“มนุษย์”จักวาล” คือเพชรเม็ดงาม ของการปรุงแต่งแห่งนามรูป

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ท้องทุ่ง, 13 ธันวาคม 2013.

  1. ท้องทุ่ง

    ท้องทุ่ง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +9
    ความรู้ของมนุษย์และ”จักวาล” คือมายาของนามรูป ซึ้งอยากที่ผู้ไดจะรู้ได้ เมื่อมีนาม ก็ต้องมีรูป เมื่อมีรูปก็ต้องมีนาม เมื่อมีนามรูปจึงมีวิญญาณ เมื่อไม่มีเวลา ที่มาและที่ไปจึงไม่มี ( นิพพาน เหนือกาลเวลา) เมื่อมีเวลา ที่มาและที่ไปจึงเกิดมี - สสาร – แรงดึงดูด – ดวงดาว - จักวาล “แรงดึงดูดคือการปรุงแต่งของ- สสาร - ดวงดาว- จักวาล”สิ่งที่ไม่มีชีวิตและไม่มีวิญญาณครอง “การปรุงแต่งของนามรูปทำให้เกิด”มนุษย์” หรือสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูกมัด มีวิญญาณครอง (วิญญาณ – นาม – รูป - สสาร – แรงดึงดูด – ดวงดาว - จักวาล อยู่ในกฎของเวลา ซึ้งต่างจาก นิพพาน “เหนือกาลเวลา” หรือเรียก ว่า ความว่าง“เหนือกาลเวลา” แต่ความว่างนี้ ไม่เหมือนกับ ความว่างที่เราท่านทั้งหลายรู้จัก เป็นความ ว่างที่ไม่มีสิ่งไดหยั่งถึงได้ นามรูปไม่อาจหยั่งถึงได้ หรือ ดินน้ำลมไฟไม่อาจหยั่งถึงได้ ในความว่างนี้ หรือจะเรียกว่า เป็นอาร์ม ก็มีอาร์มเดียวแม้เวลาจะผ่านไปนานขนาดไหนก็ตามไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับอาร์มนี้ได้เลย อาร์มที่ไม่สุขทุกข์ต่อสิ่งได “เพราะมีสิ่งนี้ สิ่งนี้ จึงมี” “ เพราะการดับไปของสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป” "กฎอิทัปปัจจยตา" เพราะการปรุงแต่งของนามรูป จึงมีทุกสิ่ง ที่เรารู้ เราสัมผัส (วิญญาณ นามรูป อยู่ในกฎของเวลา) เพราะการดับไปของนามรูป วิญญาณ หรือ สิ่งที่เรารับรู้ เราสัมผัส จึงดับไปโดยภายใน”หมายถึงดับภายในใจถ้ายังมีชิวิตอยู่ ไม่อาจรับรู้ถึงสิ่งได คือมีอาร์มเดียว ไม่สุขทุกข์ และดับไปตลอดกาลหากละสังขารแล้ว อยู่เหนือกาลเวลา” วิญญาณ หรือ สิ่งที่เรารู้ เราสัมผัส ที่ยังไม่ดับ (คือการ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ของทุกสิ่งที่เรารู้ เราสัมผัส) สิ่งที่เล็กที่สุดคือ (นิพพาน เหนือกาลเวลา) ความเห็นของ “มนุษย์” อะตอมประกอบขึ้นด้วยโปรตรอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน ซึ่งเป็นคลื่นไฟฟ้าประจุ ลบ บวก “ทฤษฎีสนามควอนตัม (quantum field theory)” (ซึ้งตรวจวัดได้ด้วยเครื่องมือที่“มนุษย์” เป็นผู้เสร้าง เรียกว่ารูป นามคือชื่อเรียกละเอียดกว่าเล็กกว่ารูป (สามารตรวจวัดได้ด้วยเครื่องมือที่“มนุษย์” เป็นผู้เสร้าง ที่เรียกว่า คลื่น หรือลม ความคิด ความรู้สึก ไม่ตรวจสามารตรวจวัดได้ด้วยเครื่องมือที่“มนุษย์” เป็นผู้เสร้างได้ “ไม่มีใครรู้ว่าเราคิดอะไร รู้สึกอย่างไร เป็น “ปัจจัตตัง” (รู้ได้เฉพาะตน) นามรูป หรือ วิญญาณ อยู่ในกฎของเวลา) สิ่งที่ใหญ่ที่สุดคือ (นิพพาน เหนือกาลเวลา) อีกนัยหนึ่งคือการอยู่ด้วยกันในสิ่ง 2 สิ่ง รูปนาม อยู่ในกาลเวลา และนิพพานอยู่ เหนือกาลเวลา แต่อยู่ด้วยกัน ขนาดเท่ากัน เล็กเท่ากัน ใหญ่เท่ากัน นั้น ปราศจากขอบทุกๆด้านของสิ่งทั้ง 2 นั้นอย่างสินเชิง จึงเป็นกฎคู่ขนาน“ทฤษฎีสัมพัทธภาพ”ที่ไม่อาจเข้ากันได้แม้จะอยู่ด้วยกันเหมือนน้ำ กับ ใบบัว ดัง พุทธภาษิตกล่าว ว่า ผู้เข้าถึงธรรม (มุนี) ไม่ติดอยู่ในสิ่งทั้งปวง ไม่ทำอะไร ๆ ให้เป็นที่รักให้เป็นที่ชัง ความรำพึงรำพันและความหวงแหน จึงมิได้แปดเปื้อน เหมือนน้ำไม่แปดเปื้อนใบบัว แต่ความไม่เที่ยงของนามรูปอยู่ในกฎของเวลานั้น มีหนทางปฎิบัติให้ออกมาจากความไม่เทียงนั้นได้โดย ภพของ“มนุษย์” และสัตว์ที่กระดูกกระดิกได้ โดยการรู้ อริยสัจ 4 ปฏิจจสมุปบาท แต่กาลเข้ามาถึง ซึ้งนิพพาน เหนือการเวลา ซึ้งเป็นความบริสุทธิ์ อย่างที่สุด ไม่มีสิ่งใด ปรุงแต่งได้ จึงเป็นความสงบที่รุ่งเรืองเหนือสิ่งใดๆ เมื่อเป็นความสงบแท้จริง การปรุงแต่งจึงไม่อาจมีได้ด้วย กฎดังที่กล่าวมาข้างต้น (สิ่ง 2 สิ่งเหมือนเส้นขนานไม่อาจบรรจบกันได้และไม่อาจกล่าวถึงที่มาที่ไปได้เลย)เพราะการปรุงแต่งของนามรูป จึงมีทุกสิ่ง ที่เรารู้ เราสัมผัส “การไปให้ถึงขอบจักวาลคือส่วนหนึ่งที่“มนุษย์” ไม่มีทางไป”(วิญญาณ นามรูป อยู่ในกฎของเวลา) **การไปให้ถึงขอบจักวาลคือความว่างเหนือกาลเวลาที่ไม่อาจเข้าถึงได้** (ความว่างที่เราท่านไม่อาจเข้าใจ ได้โดยการนึก คิด หรือการ ตีความคำสอนของพระศาสดา ของผู้ที่ยังอยู่ในรูปนาม ถ้าต้องไปให้ถึง และเป็นสิ่งควรทำเหนือสิ่งใด ดังที่พระศาสดากล่าว “ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ ตถาคตขอเตือน
    เธอทั้งหลาย สังขารทั้งหลาย เสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลาย
    จงยังประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด” ดังนั้นเราท่านทั้งหลายต้องรู้อริยสัจ 4 พิจารณาให้เห็น การ เกิด ดับ ไม่ใช้ท่องจำ ต้องนอมมาพิจารณาใจ พิจารณา กาย รูปนาม ของเราเองให้เห็น การ เกิด ดับในความไม่เที่ยงของสิ่งทั้งหลาย (นิพพาน หรือความว่าง เหนือกาลเวลา) สิ่งที่ไม่สามารถไปให้ถึงได้ด้วย การไป การมา การเดินทาง รูปและนาม ไม่ อาอาจหยั่งถึงได้ ช่องว่างที่เกิดขึ้นระหว่างรูป-นาม (คือนิพพาน หรือความว่าง เหนือกาลเวลา ที่ถูกอวิชชาครอบ) ซึ้งมีในตัว“มนุษย์” และสัตว์ที่กระดูกกระดิกได้ สิ่งที่เกิดดับจาก รูป-นาม ดับ เป็นอวิชชา หรือ วิญญาณ ดับ “ไม่ใช่ จิต” (เป็นชื่อที่ใช้เรียกตามที่เข้าใจต่างกัน) ความจริงสิ่งนี้ไม่มีชื่อเรียก (คือเป็นสิ่งหนึ่งที่มีอยู่ เหนือกาลเวลา)*การสุดรอบ “ของสิ่งสองสิ่ง” (คือความว่างที่ไม่มีสิ่งไดหยั่งถึงได้ทั้งรูปและนาม) อีกนัยหนึ่ง ช่องว่างของสิ่งที่มีการกระตุ้นเร่งเล้า และการตอบสนองของสิ่งที่ถูกกระทำ (คือนิพพาน หรือความว่าง เหนือกาลเวลา ที่ถูกอวิชชาครอบ) ช่องว่างของสิ่งที่กระตุ้นเร่งเล้า และไม่มีการตอบสนองของสิ่งที่ถูกกระทำ (คือเป็นสิ่งหนึ่งที่มีอยู่ เหนือกาลเวลา)* พระอริยเจ้า มีวิหารธรรมเป็นเครื่องอยู่ (คือการอยู่กับสิ่งหนึ่ง หรือ นิพพาน – ความว่าง- ความสงบ เหนือกาลเวลา) ท่านอยู่กับกายและลมหายใจ – ความสงบ -ความว่าง เหนือกาลเวลา ดับเย็น หากยังมีชิวิตอยู่ และหากปรินิพพานท่านอยู่กับ ความสงบที่รุ่งเรือง -ความว่าง เหนือกาลเวลา ส่วนสัตว์ทั้งหลายผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูกมัด วิ่งไป ท่องเที่ยวไป ที่อยู่ในกาลเวลา ... ในระดับล่างสุด คือ สัตว์นรก เปรต อสุรกายและสัตว์เดรัจฉาน ถัดมาคือ มนุษย์ เทวดา และพรหม นรก-สวรรค์เป็นเครื่องอยู่ วิ่งไป ท่องเที่ยว จนกว่า อวิชชา หรือ วิญญาณ ดับ ถึงจะหลุดพ้น เป็นพระอริยเจ้า มีวิหารธรรมเป็นเครื่องอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่“มนุษย์” ค้นหา หรือสำเร็จ ก็มีดังนี้ แล... ข้อธรรมดังที่ข้าพเจ้ากล่าวมาทั้งหมด โปรด ใคร่ครวญ พิจารณา เฉพาะที่เกิดประโยชน์แก่ท่าน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 20[1].jpg
      20[1].jpg
      ขนาดไฟล์:
      70.8 KB
      เปิดดู:
      291
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...