แสงคล้ายๆสปอตไลท์จากกลางหน้าผาก คือ เอฟเฟคของตาที่สามหรือเปล่า เขาเรียกว่าอะไร

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นทีบุญ, 9 กรกฎาคม 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นทีบุญ

    นทีบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    939
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +795
    อยากทราบว่า ลักษณะแสงที่มีความคล้ายกับสปอตไลท์ ทรงกลมเท่ากับไข่ไก่เป็นสีเหลืองนวลๆ ด้านนอกเป็นวงกลมอีกครั้งคล้ายกับรัศมี เหมือนๆเวลาพระอาทิตย์ทรงกลดอ่ะคะ ออกมาจากตรงกลางหน้าผากเวลาทำสมาธิแล้วเกิดหมุนๆมึนๆตรงกลางหน้าผากที่เขาเรียกว่าตาที่สาม แสงนี้จะส่องประมาณ 5 วินาที อยากทราบว่ามันคือเอฟเฟคของตาที่สามใช่หรือไม่คะ แล้วเรียกมันว่าอะไร
    ใครมีประสบการณ์หรือความคิดเห็นอย่างไร แชร์กันได้ค่ะ ขอบพระคุณมากๆค่ะ
     
  2. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    แสงที่ว่ามา หากเป็น
    หมอตา เรียก แสงของดวงตา เวลาตากระพริบ
    นักเพ่งกสิน เรียก กสินแสง หรือ กสินแสงสว่าง
    นักวิปัสสนา เรียก อุปกิเลส ชนิด แสงสว่าง
    นักฝึกปฏิบัติจิต เรียก การฝึกตั้งกสิน
    แล้วฝึกปล่อยวาง ในฤทธิ์ที่ตนได้

    พระอริยะเจ้า เรียก สิ่งที่ควรปล่อยวาง
    พระอรหันต์ เรียก มันเป็นเพียงธาตุสี่
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    เค้าเรียกว่า จิตทำงานได้เมื่อมีแสงนำคับ
    เราต้องพอรู้ว่า จิตจะทำงานได้นั้นจะ
    ๑.เมื่อเห็นเส้นสาย(เส้นพวกพลังงาน เห็นคลื่นต่าง)
    และ๒.และเห็นแสง(สีต่างๆ ไม่ว่าเป็นเส้น เป็นวงกลม หรือไร้
    รูปร่าง)
    หรือทั้ง ๑ และ ๒ เอาไว้ก่อนในเบื้องต้น
    คือถ้าเห็น ๑ และ ๒ ก็จะเห็นเป็นรูปร่าง สถานที่นั้นหละ
    ตรงนี้คงไม่งงนะ เล่าให้เข้าใจเอาไว้ก่อน

    และสภาวะที่เราเป็น
    คาดได้เลยว่าแสงนั้นแม้มันสว่างมากแต่ว่ามันไม่เย็น
    คือไม่ได้ทำให้เรารู้สึกเกิดปิติเหมือนตอนที่เราทำบุญ
    พอนึกกิริยาออกเนาะ..ซึ่งมัน
    เป็นกิริยาระหว่างทางปกติ ของลักษณะของตัวจิตเราเอง
    อยู่ในระดับกำลังกึ่งๆปฐมฌาน
    สังเกตุง่ายๆเลย. คือตอนที่เรารู้สึกเกี่ยวกับแสง
    แต่ตอนนั้นเอะเราเหมือนคิดได้
    แต่เราจะไม่หลุดสภาวะตรงนั้น
    และขณะนั้นแสงนั้นก็จะยังอยู่

    ไม่เหมือนการที่เราคิดได้ หรือใช้ความคิดในสภาวะอื่นๆ
    มันจะหลุดสภาวะออกมาเป็นปกติเลย ลองค่อยๆสังเกตุดูนะ

    ที่เรายังรู้สึกมึนๆอยู่เพราะกำลังสมาธิสะสมเรายังไม่พอ
    ซึ่งเป็นเรื่องปกติมาก นั่งไปเรื่อยๆ บ่อยๆ สะสมระหว่างวัน
    ถ้าเป็นอีกร่างกายจะเฉยๆ....

    แล้วถ้าจะพัฒนาต่อทำอย่างไร
    ให้อย่าสนใจแสงนั้นเป็นอันขาด
    เด่วซักพัก เราจะพบว่า มันจะสามารถ
    เคลื่อนที่ได้แต่ก็อย่าสนใจอะไร
    เพราะถ้าสนใจ ในระดับนี้มันจะถูกแทรกได้ง่าย
    มีหลายคนที่เผลอคิดว่าตัวเองบรรลุธรรม
    และโม้ว่าตนคุยกับพระพุทธเจ้า(จริงๆวิญญานมีฤิทธิ์ปลอม
    หรือที่เค้าเรียกว่า ผีหลอกในสมาธิ

    ดังนั้นสภาวะนี้ ถ้าจะพัฒนาให้เข้าให้ได้บ่อยๆก่อน
    พอเข้าแล้วให้ระลึกรู้ตัวออกมา
    แต่อย่าลืมตา ทำให้ได้บ่อยๆ....

    แล้วต่อไปพอเข้าไปอีก แสงนี้มันจะค่อยๆ
    มืดลง คือจะค่อยๆสว่างน้อยลง คล้ายๆเรา
    หรี่ไฟแบบปรับความสว่างได้ แต่อย่าสนใจ
    และห้ามลืมตานะ...

    และนั่งต่อไปเด่วซักพัก แสงมันจะค่อยๆกลับมาสว่างๆ
    ย้ำว่า ค่อยๆสว่างๆขึ้นเรื่อยๆของมันเอง
    นี่หมายถึงว่า ระดับสมาธิเราได้พัฒนาขึ้นแล้ว....

    ซึ่งมันจะแตกต่างกับที่เราเป็นเหมือนตอนที่มาเล่านะ
    คือตอนที่เราเอามาเล่า คือ มันสว่างมากก่อน
    พอนึกภาพออกเนาะ ซึ่งเป็นระดับสมาธิที่ไม่มาก

    ปล.แต่ต้องเข้าใจว่า ผลที่ได้มันจะไปทาง
    อรูปฌานเลยนะ.....อ่านดีๆ ไม่ยาก
    หัดสังเกตุเพียงเล็กน้อยด้วยกำลังสติทางธรรมนั่นหละ
     
  4. นทีบุญ

    นทีบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    939
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +795
    ขอบคุณสำหรับคำตอบดีๆค่ะ รักเลย:p
     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ๕๕๕๕
    ก็รวมความว่าเคลื่อนที่ได้นั่นหละ..
    ถึงได้บอกว่า เรื่องพวกนี้เราจะสามารถ
    รู้ได้ด้วยตัวเราเองจากกำลังสติทางธรรม...
    จริงๆแล้วถ้าเจริญสติให้ต่อเนื่องหน่อย
    เรื่องกิริยาแบบนี้ แทบไม่ต้องมาถามใคร
    ต่อเอาว่าพอเข้าใจละกัน..


    อ่านข้างล่างต่อไปนี้ให้ดีๆ..

    ให้จำเอาไว้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่จิตเราเห็น
    อย่าไปคิด ไปพยายามอยากรู้ว่า
    ว่ามันคืออะไร มันเป็นอะไร
    ให้เราพึ่งระลึกไว้ว่า ถึงวัตถุประสงค์ในสิ่งที่เห็น
    เพราะถ้าไปคิด ไปสงสัย ไปไคร่รู้ว่า
    มันคืออะไร จะทำให้เราไปได้ช้า
    มันไม่เหมือนการรู้แบบทางโลก
    ที่เราเห็นอะไร แล้วเราสามารถไปค้นคว้า
    หาคำตอบได้ จากในตำรา จาก Google ฯลฯ
    แต่ทางปฏิบัติที่เป็นนามธรรม
    อาศัยการไปรู้ว่าเป็นอะไรได้
    จากกำลังสติทางธรรม
    สติทางธรรมคล้ายๆตัวความคิดเวลาเรา
    ลืมตาปกติบนโลก แต่ทางนามธรรมเราจะใช้สติทางธรรม


    เด่วจะเล่ากิริยาการทำงานของมันให้ฟัง
    ให้พยายามระลึกตาม
    เพราะจิตเหมือนเป็นผู้ดูแล้วส่งหรือแสดงกิริยา
    ให้เราเห็นว่า เป็นแสงอย่างโน้นนี่นั้น
    เคลื่อนที่ไปโน้นนั่นนี่ แต่ว่าจิตเรานั้นจะแค่เห็น
    ในสิ่งที่มันส่งออกไปรับรู้ ตัวอย่างคือ เราเห็นว่า
    เป็นแสงอย่างโน้นนี่นั้น เคลื่อนที่นั่นโน้นนี่
    แต่ว่าจิตมันจะไม่รู้ว่าอะไร เข้าใจเนาะ
    ย้ำว่า จะแค่เห็นแต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่เห็นคืออะไร
    และควรเข้าใจว่ามันเป็นปกติ

    ยกตัวอย่างเนาะ ทางนามธรรมนะ
    สมมุตินะ จิตเหมือนลูกตา ลูกตามองเห็น
    วัตถุอย่างหนึ่ง แต่มันจะแค่มองเห็น
    แต่จะไม่รู้ว่าวัตถุนั้นเรียกว่าอะไร
    ถ้าทางโลก ตามองเห็น ถ้าเราไม่รู้ว่าคืออะไร
    เราสามารถค้นคว้าหาคำตอบได้
    หรือถ้าตาเราเห็น แต่ว่าเรามีสัญญาในจิต
    เราก็จะเรียกได้ถูกว่า สิ่งที่ตาเห็นคืออะไร



    ถ้าพอเข้าใจกิริยาจิตปกติได้ว่ามัน
    ไปแค่เห็น แต่มันไม่รู้ว่าคืออะไร
    ถ้าเราใช้ความคิดหลังจากออกสมาธิมาแล้ว
    มันไม่มีทางที่จะไปรู้ได้เลย หรือเข้าใจได้เลย
    เพราะมันเป็นการที่จะไปรู้กันคนละรูปแบบเข้าใจเนาะ

    ดังนั้นถ้า เห็นได้ แล้วไม่รู้ว่าคืออะไร
    ทั่วๆไปท่านๆ หรือตามตำราทั้งหลาย
    ถึงบอกให้เราเฉยๆนั่นหละ
    และมาเจริญสติให้ต่อเนื่อง
    ต่อไปมันถึงเข้าใจและรู้ได้เองว่าวัตถุประสงค์อะไร

    ปล.พอเข้าใจเนาะ...
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ขอโทษนะครับ ที่อ้างอิงข้อความคุณ
    เด่วกลัวคนมาอ่านแล้วจะเข้าใจผิดไปกันใหญ่ครับ
    กิริยาอย่าง เจ้าของกระทู้
    ไม่ใช่กสิณแสงหรือกสิณแสงสว่างครับ

    เป็นเพียงแค่ลักษณะจิตที่ทำงานได้เมื่อมีแสงนำครับ
    และถ้าเป็นพวกนักเพ่งกสิณคงไม่คิดว่าเป็น
    กสิณแสงหรือกสิณแสงสว่างแน่นอนครับ
    แต่สายวิปัสสนา เรียกว่าเป็นอุปกิเลสได้ครับและ
    ไม่ใช่เรียกว่า การฝึกตั้งกสิณ ไม่มีฤิทธิ์อะไรในระดับนี้
    เอาหัวเป็นประกัน..
    แต่ควรปล่อยวางถูกต้องครับ
    กรณีเจ้าของกระทู้เป็นการทำงาน
    ของอากาศธาตุกับธาตุน้ำครับ
    หรือจะเรียกว่า เป็นเพียงธาตุอย่างนี้ได้ครับ...

    ที่เราเห็นไม่ใช่นิมิตกสิณนะครับ
    นิมิตกสิณสี แสง หรือแสงสว่างนั้น
    ในระดับเริ่มต้นที่ยังถือว่าเป็นกสิณโทษได้อยู่
    นิมิตจะเป็นวงกลมก่อน อาจจะมีหลายสีที่ขอบร่วมด้วย
    และไม่นิ่ง และเคลื่อนที่ไปเรื่อย และหายไปถ้าเอาใจ
    ไปจับมัน ต้องมาระลึกรู้ลมต่อ มันถึงจะกลับมาได้ครับ

    ลำดับต่อมามันถึงนิ่งได้ และถ้าเราฝึกแบบหลับตาต่อ
    จะเกิดเป็นแสงขยายออกกว้างจากวงกสิณนั้น
    และถ้าเป็นกสิณแสงสว่าง จะเห็นแหล่งกำเนิดของ
    แสงชัดเจน แม้เคลื่อนที่ได้ ต้นกำเนิดแสงนั้น
    จะเคลื่อนที่เป็นแนวเส้นตรงขนานกับศรีษะเรา
    และที่สำคัญกำลังระดับนี้จะไม่มีความรู้สึกว่าเย็น
    และถ้าลืมตาเพ่งแสง แล้วเพิก การเกิดนิมิต
    จะคล้ายตอนหลับตา คือจะสว่างออกมาจากดวงนิมิตครับ

    ปล.กิริยาพวกนี้เป็นแค่พื้นฐานครับ ยังเป็นกสิณโทษได้หมดครับ
    และให้เข้าใจเอาไว้เลยนะครับ ถ้าเรื่องกสิณในระดับ
    อุคหนิมิตถือว่าเป็นกสิณโทษได้หมดครับ โทษคือทำให้เราช้า
    เพราะไปยึดติดสิ่งที่เห็น และมัวแต่หลงสภาวะหลงตัวเอง
    อยู่ทั้งๆที่จิตยังไม่มีความสามารถใดๆครับ

    และไม่อยู่ในระดับที่จะสามารถให้จิตมีความสามารถ
    พิเศษอะไร นอกจากทำให้หลงตัวเองแบบไม่รู้ตัวครับ
    โดยรวมกริยาที่เล่า ต้องไม่สนใจ มันถึงจะก้าวข้าม
    พ้นเรื่องพวกนี้ได้ และต้องทิ้ง สัมผัส สิ่งที่เห็นแบบพิศดาร
    อลังการงานสร้าง หรือการรู้ใดๆทุกๆกรณี
    ถึงจะก้าวข้ามไปสู่ระดับที่ฝึกแล้ว
    นั่นคือในระดับที่ หลายๆสิ่งหลายอย่าง
    มันมีความสว่างในตัวเอง รวมๆกันมันจึงดูสว่าง
    ในกำลังสมาธิระดับสูง ย้ำว่าในระดับสูง
    ไม่ใช่ระดับเบื้องต้นอย่างกรณีเจ้าของกระทู้นะครับ
    มันถึงจะสามารถเกิดผลขึ้นกับตัวจิต
    และใช้งานได้ปกติในชีวิตประจำวัน
    ภายในเวลาไม่กี่วินาทีครับ
    เล่าให้ฟังเฉยๆนะครับ...
     
  7. นทีบุญ

    นทีบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    939
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +795
    อ่อค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ 555 ก็จริงๆว่าพอออกจากสมาธิแล้วสงสัยมันจะไม่รู้เลย

    ทีนี้มาถึงสารพัดคำถามบ้าง เอาว่ารวมๆแต่อันที่ยังสงสัย อยากรู้เฉยๆ555

    1. ตอนนั้นทำสมาธิได้ประมาณปีเศษๆ บางวันไม่ได้ทำสมาธินะคะ แต่จะมีอาการคือง่วงมากๆจนต้องไปงีบ (จะเป็นเฉพาะกลางวัน) กำลังจะงีบก็จับลมหายใจไปด้วย เพียงแค่เสี้ยวนาที จะหายใจแรงมากๆ สาม ครั้งแล้วก็ไปเลย 555 หมายถึง ไม่ใช่ฝัน แต่เหมือนมันออกไป ทางศรีษะ ครั้งแรกที่จำได้ คือควบคุมตัวเองไม่ได้ มันลอยไปติดเพดานบ้างไรบ้าง แล้วหลุดไปอีกโลกเลย รู้ตัวว่าตอนที่ไปยังที่อื่นๆ มันเหมือนเมาๆพยุงตัวไม่ค่อยได้ ยิ่งถ้าไปในที่สูงๆคือเมาหนัก555 (รายละเอียดอะไรต่างๆละไว้เอาแต่ใจความนะคะ) เอาว่า พอจะกลับเข้าร่างมันจะออกแนวแบบช็อตๆ คือ รู้สึกได้ว่าร่างตัวเองสั่นๆ ประมาณ 2 นาที แล้วก็รู้สึกตัว แต่ถ้าครั้งไหนที่ออกไปแล้ว ไม่อยากไปไกล จะสวดคาถาพระเจ้าห้าพระองค์แล้วก็กลับมาทันที จะเป็นแบบนี้ช่วงแรกๆหลายๆครั้ง นานๆไปก็ค่อยๆหายไป ไม่ค่อยเป็น สังเกตว่า เป็นช่วงแรก แล้วจะเหนื่อยมากๆ พอกลับมาแล้วนอนยาว อยากรู้ว่าแบบนี้เนี่ย มันคืออะไร เรียกว่าอะไร จิตออก หรืออะไร 555 แต่ตอนนี้ไม่เป็นแล้วนะอาการแบบนี้ เพราะระยะหลังๆถ้ามันหายใจแรงๆ จะรู้ตัวทันทีแล้วรีบเปลี่ยนอิริยาบถ 555 มันก็เริ่มหายๆไปค่ะ

    2. มีอาการหนึ่งคือ พอจิตเบาๆ แล้วภาวนาไปด้วย ลืมตาขึ้นมา เอามือจับสิ่งของต่างๆ สัมผัสต่างๆได้ แต่ไม่เห็นมือตัวเอง ไม่เห็นแขนตัวเอง มันเรียกว่าอะไร

    3.ทำไมเวลาที่มีวิญญาณหรืออะไรจะมาทำให้รู้ ทำให้เรารู้สึกง่วงมากๆ ง่วงจนทนไม่ได้ แล้วงีบ ก็จะเห็นวิญญาณหรืออะไรต่างๆที่อยากทำให้รู้ แต่ตอนนี้อาการง่วงๆนี้ก็ไม่ค่อยเป็นแล้วค่ะ หายๆไปแล้ว อยากรู้ว่าอาการแบบนี้เกี่ยวกับพลังงานที่จะมาทำให้รู้ป่าวคะ

    4. มีครั้งหนึ่งก็นานแล้วแต่ยังสงสัย อิอิ นอนกลางวันแต่ภาวนา สักพักได้ยินเหมือนเสียงกรน ก็คิดว่า ตัวเองไม่เคยนอนกรน ทำไมนอนกรน แต่มันไม่ใช่.. เพราะมันเป็นเสียงคำราม พอลืมตา มันคำรามทันที ตาเบิกกว้างๆ เห็นเป็นเสือลักษณะโปร่งแสงในตัวของเรา อ้าปากคำราม ตาวาวๆ ตอนนั้นมีสติดีอยู่ พอมันจะคำรามอีก เลยบังคับมันไม่ให้เกิดขึ้น มันจึงสงบไป อันนี้มันคืออะไร บางคนบอกเป็นวิชาเก่าที่มีมาแต่อดีต (คือในปัจจุบันไม่เคยสักยันต์ ไม่เคยครอบครูอะไรทั้งนั้น)

    อะคะ ขอบคุณค่ะ อิอิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กรกฎาคม 2017
  8. นทีบุญ

    นทีบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    939
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +795
    ได้ทราบเกี่ยวกับกสิณไปด้วย ขอบคุณค่ะ
     
  9. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014


    ให้ทุกคน คอมเม้นต์ ตามความคิดเห็นได้เต็มที่เลย
    เมื่อมีคนอยากรู้ พวกเราก็ช่วยๆกันตอบ
    ตามกำลังความสามารถเลยครับ
    ใครเห็นด้านไหน หรือว่า
    ด้านไหนยังตกหล่นไป ก็ช่วยกันตอบครับ
    เพราะผมจะไม่ค่อยตอบ ถ้าไม่มีคนถามโดยตรง
    ก็จะให้ผู้อื่น แนะนำกันไป แล้วเสริม
    ให้คิดเสียว่า คอมเม้นต์ เป็นแค่เพียง สิ่งนำทาง
    แต่เบื้องลึก ยังมีมากกว่านั้น
    แต่ถ้าผู้ถาม ไม่ถามให้เกิด อาการอยากตอบ
    ก็คงจะไม่นั่งทน คอยตอบกระทู้ยาวๆ นะครับ

    เอาไว้ให้ ผู้ที่ยังมีไฟ ในการตอบคำถาม
    มาช่วยกันตอบ ผิดถูก ก็อย่าทะเลาะกัน
    มันก็เหมือนนักเรียน ที่ตอบคำถามเวลาที่ครูถาม
    ก็ย่อมต้องมีคำตอบหลากหลาย มาตอบกัน
    แต่ที่สำคัญ คือ ใครตอบผิด
    ก็อย่าไปรุมประชาทัณท์เขา
    ต่อไป เมื่อเค้าศึกษามากขึ้น
    ก็จะสามารถ ตอบถูกได้เอง
    ตัวเรา ก็ถือซะว่า เป็นการฝึกปล่อยวาง
    อีกอย่างหนึ่ง ทำได้บ่อยๆ
    ก็บรรลุธรรมได้เหมือนกัน
     
  10. นทีบุญ

    นทีบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    939
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +795
    ขอบพระคุณสำหรับความคิดเห็นต่างๆนะคะ ถือว่าได้มาอ่านแลกเปลี่ยนกัน การศึกษาไม่มีที่สิ้นสุด
    อนุโมทนาบุญกับทุกกุศลด้วยค่ะ:D
     
  11. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019

    ที่ถามมาเนี่ยมันฟ้องเลยว่า
    จิตมีสัมผัส จิตทำงานได้แต่ว่า
    กำลังสมาธิไม่พอ
    และสติทางธรรมยังไม่พอ ๕๕๕
    แต่เป็นเรื่องปกตินะ ไม่แปลกเป็นกันได้ทุกคนนั่นหละ
    อย่างข้อแรก เป็นได้แม้ไม่ต้องเคยฝึกสมาธิมานะ....
    และกิริยาที่เรามาถามส่วนมากพวกที่จิตสัมผัสได้
    เค้าจะเป็นกันตอนที่ยังไม่ฝึกสมาธิเฉยๆ ๕๕๕๕๕

    ขอตอบเป็นข้อๆนะ
    ข้อ ๑ เป็นกิริยาปกติของตัวจิต เราเรียกว่า ช่วงมันก่อนตัวแล้ว
    ถ้าเราอายุไม่มาก และฝึกเจริญสติเรื่อยๆ
    และก็มีสัมผัสแบบนี้ ปกติจะเจอกิริยาของจิต
    ดังต่อไปนี้
    ๑.จิตกำลังจะผุด
    ๒.จิตผุดขึ้นมากำลังหมุน คล้ายเกลียวหรือสปริงหรือก้อนหอย
    ๓.จิตกำลังจะก่อตัว
    และ ๔.ก่อตัว
    ๕.และออกไปหกคะเมนตีลังกาข้างนอก.....
    ซึ่งในลักษณะการปฏิบัติ เราจะเจอย้อนจาก
    ข้อที่ ๕ ลงไปข้อที่ ๑ ยกเว้นคนที่อายุมากๆ
    ผ่านเรื่องราวในชีวิตมาเยอะ
    จะไม่เจอข้อที่ ๑ และ ๒

    ก็ขนาดฝึกสติมา นั่งสมาธิได้
    เข้าถึงข้อที่ ๑ ยังต้องสะสมกำลังสมาธิกำลังสติ
    กว่าจะควบคุมจิตให้อยู่ในร่างกายได้ ก็ยัง
    ต้องเข้าให้ถึงอีก ๓ ถึง ๔ ครั้งโน้น
    เพราะฉนั้นไปเจอข้อที่ ๕ แล้วกิริยาอย่างนั้น
    ถือว่าเป็นเรื่องปกติมากๆ ไม่แปลกหรอก.....
    ไอ้ที่รู้สึกซ๊อตๆเพราะกายตัดจิตตอนนั้นไม่ขาด
    ที่รู้สึกกายสั่นเพราะกำลังสมาธิสะสมไม่พอ เกทเนาะ

    ตอบ ข้อ ที่ ๒
    เค้าเรียกว่า สภาวะจิตมีความเป็นทิพย์ชั่วคราว
    การที่เป็นอย่างนั้นได้ เป็นเรื่องปกติมาก
    แต่เราจะไม่ได้ดูตอนนั้น เราจะดูว่า
    ร่างกาย ณ ตอนนั้น มันหายไปมากน้อยแค่ไหน
    ระดับของการหายไปของร่างกาย
    เป็นตัวบอก สภาวะจิตตอนนั้น
    ว่าสามารถตัดการยึดมั่นถือมั่นของร่างกายได้
    มากน้อยแค่ไหน เท่านั้นเอง
    พูดง่ายๆว่า เป็น ๑ ในวิธีที่พวกจิตทำงานได้บางกลุ่ม
    เค้าใช้ตรวจสอบผลของวิปัสสนา หรือผลของการเดินปัญญา
    ทางธรรมเพื่อลดละกิเลสนั่นหละ ไม่มีอะไร

    ตอบข้อ ๓ ถ้ากำลังสมาธิของเรา น้อยกว่ากระแส
    ที่มาจากภายนอก เราก็จะรู้สึกง่วงหรือส่งผลทางกาย
    อย่างนั้นหละ แต่ถ้าต่อไป มันจะไม่ง่วง แต่จะส่งผลทางกาย
    แต่การจะไปรู้ว่าเป็นอะไรหรือไม่อย่างไร
    ขึ้นอยู่กับความชำนาญของแต่ละบุคคล
    ซึ่งมีพื้นฐานความเข้าใจตรงนี้ จากกำลังสติทางธรรม...

    ตอบข้อ ๔
    นานแล้วแต่ยังสงสัย อิอิ เพราะไม่เน้นการสร้างสติทางธรรม
    เลยยังไม่รู้ซักที ณ เวลานี้ด้วยตัวเอง อิอิ
    อย่าไปให้ความสำคัญว่า สิ่งที่เห็นคืออะไร
    เราจะไม่เข้าใจนะ...
    จริงๆแล้วที่เห็น มันเป็นการบอกว่า
    จิตดวงนี้ มันเคยใช้งานเกี่ยวกับทางด้านพลังงาน
    มาก่อนได้ในอดีตชาติ
    ใช้งานได้จากอะไร ใช้งานได้จากกำลังสมาธิ
    ที่มาจากสัมผัสภายใน บวกกับเมตตา และ
    การทำจิตให้ว่าง แต่ที่สำคัญก็คือ
    เป็นการใช้งานได้ในลักษณะ
    การใช้งานแบบ บริกรรมคาถา หรือการท่องบ่นนั่นหละ
    ไอ้ที่เป็นเสือ บอกระดับการป้องกันทางจิตตัวเราเอง
    เทียบได้กับระดับเหล็กไหล...
    ไม่ใช่ว่า เคยเป็นเสือ สักเสือ อะไรแน่นอน ๕๕๕
     
  12. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ส่วนตัวพอเข้าใจนะครับ เข้าใจว่าคุณเจตนาดี
    แต่คุณควรจะเข้าใจด้วยนะครับว่า
    เรื่อง สภาวะ เรื่องการปฏิบัติ
    ซึ่งโดยปกติแล้ว เราจะไม่มาพูดกัน
    เพราะว่ามันเป็นปัจจัตตัง
    มีแต่ผู้ปฏิบัติเท่านั้นที่จะทราบด้วยตัวเอง


    แต่ในห้องนี้ เมื่อเกิดการติดขัดขึ้น
    ก็จึงได้นำมาถามไถ่ เพื่อว่า
    จะมีใครเข้าใจ และให้ก้าวข้ามสภาวะที่ติดขัดไปได้
    มันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะมาพูด
    หรือมาแสดงความคิดเห็นกันเล่นๆ
    หรือมาแนะนำเล่นๆครับ
    หรือคิดว่า น่าจะเป็นอย่างนี้
    น่าจะเป็นอย่างนั้น
    มันเป็นเรื่อง ของการปฏิบัติ
    ที่ควรจะต้องมีประสบการณ์
    และเคยผ่านมาก่อนครับ


    คุณคิดว่า คนที่มาตอบผิดๆ
    แล้วต่อไปข้างหน้าเค้าจะปฏิบัติถูกได้เองหรือครับ
    มันไม่ใช่การตอบปัญหาแบบทางโลกนะครับ
    แล้วคนที่ไม่รู้มาอ่าน แล้วดันไปหลงเชื่อ
    คนที่ตอบผิดๆแบบไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน
    แล้วคุณคิดว่า อนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไรหละครับ

    เพราะคุณรู้ไหม มันหมายถึงชีวิตคนๆหนึ่งนะครับ
    ชีวิตคนนะครับ มันจะส่งผลต่อการดำเนินชีวิต
    ของคนๆนั้นได้ในอนาคต

    จะให้ไปแนะนำคนเล่นๆ โดยที่เราไม่รู้ ไม่เคย
    ผ่านมาก่อนมันควรหรือครับ

    และ มันจะกลายเป็นวิบากให้กลับ
    ตัวเราเองครับ
    เพราะ มันจะทำให้ตัวเราเองนั่นหละครับ
    หลงสภาวะ หลงตัวเอง และเราปฏิบัติอะไรก็จะไม่สำเร็จซักอย่าง
    และความเข้าใจทางด้านนามธรรมเราก็จะไม่ดี
    ซึ่งมันส่งผลต่อสัมผัสต่างๆและการรับรู้ต่างๆของเราด้วยครับ

    พวกนี้จะกลายมาเป็นวิบากตัวเป้ง
    ที่จะขวางการคลายตัวของจิตเราเองครับดังนั้น
    ถ้าเราไม่เคยเข้าถึง หรือเราไม่รู้
    เราก็อ้างอิงตำราก็ได้นิครับ...
    เรื่องแบบนี้ไม่ควรทำเป็นเล่นไป....
    ไม่ใช่ว่าตอบผิด แล้วศึกษามาขึ้น
    แล้วข้างหน้าจะถูกเอง
    มันเป็นคำพูด
    ที่ขาดสามัญสำนึกและความรับผิดชอบ
    ต่อขีวิตคนครับ
     
  13. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014


    ขอแนะนำให้ อาจารย์นพกาน
    ไปฝากตัว เป็นศิษย์ของ

    อาจารย์แดงกีต้าร์ (หมดฤทธิ์)
    เพราะท่านกล่าวธรรมะแท้ได้ดีมาก
    ท่านกล่าวคำสอนของ พระอริยะเจ้า ได้ดี
    และสามารถสอนคนที่ฟังให้บรรลุธรรมได้
    แต่ผู้นั้น ต้องมีโพธิจิต ระดับ พระพุทธเจ้า
    พระปัจเจกะพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์
    จึงจะสามารถเข้าใจได้ เพราะท่านบรรลุ
    ด้วยการพิจารณา
    ธรรมในธรรม อย่างเดียว
    แล้วท่านจะรู้ว่า พูดมากเกินไป
    ก็ไร้ประโยชน์ ถ้ายังไม่ถึงเวลา
    แต่เมื่อถึงเวลา กล่าวคำเดียว
    ก็สามารถบรรลุธรรมได้
     
  14. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019

    คุณเนี่ย ซื่อจริงๆเนาะ..ซื่อแต่ไม่ไช่ว่าโง่นะ
    และไม่ใช่ว่าคุณเป็นคนไม่ดีนะ....
    และทุกวันนี้ ก็ยังหลงคิดว่าตัวเองบรรลุธรรมนะเนี่ย
    ปัญญาทางธรรมที่คุณมี มันเป็นแบบมีตัวกระทำครับ
    ไม่ใช่ปัญญาทางธรรมแบบที่ทำให้จิตหลุดพ้นนะครับ

    ความเข้าใจทางด้านนามธรรมต่างๆคุณยัง
    ไม่ได้เสี้ยวของหลายๆท่านเลย
    ความสามารถทำได้จริงคุณก็ไม่มี
    ผมประหลาดใจมาก ว่าทำไมคุณถึงคิดลึกๆว่า
    ว่าตัวเองบรรลุธรรมได้ครับ
    ..
    การที่แค่ สร้างเมตตาแบบมีตัวกระทำ
    แบบคุณ ทางปฏิบัติเรียกมีเมตตาแบบ เมตตาใช้ปากนั้น
    การที่เข้าถึงเรื่องพลังงานแบบใช้ความคิดร่วมกระทำ
    ซึ่งทำให้เรื่องพลังงานคุณเป็นไปแบบมโน
    และการที่จิตพอมีสัมผัสระดับสองสลึง
    ที่ปนไปด้วยความคิดจากจิตตนเอง
    แล้วถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดเป็นวรรคเป็นเวร
    มันไม่เพียงพอที่จะทำให้คุณ บรรลุคุณธรรม
    ห้า หก เหว อะไรได้หรอกนะครับ


    คือ ปกตินะครับ ใครก็ตามที่จะมาสอนผมได้
    คือ จะต้องรู้ว่า ผมทำอะไรได้เป็นปกติ
    และสอนผมได้ แนะนำผมได้ด้วย
    ในเรื่องที่ผมกำลังทำอยู่ครับ
    ถ้าจะเป็นฆารวาสที่จะสอนผมได้นะครับ
    มีความสามารถหักกระดูกด้วยกำลังจิต
    แล้วต่อขึ้นมาให้ผมเห็นต่อหน้าต่อตาได้ไหมครับ
    แบบไม่ต้องโดนตัวนะครับ

    ที่ว่าทิ้งฤิทธิ์ไปแล้วนั้น เมื่อก่อนเป็นฤิทธิ์แบบไหนครับ
    ถ้าพวกเป็นฤิทธิ์แบบรู้เองคนเดียว
    แบบประเภทที่ พิสูจน์ให้เห็นต่อหน้า
    หรือทำฤิทธิ์แบบที่ตนเองมีให้เกิดกับ
    คนอื่นๆไม่ได้เหมือนตน...
    พิสูจน์ให้เกิดผลของความสามารถ
    นั้นๆไม่ได้

    ขอร้องว่า ไม่ต้องมาเสนอหน้าแนะนำให้ผมรู้จัก
    ถ้าคุณคิดว่า ท่านดีแล้ว ก็เรื่องของคุณครับ
    ส่วนผมไม่ขอไปยุ่งอะไรด้วยและคุณ ก็ไม่ต้อง
    ทำเป็นพูดให้เสมือนว่าถ้าผมได้ไปเจอ
    แล้วผมจะบรรลุธรรม เหมือนผมมี
    วาระเรื่องบรรลุธรรม ห้า เหว
    อะไรแบบที่คุณ หลงคิดไปเองว่าตัว
    เองบรรลุธรรมอยู่ตอนนี้ให้ผมอีกนะครับ


    ไม่ต้องมาเสนอหน้าให้ผมไปรู้จักนะครับ
    เพราะว่า เสียเวลาครับ
    ปล่อยผมอยู่ของผมอย่างนี้ต่อไปดีกว่าครับ
    ประเภท ที่ยังติด อย่างหนึ่งอย่างใดต่อไปนี้
    ให้จำเอาไว้เลยนะครับ..
    ไม่ว่า ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ อย่างใดอย่างหนึ่ง
    อย่าเสนอหน้ามาแนะนำว่า จะทำให้ผมบรรลุธรรมได้
    หรือแนะนำผมอีกนะครับ ขอร้อง...
    เพราะผมพอรู้ดีว่า ดวงจิตพวกนี้เป็นแบบไหน
    เพียงแต่ผมมีมารยาท เพียงพอที่จะไม่
    ไปวิพากษ์วิจารณ์ใคร
    ไอ้ประเภทอ้างๆ ห่มเหลืองมีชื่อในอดีตทั้งหลาย
    เอามาเป็นเชิงพานิชย์ ถ้าเจอผมไปขอท้าพิสูจน์
    เจอให้แสดง ประกันได้ว่า มีเงิบกันทุกราย
    แต่ผมรู้จัก มารยาทในการอยู่ร่วมกันอยู่ครับ


    ยังไงผมก็ขอขอบคุณมากนะครับ
    ที่อุตสาห์แนะนำผมนะครับ
    ถามจริงๆนะ คุณพอรู้ จริตผมไหมครับ
    คุณรู้ไหมว่า ดวงจิตผมเนื้อหาเดิมแท้
    มันสะสมบารมีทางด้านไหนมาครับ....
    ถึงได้แนะนำให้ผมไปฝากตัวเป็นศิษย์ท่านนั้นครับ


    คือปกตินะครับ ท่านที่สอนผมเนี่ย
    จะเป็นทางฝ่ายภพภูมิ....กับเป็นท่านที่ห่มเหลืองมีชีวิต
    เอาภาคส่วนภพภูมิก่อนนะครับ
    แต่ถามคุณเฉยๆนะ แต่ไม่ต้องตอบ
    เพราะคุณตอบไม่ได้แน่นอนครับ
    คุณ มีเครื่องรู้ไหม ว่าห่มเหลืองในภพภูมิท่านใด
    มาสอนกสิณผม
    คุณ รู้ไหมว่า ท่านใดสอนเทคนิคการใช้งานผม
    คุณ รู้ไหมว่า ท่านใดสอนวิชาเดินธาตุโบราณให้ผม
    คุณ รู้ได้ไหมว่า มีท่านใดอีกสอนสมาธิให้ผมบ้าง
    คุณ รู้ได้ไหมว่า ท่านใดดูและอยู่เบื้องหลังเรื่องพลังงานให้ผม
    คุณ รู้ได้ไหมว่า มีท่านใดอยู่เบื้องหลังการใช้งาน
    กรรมฐานกองต่างๆของผมบ้าง ฯลฯ

    และคุณรู้ไหมว่า ผมมีครูบาร์อาจารย์ที่เป็นพระสงฆ์
    ซึ่งไม่ขอเอ่ยชื่อนะครับ
    มีท่านใดบ้างครับ ประกันได้ว่า ท่านที่สำเร็จ
    ระดับจิตธาตุ พลิกนามธรรมเป็นรูปธรรมได้
    แบบตาเห็นๆก็มี
    ชาตินี้ คุณไม่มีทางได้พบเจอแน่
    นอนครับ..และรู้ไหม ว่าท่านใดสอนเรื่องปัญญากับผม
    รู้ไหม ว่าแต่ละท่านที่ห่มเหลืองนั้น
    ความสามารถทางจิตระดับไหน....
    ซึ่งทุกท่าน ที่กล่าวมานี้ รู้หมดว่า ผมทำอะไรได้
    และสอนผมได้ ที่สอนได้ เพราะท่านห่มเหลืองอยู่
    จึงไม่สามารถที่จะแสดงและสอนคนทั่วๆไปได้เข้าใจนะ

    ก็แค่ถามตรงๆอีกอย่างนะ แต่ไม่ต้องตอบนะครับ
    เพราะผมรู้ว่า คุณไม่มีเครื่องรู้ตรงนี้ครับ...
    เป็นแง่คิดเฉยๆนะ....

    ๑.คุณรู้ไหมว่า สภาวะดวงจิต
    ที่บรรลุธรรมเป็นอย่างไร คุณมีเครื่องรู้ตรงนี้ไหมครับ
    ตอบเลย คุณไม่มีครับ

    ๒.คุณรู้ได้ไหมว่า ดวงจิตใดก็ตาม
    ที่บอกว่าที่ สามารถบอกว่า ตนเอง
    จบกิจแล้ว ดวงจิตนั้นๆ แม้ว่าจะมีกระแส
    แห่งปัญญาทางธรรม(ซึ่งกระแสปัญญาทางธรรม
    มีหลายแบบนะ แบบที่เป็นรูปแบบ อย่างท่าน
    ที่คุณแนะนำผมนั่นหละ ซึ่งยังมีความคิดตนเอง
    ปนอยู่ ถามจริงๆคุณดูออกไหม) กับดวงจิตที่
    จบแล้วจริงๆ กระแสด้านปัญญาจะขยายออกกว้าง
    ไร้รูปแบบ คุณมีเครื่องรู้ตรงนี้ไหมครับ
    ตอบได้เลยว่า คุณไม่มีเครื่องรู้ตรงนี้ครับ.....

    ๓. คุณรู้ไหม ดูออกไหม ดูบารมีดวงจิตที่จบกิจแล้ว
    ออกไหม ว่าภาคส่วนภพภูมิให้ความเคารพท่าน
    เหล่านั้นมากน้อยแค่ไหน...

    ปล. ยังไงขอขอบคุณอีกครั้งนะครับ
    ข้างบนถือว่าเล่าให้ฟังเฉยๆนะครับ

    '' อาจารย์เป็นคนเลือกศิษย์ครับ
    ไม่ใช่ศิษย์จะไปเลือกอาจารย์
    สภาวะจิตเราเป็นอย่างไร
    เราก็จะเจอครูบาร์อาจารย์อย่างนั้น

    การเสาะแสวงหาครูบาร์อาจารย์
    เป็นเพียงแค่แนวทางเดินให้จิตครับ

    คนที่ฉลาด จะเอาตัวเราเองนี่หละครับ
    เป็นครูบาร์อาจารย์คอยสอนคอยเตือนตัวเอง

    ครูบาร์อาจารย์มีไว้ให้เราเคารพ แต่ไม่ใช่เอาไว้ให้ยึดถือ
    การปฏิบัตบูชาที่ดีที่สุดคือการปล่อยวางครับ

    สำหรับคุณนะ อีกอย่างเด่วจะไปไกลกว่านี้

    มายาจิต เป็นแค่เพียงกลจิตชนิดหนึ่ง
    แม้เห็นได้ด้วยตาเปล่ายังยึดไม่ได้

    แต่คุณสัมผัสได้ด้วยสัมผัสเล็กๆน้อย
    บวกกับความคิดจากสมองของคุณปรุ่งร่วมด้วย
    เหตุใดถึงได้ยึดและไม่รู้จักปล่อยวางครับ

    ขอบคุณมากครับ
     
  15. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    จขกท. ทำสมาธิ หรือเรียกอะไรก็ว่ากันไป เพื่อจุดประสงค์ใดครับ
     
  16. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    เท่าที่ดูคำสอนของพระพุทธเจ้า ยังไม่เคยเห็นพูดเรื่องตาที่สามตรงไหนเลย

    แต่เรื่องจิต,เรื่องวิญญาณทางพระพุทธศาสนามีพูดไว้ และท่านว่า จิตหรือวิญญาณเปรียบเหมือนนักมายากล มันแสดง (เปลี่ยนหน้าเล่น) ได้สารพัดและรวดเร็วยิ่งกว่าอุปรากรจีนอีก
     
  17. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    ตอบคำถามรวมๆกัน คือ จขกท. จิตหลุดจากปัจจุบันอารมณ์ (สิ่งที่เราใช้กำหนด) ทั้งหลายทั้งปวงที่เล่านั้น เป็นอาการของจิตซึ่งมันแสดง (เกิด-ดับ) แต่ละขณะๆ
     
  18. นทีบุญ

    นทีบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    939
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +795
    อ่านทุกบรรทัดแล้ว ขอบคุณสำหรับคำแนะนำต่างๆค่ะ อยากสอบถามต่อ อ่านก่อนบรรทัดสุดท้าย เห็นคำว่า "เหล็กไหล" ทีนี้ คือ ในระหว่างนั้นมีคนเอาขี้เหล็กไหลมาให้ เขาบอกว่าได้มาจากพระรูปหนึ่ง เป็นพระธุดงค์อยู่ลพบุรี ได้มานานแล้ว เลยเอามาให้ดูและฝากไว้ ตอนกลางคืนหลับไปด้วยความสงสัยในเหล็กไหล แต่มือยังกำเหล็กไหลอยู่ น่าจะประมาณ 5 นาที ก็เห็นตัวเองไปอยู่ที่ๆหนึ่ง เป็นเรือนไทยๆ มีชายแก่ๆนุ่งขาว เหมือนคนจีน มากระซิบบอกว่า จะมีเสือมานะ แต่อย่าหนี ห้ามหนี พอสักพัก เสือมาจริงๆ แต่เป็นเสือสมิงผู้ชาย ดวงตาเป็นเพชรข้างหนึ่ง มาแยกเขี้ยวแล้วกระโจนใส่ มือเราที่กำเหล็กไหลอยู่ข้างหนึ่ง มือข้างหนึ่งบีบคอเสือ มันพยายามกัด เราก็แผ่เมตตา สวดชินบัญชร ถามมันว่ายอมไหม มันไม่ตอบ มันจะกัด เลยตบมัน จนตื่น แล้วปรากฎแขนทั้งสองข้างมันร้อน และมีลักษณะวิ่งๆพล่านเหมือนไฟช็อต ที่ถามนี่คือ อยากรู้ว่าสิ่งที่สงสัยคือมันเป็นการทดสอบกำลังของเหล็กไหลชิ้นนั้นป่าว ว่าใช้ได้จริง ประมาณว่าสามารถต้านกำลังของเสือสมิงได้... ต่อข้อถามคือ เวลาในฝันหรืออะไรก็ตาม ที่ไม่ใช่โลกของความจริง ซึ่งมีหลากหลายเหตุการณ์ กับพวกผีสางนางไม้หรืออะไรก็แล้วแต่ ทำไมแลเป็นคนดูโหดร้าย ออกเถื่อนๆ มันคือจิตใต้สำนึกลึกๆของเราป่าว

    และอีกข้อคือ เรื่องของการรู้เห็นอะไรต่างๆ เข้าใจว่าอาจจะเกิดขึ้นตอนที่จิตว่างเพียงชั่วขณะแล้วทำให้เกิดความแม่นยำของสิ่งที่รู้ มีครั้งหนึ่งที่เห็นเพื่อนของเพื่อนในที่ทำงาน มีฤาษีอยู่ในตัว สักยันต์ที่หลัง ครอบครู แล้วเราก็ว่าจริงป่าววะจากสิ่งที่เห็น เลยฝากถามเขาไป เขาบอกจริงและถ่ายรูปมาให้ดู ปรากฎว่าสิ่งที่ทำให้เห็นคือเขาลืมครู เขาบอกลืมไปเลย ถ้าไม่ถามเขาก็ลืมว่าเขาเคยสักมา บางครั้งก็มีคนบอกว่าจำไม่ได้ว่าเครื่องรางชิ้นนี้ได้มาที่ไหน ใครให้มา เราก็ดันไปเห็นคนที่สร้างเครื่องรางในสมาธิแบบยืนหันหลังให้ แล้วถามเขาว่า ใช่พระรูปนี้ป่าว ลักษณะแบบนี้ มันบอกใช่ ลืมไปเลย ทำไมลืม 555 ก็ท่านหันหลังให้อ่า แบบอยากปิดไรแบบนี้ คือจิตจะออกแนวขี้เสือกหน่อยๆ 555
    มันไงหละคะ ถ้าจู่ๆมีคนพูดอะไรขึ้นมาแล้วเราไม่ได้คิดไร เหมือนฟังผ่านๆ แล้วดันมีภาพแชะ ขึ้นมาแบบนี้ หรือมีกระแสพลังอะไรบางอย่างที่ทำให้รู้ว่าเป็นอันนั้นอันนี้ แต่ถ้าเอาแค่ความรู้สึกหรืออะไรที่ไม่ชัดเจน เช่น มัวไปคิดไปนึกอยู่ก็จะไม่ใช่แล้ว ... แต่ทุกครั้งที่เห็น จะยังไม่แน่ใจอะไรทั้งนั้น555 ไม่เชื่อในตัวเองเท่าไหร่ ต้องถามเขาก่อนว่าจริงไหม ถ้าเป็นจริงแล้วค่อยเชื่อ
    แต่จากที่พิจารณา ก็เข้าใจว่ามันยังช้าอยู่ในเรื่องการรับรู้ออกแนวดีเลย์ เพราะจิตยังไม่ห่างจากกิเลส ปรุงแต่งก็เยอะจัด การรับรู้ที่แม่นยำจึงน้อยกว่าที่ไม่แม่น ถ้าจิตที่ห่างกิเลสมากเท่าไหร่ก็คงเร็วและชัดมากเท่านั้น นั่นคือ ในระดับพระอริยะ เข้าใจถูกป่ะ


    ถามจบแล้วค่ะ ถามแกมเล่าเอามันส์ นานๆจะได้เข้ามาสักครั้ง 555
    สติทางธรรมต้องหมั่นฝึกเนาะจะได้ไม่ถามอีกเด้อ พอเข้าใจเนาะ555555
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กรกฎาคม 2017
  19. นทีบุญ

    นทีบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    939
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +795
    ขอบพระคุณสำหรับข้อคิดเห็นดีๆค่ะ
     
  20. นทีบุญ

    นทีบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    939
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +795
    ขอบคุณสำหรับข้อคิดเห็นและคำตอบต่างๆค่ะ มีอะไรเสนอแนะเชิญเลยค่ะ อ่านของทุกท่านทุกบรรทัด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กรกฎาคม 2017
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...