เรื่องเด่น ” พระหมอตำแย ”โดย…หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย ษิตา, 3 มกราคม 2018.

  1. ษิตา

    ษิตา ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    10,174
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,230
    ค่าพลัง:
    +34,647
    หลวงพ่อ--011 -111.jpg

    ” พระหมอตำแย ”

    โดย…หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    มีอยู่คราวหนึ่งไปเทศน์ที่อำเภอโพธิ์ทอง พอเราก้าวขึ้นศาลาได้ยินเสียงคนกระซิบว่า “อ๋อ…วันนี้พระหมอตำแยมาเทศน์…” เสียงซุบซิบกันทั่วศาลา บางคนก็หัวเราะคิกคักๆ วันนั้นขึ้นเทศน์กับพระครูวัดโพธิ์ทองซะด้วย แหม…นึกว่าลืมเสียแล้ว ดันจำเราได้อีกแฮะ อันที่จริงก็ไม่มีอะไรมากจะเล่าให้ฟัง

    ตอนนั้นจะมีงานวัด ซึ่งเป็นงานประจำปีของวัดบางนมโค ประมาณเดือน ๕ ขึ้น ๑๐ หรือ ๑๑ ค่ำนี่แหละ และถือว่าเป็นวันแจกพระของหลวงพ่อปานครั้งใหญ่ แต่งานประจำปีที่นี่ต้องถูกยกเลิกไปตั้ง แต่หลวงพ่อปานท่านตาย เพราะจัดทีไรขาดทุนทุกที

    เราก็มานั่งนึกดูว่า เอ…วันของพ่อของแม่นี่ตัดไม่ได้หรอก ถ้าใครไม่จัดเราจะจัดเอง

    พวกทายกพากันทักท้วง “ขาดทุนนะครับ”

    “เอ้า…ขาดทุนก็ขาด ฉันไม่ได้เอาสตางค์ของพวกแกมาขาดก็แล้วกัน ฉันออกสตางค์เอง…ฮึ คือใครไม่ทำก็แล้วไป”

    พอใกล้เดือนเมษายน เหลือเวลาอีกไม่กี่วัน จึงสั่งให้เขาจัดงานทันที สร้างโรงลิเก โรงครัว ปรับพื้นที่ ก็เป็นงานประเภทที่ต้องทำก่อนวันมีงานนั่นแหละ พอตกกลางคืนหลวงพ่อปานมาบอกว่า

    “ลิงดำเอ้ย เหลืออีก ๑๕ วันนะลูก เอาเรือไปที่โพธิ์ทองนะ ไปตั้งต้นจากโพธิ์ทองมาถึงอำเภอเสนาซัก ๗ วัน
    แล้วก็ไปตั้งต้นจากอำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณ มาอำเภอเสนาอีก ๗ วัน บอกเขาว่าเราจะมีงานประจำปีและแจกพระหลวงพ่อปาน”

    อ๊ะ…ครึ้มเลยเรา ท่านบอกอย่างนั้น เราก็ดีใจ
    ตอนเช้าจัดแจงขนเครื่องขยายเสียงลงเรือทันทีเหมือนกัน แต่ไม่ได้เอาขึ้นไปติดตั้งบนหลังคานะ เพราะเราไม่ใช่เรือเรี่ยไรนี่ เราไปประกาศงานวัดเฉยๆ เท่านั้น ไม่ต้องมีอะไรมาก แค่เครื่องขยายเสียงอย่างเดียวก็พอ

    ขณะที่เรือวิ่งไปถึงคลองขุด ใกล้ๆ กับอำเภอ โพธิ์ทอง มีชาวบ้านสองสามคนเอาผ้าขาวม้ามายืนโบกอยู่ข้างตลิ่ง ตะโกนโหวกเหวกๆ ให้เรือจอด ตอนนั้น ไอ้เราก็กำลังหลับอยู่พอดี นายท้ายเรือมาเรียก “ท่านครับ…ท่าน”

    “ฮึ ว่าไง”

    “มีคนโบกเรือให้เราจอดครับ ตั้ง ๓ คนแน่ะ ถ้าโบกคนเดียว ผมไม่จอดแน่ แล้วนี่ทำไงดีครับ”

    “อ้าว…ก็จอดเข้าไปซิ เราไม่มีอะไรให้เขาปล้นหรอก ถ้านักคิดจะปล้นก็ซวยเต็มทีแล้ว”
    นายท้ายก็เหหัวเรือเข้าเทียบริมตลิ่งทันที

    “มีธุระอะไรหรือโยม”

    “เมียผมจะออกลูกครับ ปวดท้องมา ๗ วันแล้ว ยังไม่ยอมออกซักที” หนึ่งในสามคนนั่นรีบบอก

    “แล้วก็ไม่พาไปหาหมอหลวงเขาล่ะ”

    “ครับ หมอหลวง หมออนามัย นายแพทย์จากอ่างทอง อยุธยา มากันหมดแล้วครับ ปล้ำกันคอตกไม่ยอมออก”

    “เด็กมันตายหรือเปล่าล่ะ” แน่ะ…เป็นหมอเองซะแล้ว

    “ไม่ตายหรอกครับ หมอบอกว่ามันขวางอยู่ไม่ยอมออก ต้องใช้วิธีผ่าออก แต่พวกบ้านเขาไม่ยอมให้ผ่าครับ”

    “อ้อ…งั้นเรอะ แล้วจะให้ทำยังไงไม่เห็นเกี่ยวกันเลย ฉันไม่ใช่หมอตำแยนะ”

    “ขอให้ท่านช่วยทำน้ำมนต์ออกลูกง่ายๆ เท่านั้นแหละครับ”

    ตายห่…ไอ้เราก็ทำไม่เป็นเพราะไม่ได้เรียนมา จึงลองถามเลียบๆ เคียงๆ ดูเผื่อว่าจะได้เรื่องมั่ง

    “แล้วโยมรู้ได้ยังไงว่าฉันจะมาถึงได้มาตั้งท่าตั้งทางอยู่เนี่ย”

    “คือยังงี้ครับ…ตอนเช้าซัก ๔ โมงเห็นจะได้ มีพระองค์หนึ่งแก่แล้ว ห่มจีวรสีคล้ำๆ ขี่เรือแกลบผ่านมาทางหน้าบ้าน
    ท่านถามว่า…บ้านนี้ใช่มั้ย ที่ลูกไม่ออกมา ๗ วันแล้ว
    กระผมก็ตอบว่าใช่ครับ
    พระองค์นั้นก็เลยบอกว่า…ไม่เป็นไรหรอกวันนี้ตอนบ่ายๆ จะมีลูกศิษย์หลวงพ่อปานมา แล้วขอน้ำมนต์เขานะ น้ำมนต์ออกลูกง่ายๆ น่ะ
    …แล้วท่านก็บอกชื่อเรือ และลักษณะเรือให้เสร็จ พวกผมถึงได้มานั่งดักท่านตรงนี้แหละครับ”

    เรือยนต์มันไม่ใช่รถยนต์นี่ มันวิ่งช้า เขาอ่านชื่อเรือดูลักษณะเรือตรงตามที่บอกก็ช่วยกันเอาผ้าขาวม้าโบกกันยกใหญ่
    เราฟังเสร็จก็นึกเสียใจ เอ…ถ้าอย่างนี้คงไม่ใช่พระปกติแล้ว ใครจะรู้ว่าเราจะไปล่ะ เพราะไม่ได้โฆษณาไว้ก่อนนี่ สงสัยว่าจะเป็นหลวงพ่อปานเอง เพราะปกติแล้วเมื่อตอนท่านมีชีวิตอยู่ ท่านแจวเรือเก่ง

    จึงบอกให้พวกนั้นตักน้ำมาใส่ขันที่ตั้งอยู่กลางลำเรือ ก็น้ำในคลองนั่นแหละ ไอ้เราไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงจุดธูปเทียนบวงสรวงชุมนุมเทวดา อาราชธนาบารมีพระพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ทั้งหมด ลงท้ายขอให้หลวงพ่อปานมาช่วยด้วย นึกในใจว่า…ถ้าท่านจะช่วยก็ช่วย หรือจะไม่ช่วยก็แล้วแต่ท่าน…

    ประเดี๋ยวเดียวมาแล้ว สมเด็จองค์ปัจจุบัน รัศมีแพรวพราวเลย พระอาจารย์ใหญ่ แล้วก็ หลวงพ่อปาน ท่านมานั่งล้อมขันน้ำมนต์

    “นี่…เราน่ะ สวดอิติปิโสสัก ๗ จบซิ ลืมตาดูน้ำก่อน หลับตา นึกถึงภาพน้ำ แล้วสวดอิติปิโส ๗ จบ พร้อมกับหยดเทียน อธิษฐานขอให้เด็กนี้จงออกง่ายๆ คล้ายกับน้ำที่เทออกจากกระบอก”
    เสียงหลวงพ่อปาน ท่านบอกชัดเจน

    เอ้า…ท่านบอกแค่นั้น เราก็ว่าแค่นั้น ออกไม่ออกก็ช่างมัน อันที่จริง ถ้าดูน้ำก็เป็น อาโปกสิณ ใช่ไหม แล้วเรื่องกสิณน่ะ เรามันทำเป็นปกติอยู่แล้ว น้ำที่เขาตักมาน่ะขุ่นคลั่กเชียว แต่เราหลับตาว่าอิติปิโสยังไม่ทันจบเลย เห็นน้ำใสแจ๋วเป็นประกายแล้ว

    “เออ…เอาไปได้แล้ว ให้ดื่มอีก ๓ อึก แล้วเอาพรมบนหัวอีก ๓ ครั้งนะ” หลวงพ่อปานท่านสั่ง

    พอตักน้ำมนต์ให้เจ้านั่นเสร็จ รีบสั่งนายท้ายเรือตีระฆังถอยหลังทันที เพราะขืนทำรอชักช้าถ้าดื่มแล้วไม่ยอมออก มันจะได้มาไล่เตะเอาน่ะซิ

    “เดี๋ยวครับ ท่านยังออกเรือไม่ได้” นั่นไง…เอาแล้วซี

    “ข้างบนโน่น ยังรอให้ท่านช่วยทำน้ำมนต์อีกตั้งหลายสิบคนแน่ะ”

    พูดยังไม่ทันขาดคำ ไอ้พวกที่อยู่ข้างบนก็พากันวิ่งพรูลงมา จึงถามเจ้าคนนำหน้าว่า

    “นี่พวกโยมรู้กันยังไง ถึงได้ยกพวกมากันตั้งเยอะตั้งแยะ”

    “มีพระแก่ๆ องค์หนึ่ง ท่านเดินผ่านหน้าบ้านมาบอก พวกผมเห็นใกล้เพลและจะตามไปนิมนต์ก็ไม่ทัน พอเดินผ่านหน้าบ้านก็หายไปเลย ถามใครก็ไม่มีใครเห็น”

    นึกว่า…ถ้ากินแล้วไม่ออก ก็ถูกกระทืบตายแน่ รีบตักน้ำมนต์ส่งให้พวกที่มาทีหลังทันที กะว่าเสร็จเมื่อไหร่จะได้รีบไป…โอ๊ะ ที่ไหนได้ ไอ้คนแรกนั่นวิ่งพรวดพราดเข้ามาแล้ว หนีไม่พ้นแน่เรา คราวนี้มีหวังโดนตะพดแน่

    “โอ ท่านครับ ออกแล้ว…ออกแล้วครับ เป็นผู้ชายด้วย”

    เฮ้อ…โล่งอกไปที นึกว่าจะโดนไม้ตะพดเสียแล้วเรา กว่าจะออกเรือได้ก็ ๕ โมงเย็นพอดี เรือเราไม่ได้เรี่ยไร แต่วันนั้นได้เงินตั้ง ๕ พันกว่าบาทได้ ๕ พันสมัยก่อนนี่ไม่ใช่น้อยนะ ถ้าเป็นเดี๋ยวนี้ก็เท่ากับ ๕ แสนนั่นแหละ

    (ที่มา : จากหนังสือธัมมวิโมกข์ฉบับที่ ๑๖๙ )



    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
     
  2. madeaw23

    madeaw23 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2017
    โพสต์:
    209
    ค่าพลัง:
    +188
    กราบสาธุครับ
     
  3. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,628

แชร์หน้านี้

Loading...