/threads/คำพยากรณ์ชะตาของโลก-ดร-เอ็ดการ์-เคย์ซี.1750/
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    27/02/2553
    แผ่นดินไหวชิลีทำแกนโลกเอียง
    เวลาช้าลงไป1.26ไมโครฯ ผู้นำหญิงของชิลีประกาศรับความช่วยเหลือจากทั่วโลก อยากได้หลายอย่างเช่น โทรศัพท์ดาวเทียม และ โรงพยาบาลสนาม เป็นต้น ขณะบริษัทไวน์ยักษ์สุดระทม พื้นที่เพาะปลูกไร่องุ่นเสียหายจากแผ่นดินไหวรุนแรง ขอเว้นวรรคการผลิต 1 สัปดาห์ ด้านเมืองคอนเซปชั่น ชาวบ้านหิวโหยถึงขั้นก่อม็อบเผาซูเปอร์มาร์เก็ต ทำให้รัฐบาลต้องเสริมกำลังทหาร 7,000 คนเข้าไปดูแลความสงบเรียบร้อย ส่วนโฆษกรัฐบาลไทยแถลง ติดต่อคนไทยทั้ง 60 คนได้แล้ว ปลอดภัยดี และให้เงินช่วย 1 แสนดอลลาร์สหรัฐ แผ่นดินไหวรุนแรงในชิลี ยังทำให้แกนโลกเอียงไป 8 ซม. จากการเปิดเผยของนักวิทยาศาสตร์องค์การนาซ่า ส่งผลให้เวลาในหนึ่งวันช้าลงไป 1.26 ไมโครวินาที สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจาก กรุงซันติอาโก ประเทศชิลี เมื่อวันที่ 2 มี.ค. แจ้งความคืบหน้าของเหตุแผ่นดินไหวรุนแรง 8.8 ริคเตอร์ในประเทศชิลีเมื่อเช้าวันเสาร์ที่ 27 ก.พ.ที่ผ่านมา สำนักงานบริหารสถานการณ์ ฉุกเฉินแห่งชาติของรัฐบาลชิลีแถลงว่า ยอดผู้เสียชีวิตเมื่อนับถึงวันจันทร์ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นเป็น 723 ศพแล้ว และยังสูญหายอีก 19คน มีประชาชนได้รับความเดือดร้อนประมาณ 2 ล้านคน หรือ 1 ใน 8 ของประชากรทั่วประเทศ โดยมีเขตภูมิภาคมัวเล ทางตอนกลางของประเทศมีผู้เสียชีวิตมากที่สุด 544 ศพ แรงสั่นสะเทือนยังทำให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิถล่มภาคกลางและภาคใต้ของชิลี รวมไปถึงคำเตือนถึงอันตรายจากคลื่นยักษ์สึนามิไปทั่วมหาสมุทรแปซิฟิก ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ยังมีเหตุการณ์ปล้นสะดมร้านค้า และเผาซูเปอร์มาร์เกต เพื่อค้นหาอาหาร โดยกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องยิงแก๊สน้ำตาเพื่อสลายฝูงชนหลายสิบคนที่บุกเข้าไปในซูเปอร์มาร์เกตชื่อ บิ๊กเกอร์ ซูเปอร์มาร์เกต แต่คนที่อยู่ข้างในกลับตอบโต้ด้วยการจุดไฟเผาซูเปอร์มาร์เกต ทำให้เกิดเพลิงไหม้และกลุ่มควันพวยพุ่งขึ้นมา หลังคาพังถล่มลงมาทับอาสาสมัครผจญเพลิง มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 คน นับเป็นร้านค้าแห่งที่สองแล้วที่ถูกชาวบ้านจุดไฟเผา เพราะอ้างว่า ข้างในร้านค้า มีทั้งน้ำ อาหาร และอื่น ๆ แต่ตำรวจกลับไม่ยอมให้ชาวบ้านที่กำลังอดอยากเข้าไปข้างใน ทั้งที่มีการประกาศเคอร์ฟิว หรือคำสั่งห้ามออกนอกเคหสถานยามวิกาลแล้วในเมืองแห่งนี้ ซึ่งนางมิเชล บาเชเลต์ ประธานาธิบดีหญิงแห่งชิลี แถลงว่า มีคำสั่งเสริมกำลังทหารเข้าไปอีก 7,000 คน ในพื้นที่ประสบภัยเขตบิวบิว กับ มัวเล สำหรับความช่วยเหลือจากนานาชาติเริ่มทยอยหลั่งไหลเข้าไปยังชิลี เช่นอุปกรณ์สื่อสารและความช่วยเหลืออื่น ๆ หลังจาก ที่ประธานาธิบดีมิเชล บาเชเลต์ ร้องขออยากได้สะพานเคลื่อนที่ โรงพยาบาลสนาม โทรศัพท์เคลื่อนที่ผ่านดาวเทียม เครื่องปั่นไฟ ทีมประเมินความเสียหาย ระบบผลิตน้ำสะอาด ชุดครัวสนาม และโรงครัว เป็นต้น ซึ่งนาง ฮิลลารี คลินตัน รมว.ต่างประเทศ สหรัฐ กล่าวว่า จะนำโทรศัพท์เคลื่อนที่ผ่านดาวเทียมไปด้วย 20 เครื่อง พร้อมกับช่างเทคนิค ระหว่างไปเยือนกรุงซันติอาโกในวันอังคารนี้ นายโรบิน ราคัสซิน นักวิทยาศาสตร์ด้านแผ่นดินไหวแห่งสถาบันฟิสิกส์ เดอ โกลบ ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส กล่าวว่า แผ่นดินไหวที่ชิลีได้ปลดปล่อยพลังงานออกมาเกือบ 1,000 เท่าเมื่อเทียบกับแผ่นดินไหวครั้งเดียวที่ประเทศเฮติ เมื่อวันที่ 12 ม.ค.ที่ผ่านมา แต่ความสูญเสียกลับน้อยกว่าถึง 200 เท่า เมื่อเทียบตัวเลขความสูญเสียจากผู้เสียชีวิต โดยแผ่นดินไหวที่ชิลีนั้นตัวเลขผู้เสียชีวิตเกินกว่า 700 ศพ แต่ที่เฮติมีผู้เสียชีวิตสูงถึง 220,000 ศพ และแผ่นดินไหวทั้งสองครั้งนี้ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งในประเด็นของแรงสั่นสะเทือนกับระดับความเสียหาย สถาบันแผ่นดินไหวและภูเขาไฟของฟิลิปปินส์แถลงว่า วันเดียวกันนี้เกิดแผ่นดินไหวรุนแรง 6.1 ริคเตอร์ ทางเหนือสุดของเกาะลูซอน ซึ่งอยู่ด้านทิศเหนือของประเทศฟิลิปปินส์ แต่ไม่มีรายงานความเสียหาย ขณะที่สำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐแจ้งด้วย ว่า เกิดแผ่นดินไหวระดับปานกลาง วัดได้ 5.0 ริคเตอร์ ในเขตบิเชคค์ ทางเหนือของประเทศคีร์กิซสถาน เมื่อเวลา 07.55 น. เช้าวันอังคารตามเวลาท้องถิ่น ตรงกับ 08.55 น. วันเดียวกันตามเวลาในประเทศไทย แรงสั่นสะเทือนยังรู้สึกได้ในประเทศเพื่อนบ้านอย่างคาซัคสถาน เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นรายงานว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบความเสียหายเล็กน้อย เช่น เกิดรอยร้าวตามกำแพง หลังคา อาคารบ้านเรือนและสถานที่ราชการ นอกจากนั้นยังมีแผ่นดินไหว 5.1 ริคเตอร์ นอกชายฝั่งเกาะโอกินาวา ทางใต้ของประเทศญี่ปุ่น แต่ไม่มีรายงานความเสียหาย ในส่วนของประเทศไทย เมื่อเวลา 14.00 น.วันเดียวกันนี้ ที่ทำเนียบรัฐบาล นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า ที่ประชุมมีมติให้ความช่วยเหลือเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ประเทศชิลี ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ โดยอนุมัติเงินช่วยเหลือ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ คาดว่าจะสามารถส่งเงินดังกล่าวได้ภายในสัปดาห์นี้ ทั้งนี้การช่วยเหลือดังกล่าว เป็นการแสดงถึงมนุษยธรรมและเป็นการแสดงน้ำใจไมตรี ซึ่งรัฐบาลจะประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่องว่า ชิลีต้องการความช่วยเหลือด้านใดอีก อย่างไรก็ตาม ขณะนี้สามารถติดต่อคนไทยที่อยู่ในชิลีทั้ง 60 คนได้แล้ว ทุกคนปลอดภัยดี โดยในจำนวนนี้มีนักเรียนแลกเปลี่ยน 15 คนรวมอยู่ด้วย สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานด้วยว่า นายเบนจามิน ฟง เจา นักวิทยาศาสตร์แห่งศูนย์เที่ยวบินอวกาศ องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐ (นาซา) เปิดเผยว่า ผลกระทบจากแผ่นดินไหวรุนแรงในประเทศชิลีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทำให้แกนของโลกเอียงไปจากตำแหน่งเดิม แม้จะไม่สำคัญเท่าใดนัก แต่ก็เปลี่ยนไปจากตำแหน่งเดิมอย่างถาวร แล้วยังส่งผลให้ระยะเวลาในหนึ่งวันสั้นหรือช้าลงไป 1.26 ไมโครวินาที (1 ไมโครวินาที เท่ากับ 1 ในล้านวินาที) แรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวที่ส่งผลต่อการหมุนรอบตัวเองของโลก มีผลไปถึงการกำหนดระยะเวลาของวันด้วย นักวิทยาศาสตร์ได้ทดลองโดยเปรียบเทียบกับนักสเกต หากใช้แขนแกว่งเข้าช่วย จะทำให้การเคลื่อนที่เร็วขึ้น ส่วนนายริชาร์ด กรอสส์ นักธรณีฟิสิกส์ของห้องทดลองขับเคลื่อนพลังงาน ไอพ่นขององค์การนาซาที่เมืองพาซาเดน่า รัฐแคลิฟอร์เนีย ได้ทดลองโดยใช้คอมพิวเตอร์จำลองแบบเหตุแผ่นดินไหว 8.8 ริคเตอร์ ในประเทศชิลีเมื่อวันที่ 27 ก.พ.ว่าจะมีผลอย่างไรต่อโลกบ้าง และพบว่า แกนของโลกเอียงไป 3 นิ้ว หรือ 8 ซม. ซึ่งหากแกนโลกเอียงจากเดิมจะทำให้ระยะเวลาสั้นลงไป ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา ได้มีแผ่นดินไหว 9.1 ริคเตอร์ เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2547 เกิดคลื่นยักษ์สึนามิรุนแรง และทำให้เวลาสั้นลงไป 6.8 ไมโครวินาที.


    <TABLE width="98%" align=center><TBODY><TR><TD align=right width="75%">ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ </TD><TD align=middle width="25%">[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    ความลับของพีระมิด
    สุดยอดเทคโนโลยี ที่หลงเหลือจาก...แอตแลนติส
    พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ


    ความลี้ลับมหัศจรรย์ของ “พีระมิด” และ “พลังพีระมิด” ยังคงเป็นสิ่งที่ท้าทาย ต่อภูมิปัญญาของมนุษย์มาทุกยุคทุกสมัยตราบเท่าจนปัจจุบันนี้ ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใหม่ๆ ไม่สามารถให้ความกระจ่างชัดเจนได้ว่าใครคือผู้สร้างพีระมิด มหาพีระมิดทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “พลังพีระมิด” มีประโยชน์อย่างไร

    ความรู้เกี่ยวกับ “พลังพีระมิด” ที่ได้เรียบเรียงขึ้นนี้ เป็นองค์ความรู้ของพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ที่รู้ได้ด้วย การใช้ญาณทัสนะ ศึกษาฐานความรู้ สาเหตุของการสร้าง ใครเป็นผู้สร้าง รวมทั้งการประยุกต์เพื่อนำประโยชน์ของ “พลังพีระมิด” มาใช้เป็นอุปกรณ์เสริมในการฝึกสมาธิและฝึกการใช้พลังจิตช่วยรักษาโรคและสร้างภูมิต้านทานด้วยตนเอง

    ฉะนั้นองค์ความรู้เหล่านี้จึงมีลักษณะเฉพาะ ซึ่งอาจจะมีความแตกต่างจากแหล่งความรู้อื่น เพราะความรู้เหล่านี้ได้มาจากการศึกษาด้วย “จิต” เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตที่ละเอียดอ่อนเกินกว่าจะใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เข้ามาพิสูจน์ได้ ดังนั้น แต่ละบุคคลจะสามารถเรียนรู้และสัมผัสในพลังจิตและพลังพีระมิดได้จริงจากการทดลองฝึกปฏิบัติด้วยตนเองเท่านั้นไม่ใช่เรียนรู้จากการอ่าน และสร้างความรู้สึกคล้อยตาม

    ฐานที่มาของความรู้เรื่องพีระมิด พลังพีระมิด พอจะกล่าวย่อๆ ได้ดังนี้

    จากประวัติศาสตร์โลก เมื่อประมาณ 10,000 ปีเศษ ได้กล่าวถึงอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่มีความเจริญรุ่งเรืองมากบนทวีปแอตแลนติก ชาวแอตแลนตีสในยุคนั้นมีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ทางจิตสูงมาก โดยเฉพาะความรู้ในการสร้างพีระมิดและนำพลังแกนพีระมิดมาใช้ให้เกิดประโยชน์ รวมทั้งวิวัฒนาการในการสร้างอาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรง โดยการนำพลังงานเส้นแสงมาใช้ซึ่งอาวุธชนิดนี้เรียกว่า “อาวุธแสง”

    ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน สามารถค้นพบพลังงาน และนำมาใช้ประโยชน์เพียง 5 ชนิดจากจำนวนพลังงาน 7 ชนิด คือ

    1. พลังงานความร้อน

    2. พลังงานแสง

    3. พลังงานเสียง

    4. พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า

    5. พลังงานปรมาณู

    6. พลังงานเส้นแสง

    7. การเปลี่ยนพลังงานจากวัตถุเป็นพลังงานแสง และการเปลี่ยนจากพลังงานเสงเป็นวัตถุ

    พลังงานลำดับที่ 6 คือพลังงานเส้นแสง นักวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบันได้ค้นพบแล้ว และกำลังอยู่ในขั้นตอนจของการพัฒนาแต่ชาวแอตแลนตีสในยุคที่ผ่านมาถึง 10,000 ปีเศษ ได้มีการนำพลังงานตัวนี้มาใช้ก่อนแล้ว

    พลังงานลำดับที่ 7 คือการเปลี่ยนพลังงานจากวัตถุเป็นพลังงานแสง และการเปลี่ยนพลังงานแสงเป็นวัตถุ ซึ่งเป็นวิวัฒนาการขั้นสุดท้ายทางวิทยาศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ทางจิต เป็นความสามารถของมนุษย์ดาวอังคารเพื่อนต่างดาวที่อยู่ในครอบครัวสุริยจักรวาล เช่นเดียวกับดาวโลกของเรา

    ชาวแอตแลนตีสได้นำอาวุธแสงมาใช้ในสงครามทำลายล้างจนนำไปสู่การล่มสลายของอาณาจักร ผลกระทบที่เกิดจากการใช้อาวุธแสง ทำให้ทวีปแอตแลนติก เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงแผ่นดินทรุด ยุบตัวลง เปลี่ยนสภาพจากผืนแผ่นดินเป็นมหาสมุทรในทันที อาณาจักรแอตแลนตีส จึงยังคงจมอยู่ใต้มหาสมุทรตราบจนทุกวันนี้ ซึ่งถ้าหากเมื่อใดที่การย้อนรอยของกรรมปรากฎขึ้น อาวุธแสงถูกนำมาใช้อีกครั้ง อาณาจักรแอตแลนตีส อาจจะมีโอกาสโผล่พ้นพื้นมหาสมุทรอวดตนเองแก่สายตาชาวโลกอีกครั้งหนึ่ง

    ก่อนที่จะเกิดสงครามที่นำไปสู่การล่มสลายของอาณาจักรประมาณ 1 เดือน นักบวชชาวแอตแลนตีสรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ที่มีพลังจิตสูงได้พยากรณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นกับทวีปแอตแลนตีส นักบวชรูปนี้ได้นำชาวแอตแลนตีสที่เชื่อในคำพยากรณ์เดินทางออกมาจากทวีปและได้สร้างที่อยู่ใหม่ในดินแดนของชาวอียิปต์อารยธรรมแอตแลนตีสจึงได้ถ่ายทอดสู่ชาวอียิปต์ โดยเฉพาะการสร้างพีระมิดและการใช้ประโยชน์จาก พลังพีระมิดในยุคอารยธรรมอียิปต์แห่งลุ่มแม่น้ำไนล์


    http://www.geocities.com/healthmeditation/healthmeditation/health.html <STYLE type=text/css><!--td.attachrow { font: normal 11px Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; color : #000000; border-color : #000000; }td.attachheader { font: normal 11px Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; color : #000000; border-color : #000000; background-color: #D1D7DC; }table.attachtable { font: normal 12px Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; color : #000000; border-color : #000000; border-collapse : collapse; }--></STYLE>
    เครดิต http://www.superjeew.com/webboard/viewtopic.php?t=4508&sid=d9da589947f65a3e085fe5dc80d9698c
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    แอตแลนติสดินแดนพิศวง by Dr.key


    ::: by Dr.key :::​


    อาจจะมีพวกเราหลายคนที่ยังไม่ทราบว่า โลกเรานี้เคยมีอารยธรรมที่รุ่งเรืองยิ่งใหญ่ดำรงอยู่ เมื่อหลายหมื่นปีก่อนและเป็นอารยธรรมแรกสุดของมุนษย์ ทีเป็นบ่อเกิดของอารยธรรมรุ่นหลังๆ ที่พวกเรารู้จักกันดี แต่อารยธรรมที่ยิ่งใหญ่แห่งแรกของโลกใบนี้หรือ ดินแอนแอตแลนติส แห่งนี้กลับต้องล่มสลายจมหายไปใต้ มหาสมุทรภายในวันเดียวคืนเดียวเท่านั้น อันเกิดจากภัยธรรมชาติที่มาจากแผ่นดินไหว ภูเขาไประเบิด และลมพายุไต้ฝุ่น ( น้ำท่วม ) ที่เกิดขึ้นพร้อมๆกัน​


    เรื่องราวของแอตแลนติส ได้ถูกทำให้แพร่หลายสู่วงกว้าง ตั้งแต่เมื่อสองพันกว่าปีก่อนก็เพราะพลาโตนักปราชญ์ ชาวกรีกได้บันทึกเอาไว้ โดยพลาโตได้ทราบเรื่องราวของ แอตแลนติสมาจากครีเทอัสผู้เป็นลุงของพลาโตอีกทีหนึ่ง ครีเอทัสได้เล่าเรื่องราวอันแปลกแต่จริงให้พลาโตฟัง เกี่ยวกับการเกินทางของโซลอน นักปราชญ์และพ่อค้านักผจญภัย ชาวเอเธนส์ ซึ่งได้เคยเดินทางไปอียิปต์มาแล้ว เมื่อปี 571 ก่อนคริสต์กาล และที่อียิปต์นี้เองที่โซลอนได้รับรู้ เรื่องราวอันแสนประหลาดจากนักบวชแห่งเมืองซาอิส แถบบริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์อีกทีว่า เมื่อประมาณ 2-3 หมื่นปีมาแล้วมีเกาะถวีปแห่งหนึ่ง ถัดจาก เสาค้ำฟ้าของเฮอร์คิวลิส ( ชื่อของช่องแคบยิบรอลต้าในปัจจุบัน ) เกาะแห่งนี้มีชื่อว่าแอตแลนติส เป็นศูนย์กลางแห่งอาณาจักร อันยิ่งใหญ่และรุ่งเรืองซึ่งเต็มไปด้วยประชาชน ผู้มั่งคั่งและมีอารยธรรมอันสูงส่ง ทั้งเมืองเต็มไปด้วย ทองคำเหลืองอร่าม เกาะแอตแลนติสสามารถติดต่อ กับแผ่นดินอื่นๆได้ทางเรือ ด้วยอานุภาพของกองทัพเรือ อันยิ่งใหญ่ ทำให้อาณาจักรนี้สามารถขยายอำนาจ และอิทธิพลแผ่ขยายไปจนถึงลิเบีย อาณาเขตตอนเหนือ ของอียิปต์และไกลออกไปถึงยุโรปจรดกับกับ ดินแดนเทอรีเนีย ( ตอนเหนือของอิตาลี่ในปัจจุบัน ) แต่แล้วจู่ๆ อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่นี้ก็กลับจมหายไปใต้ พื้นทะเลลึกเพียงชั่ววันและคืนเดียวเท่านั้น โดยมีสาเหตุ มาจากการเกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิดและอุทกภัย ครั้งใหญ่ที่สุดในโลกทำให้กลุ่มชนชาติแอตแลนติส ถูกกลืนชีวิตไปจนเกือบหมดสิ้น กล่าวกันว่าชาวแอตแลนติสจำนวนน้อยที่สามารถ รอดชีวิตจากภัยพิบัติไปได้อย่างหวุดหวิด และได้อพยบ ไปอยู่ที่อื่นส่วนที่มุ่งสู่ ดินแดนตะวันตกกลายมาเป็น บรรพบุรุษของพวกอินเดียน ชาวอินคา และชาวมายา เป็นต้น ส่วนที่มุ่งสู่ดินแดนทิศตะวันออกก็กลายมา เป็นบรรพบุรุษของมนุษย์เผ่าโครมันยองซึ่งมีร่างกาย สูงใหญ่ บึกบึน กระดูกข้อมือข้อเท้าใหญ่ มีกล้ามเนื้อ แข็งแรงทุกประการ มิหนำซ้ำ คนเหล่านี้ที่ต่างเคยอาศัย อยู่คนละฟากฟ้า แต่ต่างก็มีตำนานเล่าสืบต่อกันมา เหมือนๆกันว่าเคยมีดินแดนแห่งหนึ่ง ทีเจริญรุ่งเรืองมาก ต่อมาเกิดภัยธรรมชาติทำลายจนย่อยยับ

    นอกจากนี้ยังเป็นที่น่าสังเกตว่าชนชาติต่างๆ มักมีตำนานเกี่ยวกับน้ำท่วม เหมือนๆกัน และส่วนใหญ่ มักจะเล่าคล้ายๆกันว่ามีผู้รอดชีวิตเป็นผู้เริ่มต้นออกไป แยกย้ายสร้างอาณาจักรใหม่แทนเดิมที่ถูกทำลายไป ชาวแอตแลนติสเดี๋ยวนี้ก็มาเกิดกันเป็นพวก นักวิทยาศาสตร์ที่วิวัฒาการสมัยใหม่ ที่เขาเกิดขึ้นใหม่นี้เขาก็ยังมี ความทรงจำในอดีตอันไกลโพ้นอยู่ ..ในแอตแลนติสสมัยนั้นมี ความเจริญรุ่งเรืองไม่แพ้กับสมัยปัจจุบันนี้ แต่ว่าวิวัฒนาการ ของมนุษย์นี่เมื่อมาถึงจุดสุดยอดก็เอาวิวัฒนาการมาทำลายกัน เมื่อวิวัฒนาการถูกทำลาย ความสูงของมนุษย์ก็ดับลงไป วิวัฒนาการสูงสุดของมนุษย์คือการได้ค้นพบเรื่องแสง เมื่อค้นพบก็นำมาทำลายกัน แสงนี้เป็นต้นกำเนิดของวัตถุ ร่างกายเราก็ดีหรือวัตถุในโบก มันกำเนิดมาจากแส้งทั้งสิ้น ถ้าเมื่อใดมนุษย์นี้สามารถไปรู้ความจริงขอนี้ในเรื่องแสง ก็จะนำมาทำลาย มนุษย์มีความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็เลยเอาตัวโทสะมาทำลายกัน เมื่อทำลายแล้ว ความเสื่อม ก็จะเกิดขึ้น

    อย่างที่เกิดขึ้นในสมัยแอตแลนติสนั้น ตอนนั้นมนุษย์ก็มีความก้าวหน้า ทางวิวัฒนาการมากจนสามารถคิดค้นเรื่องแสงได้แล้ว ทีนี้ตอนแรกก็ใช้แสงให้เกิดประโยชน์ แต่พอนานๆเข้า ก็มี ชาวแอตแลนติสบางกลุ่มนำมาใช้เป็นอาวุธ ในขณะเดียวกัน ก็มีอีกกลุ่มหนึ่งที่ศึกษาเรื่องจิตวิญญาณจนรู้เรื่องอนาคตที่จะเกิด

    พอถึงเวลาพลบค่ำ หายนะของเกาะแอตแลนติสก็เกิดขึ้น พวกเขาเอาแสงไปทำลายกันเอง เสร็จแล้วก็เกิดแผ่นดินไหวแยก แล้วภูเขาไฟก็ระเบิด อะไรต่างๆก็จมน้ำไป แล้วที้ทวีปนี้ก็เคลื่อน มาชนกัน แต่แผ่นดินมันเคลื่อนตัว มันแยกแล้วมาชนกับภูเขาหิมาลัย ซึ่งรอยต่อของมันหลังจากภูเขาหิมาลัยนี่มันจะมีรอยแยกพากผ่าน กาญจนบุรีถ้าเกิดมีการเคลื่อนตัวอีก ก็จะเป็นอันตรายในไทยด้วย

    พวกแอตแลนติสส่วนใหญ่เสียชีวิตหมดตอนที่เกาะจมน้ำ และวิวัฒนาการต่างๆก็พลอยล่มสลายไปด้วย พวกที่รอดออกไป ส่วนมากก็ไม่ได้เอาอะไรออกมา แต่ความรู้พวกเขามีก็เอามาสร้าง พีระมิดบ้าง สฟิงค์บ้าง แต่ชาวแอตแลนติสที่ออกมาส่วนใหญ่ จะศึกษาเรื่องจิต เมื่อเขาออกมาลูกหลานพวกเขาไปแต่งงาน กับคนพื้นเมือง ความรู้ศาสตร์เกี่ยวกับทางจิตวิญญาณของพวกเขา นี่ก็ลดต่ำจนกลายเป็นเหมือนมนุษย์ธรรมดา แต่ยังมีเหลือนิดๆหน่อยๆ ประเด็นที่เกี่ยวกับสาเหตุและสภาพการณ์ในขณะที่เกาะ แอตแลนติสล่มสลายนั้น ได้พบคำอธิบาย 2 อย่างด้วยกัน อย่างแรกเป็นคำอธิบายของมนุษย์ต่างดาวที่ชื่อ เซ็มยาเซ ซึ่งได้ถ่ายทอดเรื่องนี้ให้แก่ผู้ติดต่อชาวโลกที่ชื่อ ไมเยอร์ อย่างที่สองเป็นคำอธิบายของ แฟรงค์ อัลเปอร์ ผู้รักษาโรค ด้วยพลังจิตและเป็น คนทรงเจ้า ผู้อ่านอย่าเพิ่งปฏิเสธว่า เป็นเรื่องเหลวไหล ที่ต้องพึ่งแหล่งข้อมูล จากมนุษย์ต่างดาวกับคนทรงเจ้า เพราะเรากำลังพูดถึงเรื่องราว ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายหมื่นปีก่อน โดยไม่มีหลักฐานทีเป็นเอกสารใดๆ หลงเหลือจะเริ่มจากคำอธิบายของมนุษย์ต่างดาวที่ชื่อว่า

    เซ็มยาเซ มาจากกลุ่มดาวเพลอาเดียสและเป็นสตรีเพศ เธอมาเยือน ไมเยอร์ ครั้งแรกในวันที่ 28 มกราคม 1975 นับเป็นมนุษย์ต่างดาว คนที่ 3 ที่มาติดต่อกับไมเยอร์ คนแรกชื่อ สุฟาตะ แอสเกต และ เซ็มยาเซ ไมเยอร์ติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวผู้นี้ราวๆ 200 ครั้ง มีถึง 115 ครั้ง ที่มีการบันทึกสนทนาไว้ เซ็มยาเซได้เล่าเรื่องของแอตแลนติสให้ไมเยอร์ฟังว่า

    เมื่อสี่หมื่นปีที่แล้ว พวกลูกหลานของมนุษย์ต่างดาว ( แต่คนโบราณเข้าใจผิดไปเรียกว่า เทพเจ้า ) ได้กลับมาเยือน โลกและปกครองโลกในนาม เทพเจ้า อีกครั้ง นามของผู้ปรกครองคือ แอตแลนโตภรรยาของผู้ปกครองคือ คาเรียทีด บิดาของนางชื่อ มูราส แอตแลนโตได้สร้างเมืองแอตแลนติสขึ้นที่เกาะแอตแลนติส ใหญ่ขณะที่มูราสได้สร้างเมืองมูขึ้นมาที่แอตแลนติสเล็ก เมืองแอตแลนติสเล็ก และมู เป็นมหานครที่เจริญรุ่งเรืองที่สุด จนกระทั่งมีนักวิทยาศาสตร์ 2-3 คน ที่จะตกเป็นทาส ของกิเลสบ้าอำนาจจึงคิดการใหญ่ แต่ชาวเมืองทั้งสองนคร ไม่ยอม ลุกขึ้นต่อต้านนักวิทยาศาสตร์พวกนั้นให้จำต้องลี้ภัยไป อยู่นอกสุริยะพวกนักวิทยาศาสตร์หลบไปอยู่ที่นอกระบบสุริยะ จักรวาลประมาณ สองพันปี ได้พัฒนาเทคโนโลยีล้ำยุค จนมีความมั่นใจว่าจะมาบุกโลกแก้แค้นได้สำเร็จ แล้วก็ได้สงพวกตนภายในการนำของ เอาลาส จำนวนสองร้อยคนนั่งยานอวกาศ มายึดครองพื้นที่แถบฟลอริดา เอาลาส ผู้นี้แหละ ทีเป็นผู้ยุแหย่ให้ชาวเมืองแอตแลนติสกับชาวเมืองมู บาดหมางกัน จนกระทั่งเกิดเป็นสงครามครั้งใหญ่ที่สุด


    [​IMG] [​IMG]
    ดาวน์โหลด (28.4 KB)
    15-6-2009 19:26




    แผนที่โบราณซึ่งเชื่อว่าเป็นที่ตั้งของอาณาจักรมู



    [​IMG] [​IMG]

    ดาวน์โหลด (21.87 KB)
    15-6-2009 19:26




    ภาพจำลองแอตแลนติสตามคำบรรยายของเพลโต



    ที่ตั้งของนครมู อยู่ตรงมะเลทรายโกบี ที่ตั้งของแอคแลนติสเป็น เกาะใหญ่อยู่ระหว่างทวีปอเมริกา กับ แอฟริกา กำลังรบของทั้งสอง ฝ่ายก็ยิ่งใหญ่พอๆกัน และก็มีเทคโนโลยีขั้นสุดยอมเหมือนกัน กองทัพแอตแลนติสมีกำลังทหารสี่ล้านแปดแสนคน มียานอาวุธ ติดอาวุธแสงมหาปะลัย ( เว่อร์ไปนิด ) มีเรื่อรบประจัญบาน หนึ่งแสนสองหมื่นสามพันลำกับเรือเร็วติดอาวุธแสงอีก

    ดังนั้นพวกนักวิทยาศาสตร์ของฝ่ายมู จึงคิดค้นเทคโนโลยิ ที่จะนำเอาดาวพระเคราะห์ดวงเล็กๆ มาทำให้เป็นเหมือนกระสุน โดยพวกเขาได้นั่งยานอวกาศออกไปจนเลยวงโคจรของดาวอังคาร เพื่อเสาะแสวงหาดาวพระเคราะห์ดวงเล็กๆ ที่เหมาะสม ในที่สุด พวกเขาก็พบดาวเล็กๆ ดวงหนึ่งซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลาง หลายกิโลเมตรพวกเขาได้ใช้พลังงานจากอะตอมและอิเล็กทรอนิกส์ ผลักดันให้ดาวเล็กๆดวงนั้น หลุดจากโคจรเดิม และเคลื่อนย้าย เข้ามาสู่วงโคจรของโลก การหมุนรอบตัวเองของดาวดวงนี้ ถูกทำให้หยุดชะงัก และพวกมูได้นำเอาเครื่องมือขนาดยักษ์เข้าไปติด ทำให้ดาวดวงนี้กลายเป็นกระสุนปืนใหญ่จักรวาลที่สามารถบังคับ ให้ขับเคลื่อนได้โดยคลื่นซูเปอร์โซนิค พวกมูสร้างอาวุธนี้ ช้าไปก่อนหน้านั้น กองทัพแอตแลนติสได้ยกพลเข้ามาถล่มนครมู จนพินาศย่อยยับ แต่ตอนนั้นเครื่องยนต์กระสุนปืนใหญ่ได้งานแล้ว ชาวแอตแลนติสนึกว่าชนะสงคราม ก็หลงระเริงอยู่ในชัยชนะของตน กระสุนปืนใหญ่ก็ระเบิดกลางเวหา ในตำแหน่งสูง 172 KM จากดิน ส่วนหนึ่งกลายเป็นลูกอุกกาบาต ตกลงมาถล่มแอตแลนติสจนย่อยยับ ส่วนดาวเล้กๆที่เหลืออีกสองในสามตกลงบนทะเลทะลุพื้นโลก ทำให้เกิดความร้อนใต้พื้นโลกที่เป็นแมกมาพุ่งทะลักออกมา ขณะเดียวกันก็เกิดเป็นคลื่นทะเลยักษ์สูงถึงสองพันสามร้อยเมตร และกลืนนครแอตแลนติสจมลงใต้ทะเลในที่สุด
    คำอธิบายของบุคคลที่มีชื่อเสียงระดับโลก อย่าง แฟรงค์ อัลเปอร์นั้น ไม่ค่อยเน้นเรื่องสาเหตุและ สภาพการณ์ในขณะล่มสลายของเมืองแอตแลนติสเท่าไรนัก
    คำบอกเล่าจากชาวแอตแลนติสที่ชื่อ สโตเลนส์ที่มาเข้าทรง
    เราจะเริ่มจากเรื่องราวของทวีปเรมูเลียหรือ ทวีปมู อารยธรรมของทวีปมูนี้ดำรงยาวนานกว่าหนึ่งแสนปี ชาวมูแบ่งออกได้เป็นสองพวก พวกหนึ่งรักสันติอีก พวกหนึ่งชอบทำสงคราม ทั้งสองพวกนี้ต่างมีวิทยาการที่ ก้าวหน้าในระดับที่สูงมาก พวกที่รักสันติมักให้ความสนใจ กับเรื่องความรู้ความเจริญและพระเจ้า แต่พวกที่กระหาย สงครามมักให้ความสนใจในเรื่องพลัง และทำลาย แอตแลนติสเกิดหลังทวีปมูราวๆ 20000 ปี คือ เมื่อแปดหมื่นเก้าพันปีก่อนคริสตกาล ในหมู่แอตแลนติส ไม่มีพวกกระหายสงครามอยู่เลย เมื่ออารยธรรมแอตแลนติส เจริญรุ่งเรืองพวกกระหายสงครามของฝ่ายมูได้ตัดสินใจ ขยายอิทธิพลมาถึงแอตแลนติส พวกมูได้เเอบขุดอุโมงค์ ใต้ดินที่เชื่อมทั้งสองแห่งไว้ด้วยกัน เพราะความพยายาม ที่จะยึดครองแอตแลนติสของพวกมูได้นำไปสู่ภาวะ สงครามระหว่างเมืองสองเมืองนี้ และดำรงความขัดแย้ง มานานถึงห้าหมื่นปี ในตอนแรกเป็นการปะทะสู้รบกัน ในระดับเล็กย่อย แต่ครั้นเวลาผ่านไปความรุนแรงในการ สู้รบของทั้งสองฝ่ายหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด ก็นำมาซึ่งการล่มสลายของทั้งสองฝ่ายและทวีปมูและ แอตแลนติสต่างจมลงสู่ก้นทะเลคราวที่เกิดการขยับตัว ของเปลือกโลกครุ้งใหญ่ เมื่อ แปดหมื่นห้าพันปี

    คำบอกเล่าของชาวแอตแลนติสชื่อ อะดามิส แอตแลนติสถูกสร้างขึ้นบนโลกโดยมนุษย์ต่างดาว ในฐานะที่เป็นอารยธรรมทดลอง โดยมีเป้าหมายเพื่อ ถ่ายทอดวิทยาการที่ล้ำยุคให้แก่ชาวโลกในอนาคต ได้ใช้ประโยชน์โดยเฉพาะต่อวิวัฒนาการของมนุษย์

    สาเหตุหลักที่ทำให้แอตแลนติสล่มสลายนั้นมาจาก การเปลี่ยนแปลงแห่งคลื่นของโลกใบนี้ การล่มสลายของแอตแลนติสเกิดจากหลายสาเหตุ ด้วยกันสาเหตุอันหนึ่งก็คือชาวแอตแลนติสจำนวนมาก ที่มุ่งขยายความเป็นอัตตาของตัวเองมากไปจนถึงขีด จำกัดในการเจริญเติบโตของมัน ถ้าพวกเขาพอใจที่ จะหยุดอยู่แค่ระดับการเจริญเติบโตและพลังที่ควบคุม ได้ที่ตนเองไปถึง การล่มสลายก็คงไม่เกิดขึ้น แต่มนุษย์เป็นสัตว์ที่อยู่นิ่งไม่ได้ กฎของจักรวาลได้ บังคับให้มนุษย์ต้องเคลื่อนไหวไปไม่ทิศทางใดก็ ทิศทางหนึ่ง และทิศทางที่ชาวแอตแลนติสเลือกเดิน ต่อไปอีกนั้นเป็นทิศทางทีเป็นลบ ระแวงสงสัย อัตตา แรงกล้าและหลงตัวเองจึงนำไปสู่ จุดจบ


    ถ้าจะสรุป จุดร่วม ในคำอธิบายเกี่ยวกับแอตแลนติส ของ เซ็มยาเซ และ แฟรงค์ อัลเปอร์ ก็คงจะได้แก่ ความขัดแย้งจนถึงขั้นทำสงครามกันด้วยอาวุธมหาประลัย อย่างอาวุธแสง พลาโตได้เขียนไว้ว่า การล่มสลายของ แอตแลนติสเกิดจาก ภัยธรรมชาติ แต่ถ้าฟังจาก 2 ท่านนี้ เราจะได้ข้อสรุปว่า ภัยสงครามล้างโลก​


    คำอธิบายของใครน่าเชื่อถือที่สุด ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจ ของแต่ละบุคคล...


    http://masterkey.exteen.com/20070121/entry



     
  11. SAMMYSUNG

    SAMMYSUNG สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +14
    ตกลงคือทำนายไม่แม่นใช่ป่าว นี่มันก็ปี 2553แล้วนะ
    ทำนายไว้ปี2551 ยังไม่เห็นมันจะเลวร้ายเท่าที่ทำนายเลยอ่ะ
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    งานแปลโดยคุณ kindred<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_3667390", true); </SCRIPT>

    [​IMG]
    ข้อความนี้มีสองส่วน
    ส่วนแรกที่เป็นบันทึกการเดินทางไปยังเมืองเทียฮัวนาโค
    ของผู้ได้รับการสื่อสารทางโทรจิต
    Tyberonn
    เป้นการเดินทางเพื่อเชื่อมต่อจิตวิญญาณในอดีต

    ซึ่งจะโยงใยมาสู่เรื่อง ที่เป็นข้อความที่ถูกสื่อสารมา
    ซึ่งจะขออนุญาติไม่แปล แต่จะยกมาขยายความเป็นบางช่วง

    -------------------------------------------------------------------

    <LINK href="file:///C:%5CDOCUME%7E1%5Cpcess%5CLOCALS%7E1%5CTemp%5Cmsohtmlclip1%5C01%5Cclip_filelist.xml" rel=File-List><LINK href="file:///C:%5CDOCUME%7E1%5Cpcess%5CLOCALS%7E1%5CTemp%5Cmsohtmlclip1%5C01%5Cclip_themedata.thmx" rel=themeData><LINK href="file:///C:%5CDOCUME%7E1%5Cpcess%5CLOCALS%7E1%5CTemp%5Cmsohtmlclip1%5C01%5Cclip_colorschememapping.xml" rel=colorSchemeMapping><STYLE>@font-face { font-family: Cordia New;}@font-face { font-family: Cambria Math;}@font-face { font-family: Calibri;}@font-face { font-family: Tahoma;}@page Section1 {margin: 72.0pt 72.0pt 72.0pt 72.0pt; size: 612.0pt 792.0pt; mso-header-margin: 36.0pt; mso-footer-margin: 36.0pt; mso-paper-source: 0; }P.MsoNormal { FONT-SIZE: 11pt; MARGIN: 0cm 0cm 10pt; LINE-HEIGHT: 115%; FONT-FAMILY: "Calibri","sans-serif"; mso-style-unhide: no; mso-style-qformat: yes; mso-style-parent: ""; mso-pagination: widow-orphan; mso-bidi-font-size: 14.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-fareast-font-family: Calibri; mso-fareast-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-theme-font: minor-bidi}LI.MsoNormal { FONT-SIZE: 11pt; MARGIN: 0cm 0cm 10pt; LINE-HEIGHT: 115%; FONT-FAMILY: "Calibri","sans-serif"; mso-style-unhide: no; mso-style-qformat: yes; mso-style-parent: ""; mso-pagination: widow-orphan; mso-bidi-font-size: 14.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-fareast-font-family: Calibri; mso-fareast-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-theme-font: minor-bidi}DIV.MsoNormal { FONT-SIZE: 11pt; MARGIN: 0cm 0cm 10pt; LINE-HEIGHT: 115%; FONT-FAMILY: "Calibri","sans-serif"; mso-style-unhide: no; mso-style-qformat: yes; mso-style-parent: ""; mso-pagination: widow-orphan; mso-bidi-font-size: 14.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-fareast-font-family: Calibri; mso-fareast-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-theme-font: minor-bidi}A:link { COLOR: blue; TEXT-DECORATION: underline; mso-style-noshow: yes; mso-style-priority: 99; text-underline: single}SPAN.MsoHyperlink { COLOR: blue; TEXT-DECORATION: underline; mso-style-noshow: yes; mso-style-priority: 99; text-underline: single}A:visited { TEXT-DECORATION: underline; mso-style-noshow: yes; mso-style-priority: 99; text-underline: single; mso-themecolor: followedhyperlink}SPAN.MsoHyperlinkFollowed { TEXT-DECORATION: underline; mso-style-noshow: yes; mso-style-priority: 99; text-underline: single; mso-themecolor: followedhyperlink}.MsoChpDefault { mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-fareast-font-family: Calibri; mso-fareast-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-theme-font: minor-bidi; mso-style-type: export-only; mso-default-props: yes}.MsoPapDefault { MARGIN-BOTTOM: 10pt; LINE-HEIGHT: 115%; mso-style-type: export-only}DIV.Section1 { page: Section1}</STYLE>[FONT=&quot]ข้อความสื่อสารทางโทรจิตจากมหาเทพเมตาตรอน ([/FONT]Archangel Metatron)

    [FONT=&quot]วันที่ [/FONT]30 [FONT=&quot]กรกฎาคม [/FONT]2010
    [FONT=&quot]ผู้รับการสื่อสาร นาย [/FONT]Tyberonn

    [FONT=&quot]ที่มา:[/FONT]
    Tiajuanaco - The Lost Pyramid City of OG > Earth Keeper

    "เทียฮัวนาโค"อาณาจักรที่สูญหายของเมืองโบราณแห่ง OG "


    [FONT=&quot]ตอนที่[/FONT] 1...

    สวัสดี ผู้อันเป็นที่รักทั้งหลาย! ผู้สื่อสารทางโทรจิตของฉันได้ค้
    <WBR>นพบตัวเองอีกครั้ง
    ในบริเวณที่น่
    <WBR>าสนใจยิ่งของกระแสของพลังงานหมุ<WBR>นวนในทะเลสาบติกากา(Titcaca)

    [​IMG]
    <LINK href="file:///C:%5CDOCUME%7E1%5Cpcess%5CLOCALS%7E1%5CTemp%5Cmsohtmlclip1%5C01%5Cclip_filelist.xml" rel=File-List><LINK href="file:///C:%5CDOCUME%7E1%5Cpcess%5CLOCALS%7E1%5CTemp%5Cmsohtmlclip1%5C01%5Cclip_themedata.thmx" rel=themeData><LINK href="file:///C:%5CDOCUME%7E1%5Cpcess%5CLOCALS%7E1%5CTemp%5Cmsohtmlclip1%5C01%5Cclip_colorschememapping.xml" rel=colorSchemeMapping><STYLE>@font-face { font-family: Cordia New;}@font-face { font-family: Cambria Math;}@font-face { font-family: Calibri;}@font-face { font-family: Tahoma;}@page Section1 {margin: 72.0pt 72.0pt 72.0pt 72.0pt; size: 612.0pt 792.0pt; mso-header-margin: 36.0pt; mso-footer-margin: 36.0pt; mso-paper-source: 0; }P.MsoNormal { FONT-SIZE: 11pt; MARGIN: 0cm 0cm 10pt; LINE-HEIGHT: 115%; FONT-FAMILY: "Calibri","sans-serif"; mso-style-unhide: no; mso-style-qformat: yes; mso-style-parent: ""; mso-pagination: widow-orphan; mso-bidi-font-size: 14.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-fareast-font-family: Calibri; mso-fareast-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-theme-font: minor-bidi}LI.MsoNormal { FONT-SIZE: 11pt; MARGIN: 0cm 0cm 10pt; LINE-HEIGHT: 115%; FONT-FAMILY: "Calibri","sans-serif"; mso-style-unhide: no; mso-style-qformat: yes; mso-style-parent: ""; mso-pagination: widow-orphan; mso-bidi-font-size: 14.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-fareast-font-family: Calibri; mso-fareast-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-theme-font: minor-bidi}DIV.MsoNormal { FONT-SIZE: 11pt; MARGIN: 0cm 0cm 10pt; LINE-HEIGHT: 115%; FONT-FAMILY: "Calibri","sans-serif"; mso-style-unhide: no; mso-style-qformat: yes; mso-style-parent: ""; mso-pagination: widow-orphan; mso-bidi-font-size: 14.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-fareast-font-family: Calibri; mso-fareast-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-theme-font: minor-bidi}SPAN.longtext1 { mso-style-unhide: no; mso-bidi-font-size: 10.0pt; mso-style-name: long_text1; mso-ansi-font-size: 10.0pt}.MsoChpDefault { mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-fareast-font-family: Calibri; mso-fareast-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-theme-font: minor-bidi; mso-style-type: export-only; mso-default-props: yes}.MsoPapDefault { MARGIN-BOTTOM: 10pt; LINE-HEIGHT: 115%; mso-style-type: export-only}DIV.Section1 { page: Section1}</STYLE>[FONT=&quot]
    [/FONT]
    ทะเลสาบติติกากา (Titicaca)ได้รับการยอมรับไปทั่วโลกว่าเป็นที่ๆมีพลังงานศักดิ์สิทธิ์
    ที่มีพลังอำนาจและเคยเป็นสถานที่จาริกแสวงบุญยาวนานมาแล้ว

    เป็นที่ๆมีกระแสการหมุนวนของพลังงานมหึมาอย่างเหลือเชื่อ
    ซึ่งเส้นผ่านศูนย์กลางของกระแสพลังงาน (vortex) นี้ มีความกว้างถึง 120 ถึง175 กิโลเมตร

    vortex สมดุลย์และเต็มไปด้วยทางเข้าออกของพลังบริสุทธิ์มากมาย
    ที่มีการแกว่งไกวอยู่ภายในอาณาเขต
    -----------------------------------------------------------------

    ดินแดนที่ครั้งหนึ่งถูกเรียกว่า OG(Original Generation, etc.
    It normally refers to someone who has be
    en around
    in a certain culture or whatever much longer than everyone else.)
    ------------------------------------------------------------------
    หมายเหตุ: ขออนุญาติทับศัพท์ OG เนื่องจากไม่อยากให้มีการบิดเบือนในการตีความ
    และคำแปลภาษาอังกฤษค่อนข้างชัดเจนกว่า
    ------------------------------------------------------------------

    เหตุที่เขาถูกสถานที่แห่<WBR>งนี้ดึงดูดความสนใจ
    เพราะเขาเคยเกิดมาใช้ชีวิตอยู่ ณ ดินแดนแห่งนี้อยู่หลายชาติภพ
    โดยเฉพาะหลังการล่มสลายอย่
    <WBR>างกระทันหันของอาณาจักรแอตแลนติ<WBR>ส ก่อนที่เขาจะเลือกไปถือกำเนิ<WBR>ดในอียิปต์
    ด้วยเหตุนี้เขาจึงมีความรู้สึ
    <WBR>กเศร้า โดยเฉพาะในดินแดนที่เรียกว่าเที<WBR>ยฮัวนาโค
    เพราะที่นั่นเป็นที่ๆผู้สื่
    <WBR>อสารทางโทรจิตของฉันได้เริ่มต้น กระแสวงจรชีวิตทางกายภาพขึ้น
    Tyberonn ไม่ได้เป็นชาวแอตแลนติส คุณจะต้องรู้ว่าคุณไม่ได้เป็<WBR>นชาวโลกในเวลานั้น

    พวกเราจะบอกพวกคุณว่<WBR>าหลายๆคนในยุคแรกๆของแอตแลนติส มีต้นตระกูลที่กำเนิดมาจากสิ่<WBR>งมีชีวิตนอกพิภพ

    และพวกเขาเป็นรูปธรรมที่มีจิ<WBR>ตสำนึกเต็มเปี่ยม บางครั้งก็มีกายเนื้อครบถ้<WBR>วนสมบูรณ์ บางครั้งก็ไม่
    รูปธรรมเหล่านี้มีความสามารถที่<WBR>จะเดินทางไปมาได้ตามรูปแบบนั้นๆ
    แล้วผู้สื่อสารทางโทรจิตของฉั<WBR>นก็ถูกกระตุ้นความสนใจขึ้นมาเกี<WBR>่ยวกับเรื่องราวบางอย่าง

    เพราะว่าสิ่งที่เขาทำทั้<WBR>งหมดในปัจจุบันนี้มันเกี่ยวข้<WBR>องกับเรื่องของมิติและโครงข่าย(<WBR>grids)

    ในหลายๆชาติภพต่างๆที่ยาวนานของ Tyberonn
    เขาเคยเกิดมาในบุคลิกภาพที่เป็
    <WBR>นนักวิทยาศาสตร์ของระบบเลย์(Ley System)
    พลังงานcrystalline มาแล้วหลายต่อหลายครั้ง

    และแม้กระทั่งเคยเป็นที่ปรึ<WBR>กษาในการออกแบบ Pyramids แห่ง Giza
    มันไม่ใช่ในรูปแบบของมนุษย์ทั่
    <WBR>วๆไป แต่เป็นการตระหนักรู้ผ่านทางจิ<WBR>ตสำนึกมากกว่า

    Tyberonn มีความเข้าใจความหมายของระบบพลั
    <WBR>งงานเหล่านี้ ในฐานะที่เขาเคยเป็นผู้เก็บรั<WBR>กษาข้อมูล
    และเคยใช้ความรู้นี้
    <WBR>ให้เกิดประโยชน์ต่อชาวแอตแลนติ<WBR>สมาแล้ว

    คุณเห็นไหมว่า Tyberonn เคยใช้ช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่นี้
    <WBR>ในภาวะพลังงาน(ที่ไม่มีกายเนื้<WBR>อ)
    เพื่อที่จะรับข้อมูลความรู้
    <WBR>โดยตรงจากตัวตนภายใน(Mastery)

    ------------------------------------------------------------------
    [​IMG]

    คำอธิบาย Ley lines ถูกอ้างว่าเป็นการจัดแนวของสถาน
    <WBR>ที่โบราณหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ<WBR>์ต่างๆ
    ที่เชื่อมโยงกันไปทั่วโลก ระบบของเครือข่ายนี้กำหนดเส้นทางเดินของพลั
    <WBR>งงาน
    และอำนาจที่ไม่สามารถพบเห็
    <WBR>นได้โดยง่าย ระบบเหล่านี้เป็นพลังงานจากโลก
    บางเลย์ไลน์ ทอดตรงยาวแต่บางเส้นก็เป็นวงกลม
    บ้างก็เชื่อว่าผังเหล่านี้เป็นแผนที่บอกทางโดยการใช้ dowsing หรือ divining rod

    ------------------------------------------------------------------

    Tyberonn ได้ดึงดูดประสบการณ์เพิ่มมากขึ้<WBR>นโดยการเลือกที่จะมาถือกำเนิ<WBR>ดทางกายภาพ
    ครั้งหนึ่งในช่วงระยะที่
    <WBR>3ของแอตแลนติส
    เขาประสบความสำเร็จ
    ในการเทคนิ
    <WBR>คของการฟื้นคืนชีพ(rejuvenation technology)

    ทำให้อายุของเขายืนยาวขึ้นอย่<WBR>างมาก


    ในกระบวนการของการกลับมาเกิ<WBR>ดใหม่ จะต้องมีการเรียนรู้ที่<WBR>มากมายในแต่ละช่วงเวลา
    การจัดวางได้ถูกเตรียมไว้ก่<WBR>อนแล้ว ส่วนใหญ่มักถูกซ่อนไว้ภายใต้<WBR>การห่อหุ้มของร่างใหม่
    และต้องมาเรียนรู้ใหม่ด้วยการค้<WBR>นหา

    เราอาจกล่าวได้ว่าจากสิ่งที่ได้<WBR>ถูกจัดวางไว้ก่อนแล้ว
    Tyberonn จึงระลึกได้ถึงเวลาและสถานที่<WBR>เกิดที่ถูกต้องของเขาได้อย่<WBR>างแม่นยำ
    ด้วยว่าความสามารถเหล่านั้นมั<WBR>นยังคงอยู เหมือนกับที่มันเกิดขึ้นในTibet จนกระทั่งมาถึงตอนนี้

    เขาเคยได้รับการฝึกฝนเทคโนโลยี่<WBR>ที่พิเศษสุดในช่วงยุคต้นๆเพื่<WBR>อให้เขาจดจำได้
    ถึงการบรรลุจุ<WBR>ดประสงค์ในการเลือกมาใช้ชีวิ<WBR>ตทางกายภาพ
    ในการเปลี่ยนร่างครั้งใหญ่<WBR>และทำให้มีชาติภพทางกายภาพที่<WBR>ยาวนาน

    อาจเกินกว่า 1000 ปี ตามวิธีการวัดจำนวนของพวกคุณ
    ดังนั้นในเวลานี้ Tyberonn
    จึงถูกกักขังอยู่ในโครงข่ายนั้<WBR>นและในบางเส้นทางก็ถูกกักขังอยู<WBR>บนโลกทางกายภาพ

    เขาเลือกที่จะมีประสบการณ์<WBR>ทางกายภาพ
    ในสิ่งซึ่งเขาต้องการโดยไม่<WBR>จำเป็นที่จะต้องมีประสบการณ์ผ่<WBR>านในรูปแบบทางกายภาพ


    ---------------------------------------------------------------
    วันที่ 30 [FONT=&quot]กรกฎาคม [/FONT]2010
    [FONT=&quot]ผู้รับการสื่อสาร นาย [/FONT]Tyberonn

    [FONT=&quot]ที่มา:[/FONT]

    Tiajuanaco - The Lost Pyramid City of OG > Earth Keeper

    "เทียฮัวนาโค"อาณาจักรที่สูญหายของเมืองโบราณแห่ง OG "

    [FONT=&quot]ตอนที่[/FONT] 2...

    Tyberonn ค้นพบว่า หลังการล่มสลายของอาณาจั<WBR>กรแอตแลนติส เขาเป็นชาวอาณานิคมของอาณาจั<WBR>กรแอตแลนติส
    ซึ่งอยู่ใกล้ๆเมืองเทียฮัวนาโค ในชาติภพนั้นเขาเกิดการตื่นรู้<WBR>ขึ้นมาว่าไม่มีทางที่จะได้กลั<WBR>บบ้านแล้ว
    นอกเหนือไปจากการจัดวางตั<WBR>วเองให้เหมาะสมกับผู้คนสำคั<WBR>ญๆเหล่านี้
    ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือเขาได้<WBR>ค้นพบสิ่งที่มากเกินไปกว่านั้น (upon the earth) และด้วยวิธีการยอมรับ
    และมีวงจรของประสบการ์ณอย่างเต็<WBR>มรูปแบบในการการกลับมาเกิดใหม่

    และนี่คือวิธีที่คุณจะประสานร่<WBR>วมกันกับ สถานที่แห่งนี้ ดินแดนนี้ และผู้คนเหล่านี้
    แต่เราขอเพิ่มเติมๆปอีกซักหน่อย ว่าขณะที่ Tyberonn อยู่ในอาณาจักรแอตแลนติส
    พวกคุณเองก็เคยไปเยี่ยมเยื<WBR>อนในดินแดนของ OG, Yucatan และ Egypt มาแล้วหลายครั้งหลายหน
    ในความมุมานะทางด้านวิทยาศาสตร์


    Tyberonn ในตอนนี้ที่เป็นเสมือนรากเหง้<WBR>าแห่งวิญญาณของคุณ
    และอยู่ในฐานะที่เป็นต้นกำเนิ<WBR>ดของ คุรุแห่งแสงสว่างผู้รู้แจ้งของP<WBR>leiadean
    ขณะนี้เมื่อมีการตัดสินใจที่<WBR>จะมาถือกำเนิ<WBR>ดในวงจรทางกายภาพในร่างกายเนื้อ
    เอกลักษณ์และธรรมชาติที่แท้จริ<WBR>งของคุณอาจจะถูกปิดบังซ่อนเร้<WBR>นเอาไว้

    ดังนั้นมนุษย์ทั้งหมด จึงมักยึดติดอยู่กับรูปแบบของตั<WBR>วตนทางกายภาพอย่างลึกซึ้ง
    Tyberonn เริ่มที่จะแยกตัวเองออกจากตั<WBR>วตนทางกายภาพของเขาได้
    และค่อยๆตื่นรู้ขึ้นทีละน้อยถึ<WBR>งรากเหง้าของเนื้อแท้ที่อยู่<WBR>ภายใน(root essence)
    คุณเห็นไหมว่าหลังการล่<WBR>มสลายของแอตแลนติส
    มนุษยชาติกลับมีมาตราฐานความรู้<WBR>และเทคโนโลยี่ลดน้อยลงไปอย่<WBR>างมาก

    พวกคุณเคยเกิดมาในหลายชาติภพอยู<WBR>่ที่เมืองเทียฮัวนาโค
    ในช่วงแรกๆคุณอาจจะมึนงงสั<WBR>บสนและออกนอกเส้นทางเล็กน้<WBR>อยราวกับว่าหลงทาง
    ลองพยายามทำความรู้สึกถึงภัยพิ<WBR>บัติอะไรก็ได้ที่เคยเกิดขึ้<WBR>นมาเมื่อเร็วๆนี้
    และทำเหมือนกับว่าคุณเป็นผู้ที่<WBR>คงเหลืออยู่หลังจากภัยพิบัติ
    หลายๆคนจะรู้สึกสับสนในตอนต้<WBR>นๆเมื่อพวกเขาค้นพบว่าชาติ<WBR>ภพของพวกเขาบนโลก
    สั้นกว่าประสบการณ์ที่เคยเกิดขึ<WBR>้นมาแล้วในยุคแอตแลนติสมากนัก


    ความรู้ที่เก็บสั่งสมไว้<WBR>และการตื่นรู้คงอยู่ทั่วไปในทุ<WBR>กๆที่
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่เทือกเขาแอนดีส(
    Andes),
    เมื<WBR>องแถบคาบสมุทรยูคาตันในแมกซิโก (Yucatan) และประเทศอียิปต์
    และคุณก็เคยถูกดึงดูดไปสู่วิ<WBR>ทยาการของสถานที่เหล่านี้มาแล้ว
    ในเวลานั้นชื่อของคุณคือ Calnae Ra ใน OG,

    คุณเคยเป็นนักธรณีภูเขาไฟวิทยา(<WBR>geo-vulcanologist)
    คุณเคยเรี<WBR>ยนรู้ในวิธีการที่จะใช้พลั<WBR>งงานต่างๆและเคยมีส่วนร่วมในการยกก้อนหินด้วยคลื่นเสียง
    จากการเนรมิตมันขึ้นในมิติที่สู<WBR>งกว่าและนำมันมาสู่โลกทางกายภาพ<WBR>(ด้วยการจินตนาการและดึงดูดมา..<WBR>.ผู้แปล)

    ด้วยเหตุนี้ คุณจึงรู้สึกคุ้นเคยกับ ปิรามิดแห่งเทียฮัวนาโค
    และคุณมักจะรู้สึกเศร้าอย่<WBR>างประหลาดเกียวกับสถานที่เหล่<WBR>านั้น
    ท่ามกลางเหล่าผู้คนที่สู<WBR>ญหายไปหลังการล่มสลายของอาณาจั<WBR>กรแอตแลนติส

    มาถึงตอนนี้ พวกเราขอพูดถึงพลังงานของ เทียฮัวนาโค
    ..
    เทียฮัวนาโค เป็นสถานที่ที่ได้รั<WBR>บความสนใจในฐานะที่เป็นอาณานิ<WBR>คมของ LeMurian

    ในดินแดนที่เรียกว่า OG และตอนหลังได้กลายมาเป็<WBR>นของชาวแอตแลนติสหลั<WBR>งจาการมรณะกรรมของอาณาจักรมู
    มันเป็นหนึ่งในศูนย์กลางอาณานิ<WBR>คมใหญ่ของอารยธรรมในช่วงสุดท้<WBR>ายของ ชาวแอตแลนติส

    แม้ว่าชาว OG ส่วนใหญ่จะถูกทำลายล้างจาก ซึนามิที่แอตแลนติส
    ผู้รอดชีวิตมีเพียงผู้ที่อาศั<WBR>ยอยู่บริเวณที่สูงขึ้นไปจากระดั<WBR>บน้ำทะเล 6000 ฟุต เท่านั้นที่ไม่เป็นอันตราย

    แต่ที่นี่ก็ยังคงมีสิ่งมีชีวิ<WBR>ตในรูปธรรมอื่นอยู่ด้วย เผ่าพันธ์ของสิ่งมีชีวิ<WBR>ตนอกโลกที่เข้ามาช่วยเหลือเป็<WBR>นการชั่วคราว
    และจะเดินทางจากไปหลังจากนั้น เผ่าพันธ์ของสิ่งมีชีวิตนี้ติ<WBR>ดต่อกับชาวเลมูเรีย,
    ชาวแอตแลนติสในเทียฮัวนาโค และ ชาวอียิปต์ เพื่อที่จะคอยช่วยเหลือในช่<WBR>วงเวลาที่สิ้นสุดในอาณาจักรทั้<WBR>งสอง

    "เทียฮัวนาโค"อาณาจักรที่สูญหายของเมืองโบราณแห่ง OG "

    [FONT=&quot]ตอนที่[/FONT]
    3...

    พลังงานที่ประสานกลมกลื<WBR>นของโบราณสถานเหล่านี้ซับซ้อนมาก
    และมีลักษณะโครงสร้<WBR>างการทำงานของพลังงาน
    ที่ปรากฎข้ามพ้นขึ้นไปจากมิติที<WBR>่3 ขึ้นในหลายๆมิติ

    สิ่งนี้เป็นการติต่อสื่อสารผ่<WBR>านทางประตูจักรวาล('zipped' space)
    การมีจุดศูนย์กลางร่วมกันที่ พับทบอยู่บน (folding of) โครงข่ายของหลากหลายมิติ

    นี่เป็นการสนับสนุ<WBR>นความสามารถในการคงอยู่ร่วมกัน(<WBR>co exist)
    ในหลากหลายขอบเขตของความเป็นมิ<WBR>ติพร้อมกัน
    มันเหมือนสิ่งซึ่งหลายๆคนเรี<WBR>ยกว่าการผ่านทะลุเข้าไปหลังม่าน (passing thought the veil)
    แต่ก็ยังคงเป็นคำอธิบายที่ไม่ถู<WBR>กต้องนัก

    มันเป็นมากกว่าความเกี่ยวข้<WBR>องในการเข้าไปสู่ โฮโลแกรมในมิติที่ 5
    ในที่ซึ่งประสบการณ์ทุกอย่างเกิ<WBR>ดขึ้นพร้อมกันหมด
    โดยปราศจากการเหลือไว้ของมิติ<WBR>ในรูปแบบการทำงานทั่วไปของคุ<WBR>ณอยู่จริงๆ
    ดังนั้นมันจึงไม่ใช่การผ่านทะลุ<WBR>เข้าไป แต่เป็นการซ้อนทับกัน(overlappi<WBR>ng)
    ของเยื่อหุ้มบางๆของมิติทั้<WBR>งหลาย
    สิ่งนี้เกิดขึ้<WBR>นในหลายๆอาณาเขตของพลังงานที่มุ่งไปสู่ศูนย์กลาง


    ใต้เมืองเทียฮัวนาโค มีห้องต่างๆที่ใหญ่โตกว้างขวาง
    และสอดแทรกไปด้วยรูปทรงเรขาคณิตต่างๆ(
    <WBR>holgrams)อยู่ภายใต้โลก
    ห้องเหล่านี้เชื่อมต่อกันและกั
    <WBR>นด้วยระบบท่อที่สลับซับซ้อน
    ไปยังจุดโครงข่าย (grid points)อื่นๆมากมาย

    และรวมไปถึงดินแดนสถานที่ตั้งที
    <WBR>่ศักดิ์สิทธ์ ของมาชู พิชชู ,อียิปต์,
    กลาสตันเบอรี่ ทอร์ ,เกาะอิสเตอร์ และ ยอดเขาในซานฟรานซิสโกในรัฐอริ
    <WBR>โซน่า
    (Machu Picchu, Egypt, the Glastonbury Tor, Easter Island)

    เขาวงกตใต้ดินที่ยิ่งใหญ่ของ สิ่งซึ่งหมายถึงเลย์ ของมิติที่4 ที่เชื่อมติดต่อถึงกันทั้งหมด

    <LINK href="file:///C:%5CDOCUME%7E1%5Cpcess%5CLOCALS%7E1%5CTemp%5Cmsohtmlclip1%5C01%5Cclip_filelist.xml" rel=File-List><LINK href="file:///C:%5CDOCUME%7E1%5Cpcess%5CLOCALS%7E1%5CTemp%5Cmsohtmlclip1%5C01%5Cclip_themedata.thmx" rel=themeData><LINK href="file:///C:%5CDOCUME%7E1%5Cpcess%5CLOCALS%7E1%5CTemp%5Cmsohtmlclip1%5C01%5Cclip_colorschememapping.xml" rel=colorSchemeMapping><STYLE>@font-face { font-family: Cordia New;}@font-face { font-family: Cambria Math;}@font-face { font-family: Calibri;}@font-face { font-family: Tahoma;}@page Section1 {margin: 72.0pt 72.0pt 72.0pt 72.0pt; size: 612.0pt 792.0pt; mso-header-margin: 36.0pt; mso-footer-margin: 36.0pt; mso-paper-source: 0; }P.MsoNormal { FONT-SIZE: 11pt; MARGIN: 0cm 0cm 10pt; LINE-HEIGHT: 115%; FONT-FAMILY: "Calibri","sans-serif"; mso-style-unhide: no; mso-style-qformat: yes; mso-style-parent: ""; mso-pagination: widow-orphan; mso-bidi-font-size: 14.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-fareast-font-family: Calibri; mso-fareast-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-theme-font: minor-bidi}LI.MsoNormal { FONT-SIZE: 11pt; MARGIN: 0cm 0cm 10pt; LINE-HEIGHT: 115%; FONT-FAMILY: "Calibri","sans-serif"; mso-style-unhide: no; mso-style-qformat: yes; mso-style-parent: ""; mso-pagination: widow-orphan; mso-bidi-font-size: 14.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-fareast-font-family: Calibri; mso-fareast-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-theme-font: minor-bidi}DIV.MsoNormal { FONT-SIZE: 11pt; MARGIN: 0cm 0cm 10pt; LINE-HEIGHT: 115%; FONT-FAMILY: "Calibri","sans-serif"; mso-style-unhide: no; mso-style-qformat: yes; mso-style-parent: ""; mso-pagination: widow-orphan; mso-bidi-font-size: 14.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-fareast-font-family: Calibri; mso-fareast-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-theme-font: minor-bidi}.MsoChpDefault { mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-fareast-font-family: Calibri; mso-fareast-theme-font: minor-latin; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-theme-font: minor-bidi; mso-style-type: export-only; mso-default-props: yes}.MsoPapDefault { MARGIN-BOTTOM: 10pt; LINE-HEIGHT: 115%; mso-style-type: export-only}DIV.Section1 { page: Section1}</STYLE>ตรงทางเข้าไปสู่โลกใต้พิภพนั้นกว้างใหญ่ มีโบสถ์กว้างขวางอยู่ที่ใต้ดิน,
    เหมือนกับเป็นดั่งเช่นเมืองใหญ่ๆเมืองหนึ่ง

    วัดที่โอ่อ่านี้ยังคงอยู่ที่นั่นมีปิรามิดอันหนึ่งที่กลับหัวซึ่งสมนัยกับปิรามิด Akapana ที่อยู่ด้านบน
    มันเป็นรูปแบบทางพลังงานของดาวจตุรมุข8เหลี่ยม(octahedron) ที่สมบูรณ์
    ----------------------------------------------------------
    http://palungjit.org/threads/ข้อควา...่ของมนุษยชาติ-ไปสู่มิติที่-5-a.246190/page-25
     
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    "เทียฮัวนาโค"อาณาจักรที่สูญหายของเมืองโบราณแห่ง OG "


    [FONT=&quot]ตอนที่[/FONT] 4...

    การผ่านเข้าไปสู่ห้องใต้ดินอั<WBR>นโอ่โถงนี้ จะทำให้ได้รับการสั่นสะเทื<WBR>อนของคลื่นความถี่สูง


    มีมนุษย์อยู่เพียงไม่กี่คนที่มี <WBR>ความสามารถที่จะเข้าไปได้
    มีอยู่เพียงไม่กี่คนบนโลกที่ยั<WBR>งคงเก็บรักษาความรู้<WBR>และความสามารถอันนี้ไว้ได้
    แม้ว่าจำนวนจะเริ่มมีเพิ่มมากขึ<WBR>้นก็ตาม

    เหมือนที่พวกเราเคยบอกกับคุณไว้<WBR>ว่า มีเด็กๆที่มีความกลมกลืนทางพลั<WBR>งงานcrystal
    อยู่เป็นพันๆคนบนโลกในปัจจุบั<WBR>นนี้ ที่เป็นผู้ที่มีศักยภาพของคลื่<WBR>นความถี่แบบนี้

    มันเป็นพลังงานที่เหมือนกับคลื่<WBR>นความถี่ของเสียงที่ถูกแตะเบาๆ ในภาวะไร้แรงดึงดูด(สูญญกาศ)
    ซึ่งบุคคลในระดับผู้เชี่<WBR>ยวชาญของดินแดนเลมูเรี่<WBR>ยและแอตแลนติสได้นำพลังงานนี้<WBR>มาใช้
    ในการยกก้อนหินใหญ่มหึมา วิศวกรรมที่แม่นยำและการก่อสร้<WBR>างก่อนยุคอินคา อีกด้วย
    เช่นเดียวกับวัดของชาวอินคาดิ<WBR>นแดนของ Og โบราณแห่งอารยธรรมของชาวมายั<WBR>นในเม็กซิโก

    นักบวช-นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้(<WBR>Scientist- Priests)
    เป็นผู้ที่มีความล้ำเลิศทางด้<WBR>านวิทยาการอย่างมาก
    ในเรื่<WBR>องความรู้ที่เกี่ยวกับคลื่<WBR>นความถี่ในพลังงานฐานพิภพ(<WBR>telluric) และพลังงานแสง

    ในเวลานั้นผู้ที่เป็นนักบวช-นั<WBR>กวิทยาศาสตร์
    จะได้รับการฝึ<WBR>กฝนในด้านการพัฒนาทางด้านวิ<WBR>ทยาศาสตร์และด้านจิตอย่างหนัก
    ทั้งก่อนและหลังเกิดอุทกภัยอย่<WBR>างหนักในช่วงระยะ20ปี
    ด้วยเหตุนี้จึงสามารถเชื่อมต่อคุณลักษณะ
    ของความเป็นวิทยาศาสตร์เข้ากับจิ<WBR>ตและวิญญาณของพลั<WBR>งงานในการดำรงชีวิตได้

    ความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกั<WBR>นในกระบวนการของการรับพลั<WBR>งงาน
    จากแสงอาทิตย์และจักรภพ(sol<WBR>ar and cosmic rays)

    เพื่อขยายความถี่ของการสั่<WBR>นสะเทือนให้รองรับพื้นที่
    ที่<WBR>กระจายออกจากมุมระหว่างรังสีหั<WBR>กเหตรงตำแหน่งที่<WBR>ลำแสงตกกระทบ
    ที่เกิดจากคลื่นถี่และพลั<WBR>งงานคริสตอลของความคิด(crystals & frequential thought)
    ซึ่งเป็นตัวสร้างให้เกิดภาพของแสงที่มี<WBR>ความเร็วเหนือเสียง
    ของปฏิ<WBR>สารและภาวะไร้แรงโน้มถ่วง (antimatter and antigravity)

    คลื่นความถี่ที่แตกต่างกัน ถูกนำมาใช้เป็นประโยชน์ในการเปิ<WBR>
    และจัดการช่องทางที่<WBR>สอดประสานกันในเขาวงกต
    ด้วยปัญญาอันฉลาดเฉลียวของวิ<WBR>ทยาศาสตร์ทางจิตที่ครบถ้วนสมบู<WBR>รณ์

    พิธีการอันยิ่งใหญ่นี้เป็นวิธี<WBR>การปรับแต่งเครือข่าย(เขาวงกต)<WBR>นี้
    ให้ทรงอานุภาพได้อย่างนุ่<WBR>มนวล (fine-tuning)
    เหมือนกับระบบเลย์ของเขาวงกตอันทรงพลังนี้
    ที่มีคุณประโยชน์ต่อชาวแอตแลนติ<WBR>สอยู่ไม่ใช่น้อย

    -----------------------------------------------------

    เมืองเทียฮัวนาโค( Tiajuanaco)...
    มาชูพิชชู ของโบลิเวีย(Bolivia's Machu Picchu!)

    [​IMG]


    เทียฮัวนาโคก็เหมือนกับซากโบราณสถานหลายๆแห่งบนโลกที่ตั้งอยู่บนจุด grid หลักๆ
    ที่มีสนามพลังงานที่ชัดเจน...และเป็นสายใยแห่งความมีชีวิตชีวาที่เชื่อมประสานกัน
    เทียฮัวนาโคอยู่ถัดจากทะเลสาบตาติกกากามาทางใต้ประมาณสองไมล์
    ซากโบราณสถานของเทียฮัวนาโค เต็มไปด้วยปิรามิดที่ใหญ่มหึมา
    โบสถ์หินที่สวยงาม, เสาหินที่มีขนาดใหญ่ก้อนเดียว

    ความมั่งคั่งของตำนานของชาวพื้นเมืองของเมืองลึกลับใต้พิภพที่อยู่ใต้โบสถ์เหล่านี้ <O></O>

    ตำนานของชาวยุคก่อนโคลัมเบียและอินคาอ้างว่า
    เทียฮัวนาโคเป็นทางเข้าเขาวงกตขนาดมหึมาใต้ดิน ที่มีการเชื่อมต่อไปยังเมืองศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ

    ในคำทำนายของชาวอินคาที่เล่าต่อกันมาถึงโลกที่อยู่เบื้องบน และโลกใต้พิภพ
    ความจริงที่มีอยู่ทั้งในมิติทางกายภาพและในรูปแบบของพลังงานหลายสถานที่

    ในเทือกเขาแอนดิสถือว่าเป็นประตูทางเข้าสู่ดินแดนเหล่านี้
    และ ประตูและทางเข้าที่ปรากฏออกมานั้นมีความเป็นไปได้
    วัดต่างๆในเมืองเทียฮัวนาโคถูกกล่าวว่าเป็นประตูแรกเริ่มที่เข้าสู่โลกของมิติที่3 <O></O>
    "เทียฮัวนาโค"อาณาจักรที่สูญหายของเมืองโบราณแห่ง OG "


    ตอนที่ 5...ปิดท้าย

    ครั้งหนึ่งปิรามิดหลายๆแห่งเคย ถูกเชื่อมต่อกับเครือข่<WBR>
    ายของเขาวงกตนี้
    และเคยถูกใช้เป็นรูหนอนหลากมิติ ที่โยงใยโครงสร้างของโลกใบนี้และโครงข่ายของจักรวาล
    พลังงานธรรมชาติในสถานที่
    <WBR>หลายๆแห่งก็รวมตัวกันไปสู่เครื<WBR>
    อข่ายอันมหึมานี้

    เส้นทางเลย์เหล่านี้ถูกพัฒนาขึ้นครั้งแรกในช่วงที่
    <WBR>3ของอาณาจักรแอตแลนติส
    เมื่อครั้งก่อนคริสศักราช 28,000 ปี ล่วงมาแล้ว
    ด้วยการปรับปรุงระบบการทำงานให้
    <WBR>ดีขึ้นจากวิ<WBR>
    ทยาการที่มีคุณประโยชน์ของสิ่งมีชีวิตนอกโลก

    จนกระทั่งอาณาจักรแอตแลนติสได้
    <WBR>สิ้นสุดลงในระยะเวลาอันสั้นหลั<WBR>
    งจากนั้น
    อุโมงค์เหล่านี้บางส่วนยังคงมี
    <WBR>อยู่อีกหลายแห่งตามเส้<WBR>นทางของเลย์ไลน์เทคโนโลยี่ของมิ<WBR>
    ติสูงส่งกว่า
    เส้นทางเหล่านี้ถูกใช้เพื่อเป็
    <WBR>นการเพิ่มช่องทางในการเดินทาง การติดต่อสื่อสาร
    และเป็นการส่
    <WBR>งผ่านพลังงานของโครงข่าย

    อุโมงค์เหล่านี้เป็นเสมือนช่
    <WBR>องทางที่ใช้ในการเชื่อมต่อกั<WBR>
    บโถงต่างๆใต้ดิน
    และ ใช้ในการทำเหมืองแร่ในบางโอกาส


    โถงใต้ดินบางแห่ง ทำหน้าที่ในการรับ,เก็บกัก,ขยาย และปกป้องพลังงานบริสุทธิ์แท้ๆ
    ที่จัดให้หินลาวาของโลกเป็
    <WBR>นไปในทิศทางเดียวกัน
    รวมไปถึงการปรับสมดุลให้กั
    <WBR>บโลกและแอ่งน้ำ & เพิ่มความเข้มข้น
    ให้กั
    <WBR>บความแรงของพลังงานที่ใช้<WBR>
    ในการปกป้อง

    วิธีการปกป้องนี้เหมือนกันกั
    <WBR>บการใช้หัวฉีดพ่นละอองไอน้<WBR>
    ำออกไป
    หรือแรงดันน้ำในอ่างจาคุซชี่ อย่างที่พวกคุณเรียกกัน


    ถึงแม้ว่าพลังงานนี้จะเป็นพลั
    <WBR>งงานธรรมชาติของคลื่นแม่เหล็<WBR>กไฟฟ้า
    แต่มันก็บรรจุอยู่ใน matrix ที่ปราณีตซับซ้อนซึ่งต่อต้
    <WBR>านสนามพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า

    กระบวนการที่เป็นประโยชน์ทางด้
    <WBR>านวิทยาศาสตร์
    และความรู้ของพลั
    <WBR>งงานของโลกและจักรวาลนี้
    อย่างเช่น วิชาแร่ธาตุวิทยา, ศิลปการก่อสร้าง และ โหราศาสร์ การโน้มถ่วง


    เคยมีมนุษย์เคยอาศัยอยู่ในห้
    <WBR>องโถงต่างๆใต้พื้นโลกเหล่านี้
    ผู้คนเหล่านี้เป็นผู้ที่มีวิวั
    <WBR>ฒนาการในระดับของรูปธรรมในมิติ<WBR>ที่4

    ห้องใต้ดินใต้ที่เมืองเทียฮั
    <WBR>วนาโค,ประเทศเปรู และ ยูคาตัน
    มีการสะท้อนสะเทือนพลังงานคลื่
    <WBR>นความถี่ของแสงและเสียงที่<WBR>
    เฉพาะเจาะจง
    การสะท้อนของพลังงานเหล่านี้ส่
    <WBR>งเสริม การยกระดับจิตสำนึกในมนุษย์ได้
    มันไม่เหมือนห้องในมหาวิหารต่
    <WBR>างๆ
    แต่เป็นการสนับสนุนกันในสเกลที่
    <WBR>มโหฬารเหนือความเป็นมิติขึ้นไป

    ซึ่งพลังงานเหล่านี้อยู่ใกล้ชิ
    <WBR>ดกับพื้นผิวโลกมาก ณ บริเวณที่ตั้งของเมืองเทียฮั<WBR>
    วนาโค
    การสั่งสมพลังงานที่บริสุทธิ์นี
    <WBR>้มีอานุภาพและคุณประโยชน์มาก
    เพื่อเป้าหมายแห่งประสบการณ์
    <WBR>ในระดับกลุ่ม และในระดับปัจเจกบุคคล

    ผู้คนยังคงถูกดึงดูดไปสู่ดิ
    <WBR>นแดนแห่งนี้เพื่อไปรับพลังงานชี<WBR>วิตของโลกของสถานที่แห่งนี้
    และสำหรับผู้คนที่เคยอยู่ ณ ดินแดนแห่ง OG เมื่อครั้งในอดีต
    กับเหล่านักบวช-นักวิทยาศาสตร์ หรือ Atla-Ra
    จะสามารถรับสัมผัสและเข้าถึงพลั
    <WBR>งงานเหล่านี้ได้อย่างง่ายดายมาก

    สถานที่แห่งนี้อาจหมายถึง ประตูที่12 ซึ่งยังคงอยู่ใต้น้ำของบริ
    <WBR>เวณทะเลสาบติกากา
    จุดที่ตั้งของ Sun Disc ที่12(Golden Sun Discs คือ DNA ของโลก.....
    <WBR>ผู้แปล)
    ที่สามารถจะกระตุ้นพลังงานให้กับรูปธรรมต่างๆอย่างมีชีวิตชีวา
    ไปพร้อมๆกันกับ ครุแห่งระบบคริสตอลจากแดนแอตแลนติส(Master Atlantean Crystals)

    ผู้สื่อสารทางโทรจิต และผู้ที่อพยพมาจากดินแดนนั้น
    เมื่อครั้งภัยพิบัติแผ่
    <WBR>นดินไหวครั้งสุดท้าย
    ที่ทำให้
    <WBR>อาณาจักรแอตแลนติส จมลงสู่มรณะกรรมอันแสนเศร้า


    ข้าพเจ้าคือ เมตราตรอน เทพแห่งแสงสว่าง ข้าพเจ้าได้มาแบ่งปันสัจจะนี้กั
    <WBR>บคุณ

    พวกคุณเป็นดั่งที่รักตลอดกาล...


    --------------------------------
    Major Energy Points...'Puma Panku'

    พีระมิดที่ลดหลั่นเป็นชั้นๆที่ใหญ่ที่สุดของเมือง Akapana
    เรียงกันเป็นแนวเดียวกันสอดคล้องลงตัวกับทิศทางสำคัญ
    ที่หันหน้าไปทางทิศตะวันออก เรียกว่า'Puma Panku'
    ที่เรียงกันเป็นแนวหันหน้าไปสู่ด้านทิศตะวันออกอีกด้วย


    [​IMG]

    ขอบคุณ ที่มา...ภาพจาก internet<!-- google_ad_section_end -->

    -----------------------------------
    http://palungjit.org/threads/ข้อควา...่ของมนุษยชาติ-ไปสู่มิติที่-5-a.246190/page-26
     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->kindred<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_3760085", true); </SCRIPT>

    [​IMG]

    ข้อความสื่อสารทางโทรจิตจากมหาเทพเมตาตรอน (Archangel Metatron)

    [FONT=&quot]วันที่ [/FONT]17 เมษายน 2008
    [FONT=&quot]ผู้รับการสื่อสาร นาย [/FONT]Tyberonn

    [FONT=&quot]ที่มา: [/FONT]Arkansas: The Atlantean Crystal Awakening - And the Fall of Atlantis > Earth Keeper

    ตอนที่ 1

    สวัสดี..เหล่าคุรุทั้งหลาย ข้าพเจ้าคือ เมตราตรอน เทพแห่งแสงสว่าง !
    และเราก็กลับมาพูดเรื่องนี้กั<WBR>นอีกครั้ง
    การอุบัติออกมาของวอร์เท็กซ์ (vortex...พลังงานที่หมุนวนเป็<WBR>นเกลียว...ผู้แปล) ขนาดยักษ์ในมลรัฐอาคันซอส์
    ทางเข้าของคลื่นความถี่คริสตั<WBR>ลควอนตัม ในปี 2008 นี้ มันเป็นการกระโดดข้ามของ วอร์เท็กซ์ เข้ามาสู่เนินผิวโลก
    เนื่องจากมิติที่เก็บงำภูมิปั<WBR>ญญาคริสตัล ที่เคยถูกล็อคไว้เมื่อในยุ<WBR>คทองของแอตแลนติสได้เปิดออก
    นำมาซึ่งความถี่ที่สูงสุดที่<WBR>โลกของคุณไม่เคยได้รับมาก่อน

    [​IMG]

    เวลานั้นได้มาถึงแล้วจริงๆ
    ปีนี้จะเป็นปีแห่งการเริ่มปลดล๊
    <WBR>อคพลังงานคริสตัลของแอตแลนติ<WBR>สครั้งยิ่งใหญ่
    ที่เคยถูกผนึกไว้ในมิ
    <WBR>ติที่อยู่ภายในระบบพลังงานคลื่<WBR>นแม่เหล็กในมลรัฐอาร์คันซอ มานานกว่า 12,000 ปีแล้ว


    พวกคุณหลายๆคนจะถูกดึงดูดเข้าสู<WBR>่การเปิดเผยในครั้งนี้
    ซึ่งอันที่จริงคุณก็เคยอยู่ที่<WBR>นั่น เคยเป็นพยานรู้เห็นถึงเหตุอุ<WBR>ทกภัยนั้น
    พวกคุณบางคนจะมีการเคลื่อนไหวที่<WBR>่สำคัญ
    เหล่าคุรุของระบบคริสตัลแห่<WBR>งแอตแลนติสอันน่ามหัศจรรย์ทั้<WBR>งหลาย ทั้งที่นี่และที่อื่นๆ



    ภูมิปัญญาทั้งสาม ของชาวอาณาจักรแอตแลนติส & ผลึกคริสตัลแห่งการเยียวยา
    ที่ครั้งหนึ่งมันได้เคยเปล่<WBR>งแสงอันอลังการ และ แผ่พลังงานของสวรรค์
    จากในวิหารแห่งการเยียวยา วิ<WBR>หารแห่งความเป็นหนึ่ง และวิ<WBR>หารแห่งความรู้
    ของชาวโพซิด้า(Poseida) ที่อยู่ภายในมิติที่ถูกล็อคไว้ใ<WBR>นสนามพลังงานคริสตัลของอาณาจั<WBR>กรแอตแลนติส
    ในมลรัฐอาร์คันซอ จะถูกปลุกขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 2008
    และสอดรับกับพลังงานคริสตั<WBR>ลแอตแลนติสอื่นที่ยังคงหลั<WBR>บไหลอยู่
    ในประเทศบราซิล,เทือกเขาแชสต้<WBR>าและทะเลสาบติติกากา


    อันที่จริงสิ่งนี้ มากระตุ้นพลังงานให้กับ “โกลเดน ซัน ดิสค์”(Golden Sun Disc...ประตูมิติที่12)
    ที่อยู่ในมลรัฐอาร์คันซอ และสอดรับไปกับ 12 รูปแบบที่เหมือนกัน ที่อยู่ทั่วโลก
    หลายๆคนได้รับสัญญาณเพื่อให้
    <WBR>มาเข้ามามีส่วนร่วมในการปลุกเร้<WBR>าในครั้งนี้
    ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งสัญญาอั
    <WBR>นเก่าแก่ พันธสัญญาอันศักดิ์สิทธิ์ที่ช่<WBR>วงเวลาของพวกเขาได้มาถึงแล้ว
    หลายๆคนพร้อมแล้ว ซึ่งพลังงานของมันจะเต็มรูปแบบในปี 2012
    ดังนั้น คริสตัลแรกจึงจะถูกปลุกขึ้นใน summer solstice ของปี 2008


    มันไม่ใช่ว่าคุณจะต้องไปกระตุ้
    นผลึกคริสตัล หรือต้องติดไปกับ vortex
    มันเป็นเพียงการจัดวางตัวคุ
    <WBR>ณเองภายใต้ความสมบูรณ์เพียบพร้<WBR>อมนี้
    ภายใต้การกระตุ้นนี้ คุณจะได้รับการติดตั้งสนามพลั
    <WBR>งงานคริสตัลควันตัมที่มาจากเบื้<WBR>องบน
    เหล่ากลุ่มลอว์ ออฟ วัน(Law of One) หลายๆคนได้รับสัญญาณนี้


    เหล่าคุรุทั้งหลายพวกคุ
    ณรอคอยเวลานี้มายาวนานแล้<WBR>วโปรดจงใส่ใจกับเสียงเพรี<WBR>ยกในครั้งนี้
    แม้แต่เหล่าผู้นำทางแห่งดาว Sirius B ก็กำลังเตรียมการเพื่อขั้นตอนนี
    <WBR>้
    และรอคอยพวกคุณให้มาร่วมกั
    <WBR>บพวกเขา


    โปรดส่งพลังงานและแสงสว่
    างของพวกคุณ พร้อมกับเจตนาของคุณงามความดีอั<WBR>นสูงสุด
    ไปยังสิ่งซึ่งเรียกว่า คุรุคริสตัลสีฟ้าแห่งความรู้(Ma
    <WBR>ster Blue Crystal of Knowledge)
    ซึ่งครั้งหนึ่งได้เคยปกครองภูมิ
    <WBR>ปัญญาและแสงสว่าง อยู่ในวิหารแห่งความรู้
    และดังนั้นพวกคุณหลายๆคนจะเห็
    <WBR>นมันได้อย่างชัดเจนขึ้นด้<WBR>วยการมองผ่านจิตของคุณ
    อันที่จริงคุณก็รู้สึกถึงมันอยู
    <WBR>่แล้วภายในหัวใจของคุณและมันเปี่<WBR>่ยมไปด้วยน้ำตาของความสุข


    มันอยู่ใต้พื้นผิวโลก ด้านล่างใจกลางจุดสูงสุดของ
    วอร์เท็กซ์ ในบริเวณที่เรียกว่าสันเขา Talimena
    ในหุบผาอันศักดิ์สิทธิ์ ที่เคยถูกสร้างเมื่อนานมาแล้ว มันสูงตระหง่านถึง 48 ฟุต และมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 12 ฟุต
    ที่เก็บงำภูมิปัญญาและความรู้
    <WBR>จากหลากมิติหลายยุคสมัย
    มันเป็นการรอคอยที
    <WBR>แสนนานของการตื่นขึ้นอย่างที่ถู<WBR>
    กลิขิตไว้
    จากภายในเรือโนอาร์อันศักดิ์สิ
    <WBR>ทธิ์(sacred Ark)
    ตอนที่ 2

    จุดจบของยุคทอง และ การล่มสลายของอาณาจักรแอตแลนติส

    เราจะมาพูดถึงวันสุดท้<WBR>ายของอาณาจักรแอตแลนติส ที่นำไปสู่การล่มสลายของอาณาจั<WBR>กร....
    และสิทธิ์อันชอบธรรมในการตื่นรู
    <WBR>้ครั้งยิ่งใหญ่ในครั้งนี้
    เพราะว่าแท้ที่จริงแล้วพวกคุ
    <WBR>ณแต่ละคนต้องตื่นรู้ถึ<WBR>
    งความทรงจำที่เคยหลงลืมไป
    พร้อมกับปลดปล่อยความกลั
    <WBR>วและความเจ็บปวดออกไป คุณยังคงเก็บคริสตัลเหล่านี้ไว้<WBR>

    จากการถูกทำลายล้างและตอนนี้คุ<WBR>ณต้องจดจำมันให้ได้ว่าทำไม ด้วยการสื่อสารและเยียวยากับตั<WBR>วคุณเอง


    เราจะพูดถึงเวลาในตอนนั้น และพูดกับพวกคุณทุกคน
    พวกคุณเคยอยู่ที่นั่นทั้
    <WBR>งสภาวะที่เป็นทั้<WBR>
    งทางกายภาพและกายทิพย์
    เพราะอาณาจักรแอตแลนติสเป็
    <WBR>นภาพสามมิติของการเรียนรู้ที่ยิ<WBR>
    ่งใหญ่
    ช่วงเวลาเหล่านั้นกำลังจะกลั
    <WBR>บมา

    [​IMG]

    เรื่องราวของแอตแลนติสเป็นหั
    วใจแห่งการเยียวยา
    การชำระล้างที่จำเป็นสำหรั
    <WBR>บพวกคุณแต่ละคน ที่จะผสานทั้งหมดรวมกัน
    เข้าสู่ช่วงเวลาแห่งสนามพลั
    <WBR>งงานเมอร์คาบา(merkabic) พลั<WBR>งงานcrystallineของการยกระดั<WBR>
    บของดาวเคราะห์

    เสียงเรียกนี้ ไม่ได้เป็นเฉพาะพวกคุณที่อยู่
    <WBR>ภายใต้กฎของลอว์ออฟวัน( Law of One)เท่านั้น
    แต่มันยังเป็นการเรียกสำหรั
    <WBR>บเหล่าอารยัน ซันออฟเบลิเอล(Sons of Belial) อีกด้วย

    อันที่จริงพวกคุณหลายคนเคยมี
    <WBR>ประสบการณ์ที่อยู่ในช่วงของลั<WBR>
    ทธิความเชื่อทั้งสองมาแล้ว คุณประหลาดใจไหม?
    พวกคุณทุกคนต้องปลดปล่อยและเยี
    <WBR>ยวยา กับผู้คนที่ทำให้คุณเสียใจ
    รู้สึกสูญเสีย รู้สึกถึงการทรยศหักหลัง และ กับความรู้สึกผิด....
    มันถึ
    <WBR>งเวลาที่คุณจะต้องปล่อยให้มั<WBR>
    นจากไปได้แล้ว มันเป็นเวลาแห่งการสมานสามัคคี
    -----------------------------------------------------------------

    เบลิเอลในพระคำภีร์นอกสารบบ พระกิตติคุณ บาร์โธโลมิว(Godspel of Bartholomew)
    บันทึกถึงตอนที่นักบุญบารฺ
    <WBR>โธโลมิวถามว่า Belial คือใคร...
    Belial ตอบว่า "ตอนแรกเรามีชื่อว่า satanel มีหน้าที่เป็นผู้นำสารของพระเจ้
    <WBR>
    แต่เมื่อเราได้ปฏิเสธพระเจ้า ชื่อของเราได้เปลี่ยนมาเป็น Satanas
    นั่นคือเราได้กลายมาเป็นผู้คุ
    <WBR>มนรก (Tartarus)
    เราคือทูตสวรรค์ลำดั
    <WBR>บแรกๆในสวรรค์ที่พระเจ้าสร้าง
    หลังจากที่พระเจ้าสร้างเราแล้
    <WBR>วพระเจ้าก็สร้างมิคาแอลเป็นลำดั<WBR>บสอง
    กาเบรียลเป็นลำดับสาม อูริแอลลำดับสี่ ราฟาแอลลำดับห้า"
    Belial ยังบอกอีกด้วยว่า "เขาถูกสร้างเป็นลำดับต่อไป
    หลังจากพระเจ้าสร้างลูซิเฟอร์
    <WBR>เป็นฑูตสวรรค์ตนแรกในสวรรค์("I have been created next after Lucifer").
    [Rf. James, The Apocryphal New Testament,God spell of Bartholomew]
    เบลิเอลยังบอกว่าเขาเคยอยู่
    <WBR>ในกลุ่มทูตสวรรค์ชั้น เซราฟิม(seraphim) และ คุณธรรม(Virtues)
    และเป็นเขาเองที่คอยยั่วยุลูซิ<WBR>เฟอร์ให้ก่อการกบฏนั่นทำให้<WBR>เขาเป็นทูตสวรรค์ ตนแรกที่ถูกขับออกจากสวรรค์
    ที่มา...มารทั้ง 6 ใน Exorcism of Emily - Windows Live

    ตอนที่ 3

    อุทกภัยครั้งที่ 2 ของ ช่วงเวลา 17,500 BC – การหมุนวนที่ตกต่ำลง


    หลังการเกิดอุทกภัยครั้งที่สอง ยุคทองของยูโธเปียตกต่ำลง ทวีปแอตแลนติสได้แตกออกเป็น 5 เกาะ
    เกาะหลักสำคัญ3เกาะ คือ โพซิดา(Poseida),อารยันและ Og อีกสองเกาะที่เล็กกว่าคือ Atalya และ Eyre
    ซึ่งอยู่ภายใต้
    <WBR>การปกครองของอารยัน


    และในเวลาต่อมาหลังการแตกครั้
    งที่สองของทวีปแอตแลนติส
    กฎแห่งความเมตตากรุณาโดยจั
    <WBR>กรวรรดิ์ ก็ถูกส่งต่อไปยังสหภาพที่มี<WBR>
    อำนาจในการบริหารปกครอง
    การปกครองแต่ละเกาะนั้นถูกควบคุ
    <WBR>มโดยชนชั้นสูง
    ที่มีสองอุดมการณ์ความคิดที่
    <WBR>ตรงข้ามกัน คือ “ลอว์ ออฟ วัน” สำหรับหมู่เกาะย่อยของ โพซิดา
    และ ‘ซัน ออฟ เบลิเอล สำหรับหมู่เกาะย่อยของอารยัน


    เกาะของอารยัน มีจำนวนประชากรมากที่สุด และมีอิทธิพลทางการเมืองอยู่
    <WBR>เหนือ Og, Atalya และEyre.
    โพซีดา เป็นที่ที่มีระบบทางเข้าของ วอร์เท็กซ์ ที่มีพลังมากที่สุดในเวลานั้
    <WBR>นของแอตแลนติส
    ชาวโพซิด้า จะอยู่อาศัยรวมกันเป็นกลุ่มๆตาม วิหารแห่งการเยียวยา
    ,วิหารแห่
    <WBR>งเสียง,วิหารแห่งการชุบชีวิต และ วิหารแห่งความรู้
    บ้านของชาวโพซิด้า ส่วนใหญ่จะใช้เป็นศูนย์การเรี
    <WBR>ยนการสอนที่สำคัญในขั้นที่สูงขึ<WBR>
    ้นไป


    สถานที่เหล่านี้อยู่ที่ โพซิด้า เพราะว่า มันมีทำเลที่ตั้งที่ได้เปรี
    ยบภายในกริดที่โค้งรั<WBR>
    บไปตามแนวของโลก
    และใกล้ชิดกับพลังงานคลื่นแม่
    <WBR>เหล็กไฟฟ้าที่หมุนวนขึ้<WBR>นจากแกนกลางของโลกที่เป็<WBR>
    นประโยชน์
    ศักยภาพอันเหลือเชื่อของการผุ
    <WBR>ดพลุ่งของน้ำพุแห่งการเยียวยา ท<WBR>ีโพซิดาใกล้ๆกับวิหารแห่งการเยี<WBR>
    ยวยา
    ทำให้เป็นที่มาของเรื่องลึกลับ ‘น้ำพุแห่งความเยาว์วัย' ที่ถูกเล่าขานผ่านมาทางชนพื้
    <WBR>นเมืองของฟลอริด้า
    และมันก็ยังคงไหลลงสู่มหาสมุ
    <WBR>ทรใกล้ๆ หมู่เกาะ บิมิไน(Bimini)

    เผ่าพันธ์ที่สูงใหญ่ในยุ
    คทองของแอตแลนติส พวกเขาสืบเชื้อสายมาจากชาวเพลี<WBR>
    ยะเดี้ยน( Pleadean)
    อาศัยอยู่ใจกลาง โพซีดามีความสูงโดยเฉลี่ย10 ถึง 12 ฟุต เป็นเผ่าพันธ์มนุษย์ร่างยักษ์ที
    <WBR>่มีความนุ่มนวลอ่อนโยน
    พวกเขามีส่วนร่วมในวัฒนธรรมต่
    <WBR>างๆ งานศิลปะ และทำหน้าที่ให้การศึกษาซึ่งเป็<WBR>
    นหัวใจของชาวแอตแลนติส

    โพซีดา เป็นกองบัญชาการและระบบนิวเคลี
    ยร์ของโครงข่ายพลังงานคริสตัล
    และระบบอุโมงค์หลากมิติอีกด้วย ความล้ำหน้าที่สุดของความซับซ้
    <WBR>อนและสวยงามของคริสตัลอยู่ที่นี้<WBR>

    มันเป็นสิ่งก่อสร้างของชาวอาร์คทู
    <WBR>เรี่ยน และ ไซเรี่ยน ที่ประสมประสานประสานคริสตัล
    ด้วยการดูดซึมโลหะแพลทตินั่
    <WBR>มและทองคำมาผสมกัน

    [​IMG]

    วิหารอันโอ่อ่า นั้นถูกสร้างด้วยคริสตัล บ้างก็สร้างจากหินอ่อน,

    บ้างจากแผ่นคริสตัลของธาตุแบริลเรี่ยม,
    <WBR>ธาตุคอรันดัม
    (corundum...แร่อะลูมินั
    <WBR>มออกไซด์ซึ่งแข็งเป็นที่<WBR>สองรองจากเพชร
    เป็นแร่จากธรรมชาติหรือจากการสั
    <WBR>งเคราะห์...ผู้แปล) และเพชร

    โพซิด้า ยังเป็นเมืองหลวงของเกาะอีกด้<WBR>วยและถูกเรียกว่า เมืองมรกต(Emerald)
    ชาวแอตแลนติสนั้นเลอเลิศไปวิ<WBR>ทยาการของชาวอาร์คทูเรี่ยน ในความสามารถที่จะเพาะคริสตั<WBR>ลของทุกๆโครงสร้าง

    และสามารถใเร่งการเจริญเติ<WBR>บโตของชั้นผลึกคริสตัลที่อยูใต้<WBR>พื้นดินที่ อาร์คันซอส์, ทิเบต และ บราซิล ได้



    สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในอาณานิ
    คมแอตแลนติส ใช้ทางผ่านเข้าออกโดยระบบอุ<WBR>โมงค์หลากมิติทั่วทั้งแอตแลนติ<WBR>
    ข่ายพลังงานของคริสตัล ที่เกาะเกี่ยวกันเป็นรูปสามเหลี
    <WBR>่ยมและเชื่อมต่อกับแท่งโลหะ ทองสัมฤทธิ(gold-copper)
    ที่อยู่ใต้โดมทรงกลม ซึ่งทำมุมเพื่อที่จะรับคลื่นพลั
    <WBR>งงานแรงดึงดูด จากดวงดาวและแสงอาทิตย์ได้<WBR>
    โดยเฉพาะ
    ดาวเทียมคริสตัลขนาดใหญ่มาก ซึ่งหมายถึงดวงจันทร์ดวงที่
    <WBR>สองของชาวแอตแลนติส
    ที่ลอยอยู่เหนือท้องฟ้า เพื่อที่จะรับ ขยาย ขัดเกลา และสะท้อน พลังงานกลับไปสู่คริสตัลต่างๆ

    วิหารต่างๆอยู่ภายในโดมของแสงสว่างที่ถูกขยายจากพลั
    <WBR>งงานคริสตัล
    บางทีก็ดูเหมือนสนามพลังงานที่
    <WBR>แจ่มจ้า มันมีหลากสีและส่องแสงทั้งวันทั<WBR>
    ้งคืน

    [​IMG]


    เมืองใหญ่ๆในช่วงยุ
    คทองของแอตแลนติสต่างก็มีโดมพลั<WBR>งงานคริสตัลครอบอยู่เหนือเมื<WBR>
    องทั้งสิ้น
    หลังจากอุทกภัยครั้งที่สอง มีเพียงเมืองหลวงของชาวโพซิด้า
    ทีมีโดมพลังงานคริสตัลที่เต็
    <WBR>มกำลัง และมันส่องแสงสีเขียวมรกตอันน่<WBR>
    าพิศวง


    ก่อนการเกิดอุทกภัย ประมาณช่วง 17,500 BC เมืองใหญ่ๆที่สำคัญๆรวมทั้ง Meruvia,

    เมืองหลวงของชาวอารยัน ก็มี
    โดมพลังงานคอบอยู่เหนือปริมณฑล และ มีโดมหนึ่งส่องแสงสีแดงทับทิม

    [​IMG]


    ในยุคทองของอาณาจักรแอตแลนติส มีปิระมิดทั้งชนิด 3ด้านและ 4ด้าน

    ซึ่งขึ้นอยู่กับการใช้ประโยชน์ โดยทั่วไปสร้างจากหินอ่อน หินแกรนิต และ ส่วนผสมของคริสตัล


    ปิระมิด3ด้าน ใช้เพื่อเป็นเสาอากาศในการดึ
    งและขยายพลังงาน และป้อนพลังงานให้กับ ข่ายกริดที่ลึกลับ
    เพื่อให้พลังงานกับบ้านเรือน โรงงาน และ สร้างสนามพลังงานที่มีประโยชน์
    <WBR>ในหลายๆด้าน
    ดาวเทียมห์คริสตัล ถูกใช้เพื่อสะท้อนมุมคลื่นพลั
    <WBR>งงานของดวงดาว เข้าสู่กริดพลังงานสามเหลี่ยมนี<WBR>

    มีระบบกริดปิระมิดทรงสามเหลี่
    <WBR>ยมอยู่กว่า100 กริด มันถูกเซ็ทขึ้นให้อยู่ในรู<WBR>ปทรงสามเหลี่ยมที่มีจุดศูนย์<WBR>กลางร่วมกัน
    และมีอยู่ไปทั่วทั้งดาวเคราะห์


    พวกเขาสร้างระบบเครือข่ายคริสตัลเป็น
    กริดเป็นรูปครึ่งวงกลม
    และพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าก็
    <WBR>จะกระจายไป ตามพื้นที่ต่างๆของแอตแลนติส
    อเมริกา แอฟริกา แถบเมดิเตอร์เรเนี่ยน ยูโรป และอเมริกาใต้
    ไปสู่ศูนย์รวมของประชากรภูมิ
    <WBR>ภาคต่างๆ และยังทำหน้าที่ปรั<WBR>บสภาพอากาศและกระแสน้ำขึ้นน้<WBR>
    ำลง
    พื้นที่บริเวณแถบเทื
    <WBR>อกเขามองโกลเลียและทิเบต เป็นส่วนของระบบเหล่านี้
    ที่เชื่อมต่อกันโดยผ่านทางอุ
    <WBR>โมงค์เลย์หลากมิติอีกด้วย แต่กลุ่มที่ใหญ่ที่สุดอยู่ในภู<WBR>
    มิลำเนาของแอตแลนติส


    ปิระมิด 4 ด้าน มีความจำเป็นต่อระบบในวิหาร ถูกสร้างขึ้นให้เหมือนดาวจตุรมุ
    ข8มุมเต็มรูปแบบ
    ถูกใช้เพื่อการเยียวยา การเรียนการสอน,การฟื้นฟูร่
    <WBR>างกาย และ เป้าหมายทางจิตวิญญาณ
    มันไม่ได้เป็นทรงสามเหลี่ยม และโดยทั่วๆไปจะถูกตั้งไว้ที่
    <WBR>ตามแนวชายฝั่งทะเล
    เพื่อรับทั้งพลังงานฐานพิ
    <WBR>ภพและพลังงานจากเบื้องบน


    พื้นดินที่อยู่ใต้ระนาบศูนย์
    <WBR>กลางลึกลงไปจะพบปิรามิดที่อยู่<WBR>ด้านล่าง
    มันเป็นโครงสร้างของจตุรมุข 8 มุม ดังนั้นจึงเกิดการเชื่อมต่
    <WBR>อทางพลังงานทั้งจากทางด้<WBR>
    านบนและจากใต้ล่าง


    แนวคิดของ ของกลุ่ม “ลอว์ ออฟ วัน” ของโพซีดา คือ

    ประชาชนที่มีจิตวิญญาณศรั
    <WBR>ทธาและแสวงหาความเสมอภาค
    ท่ามกลางผู้คนและ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกั
    <WBR>บความเป็นหนึ่ง (Oneness)
    แม้ว่าวิวัฒนาการและคุณภาพชีวิ
    <WBR>ตส่วนใหญ่ ได้สิ้นสูญไปในช่วงก่<WBR>อนการแตกของทวีปแอตแลนติสทั้<WBR>
    งสองครั้ง
    (ครั้งแรกเมื่อ 58,000 BC, ครั้งที่สอง 17,500 BC) แต่เทคโนโลยี่ในระดับล้ำหน้
    <WBR>าเหล่านั้นก็ยังคงหลงเหลืออยู่
    แม้ความปรองดองในยุ
    <WBR>คทองของแอตแลนติสจะตกต่ำลง หลังการแตกแยกออกเป็นเกาะเล็<WBR>
    กเกาะใหญ่ เมื่อ 17,500 BC


    ขณะที่เกาะต่างๆก็เริ่
    มแยกการปกครองตนเอง ที่ก่อให้เกิดอุดมการณ์<WBR>ทางความคิดที่แตกต่างกันอย่<WBR>
    างมาก
    ในช่วงต้นๆที่สับสนวุ่นวาย และเป็นช่วงเวลาแห่งความยุ่
    <WBR>งยากในการสร้างเมืองใหม่หลั<WBR>
    งการแตกแยก

    ตอนที่ 4
    The Second Moon of Atlantis



    [​IMG]

    ‘ดวงจันทร์ดวงที่2ของแอตแลนติส' และ ข่ายพลังของคริสตัล และ การปล่อยพลังงานคริสตัล
    ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาล และถูกปรับวิธีการใช้
    เพื่อมาสนับสนุนความรู้ทางด้<WBR>านโปรแกรมพันธุศาสตร์<WBR>ของชาวอารยันแทน

    Atla-Ra สามารถที่จะประวิงเวลาไว้ได้<WBR>ในตอนต้นๆ แต่ก็ถูกสกัดกั้นไว้
    Atla-Ra รู้ได้ว่าจุดจบกำลังใกล้เข้ามา

    อย่างที่เราเคยกล่าวไว้ในตอนต้<WBR>นว่า ดวงจันทร์ดวงที่2ของแอตแลนติส
    อันที่จริงก็คือดาวเทียมคริสตั<WBR>ลขนาดมหึมา มันเป็นสิ่งก่อสร้างของชาวอาร์<WBR>คทูรัส
    และจัดการดูแลโดยเหล่าพระนักวิ<WBR>ทยาศาสตร์ ของ Law of One

    ดาวเทียมคริสตัลขนาดมหึมานี้ เป็นทรงกลมที่สุกใสขนาดใหญ่นี้<WBR>ไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่
    มันมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5 ไมล์
    มันถูกใช้มาตั้งแต่ ยุคทองของแอตแลนติส และมีจุดมุ่งหมายเพื่อคุ<WBR>ณประโยชน์อันมหาศาล
    มันทำหน้าที่ขยายและควบคุ<WBR>มการแผ่รังสีของคริสตัลต่างๆที่<WBR>ถูกส่งมาจาก การเยียวยาและผลึกพลังงาน

    มันเหมือนการทำงานของคอมพิวเตอร์ ในการหักเห,แบ่งแยก,คัดกรอง
    และ สะท้อนรังสีของพลังงานที่ใช้<WBR>ในการเกษตร การควบคุมสภาพอากาศ, ควบคุมระดับกระแสน้ำ,
    วิหารแห่งการเยียวยา ,วิหารแห่งการชุบชีวิต
    และ พลังงานของระบบเลย์ ที่กำเนิดมาจาก ระบบคริสตัลอันลึกลับ

    มันปรากฎอยู่รางๆบนท้องฟ้าเหนื<WBR>ออาณาจักรแอตแลนติส
    และเหมือนกับเป็น “ดวงจันทร์แห่งการเก็บเกี่ยวสี<WBR>ทอง”(golden ‘harvest'moon)
    มันมีแถบพลังงานสายรุ้<WBR>งของพลาสม่าต้านแรงโน้มถ่วงอั<WBR>นละลานตา
    ที่เคลื่อนไหลวนล้อมอยู่<WBR>รอบทรงกลม
    และมักจะปรากฎเป็นสิ่งซึ่งคุ<WBR>ณเรียกขานมันในตอนนี้ว่า แสงออโรร่า หรือ แสงเหนือ


    ดวงจันทร์คริสตัลนี้ไม่ได้ยู่<WBR>ในวงโคจรของโลก มันเคลื่อนที่เหมือนถูกตั้<WBR>งโปรแกรมไว้,
    มีทิศทางเป็นของตนเอง,เปลี่<WBR>ยนตำแหน่งอย่างสม่ำเสมอ
    เพื่อปฎิบัติภาระกิจอั<WBR>นมากมายอยู่ เหนือแอตแลนติส, แอฟริกาและ ชายฝั่งทะเลด้านตะวั<WBR>นออกของบราซิล

    หลังจากที่การควบคุมระบบกริดคริ<WBR>สตัลอย่างถูกกฎหมาย ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรั<WBR>ฐบาลกลาง
    กลุ่มเบลิเลล ก็รวบรวมวิ<WBR>ทยาการของพวกเขาเองเข้าสู่กลุ่<WBR>มวิศวกรรม
    ค่อยๆนำเทคนิคของพวกเขาเข้<WBR>าแทนที่ในตำแหน่งสำคัญๆ
    Atla-Ra พยายามที่จะขัดขวางการตั้<WBR>งโปรแกรมดาวเทียมใหม่เพื่อใช้<WBR>ในการสงคราม

    โดยให้เหตุผลว่า หากดวงจันทร์เกิดโอเวอร์โหลดขึ้<WBR>
    จะทำให้สนามพลังงานต้านแรงโน้<WBR>มถ่วงนั้นลดลงจนหมดพลังงาน
    และ การระเบิดอย่างภัยพิบัติจะเกิ<WBR>ดขึ้น

    นักวิทยาศาสตร์ของอารยัน โต้แย้งข้อกล่าวอ้างนั้น
    กลุ่มของAtla-Ra บางคนถูกข่มขู่และถูกให้ย้<WBR>ายออกไป ต่อมาคนอื่นๆก็เริ่มหายตัวไปอย่<WBR>างลึกลับ
    ชาวโพซิดันหลายๆคน ถูกคุกคามอย่างไร้ทางสู้

    ในขณะที่รัฐบาลกลาง ยินยอมให้ใช้ดาวเทียมเพื่อเป็<WBR>นยุทโธปกรณ์
    และแน่นอนมันจึงถูกตั้<WBR>งโปรแกรมการทำงานขึ้นมาใหม่
    นักวิทยาศาสตร์ของเบลิเอล ที่ได้รับการรับรองจากรัฐบาลให้<WBR>ตั้งโปรแกรมการบายพาสระบบขึ้<WBR>นใหม่
    และเริ่มที่จะส่<WBR>งลำแสงการทำลายล้าง ที่ในเบื้องต้นจะเกิดการระเบิ<WBR>ดของภูเขาไฟ
    และแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ กับเหล่าอาณานิคม และเมืองที่ต่อต้านความต้<WBR>องการของพวกเขา
    พื้นที่เป้าหมายเหล่านี้ คือในบริเวณที่ในปัจจุบันนี้เรี<WBR>ยกว่า ประเทศกรีก และตุรกี
    และเป็นสาเหตุให้เกิดความเสี<WBR>ยหายครั้งใหญ่
    มันทำให้พวกอารยันที่กระตือรื<WBR>อร้นในการทำสงคราม และได้รับผลประโยชน์จาการสู้รบ
    พวกเขาจึงตัดสินใจอย่างบ้าคลั่ง และพวกเขาก็ยินดีที่จะใช้มันให้<WBR>มากขึ้นไปอีก
    ด้วยการสนับสนุนจากประชาชนส่<WBR>วนใหญ่

    [FONT=Tahoma, sans-serif]จุดเริ่มต้นของการล่มสลาย[/FONT]


    [FONT=Tahoma, sans-serif]ดวงจันทร์คริสตัลถูกใช้งานหนั[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]<WBR>กจนทำให้สนามพลังงานต้านแรงโน้<WBR>มถ่วงอ่อนแรงลง[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]จนกระทั่งมันไม่สามารถลอยตัวอยู่[/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif]<WBR>ได้ Atla-Ra เข้าใจได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอี<WBR>กไม่ช้าเมื่อระบบพังทะลาย [/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]แต่รัฐบาลก็ไม่ได้สนใจคำร้[/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif]<WBR>องใดๆเลย[/FONT]


    [FONT=Tahoma, sans-serif]ภายในปีนั้นเอง ดาวเทียมเริ่มเปลี่ยนทิศทางเป็[/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif]นพักๆ และพลังงานเริ่มปิดตัวลง [/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]การพยายามที่จะแก้ปัญหาอย่างไม่[/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif]<WBR>รู้จักเหน็ดเหนื่อยของ Atla-Ra ไม่สัมฤทธิผล [/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]รัฐบาลส่วนใหญ่ปฎิเสธ บางคนที่ตกลงก็พยายามที่จะทำให้[/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif]<WBR>ดาวเทียมมีเสถียรภาพมากขึ้น[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]โดยพยายามที่จะป้องกันหายนะที่[/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif]<WBR>กำลังจะเกิดขึ้น ความพยายามทั้งหมดล้มเหลวไม่เป้<WBR>นท่า [/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]รัฐบาลปฎิเสธคำแนะนำให้[/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif]<WBR>เผาดาวเทียมให้เป็นจุล [/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]หากรัฐบาลยอมเชื่อในเรื่[/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif]<WBR>องการระเบิดของมัน อย่างน้อยผลที่เกิดตามมาก็จะไม่<WBR>เป็นอย่างที่เห็นนี้[/FONT]
    ตอนที่ 5

    Poseidaและ the Atla-Ra


    กฎระเบียบขั้นสูงสุด และ นิกายที่พัฒนาของนักบวชที่<WBR>
    เป็นนักวิทยาศาสตร์
    เป็นผู้ทรงภูมิทรงภูมิปัญญาและเชี่
    <WBR>ยวชาญ

    ในการจัดการข่ายกริดพลังงานคริสตัล Atla-Raในระดับสำคัญๆส่วนใหญ่<WBR>เป็นเผ่าพันธ์ทองคำที่มีร่างสู<WBR>งใหญ่

    แต่ก็มีสมาชิกที่มาจากชนผิวสี <WBR>
    แทน, ชนผิวขาว, ชาวเลมูเรี่ยน ชนผิวเข้ม และเผ่าพันธ์เซเตียน(Cetean)

    ในเวลานั้นยังมีสิ่งมีชีวิตเช่น ปลาโลมาที่เดินด้วย 2เท้าและหายใจทางอากาศได้

    นิกายพระนักวิทยาศาสตร์ หมายถึง Atla- Ra Atla-Ra ยังคงรักษามาตรฐานที่สูงส่งแห่<WBR>งจิตสำนึกไว้ได้
    และ สามารถสั่นสะเทือนไปยังความถี่ <WBR>ที่ที่สูงมากๆของจิตสำนึกได้อี<WBR>กด้วย

    ณ ระดับที่เหนือกว่าระดับของแสงสว่างและพลังงานในมิติที่<WBR>12 ที่ยังคงความบริสุทธิ์อยู่มากๆ
    และสะท้อนรับกับแนวคอนเซบต์แท้<WBR>ๆของ ความเป็นหนึ่ง(‘Oneness') แห่งพระผู้สร้าง/พระเจ้า(Creato<WBR>
    r/God)

    พวกเขาดำรงฐานะในการติดต่อสื่
    <WBR>อสารทางโทรจิต กับพี่น้องร่วมอวกาศ
    ชาว เพลียะเดี้ยน, อาร์คทูรัส อันโดรเมดา และ ซิริอุส ที่อยู่ในมิติที่สูงกว่าขึ้นไป
    พระ Atla-Ra เป็นที่เคารพบูชาและ มีธรรมเนียมปฎิบัติแยกออกไป

    ซึ่งอยู่เหนือและไม่ขึ้นอยู่กั <WBR>บการควบคุมจากรัฐบาล
    ดังนั้นจึงสามารถเก็บรั<WBR>กษาความรู้และเป็นผู้ก่<WBR>อการในระดับอาวุโส
    ของวิทยาการในระบบคริสตัล ที่ทรงภูมิปัญญาอย่างมากมาย
    และเป็นเสมือนหัตถ์แห่<WBR>งความเมตตากรุณาของนิกาย

    เหล่าช่างเทคนิคและวิศวกรคริสตั<WBR>ลบางคน จะมาจากประชาชนชาวโพซิดัน
    รวมไปถึง ผู้ที่ไม่ได้อยู่ในนิกาย Atla-Ra
    พระนักวิทยาศาสตร์แห่ง Atla-Ra มีทั้งเพศหญิงทั้งเพศชาย
    และมีความสามารถในการยืดช่<WBR>วงอายุออกไปได้

    ทั้งโดยผ่านวิธีการเกิดใหม่ <WBR>โดยใช้พลังจิตและ
    โดยใช้วิทยาการที่เหมือนกันใน วิหารแห่งการชุบชีวิต(Temple of Rejuvenation)
    หลายๆคนมีชีวิตอยู่หลายชาติ
    <WBR>ภพในร่างเดิมถึง 6,000 ปี บางคนอาจถึง 12,000 ปี!

    นี่คือวิทยาการของการเก็บรักษาผ่านนิกายอันศักดิ์สิทธิ์นี้
    บุคคลที่หลักแหลมที่เคยอยู่ท่<WBR>ามกลางสิ่งเหล่านี้ ที่คุณรู้จักก็มี
    กาลิเลโอ,เซอรฺไอแซค นิวตัน,ไอน์สไตน์, นิโคล่า เทสล่า, เอดิสัน,
    มาร์เซล โวกเกิล, รอนน่า เฮอร์แมน และ ดาวินชี่

    ไทเบอรอน และ โอเนอโรน เป็นส่วนของกลุ่มพระนักวิ <WBR>ทยาศาสตร์เหล่านี้ ผู้ที่เคยมีชีวิตอยู่ในชาติภพที่<WBR>ยาวนานเหล่านั้น<!-- google_ad_section_end -->


    ตอนที่ 6

    อารยันและ ระบบอุสาหกรรม



    อารยัน เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่และมี<WBR>จำนวนประชากรมากที่สุด
    อารยันเป็นศูนย์กลางที่มีอิทธิ <WBR>พลทางด้านการค้า, เศรษฐกิจ, การเกษตร และเป็นอนาคตทางกองทัพ

    หลังอุทกภัยครั้งที่2 อารยันกลับถูกควบคุมโดย ชนผิวขาวชั้นหัวกะทิ
    ทั้งในด้านเศรษฐกิจ กองกำลังทหาร และการปกครองภายในเกาะ
    แม้ว่าผู้นำในระดับสำคัญๆจะยั <WBR>งคงเป็นเผ่าพันธ์ชาวผิวสีชาวอารยันได้ติดสินบน
    ชนชั้นสูงที่มีการปกครองโดยพลั <WBR>งจิต เพื่อหาโอกาสจะปิดกั้น กลุ่ม ‘ลอว์ ออฟ วัน'
    และหาผลประโยชน์จากวิ <WBR>ทยาการของแอตแลนติส เพื่อควบคุมโลก
    โดยนำพลังงานคริสตัลมาเพื่อใช้ <WBR>เป็นอาวุธ และใช้วิทยพันธุศาสตร์

    สำหรับการพัฒนาและเก็บรักษาเผ่<WBR>าพันธ์ที่ด้อยกว่า เพื่อใช้เป็<WBR>นแรงงานทาสและการทหาร
    วิศวกรรมพันธุศาสตร์ที่มีพื้<WBR>นฐานมาจากชาว Meruvia, บนเกาะอารยัน
    แต่ดั้งแต่เดิมมันถูกใช้ไปในวั <WBR>ตถุประสงค์เพื่อความเมตตากรุณา
    เพื่อแสวงหาวิธีปรับปรุ<WBR>งยานพาหนะของกายเนื้อที่<WBR>พวกเขาเลือกมาถือกำเนิด
    ที่กลายพันธ์เป็นสิ่งที่ชั่วร้<WBR>ายในร่างคน

    กระบวนการและการพัฒนางานทางพันธุศาสตร์ บนเกาะอารยัน
    และนำมาใช้ในการเอาส่วนเกินต่<WBR>างๆออกไป เช่น, กรงเล็บ,ขน
    และผิวหนังและเกล็ดที่เหมือนสั<WBR>
    ตว์เลื้อยคลาน ในวิหารแห่งการชำระล้าง(Temple of Purification)

    ซึ่งเป็นบางส่วนของ ศูนย์การแพทย์ชนิดพิเศษ อีกครั้งที่เราขอเน้นความสำคั
    <WBR>ญที่ว่า
    ระหว่างยุคทองของแอตแลนติส คุณประโยชน์ของมันเพื่อความเมตตากรุณาจริงๆ
    ความล้ำหน้าทางพันธุศาสตร์ที่อั <WBR>นน่าเกรงขาม ทำให้เกิดความเข้าใจที่ยิ่งใหญ่<WBR>ในการโคลนนิ่ง

    และการปรับข้อจำกัดทางกายภาพ สำหรับการมาที่ดีขึ้นด้วยความรับผิดชอบ คุณประโยชน์ในด้านจริยธรรม.
    ในช่วงเวลาแห่งความโกลาหลวุ่<WBR>นวายของการสร้างเมืองใหม่ ภายหลัง 17,500 BC

    อำนาจควบคุมต่างๆกลับตกเป็<WBR>นของพวกกลุมเบลิเลล วิศวกรรมพันธุศาสตร์จึงเริ่มเข้<WBR>าสู่จุดจบแห่งด้านมืด
    การสร้างเผ่าพันธ์เพื่อการรั <WBR>บใช้เยี่ยงทาส เผ่าพันธ์ผสมของมนุษย์ครึ่<WBR>งคนครึ่งสัตว์
    ถูกควบคุม อารมณ์ความรู้สึก ระดับเชาน์ปัญญา ด้วยวิธีทางพันธุศาสตร์

    เหมือนกับที่พวกนาซีแห่งเยอรมั<WBR>นขนฝูงชนไปเพื่อพัฒนา ‘เผ่าพันธ์ให้บริสุทธิ์’
    ข้อเท็จจริงทางด้านงานวิจั<WBR>ยและการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์พั<WBR>นธุกรรมหลายอย่าง
    ที่ถูกเก็บรักษาไว้ในตอนต้นอย่<WBR>างเป็นความลับ ได้ถูกนำมาใช้
    จนกระทั่งมันกลายเป็นสิ่งสำคั <WBR>ญมากเกินกว่าที่พวกเขาจะหยุดยั้<WBR>งได้

    ซึ่งพวกคุณบางคนยังคงรู้สึกถึ <WBR>งความผิดอันใหญ่หลวงนี้และผลลั<WBR>พท์ของมันได้ในตอนนี้

    ต่อมาภายหลังเกิ <WBR>ดโรงงานโคลนทาสขึ้น เพื่อใช้ทำงานเพิ่มผลผลิตต่<WBR>างๆให้มากขึ้นเท่าที่พวกเขาต้<WBR>องการ
    และให้ผลกำไรอย่างงดงามให้กับพวกชนชั้นสูงชาวอารยัน
    ครั้งหนึ่งมันได้มีการเปิดเผยขึ้<WBR>น และชาวอารยันชั้นสูงก็อ้างว่า

    เป็นการผลิตแรงงานสัตว์ มนุษย์กลายพันธ์และมนุษย์ <WBR>โคลนเหล่านี้ก็กลับกลายเป็นสิ่<WBR>งอำนวยความสะดวกที่ไม่ใช่มนุษย์<WBR>อีกต่อไป
    เชาวน์ปัญญากลายเป็นพันธุกรรมที่<WBR>ด้อยค่าลงและสนามพลั<WBR>งงานของอารมณ์ความรู้สึกถูกตั<WBR>ดขาด
    สิ่งนี้เป็นสาเหตุทำให้เกิ <WBR>ดการแตกแยกทางด้านศิ<WBR>ลธรรมขนานใหญ่

    และแม้แต่พวกชนชั้นกลางของชาวอารยันเอง ก็ยังปิดหูปิดตาและยอมรับว่ามั<WBR>นเป็นเรื่องธรรมดา

    ตอนที่ 7

    Law of One และ Sons of Belial


    การใช้ประโยชน์จากวิศวพันธุ<WBR>ศาสตร์ในทางนี้ นำไปสู่การแตกร้าวที่ยิ่งใหญ่<WBR>ระหว่าง
    กลุ่มลอว์ออฟวัน และ กลุ่มบุตรแห่งเบลิเอล ซึ่งต่อมาในภายหลัง
    ความทะยานยากในวัตถุนิยมของเครื่<WBR>องจักรอุตสาหกรรม
    ที่ทำให้พวกเขาสูญเสียการรู้เห็<WBR>นทางด้านจิตวิญญาณไป มนุษย์กลายพันธ์ถูกสร้างขึ้<WBR>นมาอีกเป็นร้อยเป็นพัน
    เพื่อให้ทำงาน และสัตว์ประหลาดเหล่านี้ถูกควบคุมจิตเพื่อให้เป็นเหมือนหุ<WBR>่นยนต์ที่คอยทำตามคำสั่ง
    และมีชีวิคขึ้นอยู่กับ‘เหล่าเจ้<WBR>านายทั้งหลาย'ของพวกเขา

    มนุษย์เหล่านี้จึงถูกกักขังจิตวิญญาณไว้ในร่างโคลนที่เรียกว่<WBR>า ‘สิ่งของ' หรือ 'สิ่งอื่นๆ' ด้วยการผ่าตัดสมอง
    (genetic lobotomies…การผ่าตัดสมองเพื่<WBR>อปรับปรุงพฤติกรรมหรือรั<WBR>กษาอาการทางจิต
    โดยใช้แท่งเหล็กตอกเข้<WBR>าไปในกะโหลกศีรษะผ่านทางใต้เบ้<WBR>าตา !!!...ผู้แปล)

    ถูกล้างสมอง เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ และทางอารมณ์ หลายๆคนถูกขังอยู่ในความชั่วร้
    <WBR>าย
    หรือ ร่างไร้เพศที่ไม่มีสมอง และยังคงแบกรับความเจ็บปวดอันน่าสยดสยองในครั้งนั้น
    ของการถูกคุมขังอยู่ในร่างกายที่<WBR>ไม่สามารถพัฒนาจิตวิญญาณหรื<WBR>อแสดงออกทางอารมณ์ได้

    สองกลุ่มอุดมการณ์นี้ ยังคงควบคุมและเป็นตัวแทนอยู่<WBR>เบื้องหลังการบริ<WBR>หารการปกครองอยู่หลายพันปี<WBR>
    ในสถานการณ์ที่อับจนหนทางนี้ ชาวโพซีดันซึ่งเป็นพวกที่ไม่<WBR>ชอบเข้าสังคม และมีธรรมชาติอันอ่อนโยน
    พยายามที่จะต่อสู้กับพวกอารยัน พยายามที่จะอบรมพวกเขา
    และชักนำทางจิตวิญญาณ เพื่อให้พวกอารยัน เปลียนวิธีการของพวกเขา

    ชาวอารยันมีจำนวนประชากรมากกว่<WBR>าชาวโพซีดัน ถึง 3 ต่อ 1 แต่ก็ไม่กล้าที่จะโจมตีโพซิดา
    เพราะเกรงว่าพวกเขาจะปิดพลั<WBR>งงานคริสตัลที่ ให้พลังงานกับเมืองอยู่

    เมืองอารยันเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ<WBR>และศูนย์กลางทางอุตสาหกรรมที่<WBR>จำเป็น
    และดังนั้นการแบ่<WBR>งแยกเกาะออกไปทั้ง5เกาะ ด้วยเครื่องจักรอุ<WBR>ตสาหกรรมและการผลิตขนาดใหญ่
    จึงจำเป็นต้องอาศัย วิศวพันธุศาสตร์แรงงานทาส

    ขณะที่สถานีพลังงานคริสตัล ก็มีตั้งอยู่ในทุกเกาะ ตลอดจนในเหล่าอาณานิคมส่วนใหญ่
    ชาวโพซิดันแห่งกลุ่ม ลอร์ออฟวัน และ Atla-Ra เป็นผู้มีความชำนาญในการขับเคลื่อนระบบ
    ดังนั้น การปิดระบบ จากตรวจสอบที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจและ
    การคงความสมดุลไว้ได้มาอีก 5000 ปีหลังจากการแตกแยกครั้งที่2 จึงยุติลง

    ด้วยเหตุนี้ คุณจึงเห็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้<WBR>น ที่ทำให้เกิดความตกต่ำขึ้นในยุ<WBR>คทองของแอตแลนติส
    ที่ยังคงมีอยู่จาก 30,000 BC ถึง 17,500 BC.
    ดังนั้นเมื่อตอนที่เกิ<WBR>ดการแตกแยกออกเป็นเกาะต่างๆขึ้<WBR>นเมื่อ 17,500 BC
    มันจึงเกิดการเร่งความเร็<WBR>วในการหมุนวนที่ตกต่ำลง

    จากช่วงนั้นมาประมาณ 16,000 BC เกิดการปะทุขึ้นของสงครามอย่<WBR>างทันทีทันใดระหว่าง
    กองทัพแอตแลนติสที่ควบคุ<WBR>มโดยชาวอารยัน กับ เหล่าอาณานิคมแรกๆของแอตแลนติส
    ที่ตั้งอยู่ในแถบทะเลเมดิเตอร์<WBR>เรเนียน ที่ได้ตัดความสัมพันธ์
    และ ตั้งการปกครองตนเองอย่างเป็นอิ<WBR>สระ

    เหล่าอาณานิคมนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาวกรีก และ ตุรกี ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของเมื <WBR>องแอตแลนติสเมืองใหม่
    ที่มีแต่กองทัพที่เผด็จการและถู<WBR>กควบคุมโดยชาวอารยัน
    แม้ว่าอารยันจะมีกองทัพที่ได้<WBR>เปรียบกว่า แต่กลุ่มชาวเมดิเตอร์เรเนี่ยนก็ไม่ได้ยอมจำนน
    และสงครามในเหล่าอาณานิคม จึงแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว
    ด้วยว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่มี<WBR>ใครสามารถที่จะใช้<WBR>อำนาจครอบครองอีกฝ่ายได้

    ชาวอารยันจึงจะแสวงหาผลประโยชน์<WBR>จากการใช้พลังงานคริสตัลเพื่<WBR>อจะสยบข้าศึก
    สิ่งนี้ได้รับการปฎิเสธอย่างแข็<WBR>งขันจาก Atla-Ra และ กลุมของ “ลอว์ ออฟ วัน” ของชาวเมืองโพซีดา

    ในความพยายามอันไร้ผลหลายครั้ <WBR>งหลายหน ที่ชาวอารยันพยายามที่จะคุ<WBR>กคามชาวโพซีดัน
    และในแต่ละครั้<WBR>งของการทะเลาะเบาะแว้ง ชาวโพซีดัน ก็จะตอบโต้และแก้เผ็ดชาวอารยั<WBR>นด้วยการด้วยการปิดพลังงาน
    และชาวอารยันก็จะตอบสนองด้<WBR>วยการงดส่งผลผลิตอาหารและสินค้า หนทางที่แสนจะบีบคั้นจึงบังเกิ<WBR>ดขึ้น

    คณะสภาแห่งการทำงานร่วมกันแห่งแอตแลนติส

    โครงการหลอกลวงขนานใหญ่ <WBR>จากแผนการปลอมๆ ของชาวอารยัน
    สำหรับแนวคิ<WBR>ดการรวมกัน อารยันได้วางแผนเข้<WBR>าไปทาบทามชาวโพซีดัน
    ด้วยการสร้างรูปแบบใหม่<WBR>ของสภาแห่งชาติที่เคยมี<WBR>การทำงานที่แตกต่างกัน
    และจะนำความปรองดองมาสู่<WBR>แอตแลนติส

    โดยการให้ส่งตัวแทนจาก กลุมของ”ลอว์ ออฟ วัน” และตัวแทนจาก
    “ซัน ออฟ เบลิเอล”
    คณะกรรมาธิการถูกจัดตั้งขึ้<WBR>นใหม่ด้วยการมีสมาชิกที่มาจากทั้<WBR>งสองกลุ่มเป็นจำนวนเท่าๆกัน
    และทำข้อตกลงกันว่าจะสร้างให้<WBR>เกิดความสามัคคีให้มากขึ้น
    ข้อตกลงนี้ปรากฎอยู่หลายทศวรรษ ชาวโพซีดันร่วมให้การสนับสนุ<WBR>นและ ลดการอารักขาของพวกเขาลง
    แต่สำหรับ Atla-Ra ยังคงเฝ้าระมัดระวังอยู่ และรู้สึกถึงความไม่น่าไว้วางใจ

    ในตอนแรกสภาแห่งชาติ เปลี่ยนแปลงและปรับปรุ<WBR>งกฎหมายหลายอย่าง
    ที่จะก่อให้เกิดความเป็นองค์รวม ทั้งยังประเด็นหลักๆที่ตรงข้<WBR>ามกัน
    แต่การจัดการทาสพันธุกรรม และ เรื่องพลังงานคริสตัล ยังคงไม่มีการตกลงใจ
    แต่อย่างไรก็ตาม

    ผู้นำของกลุ่ม ซัน ออฟ เบเลเลล นั้นมีพรสวรรค์ในการสะกดจิต
    เขาได้เกลี้ยกล่อมฝู<WBR>งชนชาวแอตแลนติสให้เชื่อว่<WBR>
    พวกเขาสามารถทำให้ยุ<WBR>คทองของแอตแลนติสกลับมารุ่งเรื<WBR>องได้อีกครั้ง
    ผู้นำของกลุ่มนี้ก็คือจิตวิ<WBR>ญญาณในร่างมนุษย์ที่คุณรู้จักกั<WBR>นดี ว่า ฮิตเลอร์ และ Himmler
    ผู้นำสูงสุดของนาซี<WBR>ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ของคุณ

    มีการจัดตั้งกองกำลังทางทหารขนาดใหญ่ และมีการชักชวนทางการเมื<WBR>อง
    และการจัดตั้งกองกำลังอย่างลั<WBR>บๆ

    มนุษยกลายพันธ์ลูกผสมถูกใช้เพื่<WBR>อคุกคามผู้ที่เป็นปฎิปักษ์ต่<WBR>อชาวอารยันและOg
    ดังนั้นโอกาสของพวกเขาจึงมาถึง

    กลุ่ม อารยัน ผู้มีอำนาจเข้าควบคุมจัดการและดูแลสื่อ
    พวกเขาแสร้งแสดงแนวคิดดีๆที่<WBR>ปราศจากข้อขัดแย้ง
    อันเป็นหน้ากากปิดบังเจตนาที่<WBR>แท้จริงของพวกเขา และทำสัญญาร่วมกัน
    โฆษณาชวนเชื่อซึ่งดูเผินๆเหมื<WBR>อนค่อนข้างจะเป็นไปได้
    และให้ความมั่นใจกับหลายๆคน
    และบางคนจากกลุมของ”ลอว์ ออฟ วัน” ก็หวังให้เกิดความสามัคคีขึ้น

    ในสิ่งที่ปรากฏขึ้นจะเป็นโอกาสสำ<WBR>หรับการแก้ปัญหาที่ดี
    มีร่างกฎหมายหนึ่งที่มีจุ<WBR>ดประสงค์เพื่อนำวิศวกรรมพันธุ<WBR>ศาสตร์
    ที่ก่อนหน้านี้ถูกควบคุมโดย สหภาพของกลุ่มของอารยัน
    และในทางกลับกันนำระบบคริสตัลที่<WBR>ลึกลับ ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของหน่<WBR>วยงานของรัฐบาลออกมา

    ด้วยจำนวนบุคคลากรที่เท่ากันทั้<WBR>ง2ฝ่าย
    Atla -Ra ยังคงดำรงตำแหน่งเดิม แต่ไม่ได้รัยการยกเว้นจากรั<WBR>ฐบาลอีกต่อไป
    จึงเกิดการถกเถียงที่รุนแรงขึ้<WBR>นภายใต้กองกำลังรักษาความปลอดภั<WBR>ยแห่งชาติ
    การลงคะแนนตกลงกันได้ ในขณะที ชาวโพซีดัน ถือเสียงเท่ากันในสภา<!-- google_ad_section_end -->


    ตอนที่ 8

    การทรยศหักหลัง

    ในที่สุดร่างกฎหมายก็ผ่าน จากความเชื่อที่ว่าตัวแทนรั<WBR>ฐบาลใหม่
    สำหรับระบบพลังงานคริ
    <WBR>สตัลจะมีผู้นำที่มาจากบุ<WBR>คลากรในคณะกรรมการ
    ที่มาจากโพซีดัน 5 ตำแหน่ง และจากชาวอารยัน 4 ตำแหน่ง
    และไม่มีอะไรที่สามารถจะมาเปลี่
    <WBR>ยนแปลงได้ โดยปราศจากกฎหลักๆของคณะกรรมการ

    ข้อเท็จจริงที่ว่า กลุ่มของ “ลอว์ ออฟ วัน” เคยรับหน้าที่ในการควบคุมสำคั
    <WBR>ญๆที่เด่นชัด
    มันจึงดูเหมือนเป็นสัญญาที่
    <WBR>ทำเพื่อประชาชนของโพซีดาจริงๆ
    มีการยินยอมให้วิศวกรจากทั้
    <WBR>งสองพรรค ที่อยู่นอกกลุ่ม Atla-Ra เข้ารับการ โปรแกรมฝึกฝนได้

    ทั้งๆที่ Atla-Ra เฝ้าระมัดระวังอย่างดีแล้ว ในตอนแรกๆระบบการทำงานมีท่าทีที
    <WBR>่นำไปสู่ความสมานสามัคคีขึ้น

    2-3 ปีต่อมา สงครามในคาบสมุทรเมดิเตอร์เรเนี
    <WBR>่ยน กลับปะทุเพิ่มมากขึ้นมาอีก
    มีการกดดันให้ใช้รังสีคริสตัล เพื่อเป็นอาวุธสงคราม
    ภายใต้หน้ากากของคณะความมั่
    <WBR>นคงแห่งชาติ
    การถกเถียง โต้แย้ง และลงคะแนนถูกกำหนดเพื่อคณะรั<WBR>ฐบาล
    หน่วยรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ได้ถูกชักชวนจากความรู้สึกที่ผิ
    <WBR>ดๆ
    ของการกวาดล้างเพื่อบ้านเมือง จากกลุ่มผู้รักชาติ


    จากนั้น ความหลอกลวงก็เริ่มปรากฎ สร้างความตกตะลึงพรึงเพริ
    <WBR>ดและความเสียใจครั้งใหญ่ให้กั<WBR>บชาว โพซีดัน

    หนึ่งในสมาชิกกลุ่ม “ลอว์ ออฟ วัน” และไม่ได้เป็นทั้ง Atla-Ra
    และเผ่าพันธ์ทองคำที่เป็นสมาชิ
    <WBR>กในคณะกรรมาธิการเกิดการย้ายข้<WBR>าง
    เขาถูกยกย่องให้เป็นผู้
    <WBR>นำทางการเมือง เขาเป็นผู้นำที่มีความสามารถ, ผู้เจรจาต่อรองที่น่าเชื่อถือ,
    ผู้ที่ปฎิณญาณตนเพื่อความจงรั
    <WBR>กภักดีต่อ กลุ่ม “ลอว์ ออฟ วัน”
    และได้รับความไว้วางใจอย่างเต็
    <WBR>มเปี่ยม

    เขาถูกเกลี้ยกล่อมจากชาวอารยัน และตกเป็นเหยื่
    <WBR>อเพราะความทะเยอทะยานของเขาเอง

    หลังจากนั้น บุคคลผู้นี้เกิดสำนึกผิดขึ้
    <WBR>นมาอย่างใหญ่หลวง
    และใช้ชีวิตในอีกหลายชาติภพ เพื่อพยายามที่จะแก้ไขความผิด
    อันที่จริงแล้วเขาไม่ได้รู้ล่
    <WBR>วงหน้าถึงจุดจบแห่งภัยพิบัติเลย
    จึงทำให้ยินยอมอย่างตาบอด ไปกับพันธสัญญาแห่งอำนาจ & ความยิ่งใหญ่


    ที่รักทั้งหลาย เหตุการณ์เช่นนี้คือ ภาพลวงตาของอำนาจ คุณเข้าใจไหม?
    เมื่อผู้ใดได้รับอำนาจมันมั
    <WBR>กจะเห็นถูกเป็นผิดจากการล่<WBR>อลวงของอัตตาตัวตน
    ที่สุดบนถนนของความเป็นผู้มี
    <WBR>อำนาจเหนือตนเอง จะต้องตัดสินใจเลือกระหว่าง อำนาจและความรัก

    แม้แต่คนที่คุณเรียกว่า ฮิตเลอร์ ที่คิดว่าเผ่าพันธ์แห่งอำนาจ จะสามารถสร้างอนาคตที่ดีขึ้นให้
    <WBR>กับโลกได้
    กับแนวคิดในการแปลงร่างเป็นเผ่
    <WBR>าพันธ์เดียวในที่สุด
    ที่ทุกคนจะสามารถกลั
    <WBR>บมาเกิดใหม่ในเผ่าพันธ์ที่<WBR>ทรงอำนาจ, ลดโรคร้าย,
    และกำจัดเผ่าพันธ์ที่แตกต่
    <WBR>างออกไปโดยการมีเผ่าพันธ์เพี<WBR>ยงหนึ่งเดียว

    แม้แต่ผู้ที่คุณเรียกว่า Judas ในคัมภีร์ไบเบิ้ล กับแนวคิดที่วาง Jesua ben Josef
    ไว้กับการกักกัน เขาถูกบังคับให้ใช้พลังอำนาจอั
    <WBR>นศักดิ์สิทธิ์ของเขา เพื่อที่จะแสดงให้เห็นถึง
    ความมีอำนาจเหนือตนเองของเขาต่
    <WBR>อชาวโลก!

    อันที่จริงความขัดแย้งก็คือ
    สิ่งซึ่งคุณจำกัดความมันว่า ‘อำนาจ' นั่นเอง

    และมันมักจะเป็นขั้วที่ตรงข้
    <WBR>ามกับความรัก
    คุณเห็นหรือไม่ว่าอั
    <WBR>ตตาและอำนาจสามารถหลอกลวงเราได้<WBR>อย่างไร?
    คุณเห็นไหม?


    แอตแลนติสหลังจากนั้นก็เกิ
    <WBR>ดการรวมกันเป็นหนึ่งจริงๆ
    แต่แท้ที่จริงแล้วมันคือความสั
    <WBR>บสน และการทรยศที่ทำให้เกิ<WBR>ดการทำลายล้าง
    และจริงๆมันเป็นการหันเหอนาคตทั้
    <WBR>งหมดจากความปรองดองที่น่าจะเป็<WBR>นไปได้
    เข้าไปสู่ความมืดมิด & จุดจบที่หายนะ แทน


    ดังนั้นเพื่อให้ถูกกฎหมาย ระบบและโครงข่ายพลังงานคริสตัล และ ข่ายกริด
    ก็ตกอยู่ใต้อำนาจของคณะรัฐบาลซึ
    <WBR>่งอยู่ภายใต้การควบคุมของ กลุ่ม “ซัน ออฟ เบลิเอล” อีกที<!-- google_ad_section_end -->

    ตอนที่ 9

    การเคลื่อนย้ายผลึกคริสตัล


    ไทเบอรอน และ โอเบอโรน ได้รวบรวมกลุ่มผู้ที่จงรักภักดี<WBR>ต่อ Atla-Ra
    และกลุ่มของ “ลอว์ ออฟ วัน” กันเป็นการภายใน
    ในการวางแผนเพื่อตัดวงจร & เคลื่อนย้ายเครื่องยิงและพลั<WBR>งงานคริสตัลไปสู่ที่ๆปลอดภัยก่<WBR>อนที่ดาวเทียมจะระเบิ
    โดยได้รับความช่วยเหลือและวิทยา<WBR>การจากชาว ซิริอุส B.

    การเคลื่อนย้ายผลึกคริสตัลสำคัญ<WBR>ๆเหล่านี้ นั้นเสี่ยงมาก
    และต้องใช้แผนการที่รอบคอบเป็นอ<WBR>ย่างยิ่ง ลับสุดยอด และมันจะต้องทำก่อนที่ดวงจันทร์<WBR>จะระเบิด

    แอตแลนติส มีผลีกคริสตัลทรงพลังที่อยู่ตาม<WBR>เกาะต่างๆทั้ง5 อยู่เป็นจำนวนมาก
    และตามเส้นทางที่สืบทอดพิเศษในร<WBR>ะบบเขาวงกตใต้ดิน
    Atla-ra รู้ว่า หากมีการปรับเมนบอร๋ดของดวงจันท<WBR>ร์คริสตัล และหากเกิดการผันแปรขึ้นมาสักครั้<WBR>งหนึ่งแล้ว
    ดวงจันทร์คริสตัลจะสูญเสียสนามพ<WBR>ลังงานต้านแรงโน้มถ่วง มันจะทำให้เกิดการระเบิดขนานใหญ่<WBR>อย่างรุนแรง
    และจะทำให้เกิดควันที่ทำลายอย่า<WBR>งรุนแรงตามมาภายหลัง จากพลังงานของผลึกคริสตัลหลักแล<WBR>ะรองที่อยู่ข้างล่าง
    ก่อให้เกิดการระเบิดแบบนิวเคลีย<WBR>ร์ขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง ภายในไม่กี่สัปดาห์

    พวกเขาต้องการแน่ใจว่า คริสตัลหลักจะไม่ถูกนำไปใช้ในทา<WBR>งที่ผิดอีกต่อไป
    และเพื่อความปลอดภัย เมื่อถึงเวลาที่มนุษยชาติสามารถ<WBR>ที่จะใช้มันได้ตามปรารถนา
    มันจะยังไม่สามารถถูกเคลื่อนย้า<WBR>ยไปไหนได้หลังจากที่ระบบได้พังท<WBR>ะลายลง

    **ผลีกคริสตัลหลักๆ 7 ผลึก และ 2ผลึกคริสตัลรอง ถูกย้ายออกไป
    ผ่านระบบขนส่งขนาดใหญ่ทางอุโมงค์<WBR>ใต้ดิน
    ที่ได้รับการช่วยเหลื<WBR>อจากชาวดาวซิริอุสบี(Sirius B.)

    3 ผลึกคริสตัลหลัก ถูกย้ายออกไปอยู่ที่สนามพลังงาน<WBR>คริสตัลของแอตแลนติส
    ในมลรัฐอาคันซอ

    **2 ผลึกคริสตัลหลัก ถูกย้ายออกไปอยู่ที่ฟาร์มคริสตั<WBR>ลใต้ดินบริเวณรัฐบาเยีย(Bahia)
    และรัฐมีนัสเชไรส์ (Mineas Gerais)ในประเทศบราซิล

    **ผลึกคริสตัลหลักอีก1 ถูกย้ายออกไปอยู่ที่เหวใต้ภูขาแ<WBR>ชสต้า
    และ ผลึกคริสตัลไฟร์ที่ใหญ่สุดอยู่ที่<WBR>ใต้ทะเล (Sargasso)
    ลึกลงไปใต้หมู่เกาะบิ<WBR>มิไน(Bimini) ในบาฮามาส

    **ผลึกคริสตัลรอง 2ผลึก จากเกาะของชาว OG ถูกย้ายออกไปอยู่
    ในช่องว่างใต้ดินของเมืองเทียฮั<WBR>วนาโคในโบลิเวีย
    ใกล้ๆกับทะเลสาบ ติติกากา

    ทั้งหมดถูกล็อคไว้ในมิติและถูกค<WBR>วบคุมให้หยุดส่งพลังงานชั่วคราว<WBR>ด้วยวิทยาการของชาวไซเรียน
    ส่วนที่หลงเหลืออยู่ คือประวัติศาสตร์ที่ได้ลืมเลือน<WBR>ความเจ็บปวด จากมุมมองหลักๆของพวกคุณ
    ความรู้สึกจริงๆของคนทั่วๆไป การเหน็บแนมถากถาง, มันไม่ได้เต็มไปด้วยเป้าหมายที่<WBR>สำคัญของบทเรียนเหล่านี้หรือ!

    ผลจากการโอเวอร์โหลด จึงเกิดการระเบิดของดวงจันทร์ และตามมาด้วยการแผ่ของรังสีมรณะ
    หลังจากนั้น 2-3 เดือน แรงต้านแรงโน้มถ่วงจะอ่อนกำลังล<WBR>ง
    และมันจะถูกชนด้วยดาวหางขนาดใหญ่<WBR>ที่มีความเร็วสูง

    การระเบิดที่น่ากลัวได้ทำลายล้า<WBR>งชาวOGส่วนใหญ่
    ดาวเคราะห์คริสตัลอันมหึมานี้ ได้แตกกระจัดกระจายออกเป็นเสี่ย<WBR>งๆ
    ที่ปัจจุบันยังคงหลงเหลือซากอยู่<WBR>ตามร่องน้ำลึกในมหาสมุทรแอตแลน<WBR>ติก

    กลุ่มหมอกควันที่หนาทึบได้บดบัง<WBR>แสงอาทิตย์ไว้สิ้น เกิดการทำลายล้างจากคลื่นยักษ์ใ<WBR>ต้ทะเล
    ทำให้เกาะของอารยันจมหายไป2ใน3ส่<WBR>วน สถานีพลังงานที่ยังเหลืออยู่จะร<WBR>ะเบิดออกภายในไม่กี่นาที
    ด้วยแรงระเบิดนิวเคลียร์ สิ่งหนึ่งที่ยังคงหลงเหลือยู่จา<WBR>กการระเบิดของสถานีพลังงานคริสตั<WBR>ล
    ที่ยังคงสามารถเห็นได้ในทุกวันนี้<WBR>คือที่บริเวณทางตอนเหนือของ ประเทศบราซิลที่เรียกกันว่า ทะเลสาบ ‘Sete Cidades'.

    แอตแลนติส และชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกและต<WBR>ะวันตกของแอฟริกา
    ถูกทำลายล้างด้วยแผ่นดินไหวที่ต<WBR>ามมาภายหลัง
    ความตื่นตระหนกและความเสียหายจะ<WBR>คงเกิดตามหลังต่อมาอีก3สัปดาห์
    ยังผลให้เกิด การสั่นส่ายของแผ่นดินและ แผ่นดินต่างๆจะเริ่มยุบตัวลงสู่<WBR>ทะเล
    พื้นดินที่เชื่อมต่อโพซิดา กับ Og ไปถึง แหลมยูคาตัน(Yucatan) ในช่วงแรกๆที่ยังคงอยู่เหนือน้ำ
    และเต็มไปด้วยผู้ที่พยายามจะหลบ<WBR>หนีอย่างชุลมุนนับหมื่นๆ เรือเดินทะเลทุกชนิดเต็มไปด้วยผู้<WBR>หลบหนีจากมหันตภัย

    จากนั้นพื้นดินก็เริ่มยุบตัวลงสู่<WBR>ท้องทะเล
    มันเป็นฉาก ของภัยพิบัติในหลายต่อหลายชาติภ<WBR>พ
    และเป็นความทรงจำที่มืดมนสำหรับ<WBR>พวกคุณหลายๆคน ที่เป็นส่วนหนึ่งของมัน
    ที่รักทั้งหลายมันถึงเวลาที่ต้อ<WBR>งปล่อยมันไปได้แล่ว

    ตอนที่ 10

    [FONT=Tahoma, sans-serif]Intent & Highest Good[/FONT]


    [FONT=Tahoma, sans-serif]พวกคุณหลายๆคนเชื่อว่าทุกๆสิ่งเ<WBR>กิดขึ้นอย่างที่มันควรจะเป็น [/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]อย่างที่มันหมายความว่ามันเป็น ที่รักทั้งหลาย นั่นมันไม่ใช่รูปการณ์. [/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]สิ่งต่างๆเกิดขึ้นอย่างที่มั[/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif]นเกิ<WBR>ด จากชุดของหลายๆความเป็นไปได้ [/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]และอันที่จริงจากเหตุการณ์ในมุ[/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif]ม<WBR>องที่สูงขึ้น เกิดขึ้นเพราะมันถูกเจตนาให้เกิ<WBR>ด [/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]และเราขอเน้น คำว่า เจตนา พวกคุณคือผู้สร้างเหตุการณ์ของ ขอบเขตเหตุการณ์ของคุณเอง [/FONT]


    [FONT=Tahoma, sans-serif]แต่...ที่รักทั้งหลาย เหตุการณ์ต่างๆจะไม่เกิดคุ[/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif]ณงามความดีสูงสุดขึ้น [/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]จนกว่าคุณจะสร้าง คุณงามความดีที่สูงที่สุด เสียก่อน [/FONT]


    [FONT=Tahoma, sans-serif]การล่มสลายของอาณาจักรแอตแลนติส ไม่ใช่คุณงามความดีสูงสุด [/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]และมันจะไม่เป็นจนกว่าคุณจะสร้[/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif]างมันขึ้นมาใหม่ ให้เป็นแบบนั้น[/FONT]

    [FONT=Tahoma, sans-serif]ถ้าทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างที่มั[/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif]นค<WBR>วรจะเกิด คุณจะไม่ต้องกลับมาเกิดใหม่ในโร<WBR>งเรียนภาพสามมิติแห่งชีวิตนี้[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]‘reality' คุณจะสามารถวงจรชีวิตของคุ[/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif]ณและว<WBR>งจรมันใหม่ได้อีก จนกว่าคุณจะเรียนรู้สิ่งนี้ [/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]คุณเข้าใจหรือไม่ ที่รักทั้งหลาย? [/FONT]


    [FONT=Tahoma, sans-serif]เวลาและความเป็นไปได้ คือ ความขัดแย้งที่ผิดปกติของมายาที[/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif] สวยงาม[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]....และนี่คือ เหตุผลที่ทำไมเราจึงบอกพวกคุณว่[/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif]<WBR>า [/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]แท้จริงแล้ว ยุคทองของแอตแลนติส... [/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]คือ ขอบเขตของเหตุการณ์หนึ่[/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif]งจากอนาค<WBR>ตของคุณที่คุณดึงมันลงมาสู่ ‘สิ่งที่ดูเหมือน’เป็นอดีต! [/FONT]

    http://palungjit.org/threads/ข้อควา...่ของมนุษยชาติ-ไปสู่มิติที่-5-a.246190/page-31
    <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    ตอนที่ 11

    The Crystals of Arkansas


    [​IMG]

    12500 ปี ให้หลัง อาณานิคมของแอตแลนติสที่ตอนนี้<WBR>คือ รัฐอาร์คันซอส์

    มีเหตุผลหลายประการที่รัฐอาร์คันซอส์ ถูกเลือกเป็นพิเศษให้เป็นที่เก็
    บ ผลึกคริสตัลหลัก

    1) มันเป็นดินแดนที่พร้อม เพราะ อาคันซอส์เมีเหมืองคริสตั
    <WBR>ลและเป็นดินแดนที่มีผลิตผล
    เหมือนกับเหตุผลที่ว่ามันเป็น 1 ในอุโมงค์หลากมิติที่สำคัญๆที่
    <WBR>เคยถูกสร้างขึ้นไว้แล้ว
    เพื่อใช้ในการขนย้ายสำคั
    <WBR>ญๆจากโพซีดามาที่นี่ ชาวแอตแลนติส มีความก้าวหน้าทางวิทยาการ
    ที่สามารถจะเร่งกระบวนการเจริ
    <WBR>ญเติบโตของผลึกคริสตัล
    และที่คงมีอยู่ก่อนแล้วในโพรงลึ
    กๆ ที่การทำเหมืองแร่ยังเข้าไม่ถึง

    2) vortex ที่อยู่ในรัฐอาคันซอส์ ถูกเข้าใจว่า มันจะมีบทบาทสำคัญ

    สำหรับการยกระดับของดาวเคราะห์
    <WBR>โลกในปี 2012

    3) เอกลักษณ์ในทางธรณีวิทยาในรั
    <WBR>ฐอาคันซอส์ ในความสมบูรณ์ของผลึกควอชท์,
    เพชร, แร่แม่เหล็ก, แร่เหล็ก, หินปูน, และถ้ำขนาดใหญ่ที่เหมาะสำหรั
    <WBR>บเป็นฟาร์มที่สมบูรณ์ของผลึกคริ<WBR>สตัล
    ธาตุคริสตัลเกิดขึ้นและงอกงามใน รัฐอารคันซอร์ มาเมื่อหลายพันปีก่อนที่จะเกิ
    ดอุทกภัยเสียอีก

    คุณสมบัติพิเศษของธาตุโลหะที่
    <WBR>อยู่ในชั้นหินต่างๆในผลึกคริสตั<WBR>ล มีสภาพเป็นแม่เหล็ก
    จึงทำให้การควบคุมให้ผลึกคริสตั
    ลของชาวแอตแลนติส เข้าสู่ภาวะหยุดทำงานชั่<WBR>วคราวได้ง่ายขึ้น

    4) เผ่าพันธุ์ ชนเลมูเรียนผิวสีฟ้า ที่ยังคงอาศัยอยู่ใต้ดินในรั
    <WBR>ฐอาคันซอส์
    และที่นั่นก็เป็นฐานใต้ดิ
    <WBR>นของชาวซีเรียนอีกด้วย ทั้งสองเผ่าพันธ์ต่างตกลงกัน
    เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลเหล่
    <WBR>าคริสตัลที่ยังคงสงบนิ่งอยู่
    ปัจจุบันนี้ ผลึกคริสตัลทั้ง3ที่อยู่ที่รั
    <WBR>ฐอาคันซอส์ ได้ถูกปรับจูนระบบ รวมไปถึง

    ผลึกคริสตัลแห่งคุรุ ทั้ง5 ที่ยังคงอยู่ ในบราซิล, ภูเขาแชสต้า, หมู่เกาะบิมิไน,

    และ อีก2 ผลึกคริสตัลของแอคทูเรียน ที่อยู่ใต้ทะเลสาบติติกากา


    สิ่ง
    ที่พิเศษเหล่านี้ถูกใช้เพื่อ การเยียวยา,ภูมิปัญญา,พลังงาน และ คริสตัลแห่งการเคลื่อนย้าย ใน

    วิหารแห่งการเยียวยา (Temple of Healing)
    วิหารแห่งแสงและเสียง ,(The Temple of Sound and Light),
    วิหารแห่งความรู้ (The Temple of Knowledge), วิหารแห่งความเป็นหนึ่ง,

    วิหารแห่งโธท์ (The Temple of Thoth) ,
    วิหารทับทิมแห่งเพลิง (The Ruby Temple of Fire)

    และ วิหารแห่งการชุบชีวิต (Temple of Regeneration)


    ผลึกคริสตัลทั้งหลาย ถูกจัดวางอย่างเป็นกรณีพิเศษอยู่
    ในพื้นที่ที่มีความสำคัญอย่<WBR>างยิ่งยวด
    สำหรับการอุบัติขึ้นของโลกใหม่
    <WBR>แห่งการยกระดับในปี 2012
    พิ้นที่ต่างๆเหล่านี้ ทำให้การเข้าถึงยังระบบอุโมงค์
    <WBR>ค์หลากมิติแห่งแอตแลนติส ได้ง่ายดายขึ้น

    มันได้ถูกกำหนดและจัดวางตามนี้
    <WBR>ไว้แล้ว<!-- google_ad_section_end -->
    ตอนที่ 12

    Arkansas :


    1.ผลึกคริสตัลสีฟ้าแห่งความรู้ (Blue Crystal of Knowledge) (Interface)
    8-8-8(8/Aug/08)

    2.ผลึกคริสตัลสีเขียวมรกตแห่
    <WBR>งการเยียวยา (Emerald Crystal of Healing)
    9-9-9(9/Sep/09)


    3.ผลึกคริสตัลแพลตทินั่มแห่
    <WBR>งการติดต่อสื่อสาร(Platinum Crystal of Communication)
    การเชื่อมต่อกับชีวิตทั้งมวลที่เกี่ยวข้องกัน(Bio Plasmic Interface)
    11-11-11(11/Nov/11)


    Bimini Bank:

    1. ผลึกคริสตัลไฟร์สีแดงทับทิมแห่
    <WBR>งการปล่อยพลังงาน
    (The Ruby Fire Crystal of Energy)
    12-12-12 (12/Dec/12)

    Brazil:

    1.ผลึกคริสตัลสีทองแห่งการฟื้
    <WBR>นฟูการเยียวยา(Gold Crystal of Healing Regeneration)
    9-9-9(9/Sep/09)

    2. ผลึกคริสตัลสีม่วงแห่งคลื่นเสี
    <WBR>ยง(Violet Crystal of Sound )
    10-10-10 (10/Oct/10)


    Mount Shasta:


    1.ผลึกคริสตัลแห่งการประสานมิติ(The Crystal of Multidimensional Interface)
    9-9-9(9/Sep/09)


    Tiajuanaco-Lake Titicaca, Bolivia:

    1. ผลึกคริสตัลสุริยัน-จันทราแห่
    <WBR>งแสง(Sun-Moon Crystal of Light)
    9-9-9(9/Sep/09)

    2. ผลึกคริสตัลแห่งโธท์(Crystal of Thoth)
    12-12-12 (12/Dec/12)

    ในปี 2008, ผลึกคริสตัลสีฟ้าแห่งภูมิปั
    ญญาและความรู้ (Blue Crystal of Wisdom and Knowledge)

    ที่จะกลับมาใน ครีษมายัน(summer solstice..เป็นการที่ดวงอาทิตย์ โคจรไปถึงจุดหยุด (solstice)
    คือ จุดสุดทางเหนือในราววันที่ 21 มิถุนายน เป็นจุดในหน้าร้อน มีกลางวันยาวนานกว่า กลางคืน)

    มันจะถูกปลุกให้มีพลังงานเกิด
    ขึ้นครึ่งระบบ
    ในรหัส 8-8-8, วันที่ 8 เดือน 8(สิงหาคม)

    ปี 2008 จะเป็นการเริ่มการทำงานของกริ
    ดคริสตัลทั้ง144 กริด ให้เข้าสู่ระบบ ¾ ส่วนของการทำงาน

    และปรับจูนให้ผลึกคริสตัลสีฟ้
    าแห่งความรู้ เกิดพลังงานเกิดขึ้นมาครึ่งระบบ
    มันจะไปสับสวิทซ์โปรแกรมการจั
    <WBR>ดลำดับเวลาสำหรับการตื่นขึ้<WBR>
    นของผลึกคริสตัลอื่นๆ
    แต่ละผลึกจะไปเปิดประตูมิติ ใน วัน เดือนและปี ทั้งสาม(8-8-8)

    ในแต่ละผลึกจะเชื่อมโยงกั
    <WBR>บการเปิดใช้งานของผลึกที่ 4 ที่ยังอยู่ใน 12 เหลี่ยมมุมของ144 กริด
    ดาวเพนตา-โดเดกาฮีรอน (double penta-dodecahedron…ผลึกมีหกด้
    <WBR>านสิบสองหน้า
    ลักษณะผิวหน้าเป็นรูปห้าเหลี่ยม จุดยอดมุม 20 มุม เส้นขอบ 30 เส้นทรง)

    [​IMG]


    ตอนที่ 13

    การเปิดพลังงาน & การติดตั้งโปรแกรมใหม่


    ไม่มีผลึกใดจะมีพลังงานเต็มที่ ก่อนปี 2012 นอกจากผลึกคริสตัลสีฟ้าแห่<WBR>
    งความรู้,
    ผลึกคริสตัลสีเขียวมรกตแห่
    งการเยียวยา และ ผลึกคริสตัลสุริยัน-จันทรา
    จะมีพลังเต็มที่ ในปี 2012 ผลึกอื่นๆงจะต้องใช้เวลานานกว่
    <WBR>านั้น

    พวกเขาจะถูกปลุก และจากนั้นก็จะเริ่มกระบวนการรี
    <WBR>บูทเครื่องใหม่ตามมาด้<WBR>วยการดาวน์โหลดใหม่ และตั้งโปรแกรมไหม่
    การตั้งโปรแกรมไหม่นี้ จะเกิดขึ้นเฉพาะกับผลึกคริสตั
    <WBR>ลไฟร์ที่บิมิไน( Bimini fire crystal)

    และจะยังทำงานไม่เต็มประสิทธิ
    <WBR>ภาพ จนถึงปี 2020.
    พลังงานของพวกเขาจะเชื่อมโยงเป็
    <WBR>นเครือข่ายกับคลื่นความถี่คริ<WBR>
    สตัลควันตัมของการยกระดับ
    และเชื่อมต่อไปยังรูปแบบพลั
    <WBR>งงานของ Golden Sun Disc
    พูดได้ว่า มันเป็นตัวแทนพิมพ์เขียวแบบใหม่
    <WBR>ของ DNA

    อ่านข้อมูล DNA เพิ่มตามนี้ค่ะ
    http://palungjit.org/threads/%E0%B8...ml#post3733605

    สำหรับ 144 กริด เป็นผลที่เกิดร่วมกันของการตื่
    <WBR>นขึ้นของคริสตัล,
    144 กริด ที่สมบูรณ์ และ ความสมบูรณ์ของ 12 เกลียวคู่(helix)
    ของ โกลเดน ซันดิสค์(Golden Sun Disc)
    ก็จะเตรียมพร้อมให้โลกเข้าสู่
    <WBR>การยกระดับ และเป็นดาวเคราะห์ของสนามพลั<WBR>งงานคริสตัลดวงใหม่

    การสัมผัสถึงพลังงานจากคริสตั
    <WBR>ลเหล่านี้ ในเบื้องต้นจะต้องมีความตั้<WBR>
    งใจจริงที่จะรับรู้
    มันละเอียดเบาบางมากทีเดียว อีกทั้งจะไม่สามารถมองเห็นพลั
    <WBR>งที่ละเอียดเบาบางเหล่านี้ได้ทั<WBR>นทีที่ไปใส่ใจมัน
    (รับรู้ได้เพียงความรู้สึก การหยั่งรู้ หากตั้งใจจดจ่อ มันจะหายไป...ผู้แปล)

    ผลของมันจะให้ความรู้สึกถึงสุ
    <WBR>ขภาพที่ดีขึ้น, โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในวอร์เท็<WBR>กซ์ของอาคันซอส์,
    ทะเลสาบติติกากา และ บาเยีย ในบราซิล

    ย่างก้าวแรก เป็นตัวแทนแห่งภูมิปัญญา
    และย่างก้าวที่สองจะเป็นการเยี
    <WBR>ยวยาทางพลังทิพย์ของแอตแลนติส,
    และ การเชื่อมต่อไปยังยุคใหม่สีทอง

    มันจะเกิดเป็น รูปทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนสี
    ทอง(golden rhombus)
    ระหว่าง บราซิล,ทะเลสาบติติกากา,อาคั
    <WBR>นซอส์ และภูเขาแชสต้า
    และในปี 2020 มันจะกลายเป็นดาวห้าแฉก
    ที่เป็นรูปแบบของเครือข่
    ายของโลก กับ จุดแห่งความเป็นอนันต์ที่ไม่<WBR>
    จำกัดทั้งหมด บนดาวเคราะห์โลก
    การตื่นขึ้นของพลังงานจากผลึ
    <WBR>กคริสตัลต่างๆกำลังเริ่มต้นขึ้<WBR>
    นที่ อาคันซอส์

    จะเปิดประตู สำหรับการเปิดกว้างของมิติที่
    แสดงให้เห็นถึงการกลับมาของพี่
    <WBR>น้องแห่งดวงดาว การกลับมาเป็นการใช้คำที่ผิด
    อันที่จริงแล้วพวกเขาไม่
    <WBR>เคยจากไปไหนเลย<!-- google_ad_section_end -->
    [/COLOR]

    ตอนที่ 14
    ปิดท้าย


    คริสตัลของแอตแลนติส เปิดประตูความเป็นทิพย์ ที่เป็นทางเข้าของมิติ
    ที่จะยอมให้มนุษย์ในฐานะสิ่งมีชี
    วิตจากคาร์บอนเบสต์
    เพื่อเชื่อมต่อกับความเป็นอยู่
    <WBR>ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกัน (bio-plasmic life)
    เหล่าคุรุทั้งหลาย คุณต้องเข้าใจว่าคุณอยู่ทั้
    <WBR>งภายในมิติคู่ขนานทั้ง2ที่<WBR>หลากมิติ
    มันเป็นเรื่องจริง!


    ประตูจะเปิดออกในปี 2008 ในวอร์เท็กซ์คริสตัลที่อาคั
    นซอส์
    และพวกคุณผู้เชื่อมต่อกับผลึกคริสตัลสีฟ้าได้

    จะสามารถพบกับหลากหลายมิติของคุ
    <WBR>ณเอง
    มันช่างน่าสนุกสนานเสียจริง และในเวลานี้มันก็ค่อนข้างง่
    <WBR>ายดายจริงๆ

    ที่รักทั้งหลาย ภายในพลังงานที่อยู่ ภายใต้วอร์เท็กซ์ของอาคันซอส์
    การนอนเนื่องของพลังงานคริสตั
    <WBR>ลนั้น มันเหมือนกับการที่คุณมี<WBR>ประสบการณ์ที่คุณยังไม่เคยพานพบ
    มาตั้งแต่ในยุคทองของแอตแลนติส เมื่อ20,000 ปีมาแล้ว

    ภายใต้ความถี่คริสตัลควอนตัม สามารถเยียวยาคุณได้ในสิ่งที่
    <WBR>ควรจะต้องถูกเยียวยา
    ภายใต้พลังงานที่กำลังถูกยกขึ้
    นนี้ คุณจะสามารถเชื่อมต่อกับพลังชีวิ<WBR>ตของคริสตัลที่มีชีวิตชีวาได้
    ที่จะช่วยให้สนามพลังงานเมอร์
    คะบะของคุณขยายออก เข้าสู่ความศักดิ์สิทธิ์แห่<WBR>งโลกหลากมิติ

    เพื่อเข้าสู่ ความศักดิ์สิทธิ์ในตัวคุณเอง! มันเป็นความจริง, ที่รักทั้งหลาย,
    และเวลานั้น นั่นก็คือ เวลานี้ นี่เอง

    เหล่าคุรุทั้งหลาย,มันเป็นจุดสิ
    ้นสุดของการเริ่มต้น!
    นักฝันได้ตื่นขึ้น!

    ข้าพเจ้าคือ เมตราตรอน, และคุณ...คือ ผู้อันเป็นที่รักอย่างสุดซึ้ง!


    ...และ มันเป็นดังนั้น
    <!-- google_ad_section_end -->


    http://palungjit.org/.2/ข้อความจากต...่ของมนุษยชาติ-ไปสู่มิติที่-5-a.246190/page-32<!-- google_ad_section_end -->
     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    ตำนานดาวนิบิรุมาเยือนโลกเมื่อครั้งอดีตกาล...

    (เป็นเรื่องของตำนาน ท่านผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาน)

    [​IMG]

    [​IMG]

    เมื่อกาลครั้งหนึ่งในอดีตประมาณ 500,000 ปี ล่วงมาแล้ว โลกของเราหรืออีกนามหนึ่ง"เทียมัต" เป็นสถานที่ที่ต่างจากปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง ชื่อเทียมัตนี้เป็นชื่อดั้งเดิม ส่วนคำว่าโลกหรือไกอาเป็นชื่อที่เพิ่งใช้เมื่อเร็วๆ นี้

    เมื่อ 500,000 ปีก่อนเทียมัตไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่อยู่ในปัจจุบันนี้ วงโคจรของมันอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์คือ ณ ตำแหน่งระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี ส่วนดาวอังคารนั้นจะโคจรรอบดวงอาทิตย์ในระยะที่ใกล้กว่าปัจจุบันนี้ซึ่งทำให้ดาวอังคารเหมาะที่จะใช้อยู่อาศัยได้เพราะมีอุณหภูมิพอเหมาะและมีน้ำในรูปของของเหลว ข้อมูลเหล่านี้ได้รับการยืนยันจากทางนาซาและนักวิทยาศาสตร์ ยกเว้นก็แต่เรื่องวงโคจรที่แตกต่างจากปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะกลุ่มนักวิทยาศาสตร์โดยทั่วไปไม่ยอมรับเรื่องการวิวัฒนาการโดยสิ่งกระตุ้น

    ในช่วงนั้นเทียมัตอยู่ใกล้กับดาวซิริอุส (หรือโซทิสตามที่ชาวอียิปต์โบราณเรียกขาน) ระบบสุริยะและระบบดาวซิริอุสนั้นมีความเกี่ยวโยงกันทางด้านแรงโน้มถ่วงซึ่งข้อเท็จจริงเรื่องนี้เริ่มได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในแวดวงวิทยาศาสตร์ ระบบซิริแอนนี้จะโคจรรอบดาวฤกษ์อคลีออนในกระจุกดาวลูกไก่ (พีลอาดีส) หรือที่จะเรียกขานว่าเขตพีลอาดีส พื้นที่อันกว้างใหญ่นี้จะโคจรรอบศูนย์กลางกาแลกซี่ในทิศทางของกลุ่มดาวคนยิงธนู (Sagittarius) ในรอบระยะประมาณ 200 ล้านปี และรอบการโคจรของระบบซิริแอนและเขตพีลอาดีสจะมาบรจจบอยู่ในแนวเดียวกับศูนย์กลางกาแลกซี่ในวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555 (ค.ศ.2012) โปรดเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งเหนือความคาดหมาย!!!

    วกกลับมาคุยถึงเรื่องประวัติของนิบิรุ และ เทียมัต โลกของเราในช่วงนั้นมีสภาวะอากาศที่หนาวเย็นกว่าปัจจุบันมาก ประชากรมนุษย์ในยุคนั้นตามที่นักโบราณคดีเรียกคือมนุษย์นีแอนเดอทัลจะมีขนดกหนาและสันทัด ล่ำสันกว่าพวกเราในปัจจุบัน พวกเขาล้วนอาศัยอยู่ในโพรงถ้ำเพื่ออาศัยประโยชน์จากความอบอุ่นจากพื้นพิภพ เหล่าชาวพิภพแห่งเทียมัตนี้สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษจากพีลอาดีสซึ่งข้อเท็จจริงนี้สามารถยืนยันได้จากตำนานและนิทานปรัมปราของหลายชนชาติ เช่นชาวมายาและชาวโพลีนิเชีย แต่ในที่นี้จะขอเว้นที่กล่าวถึงจุดกำเนิดของชาวพีลอาดีสบนเทียมัตไว้ก่อน

    เมื่อ 500,000 ปีก่อนระบบสุริยะนั้นมีเสถียรภาพแต่เนื่องด้วยเหตุเหนือความคาดหมาย ดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ดวงหนึ่งในระบบดาวซิริแอนได้เกิดพลัดออกนอกแนวทางโคจรและมุ่งเข้าสู่ระบบสุริยะ ซึ่งดาวเคราะห์นี้ได้ถูกจับไว้เป็นบริวารของระบบสุริยะโดยที่มีวงโคจรที่รีคล้ายวงโคจรของดาวหางซึ่งมีคาบการโคจรหนึ่งรอบในเวลา 3,600 ปี และมีระยะห่างจากดวงอาทิตย์ที่สุดในบริเวณกลุ่มเฆมออร์ด โดยที่คาดกันว่าดาวเคราะห์ดวงนี้มีขนาดประมาณดาวเนปจูน ประชากรบนดาวนี้จะมีลักษณะคล้ายสัตว์เลื้อยคลานที่ปกครองโดยชนชั้นปกครองที่เรียกว่า “เนฟิลิม” (ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถหาอ่านได้จากพระคริสต์ธรรมคำภีร์) ประชาชนทั่วไปจะเป็นที่รู้จักกันในนาม “อนูนากิ” (Anunaki ตามที่เรียกขานโดยชาวสุเมเรียน) หรือ”อนาคิม” (ในพระคัมภีร์เก่า) ในช่วงนั้นผู้ปกครองสูงสุดคือจักรพรรดิ์ อลาลู และจักรพรรดินี ลิลิตู

    ภายหลังที่ถูกจับเป็นบริวารโดยดวงอาทิตย์ดาวเคราะห์นิบิรุได้เริ่มประสบกับภาวะสภาพอากาศที่ไม่เหมาะกับการอยู่อาศัย สภาผู้ปกครองทั้งสิบสองนำโดยจักรพรรดิ์อลาลูได้มีการประชุมฉุกเฉินและได้สรุปถึงวิธีป้องกันเพื่อความอยู่รอดของดาวเคราะห์โดยการสร้างโล่ห์ความร้อนที่ทำขึ้นมาจากทองเพื่อปกป้องชั้นบรรยากาศจากการสูญเสียความร้อนซึ่งจะเป็นผลร้ายต่อสิ่งมีชีวิตแบบสัตว์เลื้อยคลานที่ต้องขึ้นกับแหล่งความร้อนภายนอกเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย พวกเขาได้เริ่มทำการสำรวจระบบสุริยะใหม่นี้ทันที กองยานอวกาศได้ถูกส่งไปยังดาวเคราะห์ต่างๆ รวมทั้งเทียมัตเพื่อค้นหาทอง

    ผู้บังคับการมกุฏราชกุมาร อนู พร้อมทั้งราชโอรสทั้งสอง เอนกิ และ เอนลิล และราชธิดา นินคูซัคได้ร่อนลงในบริเวณที่ปัจจุบันคืออ่าวเปอร์เซียและย่างเท้าบนฝั่งในดินแดนที่ปัจจุบันคือประเทศคูเวต ในที่สุดก็ได้ก่อตั้งท่าจอดยานอวกาศในบริเวณเมโสโปเตเมียในตำแหน่งที่มีตำนานว่าเป็นสวนอีเดน โดยความช่วยเหลือชาวพื้นเมืองเทียมัตพวกเขาได้พบกับขุมทองบนเทียมัตและสามารถนำทองนี้เป็นสร้างเป็นโลห์กักความร้อนได้สำเร็จ อย่างไรก็ดีโลห์นี้มีความจำเป็นต้องได้รับการดูแลบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ นี้จึงเป็นเหตุที่ต้องมีชาวอนูนากิประจำอยู่บนเทียมัตเพื่อทำหน้าที่ขุดทองและส่งทองกลับไปยังนิบิรุอย่างสม่ำเสมอ
    ครั้งนึงอันแสนเนิ่นนานมาแล้วในช่วงที่นิบิรุโคจรรอบบดวงอาทิตย์มีอยู่ครั้งหนึ่งประมาณราวๆ 26,000 ปีของเทียมัตนิบิรุได้โคจรเฉียดเข้าใกล้เทียมัตมากจนก่ออันตรายร้ายแรง หนึ่งในดวงจันทร์บริวารได้พุ่งชนเข้ากับเทียมัตทำให้เกิดมหาสมุทรแปซิฟิค และได้ทำให้ทวีปเลอมูเกิดการเปลี่ยนแปลง

    ลักษณะของประชากรนิริบุจะมีความสูงในราว 10 – 20 ฟุต (3 – 6 เมตร) มีผมดกหลายสี แต่ขนตามตัวจะมีน้อยมากเพศผู้จะมีหนวดเคราบ้าง และส่วนมากจะมีเขาคล้ายเขาแพะบนศีรษะ ส่วนเพศหญิงส่วนมากจะมีปีก พวกเขาจะไม่มีเหงื่อและไม่มีกลิ่นตัวซึ่งนี่เองเป็นเหตุผลที่พวกเขาไม่ได้ให้ชาวพื้นเมืองเทียมัตทำหน้าที่ขุดทองหรืออยู่ใกล้กับพวกเขาเพราะพวกเขารู้สึกว่าพวกชนพื้นเมืองนี้มีกลิ่นตัวแรง ชาวนิริบุมีนิ้วมือนิ้วเท้าข้างละเจ็ดนิ้ว อาหารของพวกเขามักจะเป็นอาหารเหลว และนิยมแต่งตัวด้วยเครื่องแต่งตัวที่ทำมาจากแผ่นทอง เมื่อเวลาผ่านไปคนงานชาวเหมืองเริ่มกระด้างกระเดื่องจนในที่สุดได้นำไปสู่การปฏิวัติและปฏิเสธการทำเหมือง

    องค์จักรพรรดิ์อนู จึงได้ปรึกษากับราชินีนันคูซัคซึ่งราชินีนี้ได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าเจ้าหน้าที่การแพทย์และพันธุศาสตร์ จักรพรรดิ์ได้ขอร้องให้ราชินีสร้างสิ่งมีมีชีวิตลูกผสมระหว่างชาวนิริบุกับชาวเทียมัต เพื่อทำหน้าที่เป็นแรงงานในเหมืองทอง องค์ราชินีได้ทรงรับหน้าที่ด้วยความรู้สึกท้าท้ายและในที่สุดก็ได้เป็นสิ่งมีชีวิตลูกผสมเพศชายจากไข่ของหญิงเทียมัติกับเชื้ออสุจิของเจ้าชายเอนกิ ราชินีเรียกลูกผสมนี้ว่า “อดามู/ อดัม” ในเบื้องต้นลูกผสมนี้มีแต่เพศชายทั้งสิ้น โดยที่ชาวนิริบุเพศหญิงจำนวนหนึ่งทำหน้าที่อุ้มท้อง และเป็นที่เรียกขานผู้ที่ทำหน้าที่เหล่านี้ว่า “เทพีแห่งการเกิด”

    และทุกอย่างก็ดำเนินไปด้วยดี นิริบุมีทอง ชาวอนูนากิเป็นอิสระจากการทำเหมือง ส่วนลูกผสมจำลองก็ได้รับการผลิตเพื่อให้เป็นแรงงานเหมืองที่ดีเลิศ แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ดังที่เคยเกิดในอดีต บรรดาเทพีแห่งการเกิดเริ่มรู้สึกเหลือทนกับการต้องมาอุ้มท้องพวกอดามู ดังนั้นชาวนิบิรุจึงได้ประท้วงและปฏิเสธที่จะอุ้มท้องอีกต่อไป ครั้งนี้จักรพรรดิ์อนูรับสั่งให้ราชินีเข้าเฝ้าและหลังจากนั้นก็ได้ข้อสรุปว่าให้สร้างลูกผสมที่เป็นเพศหญิง (อีวา/อีฟ) เพื่อให้ทั้งสองเพศได้ผสมพันธุ์กันเองในธรรมชาติ ซึ่งแน่นอนว่าน่าจะเป็นสิ่งที่ง่ายดาย

    แต่ปรากฏว่าเพศทั้งสองนั้นเป็นหมันเนื่องจากว่าทั้งสองเพศเป็นลูกผสม ดังนั้นจักรพรรดิ์จึงได้มีกระแสรับสั่งให้เลิกกระบวนการที่ทำให้สิ่งมีชีวิตนี้เป็นลูกผสม ครั้งนี้ราชนีนินคูซัคได้ขอให้เจ้าชายเอนกิดำเนินการแทน เจ้าชายจึงให้ทั้งอดัมและอีฟกินสารบางอย่างเพื่อกลับกระบวนการที่ทำกับสิ่งมีชีวิต โดยหวังให้สิ่งมีชีวิตนี้มีลักษณะลูกผสมน้อยลง สิ่งมีชีวิตทั้งคู่ได้ลอกคราบผิวหนังชั้นนอกที่มีลักษณะของสัตว์เลื้อยคลานและเริ่มต้นจับคู่ผสมพันธุ์ แต่แล้วพระองค์ก็ได้ทรงทราบว่าสิ่งที่ทำไปเป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรงเพราะกระบวนการนี้ทำให้ไม่สามารถควบคุมสิ่งมีชีวิตนี้ได้ จักรพรรดิ์อนูจึงได้สั่งห้ามอดัมและอีฟเข้าไปในสวนอีเดนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

    ด้วยเหตุนี้มนุษย์โครมันยองได้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อประมาณ 20,000 ปีก่อน ส่วนมนุษย์นีแอนเดอทัลก็ได้ค่อยๆ ล้มตายลงไปโดยที่ไม่อาจหยุดยั้งได้อันเนื่องมาจากอากาศที่อบอุ่นขึ้นเนื่องจากโลกอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากขึ้น และในที่สุดเมื่อประมาณ 10,000 ปีมนุษย์นีแอนเดอทัลก็ได้สูญพันธุ์จนหมดสิ้นเหลือแต่เพียงมนุษย์โคมันยองที่ครอบครองเทียมัต

    ในหนังสือเรื่องแผนร้ายสายรุ้ง (The Rainbow Conspiracy) แบรด สไตเกอร์ได้เขียนถึงโครงการทดลองฟิลาเดเฟียที่ซึ่งประธานาธิบดี แฟรงกลิน ดีลาโน รูสเวลล์ ได้พบกับมนุษย์ต่างดาวที่มีลักษณะเหมือนมนุษย์ในปีช่วงประมาณปี พ.ศ. 2473 – พ.ศ. 2483 พวกมนุษย์ต่างดาวนี้จะมีผิวกายสีเขียว และเพื่อที่จะให้ไม่เป็นที่สังเกตพวกเขาใช้สารฟอกสีเพื่อทำให้สีกายของพวกเขามีสีอ่อนลง อย่างไรก็ดีดูเหมือนจะมีความสอดคล้องกันของรูปวาดเก่าแก่ถึงพระเจ้าในอินเดียที่พระเจ้าที่มีลักษณะเหมือนมนุษย์ มีผิวกายในสีโทนน้ำเงิน ซึ่งหากสังเกตให้ดีพวกกิ่งก่า ตะกวด และจิ้งเหลนจะมีสีผิวในทำนองนี้ ที่มีผิวอ่อนนุ่ม ละเอียดเหมือนไหม

    นอกจากนี้ข่าวที่มีการรายงานทางโทรทัศน์ยังชี้ว่าคณะแพทย์ที่พยายามจะรักษาผู้ป่วยโดยการหาทางรักษาบาดแผลทางผิวหนังของผู้ป่วยพบว่าผิวหนังของงูนี้คล้ายคลึงกับของมนุษย์มาก ที่จริงแล้วผิวหนังที่ใช้ในการรักษาบาดแผลวิธีนี้เป็นหนังงูเลยทีเดียว ซึ่งนี่แสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวข้องกันของมนุษย์และสัตว์เลื้อยคลาน และกระบวนการย้อนกลับของการทำพันธุวิศวกรรมมนุษย์ ซึ่งกระบวนการย้อนกลับของอดัมและอีฟ ทำให้สิ่งที่สละทิ้งกลับรวมเป็นรูปใหม่กลายเป็นงู และอาจจะอนุมานได้ว่าชาวนิริบุก็อาจจะมีความสามารถในการเปลี่ยนสีผิวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้เช่นเดียวกับสัตว์เลื้อยคลานจำพวกกิ้งก่า หรือจิ้งเหลน โปรดศึกษางานเขียนของ อาร์ เอ บัวเลย์ (R.A. Boulay) ในหนังสือเรื่องเล่าของงูและมังกรบิน (Flying Serpents and Dragons)

    เรื่องที่ต่อจากนั้นเป็นเรื่องที่มีบันทึกในประวัติศาสตร์ของเราเอง คือครั้งหนึ่งนิริบุได้เฉียดเข้าใกล้เทียมัตและทำให้เกิดภัยภิบัติทั้งน้ำท่วมและแผ่นดินไหวไปทั่วโลก ซึ่งในครั้งนี้สวนอีเดนและท่าจอดยานอวกาศได้จมไปในน้ำและถูกทำลายไปจนสิ้น เจ้าชายอูตูแห่งเนฟิลิมจึงได้รับบัญชาให้สร้างสถานีจอดยานอวกาศขึ้นใหม่ในบริเวณแหลมไซนาย และวิถีชีวิตบนเทียมัตก็ดำเนินไปตามปกติอีกครั้ง แต่ในไม่นานก็ได้เกิดสงครามปิรามิดขึ้น

    พระราชกุมารีเจ้าฟ้าหญิงอินันนาซึ่งเป็นหนึ่งในที่รักยิ่งของจักรพรรดิ์อนูได้รับพระบัญชาให้เป็นผู้ปกครองดูแลบริเวณที่เป็นอินเดียและเนปาลในปัจจุบัน พระองค์มีพระนามอีกพระนามคือพระลักษมี ซึ่งเป็นพระนามที่ได้รับการสักการะนับถืออยู่จนถึงปัจจุบัน ด้วยเหตุที่พระสวามีคือดยุคดูมูซิ (พระวิษณุหรือเปล่า)ได้มีเรื่องทะเลาะกับบารอนมาดุคจนในที่สุดได้นำไปสู่สงครามปิรามิด ในสงครามชิงอำนาจระหว่างพระราชกุมารีอินันนาและดยุคดูมูซิกับบารอนมาดุคและบารอนเนสศาพานิต ดยุคดูมูซิได้ถูกสังหาร

    ทำให้เจ้าชายอูตู และพระราชกุมารีอินันนาตัดสินใจทำสิ่งที่ไม่บังควรโดยการทำลายท่าเทียบยานอวกาศที่แหลมไซนายพร้อมทั้งศูนย์วิจัยและผักผ่อนคือเมืองบริวารโซดอมและโกโมราซด้วย (The satellite R&R cities ไม่ทราบว่า R&R แทนอะไรอาจจะเป็น Research and Development หรือ Research and Recreation) ทำให้เหมืองทองในเขตแอฟาริกาใต้เข้าสู่ความวุ่นวายด้วยเมื่อดยุคเนกอลและดัสเชสอีเรสกิกอลเข้าเป็นพันธมิตรกับบารอนมาดุค และทำให้เกิดความวุ่นวายในคณะผู้ปกครองแห่งเนฟิลิม

    จักรพรรดิ์อนูจึงจำต้องโปรดให้สร้างสถานีจอดยานอวกาศขึ้นใหม่โดยครั้งนี้พระองค์มีพระบัญชาให้เจ้าชายเอนกิและเจ้าหญิงนินกิเป็นผู้ดูแล ทั้งสองพระองค์จึงได้ย้ายสถานที่ไปเป็นบริเวณทะเลสาบติติคาคา (Titicaca Lake) ในเปรู และที่ตรงนี้ก็คือบริเวณที่ราบนาซคาซึ่งมีทองคำจำนวนมหาศาลอยู่ในเทือกเขาแอนดีส ดังนั้นศูนย์การผลิตทองที่แอฟริกาใต้จึงถูกย้ายไปที่ทะเลสาบติติคาคาด้วย

    และนี่ก็เป็นเรื่องในอดีตหลายพันหลายหมื่นปีก่อน ซึ่งก็ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าทำไมชาวนิริบุจึงดูเหมือนจะทิ้งเทียมัตไว้ อาจจะเป็นไปได้ว่าโลห์กักความร้อนนั้นสามารถคงรูปได้อย่างถาวรแล้วทำให้พวกเขาไม่มีความจำเป็นต้องใช้ทองจากเทียมัตอีกต่อไป ครั้งสุดท้ายที่ดาวเคราะห์พวกเขาเฉียดใกล้เทียมัตคือในปี 687 ก่อนคริสต์กาล แต่แน่นนอนถึงแม้ดาวเคราะห์ของพวกเขาจะมุ่งหน้าไปสู่การหลับไหลที่ยาวนานในกลุ่มเฆมออร์ดพวกเขาจะยังคงการติดต่อกับเทียมัตไว้บ้างบางส่วน อาทิเช่นสิ่งก่อสร้างใต้ดินในเทือกเขาแกรนด์เททอน หรือสิ่งอำนวยความสะดวกใต้ภิภพที่อเมริกาใต้ ในห้องเปล่าที่ซาอุดิอาระเบีย ในภูเขาหิมาลัย หรือแม้แต่ห้องโถงใต้ดินทางตะวันตกเฉียงใต้ของมหาปิรามิดแห่งอียิปต์ที่ชาวเนฟีลิมสร้างไว้เพื่อเชื่อมต่อกับสถานีอวกาศที่แหลมไซนาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปริศนาให้ถกเถียงกันว่ามีไว้เพื่อให้มนุษย์ต่างดาวได้ใช้หรือไม่ ซึ่งเชื่อได้ว่าคำตอบสำหรับทุกปริศนาจะได้รับการเฉลยในอนาคตอันใกล้นี้

    ในขณะนี้คงจะมีคนจำนวนมากถามว่าแล้วดาวเคราะห์นิริบุอยู่ที่ใด แน่นอนมันต้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่งในระบบสุริยะเป็นแน่ บางครั้งนักดาราศาสตร์จะบังเอิญไปพบมันแต่อาจะไม่รู้และเรียกมันว่าวัตถุลึกลับ อย่างเช่นกาแลกซี่ขนาดเล็ก บางทีรัฐบาลเองก็สงสัยว่าเจ้าสิ่งนั้นคือนิริบุเองแต่มีความเห็นว่าจำเป็นต้องปิดบังข้อมูลนี้จากการรับรู้ของสาธารณชน ผู้ที่เฝ้าสังเกตท้องฟ้าในสมัยโบราณทั้งในตะวันออกกลาง หรือชาวมายาในเมกซิโกต่างก็ได้พูดถึงการมาของนิริบุในกลุ่มดาวคนยิงธนู ซึ่งมันจะมาปรากฏให้เห็นเป็นระยะๆ โดยที่ดูเหมือนว่ามันจะจู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมา อีกทั้งจะมีสีทองเหมือนดวงอาทิตย์ขนาดจิ๋ว มีหางยาวคล้ายดาวหาง และมีบริวารโคจรอยู่รอบๆ และจะลอยให้เห็นดังอัญมณีที่ขั้วโลกเหนือของเทียมัตคล้ายกับการมาถึงของยุคแห่งพระเจ้า

    ข้อมูลจาก คุณ fernezzo

    ที่มา บทความ มารู้จักกับความลับของPlanetX กัน (ดาวปริศนาNibiru)และมันเกี่ยวอะไรกับปี2012...<!-- google_ad_section_end -->
     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    * เรื่องราวและสาเหตุก่อน continent จม


    2010/01/20
    (ข้อมูลเหล่านี้แปลแบบสรุปอย่างย่อมากๆ จาก Levashov ebook ถ้าตกหล่นประการใดก็ขออภัย หรือสามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดได้ที่ที่ลิ้งของเขาที่แปะไว้หน้าบล๊อกครับ )



    ช่วงที่ continent (white race ตั้งชื่อว่า Da’Arya) จม นั้นหมายถึงว่า white race เข้ามาอาศัยบนโลกนี้แล้ว(ที่ continent ) ประมาณ370,000 ปี นับเวลาจากที่ ระดับ white race ทั้งสี่เผ่าได้นำยาน viatmaras ลงจอดทีี่ continent เมื่อ 500,000 ปีก่อน และcivilization ในขณะนั้นสุงมาก ผู้คนอยู่อย่างสงบและมีความสุข

    ในขณะนั้น ดวงจันทร์ดวงแรกชื่ิอ Lelia ได้มีพวก Dark force เข้ามาบุกรุก และสร้าง base ไว้บนดวงจันทร์ดวงนี้ เพื่อจะทำการยึดครองโลก และ source of life และมี star war บน Lelia และ Demigod ชื่อ Dazdbog ได้ตัดสินใจทำลายทำลายดวงจันทร์ดวงนี้ โดย ใช้ power of thought ชิ้นส่วนของ Lelia ได้ ตกลงมาบนโลก เหมือนห่าฝน จึงส่งผลให้เกิด polar shift ครั้งแรก และ continent จมในเวลาต่อมา (continent ไม่ได้จมในทันทีนะครับใช้เวลาระยะหนึ่ง)และในขณะนั้น มีผู้คนมากมายที่เสียชีวิตเพราะไปขึ้น ไม่ Vitmanas ทัน ผู้คนที่ยังรอดชีวิตอยู่ได้ใช้ Star Gates และ Vitmanas อพยพไปยัง กลุ่มดาวหมีน้อยหมีใหญ่ (ursa minor ) บางส่วนอพยพไปอยู่แถบไซบิเรีย ต่อมาเริ่ม continent จมลง <?XML:NAMESPACE PREFIX = ST1 /><ST1:pLACE st="on">Arctic Ocean</ST1:pLACE> (continent ไม่ได้จมในทันทีนะครับใช้เวลาระยะหนึ่ง) นั่นคือยุค ice age

    หลังจากนั้นประมาณ 40,000 ปีก่อน ได้กลับมาอาศัยอยู่ในโลกนี้อีกครั้ง แถบไซบิเรีย และ มีอีก 3 race ที่เข้ามาอาศัยอยู่ในโลกนี้ คือ yellow race ,red race,black race และ white race ได้จัดให้แต่ละ race อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ใกล้เคียงกับ ดาวบ้านเกิดที่สุด เดินทางมาโดย star gate ,viatmaras viatmanas ใน 3 race นี้ black race เป็นเสมือน refugee จากสงคราม เพราะดาวบ้านเกิดเขาถูกทำลาย เพราะนั้นพวก black race จึงเข้ามาอยู่มากกว่า race อื่น และ มีหลายเผ่า (พวกที่มีหน้าตาแบบแอฟริกา และ ผิวดำลักษณะคนอินเดีย) ระดับ consciousnessความรู้ความสามารถ ของแต่ละ race (1)white race (2) yellow race (3) red race (4)black race

    black race เป็นพวกที่มีความอ่อนแอทางด้าน spiritual ตลอดเวลาในสงครามที่ยาวนาน (star war)ผู้คนจาก black race ส่วนมากถูกควบคุม และสนับสนุน ฝ่าย Dark force ในการทำสงครามระหว่าง
    Dark และ Light


    จากที่เกิด polar shift เกิดยุค ice age ในยุคนั้น white race รุ่นต่อๆมา เริ่มอพยพหนีหนาวร่น ลงมา
    อยู่กระจายกันออกไป แถบยุโรป และ แอตแลนติก

    หลังจากสงครามใช้ไม่ได้ผลพวก parasite เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ที่แลกมาด้วยชีวิตของชาว white race มากมาย ก็ยังไม่ละความพยายาม จึงเปลี่ยนวิธี ใช้ กลวิธีไหม่ นั่นคือแอบแฝงเข้ามาในโลก และเจาะจงแฝงตัวเข้าไปในกลุ่ม white race โดยใช้กลอุบาย คือ การโกหก โดยที่พวกนี้(parasite) จะเลือกใช้กลอุบายนี้ กับพวกที่มี ระดับ spiritually immature (spiritual ไม่เติบโตเต็มที่ )

    *หมายเหตุ มนุษย์จากดาวต่างๆ มีศักยภาพ ทางเทคโนโลยี่และระดับ spiritual ที่ต่างกัน(แม้กระทั่ง race เดียวกัน )

    Ants เป็นเผ่าหนึ่งของชาว white race Ants เป็นเผ่าที่ยังมี spiritual ที่ยังไม่เติบโตเต็มที่
    พวก parasite จึงหลอกล่อ คนเผ่านี้ ให้หันมาสนใจในการพัฒณาในเทคโนโลยี่ โดยลืมพัฒณาทางด้าน spiritual และในที่สุดระดับ consciousness เริ่มตกต่ำลง parasite จึงใช้ช่องว่างยุยงให้คนเผ่า Ants
    คิดครอบครองโลก และเริ่มแผนการอย่างลับๆ โดย เริ่มสร้างฐานบนดวงจันทร์ Fatta


    และในช่วง13019 ปีก่อน (2010)มีสงครามนิวเคลียร์ ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ครั้งแรกบนโลกใบนี้
    ซึ่งสร้างความเสียหายมหาศาล กับพืช สัตว์ และแหล่งน้ำ เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ และต่อมาภาย Radiation หลังส่งผล gene ของมนุษย์บางส่วนเปลี่ยนไป (มีร่างกายที่ใหญ่โตกว่าปรกติ ที่คนในยุคต่อมาเรียกว่า เนฟิล)
    ผู้นำ Ants เดินทางหนี โดยใช้ยานViatmara และ Viatmana และในขณะนั้น God Niy ใด้ทำลาย ดวงจันทร์ Fatta เพราะมี base ของ Ants และพวก parasite อยู่ เนื่องจาก Fatta มีแรงดึงดูดอันมหาศาล
    จึงเป็นเหตุให้ชิ้นส่วนของ Fatta ตกลงมาชิ้นใหญ่ยังโลกหลายชิ้น และบางส่วนก็ไปกระแทกกับดวงจันทร์ Mesiats(ดวงปัจจุบัน) ส่งผลให้ polar shift เอียง 23.5 degrees

    และ Atlantic จมในเวลาต่อมา star gate ทุกที่ถูกปิด (ในยุคนั้น star gate เปรียบเหมือนสถานี ที่ไปได้ยังดาวทุกดวง มีการคบหาสมาคมกับดาวดวงอื่นๆ หรือว่าถ้ามองภาพให้ชัดขึ้น ก็จะเหมือนกับรถไฟไต้ดิน และ สถานีรถไฟฟ้าที่เชื่อมโยงถึงกันได้) สาเหตุที่ ต้องปิด star gate ทุกที่ เพราะ ป้องกันไม่ให้พวก Dark force ใช้งาน

    ในครั้งนี้พวก Dark force ชนะ ตามที่คาดหวังไว้ ที่จะเห็น consciousness ของมนุษย์คนตกต่ำลง
    และระดับ civilization กลับไปเริ่มต้นจาก 0 ไหม่ จาก the galactic level กลายมาเป็น the level of the Stone Age และเป็นยุคice age ช่วงสุดท้าย ทางตอนบนของยุโรปร้างผู้คน อยู่ระยะเวลาประมาณ 5000-6000 ปี หลังจากนั้น ต่อมาเพิ่งจะมีผู้คนได้กลับขึ้นไปอาศัยอีกครั้ง

    ในช่วงเวลานั้น-จนถึงปัจุบัน โลกใบนี้จึงเปรียบ เสมือนเขตกักกันโรค ที่ถูกตัดขาด จากโลกภายนอก(Isolate this planet)

    แต่ก็ยังไม่ได้ถูกทอดทิ้งอย่างซะเลยทีเดียว เป็นช่วงระยะเวลา สงบศึก เท่านั้น

    * เพราะเหตุใดพวก Dark force ถึงสนใจโลกใบนี้



    (ข้อมูลเหล่านี้แปลแบบสรุปอย่างย่อมากๆ จาก Levashov ebook ถ้าตกหล่นประการใดก็ขออภัย หรือสามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดได้ที่ที่ลิ้งของเขาที่แปะไว้หน้าบล๊อกครับ )


    ย้อนกลับไปอีกนิดนึง ทำไมพวกจาก Dark force สนใจและไม่ยอมทำลายและละทิ้งโลกนี้ไป เพราะแร่ธาตุที่อยู่บนโลกนี้ ก็ถูกขุดขึ้นมาใช้
    เกือบหมดแล้ว โดยเฉพาะทองคำ (สำหรับพวก Dark force ที่อยู่อีกมิติหนึ่ง(cosmic parasite -พวกที่ควบคุมพวกที่มีร่างกายเรียกอีกที ก็คือ เจ้านายของพวกที่มีร่างกาย) จะยังชีพด้วยพลังงานจากทองคำ)
    พวก Dark force เคยขุดหาแร่ธาตุ จากดาวต่างๆ บุกรุก และทำสงคราม นำมนุษย์(จากดาวนั้นๆ) บางส่วนมาเป็นทาส โดยการควบคุมและลบล้างความทรงจำ (โดยการแผ่รังสีชนิดนึง อันนี้ผมจำไม่ได้ ขอกลับไปอ่านอีกทีแล้วค่อยมาเติมนะครับ) ใช้ในการขุดหาแร่ธาตุ และหลังจากขุดแร่ธาตุดาวดวงนั้นๆ หมดแล้ว ก็จะทำลายดาวดวงนั้นๆทิ้ง แล้วก็ค้นหาแหล่งไหม่ไปเรื่อยๆ
    (หมายเหตุ มนุษย์ของดาวแต่ละดวงมีศักยภาพ และ consciousness ในระดับต่างกัน ในสงครามก็มีดาวบางดวงมนุษย์ที่อาศัยอยู่ที่นั่น
    อ่อนแอกว่า ก็ถูกพวก Dark force ยึดครอง )

    *ส่วนโลกใบนี้ แร่ธาตุถูกขุด เกือบหมดแล้ว แต่ที่พวกนี้ ยัง สนใจอยู่ไม่ยอมไปจากที่นี่หรือทำลายทิ้ง โลกใบนี้ วิเศษตรงไหน

    เพราะว่าที่นี่ มี Source of life

    Source of life คือ crystal -generator เป็นพลังงานฟรีที่เข้มข้น และมีพลังงานมหาศาล ให้พลังกับสิ่งมีชีวิตทุกชนิด และที่สำคัญสามารถ improve gene และ improve consciousness ได้ เพราะโลกใบนี้เป็นเหมือนศูนย์รวมของหลายเผ่าพันธ์ ซึ่งเป็นเหมือนศูนย์การเรียนรู้ ทางด้าน spiritual (เพราะจุดเริ่มต้นของ golden way วางไว้ที่โลกใบนี้)

    Source of life มาจากพลังงานต้นกำเนิด หรือว่าพระเจ้านั้นเอง Source of life สามารถ improve gene ของสิ่งมีชีวิตทุกชิด ดังนั้นเองพวก Dark force ก็ต้องการครอบครองเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าดาวทุกดวงจะมี Source of life และ Source of life ไม่ได้กำเนิดขึ้นเองในโลกใบนี้ ชาวอารยัน บันทึกไว้ว่า Demigod จาก light force ได้นำมาไว้ที่โลกใบนี้ เมื่อ 50,000 ปีก่อนที่ continentจมลงสู่มหาสมุทร

    โดยใส่ Source of life ลงไปลึกในใจกลางโลก โดยมีทางเข้า กลางป่าลึกแห่งหนึงแถบยุโรป หน้าทางเข้าจะมีคนเฝ้าประตู ชาวอารยัน เฝ้าอยู่ แต่ไม่มีกุญแจ หรือรู้รหัสทางเข้า ที่นี่เคยมี Dark force ส่งคน(bio robot)เข้าไปก่อกวน เกือบ 200 คน แต่ทางฝ่าย light force ได้ส่งชาวอารยัน หรือคนของฝ่าย light ที่มีความรู้ความสามรถในการต่อสู้ (คล้ายๆกับนินจาที่เรารู้จักกัน)ในจำนวนเรียกได้ว่า 1/100 ได้กำจัดพวก Dark force ราบคาบ

    ที่นี่พวก Dark force ไม่กล้าบุกรุกเต็มที่ เพราะ light side demigod ปกป้อง Source of life โดยการ ให้ light force จอด vaitmana หลายลำเทียบท่าบน cosmos เพื่อเฝ้าระวังและจับตาดูตลอดเวลา


    พลังงานของ Source of life ได้กระจายไปตามที่ต่างทั่วโลก มากบ้า้งน้อยบ้าง และก้อขึ้นอยู่กับวิธีการดึงมาใช้ และโดยธรรมชาติเอง พืช ต่างๆ ที่อาศัยอยู่บนพลังงานของ Source of life โดยตรงพวกเขาก็จะเจริญเติบโตและมีขนาดใหญ่มากกว่าปรกติ

    levashov เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในการ รู้จักวิธีดึงพลังงานของ Source of life มาใช้กับพืชที่เขาปลูกอย่างน่าทึ่ง ทั้งที่พืชบางชนิดไม่สามารถเจริญเติบโตในเขตหนาวได้เลย แต่กลับเจริญเติบโตและมีขนาดใหญ่กว่าปรกติ โดยไม่ใส่ปุ๋ยใดๆ

    *หมายเหตุ บางส่วนของข้อความได้มาจากแหล่งอื่น บางส่วนจากในหนังสือของ levashov

    * กำเนิดโลก,จักรวาลและมนุษย์


    (ข้อมูลเหล่านี้แปลแบบสรุปอย่างย่อมากๆ จาก Levashov ebook และ ebook - slavonic Aryan Vedas เล่มนี้ ที่แปลจากภาษา รัสเชีย ซึ่งต้นฉบับมาจากภาษารูน(Rune) ถ้าตกหล่นประการใดก็ขออภัย หรือสามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดได้ที่ที่ลิ้งของเขาที่แปะไว้หน้าบล๊อกครับ )


    ประวัติศาสตร์ เป็นคำที่คนในยุค ปัจจุบันเรียกกัน แต่ในยุคโบราณแล้วมันเป็นความรู้ดั้งเดิมของมนุษย์ที่บอกต่อๆกันมา


    เกี่ยวกับภาษารูนนิดนึง ภาษารูน(Rune) เป็นภาษาเก่าแก่ภาษาดั้งเดิมของมนุษย์ และยังเชื่อกันว่าเป็นภาษาของพระเจ้า ในอักขระ ทุกตัวอักษรนั้นมีพลังเพราะมันไม่ใช่เพียงแค่ตัวอักษรตัวใดตัวหนึ่ง เท่านั้น แต่มันเป็นส่วนประกอบของภาพสามมิติ และเป็นภาษาที่เข้าใจหรือทะลุทะลวง

    ใน 3 โลก คือ Materialworld, spiritual world ,God world

    คนที่จะอ่านได้และเข้าใจ ต้องเป็นคนที่มี consciousness สุง มีความคิดที่เป็นบวกการออกเสียงนั้นจะต้องมีการฝึกการหายใจเพราะเป็นการพูด ที่ใช้พลังเสียงออกมาจากภายใน ภาษารูนในยุคนี้หายสาปสูญไปแล้วเพราะคนที่อ่านแบบเข้าใจนั้นไม่มี เพราะพวกปรสิต(Reptilians)คนโบราณเรียกกันอย่างนี้

    ทำลายหลักฐานเกือบหมด แต่ยังมีบางส่วนที่ถูกเก็บอย่างดีไว้ในที่ลึกลับเพื่อให้พ้นหูพ้นตาจาก พวกปรสิต โดยสลักไว้บนแผ่นทองคำ

    ชาวอารยัน (Aryan)เป็นผู้ที่เริ่มต้นใช้ ภาษารูน





    ....กำเนิดโลกและจักรวาล....

    จากภาษารูนที่เขียนบอกเล่าไว้เป็นคำอธิบายที่ให้มนุษย์อย่างเราเข้าใจได้ ง่ายที่สุด (แต่กระบวนการคงซับซ้อนเกินความเข้าใจของมนุษย์อย่างเรา)ว่าพระเจ้า เป็นผู้สร้างจักรวาลและทุกสิ่ง แรกเริ่มนั้น พระเจ้า หายใจ ออกมาเป็นแสงสว่าง เป็นแสงสว่างที่ไม่มีวันดับ และแสงนี้ แตกกระจาย ออกไป ไกลและไกลออกไปเรื่อยๆ บางส่วน ทะลุเมฆดำจนทำให้เกิดเป็นแสงสว่างจ้าถาวร และบางส่วนก็แตกกระจายออกไปเรื่อยๆ และส่วนที่ออกมาจากความสว่างนั้น ยิ่งไกลจากพระเจ้าออกไปส่วนต่างๆเหล่านั้นก็เกิดเป็นระดับที่จับต้องได้ หรือ Materialworld ส่วนที่อยู่ไกล้พระเจ้าเข้ามาคือ spiritual world และส่วนที่อยู่ในบริเวณของพระเจ้า คือ God world แต่ละระดับก็มีจำนวน Dimension ที่ต่างกัน และ มีหลาย universe



    **กำเนิดมนุษย์**

    แสงสว่างที่ออกมาจากพระเจ้า นั้น project มนุษย์ หรือเรียกอีกทีให้เข้าใจว่าเป็นเสมือนกระจกเงา แต่มนุษย์ที่พูดถึงนั้นเป็นมนุษย์ที่อยู่ในระดับ God world คือส่วนหนึ่งของพระเจ้า

    มนุษย์ผู้นี้เรียกได้ว่าเป็นพระเจ้า พระเจ้าได้ project มนุษย์อีกหลายเผ่าพันธ์ ในระดับ spiritualworld และมนุษย์จากระดับspiritual world

    project มนุษย์ ใน Material world และมนุษย์ใน Material world บางส่วนที่มีระดับ spiritual ที่สุง เรียกว่า demigod ซึ่งเป็นผู้สร้าง

    สัตว์ และสิ่งมีชีวิตในโลก ในระดับ Material world มี demigod ผู้ที่มีระดับ spiritual ที่สุงสุดกว่าคนอื่น ชื่อ Svarog

    Svarog (ภรรยาชื่อ Lada ) มีบุตรชาย ชื่อ Dajdbog , Dajdbog (ภรรยาชื่อZhiva,Zlatogorka,Marena )มีบุตรชายชื่อ perun(ภรรยาชื่อ Diva) เผ่าพันธ์มนุษย์สืบเชื่อสายมาจาก perun



    ***สงครามระหว่างDark and light ***



    นานมาแล้ว ที่ โลก Arleg (ระดับ Material world ที่มีระดับ spiritual ที่สุง )

    เป็นที่อาศัยของ Messengerหรือผู้ส่งสาร ที่นี่มี 256 Dimension

    มี demigod ผู้หนึ่งชื่อว่า Chernobog ผู้ที่ไม่ต้องการทำตามกฎ (เพราะการที่จะไต่ระดับ ไปสู่ spiritual world หรือ God world

    นั้น ต้องเป็นไปตามกฏเกณท์ Chernobog เป็นชนชาวผิวดำ( Black demigod) ต้องการไต่ระดับไปตามทาง Golden way

    ขยายความ Goldenway ซักนิด นั้น เป็นทางเชื่อม โลก3โลก เข้าด้วยกัน มีอยู่ทุก universe ,galaxy ,planet.

    แม้แต่โลกเราก็มี Goldenway

    ชาวอารยัน (Aryan)นั้นรู้ความลับนี้เป็นอย่างดี

    จึงมีการทำสงครามกันระหว่าง Belobog (white demigod) และ Chernobog( Black demigod)

    และมีการทำสงครามกันเรื่อยมา ทุกๆ 4000 ปี เป็นสงครามที่ยืดเยื้อยาวนาน



    ****ที่มาของมนุษย์บน โลก ****



    ในช่วงสงครามนั้น มียานแม่ ชาวอารยันเรียกว่า Vaitmara และในยานแม่นี้มียานลำเล็กข้างในเรียกว่าVaitmana ทั้งหมด 144 ลำ

    เกิดเสีย และลงจอดที่ Planet earth หรือโลก ที่ continent (แถบขั้วโลกเหนือปัจุบัน) ในเวลานั้นยังไม่เกิด polar shift

    ที่นั่นจะอุณหภูมิคล้าย กรีซ และอิตาลี ปัจจุบัน



    ข้างในมีชนผิวขาวอยู่ 4 เผ่า

    กลุ่มแรก ชื่อ Aryan มี2เผ่าคือ Da'aryan และ H'aryan

    กลุ่มหลัง ชื่อ Slav มี2เผ่าคือ Rassen และ sretorus



    แต่ละเผ่ามีลักษณะ สีของดวงตา ต่างกัน Da'aryan มีดวงตาสี เทา H'aryan มีดวงตาสี เขียว

    Rassen มีดวงตาสี น้ำเงิน sretorus มีดวงตาสีน้ำตาล



    ทั้ง 4 เผ่านี้มาจากกลุ่มดาว Beta Leo Star System galaxy นี้ มีดาวดวงนึงที่มีลักษณะเหมือนโลก ชื่อว่า Ingard- earth

    Ingard หมุนรอบตัวเอง 576 วัน และ มี ดวงจันทร์ 2ดวง ดวงนึงเล็ก ดวงนึงใหญ่ ดวงใหญ่ หมุนรอบ Ingard 36 วัน

    ส่วนดวงเล็ก 9 วัน

    หลังจากที่ซ่อมยานเสร็จมีบางส่วนที่กลับดาว Ingard และมีบางส่วนที่อาศัยอยู่ที่นี่และ เรียกโลกใบนี้ว่า Midgard-earth

    ต่อมาก็มีการเข้ามาอาศัยอยู่ในโลกนี้เรื่อยๆ จากดวงดาวต่างๆ อีก3กลุ่มบ้างมาตามทาง Golden way (ประตูมิติ) บ้างก็มาโดยยานลำเลียง

    3กลุ่มหลังที่มา มีชนผิวเหลือง ผิวแดง และผิวดำ

    ชนผิวดำนั้น Aryanสงสารและนำพวกเขามาอาศัยที่นี่เพราะดาวของพวกเขาถูกทำลาย จากสงคราม

    และ เรียกลูกหลานของมนุษย์ที่เกิดที่นี่ว่า As


    ก่อนมี Homosapiens ได้ Humannoid อีกจำพวกนึงคือNeanderthalแล้วทั่วทุกหนแห่ง ยกเว้นที่ continentเพราะมีทะเลล้อมรอบ

    Neanderthalครองโลกนี้อยู่หลายแสนปี ที่เรียกว่าครองโลกคือว่าพวกนี้เป้นพวกที่มีพละ กำลังมหาศาลไม่มีใครต่อกรได้ นอกจากเสือเขี้ยวดาบ

    และประมาณ 4 หมื่นปีก่อน มี homo sapiens ในหนังสือเขาบอกว่า appear คือไม่รู้ที่มาของ homo sapiens แม้นักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้เพราะไม่พบหลักฐาน missing link พบฟอสซิลที่พบอยู่ทั่วไปหลายแห่งนั้นมีอายุเท่ากันทั้งหมดมี 4 race ฟอสซิลกระโหลกศรีษะเหล่านี้มีลักษณะที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อย และมาจาก สายพันธ์เดียวกัน และไม่เคยมีการค้นพบโครงกระดูกระหว่างวิวัฒณาการจากNeanderthal- Homo sapiens


    มีการเช็ค dna ระหว่าง Neanderthal(ที่พบร่างอยู่ไต้น้ำแข็งบนภูเขาCalpine glacier) และHomo sapiens ปรากฏว่าไม่ได้มาจากสายพันธ์เดียวกัน เช่นเดียวกับ ลา และม้า ที่มีลักษณะคล้ายกันแต่คนละสายพันธ์ และถ้ามีการสืบเผ่าพันธ์ได้ นั่นหมายถึงว่าถ้า Neanderthal สืบพันธ์

    กับ Homo sapiens ลูกที่ออกมาจะไม่สามารถสืบเผ่าพันธ์ได้อีก(เป็นหมัน) เช่นเดียวกันกับล่อที่ไม่สามารถสืบพันธ์ได้ต่อไป

    ส่วน Homo sapiens ที่พบกระโหลกที่ต่างกันนั้นสามารถสืบเผ่าพันธ์ต่อไปได้ (Compatible)

    หลังจากนั้น ประมาณอีก1000 ปี Neanderthal ก็สูญพันธ์แบบที่นักวิทยาศาสตร์ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไม Neanderthal ผู้แกร่งกล้า{supreme predator}จึงสูญพันธ์

    ซึ่งเมื่อเทียบกับ Cro-Magnonอ่อนแอกว่า และไม่มีขนปกคลุมร่างการให้ความอบอุ่นเหมือน Neanderthal


    Perun demigod ผู้มีหน้าที่โดยตรงในการดูแลประชากรที่อยู่ในโลกนี้ เป็นผู้ที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับอณาคตของโลกใบนี้ว่า

    Galaxy นี้มีรูปร่างเหมือน swastika ทุกๆ 1000 ปี ซีกหนึ่ง ของ Galaxy จะโคจรเข้าไปในก้อนเมฆ เป็นระยะเวลา1000ปี

    ซึ่ง เป็นข้อตกลงในการยุติสงครามชั่วคราวกับ ปรสิต (dark side) และเผ่าพันธ์มนุษย์ light side จะเข้ามายังโลกไม่ได้จนกว่าจะครบกำหนด

    1000 ปี และในขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่เกือบครบกำหนด 1000ปี Galaxy นี้เริ่มเคลื่อนออกมาจาก เงาเมฆ

    เชื่อ กันว่า ภายในปี 2012 นี้ ฝ่าย light side จะเริ่มเข้ามา ซึ่งนั่นหมายความว่าจะมีสงคราม(star war)อีก และมีบางส่วนที่เข้ามารอบ้างแล้ว และนานแล้ว แต่ยังรอเวลา

    ทั้งส่วนที่เป็นฝ่ายพันธมิตร (ชนผิวเหลืองและแดง) และจอดยานแม่ไว้ในหุบเขา(ในหนังสือบอกว่าที่ลึกลับบนเขา) คืออีก

    Dimension ที่มนุษย์มองไม่เห็น และตอนนี้จะเห็นได้ว่าพวกปรสิตมันกำลังเตรียมการ ในสงครามครั้งนี้

    คลังรูปภาพ 5


    2010/01/18
    [​IMG]




    • หลักฐานทางปรวัติศาสตร์ แผ่นทองคำ ภาษารูน
    [​IMG][​IMG]







    [​IMG]



    [​IMG]



    • แผ่นทองสลักภาพและภาษารูน
    [​IMG]




    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    • ภาษารูนบนแผ่นตะกั่ว
    [​IMG][​IMG]




    [​IMG]

    [​IMG]



    [​IMG]






    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG][​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG][​IMG][​IMG]




    • อักขระหนึ่งในภาษารูน บนปฏิมากรรม
    [​IMG]





    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]




    2010/01/17
    ฝึกบิน UFO​



    [​IMG]


    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]





    กู้ซาก UFO​



    [​IMG]

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤศจิกายน 2010
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    ความในใจของ จขกท.
    อ่านข้อมูลหลายๆมุม หลายๆด้าน จากหลายๆแหล่ง
    เพื่อจะได้เห็นในหลากหลายมุมมอง ของต่างคน ต่างวาระ
    ไม่รู้อันไหนจริงหรือเท็จ ก็ใช้วิจารณญาณตามแต่ปัญญาของแต่ละท่าน
    เพราะเราเองก็ไม่รู้เรื่องไหนจริงเรื่องไหนเท็จ อ่านเพื่อรู้ เฉยๆ เพื่อประเทืองปัญญาก็พอได้
     
  19. ForeverYoung

    ForeverYoung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +135
    ความในใจผู้อ่านกระทู้

    อ่านไม่ไหวอ่ะเค ตาลาย ( แต่จะพยายามอ่านจนจบนะ )

    เดี๋ยวไปล้างหน้าล้างตาอีกที ตามันลาย อ่ะ ชิมิ
     
  20. แก้วทิพย์

    แก้วทิพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    450
    ค่าพลัง:
    +2,435
    คุณ k.kwan ขอชมหน่อยค่ะ มีความอุตสาหนำรวบรวมความรู้ดีๆมาแบ่งปันผู้อ่านเสมอ ขอขอบคุณยิ่ง ที่อยากให้ปรับปรุงอีกนิดก็จะเยี่ยมมากคือ การ แยกข้อความออกเป็นตอนๆ ด้วยช่องว่างหรือหารูปภาพมาคั่น ไม่ติดกันเป็นพรืด แล้วใช้ขนาด สี ของ ฟอนต์ (หลีกเลี่ยงสีดำซึ่งให้ความรู้สึกเครียด หรือดูเป็นวิชาการ)เข้ามาช่วย จะช่วยให้ ผู้อ่านสบายตาขึ้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...