_/\_รบกวนท่านผู้ทรงอภิญญา_/\_

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย บ้องแบ้ว, 11 กันยายน 2017.

  1. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,294
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    รบกวนท่านผู้ทรงอภิญญาตรวจดูวิมานของข้าพเจ้าด้วยเถิดค่ะ ว่าตอนนี้วิมานอยู่สวรรค์ชั้นไหน มีบริวารเท่าไหร่ มีอะไรเกิดขึ้นในวิมานบ้าง และวิมานมีความโดดเด่นอย่างไร

    _/\_
     
  2. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,628
    ถ้าคุณเคยถวาย สังฆทาน วิหารทาน ธรรมทาน เคยถือศีล 5 ศีล 8 เคยสวดมนต์ภาวนา เคยถวายพระพุทธรูป อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือ ทำทั้งหมด แม้เพียงครั้งเดียว ขอให้มั่นใจได้เลยครับว่า คุณมีวิมานและทิพยสมบัติเป็นของตนเองรออยู่แล้ว (ถ้าทำมากกว่านั้น บุญที่ได้ก็จะสั่งสมมากขึ้นไปอีก บุญกรรมไม่มีขีดจำกัดครับ ทำมากเท่าไหร่ก็ได้มากเท่านั้น สั่งสมได้เรื่อย ๆ)

    ส่วนทรัพย์สมบัตินั้นจะอยู่ชั้นไหน โดยปกติการถวายสังฆทานมีอานิสงส์ส่งให้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นนิมมานรดีได้ คือ สวรรค์ชั้นที่ 5 นั่นเอง แต่ถ้าเราต้องการไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ชั้นที่ 2 เพราะคุ้นหูมากกว่า แบบนี้ก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าคุณต้องการไปเกิดที่ชั้นไหนครับ เพราะบุญนั้นรออยู่แล้วตั้งแต่วินาทีแรกที่ตั้งใจทำบุญ และได้บุญสมบูรณ์พร้อมเมื่อได้ทำบุญนั้นเสร็จเรียบร้อยตามที่ตั้งใจ

    ดังนั้นถ้าต้องการไปเกิดในสวรรค์ชั้นไหน ก็ให้อธิฏฐานไว้ทุกวันเลยครับว่า บุญที่เคยทำ เช่น ถวายพระพุทธรูป หรือ ถวายสังฆทาน ขอให้เป็นปัจจัยส่งผลให้เราได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นนั้น ๆ เช่น นิมมานรดี ด้วยเถิด

    ประมาณนี้ครับ ตั้งใจไว้ทุกวันได้แน่นอน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กันยายน 2017
  3. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,628
    อานิสงส์การถวายดอกบวบขม
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

    ตั้งใจถวายดอกบวบขม ตายจากคนไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

    “...พูดถึงอานิสงส์การถวายดอกไม้บูชาด้วยศรัทธาแท้ ดังตัวอย่างท่านหนึ่งคือ ท่านสาตกีเทพธิดา “สาตกี” แปลว่า “ดอกบวบขม” เทพธิดาองค์นี้ทำบุญด้วยดอกบวบขม ท่านพระโมคคัลลาน์ท่านเจริญพระกรรมฐานในตอนกลางคืน ท่านใช้กำลังฤทธิ์ของท่านไปเที่ยวชมสวรรค์ ไปเห็นวิมานของท่านสาตกีเทพธิดาเข้าก็แปลกใจเพราะเมื่อคืนที่แล้วไม่มีวิมานนี้ จึงเข้าไปใกล้ถามท่านเจ้าของวิมานว่า

    “เธอเพิ่งตายจากความเป็นคนขึ้นมาเกิดเป็นนางฟ้าหรือ”

    ท่านก็ตอบว่า “เช่นนั้นเจ้าค่ะ”

    และท่านพระโมคคัลลาน์ก็ถามต่อไปว่า “เธอทำบุญอะไรจึงมีวิมานทองคำ เครื่องประดับวิมาน เครื่องประดับกาย มีสีเหลืองเป็นทองคำทั้งหมด”

    ท่านก็ตอบว่า “สมัยเป็นมนุษย์เป็นคนยากจนมาก มีอาชีพตัดฟืนขาย เช้าตื่นขึ้นมากินข้าวเสร็จก็เข้าป่าไปตัดฟืนด้วยกำลังกายก็ไม่ได้มากนัก ตอนเย็นหอบฟืนกลับมาเอาไปขาย ได้เงินบ้างก็ซื้ออาหารไว้กินในวันรุ่งขึ้น เรียกว่าทำมื้อกินมื้อ ทำอย่างนี้ทุกวันตลอดมาเป็นปกติ ไม่มีโอกาสที่จะไปทำบุญ ไม่เคยทำบุญสุนทาน พระจะมาบิณฑบาตหรือมาบอกบุญบอกทานก็ไม่มีโอกาสได้พบ ไม่ใช่ไม่ศรัทธาแต่ไม่มีเวลาจะทำบุญเพราะความยากจน วันสุดท้ายก่อนที่จะตาย ตอนเช้าเข้าป่าจะไปตัดฟืนตามปกติ เห็นดอกบวบขมเข้าก็คิดว่า ดอกบวบขมมีสีเหลืองคล้ายจีวรพระ ก็นึกถึงพระขึ้นมาตั้งใจว่าตอนเย็นกลับบ้านวันนี้จะตัดดอกบวบขมไปบูชาเจดีย์ที่บรรจุพระธาตุของพระอรหันต์ ใกล้ๆ บ้าน อย่างนี้จัดว่าเป็นสังฆานุสติสติกรรมฐาน

    พอตกเย็นขากลับบ้านแบกฟืนออกมาพอถึงที่ตรงนั้นก็วางฟืนลง ไปตัดดอกบวบขม มือหนึ่งแบกฟืน อีกมือหนึ่งถือดอกบวบขม เมื่อขายฟืนเสร็จพอกลับถึงบ้านก็หุงข้าวกิน แล้วอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ก็นำดอกบวบขมตั้งใจจะเอาไปบูชาเจดีย์ที่บรรจุกระดูกพระอรหันต์ แต่ไปไม่ทันถึง ระหว่างทางที่เดินไปนั้นปรากฏว่านางยักษิณีแปลงเป็นวัวแม่ลูกอ่อนขวิดล้มลงถึงแก่ความตาย ก่อนที่จะตาย จิตใจก็นึกถึงว่าเราตั้งใจจะเอาดอกบวบขมไปถวายบูชากระดูกพระอรหันต์ (จัดว่าเป็นสังฆานุสติสติกรรมฐาน) พอตายจากที่ตรงนั้นจิตก็ออกจากร่างมาเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ทันที โดยไม่ต้องผ่านสำนักพระยายมราช มีนางฟ้าหนึ่งพัน เป็นบริวาร มีวิมานสีเหลือง เครื่องประดับวิมาน เครื่องประดับกายที่เป็นทิพย์ มีสีเหลืองเป็นทองคำทั้งหมด เพราะก่อนจะตายปรารภสีเหลือง คือดอกบวบขมมีสีเหลืองคล้ายจีวรพระ

    ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านโปรดเข้าใจว่า ถ้าต้องการความสุขจริงๆ เมื่อตายแล้ว ก็ให้ท่านยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ มีทานการบริจาค มีการรักษาศีล และมีอารมณ์ยึดอย่างใดอย่างหนึ่งไว้ ทานก็ได้ ศีลก็ได้ ภาวนาก็ได้ หรือยึดพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ หรือยึดพระสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ หรือยึดวัดใดวัดหนึ่งก็ได้ นึกถึงวัดก็ใช้ได้ ให้มีความมั่นใจจริงๆ ยอมรับนับถือจริงๆ อย่างนี้ตายเมื่อไร ทุกท่านก็ได้รับผลมีความสุขอย่างท่านสาตกีเทพธิดาแน่นอน ถึงแม้ว่าบางคนตอนต้นจะย่อหย่อนมาก่อนก็ตาม แต่ถ้าเวลาจะตายมีกำลังใจเข้มข้น ก็จะไปสวรรค์ ไปพรหมโลก ไปพระนิพพานตรงโดยไม่ต้องผ่านสำนักท่านพระยายมราช...”

    รวมคำสอน “พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)”

    ที่มา http://www.tnews.co.th/contents/352506
     
  4. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,628
    วิมานคอยอยู่ก่อนแล้ว

    ต่อไปนี้ก็มาคุยกันถึงเรื่อง การทำบุญ คนทำบุญบรรดาท่านพุทธบริษัท พระพุทธเจ้าทรงยืนยันว่า เมื่อจิตใจตั้งทำบุญเสร็จ ทำบุญแน่นอนแล้ว สมเด็จพระประทีปแก้วทรงยืนยันว่า วิมานคอยอยู่แล้ว คือเจ้าของยังไม่ตาย แต่วิมานปรากฏอยู่ก่อน เรื่องราวมีอยู่ว่า

    ในสมัยที่องค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ เวลานั้นปรากฏว่า มีมาณพท่านหนึ่งคือ นันทิยมาณพ เป็นคนเคารพในพระพุทธศาสนาปกครองทรัพย์สินมากมาย คือเป็นเศรษฐี มีความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระมหามุนีสร้างศาลา ๔ หน้า ถวายพระพุทธเจ้า คือถวายเป็นของสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน

    หลังจากนั้นแล้วตอนกลางคืน อัครสาวกขององค์สมเด็จพระพิชิตมาร คือ พระโมคคัลลาน์ พระองค์นี้มีความสำคัญมาก เรียกว่าวันนี้ทั้งหมดบรรดาท่านพุทธบริษัทพูดเรื่องจริงทั้งหมดนะ ไม่มีนิทาน แล้วก็ไม่มีนิมิต นิทานก็ดี นิมิตก็ดี ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทอย่าถือว่าจริงเกินไป เอาเหตุเอาผลเป็นสำคัญ แต่ว่าในเรื่องนั้น ๆ ให้ถือว่า ธรรมะ เป็นเรื่องสำคัญ ธรรมะน่ะ จริงแน่

    มาตอนนี้ปรากฏว่าพระโมคคัลลาน์ พระโมคคัลลาน์นี่ท่านเป็นพระพิเศษ แต่พระที่ท่องเที่ยวในสวรรค์ ในพรหมโลก ในนรก แดนเปรต แดนอสุรกาย มีเยอะ ไม่ใช่มีพระโมคคัลลาน์องค์เดียว แต่ว่าแต่ละท่าน ต่างคนต่างไป ต่างคนต่างรู้ ไปเห็นแล้ว รู้แล้วเข้าใจแล้ว ก็มาแนะนำบรรดาท่านพุทธบริษัทด้วยความจริงใจว่า

    คนนั้นตายไปเกิดที่นั่น คนนี้ตายไปเกิดที่นี่ ใครเป็นญาติกานาติเกกันบ้าง เขาสั่งมาว่าอย่างไร ก็แนะนำตามนั้น เวลานั้นพระพุทธเจ้าทรงยืนยัน แต่พระโมคคัลลาน์นั้นไปแล้วไม่อยู่เปล่า ไปหามาทั่ว พบทั่วแล้วก็กลับมาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เหตุที่พบมานั้นเป็นความจริงหรือไม่ องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ทรงยืนยันรับ

    ทีนี้มาวันนั้น คืนวันนั้น ที่นันทิยมาณพ ท่านถวายศาลา ๔ หน้าเสร็จ กลางคืนพระโมคคัลลาน์ก็เจริญกรรมฐานตามปกติของพระอรหันต์ พระอรหันต์นี่เวลาเจริญกรรมฐาน บรรดาท่านพุทธบริษัทจะไปดูเวลานั่งขัดสมาธินี่มันไม่ได้ ท่านไม่ถือการขัดสมาธิเป็นเรื่องสำคัญ นั่งขัดตะหมาดมือซ้อนกันนี่นะ เพราะว่าเป็นพระที่จบแล้ว ท่านใช้อารมณ์ได้ทุกขณะ

    ขณะคุยกันนี่ท่านก็ใช้ได้ อย่าลืมว่าอรหันต์ใช้ฌานสมาบัติ ความเป็นทิพย์ไม่จำกัด เวลา จะพูด จะคุย จะทำงานทำการ อยากจะรู้เมื่อไรก็รู้ได้ เห็นอะไรปุ๊บปั๊บมีความรู้สึก แต่ว่าพระอรหันต์เป็นพระเก็บ ไม่แสดงออก ไม่ชูงวง

    อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เธอทั้งหลาย จงอย่าชูงวงเข้าไปสู่ตระกูล นั่นหมายความว่า แสดงตนโอ้อวดว่า ฉันเป็นพระอรหันต์บ้าง ฉันมีความรู้อย่างนั้นอย่างนี้บ้าง ฉันเป็นเปรียญชั้นนั้นชั้นนี้ ฉันเป็นพระครู ฉันเป็นเจ้าคุณ อะไรพวกนี้ จริง ๆ แล้ว พระสมัยนี้ท่านก็เป็นอย่างนั้น ไม่มีใครเขาชูงวงกัน

    แต่พวกชูงวงคงจะมีอยู่บ้าง เป็นของธรรมดา ๆ สิ่งใดที่พระพุทธเจ้าห้าม สิ่งนั้นก็ย่อมจะมี ท่านบอกว่า เธอทั้งหลายจงอย่าชูงวงเข้าไปสู่ตระกูล คือประกาศตนว่าฉันเป็นขั้นนั้น ฉันเป็นขั้นนี้ เพื่อความเลื่อมใสของบุคคล

    อีกประการหนึ่งท่านบอกว่า จงทำตนเหมือนโมคคัลลาน์ โมคคัลลาน์ทำตนเหมือนแมลงภู่ เข้าไปเชยน้ำหวานจากเกสรของดอกไม้ ได้กินน้ำหวานแล้วดอกไม้เขาไม่ช้ำฉันใด บรรดาภิกษุสงฆ์ทั้งหลายในพระพุทธศาสนา เวลาเข้าไปสู่ตระกูล จงอย่าทำให้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทชอกช้ำในความเป็นอยู่หรือจิตใจ

    ก็รวมความว่า วันนั้นพระโมคคัลลาน์ขึ้นไปบนสวรรค์ ก็ไปเจอะวิมานที่ไปพบมาแล้วทุก ๆ วัน แต่ปรากฏว่า พอเลี้ยวเข้ามามุมหนึ่งของสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ก็มีความแปลกใจว่าเห็นวิมานใหม่มันเกิดขึ้น วิมานนี้เป็นวิมาน ๔ มุข มียอดใหญ่ตระการตา สวยสดงดงามมาก แพรวพราวเป็นระยับ

    ท่านจึงหันไปถามเทพบุตรที่อยู่ใกล้ ๆ ถามว่า วิมานนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร

    เทพบุตรองค์นั้นท่านก็ตอบว่า วิมานนี้เป็นวิมานของนันทิยมาณพ เมื่อกลางวันวานที่แล้วมา ปรากฏว่านันทิยมาณพเขาถวายวิหารศาลา ๔ มุข ในพระพุทธศาสนา มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน

    พอถวายเสร็จ วิมานก็ปรากฏก่อน อัครสาวกขององค์สมเด็จพระชินวรถามว่า เป็นอย่างนี้ทุกรายหรือ เทพบุตรองค์นั้นก็บอกว่า เป็นอย่างนี้ทุกราย คนที่ทำบุญเสร็จ มีวิมานทันทีทันใด

    พอพูดมาถึงตอนนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็นึกถึงว่าคนที่ถวายสังฆทาน ความจริงถวายสังฆทานก็พร้อมด้วยวิหารทานคือปัจจัยที่นำมาถวายก็เป็นสังฆทานด้วย เป็นวิหารทานด้วย จึงมีวิมานปรากฏก่อนทุกคน อัครสาวกขององค์สมเด็จพระชินวรก็มองดูไปที่วิมาน เห็นนางฟ้าเต็มไปหมด เป็นพันคน เวลานั้นบรรดานางฟ้าทั้งหลายก็ลงมาจากวิมาน มากราบอัครสาวกขององค์สมเด็จพระทศพล

    แล้วเธอทั้งหมดก็กล่าวว่า ภันเต พระคุณเจ้าผู้เจริญ พระเจ้าข้า พวกฉันเป็นนางฟ้ามาอยู่ที่วิมานนี้ หวังจะบำรุงบำเรอเทพบุตร คือนันทิยมาณพ ให้มีความสุข แต่เมื่อมาถึงแล้วก็ปรากฏว่า อยู่เปล่า ว่าง ๆ ใจเหวงหวาง

    เพราะไม่มีเทพบุตรที่จะบำรุงบำเรอ ฉะนั้นพระคุณเจ้ากลับลงไปเมืองมนุษย์ ได้โปรดบอกนันทิยมาณพด้วยว่า เวลานี้วิมานใหญ่โตสวยงามที่สุดปรากฏขึ้นแล้วในดาวดึงสเทวโลก เป็นที่อยู่ของท่านและมีนางฟ้านับพัน คอยบำรุงบำเรออยู่ ขอให้นันทิยมาณพ ละอัตตภาพจากความเป็นคน คือรีบตาย แล้วมาเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ดีกว่า

    เธอเปรียบเทียบว่า อยู่เมืองมนุษย์ ก็เหมือนกับใช้ถาดดินเหนียว มาอยู่บนสวรรค์ก็เหมือนใช้ถาดทองคำ พอเวลาเสร็จภารกิจ พระโมคคัลลาน์ก็กลับ

    ตอนเช้า เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเทศน์จบ พระโมคคัลลาน์ก็ฟังด้วย ความจริงพระอรหันต์ก็ฟังเทศน์ อย่านึกว่าเป็นอรหันต์แล้วไม่ฟังนะ ทุกองค์มีความเคารพในพระพุทธเจ้า มีความเคารพในพระธรรม และพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงเทศน์อาจจะมีแปลก ๆ นิด ๆ หน่อย ๆ เป็นความรู้ใหม่ เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงเทศน์จบ

    พระโมคคัลลาน์ก็ทูลถามว่า คนที่ทำบุญแล้วแต่ยังไม่ตาย ปรากฏว่าวิมานเกิดคอยแล้ว ความจริงเป็นประการใด พระพุทธเจ้าข้า ที่พระโมคคัลลาน์ถามอย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่ใช่พระโมคคัลลาน์อวดดี

    พระโมคคัลลาน์อวดเด่น พระโมคคัลลาน์จะอวดใคร เป็นความดีที่พระโมคคัลลาน์ทำอย่างนั้น เพื่อเป็นการตัดอารมณ์ของตัวว่า การเห็นอย่างนั้นเป็นอุปาทานหรือเปล่า

    คำว่า อุปาทาน เป็นการนึกขึ้นเอง แต่ก็ไม่แน่นัก คำว่า อุปาทาน อาตมาก็เคยเกิด เคยพบ วันหนึ่งมีอารมณ์มัวไปนิดหนึ่งก็ปรากฏว่าอยากจะเฝ้าพระพุทธเจ้า ขึ้นไป เห็นพระพุทธเจ้าสวยงามมาก เปล่งปลั่ง รัศมีปกติ เหมือนทุกอย่าง

    กราบท่านแล้วก็ถามปัญหาบางอย่าง ปรากฏว่าคำตอบผิด อาตมาถามถึงเหตุที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า ระยะสั้น ๆ คือ ถาม ๑ ชั่วโมงต้องการผล ต้องการผลใน ๑ ชั่วโมง ผลที่เกิดมาผิด ก็แปลกใจว่า ทุกครั้งที่เราฟังมาไม่เคยผิด

    วันต่อมาจึงเข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระธรรมสามิสร ทำใหม่ คราวนี้ทำใจให้สะอาดจริง ๆ ไม่หุนหันพลันแล่น ไม่นึกถึงเรื่องราวที่คิดไว้ก่อน ก็พบองค์สมเด็จพระชินวร ถามท่าน

    ท่านก็บอกว่า ดูซ้ายมือซิ พอดูซ้ายมือ เห็นเป็นรูปพระพุทธเจ้าแต่มีเขี้ยว

    ท่านบอกว่า มารเข้าขวางทางของเธอ ก่อนที่เธอจะมาเธอจงอย่าคิดอะไรก่อน จงทำเหมือนทุกครั้งที่แล้วมา เมื่อวานนี้เธอคิดอะไรเสียก่อน แล้วขึ้นมา อารมณ์นั้นยังค้างอยู่ เขาเรียกว่า อุปาทาน

    เป็นอันว่า พระโมคคัลลาน์ท่านตัดอุปาทานอย่างนี้ เพื่อความมั่นใจ เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงสดับแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วตรัสว่า โมคคัลลาน์ เมื่อคืนนี้เธอไปเห็นมาเองแล้วใช่ไหม พระโมคคัลลาน์ก็มีความมั่นใจ

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท การทำบุญนั้น วิมานเขาคอยอยู่แล้ว ทุกคนให้มั่นใจในความดีของตน

    อย่างมีครั้งหนึ่งตามที่กล่าวมาว่า ครั้งหนึ่งที่อาตมานิมิต คือว่าไม่ใช่นิมิตหรอก จิตมันวูบวาบไป มันตายน่ะ พูดง่าย ๆ ถ้าใครเขาเห็นเวลานั้นก็เป็นความตาย แต่มันใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงนัก จากเวลา ๓ ทุ่มเศษ ๆ ไปถึงตี ๒ กลับมา ตอนนั้นที่บอกว่า ไปนั่งอยู่หน้ากำแพงด้านหนึ่งตามที่ผ่านมาแล้ว แล้วก็มองเข้าไปข้างใน ใสสะอาด สวยงามมากแพรวพราวเป็นระยับ สว่างมาก

    แล้วท่านบอกว่า มีวิมาน ๗ แสนหลัง คอยพวกเธออยู่ภายใน เธอมีสิทธิ์ แต่ยังเข้าไม่ได้ คอยก่อน อันนี้ก็เป็นนิมิตอันหนึ่ง ที่จะจริงก็ได้ ไม่จริงก็ได้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ตอนนี้เป็นนิมิตนะ ขอบรรดาท่านผู้รู้ใช้กำลังใจของท่านพิจารณาดูก็แล้วกัน

    แล้วต่อมาอีกวันหนึ่ง เข้าไปทบทวนใหม่ ถามว่า วิมานชุดนั้นตั้งอยู่ที่ไหนกันแน่ วันนั้นเข้าได้ เข้าแล้วอยู่ไม่ได้ วันที่ผ่านมาแล้วที่พูด เข้าไปจะอยู่เลย คือไปแล้วจะอยู่เลย ไม่กลับ

    ท่านเลยห้ามเข้าเขต แต่วันต่อมา ไม่เอาละ จะไปดูแค่เฉย ๆ ท่านก็เลยบอกว่าจากจุดนี้ที่เธอนั่ง หันหน้าไปทางด้านทิศเหนือ แล้วอยู่ทางซ้ายมือวิมาน ๗ แสนวิมาน ตั้งเรียงรายเป็นระยับ

    ก็มีคนถามว่า คล้ายบ้านจัดสรรใช่ไหม

    ก็บอกว่า ใช่

    แต่บริเวณเขาไกลกว่ากันมาก เขากว้างมาก สวยสดงดงามเป็นระยับ ก็เดินเข้าไปดู ก็เกิดความเพลิดเพลินว่า วิมานนี้เป็นวิมานเฉาจริง ๆ ไม่มีเจ้าของ ถ้าเป็นเมืองมนุษย์เราจะขายเลหลัง จะเลหลังคงได้หลายสตางค์ แต่ว่านี่เป็นนิพพาน ขายไม่ได้

    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เวลาเหลืออีกประมาณ ๑ นาทีเศษ ๆ ก็ขอบรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ เอาธรรมะเป็นเครื่องประจำใจไปใช้ปฏิบัติสักนิดหนึ่งว่า ความดีเบื้องต้นของคนก็คือศีล ๕ ทุกคนจงระมัดระวังศีล ๕ คือ

    ๑. ไม่ฆ่าสัตว์

    ๒. ไม่ลักทรัพย์

    ๓. ไม่ประพฤติผิดในกาม

    ๔. ไม่พูดมุสาวาท

    ๕. ไม่ดื่มสุราและเมรัย


    ทั้ง ๕ ประการนี้ ถ้าทำได้บรรดาท่านพุทธบริษัท จะเป็นมหาเสน่ห์อย่างมาก เพราะการไม่ฆ่าสัตว์ เป็นคนที่มีใจไม่โหดร้าย อย่างนี้มีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส มีเมตตาปรานี ไปที่ไหนก็มีแต่คนรัก เป็นเสน่ห์

    การไม่ลัก ไม่ขโมยของเขา ทุกคนก็ไว้วางใจ มีเพื่อนมาก มีคนต้องการคบหาสมาคม จะไปพักที่ไหน จะไปนอนที่ไหนก็ได้ ข้าวปลาอาหารไม่อด เพราะเขารัก นี่ก็เป็นเหตุความสุขใจ

    การไม่ละเมิดสามีภรรยาของบุคคลอื่น อันนี้เป็นเครื่องสบายใจอย่างหนึ่ง เป็นที่ไว้วางใจของคน ไม่ทำลายความรักกัน ก็เป็นเสน่ห์ ให้เกิดความรัก

    การพูดตรงไปตรงมา เป็นสัจธรรม อันนี้มีความสำคัญมาก บรรดาท่านพุทธบริษัท รักษาให้ดี เป็นเสน่ห์มหาศาล

    ต่อมาข้อสุดท้าย ที่พวกเราไม่ดื่มสุราบาน ไม่ทำสติสัมปชัญญะให้เสื่อม จะเป็นของดีมาก ทุกอย่าง ๕ ประการนี้ทำได้มีแต่ความสุข ไม่มีความทุกข์ ความทุกข์ใดใดที่มีอยู่แล้วในโลก ที่ปรากฏมาก่อน

    ถ้าปฏิบัติตามศีล ๕ ที่องค์สมเด็จพระชินวรตรัสไว้แล้วนี้ บรรดาท่านทั้งหลาย เขาถือว่าเป็นสีลานุสสติกรรมฐาน เป็นกรรมฐานบทสำคัญทำให้ท่านทั้งหลายมีความสุข ทั้งชาตินี้และชาติหน้า

    เวลาหมดแล้วบรรดาท่านพุทธบริษัท ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับ
    ฟังทุกท่าน

    สวัสดี.

    ..........................................................................................

    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
    (หนังสืออ่านเล่น เล่ม ๖)

    ที่มา http://palungjit.org
     
  5. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,628
    นางปติปูชิกา บุญอธิฏฐานขอให้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อไปเป็นภรรยาของมาลาภารีเทพบุตรอีกครั้ง ตายแล้วก็ไปบังเกิดในสวรรค์ดังคำอธิฏฐาน


     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    จิตต้องการจะหลุดพ้นหรือยังต้องการวนเวียนอยู่ใน
    ๓๒ ภพภูมินี้ตรงนี้ต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อน
    ..แม้ว่าจิตจะสร้างกุศลหรืออกุศล
    มันก็ต้องไปเสวยผลของกุศลหรืออกุศเหล่านี้

    และให้จำให้มั่นว่า หากเกิดเป็นภาพได้
    แสดงว่า จิตยังมีสัญญาอยู่
    ไม่ว่าจะเป็นสัญญาที่สร้างจากตัวจิตเอง
    หรือจากสิ่งต่างๆภายนอกร่วมกับจิตและสร้างให้เกิดเป็นภาพ...
    ดังนั้นให้พึ่งระลึกว่า แม้เห็นได้ด้วยตาเปล่าก็ยึดไม่ได้
    เพราะมันรักษาให้คงอยู่ หรือแสดงได้ตามใจไม่ได้นั้นเอง

    ดังนั้นจึงไม่ควรไปให้ความสำคัญกับเรื่องหรือสิ่งต่างๆ
    เหล่านี้ เพราะแม้ว่าจะเห็นได้ในระดับดีที่สุดก็ยังไม่พ้น
    หากว่ายังมีสัญญาที่สร้างเป็นภาพได้อยู่
    เพียงแต่ว่า สัญญาพวกนี้ยังไม่ใช่ทางที่จะทำ
    ให้จิตหลุดพ้นได้จริง แต่มันใช้งานได้อยู่
    และมันจะทำให้เรายึดติดกับสิ่งที่เราเห็นได้ง่าย
    อย่างที่คาดไม่ถึง สร้างเป็นอัตตาตัวตนได้ง่าย
    อย่างที่เราคาดไม่ถึง

    ให้อยู่กับปัจจุบันอย่างเดียว ใครจะบอก จะว่าอะไร
    อย่างไปสนใจ ให้มาดูการพัฒนาของตัวจิตเรา
    ว่าเราฝึกอะไรก็ตาม จิตเรามันคลายตัวได้เอง
    โดยธรรมชาติหรือไม่
    จิตเรามันคลายความยึดมั่นถือมั่นสิ่งต่างๆที่
    ได้ยิน ได้เห็น ได้ฟัง ได้อ่าน ได้รับรู้มาทางจิต
    ได้หรือไม่.

    มาทางพุทธศาสนา ควรรู้ว่าจะเน้นที่เรื่องอะไรเป็นหลัก
    ส่วนเรื่องรองต่างๆ ที่ประกอบหรืออยู่ในเส้นทาง
    ถ้าหากเราไม่ได้รับรู้และเข้าใจด้วยตนเอง
    ก็อย่าไปให้ความสำคัญ และแม้รับรู้เข้าถึงได้ด้วยตนเอง
    ก็ไม่ควรไปยึด.....
    จะทำให้เราปลอดภัยทั้งใจและกาย
    และยังเดินอยู่บนเส้นทางสายแห่งการหลุดพ้นนี้
    ได้อยู่ โดยไม่ไปเสียเวลากับเรื่องที่ได้เล่าให้ฟังมา
    ปล.แค่เพียงแต่เล่าให้ฟัง


    ..มายาจิต เป็นแค่เพียงกลจิตประเภทหนึ่ง
    แม้เห็นได้ด้วยตาเปล่าก็ยึดไม่ได้
    ถ้าเราเผลอไปยึดไม่ว่าสิ่งที่ดีหรือไม่ดี
    เราจะไม่เข้าใจ กระบวณการเกิดแห่งภาพตรงนี้ ''''
     
  7. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,115
    ค่าพลัง:
    +3,085
    ไปดูเองเถอะ
    ท่านอื่นไปดูแล้วมาเล่า จะมีโทษละเมิดกรรม จะแย่ได้
     

แชร์หน้านี้

Loading...