โ พ ธิ สั ต ว์แท้ กับ โ พ ธิ สั ต ว์เทียม

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย lepus, 13 มกราคม 2008.

  1. lepus

    lepus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    307
    ค่าพลัง:
    +1,881
    คุณ M wong ครับ
    ข้อ 1 และข้อ 2 นั้นผมได้อธิบายไปแล้วนะครับหวังว่าคุณคงเข้าใจ


    ถึงตรงนี้ผมเข้าใจว่าคุณ M wong เชื่อพระไตรปิฎกเพียงอย่างเดียว ส่วนคัมภีร์ปกรณ์อื่น ๆ ทางพุทธศาสนาเถรวาทนั้นคุณ M wong ปฏิเสธทั้งหมดเลยใช่หรือเปล่า

    ถ้าเป็นดังนี้ก็แสดงว่าคุณปฏิเสธการสร้างพระบารมีของพระพุทธเจ้าในช่วงก่อนหน้า 4 อสงไขยแสนมหากัปโดยสิ้นเชิงผมเข้าใจถูกใช่ป่าวครับ เพราะว่าพระไตรปิฎกบ้านเราไม่มีกล่าวถึงเลย

    ถ้าไม่แล้วผมถามกลับว่าคุณ M wong ทราบเรื่องราวการบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้าช่วง 20 อสงไขย ช่วงที่ทรงตั้งมโนปณิธานและช่วงวจีปณิธาได้อย่างไรครับ ก็ในเมื่อเรื่องราวเหล่านี้ไม่ได้ปรากฎในพระไตรปิฎกบ้านเราเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มกราคม 2008
  2. lepus

    lepus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    307
    ค่าพลัง:
    +1,881
    ส่วนข้อ 3 นั้น



    ผมขอถามกลับก่อนครับว่าตรงไหนครับที่ผมกล่าวว่า เป็นการชำระพระไตรปิฎกที่ไม่สมบูรณ์

    ก็อย่างที่ผมได้กล่าวไว้นั่นแหละ การจะศึกษาเรื่องราวต่างๆ ในพระพุทธศาสนาเถรวาทให้สมบูรณ์นั้นบางทีก็จำเป็นต้องอาศัยคัมภีร์ปกรณ์อื่นๆ ที่นอกเหนือจากในพระไตรปิฎกบ้านเราประกอบด้วย แต่ทั้งนั้นทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าพระไตรปิฎกบ้านเรานั้นไม่ถูกต้อง อย่างเช่นคัมภีร์มิลินท์ปัญหาเป็นต้นในประเทศพม่านั้นเขาเอารวมเข้าไว้ในพระไตรปิฎกด้วยนะครับแต่บ้านเราไม่ใช่ แล้วคุณ M wong ล่ะเชื่อถือคัมภีร์มิลน์ปัญหาหรือเปล่า

    โสตัตถกี นี้ก็เหมือนกันเป็นคัมภีร์นอกพระไตรปิฎกเช่นเดียวกับมิลินท์ปัญหา.ซึ่งก็สามารถใช้ศึกษาเสริมในส่วนที่นอกเหนือจากพระไตรปิฎกได้และก็เป็นที่ยอมรับ..
    " ตำนานมูลศาสนา" เป็น ปกรณ์วิเสสที่เก่าแก่ที่สุดของ ล้านนา ตามประวัติกล่าวว่า
    เกิดก่อน " ชินกาลมาลีปกรณ์"
    ในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชวินิจฉัย และทรงโปรดเกล้าให้พิมพ์พระราชทานเผยแพร่แก่ประชาชน ในปี พ.ศ. 2518 ซึ่งได้ทรงพระกรุณาพระราชทานตราสัญลักษณ์ประจำ
    รัชกาล " ภ.ป.ร" ไว้อยู่เหนือ "ตำนานมูลศาสนา"
    อันหมายถึง หลักฐานทางพระพุทธศาสนาที่พระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชวินิจฉัย และ เป็นหลักฐานส่วนของพระมหากษัตริย์ แล้วนั่นเอง

    หากคุณ M wong ไม่เชื่อตรงนี้ก็ลองหาหลักฐานจากหนังสือเล่มนี้ดูก็ได้นะครับ เพราะชื่อหนังสือก็มีปรากฎชัดเจนอยู่แล้วคงจะไม่เป็นการยากนัก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มกราคม 2008
  3. lepus

    lepus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    307
    ค่าพลัง:
    +1,881
    "โสตัตถกี" ผู้รจนา คัมภีร์นี้ คือ " ท่านพระจูฬพุทธโฆษะเถระ" คัมภีร์นี้เผยแพร่ในหมู่ประเทศที่นับถือพุทธศาสนาเถรวาทมายาวนานนับพันปีแล้ว ก็เช่นเดียวกับ คัมภีร์มิลินท์นั้นแหละ

    พระจูฬพุทธโฆษะเถระ เป็นพระคันถรจนาจารย์ผู้ทรงปริยัติ ทรงพระไตรปิฎกและอรรถกถา และ เป็นพระผู้ทรงศีล ทรงธรรม ทรงวินัย
    แม้ว่าจะมีใครจะไม่เชื่อและกล่าวตู่คัมภีร์เหล่านี้ก็ตาม แต่ผมเชื่อเต็มที่ครับ
     
  4. รุธ

    รุธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2005
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +1,091
    เมตตาจิต
    เจตนานำพาสู่กรรม
    เจตนาดี............ ดี
    เจตนาไม่ดี......... ไม่ดี

    บางทีปัญหาของภาษาและการสื่อสาร ก็เป็นสิ่งที่เราต้องทำความเข้าใจในบางวาระ บางโอกาส อะไรเป็นประโยชน์อะไรไม่เป็นประโยชน์ ตรองดู

    ปัญญา สติ อุเบกขา อภัยทาน
     
  5. imfd

    imfd เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +335
    เรื่องเช่นนี้มีหลายที่มา ยากนักที่จะตัดสิน พุทธทำนายยากยิ่งนักที่คนธรรมดาจะเข้าใจว่าปัจจุบันจะมี องค์ใด ระดับใดบ้าง
    ยิ่งในยุคกัปต่อไปที่มีองค์พระศาสดาพระศรีอารยะเมตไตร ยิ่งไม่ต้องนึกถึง ว่าจะคือท่านผู้ใด เพราะถึงในตอนนั้นผู้คนทั้งหลายที่เกิดมาในยุคนั้นไม่ว่าจะเป็นเทวดา เทพ พรหม หรืออะไรต่าง ๆ คงไม่ต้องสงสัยอะไรอีกต่อไปและคงไม่มีเหลือความจำหรือสงสัยใด ๆ ในอดีตหลงเหลืออยู่จนถึงกาลอนาคต
     
  6. Falcon_Se

    Falcon_Se เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2008
    โพสต์:
    199
    ค่าพลัง:
    +223
    ขออนุโมทนาครับ แต่ระวังนิดนึงในการกล่าวพาดพิงพระเถระ ผมเคยได้ฟังมาว่าหลวงปู่ทวดท่านก็คือพระศรีอริยเมตตรัย ตำนานเล่าว่าท่านหายไปพร้อมกับเณรในกลางดึกคืนหนึ่ง โดยกลายเป็นดวงไฟพุ่งออกไปสองดวง (คือหลวงปู่กับเณร) จากกุฏิตอนกลางดึก นั่นเพราะเณรองค์นั้นไปได้ดอกมณฑาซึ่งเป็นดอกไม้ที่อยู่ในสวรรค์มา และอธิษฐานจิตว่าหากใครสามารถบอกได้ถูกว่าดอกไม้นี้คือดอกอะไร ท่านจะยอมรับว่าท่านผู้นั้นคือพระศรีอริยเมตตรัย ..ซึ่งเณรนั้นได้ตระเวณเสาะหาผู้ที่จะทำนายได้ถูก แต่ก็ไม่พบใครจนกระทั่งมาพบหลวงปู่ และหลวงปู่ก็ตอบได้ตามที่เณรอธิษฐาน เมื่อเณรหาผู้ที่ทายถูกได้แล้วจึงถามหลวงปู่ว่า "ท่านคือพระศรีอริยเมตตรัยใช่หรือไม่?" หลวงปู่ทวดจึงตอบว่า "ใช่" ..ด้วยความกลัวว่าเณรจะเอาเรื่องนี้ไปป่าวประกาศ และทำให้ท่านต้องวุ่นวายจนไม่เป็นอันปฏิบัติธรรม คืนนั้นหลวงปู่จึงพาเณรไปนั่งกรรมฐานด้วยกันในกุฏิ ทั้งสองท่านเข้าฌานสมาบัติ (ตอนนี้หลวงปู่ทวดช่วยให้เณรนั้นได้ฌานที่ทำให้สามารถเนรมิตกายใหม่ได้) ท่านอธิษฐานจิตว่าขอเนรมิตร่างกายใหม่ ให้คนจำไ่ม่ได้ แล้วเกิดเป็นดวงไฟสองดวงพุ่งออกจากกุฏครับ และนี่คือสาเหตุของตำนานที่ว่าทำไมหลวงปู่ทวดกับเณรจึงหายไป และต้นตอของเรื่องที่ว่าครั้งสุดท้ายที่คนเห็นหลวงปู่ทวดทำไมจึงเห็นเป็นดวงไฟพุ่งออกจากกุฏิ ทั้งหมดที่เล่ามาเพียงเพื่ออยากให้ทราบว่าถ้าไม่รู้จริงผ่านภาวนามยปัญญา (คือรู้จากสุตมยปัญญาและจินตมยปัญญาตามวิสัยของชาวโลกทั่วไป) ว่าท่านใดภูมิธรรมชั้นใด อย่าได้ด่วนไปตัดสินท่านตามสุตมยปัญญาหรือจินตมยปัญญาของตนครับ
     
  7. parnparn

    parnparn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    136
    ค่าพลัง:
    +199
    ขอถามหน่อยนะครับ อย่างนี้ที่บอกว่ามีพระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเต็มคอยที่ชั้นดุสิต เป็นแสนองค์ ก็ขัดกันใช่ไหมครับ
     
  8. hydraxis

    hydraxis เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2012
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +529
    มีใครบอกท่านมาแบบนี้

    ไม่มีแท้และเทียม ทั้งหมดไม่มีตัวตน เรากล่าวเพียงแค่ว่าเพื่อสะสมบารมี ในการตรัสรู้อบรมสั่งสอนให้คนเข้าถึงนิพพาน มีระดับอย่างอ่อน ระดับกลางปกติและ เข้มข้น ไม่มีแท้หรือเทียมในการบำเพ็ญบารมี อย่าได้กล่าวอย่างนั้นจะพากันเข้าใจผิด โพธิสัตว์ เกิดขึ้นตั้งแต่ เมื่อมีโพธิจิต เมื่อบารมีเต็มจะบังเกิดโพธิญาน ตรัสรู้สัมมาสัมพุทธเจ้า
     
  9. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +792
    การสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์เจ้า เพื่อบ่มพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พระศรีศากยมุนี “โคดม” พระองค์ทรงเป็นพระพุทธเจ้าประเภท “พระปัญญาธิกะ” คือ ทรงยิ่งด้วยพระปัญญา พระองค์ต้องทรงใช้เวลาสร้างพระบารมีถึง ๒๐ อสงไขย และอีก หนึ่งแสนมหากัป ซึ่งการสร้างพระบารมีของพระพุทธเจ้านั้นใช่จะสร้างกันได้ง่าย ๆ อย่างที่คิดกันไว้ และการที่จะแสดงเพียงพระชาติสุดท้ายที่เป็นพระสุเมธดาบสนั้นก็ดูจะง่ายและสั้นเกินไป ทั้งนี้เพราะการสร้างบารมีของพระพุทธเจ้านั้น พระองค์ต้องทรงใช้ความพยายามอย่างยิ่งใหญ่ ต้องเสียสละใหญ่หลวง ต้องบำเพ็ญบุญและทานบารมีถึงชีวิต ดังนั้นการสร้างบารมีของพระพุทธเจ้านั้นจะแบ่งได้เป็น ๓ ระยะ คือ ๑. พระบารมีเริ่มแรก ๒. พระบารมีตอนกลาง ๓. พระบารมีตอนปลาย

    การสร้างพระบารมีเริ่มแรก
    การสร้างพระบารมีเริ่มแรกของพระพุทธเจ้านั้น ทรงปรารถนาพระพุทธภูมิ โดยตั้งดำริความปรารถนาไว้ในพระหฤทัยแต่ยังมิได้ออกพระโอษฐ์เปล่งพระวาจาออกมา ต้องใช้เวลา นานถึง ๗ อสงไขย

    ปรากฏเมื่อโลกธาตุว่างจากพระพุทธศาสนา คือ ไม่มีพระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกนี้เป็นเวลานานถึง ๑ อสงไขย จึงทำให้ธรรมวิเศษ คือ อริยมรรคอริยผลอันเป็นโลกุตรธรรมนั้นว่างเว้นไป เพราะธรรมวิเศษนี้จะมีได้ก็แต่เฉพาะภายในพระพุทธศาสนาเท่านั้น ซึ่งในครั้งนั้นบรรดาพระอริยบุคคลที่ได้ทรงบำเพ็ญบารมีในกาลก่อน จนได้บรรลุถึงมรรคผลเบื้องบนสำเร็จเป็น “พระอนาคามี” อริยบุคคล แล้วจึงจุติขึ้นไปอุบัติเกิดเป็นพระพรหมอนาคามี ณ พรหมโลกชั้นสุทธาวาสทั้งห้า คือ อวิหาพรหมโลก อตัปปาพรหมโลก สุทัสสาพรหมโลก สุทัสสีพรหมโลก และอกนิษฐพรหมโลก เมื่อพระอริยบุคคลเหล่านั้นไปอุบัติบังเกิดเป็นพระพรหมอนาคามีแล้ว ก็เจริญกรรมฐานต่อไปจนกระทั่งได้บรรลุมรรคผลขั้นสูงสุด คือ ได้สำเร็จเป็น “พระอรหันต์” แล้วก็ดับขันธปรินิพพาน ณ พรหมโลก นั้นเอง เมื่อเป็นเช่นนี้พระพรหมอนาคามีก็เหลือน้อยลง และผู้ที่จะมาอุบัติเกิดใหม่ก็ไม่มี เนื่องเพราะโลกนี้ว่างจากพระพุทธศาสนา

    เมื่อเป็นเช่นนี้ เหล่าพระอริยบุคคล ณ พรหมโลกทั้งห้า จึงได้มีดำริปรึกษากัน เพื่อสอดส่องแสวงหาดูทั่วทั้งหมู่มนุษย์และเทวดาเพื่อจักหาบุคคลผู้มีใจผูกพันมั่นคงกล้าหาญ เต็มไปด้วยความพยายามอย่างยิ่งใหญ่ อาจประกอบกิจที่มุ่งมั่นให้สำเร็จลุล่วงได้ โดยมิย่อท้อ ไม่ได้อาลัยถึงร่างกายและชีวิต โดยประสงค์ว่า เมื่อพบผู้มีน้ำใจองอาจมั่นคงชนิดนี้แล้ว จักได้เข้าบันดาลดลจิตของผู้นั้นให้บังเกิดมีน้ำใจรักใคร่ในทางที่จะปรารถนาพระพุทธภูมิ เพื่อตรัสรู้พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ ในอนาคตกาลภายภาคหน้า

    บุรุษหนุ่มผู้เข็ญใจ
    กาลครั้งนั้นพระโพธิสัตว์เจ้าได้ถือกำเนิดเป็นบุรุษหนุ่มผู้เข็ญใจ มีความยากจนอย่างหนัก เมื่อถึงกาลเจริญวัยเป็นมานพหนุ่มแล้วบิดมารดาก็คิดจะปลูกฝังให้ออกเรือน แต่ด้วยความยากจนแร้นแค้นทำให้บุรุษหนุ่มต้องเรียนให้บิดามารดาทราบว่า ทรัพย์ในเรือนตนก็หสิ่งมีค่าอันใดไม่ การจะออกเรือนจึงเป็นสิ่งยากลำบาก สู้ขออุตส่าห์อยู่เลี้ยงดูบิดามารดาจนกว่าชีวิตจะหาไม่ยังจะเป็นประโยชน์กว่า จนเมื่อบิดาท่านถึงแก่กาลกิริยาตายไป นับแต่นั้นมาบุรุษหนุ่มก็คอยอุปัฏฐากบำรุงเลี้ยงมารดาเป็นกิจวัตรตลอดมา

    ในวันหนึ่ง บุรุษหนุ่มผู้ยากไร้ได้ไปเที่ยวเสาะแสวงหาฟืนหาผักในป่า นำกลับมาระหว่างทางให้เกิดอาการเหนื่อยอ่อนจึงแวะเข้านั่งพักยังริมฝั่งน้ำใกล้ท่าเรือสำเภา พอเห็นเรือสำเภาก็ให้นึกในใจว่า ตนนั้นยังหนุ่มแน่นมีกำลังแข็งแรง หากตนจะสมัครเป็นคนงานเดินทางไปกับเรือสำเภาเหล่านี้ก็น่าจะดีคงจะทำให้มีรายได้มาเลี้ยงดูมารดาได้ไม่ลำบาก ครั้นคิดได้ดังนั้นแล้วก็ได้เข้าไปหานายเรือสำเภาใหญ่ แล้วกล่าวขึ้นว่า

    “ข้าแต่นายท่าน กาลบัดนี้ ข้าพเจ้าถึงซึ่งความยากจนเข็ญใจนัก จึงเซซังมาสู่ สำนักท่านด้วยหวังใจว่า ถ้าท่านอนุเคราะห์ข้าพเจ้าได้ ข้าพเจ้าก็จักขอทำงาน อยู่กับท่านด้วยความซื่อสัตย์สุจริตต่อไป”

    นายสำเภาเรือครั้นได้ฟังวาจาดังนั้นก็พลันเกิดความสงสาร จึงตกลงใจอนุเคราะห์รับไว้โดยไม่รังเกียจ ส่วนบุรุษหนุ่มเข็ญใจครั้นได้ฟังดังนั้นก็ให้เกิดความยินดีหนักหนา จึงขอลานายสำเภาเรือกลับไปบ้านเพื่อไปบอกเรื่องน่ายินดีนี้แก่มารดา พร้อมทั้งจะได้เตรียมตัวเพื่อออกเดินทางไปกับเรือสำเภา

    ครั้นมารดาได้ทราบความดังนั้น จึงกล่าววาจาแก่ปิยบุตรว่า “ดูกรพ่อปิยบุตร ! ทุกวันนี้ชีวิตของแม่ย่อมเนื่องอยู่ด้วยเจ้าผู้เป็นลูกรัก เพราะฉะนั้นเจ้าจะไปไหนก็ตามใจเถิด แต่ว่าขอให้แม่นี้ได้ไปกับเจ้า ได้อยู่ใกล้ ๆ เจ้าเสมอไปก็แล้วกัน”

    บุรุษหนุ่มเข็ญใจเมื่อได้ฟังคำมารดาดังนั้นก็ให้วิตกกังวลเป็นยิ่งนัก ไม่รู้จะทำเช่นไรดี สุดท้ายเมื่อคิดไม่ตกก็ได้ไปพบนายสำเภาเรือผู้ใจดีแล้วได้เล่าถึงปัญหาที่ตนกำลังมีอยู่ และได้อ้อนวอนขอนำมารดาแห่งตนตามไปกับเรือสำเภานั้นด้วย ซึ่งนายสำเภาเรือเมื่อได้รู้ถึงปัญหาของมานพหนุ่มก็ออกปากอนุญาตให้นำมารดาติดตามไปด้วย

    เมื่อเรือสำเภาแล่นไปในมหาสมุทรทะเลใหญ่ได้ประมาณ ๗ วัน สำเภานั้นต้องลมพายุใหญ่เหลือกำลังก็ถึงซึ่งกาลอับปางลง บรรดาลูกเรือและนายสำเภาเรือต่างก็สิ้นชีวิตลง ฝ่ายมานพหนุ่มก็ตั้งสติมั่นกระโจนลงจากเรือสำเภาแล้วพยายามว่ายน้ำหนีเพื่อรักษาชีวิตตน ครั้นหันกลับไปเห็นมารดายังไม่ตายก็ว่ายน้ำกลับมารับมารดาให้นั่งบนบ่าของตนแล้วก็พาว่ายน้ำไปในมหาสมุทร ถึงแม้จะเหน็ดเหนื่อยหนักหนาก็สู้อุตส่าห์อดทนกระเสือกกระสนต้านทานคลื่นใหญ่และน้ำทะเลเชี่ยวเค็มนั้น ด้วยน้ำใจอันเด็ดเดี่ยวเพื่อจะนำมารดาไปให้รอดชีวิต

    กล่าวฝ่ายท้าวสุทธาวาสมหาพรหมอนาคามี ซึ่งสถิตอยู่ ณ ชั้นอกนิษฐพรหมโลก ที่คอยเพ่งแลดูหมู่มวลมนุษย์ผู้มีใจองอาจเต็มไปด้วยอุตสาหะใหญ่ใจกล้าหาญสามารถที่จะกระทำ “พุทธการกธรรม”ได้ ครั้นทัศนาลงมาเห็นมานพหนุ่มเข็ญใจ ผู้อุตส่าห์พยายามจะนำมารดาให้รอดชีวิตจากคลื่นลมโดยไม่คำนึงถึงความเหน็ดเหนื่อยนั้น จึงควรนับว่าเป็นผู้สามารถเพื่อที่จะบำเพ็ญพุทธการกธรรมให้สำเร็จลุล่วงได้ เมื่อท้าวมหาพรหมคำนึงดังนี้แล้ว ก็เข้าดลจิตให้มานพหนุ่มเข็ญใจนั้นนึกปณิธานปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมิ

    ฝ่ายมานพหนุ่มเข็ญใจผู้แบกมารดาไว้บนบ่า ก็ฝ่าคลื่นลมจนเหน็ดเหนื่อยหมดแรง จนร่างกายจมลงกลางทะเลใหญ่แล้วก็พยายามโผล่ขึ้นมาอีก จวนเจียนใกล้เวลานาทีอันเลวร้ายใกล้จะมรณะ ด้วยเดชะอำนาจแห่งน้ำพระหฤทัยที่ท้าวมหาพรหมผู้วิเศษให้นึกนั้น ก็บังเกิดความคิดขึ้นมาว่า

    “ถ้าตัวเราถึงแก่ชีวิตพินาศขาดสูญลงไปในท้องมหาสมุทรทะเลใหญ่พร้อมกับ มารดา ณ กาลบัดนี้ ขอกุศลที่เราแบกมารดาว่ายน้ำในมหาสมุทรมา ด้วยความเหน็ดเหนื่อยนักหนานี้ จงเป็นปัจจัยให้ถึงซึ่งพระโพธิญาณ ขอเราพึงอาจนำสัตว์ทั้งหลายที่เวียนว่ายในวัฏสงสารให้ข้ามพ้นลุถึงฝั่งโน้น คือ อมตมหานิพพาน”

    ครั้นตั้งจิตคิดเป็นมหากุศลดังนี้แล้ว บุรุษหนุ่มผู้เข็ญใจนั้นก็ตั้งปณิธานซ้ำลงไปอีกว่า

    “เมื่อเราเปลื้องตนออกพ้นจากวัฏสงสารแล้ว ขอเราพึงนำสัตว์ทั้งหลาย ให้เปลื้องตนพ้นจากวัฏสงสารด้วยเถิด อนึ่ง..เมื่อเราข้ามจากวัฏสงสาร ได้แล้ว ขอให้เราพึงนำสัตว์ทั้งหลาย ข้ามพ้นจากวัฏสงสารได้ด้วยเถิด”เมื่อนึกปณิธานดังนี้แล้ว ก็ให้เกิดอัศจรรย์ พละกำลังที่จวนจะหมดไปนั้น ก็พลันเกิดมีขึ้นมาอีกด้วยกำลังแห่งพรหมอนุเคราะห์ ภายในสองสามวันก็บรรลุถึงฝั่ง จึงไปอาศัยยังบ้านแห่งหนึ่งแล้วก็ทำมาหากินด้วยความเหนื่อยยากต่อไป จนถึงแก่กาลกิริยาสิ้นชีวิตแล้วกุศลก็ส่งให้ไปบังเกิดในสุคติภูมิโลกสวรรค์

    ชีวประวัติของบุรุษหนุ่มเข็ญใจนี้ แสดงให้เห็นถึงความปรารถนาดั้งเดิมเริ่มแรก เพื่อต้องการพระพุทธภูมิขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าพระมิ่งมงกุฎศรีศากยมุนีโคดม พระองค์ทรงเริ่มเป็นพระโพธิสัตว์ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
     
  10. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +792
    ฝ่ายมานพหนุ่มเข็ญใจผู้แบกมารดาไว้บนบ่า ก็ฝ่าคลื่นลมจนเหน็ดเหนื่อยหมดแรง จนร่างกายจมลงกลางทะเลใหญ่แล้วก็พยายามโผล่ขึ้นมาอีก จวนเจียนใกล้เวลานาทีอันเลวร้ายใกล้จะมรณะ ด้วยเดชะอำนาจแห่งน้ำพระหฤทัยที่ท้าวมหาพรหมผู้วิเศษให้นึกนั้น ก็บังเกิดความคิดขึ้นมาว่า

    “ถ้าตัวเราถึงแก่ชีวิตพินาศขาดสูญลงไปในท้องมหาสมุทรทะเลใหญ่พร้อมกับ มารดา ณ กาลบัดนี้ ขอกุศลที่เราแบกมารดาว่ายน้ำในมหาสมุทรมา ด้วยความเหน็ดเหนื่อยนักหนานี้ จงเป็นปัจจัยให้ถึงซึ่งพระโพธิญาณ ขอเราพึงอาจนำสัตว์ทั้งหลายที่เวียนว่ายในวัฏสงสารให้ข้ามพ้นลุถึงฝั่งโน้น คือ อมตมหานิพพาน”

    ครั้นตั้งจิตคิดเป็นมหากุศลดังนี้แล้ว บุรุษหนุ่มผู้เข็ญใจนั้นก็ตั้งปณิธานซ้ำลงไปอีกว่า

    “เมื่อเราเปลื้องตนออกพ้นจากวัฏสงสารแล้ว ขอเราพึงนำสัตว์ทั้งหลาย ให้เปลื้องตนพ้นจากวัฏสงสารด้วยเถิด อนึ่ง..เมื่อเราข้ามจากวัฏสงสาร ได้แล้ว ขอให้เราพึงนำสัตว์ทั้งหลาย ข้ามพ้นจากวัฏสงสารได้ด้วยเถิด”เมื่อนึกปณิธานดังนี้แล้ว ก็ให้เกิดอัศจรรย์ พละกำลังที่จวนจะหมดไปนั้น ก็พลันเกิดมีขึ้นมาอีกด้วยกำลังแห่งพรหมอนุเคราะห์ ภายในสองสามวันก็บรรลุถึงฝั่ง จึงไปอาศัยยังบ้านแห่งหนึ่งแล้วก็ทำมาหากินด้วยความเหนื่อยยากต่อไป จนถึงแก่กาลกิริยาสิ้นชีวิตแล้วกุศลก็ส่งให้ไปบังเกิดในสุคติภูมิโลกสวรรค์

    ชีวประวัติของบุรุษหนุ่มเข็ญใจนี้ แสดงให้เห็นถึงความปรารถนาดั้งเดิมเริ่มแรก เพื่อต้องการพระพุทธภูมิขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าพระมิ่งมงกุฎศรีศากยมุนีโคดม พระองค์ทรงเริ่มเป็นพระโพธิสัตว์ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

    เท่านี้ เรียกว่า พระโพธิสัตว์ แล้วครับ
     
  11. Tanakorn

    Tanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +1,537
    เท่าที่ผมเคยฟังเทศน์ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านบอกว่า ทันทีที่ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า คิดเมื่อใดเป็นพระโพธิสัตว์เมื่อนั้น

    พระท่านอื่นก็บอกตรงกันครับ และตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยได้ยินคำว่า พระโพธิสัตว์แท้ หรือพระโพธิสัตว์เทียม เคยได้ยินแต่คำว่า นิยตโพธิสัตว์ และอนิยตโพธิสัตว์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 มิถุนายน 2016
  12. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ดูกระทู้นี้ ตั้งมานานแล้ว

    น่าสนใจครับ...
     
  13. ponravit20

    ponravit20 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2014
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +30
    โพธิสัตว์ คืออะไร แปลภาษา แปลว่า หมายถึง (พจนานุกรมไทย-ไทย อ.เปลื้อง ณ นคร)

    โพธิสัตว์น. ผู้ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต บุคคลใดได้รับพยากรณ์ จากพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งแล้วว่าจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ผู้นั้นเรียกว่าพระโพธิสัตว์

    https://th.wikipedia.org/wiki/พระโพธิสัตว์

    พระโพธิสัตว์ (สันสกฤต: बोधिसत्त्व bodhisattva; บาลี: बोधिसत्त bodhisatta) หมายถึง ผู้ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า

    คำว่า พระโพธิสัตว์ ตามความหมายต้องได้รับพยากรณ์

    ยังไม่ได้รับพยากรณ์จะแน่ใจได้ไงว่าเป็น พระพุทธเจ้า ในอนาคตแน่นอน
     
  14. noway

    noway เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 เมษายน 2012
    โพสต์:
    916
    ค่าพลัง:
    +3,969
    ช่างเถอะ จะเรียกเราว่าอะไรก็ตามที
    เราปรารถนาพุทธภูมิ ขอถึงซึ่งพระโพธิญาณ

    จะรียกว่าพระโพธิสัตว์แท้หรือเทียมหรือไม่เรียก
    ก็ไม่มีผลให้เราเปลี่ยนใจ เลิกปรารถนา หรือมีผลให้สำเร็จเร็วขึ้นก็หาไม่
     
  15. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +792
    เอาอะไรกับ พจนานุกรมครับ

    ซึ่งเวลาเราพูดถึงโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ ในความหมายก่อนที่ผมจะรู้ว่าตนปรารถนาโพธิญาณ ชาวบ้านทั่วไปซึ่งรวมผมเอง หมายถึงเฉพาะ พระโพธิสัตว์ซึ่งเป็นอดีตชาติของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเท่านั้น

    อีกประการ อนิตยโพธิสัตว์ทั้งหลาย (ซึ่งตามความเห็นของ จขกท นี้ คือ เที่ยงตรัสรู้เช่น นิตยโพธิสัตว์) ซึ่งอาจได้รับพยากรณ์โดยอ้อม จะทราบหรือไม่ทราบการทำนายก็ได้ เพราะไม่จำเป็นต้องได้รับพุทธพยากรณ์โดยตรง จะโดยอยู่ในภพใดก็ได้ ไม่จำต้องมีลักษณะดุจดั่งจะได้รับพุทธพยากรณ์แบบนิตยโพธิสัตว์

    ิพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง อาจเกิดเป็นลิง และได้ทำกุศลต่อพุทธองค์ แต่พุทธองค์ย่อมไม่อาจพยากรณ์แบบนิตยโพธิสัตว์ แต่ท่านจะพยากรณ์แม้ลิงอาจไม่เข้าใจ แต่ผลแห่งการพยากรณ์ คือ พระโพธิสัตว์ลิง มีกำลังใจในการบำเพ็ญบารมี เพราะท่านจะพยากรณ์ให้ลิงนั้นว่า ความปรารถนาของเธอจะสำเร็จในยุคพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งพระองค์ใดโดยแน่แท้

    อย่างนี้ ก็คือ เที่ยงจะตรัสรู้

    แต่ลิงมันไม่รู้ เพราะพุทธพยากรณ์กรณีอนิตย คือ โดยอ้อม ยังไม่อาจได้รับโดยตรงได้หรือแม้รับโดยตรงแต่ยังไม่อยู่ในฐานะอันสมควรเป็นแบบนิตยได้

    พระโพธิสัตว์ แม้ที่เป็นอนิตยโพธิสัตว์หรือนิตยโพธิสัตว์ ก็ไม่อาจทราบหรือระลึกคำพุทธพยากรณ์ได้ทุกชาติ แต่แม้ไม่ทราบ เนื้อหาของจิตจะเหมือนกัน คือ มุ่งโพธิญาณโดยไม่เสื่อมคลาย แม้อาจหลงทางไปบ้างแต่สุดท้ายจะถูกตีหรือดึงกลับสู่ทางได้ตลอด

    ลองดูช้างนาฬาคิริง ซึ่งเป็นนิตยโพธิสัตว์ มีวิบากด้วยโมหะ ออกฤทธิ์แต่ก็เพราะบุญบารมี ทำให้ได้รับพระเมตตาจากพระพุทธองค์ ช้างนาฬาคิริง รู้ตัวแต่เกิดหรือว่า ตนเป็นโพธิสัตว์ ถ้ารู้จะวิ่งชนผู้คนมาทางพระพุทธองค์ทำไม ถ้ารู้ก็ย่อมทราบว่า พระพุทธองค์นี้ เราจะละเมิดมิได้

    ดังนั้น พระโพธิสัตว์ แม้ที่มีโพธิจิต ก็ยังไม่อาจรู้ระลึกว่าตนเป็น นิตยโพธิสัตว์ นับประสาอะไรกับ อนิตย ซึ่งก็เที่ยงที่จะตรัสรู้ตามที่ จขกท นิยาม

    สรุป ในความเห็นของข้าพเจ้า เรารู้เรื่อง อนิตย นิตย เพื่อทำความเพียรให้ถึงจุดที่ควรเท่านั้น แต่เราไม่อาจพยากรณ์ใครได้ว่า ใครคือ อนิตย หรือนิตย เพราะไม่ใช่กิจของคนธรรมดา แม้พระโพธิสัตว์ ก็ไม่มีหน้าที่ในกิจนี้ กิจที่จะปลูกฝังเมล้ดพันธุ์แห่งโพธิญาณ คือ พระพุทธองค์เป็นหลัก แม้ว่าเมล็ดพันธุ์นั้นจะเกิดขึ้นเอง แต่สุดท้ายพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่มีหน้าที่ดูแลเมล็ดพันธ์ุเหล่านี้ เหล่าสัตว์ทั้งหลายที่เหลือ ไม่มีกำลังไปพิจารณาเรื่องนี้

    พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย แม้จะรู้ตัวก็ดี ไม่รู้ตัวก็ดี ว่าเป็นโพธิสัตว์ ท่านทั้งหลายอาจได้รับอนิตยพุทธพยากรณ์โดยไม่รู้ตัวก็ได้ เพราะกำลังของท่านไม่อาจระลึกชาติได้แบบพระพุทธองค์ ในทีนี้มีใครระลึกเกิน ๗ อสงไขยบ้าง อย่าว่าเลย แค่ อสงไขยก็ไม่มี พระพุทธองค์องค์ปัจจุบัน ได้รับพุทธพยากรณ์เมื่อ ๒๐ อสงไขย(กรณีได้รับแบบอนิตย) ไม่มีที่ไหนกล่าวเลยว่า พระโพธิสัตว์อาจระลึกชาติได้ถึงขนาดนั้น ถ้าบารมียังไม่ตั้งต้น (ก่อนได้รับพุทธพยากรณ์แบบนิตย ต้องได้ฌาณสมาบัติ ๘ อภิญญา ๕) ก่อนหน้านั้น อย่าคิดว่า พระโพธิสัตว์ระลึกได้ถึง ๑๖ อสงไขยก่อน

    เรามีหน้าที่เพียงทำความเพียร

    ถ้าเราอยากรู้ชัดเจนว่าเป็นนิตย อนิตย ก็ทำความเพียรในฌาณสมาบัติ ๘ อภิญญา ๕ (ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ต้องมีก่อนได้รับพุทธพยากรณ์แบบนิตย) แล้วลองย้อนดู ซึ่งถ้ากำลังไม่พอ ๑๖ อสงไขยท่านระลึกไม่ถึง ก็ไม่ได้หมายความว่า ท่านไม่ใช่ อนิตยโพธิสัตว์ ซึ่งได้รับพยากรณ์ไว้แล้ว

    ดังนั้น ใครจะว่าเรา ว่าเราติดในฌาณ เราก็ต้องเพียรในฌาณ เพราะเราหวังในนิตยโพธิสัตว์

    แม้เราจะได้รู้ว่า เราอาจได้รับพุทธพยากรณ์แล้วในฐานะอนิตยโพธิสัตว์ แต่ไม่ใช่ฐานะที่เราจะพอใจ และถึงแม้เราอาจจะรู้ไม่ถูก แต่เพราะเราหวังความสำเร็จคือการตรัสรู้ เราจะพร้อมด้วยคุณสมบัติเพื่ออยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธองค์ เพื่อรับพุทธพยากรณ์โดยตรงเท่านั้น ถ้าปัจจุบันเราทำให้เพียบพร้อม เราก็ขอให้ได้ขอตั้งจิตปรารถนาต่อพระพุทธองค์ ถ้าเราไม่ใช่ ก็พระพุทธองค์ก็จะบอกทางแก่เรา แม้ท่านให้เราตรัสรู้ เราก็จะตรัสรู้ เพราะเราถือว่า เรา(โพธิจิต)ขอกำเนิดตามพระองค์เท่านั้น เพราะการตรัสรู้ในการเป็นพระพุทธเจ้า ต้องทำตามประเพณี ตามธรรมเนียม เราเปรียบดั่งเมล็ดพันธุ์ที่หว่านโดยพระพุทธองค์ ถ้าท่านเห็นว่าเราไม่ใช่เมล็ดพันธุ์แบบนั้น เราก็ขอเป็นเมล็ดพันธุ์อีกแบบของพระองค์

    เราไม่มีหน้าที่ในเรื่องความสำเร็จ เรามีหน้าที่ในเรื่องความเพียร เพราะเหตุปัจจัยของการเป็นพระพุทธเจ้า ต้องพิจารณาเหตุปัจจัยภายใน ๑๐๐ อสงไขย (กรณีประเภทพุทธ) ซึ่งแม้ใครจะเป็นนิตยโพธิสัตว์ ก็ไม่อาจทราบเหตุปัจจัยตลอด ๑๐๐ อสงไขยได้

    ขอย้ำ เรามีหน้าที่แค่ความเพียร ในการดูแลเมล็ดพันธ์โพธิญาณ ซึ่งก็ไม่ใช่เรา และแต่ละเรา(แต่ละตัวตนที่ล่วงไป) ก็มีหน้าที่ดูแลเมล็ดพันธ์นี้ ไปถวายต่อพระพุทธองค์ เพื่อให้พระองค์พิจารณาว่าจะหว่านในฐานะ เมล็ดพันธุ์อะไร ซึ่งก็อยู่ที่เราแต่ละคนที่ล่วงไป จะสร้างเมล็ดพันธุ์อย่างไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มิถุนายน 2016
  16. Rama bodhisattva

    Rama bodhisattva Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2016
    โพสต์:
    158
    ค่าพลัง:
    +63
    ยังมีอีกครับ ขอโอกาส โพธิสัตว์เทียมก็คือ บรรดาพวกที่ชอบอ้างตัวเองว่า เป็นพระโพธิสัตว์แล้วกำลังสร้างบุญบารมี แล้วก็เที่ยวชวนคนนั้น คนนี้สร้างนั่น สร้างนู้น สร้างนี่ ไม่เป็นสาระแก่นสาร ไม่มีประโยชน์และไม่เกิดปัญญา และไม่สามารถทำให้ผู้ที่ร่วมกระทำนั้นได้เกิดปัญญาเห็นหนทางพ้นทุกข์ได้ครับ ขอบคุณครับ
     
  17. เทพบุตรลั้ลลาลั้ลลั้ลลาาา

    เทพบุตรลั้ลลาลั้ลลั้ลลาาา เพื่อมวลมนุษย์แลสรรพสัตว์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    872
    ค่าพลัง:
    +1,936
    มีอนิตยะพยากรณ์ด้วย,มีเทียมอีกโอ้!
    ก็อาจจริงถ้ามีผู้แอบอ้างโดยที่ใจจริงเขา
    ไม่เจตนาจะดำเนินไปสจุดหมายนั้นแต่ถ้าคนๆนั้น..คน
    รงมั่นคงเด็ดเเดี่ยวแล้วไม่ปลอมไม่เทียมไม่เก๊คับ.
    วส่วนจะเรียกอะไรสุดแต่เถิด
     

แชร์หน้านี้

Loading...