ไอเป็นเลือด!!!

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 7 มีนาคม 2006.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,024
    <CENTER>ไอเป็นเลือด!!! -=byหมอแมว=- </CENTER>
    <!--detail--><!--images--><CENTER>[​IMG]
    </CENTER>
    <!--images-->ไอเป็นเลือด!!! -=byหมอแมว=-
    ชายหนุ่มร่างสันทัดเดินเข้ามานั่งตรงโต๊ะตรวจ สีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด หลังจากผมถามว่าเป็นอะไรมา คำตอบที่ได้คือ
    "ผมไอเป็นเลือด กลัวจะเป็นมะเร็งปอด"
    หลังจากตรวจร่างกาย ซักประวัติเป็นที่เรียบร้อย ผมก็ให้ไปเอกซ์เรย์แล้วกลับมาอีกครั้ง .......................... หลังจากอธิบาย ก็ให้กลับบ้านเอายาไปกิน

    ปัญหาไอเป็นเลือด เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในการทำงาน และเป็นอาการที่ถือว่ารุนแรงมากในสายตาของคนทั่วไป
    *และถือเป็นปัญหาที่ทำให้คนไข้ไม่พอใจแพทย์บ่อยปัญหาหนึ่ง*

    ความเชื่อ : ไอเป็นเลือด ถือเป็นโรคหนักที่ต้องนอนโรงพยาบาลทันที
    ความจริง : ไอเป็นเลือดที่ถือเป็นภาวะอันตรายถึงตาย ต้องอยู่ในโรงพยาบาลทันที ก็คือไอเป็นเลือดใดๆ ที่ทำให้เกิดเลือดออกเป็นปริมาณมาก มากทางการแพทย์คือ600ซีซี เพราะแปลว่ามันไม่น่าจะหยุดเอง
    ส่วนแบบที่ออกมาก ถึงขั้นเลือดสาด เต็มอุ้งมือ แต่ดูหยุดได้เอง จริงๆไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลทันที แต่เพื่อไม่ให้กังวลมากและสะดวกต่อการตรวจและค้นหาสาเหตุ ก็มักนอนโรงพยาบาล
    ส่วนที่ออกมาเป็นเส้นๆครั้งละไม่ถึง1ซีซี มักกลับบ้าน..........เหตุผลกำปั้นทุบดิน ก็คือ นอนไม่นอนก็ตรวจรักษาเหมือนกัน

    ความเชื่อ : ต้องหาจนกระทั่งเจอว่าเป็นอะไรกันแน่ (ที่จริงอันนี้จะเอาปิดท้ายบทความ แต่เปลี่ยนใจเอามาไว้บนสุดดีกว่า เพราะสำคัญดี ต้องอ่านตั้งแต่แรก)
    ความจริง : ในประเทศที่เจริญแล้วและพร้อมทางเศรษฐกิจและประชาชนรู้จักป้องกันความเสี่ยงจากมะเร็งดีพอ ต่อให้ตรวจอย่างเต็มที่ด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย จะมีคนไข้ประมาณ30%ที่ยังไม่รู้อยู่ดีว่าตนเองเป็นอะไร
    สำหรับในเมืองไทยที่เจริญไม่เท่า ความพร้อมทางเศรษฐกิจยังไม่มี เชื่อว่าน่าจะมีมากกว่านั้นที่ไม่สามารถค้นหาได้ว่าเป็นอะไรกันแน่

    ความเชื่อปนไม่พอใจ : ทำไมเวลาไอเป็นเลือดมา หมอมักจะถามเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องเช่นเป็นหวัดคัดจมูกกินเหล้า ไม่เห็นจะเกี่ยวกับมะเร็งที่ไหนเลย
    ความจริง : ข้อสำคัญที่สุดที่ควรรู้คือ อาการไอเป็นเลือดของหมอและคนไข้ ไม่เหมือนกัน
    อาการไอเป็นเลือดของคนไข้ ก็คือ มีเลือดออกทางปากหลังจากไอ
    อาการไอเป็นเลือดของหมอ ก็คือ เลือดที่ออกจากปอด
    ดังนั้น อาการเลือดออกทางปากหลังการไอ จึงกว้างกว่า เลือดออกจากปอด เพราะว่าเลือดที่ออกจากปากหลังการไอ จะมาจากที่ใดที่ไม่ใช่ปอดก็ย่อมได้
    ยกตัวอย่างโรคให้ดูนะครับ
    - เลือดออกจากโพรงจมูก : ภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ ริดสีดวงจมูก เลือดกำเดา เส้นเลือดแตกจากความดันสูงที่มักพบในคนสูงอายุ
    - เลือดออกจากช่องปากและฟัน : เหงือกอักเสบ แผลในปาก คอและทอนซิลอักเสบ ติดเชื้อที่ทอนซิล
    - โรคมะเร็ง ในช่องปาก คอ จมูก พวกนี้นานๆเจอที เลือดออกจากปอดจริงๆอาจจะเยอะกว่า
    - เลือดออกจากหลอดอาหาร : เลือดออกจากกระเพาะ เลือดออกจากหลอดอาหาร กลุ่มอาการGERD ซึ่งหากมีอาการมากๆ บางครั้งก็จะกระตุ้นให้ไอและมีเลือดปนออกมา ปกติถ้ามีอาการถึงขั้นเลือดออก ก็ต้องรักษาอยู่ดี
    - โรคเลือดออกผิดปกติ : เช่น ฮีโมฟีเลีย โรคหลอดเลือดอักเสบ(รูมาตอยด์, เอสแอลอี) Osler-Weber-Rendu(ซึ่งเกิดมาเคยเจอ1ครั้งเท่านั้น)
    - เลือดหมู เลือดเป็ด เลือดหมีโหด ฯลฯ ...................... -_-'' พวกนี้คือ กลุ่มที่ไปกินเลือดสัตว์มา แล้วบังเอิญไอเห็นเลือดเป็นลิ่มๆ เท่าที่เคยเจอก็เป็นกลุ่มที่กินเกาเหลา ... หมอมักจะประสบปัญหาในการทำให้เชื่อว่า ในเมื่อกินเกาเหลาแล้วสำลักไอ.. แล้วในปากมีเลือดเป็นลิ่มสีน้ำตาลอยู่ มันก็น่าจะนึกถึงเลือดหมูก่อนอย่างอื่น

    สำหรับประสบการณ์ส่วนตัว ที่เจอคนไอเป็นเลือดมาโรงพยาบาล ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่ไม่ได้มาจากปอดมากกว่ามาจากปอด โดยไซนัสอักเสบ และภูมิแพ้ ถือเป็นสาเหตุหลักๆทีเดียว (ส่วนเลือดหมูคิดว่าเคยเจอสองรายนะ-_-'')
    ถ้าใครจำได้ ผมเคยไปตอบไว้ที่กระทู้หนึ่งว่ามีไอออกเลือด .. ก็เป็นไซนัสอักเสบนี่แหละครับ ออกมาเป็นแดงๆทั้งจมูกทั้งปากเลย ..........

    ที่พูดมาคือเรื่องที่ไม่ใช่ปอด คราวนี้มาดูที่เหลือบ้าง
    เมื่อไปหาหมอด้วยเรื่องไอเป็นเลือด หมอจะทำการซักประวัติตรวจร่างกายเพื่อหาว่าเป็นสาเหตุจากปอดหรือไม่ใช่ปอด และเป็นเลือดลักษณะอย่างไร (สดๆ สีคล้ำๆ ปนเสมหะ ปนน้ำมูกฯลฯ)
    ส่วนใหญ่จะถามเรื่องเป็นหวัดคัดจมูก อาการไข้ ภูมิแพ้ เพื่อดูว่าเป็นเรื่องของทางเดินหายใจหรือไม่ ตรวจคลำคอเพื่อดูว่าเป็นเรื่องก้อนผิดปกติที่คอหรือไม่ในรายที่สงสัย
    มีโรคหัวใจหรือโรคปอดเดิมหรือไม่ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ เพราะโรคหัวใจบางอย่างเวลามีอาการหนักๆ จะมีเลือดออกจากปอดได้เหมือนกัน (สีชมพูสดใสเป็นฟอง)
    จากนั้นก็จะเจาะลึกลงไปในโรคที่มาจากปอด เช่น ไอมากหรือไม่ ไอมานานแค่ไหน เลือดเป็นแบบใด มีแค่ไหน มีไข้แบบใด ไข้ต่ำไข้สูง น้ำหนักลดหรือไม่(ถ้าลดลดลงแค่ไหน)

    โรคทางปอดที่พบได้หลักๆก็ได้แก่ โรคปอดอักเสบ วัณโรค หลอดลมอักเสบทั้งเฉียบพลันและเรื้อรัง และปิดท้ายด้วยมะเร็ง
    ซึ่งการจะแยกโรคเหล่านี้ ออกจากกัน ต้องใช้ประวัติ ตรวจร่างกาย และการตรวจค้นทางห้องปฏิบัติการ(LAB)และรังสี เพื่อร่วมกันวินิจฉัย
    เช่น มีไข้มาสามสี่วัน อายุน้อย ไอจัดหลายวัน ไอเป็นเลือดนิดเดียว ก็คงไม่ไปสงสัยมะเร็งแต่แรก น่าจะสงสัยไปทางหลอดลมอักเสบหรือปอดอักเสบมากกว่า
    ไอเสมหะเขียวเหลืองมาสองเดือน มีไข้ต่ำๆทุกวัน วันนี้มีเลือดจางๆปนมา ก็คงหาให้ได้ก่อนว่าไม่ใช่ปอดอักเสบหรือวัณโรค แล้วค่อยไปดูเรื่องมะเร็งต่อไป

    สำหรับหลักกว้างๆสำหรับคนที่มีอาการไอเป็นเลือด หมอจะมีสิ่งที่มาตัดสินใจว่าน่าจะเป็นโรคอะไรอยู่ดังนี้ครับ
    1. ประวัติ อาการ สิ่งที่ตรวจเจอ ดังกล่าวไปแล้วบ้าง
    2. ประวัติความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง ได้แก่ สูบบุหรี่ อยู่ในที่ๆมีคนสูบบุหรี่ มีญาติสายตรงใกล้ชิดเป็นมะเร็งปอด อาชีพบางชนิด น้ำหนักลดมาก
    3. ประวัติเสี่ยงเป็นวัณโรค ได้แก่ การเคยใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรค อาการไอ+ไข้ต่ำๆ น้ำหนักลดมาก
    4. เอกซ์เรย์ปอด ปกติ ผิดปกติ หรือไปเข้าได้กับโรคใด
    5. ผลการตรวจเสมหะ เป็นติดเชื้อ หรือเป็นวัณโรคหรือไม่
    หมอที่ตรวจ จะใช้ทั้งทุกข้อมาประกอบกันเพื่อประเมินความเสี่ยง
    ถ้าเสี่ยงมากที่จะเป็นมะเร็ง ก็อาจจะถูกส่งไปพบแพทย์ทางหูคอจมูก เพื่อทำการส่องกล้อง (เมืองไทยมีแค่ไหนนะ)
    หรืออาจส่งไปทำHRCT (High resolution CT) หรือเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์คุณภาพสูงละเอียด (เมืองไทยมีกี่เครื่องเนี่ย อย่างมากคงได้ทำCTอย่างเดียวนะ ผมว่า)
    ถ้าไม่เสี่ยง หรือดูแล้วเป็นโรคอื่นมากกว่า ก็รักษาไปตามนั้น
    คนที่เสี่ยงปานกลาง ก็มักจะนัดกลับมาตรวจซ้ำอีกครั้ง

    ปัญหาอยู่ที่ว่า ในเมื่อมีอาการที่ว่าแล้ว ยังอยู่ในช่วงที่ไม่รู้ว่าจะเป็นมะเร็งหรือเปล่า หรือถึงแม้จะไม่เหมือนมะเร็ง แต่ก็กลัวอยู่ดีที่ไอเป็นเลือด จะทำตัวอย่างไรดี
    1. กินน้ำเยอะๆ พักผ่อนมากๆ คนไข้ส่วนใหญ่ฟังแล้วชอบทำหน้าเบื่อ แต่อย่าเพิ่งเบื่อไป เพราะว่าถ้าคุณไอเป็นเลือดจากสาเหตุจากโพรงจมูก การดื่มน้ำมากๆและพักผ่อนให้พอมันช่วยได้จริงๆ..... หลายคนทีเดียวกลับมาด้วยอาการเดิมแล้วมายอมรับว่าก็ยังไม่ค่อยได้กินน้ำและก็ยิ่งมีอาการทางจมูกที่เห็นชัดยิ่งขึ้น

    2. หยุดความเสี่ยงของมะเร็ง บุหรี่และยาเส้นนั่นแหละ
    เรื่องนี้มีเงื่อนงำทั้งหมดสามประการ
    - การสูบบุหรี่เอง ทำให้เกิดหลอดลมอักเสบและแห้ง เมื่อไอแล้วจะเกิดการแตกของเส้นเลือดได้ง่าย มีอาการไอเป็นเลือดได้
    - การสูบบุหรี่ เป็นตัวเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็ง
    - การสูบบุหรี่ ทำให้ทางเดินหายใจทุกส่วนเสียหาย มีเลือดออกได้ตั้งแต่โพรงจมูกยันรูตูด อุ๊บ ขออภัย ..... ตั้งแต่โพรงจมูกจนถึงถุงลม
    ทั้งหมดรวมเป็นหนึ่งคือ มะเร็ง....
    ดังนั้นถ้าได้รับการตรวจไปแล้วส่วนหนึ่งไม่พบว่าสงสัยมะเร็ง และยังสูบบุหรี่อยู่อย่าสนุกสนาน ก็ไม่มีหมอคนใดอยากจะส่งตรวจต่อให้เปลืองเงินประเทศชาติเพราะว่าไม่มีประโยชน์ (ส่งไปแล้วถึงปกติก็กลับมาด้วยอาการเดิมไม่หยุดหย่อน)

    3. ไปตรวจตามนัดที่รพ.เดิม เรื่องนี้ก็สำคัญ เนื่องจากมีความเชื่อว่า : หมอตรวจแล้วไม่เจออะไร แปลว่าไม่ได้เป็นอะไร
    ความจริง : ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนมีข้อจำกัด ต่อให้คุณทำการตรวจที่ดีที่สุด แพงที่สุด วันนี้ไม่พบอะไรผิดปกติ ก็ไม่ได้แปลว่าจริงๆแล้วจะปกติ... จริงๆอาจมีมะเร็งก้อนเล็กๆอยู่ก็ได้ หรือแม้วันนี้ปกติ อีกเดือนอาจจะไม่ปกติก็ได้(โดยเฉพาะถ้ายังสูบบุหรี่ต่อ)
    ยกตัวอย่างคล้ายๆกัน สมมติให้คนตั้งครรภ์ไปตรวจอุลตราซาวน์ตอน20สัปดาห์ หมอตรวจแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติ ก็แปลว่า ไม่มีสิ่งที่ผิดปกติให้เห็น ไม่ได้แปลว่าปกติ ถามว่านิ้วครบไหมก็บอกไม่ได้ เพราะว่าเครื่องนี้มันมองไม่ละเอียดพอ ถามว่าเพศอะไร ก็บอกไม่ได้ เพราะไม่มีทางที่จะทำแล้วแยกเพศได้เมื่ออายุครรภ์แค่นั้น
    วันนี้ดูแล้วเห็นแขนขาครบ แต่ก็มีบางโรคที่ทำให้พอใกล้ครบกำหนดคลอดกลายเป็นขาหายไปก็ได้ , หรือเด็กนอนอยู่ในบางท่า ก็อาจจะมองได้ไม่ชัด เป็นต้น
    สรุปแล้ว จึงควรไปตรวจตามนัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเคยมีหมอตั้งข้อสงสัยว่าอาจจะเป็นมะเร็งหรือวัณโรค (บางคนมาจากโรงพยาบาลอื่น บอกแค่ว่าต้องการตรวจร่างกาย ไม่ได้บอกสิ่งที่เป็นปัญหาที่ตนสงสัยจริงๆ เมื่อทำการตรวจก็จะตรวจอย่างธรรมดา และกลายเป็นว่าหมอไปยืนยันว่าร่างกายปกติให้กับคนที่เป็นโรค)

    4. ออกกำลังกาย นัยหนึ่งเป็นการประเมินสภาพร่างกายของคุณเองว่าเหนื่อยง่ายแค่ไหน อีกส่วนก็เพื่อเสริมสร้างร่างกาย


    หากทำได้ ก็จะห่างไกลจากอาการอันน่ากังวลนี้ไปอีกนิดครับ
     
  2. poretty

    poretty สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +19
    ขอบคุณมากที่ให้ความรู้ เพราะเพิ่งเจอเรื่องนี้กับเเม่ เป็นห่วงเขามาก

    ขอบคุณมากค่ะ เป็นวิทยาทาน เพราะเกิดขึ้นกับคุณแม่ ที่เป้น เบาหวาน ความดัน และเป้นหัวใจโต

    วันที่แกไอเป้นเลือดนั้น สังเกตุได้ว่า แกไอ เป้น สัปดาห์ บางครั้งก็เหมือนไอแห้งๆ

    แล้วที่สังเกตุ คือ พอตกดึก แม่จะไอทันที เหมือนกับว่า อากาศเย็ย มีผลต่อการ ระคายเคือง ทำให้แม่ไอมาก พอกลางวัน เหมือนไม่มีอะไรเลย คือไม่ไอเลย

    แล้วหลังจากนั้น ประมาณ 2-3 สัปดาห์ ไอ แล้วอาเจียนเป้น เลือด ประมาณ ครึ่งแก้ว กาแฟ
    พวกเราตกใจมาก เลยพาแม่ไปหาหมอตอนเช้าอีกวัน โดยที่ กลัวว่าแม่จะป่วยหนัก
    และกลัวเป้น วัณโรค พวกเราสันนิษฐานกันไปต่างๆนา
    หมอตรวจและบอกว่าไม่เป้น อะไร เอ็กเรย์แค่ปอด พบว่าปอดเป้นจุด แล้วซักประวัติ พอทราบว่า เป็น ความดัน เบาหวาน ก็ไม่บอกผลที่แน่นอนต่อไ บอกว่ามีโอกาส ที่จะไอเป็นเลือดเท่านั้น พวกเราร้อนใจมาก เพราะผลการตรวจดูเหมือน ครึ่งๆกลางๆ (เพราะใช้ 30 บาทด้วยมั้ง)
    คราวนี้เราจึงพาแม่มาโรงพยาบาล ที่กรุงเทพ เป้นโรงพยาบาล ทรวงอก เขาแนะนำ แสกน ด้วย คอมพิวเตอร์ เสียค่าใช้จ่าย 5000 บาท แต่ว่าแม่มี 30 บาท ทางเขาเลยให้ทำเรื่องส่งตัว จากโรงพยาบาลเดิมที่ตจว. ทางโรงพยาบาลเดิมไม่ยอม เพราะ ค่าใช้จ่ายการแสกน ทางต้นสังกัดต้องจ่าย
    เขาเลยยอม จัดการ แสกนให้ที่ รพ. ต้นสังกัดเขาเอง แต่ผลก็คือ ยังไม่ชัดเจนเหมือนเดิม คือรู้เพียงแต่ว่าเป็น ก้อนในปอด ถ้าอยากรู้ชัด ต้อง ผ่าตัดเอาก้อนนั้นมาวิเคราะห์ หามะเร็ง
    ทางเรากลัวแม่เจ็บ เลยไม่ทำต่อ
    แต่ทางเราได้สังเกตแม่ คือเดี๋ยวนี้ แม่มีกลิ่นปากที่เหม็นมากขึ้น ทำไมค่ะ แล้วสันนิษฐานโรคต่อได้อีกหรือเปล่า
    เป็นห่วงคุณแม่มากค่ะ
    ถ้าใครพอจะมีความรู้ที่ชัดเจนขึ้น ช่วยแนะนำที่

    pcippl@precise.co.th

    ด้วยค่ะ จะเป็นพระคุณอย่างสูง (แม่อายุ 55 แล้ว)

    เพราะถ้าสาเหตุเป็นเพราะ โรค ความดัน เบาหวาน และ หัวใจ ทำไม แม่มีกลิ่นปากที่แรงมากขึ้น เมื่อก่อนไม่มีเลยนะ

    ไม่โทษหมอนะคะ เพราะหมอทุกคนที่ไปพบ ทำงานเต็มที่และพูดจาแบบรักษาน้ำใจคนไข้มาก แต่ว่าระบบ 30 บาทมั้งค่ะ ที่ทำให้ เวลาที่หมอจะสอน คนไข้และอธิบายคนไข้น้อยลง เพราะคนมากขึ้น และหมอ มีรองรับน้อยเกินไป อุปกรณ์ น้อยเกินไป และไม่มีคุณภาพ น่าเห็นใจหมอสมัย 30 บาทมาก เพราะ อะไรไม่พร้อม เขาก็โทษหมอ ระบบ 30 บาทถ้าจะนำมาใช้ รัฐ ต้อง ควักกระเป่าให้มากกว่านี้ ไม่ใช่ลอยแพโรงพยาบาล ให้ดูแลตัวเอง แล้วจัดการ 30 บาทกันเอง เหมือนกับ ไปบอกว่า เอาเงิน ไป 30 บาทแล้ว ทำหูฉลามมาให้กิน ก็คงไม่ได้ ว่าใหม ?? คุณควรให้งบมากกว่านี้ หูฉลาม จึงเป้นหูฉลาม ไม่อย่างนั้น 30 บาทหูฉลาม จะเป็นแค่ แป้งเปียก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มีนาคม 2006

แชร์หน้านี้

Loading...