แชร์เรื่องการดูจิตตัวเองเล่นๆ

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย solardust, 7 เมษายน 2015.

  1. solardust

    solardust เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    250
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,770
    เหมือนเดิม (อีกแล้ว) นะครับ..
    เป็นเรื่องสมัยหนุ่มๆ เอามาให้อ่านเล่นๆ
    ถ้าเคยอ่านซีรีย์ของผมมาบ้างนะครับ จะจำได้ว่าสมัยหนุ่มๆผมฝึกสติปัฏฐาน 4 แบบ 24 ชั่วโมงต่อวัน ติดต่อกันทุกวัน ทั้งวันทั้งคืน
    ทำอยู่ประมาณ 1 เดือน ถึงเริ่มมีเรื่องพวกนี้มาเล่าให้ฟังได้
    เวลา 1 เดือนไม่ใช่เวลามาตรฐานนะครับ
    ถ้าอ้างตามพระไตรปิฏก มีตั้งแต่ภายใน 7 วัน ถึง ภายใน 7 ปี ขึ้นอยู่กับว่าของเก่าทำมาเท่าไร บวกกับของใหม่มีความตั้งใจต่อเนื่องเท่าไรด้วย

    ผมเอาเรื่องผลของการฝึกสตินี้ไปเล่าให้เพื่อนฟัง
    1 อาทิตย์ให้หลัง เพื่อนวิ่งหน้าตาตื่นมาเล่าให้ฟังว่า "เออ...จริงด้วยว่ะ......." (จริงๆเล่าเยอะนะครับ เยอะจนรู้ว่ามันไม่ได้โกหก)
    (T_T)....เราต้นเรื่องแท้ๆเสียเวลาซะเป็นเดือน เพื่อนเราฟังเราอธิบายสั้นๆ ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง กลับไปฝึกอาทิตย์เดียว........

    สมัยนั้นนะครับ
    ตอนตื่น ก็ทำความรู้สึกส่วนหนึ่งตั้งไว้กับการดูกาย เป็นหลัก จะกิน จะเคี้ยว จะดื่ม จะหยิบ จะยก จะย่าง จะนั่ง จะยืน จะขับถ่าย จะหายใจ ดูมันหมด ในภาพรวมๆ ไปเรื่อยๆ
    ตอนนอน ก็หลับตาลงนอนตามปรกติ แต่ทำความรู้สึกไว้ตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้า จนหลับไป
    ทำจนกระทั่ง แม้แต่ตอนที่ร่างกายนอนหลับน้ำลายไหล กรนครอกๆ แต่ใจก็ยังตื่นอยู่ ร่างกายแต่ละส่วนอยู่ยังไงก็เห็นหมด รวมถึงมองเห็นได้รอบตัวทั้งๆที่ตาปิดอยู่ด้วย

    โดยที่ในการฝึกนั้น การขยับตัว การใช้ชีวิต ยังอยู่ในโหมดปรกตินะครับ ประมาณว่าถ้าผมนั่งคุยเรื่องงานกับคุณ วิ่งจ๊อกกิ้งกับคุณ นั่งกินข้าวแล้วคุยเรื่องสัพเพเหระกับคุณ
    คุณดูไม่ออกหรอกว่า ผมแบ่งสติส่วนหนึ่งมาตั้งไว้ เพื่อดูทุกๆอย่างที่ผมทำ และที่ผมรับเข้ามา
    ประเภทที่ค่อยๆยก ค่อยๆย่าง ค่อยๆเคลื่อน ค่อยๆเคี้ยว ค่อยๆจับ ก็เคยทำอยู่วัน สองวัน....ไม่เกรนจะกิน มันขัดธรรมชาติไปหน่อยในความคิดผม
    (เข้าใจว่า จริตผมมีโทสะนำ ใจร้อนเป็นพื้น เลยฝึกแบบนี้ไม่ได้)
    ก็เลยทำทุกอย่างตามปรกติ แล้วก็หัดดูไปเรื่อยๆ ไล่ตั้งแต่ ดูการขยับของแขนข้างเดียว แขนสองข้าง แขนขา แขนขาลำตัว จนกระทั่งทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า

    ดูจิต ดูอารมณ์ ก็เริ่มจากนั่งสมาธิเป็นหลัก อารมณ์ตอนลนลานอยากจะลุกออกจากบัลลังค์สมาธิ เห็นชัดสุด พอเริ่มชินก็เห็นตอนที่มันสงบที่สุดได้
    พอเห็นบ่อยๆเข้าก็จำมันได้ ประมาณว่า วางร่างกายในท่าทางแบบนี้ วางอารมณ์แบบนี้ ปรับลมหายใจไว้ระดับนี้ กล้ามเนื้อลายส่วนต่างๆตั้งแต่หัวจรดเท้า เกร็งไว้แบบนี้ ผ่อนไว้แบบนี้
    ครั้งหลังสุดเข้าสมาธิไประดับไหนก็จำไว้ทุกอย่าง ครั้งต่อไปใช้เวลาแป๊บเดียวต่อจากตรงนั้นเลย
    มีประโยชน์มากก..กก..กก...ขอบอก

    พอดูได้ทั้งตัวรวมถึงจิต และอารมณ์ สิ่งที่ตามมาก็คือ มีความรู้สึกเหมือน ตัวดูจะแยกลอยออกไปด้านหลัง ลอยเหนือท้ายทอยออกไปหน่อยนึงตลอดเวลา
    อันนี้ไม่แน่ใจว่า ทุกคนจะเป็นแบบผมหรือเปล่านะครับ คือจะรู้สึกเหมือน มองเห็นตัวเองจากด้านหลังเป็นพักๆด้วย เวลาทำอะไรอยู่คนเดียวไม่มีอะไรมากวน
    (เพื่อนผมไม่ได้เล่าตรงนี้ให้ฟัง ผมก็ไม่ได้ถามเลยไม่รู้ว่าเป็นเหมือนกันหรือเปล่า)
     
  2. solardust

    solardust เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    250
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,770
    ทีนี้ท้าวความหลังอีกนิดนึง
    เรื่องภาพสโลว์ และการเห็นจิตเป็นดวง โผล่ขึ้นมากลางอก
    พอฝึกสติไปซักพัก ผมก็เริ่มเห็นภาพสโลว์
    แค่เพื่อนผลักประตูเข้ามาทักว่า สวัสดี "เป็นไงมั่ง...." ลองนึกดูนะครับว่าถ้าคุณทำแบบที่ผมบอกเนี่ย ใช้เวลานานเท่าไร
    แค่ผลักประตูโผล่หน้าเข้าไปทักเพื่อนสั้นๆ ไม่เกิน 5 วินาที ก็จบแล้ว
    แต่ผมเห็นมันขยับ 5-10 นาทีได้ ประตูค่อยๆขยับเปิดออกมาทีละมิล (วินาทีละมิลได้) เพื่อนค่อยๆโผล่หน้าเอียงเข้ามาทีละมิล ค่อยๆยิ้มขยับมุมปากทีละมิล ค่อยๆอ้าปากทีละมิล
    คลื่นเสียงที่กระแทกอากาศออกจากปากมันมา ทีละวง ทีละวง กว่าจะมาถึงหูเรา กว่าเสียงจะลงไปถึงจิต กว่าจิต จะเลือกว่าจะตอบกลับแบบไหน ตอบกลับด้วยความรุนแรงเท่าไร
    กว่าจะตอบมันออกไปว่า "เออ ดีว่ะ..."

    ไม่ได้รู้สึกเลยว่า 5 วินาที รู้สึกว่านานมาก...ก..ก..กก....ก...
    โชคดีที่นานๆเป็นที พอให้รู้ว่า จริงๆแล้วไอ้ที่เราเห็น มันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด ทุกๆอย่างมันเหมือนเป็นรูปที่เกิดดับ เกิดดับ เกิดดับ เป็นช่วงๆ ถี่ๆ ไปเรื่อยๆ
    แต่เราไม่เห็นช่วงของการเกิดดับเหล่านั้นเอง
    เหมือนกับตอนเราดูหนัง ถ้ารูปนิ่งต่อเนื่องเคลื่อนที่เร็วกว่า 24 เฟรมต่อวินาที เราก็ไม่เห็นแล้วว่ามันเป็นภาพนิ่ง

    ส่วนเรื่องการเห็นจิต เป็นดวงโผล่ขึ้นมาบริเวณกลางอก ก็ไม่มีอะไรมากนะครับ
    อยู่ๆมันก็โผล่ขึ้นมาเป็นดวงประมาณจานข้าว สภาพของมันก็จะเป็นตัว represent อารมณ์เรา
    ตัวอย่างเช่น ถ้าเห็นมันเริ่มหม่นแปลว่าจิตเราเริ่มหมอง แต่เรายังไม่รู้สึกอะไรเลยนะครับว่าเรามีปัญหา แต่มันหม่นนำไปก่อนแล้ว
    เก็บตัวนั่งสมาธิซักพัก มันก็ใสขึ้น
     
  3. solardust

    solardust เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    250
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,770
    .....มาซะไกล....ยังไม่ได้เข้าเรื่องที่อยากเล่าเลย.....ไหลไปเรื่อย....คนแก่ก็เงี้ย ชอบเล่าความหลังให้ฟัง.....
    เข้าเรื่องเลยละกัน....
    วันหนึ่งนั่งสมาธิอยู่ ก็เห็นจิตเป็นดวงกลมโผล่ขึ้นมา ใส สว่าง....
    ก็นั่งดูไปเรื่อยๆ ก็สังเกตุเห็นว่า ไอ้ที่ใส สว่าง...มันเป็นเส้นแสง เปล่งประกายไปรอบๆ เป็นล้านๆเส้น มันเลยดูสว่าง
    ก็นั่งดูไปอีกพักนึง ไอ้ล้านๆเส้น หดเหลือ ไม่ถึง 10 เส้น แถมแต่ละเส้นก็ไม่ได้ตรง มันสว่างแบบหงิกๆ เหมือนไฟจากหัวเทียนรถยนต์
    ก็นั่งดูต่อ ทีนี้เหลือเส้นเดียว วิ่งไปรอบๆ เห็นชัดเลยว่า ไอ้ที่เห็นเท่าจานข้าว แกนมันจริงๆน่าจะประมาณกำปั้นได้
    ก็นั่งดูต่อไปอีก ทีนี้ไอ้เส้นเดียวที่เหลือ มันกระพริบเป็นช่วงๆ สลับที่ไปเรื่อยๆ แบบแรนด้อม

    เรื่องของเรื่องคือ ไม่รู้ว่ามันเข้าโหมด สโลว์โมชั่นไปตั้งแต่เมื่อไร
    อย่างที่เคยเล่าให้ฟัง (อ่าน) นะครับ โหมดสโลว์เนี่ย มันนึกจะมาก็มา มันนึกจะไปก็ไป

    จากนั้นอยู่ๆก็มีอาการเหมือนนึกรู้ในสมาธิว่า จิตทำงานได้แค่ครั้งละ 1 คำสั่ง ในการควบคุมร่างกาย และความรู้สึกนึกคิด
    หนึ่งประกายของจิตที่พุ่งออกไป คือ 1 คำสั่งที่มันใช้ควบคุมร่างกาย
    คุณยื่นมือไปหยิบของสองมือ ไม่ได้แปลว่ามันส่งสองคำสั่งพร้อมกันนะครับ
    มันส่งคำสั่งให้หยิบของทีละมือ สับกันไปมาที่ความเร็วสูงมาก จนเราเข้าใจว่าเราหยิบของสองมือพร้อมกัน

    ดูจากจำนวนของประกายแสงรอบๆดวงจิตแล้ว ผมว่ามันคุมกันทุกเซลล์ทีเดียว
    แล้วมันไม่ได้คุมในลักษณะใช้งานอย่างเดียวนะครับ มันคุมการเติบโต มันคุมการเปลี่ยนแปลงด้วย

    หมายความว่า
    คนเราโตขึ้นมาจะสวยหรือไม่สวย จะสูงหรือเตี้ย จะขาวหรือดำ จะแก่เร็วแก่ช้า หรือแม้แต่จะพิการแต่กำเนิดหรือสมบูรณ์ดีทุกประการ
    ก็มันนั่นแหละ จิตของเรานี่แหละ ที่เป็นตัวควบคุมตั้งแต่เกิดยันแก่
    ลองนึกภาพดูนะครับ ตอนเราเกิดมีแค่ 3 ปัจจัย คือ สเปิร์ม ไข่ และปฏิสนธิจิต เหมือนกันทุกคน
    แต่ในความเป็นจริง พี่น้องท้องเดียวกัน พ่อแม่เดียวกัน บางที.....รูปร่างหน้าตานี่....ฟ้ากับเหวเลยทีเดียว
     
  4. solardust

    solardust เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    250
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,770
    ทีนี้อยู่ดีๆมาพูดเรื่องนี้ทำไม....
    คืออยากจะบอกว่า ทุกเรื่องที่เราคิด พูด ทำ มันไม่ได้ไปไหน มันอยู่ในจิตเราเนี่ยแหละ
    รูปร่างหน้าตาของเรา ตลอดไปจนถึง สุขภาพและอายุขัย มันอยู่ตรงนี้แหละครับ
    มันจะสะท้อนเรื่องที่เราเคยคิด พูด ทำ และกำลังคิด กำลังพูด กำลังทำ ออกมาทางรูปร่างหน้าตาของเรา

    เพราะฉนั้น เวลาที่คุณอ่านหนังสือพระนะครับ
    ไม่ฆ่าสัตว์แล้วอายุยืน นั่งสมาธิแล้วหัวดี ปิดทองพระแล้วหน้าตาดีเทพ เจริญเมตตาหน้าตาดีน่าคบหา อะไรทำนองเนี้ย
    ผมกำลังจะบอกว่า มันจริงครับ

    ตัวอย่างเช่น
    ถ้าคุณชอบดูถูกคนอื่น มันจะส่งผลให้คุณเตี้ย ถ้ามันส่งผลให้คุณเตี้ยในชาตินี้ไม่ได้ (ซึ่งเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ด้วยธรรมชาติของกระดูกของเรา)
    คุณจะไปเตี้ยชาติต่อๆไป หลายชาติด้วย ใครที่ชอบดูถูกคนอื่น รีบเลิกเลยนะครับ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน
    ยกเว้นว่าคุณจะโชคดี โดนอะไรเข้าซักอย่างให้เตี้ยในชาตินี้แบบฉับพลันทันใด
    จากประสบการณ์นะครับ อะไรที่ทำแล้วรับผลในชาตินั้น มันจะจบเลย
    แต่คนส่วนใหญ่ไม่ได้โชคดีแบบนั้น ทำเลวๆซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ยังอยู่ดีมีสุขไปจนลมหายในสุดท้าย

    เพราะฉนั้นนะครับ เรื่องการดูถูกคนอื่น (ถ้าอยากเตี้ยก็ข้ามไปอ่านช่วงต่อไปเลยครับ) ให้ลองคิดแบบนี้ดู
    คนเราถนัดกันคนละด้าน เก่งกันคนละแบบ หรือแม้แต่เก่งด้านเดียวกัน ถนัดเหมือนกันแต่คุณเก่งกว่า
    ก็ไม่ใช่เหตุผลที่คุณจะไปดูถูกเหยียดหยาม หรือดูแคลนคนอื่นนะครับ

    รวมถึงความเชื่อต่างๆด้วย ระดับความเข้าถึงธรรมของแต่ละคนมีไม่เท่ากัน แถมยังไม่เหมือนกันต่างหาก
    เขาไม่เท่าเรา เราไม่เหมือนเขา ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะไปตำหนิติเตียน หรือไปกดเขา

    อยู่ในสังคมเอาศีลเป็นหลัก เชื่อแบบไหนก็ตามถ้ายังอยู่ในกรอบของศีล ก็เป็นคนน่าคบหาคนหนึ่งแล้ว
    จะมุ่งนิพพานก็วัดกันที่สังโยชน์ 10 ปฏิบัติกันไปก็วัดกันไปว่าละไปได้กี่ข้อแล้ว วัดตัวเองนะครับ ไม่ต้องไปยุ่งกับจริยาของชาวบ้านชาวช่องเขา
    ถ้ารักกันจริงก็เตือนกันได้ แต่แค่ครั้งสองครั้ง แค่พอหอมปากหอมคอก็น่าจะรู้แล้วว่า จะเปลี่ยนตามเราหรือเปล่า
    ไม่ต้องย้ำมาก จะผิดใจกันได้

    ความเชื่อของคนนะครับ กว่าจะเชื่อแบบนี้ กว่าจะติดแบบนี้ แต่ละคนอบรมตนกันแบบนี้ๆ ในแบบของตัวเองมาเป็นแสนๆชาติ
    อยู่ๆจะให้เขามาเปลี่ยนเหมือนเรา ไม่ใช่ขับรถนะครับ นึกจะเปลี่ยนเลนก็เปลี่ยน
    ถ้าไม่ใช่คู่ปรับกันจริงๆ พูดไปก็ไม่มีใครเปลี่ยนหรอกครับ ยิ่งย้ำก็ยิ่งผิดใจกันเปล่าๆ
     
  5. solardust

    solardust เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    250
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,770
    ดังนั้นเรื่องดีๆ ก็จำไว้เอาเป็นแบบอย่าง ทำไปเรื่อยๆ ก็ไม่มีอะไรเสียหายหรอกครับ
    ยกตัวอย่างเช่น ถือศีลแปดบ้างตามกาล เช่นทุกวันพระ ถ้ากำลังใจไม่ไหว ก็ทุกวันเกิด ทุกปีใหม่อะไรแบบนี้ก็ได้
    หรือถวายสังฆทานบ้าง ถ้ากำลังใจเรื่องทานเรายังอ่อนอยู่ ทำแล้วเสียดายตังค์ ก็ทำปีละครั้งตอนวันเกิดก็ยังดี
    หัดนั่งสมาธิเป็นพื้นเอาไว้บ้าง ถ้ากำลังใจไม่ถึง กลัวนั่นกลัวนี่ สารพัดจะหาข้ออ้างมาให้ตัวเองไม่ฝึกสมาธิ ก็หัดเอาตอนถือศีลแปดทุกวันเกิดนั่นแหละ...
    ทำดีเอาไว้เยอะๆ ตอนจะตายจะได้ไม่ต้องมานั่งลุ้นว่า ชีวิตเราสะสมมาแต่เรื่องชั่วๆ อะไรมันจะเกิดกับเรามั่งถ้าชาติหน้ามีจริง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กรกฎาคม 2022
  6. solardust

    solardust เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    250
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,770
    สรุปนะครับ
    ทำดีกันเถอะ อะไรที่พระท่านว่าทำแล้วดี ก็พากันไปทำๆซะ
    อะไรที่พระท่านว่าไม่ดี ก็พากันเลิกซะ อย่ามาหาข้ออ้างเข้าข้างตัวเอง ตะแบงทำเรื่องที่พระท่านบอกว่าไม่ควรทำไปเรื่อยๆ
    จากที่เห็นมานะครับ ทุกเรื่องที่ทำ มันไม่ได้ไปไหน มันอยู่กับเราตลอด รอเวลาให้ผลเท่าเอง
    จะไปหลบอยู่ในหลุมในถ้าที่ไหน ไม่มีพ้นนะครับ มันก็ไปหลบกับเรานั่นแหละ
    จังหวะเปิดเมื่อไร มันให้ผลทันที ไม่ว่าเรื่องดีหรือเรื่องเลวก็ตาม


    อีกเรื่องนึงนะครับ
    เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ส่วนตัว เป็นความเชื่อส่วนตัว ห้ามตัดตอนเอาไปแชร์ที่ไหน
    คิดซะว่าอ่านนิทานอยู่ อ่านเล่นๆเอาฮากันเฉยๆนะครับ
     
  7. tongrolass

    tongrolass เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +103
    จะรอติดตามอ่านอีกนะครับ น่าสนใจมากๆ :cool:
     
  8. yawamon

    yawamon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    97
    ค่าพลัง:
    +219
    จะรออ่านด้วยอีกคนค่ะ ช่วยนำประสบการณ์มาบอกเล่าอีกนะคะ จริง ๆ มีคำถามอยาก
    ขอความช่วยเหลือค่ะ แต่เกรงว่าจะเป็นการรบกวนเพราะว่าทุกข์มาจะ 10 ปีแล้วค่ะ
     
  9. naitiw

    naitiw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,612
    ค่าพลัง:
    +2,882
    ดีจัง เราไปงมกับคาถาอาคมนานหลายปี มาคิดได้ไม่ใช่ทางดับทุกข์ถึงมาเริ่มใหม่
     

แชร์หน้านี้

Loading...