พระพุทธเจ้ามีจริงหรือไม่ มีเหตุผลอย่างไร

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย bennynaja, 4 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. bennynaja

    bennynaja เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +104
    พระพุทธเจ้ามีจริงหรือไม่ มีเหตุผลอย่างไรที่พอจะให้เชื่อได้ว่าพระพุทธเจ้ามีอยู่จริงๆ?
    ที่ถามว่าพระพุทธเจ้ามีจริงหรือไม่นั้นทราบไหมว่าพระพุทธเจ้าที่สงสัยว่ามีจริงหรือไม่นั้น พระองค์คือใคร? ผู้ถามรู้จักพระพุทธเจ้าในฐานะอย่างไร?
    คนเราแปลกดีเหมือนกันบางครั้งพูดกันถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้แต่เอาเข้าจริงๆไม่ทราบว่าเรื่องนั้นเป็นจริงหรือไม่ชาวพุทธเป็นจำนวนไม่น้อยที่กล่าว
    พุทธํ สรณํ คจฉามิ หรือ นโมตสส ภควโต อรหโต สมมาสมพุทธสส มานานแสนนานวันดีคืนดีลุกขึ้นมาถามเพื่อนว่า
    "พระพุทธเจ้ามีจริงหรือคนโบราณอุปโลกน์ขึ้นหรือเปล่าก็ไม่รู้" หรืออาจคิดว่า พระพุทธเจ้ามีจริงไหมหนอ? เป็นต้น
    การตอบว่าพระพุทธเจ้ามีจริงหรือไม่นั้นเราต้องทราบว่าพระพุทธเจ้าคือใครให้ได้ เสียก่อนท่านได้ให้คำนิยามว่า
    "พระพุทธเจ้าคือท่านผู้รู้ดีรู้ชอบด้วยพระองค์เองแล้วสอนบุคคลอื่นให้รู้ตามด้วย"
    นี่คือพระพุทธเจ้าในความเข้าใจความเชื่อถือของชาวพุทธผู้แสดงตนนับถือพระองค์ พระพุทธเจ้าในความหมายดังกล่าวเป็นบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริงในประวัติศาสตร์เช่นเดียว กับจีนมีเล่าจื้อ ขงจื้อ เม่งจื้อ ไอคุปต์มีพระนางคลีโอพัตรา กรีกมีโสกราตีส เพลโต อริสโตเติ้ล คือเป็นบุคคลที่เคยเกิดขึ้นในโลกเมื่อหลายพันปีมาแล้วมีหลักฐานทางโบราณคดี ประวัติศาสตร์ ศิลาจารึก และเอกสารบันทึกต่างๆยืนยันถึงความมีอยู่ของพระองค์ ในฐานะที่เป็นคนๆหนึ่งผู้ได้อุบัติบังเกิดมาเช่นเดียวกับที่คนทั้งหลายเกิดดำรงอยู่และแตกดับไปในยุคสมัยต่างๆ
    ที่แปลกมากคือความมีอยู่ของคนอื่นๆเช่นนักปราชญ์ฝรั่งเป็นต้นที่กล่าวแล้วไม่มีใครไปตั้งข้อสงสัยว่าท่านเหล่านั้นมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ แต่พอเรื่องความมีอยู่ของเจ้าชายพระองค์หนึ่งที่ทรงพระนามว่า สิทธัตถราชกุมารผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตด้วยการตรัสรู้พระธรรม กลับมีคนสงสัยกันนี่ ถ้าพระพุทธเจ้าเป็นฝรั่งและฝรั่งยืนยันว่าพระพุทธเจ้าเป็นฝรั่งที่มีตัวตนอยู่จริงคงไม่มีใครสงสัย เพราะสำหรับคนบางพวกนั้น ขอเพียงฝรั่งว่าเท่านั้นเชื่อถือกันได้ยังกับเป็นเทวโองการจากสวรรค์ ช่างน่าอนาถใจจริงๆ
    ความมีอยู่ของพระพุทธเจ้าในแง่ที่ทรงรอบรู้หรือตรัสรู้และสมบูรณ์ด้วยพระคุณตามที่พูดกันนั้นหากใช้ปัญญาพิจารณาด้วยความรู้สึกว่า "คนดีวิเศษนั้นหาได้มีเพียงชาติฝรั่งชาติเดียวไม่โดยที่แท้ ท่านที่เป็นศาสดาของโลก ล้วนแล้วแต่เป็นคนเอเซียทั้งนั้น ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์นั้นไม่ปรากฏว่าฝรั่งเด่นกว่าคนเอเซียในด้านความรู้ ความเข้าใจในเรื่องจิตใจ ศีลธรรม จรรยา สัจธรรม ฝรั่งเก่งในด้านวัตถุเท่านั้นและปัจจุบันนี้ไม่ปรากฏว่าฝรั่งสามารถควบคุมวัตถุที่ตนคิดค้นขึ้นมาได้ทุกอย่าง และมีอยู่ไม่น้อยที่วัตถุเหล่านั้นกำลังเป็นอันตรายต่อโลก"
    ด้วยความรู้สึกดังกล่าวนั้นจะทำให้คนยอมรับความมีอยู่ของพระพุทธเจ้า ในด้านรูปธรรมและนามธรรมที่ท่านจัดเป็นพระคุณ ๓ ประการคือ
    ๑. พระปัญญาคุณ เราทราบได้จากการศึกษาคำสั่งสอนของพระองค์ที่ทรงจำแนกแสดงไว้เป็นอันมาก ทั้งเรื่องทั่วๆไปจนถึงเรื่องที่เป็นปรมัตถธรรมอันยากแก่การเข้าใจ แต่ก็เป็นความจริงที่ ใครๆไม่อาจจะปฏิเสธได้ เรายอมรับพระปัญญาของพระพุทธเจ้าในฐานะผู้สอนคำสอนเหล่านั้นเช่นเดียวกับการยอมรับความมีอยู่ของโสกราตีส เพลโต อริสโตเติ้ล เพราะผลงานทางปรัชญาในด้านต่างๆของท่าน
    ๒. พระบริสุทธิ์คุณ คือพระองค์มีพระทัยบริสุทธิ์ปราศจากกิเลส เราอาจทราบได้จากคำสอนพระพุทธจริยาของพระองค์เช่นทรงสรรเสริญ การบูชาด้วยการปฏิบัติตนเป็นคนดี สำหรับคนทั้งหลายผู้นับถือพระองค์ถือว่าเป็นการบูชาต่อพระองค์อย่างยอดเยี่ยม ทั้งๆที่การบูชาเช่นนั้น ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นผู้ได้รับผลโดยตรงด้วยตนเอง
    ในขณะเดียวกันทรงแสดงว่าการบูชาด้วยวัตถุสิ่งของอันเป็นผลที่พระองค์และพระสงฆ์จะพึงได้รับโดยตรงว่าสู้การบูชาด้วยการปฏิบัติตนเป็นคนดีไม่ได้ คนมีจิตใจบริสุทธิ์อย่างแท้จริงเท่านั้นจึงจะพูดคำพูดในลักษณะที่ไม่ใส่ใจถึงประโยชน์ตนเช่นนี้ได้.
    ๓. พระมหากรุณาคุณ คือการที่พระพุทธเจ้าทรงมีพระมหากรุณามากนั้นเราจะพบว่างานเพื่อตนของพระพุทธเจ้านั้นทรงทำสำเร็จตั้งแต่เมื่อตรัสรู้แล้วเวลาอีก ๔๕ ปี ภายหลังจากการตรัสรู้นั้นเป็นการทำงานเพื่อประโยชน์เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่คนทั้งหลายโดยไม่ได้คำนึงถึงความเหนื่อยยากลำบาก ส่วนพระองค์แม้ทรงอาพาธหนักจวนปรินิพพานก็ยังทรงทำงานเพื่อคนอื่นจนวาระสุดท้าย คนที่ไม่มีจิตใจเต็มด้วยความกรุณาต่อคนอื่นไม่มีใครยอมลำบากตนเพื่อคนอื่นเช่นนี้หรอก
    อีกประการหนึ่งความมีอยู่ของสถาบันสงฆ์ในประเทศต่างๆสืบต่อกันมาอย่างมีระบบ มีกฎเกณฑ์ประวัติความเป็นมา ย่อมเป็นการแสดงว่าต้นเดิมที่สร้างสถาบันนี้ขึ้นมานั้น มีอยู่และท่านผู้นั้นเองที่เรียกกันว่า พระพุทธเจ้า
    เรื่องพระพุทธเจ้ามีหรือไม่นั้นอย่าปฏิเสธด้วยเหตุเพียงว่าตนไม่เห็นตนไม่เชื่อเพราะ เรื่องในโลกนี้ทั้งในปัจจุบันและอดีตมีมากเหลือเกินที่เราไม่ได้เห็นแต่เราต้องเชื่อเพราะอาศัยปัจจัยในการเชื่ออย่างอื่นๆ เช่นความมีอยู่ของปู่ของปู่ไม่มีใครเคยเห็นกันหรอก แต่ใครๆก็ไม่ปฏิเสธว่าปู่ของปู่ตนไม่มีเรื่องความมีอยู่ของพระพุทธเจ้าทั้งในด้านรูปธรรม และนามธรรมก็นัยเดียวกัน
    ที่มา : http://www.geocities.com/Paris/Tower/4661/


    <TABLE border=0 cellSpacing=0 borderColorLight=#000000 cellPadding=0 width=719 align=center height=2854><TBODY><TR><TD height=48 vAlign=top width=715>พระพุทธเจ้ามีจริงหรือ ? <HR></TD></TR><TBODY><TR><TD height=3459 vAlign=top width=715>
    คนส่วนมากมักจะลักเลใจ และสงสัยว่าพระพุทธเจ้ามีจริงหรือไม่ หรือว่าเป็นเพียงนิยายที่เล่าสืบทอดกันมาเหมือนบางศาสนา ปัญหาข้อนี้ สำหรับชาวพุทธที่แท้และผู้ที่ศึกษาค้นคว้าเป็นอย่างดีแล้ว ย่อมจะเชื่ออย่างสนิทใจและตอบได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า พระพุทธเจ้ามีจริง เพราะหลักฐาน ๓ ประการ คือ
    ๑. หลักฐานทางโบราณสถาน โบราณวัตถุ ท่านคงได้ศึกษามาแล้ว เกี่ยวกับสังเวชนียสถาน เช่น

    <TABLE border=0 cellSpacing=5 width="100%" height=1><CENTER><TBODY><TR><TD width="33%"> <TR><TD height=233 vAlign=top width="33%">[​IMG]
    เสาหินพระเจ้าอโศกมหาราช
    [​IMG]
    </TD><TD height=1 vAlign=top rowSpan=2 width="67%"> สวนลุมพินีวัน คือ สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้าในตำบล "ลุมมินเด" ก่อนนั้น ยังอยู่ในเขตอินเดีย คราวเมื่อแบ่งปันเขตแดนหลังสงคราม ปี พ.ศ.๒๔๙๓ (ค.ส.๑๙๕๐) ลุมพินีวัน ตกอยู่ในเขตของประเทศเนปาล เมื่อมองย้อนอดีต สถานที่นี้ตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่าง กรุงกบิลพัสดุ์ กับ กรุงเทวทหะ มีโขดเขาล้อมรอบ ประดับด้วยหมู่ไม้นานาพันธุ์ ทั้งสระน้ำ บรรณศาลาที่พักดอกไม้สวยงาม ส่งกลิ่นระรวยรื่นชื่นใจในฤดูใบไม้ผลิต เป็นสวนพฤกษชาติที่หย่อนใจ เวลาว่างจากการงานของชาวกรุงกบิลพัสดุ์และกรุงเทวทหะ
    ดูตามประวัติศาสตร์ผนวกกับวรรณกรรมทางพุทธศาสนา ได้จาริกลุมพินีไว้ในฐานะเป็นสถานที่ประสูติของเจ้าฟ้าชายสิทธัตถะมกุฏราชกุมาร
    แห่งศากยกมหานคร เมื่อ ๘๐ ปี ก่อน พ.ศ. ๑

    ก่อนพระมหาบุรุษอุบัติ ในคัมภีร์ทศชาติ พรรณาถึงการบำเพ็ญบารมี ในชาติปางก่อนว่าครั้งสุดท้ายพระโพธิสัตว์ทรงเป็นเทพบุตรประทับอยู่ ณ สวรรค์ชั้นดุสิต ก่อนเสด็จอุบัติลงสู่โลกมนุษย์ ทรงพรรณาถึง "ปัญจมหาวิโลกนะ" ๕ ประการ คือ กาลอันควร ทวีปอันควร ประเทศอันควร ตระกูลผู้ให้กำเนิดอันควร และมารดาผู้มีอายุอันควร
    ทรงพิจารณาเห็นว่า ตระกูลของผู้ครองนครศากยะ เป็นที่เหมาะแก่การอุบัติและผู้ที่ควรรับรองกำเนิดคือพระนางสิริมหามายา อัครมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะจึงตัดสินพระทัยเสด็จลงสู่พระครรภ์ เมื่อวันอาสาฬหปูรณมีเพ็ญเดือน ๘ และได้เสด็จอุบัติ ณ สวนลุมพินีวันสถาน เวลาแดดอ่อน ตะวันยังไม่ตรงศีรษะดีนัก วันศุกร์เพ็ญเดือน ๖ พระนางสิริมหามายาประทับยืน พระหัตถ์ขวาเหนี่ยวกิ่งไม้ ประสูติพระโอรสได้สะดวก ข้าราชบริพารนำชำระในสระสรงสนามโบกขรณี ส่วนหนึ่งก็เข้าไปกราบทูลพระเจ้าสุทโธทนะ และจัดขบวนรับเสด็จนิวัติสู่พระมหานคร
    </TD></TR></CENTER><TR><TD height=218 vAlign=top width="33%"><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="95%"><TBODY><TR><TD>สวนลุมพินีวัน
    เป็นสถานที่ประสูติของเจ้าชาย สิทธัตถะ ซึ่งในกาลต่อมาได้ตรัสรู้เป็นองค์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในภาพเราจะมอง
    เห็นเสาหิน ซึ่งเป็นศิลาจารึกของพระเจ้า
    อโศกมหาราชอันเป็นจุดที่เจ้าชายสิทธัตถะ
    ประสูติถัดมาจะเป็นวิหารมายาเทวี ซึ่งได้ สร้างขึ้นในภายหลังเพื่ออนุสรณ์ ส่วนด้านหน้า
    คือสระน้ำโบกขรณีกล่าวกันว่าเป็นที่สนาน พระวรกายของเจ้าชายสิทธัตถะ หลังจากประสูติ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR><TR><TD height=208 vAlign=top width="33%">[​IMG]
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="95%"><TBODY><TR><TD>มหาเจดีย์พุทธคยา คือสถานที่สำคัญอันยิ่งใหญ่ ในประวัติศาสตร์พุทธศาสนาเพราะเจ้าชาย สิทธัตถะได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิธาณ
    คือ ตรัสรู้เป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ ทีนี้ปัจจุบันอยู่ห่างออกไปทางทิศใต้ของ
    เมืองคยา ประมาณ ๑๐ กม.
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><CENTER><TD height=156 vAlign=top rowSpan=2 width="67%">
    มหาเจดีย์มหาโพธิ์ สันนิฐานกันว่าพระเจ้าอโศกมหาราชสร้างขึ้นไว้ก่อน ขนาดคงย่อมกว่านี้ แต่ด้วยแรงศรัทธาต่อพระพุทธองค์ จึงมีผู้มาต่อเติมเสริมสร้าง และบูรณะปฏิสังขรกันต่อมาตามยุตสมัย เช่น ราว พ.ศ.๖๗๔ พระเจ้าหุวิชกะ กษัตริย์แคว้นมคธ ทรงช่วยสร้างเสริมให้เป็นศิลปะต้นแบบ เป็นสถูปใหญ่ของพระพุทธศาสนา ที่มีชื่อเสียงแผ่ไปไกล หลวงจีนถังซัมจั๋ง เรียกว่า มหาโพธิ์วิหาร อันเป็นผลิตผลทางสถาปัตยกรรมของอินเดีย มหาวิหารหลังนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของต้นโพธิ์ในปัจจุบัน
    บริเวณมหาโพธิ์วิหาร ได้กลายเป็นที่สำคัญที่สุด เนื่องจากพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์นี้ ประกอบกับที่นี้ เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่คนโบราณนับถืออยู่แล้ว เท่ากับว่าบริเวณนี้เป็นแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของโลก
    มหาชนทั้งหลายกล่าวกันว่า ที่ต้นโพธิ์ตรัสรู้แห่งนี้ เป็นสะดือของโลก หรือปัถวินาภิมณฑล เพราะเป็นที่ซึ่งพระพุทธเจ้าทุกพระองค์มาทรงตรัสรู้ที่นี้ทั้งนั้น และไม่มีสถานที่อื่นจะสามารถรองรับน้ำหนักของการตรัสรู้ได้ โพธิรุกขะ คือ ต้นไม้โพธิ์นี้ย่อมถือว่าเป็นเสมือนขวัญใจของชาวพุทธทั่วโลก
    เมื่อพุทธศตวรรษที่ ๑๓ หลวงจีนท่านบันทึกไว้ว่า "ทางตะวันออกของต้นโพธิ์นั้น มีวิหารสูงประมาณ ๑๖๐-๑๗๐ ฟุต กำแพงเบื้องล่างของวิหารด้านนอก สูงประมาณ ๒๙ หรือกว่านั้น ตัวอาคารทำด้วยกระเบื้อง (อิฐ) สีฟ้า ทาทับด้วยปูนขาว ทุกห้องในชั้นต่างๆ บรรจุรูปที่ทำด้วยทองคำมากมาย ตัวตึกทั้ง ๔ ด้าน ประดับประดาด้วยลวดลายอันมหัศจรรย์ รูปไข่มุกที่ร้อยเป็นสายประดับไว้ที่หนึ่ง"
    หลวงจีนยังได้บันทึกไว้อีกว่า "ตัวอาคารล้อมรอบด้วยทองแดงชุบ ประตูและหน้าต่างตกแต่งด้วยลวดลายอันวิจิตร ประดับด้วยทอง เงิน มุก และรัตนะต่างๆ ด้านขวาซ้ายประตูนอกเป็นซอกคล้ายๆ ห้อง ด้านซ้ายมีรูปพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ด้านขวาเป็นรูปพระไมเตรยโพธิสัตว์ รูปเหล่านี้ทำด้วยเงินขาว สูง ๖๐ ฟุต " คันนิ่งแฮม ถือว่า วิหารหลังปัจจุบัน แม้จะได้รับการซ่อมแซมและเปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว ก็คือวิหารหลังเดียวกันกับที่นักจาริกแสวงบุญชาวจีนท่านนั้นได้พรรณนาไว้
    พระเจดีย์มหาโพธิ์ ประดิษฐานอยู่ทางทิศตะวันออกของต้นพระศรีมหาโพธิ์ โดยมีแท่นวัชรอาสน์อยู่ตรงกลาง สูงตามรูปทรงกรวย ประมาณ ๑๗๐ ฟุต วัดรอบฐานได้ประมาณ ๘๕ เมตรเศษ ตั้งอยู่บนอาคารรองรับ ๒ ชั้น มีเจดีย์บริวารทั้ง ๔ ด้าน
    รอบบริเวณ มีเสาหินทรายที่สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศก มีรั้วล้อมไว้อย่างแข็งแรง ปรากฏร่องรอยการบูรณะสืบต่อกันมาหลายยุค โดยเฉพาะสมัยพระสุเมธาธิบดี (ทตฺตสุทฺธิ) ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา ได้นำศรัทธาของพุทธบริษัทชาวไทย บูรณะเสาหินล้อมรอบพระเจดีย์ และห้องปฏิบัติสมาธิชั้นบนของพระเจดีย์โดยมีพระราชโพธิวิเทศ (ทองยอด ภูริปาโล) เจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน พ.ศ.๒๕๔๔ เป็นแม่กองงาน พร้อมทั้งติดโคมไฟ ที่สาดแสงส่องได้สูงถึงยอด
    </TD></CENTER></TR><TR><TD height=300 vAlign=top width="33%">
    </TD></TR><TR><TD height=2 vAlign=top colSpan=2></TD></TR><TR><TD height=125 vAlign=top width="33%">[​IMG]</TD><TD height=1 vAlign=top rowSpan=2 width="67%"> สถูปโบราณทรงบาตรคว่ำ ก่อด้วยหินทราย สถูปสร้างอุทิศแด่ผู้เห็นธรรม (ธัมเมกข = ธัมมะ + อิกขะ : อิกขะ แปลว่าเห็นธัมมะ แปลว่าธรรม) หมายถึง "สถานที่แสดงธรรมที่นำพาให้ถึงความหลุดพ้น" มียอดทรงกรวย สูงประมาณ ๘๐ ฟุต วัดโดยรอบประมาณ ๑๒๐ ฟุต สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาโปรดพระปัญจวัคคีย์ท่าน ผู้เดินทางไปแสวงบุญ นิยมมาเจริญภาวนาบูชาสักการะกันในบริเวณนี้
    สารนาถ บริเวณนี้เคยเป็นอุทยานที่กว้างใหญ่ มีต้นไม้ร่มรื่น สนามหญ้าเขียวขจี มีสวนกวางขนาดย่อมทางด้านหลัง และสวนสัตว์อีกด้วย โดยเฉพาะนกยูงซึ่งอาศัยอยู่ตามธรรมชาติ เป็นการสร้างบรรยากาศให้คล้ายคลึงกับครั้งพุทธกาล ในอาณาบริเวณมีซากวัตถุโบราณที่ทำการขุดค้นแล้วมากมาย
    พุทธสถานแห่งนี้ เป็นหนึ่งในสี่ของสังเวชนียสถาน ๔ ตำบล ที่พระพุทธองค์ตรัสเชิญชวนให้พุทธบริษัทได้เข้าใกล้ทั้งกายและใจ เพื่อให้เกิดความสังเวช อันเป็นคุณเครื่องนำพาไปสู่ความเจริญ สถูปแห่งนี้เคยงดงาม สง่าด้วยพุทธศิลป์ สมณะจีนบันทึกไว้คราวมานมัสการว่า รอบสถูปทั้ง ๘ ช่อง มีพระพุทธรูปทองคำประดิษฐานอยู่ครบ นักแสวงบุญมาเวียนเทียนประทักษิณ สวดมนต์ ไหว้พระกันที่นี้ ทั้งนี้เพราะว่า ณ จุดที่ตั้งธัมเมกสถูป เชื่อกันว่าเป็นบริเวณที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา นำให้โกณฑัญญพราหมณ์ได้ดวงตาเห็นธรรม และได้อุปสมบทเป็นภิกษุองค์แรกในพระพุทธศานา ในกาลต่อมา ณ ที่แห่งนี้ พระพุทธองค์ทรงใช้เป็นที่ชุมชนของพุทธสาวก ๖๐ องค์ ส่งออกประกาศพระพุทธศาสนา นับได้ว่าเป็นพระธรรรมทูตชุดแรก สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสแก่ภิกษุผู้เป็นพระขีณาสพทั้งหลายว่า
    "จรถ ภิกขฺเว จาริกํ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย แปลเป็นภาษาไทยของเราได้ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเที่ยวไปเพื่อประโยชน์และความสุข แก่มหาชนเพื่ออนุเคราะห์โลก อย่าไปทางเดียวกัน ๒ รูป จงแสดงธรรมที่งามในเบื้องต้น ในท่ามกลาง และในที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์ให้ครบบริบูรณ์โดยสิ้นเชิงเถิด"
    "สถูปแห่งนี้บางแห่งเรียกว่า ธรรมมุขะ สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์คุปต์ เชื่อกันว่าสร้างขึ้นเพื่อถวายพระศรีอริยเมตไตรย โดยเข้าใจว่า ณ สถานที่นี้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ให้คำมั่นสัญญาแก่พระศรีอริยเมตไตรยว่า ผู้ที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตจะต้องเป็นพระศรีอริยเมตไตรย และสถานที่บริเวณสารนาถตามความเห็นของอินเดีย มีความสำคัญสำหรับพระพุทธศาสนา ๓ ประการคือ
    ๑. เชื่อกันว่า พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าประสูตติที่นี่
    ๒. สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาประทานปฐมเทศนาที่นี่
    ๓. พระพุทธองค์ทรงตกลงกับพระศรีอริยเมตไตรยที่สถูปธรรมมุข เพื่อเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปในอนาคต

    </TD></TR><TR><TD height=574 vAlign=top width="33%">ธัมเมกขสถูป
    เป็นพุทธปูชนียสถานอันเก่แก่ ของสารนาถ สร้างด้วยศิลาแลงอย่างแข็งแรงและสง่างาม
    ทั้งยังมีลวดลายสลักหินที่วิจิตรงดงาม
    อยู่ตอนล่าง ซึ่งธัมเมกสถูปนี้ว่ากันว่า
    พระเจ้าอโศกมหาราชได้ทรงสร้างไว้

    </TD></TR><CENTER><TR><TD height=122 vAlign=top width="33%">[​IMG]</TD><TD height=1 vAlign=top rowSpan=2 width="67%"> พระเจ้าอโศกมหาราช เคยเสด็จมายังสถานที่ปรินิพพาน ณ เมืองกุสินาราแห่งนี้ และได้บริจาคพระราชทรัพย์หนึ่งแสนรูปี โปรดดำริให้ก่อสร้างพระสถูปขนาดใหญ่ขึ้น ณ ที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน ภายใต้ต้นสาละทั้งคู่ เมื่อวันเพ็ญวิสาขบูชา โดยสร้างคร่อมแท่นปรินิพพาน พร้อมด้วยต้นสาละนั่นเอง มีลักษณะทรงบาตรคว่ำ สูงราว ๗๐ ฟุต บนยอดมีฉัตร ๓ ชั้น
    สถูปปรินิพพานเก่าแก่โบราณแห่งนี้ มีการบูรณะกันหลายสมัย ด้วยศรัทธาที่มาก จึงทำให้สถูปนี้สูงใหญ่ขึ้น และกาลเมื่อพระพุทธศาสนาเสื่อมทรุดลง ก็เป็นเหตุให้ทรุดโทรมลงตามลำดับ ผู้มาแสวงบุญทั้งหลาย จะพากันตั้งใจมาประทักษิณเวียนรอบ หรือนั่งเจริญภาวนาเพื่อน้อมถวายเป็นพุทธบูชา นับว่าเป็นการยังความไม่ประมาทให้เกิดขึ้นได้
    </TD></TR><TR><TD height=1 vAlign=top width="33%">กุสินคร หรือ กุสินารา
    เป็นสถานที่ซึ่งพระพุทธเจ้าดับขันธ์ ปรินิพพานและถวายเพลิงพระพุทธสรีระ พระองค์เสด็จประทับบรรทมสีหไสยาศน์
    เข้าสู่ปรินิพพานใต้ต้นรังคู่ในสาลวโนทยาน
    ปัจจุบันสถานที่นี้ตั้งอยู่ที่ตำบลกาเซีย
    จังหวัดโครักขปุระ
    </TD></TR><TR><TD height=2 vAlign=top colSpan=2></TD></TR><TR><TD height=29 vAlign=top colSpan=2>๒. หลักฐานทางประวัติศาสตร์
    พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ปรากฎในประวัติศาสตร์ ว่าเป็นโอรสของพระเจ้าสุทโทธนะกับพระนางเจ้าสิริมายา แห่งพระนครกบิลพัสดุ์ นามเดิมว่า "สิทธัตถะ" เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า เมื่อออกผนวชแสวงหาสัจจธรรมจนได้ตรัสรู้ และได้สั่งสอนพุทธธรรมออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เฉพาะในประเทศอินเดียเท่านั้น ยังขยายออกไปทั่วโลกอีกด้วย
    ๓. หลักฐานที่เป็นคำสอนอันได้แก่พระธรรมวินั
    หลังจากที่พระองค์ได้ตรัสรู้ ได้นำหลักธรรมออกมาเผยแผ่อย่างหว้างขวาง และเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก เพราะเพียงได้ตรัสรู้เพียง ๓ เดือนเท่านั้นก็ได้สาวกถึง ๖๐ รูป และภายใน ๙ เดือน ก็สามารถสั่งสอนสาวกที่เป็นพระอรหันต์ถึง ๑,๒๕๐ รูป ปัจจุบันพระพุทธศาสนามีผู้นับถืออยู่ทั่วโลก และประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาต่างก็มีตำราที่เรียกว่า " พระไตรปิฎก" กัน ทุกประเทศซึ่งปัจจุบันได้แปลออกเป็นภาษาาต่าง ๆ กว่า ๕๐ ภาษาในประเทศไทยมีทั้งฉบัฐเป็นภาษามคธ(บาลี) และที่เป็นภาษาไทย
    หลักฐาน ๓ ประการเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นว่า พระพุทธเจ้านั้นมีจริงโดยเฉพาะหลักฐานที่เป็นคำสอน ถ้าได้ศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจัง จะได้ทราบถึงความละเอียดลึกซึ้ง มีคุณค่าแก่ชีวิตมาก ยากที่คนสามัญธรรมดาจะมีความคิดความเข้าใจได้ถึงขนาดนี้
    ผู้ที่จะสอนหลักธรรมเช่นนี้ได้ จะต้องเป็นวิญญูชน เป็นสัพพัญญูเป็นสัมมาสัมพุทธะ เป็นโลกวิทูอย่างแท้จริงยิ่งกว่าบุคคลธรรมดาในสมัยเดียวกัน.

    </TD></TR></CENTER></TBODY></TABLE>​
    ที่มา http://www.songpak16.com/aticle/have_bud.html</TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...