<VSN><<<เชิญสั่งจอง! แหวนมหามงคล ไตรมาส 56 พ่อท่านผอม ถาวโร วัดไทรขาม นครศรีธรรมราช>>><NSV>

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย momotaro67, 8 ตุลาคม 2013.

  1. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    [​IMG]

    [​IMG]

    เปิดสั่งจองแล้วครับ...
    แหวนมหามงคล ไตรมาส 56 พ่อท่านผอม ถาวโร
    เนื้อเงิน (ทำตามจอง) 2,500 บาท
    เนื้อชนวน 500 บาท
    เนื้อทองฝาบาตร 300 บาท
    ...รับของประมาณปลายเดือนเมษายน'57ครับ..​


    [FONT=&quot]ติดต่อ[/FONT][FONT=&quot]ได้ที่ โม พลังจิต [/FONT][FONT=&quot]มือถือ [FONT=&quot]081-801-9095[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]ธนาคารกรุงเทพ สาขาถนนพัฒนาการฯ บัญชี สะสมทรัพย์[/FONT]
    [FONT=&quot] เลขที่บัญชี [FONT=&quot]578-0-32-8182[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]หลังโอนเงินแล้ว รบกวนโทรแจ้งให้ทราบด้วยเพื่อจะได้จัดส่งวัตถุมงคลได้ถูกต้อง[FONT=&quot]หรือเมล์แจ้งได้ที่[/FONT][FONT=&quot] email : momotaro67@hotmail.com[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]ทุกรายการค่าจัดส่งรายการละ 60บ.ทั่วประเทศ ยกเว้นชุดกรรมการค่าจัดส่ง 150บ. โดยจัดส่งแบบEMS ครับผม

    ทักกันใน Facebook Mo Palungjit ด้วยนะครับ
    [/FONT]​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มีนาคม 2014
  2. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    [​IMG]

    ต้นแบบของแหวน เป็นอักขระ ที่พ่อท่านใช้ลงในรัดประคด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    จัดสร้างครั้งแรก อลังการ ดีนอก ดีใน
    :: บารมีอารหันต์จี้กงแห่งเมืองนครฯ ::
    เปิดจองที่ศูนย์จองโม พลังจิตแล้ว
    มีขนาดให้เลือกตามนี้นะครับ
    no 65,63,60,57,55​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2013
  4. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    วิธีวัดขนาดแหวน

    ให้ตัดแถบกระดาษกว้างประมาณ 1 ซม.มาพันรอบนิ้วแล้วทำเครื่องหมายที่กระดาษมาบรรจบกันเอาไว้
    (ถ้าข้อนิ้วแตกก็ต้องวัดตรงข้อนิ้วที่แตก)
    แล้วคลี่ออกมาวัดความยาวหน่วยเป็นเซนติเมตร แล้วให้เทียบกับตารางข้างล่างนี้
    [​IMG]

    ซึ่งวิธีนี้ก็อาจจะมีความคลาดเคลื่อนอยู่บ้าง ดังนั้นถ้าใครเคยใส่แหวนขนาดเท่าไรอยู่ก็ให้ใช้ของเดิมที่ตนเองเคยใส่
    แต่ถ้าเป็นไปได้ก็ขอแนะนำให้ไปลองวัดที่ร้านทองใกล้ๆ บ้านจะแน่นอนกว่า

    ขอขอบคุณข้อมูลจากหมอช้าง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      124.4 KB
      เปิดดู:
      4,500
  5. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    คุณฉันทปาโลเบอร์57 และChaiyo19เบอร์65
    จองเนื้อฉนวนคนละวงนะครับ
     
  6. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    [​IMG]

    ยังกิญจิ สมุทยธัมมัง

    สัพพันตัง นิโรธธัมมัง

    สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา

    สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา

    โดยส่วนตัวแล้วผมมีความเชื่อว่าคนเราจะได้พบหรือคบหากันได้นั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพียงแต่ว่ามันจะเริ่มอย่างไรหรือดำเนินไปแบบไหนนั้น ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยเอื้อต่างๆ ที่ปฏิบัติต่อกัน บางคนแค่พบหน้าทักทายแล้วก็หายจากกันไปชั่วชีวิต บางคนเมื่อได้รู้จักก็ถูกชะตาคบหากันไปทันทีตลอดชีวิต

    หลายสิบปีก่อนพวกเราเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ ที่สนใจเรื่องพระและเริ่มค้นหาด้วยการอ่านหนังสือ ไม่มีใครรู้ว่าความบ้าปนความเชื่อมั่นตามประสาเด็กๆ จะนำพาพวกเราออกไปสู่โลกกว้างและเจอกับอะไรมากมายในทุกวันนี้

    ครับ ชีวิตคนถ้าคิดว่ายากก็ยาก ถ้าคิดว่าง่ายก็ง่าย มันอยู่ที่วิธีคิด วิธีการและวิถีของชีวิต

    ผมได้พบพ่อท่านผอมครั้งแรกที่ศาลาปลายทาง (ศาลาตั้งศพ) วัดไทรขาม อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช ต้องขอบคุณเจ้าเพชรน้องชายตัวแสบที่นำทางเราเข้ามา วันนั้นพวกเรานำเหรียญหลวงพ่อทวดที่สร้างแจกทหารไปขอเมตตาจากท่าน

    การมาเยือนของพวกเราสร้างความแปลกตาให้กับชาวบ้านที่มานั่งจับจองพื้นที่ในศาลากันอย่างมากหน้าหลายตา ความประทับใจแรกเกิดขึ้นทันทีที่ผมเห็นชาวบ้านกุลีกุจอเข้ามาช่วยยกของและนั่งกันด้วยอาการสงบในขณะที่พ่อท่านผอมกำลังปลุกเสก

    หลังจากทุกอย่างสงบและเริ่มเข้าสู่หมวดธรรมะ ผมเห็นชาวบ้านบางคนจับกลุ่มคุยเรื่องคณิตศาสตร์กันอย่างออกรส บรรยากาศง่ายๆ ท่ามกลางแห่งวิถีชนบทและความเป็นกันเองของทุกคน ทำให้ผมรู้สึกสนุกเหมือนว่าตัวเองจะเป็นส่วนหนึ่งของวงสนทนานั้น ทั้งๆ ที่ผมเองยังไม่รู้เลยว่าที่พวกเขาคุยมันคือเรื่องอะไร

    จะหันไปพูดกับใครก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่ามาต่างถิ่นต่างภาษาก็เป็นแบบนี้เอง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องหรือปัญหาใหญ่โตอะไรครับเพราะเพียงน้ำใจไมตรีของชาวบ้านเหล่านั้นมันก็เปรียบเสมือนภาษาที่บริสุทธิ์และความเข้าใจที่กังวานก้องในใจของผม

    พ่อท่านผอม ถาวโร ท่านเป็นพระรูปร่างเล็กครับ ด้วยอายุที่มากถึง ๘๗ ปีทำให้ท่านดูท้วมขึ้นมากพอสมควรต่างจากภาพอดีตในหนังสือ พระสูงวัยองค์นี้จะนั่งอยู่บนแคร่ไม้เล็กๆ และมักจะพูดจากับคนรอบๆ แคร่แบบดังๆ และตรงๆ

    ถึงพวกเราจะแปลสำเนียงใต้ออกบ้างไม่ออกบ้าง แต่เมื่อนำคำพูดของท่านยกขึ้นพิจารณาแบบองค์รวมแล้ว ผมว่าสิ่งที่ท่านกำลังบอกมันเป็นทั้งคำพูดและคำสอนที่แฝงและเปี่ยมไปด้วยความรู้ในเชิงวิชาการอันแหลมคมราวกับคนที่เรียนหนังสือมาสูงจนไม่น่าเชื่อว่าท่านจบแค่ชั้น ป.๔

    นอกจากคำพูดแล้ว ทัศนะและความคิดเห็นของท่านที่มี ยังสะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์อันกว้างไกล สมแล้วกับที่ชาวบ้านเขาว่าพ่อท่านผอมไม่ใช่พระที่ยินยอมพ่ายแพ้แก่วันเวลาและโชคชะตาอย่างง่ายๆ

    แววตาของท่านยามนี้ดูมุ่งมั่นยิ่งกว่าตอนเสกพระเป็นเท่าทบทวี คำถามที่ท่านปล่อยออกมาสู่พวกเราในแต่ละครั้งทั้งแม่นยำ หนักหน่วงและดุดัน จนพวกเราบางคนถึงกับอยากจะคลานออกนอกศาลา

    “ทำอย่างไรถึงจะไม่ทุกข์ ?”

    หรือ

    “ทำอย่างไรจึงจะไม่ให้ความตายหาพบ ?”

    หรือ

    “ตายก่อนตายคืออะไร ?”

    ผมจำไม่ได้แล้วว่า ณ เวลานั้น เราได้คำสอนหรือบทเรียนอะไรบ้าง พวกเรารู้เพียงว่าพ่อท่านไม่ใช่แค่พระเกจิอาจารย์ธรรมดาๆ องค์หนึ่งอย่างที่พวกเราคิดแต่แรก ท่านเป็นพระที่พร้อมด้วยสมาธิและสติปัญญา

    ความพร้อมดังกล่าวทำให้ท่านสามารถรู้ธรรมขั้นละเอียดอ่อนได้ไม่ยาก คำพูดของท่านเป็นคำสอนของชีวิต ที่สอนให้ผมได้รู้จักตัวเองมากขึ้น สอนให้ผมสนใจคนรอบข้าง สอนให้ผมสามารถพูดคุยและทักทายกับคนที่ไม่เคยรู้จักได้เหมือนคุ้นเคยราวกับรู้จักกันมานาน

    ใครบางคนเคยบอกไว้ว่า เวลาแห่งความสุขนั้นมันแสนสั้น พอๆ กับการหายใจเข้าและหายใจออกเท่านั้น แต่บางทีมันก็ยาวนานพอที่จะสร้างความประทับใจและทำให้เราติดใจจนต้องหวนกลับมาสัมผัสมันอีกครั้ง ผมไม่ทราบว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร แต่สำหรับผมก็ยังคงยืนยันกับตัวเองว่า พ่อท่านผอม ยังมีความน่าสนใจอย่างอื่นที่ไม่น้อยไปกว่าความขลัง

    เมื่อราว ๘๐ ปีก่อน ไม่มีใครในจังหวัดนครศรีธรรมราชรู้จัก “พ่อท่านผอม ถาวโร” เพราะในวันนั้นท่านยังเป็นเพียง เด็กชายผอม คงรอด บุตรชายคนสุดท้องลำดับที่ ๑๒ ของ “คุณพ่อช่วย-คุณแม่ปลีก คงรอด” ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๔๖๙ ณ ตำบลบางนบ อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช

    ครอบครัวของท่านประกอบอาชีพเกษตรกรรมทำนา ท่านเล่าว่าแม้ครอบครัวของท่านจะเป็นชาวนาที่หาอยู่หากินกันแบบวันต่อวัน แต่ทว่าพ่อและแม่ของท่านก็เลี้ยงดูลูกๆ ทุกคนด้วยความรักและเอาใจใส่

    ในวันนี้ถึงความทรงจำในวัยเด็กของท่านจะไม่แจ่มใสเท่าใดนัก แต่ท่านก็ยังจำได้เสมอว่าท่านสนิทกับแม่มากกว่าพ่อที่ต้องออกไปทำงานทุกวัน ท่านเล่าว่า

    โยมแม่ของท่านเป็นผู้ที่ศรัทธาและมั่นคงในเรื่องของบุญกุศล เมื่อเห็นว่าท่านสนใจและชอบในเรื่องของศาสนาจึงได้พาท่านไปฝากกับพ่อท่านแดง วัดบ้านราม ตั้งแต่อายุ ๗ ปี ต่อมาเมื่อท่านอายุครบ ๑๕ ปีและโตพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว โยมแม่จึงอนุญาตให้ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณร โดยตั้งความหวังให้ท่านเรียนรู้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเพื่อที่จะได้นำเอาหลักธรรมมาใช้ในชีวิตและ หากท่านประสงค์จะอุปสมบทก็ปรารถนาตั้งใจให้ท่านได้เป็นทายาทสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาให้ยืนยาวต่อไป

    พ่อท่านผอม อุปสมบทเมื่ออายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ณ วัดหัวลำภู ตำบลหัวไทร อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช ในวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๘๙ โดยมี พระปริยัติวโรปการ (หมุ่น ปุณณรโส) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์เจียม สีลสุวณโณ เป็นพระกรรมวาจาจารย์

    ท่านเล่าว่าหลังจากอุปสมบทแล้วท่านจึงได้เรียนวิชากับ “พ่อท่านแดง วัดบ้านราม” อำเภอหัวไทร อย่างจริงจัง สมัยนั้นจังหวัดนครศรีธรรมราชมีพระเกจิอาจารย์ที่เก่งๆ หลายองค์ พ่อท่านแดงก็คือหนึ่งในบรรดาพระเกจิเหล่านั้น

    แม้แต่พ่อท่านคล้าย วัดสวนขัน ผู้เป็นพระอาจารย์องค์หนึ่งของพ่อท่านแดง ยังกล่าวยกย่องลูกศิษย์องค์นี้ว่าเป็นผู้ที่สำเร็จด้านกสิณไฟ โดยเฉพาะการเรียกลม เรียกไฟ พ่อท่านแดงได้แสดงให้พ่อท่านผอมเห็นประจักษ์แก่สายตานับไม่ถ้วน

    “ชาวบ้านในละแวกนั้นนับถือและให้ความเคารพพ่อท่านแดงทั้งนั้น มีอยู่ครั้งหนึ่งไฟป่าลามจะเข้าถึงหมู่บ้าน พ่อท่านแดงออกไปโบกไม้โบกมือ สักพักก็มีลมมาพัดไฟให้ไปทางอื่น บางครั้งคนในหมู่บ้านทะเลาะกัน เขาก็จะมารับพ่อท่านแดงไปช่วยตัดสินไกล่เกลี่ย พ่อท่านแดงเหมือนเป็นที่รวมจิตใจของหมู่บ้านเลยก็ว่าได้”

    พ่อท่านผอมเล่าถึงหน้าที่ของพ่อท่านแดงที่มีต่อสังคมชนบทในช่วงเวลานั้นด้วยแววตาฉาบทาไปด้วยความปลาบปลื้ม

    ท่านเล่าว่าในช่วงเริ่มต้นของชีวิตนักบวช ท่านได้ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่รับใช้และเรียนวิชากับพ่อท่านแดง การปฏิสัมพันธ์ระหว่างพระบวชใหม่กับพระอาจารย์ใหญ่ดำเนินไปด้วยความสนิทชิดเชื้อราวกับเป็นญาติพี่น้องกัน

    พูดให้ง่ายๆ แบบเห็นภาพก็ต้องบอกว่าหากพระผอมเป็นผ้าขาวที่ถูกพับไว้ พ่อท่านแดงก็ไม่ต่างอะไรจากคนที่เข้ามาวาดเติมสีสันอันสวยงามลงบนผ้าผืนนั้น

    พ่อท่านแดงจะสอนวิชาแบบค่อยเป็นค่อยไปพร้อมกับคอยสอดแทรกในเรื่องของสมาธิจิตเป็นพิเศษ คำสอนของพ่อท่านแดงที่ท่านจดจำมาสอนศิษย์ในทุกวันนี้คือ

    “ใจเป็นรากฐาน ใจเป็นประธาน สำเร็จด้วยใจ ชนะใจตัวเองไม่ได้ จะชนะใจเพื่อนได้อย่างไร”

    ท่านว่าสิ่งที่พ่อท่านแดงสอนไม่ได้มีแค่วิชาหรือสมาธิเท่านั้น ท่านยังสอนถึงการปฏิบัติตน การดำรงชีวิตอยู่แบบเรียบง่ายและสันโดษ ซึ่งในวันนั้นตัวท่านยังมองไม่เห็นถึงคุณค่า แต่ในทันทีที่ท่านต้องรับนิมนต์ไปจำพรรษาตามวัดต่างๆ สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ทำให้ท่านนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตของความเป็นสมณะเพศผู้บรรลุถึงสัจธรรมแห่งการเป็นพระ

    “พระแท้คือผู้ที่มีหัวใจว่างเปล่า ความว่างไม่ใช่ความทุกข์ หัวใจของพระพุทธเจ้าเขาว่า หัวใจของพระธรรมเขาว่า หัวใจของพระสงฆ์เขาว่า นี่หมายถึงพระพุทธจริง พระธรรมจริง พระสงฆ์จริง ไม่ใช่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ปลอมๆ เหมือนอย่างที่เขาเอ่ยนามกัน ดังนั้นเราต้องดูที่คุณธรรม ดูที่ความว่างของท่าน”

    แสงแดดกล้าในหน้าหนาวกับท้องฟ้าที่เป็นสีฟ้าสวย ว่ากันว่าการเปลี่ยนแปลงบนทางเดินของชีวิต ไม่เคยมีความสำเร็จอะไรที่ได้มาโดยไม่มีบททดสอบ

    พ่อท่านบอกว่ามีอยู่เรื่องหนึ่งที่ท่านคิดและเชื่อมาตั้งแต่ตัดสินใจบวช คือการที่คนเราถ้าไม่ยอมแพ้ต่อความยากลำบากแล้ว วันหนึ่งก็จะต้องได้ในสิ่งที่หวัง

    พระผอมในยามนั้นได้ตกลงใจออกจาริกธุดงควัตร พร้อมกับความเชื่อมั่นในคุณของพระพุทธเจ้าและความมั่นใจในคาถาอาคมที่ตนเองร่ำเรียนมา ท่านว่าคาถาอาคมคืออาวุธของพระธุดงค์

    “คนเราถ้าออกเดินและเดินไม่หยุด จะช้า จะเร็ว ก็ต้องถึงจุดหมายปลายทางแน่นอน ต่อให้ระหว่างทางจะเต็มไปด้วยอันตราย จะหนาว จะร้อนหรือจะมีอุปสรรคต่างๆ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่สามารถหยุดเราได้ นอกจากเราจะหยุดตัวเราเอง”

    ผมเรียนถามท่านว่า เหตุใดท่านถึงได้ตัดสินใจออกเดินธุดงค์?

    “เราตัดสินใจตาย ตายจากความทุกข์ ตายจากกิเลส”

    ย้อนหลังไปหลายสิบปีก่อน ครั้งที่นครศรีธรรมราชยังเต็มไปด้วยเรือกสวน พืชพรรณไม้และป่าที่อุดมสมบูรณ์ ในวันนั้นป่าเขาลำเนาไพรยังคงเก็บงำความงามของธรรมชาติและอาถรรพ์ของป่าไว้อย่างอลังการ ชนิดที่ไม่มีใครกล้าเข้าไปรุกล้ำหรือสำรวจค้นคว้า

    ท่านใช้เวลาติดต่อกันหลายๆ เดือน หรือบางครั้งก็เป็นปีๆ เดินธุดงค์ไปตามจังหวัดต่างๆ ในภาคใต้จนถึงมาเลเซีย

    ท่านว่าธรรมชาตินอกจากจะมีเสน่ห์แล้วธรรมชาติยังช่วยให้ท่านมีดวงตาเห็นธรรม เห็นความเปลี่ยนแปลงในหลายๆ สิ่งที่น้อยคนนักจะได้พบเห็น

    “หนังสือมีไว้เพื่อรู้ การฝึกฝนมีไว้เพื่อให้แจ้ง เราเดินอยู่ในป่า เราได้พิจารณาเห็นว่าใบไม้ทุกๆ ใบในป่า ไม่ได้มีแต่เฉพาะสีเขียว”

    คำพูดสั้นๆ ตรงๆ ที่แฝงปริศนาธรรม ทำให้ผมได้คำตอบทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ตั้งคำถาม

    ลุงค่อกหนึ่งในลูกศิษย์ของพ่อท่านผอมเล่าถึงความประทับใจและเหตุผลที่ทำให้แกต้องติดตามท่านมาตลอดกว่า ๓๐ ปีว่า

    หลังจากที่พ่อท่านผอมตกลงรับนิมนต์ชาวบ้านเข้ามาจำพรรษาที่วัดหญ้าปล้อง ลุงค่อกได้เห็นถึงความสมถะและสันโดษของท่าน กล่าวคือพ่อท่านผอมเป็นพระที่ไม่ใส่เกือก ไม่มีย่าม ไม่มีสิ่งของอื่นใดมากไปกว่า กลด บาตร กาน้ำ

    เวลามีคนมาถวายของไม่ว่าของนั้นจะมีค่าสักเท่าใด เมื่อมีคนมาขอท่านก็จะยกให้ไปทันที ไม่ว่าท่านจะจำพรรษาที่ไหนหรืออยู่วัดใด ท่านก็จะพักอยู่แต่ในเปลว (ป่าช้า) เท่านั้น และคุณธรรมเด่นชัดที่ลุงค่อก เห็นคือความกตัญญูต่อบุพการี

    พ่อท่านผอมได้เดินทางไปรับโยมแม่ของท่านที่หัวไทรมาอยู่กับท่านที่วัดหญ้าปล้อง และตัวท่านเองก็จะออกบิณฑบาตเพื่อนำอาหารมาเลี้ยงโยมแม่ทุกวัน เบื้องต้นท่านจะเอาอาหารที่บิณฑบาตได้ให้โยมแม่ของท่านรับประทานจนอิ่ม หลังจากนั้นท่านจึงจะฉันต่อ ลุงค่อกบอกว่าท่านปฏิบัติเช่นนี้ทุกวันไม่เคยขาดจนโยมแม่ของท่านถึงแก่กรรม

    พ่อท่านผอมได้ทำการฐาปนกิจเก็บกระดูกโยมแม่ของท่านไว้ในบัวที่วัดหญ้าปล้อง ก่อนที่ท่านจะออกธุดงค์ไปจำพรรษายังวัดต่างๆ อีกหลายวัด ลุงค่อก เคยถามท่านถึงเรื่องนี้ ท่านบอกว่ามันเป็นเรื่องของการชดใช้กรรม ท่านเคยไปสร้างกรรม ณ สถานที่แห่งนั้น

    สำหรับในเรื่องความขลังและบารมีแห่งธรรมของท่านนั้น ลุงค่อกบอกว่าเป็นที่สุด ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นมีมากมายนับไม่ถ้วน และที่สำคัญคือไม่ใช่เพียงแกคนเดียวที่เคยประสบ ชาวบ้านทั่วไปแถบนี้เขาก็รับรู้กับทั่ว โดยเฉพาะเรื่องที่ท่านเป็นพระผู้มีวาจาศักดิ์สิทธิ์

    แกเล่าว่าจากการติดตามพ่อท่านผอมมานาน ทำให้แกเห็นถึงความมหัศจรรย์ของพ่อท่านผอมที่บางอย่างก็สามารถอธิบายได้ แต่อีกหลายกรณีมันก็เป็นเรื่องที่ลึกลับซับซ้อนเหนือธรรมชาติโดยที่ตัวแกเองก็ไม่อาจหาเหตุผลได้ เช่น การย่นระยะทาง การรู้วาระจิต การกำบังตัว การเห็นท่านไปอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ทั้งที่เวลานั้นท่านก็นั่งคุยกับชาวบ้านอยู่ในวัด

    คุณโรจน์-ลูกศิษย์อีกคนหนึ่งที่มีกิจวัตรประจำวันยามค่ำคืนคือการนอนเฝ้าพ่อท่านผอม เขาเล่าว่าวันหนึ่งหลังจากเสร็จงาน เกิดอาการหน้ามืดและหมดสติ หลังจากฟื้นขึ้นมาก็มีอาการปวดท้องและศีรษะอย่างหนักจนแทบจะทนไม่ไหว อาการที่เกิดขึ้นได้สร้างความทรมานให้กับเขามาก

    ญาติๆ พาเขามากราบพ่อท่านผอมเพื่อให้ท่านเมตตาช่วยรักษา เขาเห็นพ่อท่านผอมนั่งเงียบและจ้องหน้าอยู่พักใหญ่ ก่อนจะบอกให้เขาไปเอากระถางต้นไม้ที่อยู่หน้าบ้านมาให้ท่าน

    เมื่อกระถางต้นไม้ดังกล่าวถูกนำมาวางตรงหน้า พ่อท่านผอมได้สั่งให้ทุบกระถางต้นไม้นั้นทันที สิ่งที่ปรากฏในกระถางคือผ้าขาวที่ห่อกระดูกพ่อท่านผอมได้พรมน้ำมนต์และให้นำไปฝังไว้ในป่าช้าหลังกุฏิของท่าน หลังจากนั้นอาการปวดท้องก็หายเป็นปลิดทิ้ง

    ทุกวันนี้เขาจึงใช้เวลาว่างที่เหลือมาเฝ้าปรนนิบัติพ่อท่าน ซึ่งการปรนนิบัติของเขาผมมองแล้วเห็นว่าถ้าไม่รักกันจริงก็คงทำไม่ได้แน่นอน

    อย่างไรก็ตามครับ “คำว่าไม่มีศรัทธาก็อย่าหมายว่าจะเข้าถึง” ยังคงเป็นคำบอกเล่าที่อมตะ ซึ่งก็เป็นความจริงครับ เพราะต่อให้ดีแสนดี เก่งแสนเก่ง แต่มันก็เป็นการยากที่จะได้รับคำชื่นชมจากคนทุกหมู่เหล่า ในกรณีของพ่อท่านผอมก็มิได้แตกต่างกัน เพราะในชีวิตจริงของท่านต้องต่อสู้กับแรงเสียดสีและคำพูดดูถูกตลอดเวลา

    เล่ากันว่าท่านได้รับก้อนอิฐก้อนหินมากกว่าดอกไม้และคำชมเชย แต่ท่านก็ยังอารมณ์ดีและไม่มีการโกรธแค้นเคืองใครท่านว่า คนเราได้ดีเพราะโดนด่ามีเยอะแยะไป ยิ่งเขาด่า เขาว่าในสิ่งที่เราไม่ทำยิ่งน่าหัวเราะ

    “ทุกวันนี้คนที่เคยว่าท่าน ให้ร้ายท่าน ตายกันหมดแล้ว”

    คุณโรจน์กระซิบบอกผมเบาๆ พร้อมอธิบายขยายความต่อว่า

    สมัยที่ท่านอยู่วัดหญ้าปล้อง ด้วยความที่ท่านเด่นด้านโชคลาภ จึงมีคนใจร้ายจับตัวท่านไปทำร้ายบ้าง ปล่อยข่าวว่าท่านสึกบ้าง ให้ข้อมูลในด้านลบตลอดเวลา จนท่านเบื่อจึงได้ย้ายออกไปจำพรรษาที่วัดอื่น คนพวกนี้ก็ยังตามไปรังควานอยู่ พูดให้ง่ายคือจะต้องล้มท่านให้ได้

    คนรอบนอกที่ไม่รู้จริงก็พูดต่อกันไปเรื่อยๆ สุดท้ายไม่ว่าจะเป็นคนหนุ่ม คนแก่ เป็นผู้หญิง เป็นผู้ชาย ที่ทำร้ายหรือให้ร้ายท่านก็ค่อยๆ ลาออกจากโลกมนุษย์ไปที่ละคนสองคน ส่วนมากแล้วก่อนไปก็จะนอนจมกองขี้กองเยี่ยวอย่างน่าเวทนาเกือบทุกคน

    ผมรู้สึกดีที่ได้ฟังเรื่องที่คุณโรจน์เล่า เพราะถ้าเราไม่ได้เข้ามาสัมผัส ไม่ได้มาลงพื้นที่ เสพแต่ข้อมูลข่าวสารภายนอก บางสิ่งบางอย่างที่เรารู้สึกนึกคิดก็จะผ่านเลยไป และสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกดีใจมากก็คือ พ่อท่านผอมเป็นพระที่ไม่เคยตอบโต้หรือให้ร้ายแก่ใครเลย ท่านบอกคุณโรจน์ว่า ท่านยอมและพร้อมจะเป็นฝ่ายที่ถูกทำร้ายเสียเอง

    “การนินทาว่าร้ายมันเป็นครู มันสอนให้เราอดทน ทนได้ก็สบายมาก พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญคนที่มีความอดทนเป็นอย่างยิ่ง ความอดทนคือขันติธรรม ทรงตรัสย้ำว่าการใช้ธรรมข้อนี้เป็นแกนกลาง ไม่ว่าจะทำอะไรก็ย่อมได้รับความสำเร็จ”

    ครับ ความดีจะเอาชนะความชั่วและความจริงจะเอาชนะความเท็จได้ในที่สุด ถ้าเราอดทนพอ

    ว่ากันว่าคำถากถางถือเป็นปฐมบทแห่งการเยาะเย้ยที่เข้ามากระทบความรู้สึก ในอีกทางหนึ่งมันก็เป็นการกระตุ้นเตือนใจให้มีความมุมานะต่อสู้ออกมาโดยไม่รู้ตัว พ่อท่านผอมตอบแทนคำสบประมาทด้วยความว่างและวางอย่างมีสติ

    “คนเราเกิดมาเพื่อไม่ทุกข์ แต่ที่ทุกข์เพราะเราทำเอง คนจนก็ทุกข์แบบคนจน คนรวยก็ทุกข์แบบคนรวย เป็นเทวดาบนสวรรค์ยังหนีความทุกข์ไม่พ้นเลย”

    แล้วเราจะพ้นทุกข์ได้อย่างไรครับ?

    “ไม่หลบมาเกิด”

    พ่อท่านจะกลับมาเกิดอีกไหม?

    “ถ้าดับไม่เหลือก็ไม่หลบมาเกิด ดับไม่หมดก็ต้องกลับมาเกิดอยู่นั่นแหละ”

    คำพูดของพ่อท่านผอมทำให้เกิดรอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเรา มันเป็นความจริง มันเป็นสัจธรรมที่ชีวิตของเราทุกคนต้องวนเวียนซ้ำซากอยู่แค่นั้น ไม่ว่าเราจะยืนอยู่บนส่วนไหนของโลก เราก็หนีไม่พ้นความสับสนวุ่นวาย

    “เราตั้งใจแล้วว่าจะทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ดีที่สุด ทำจนสุดความสามารถ ตื่นเช้ามาอีกวัน ยังไม่ตายก็ต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด พรุ่งนี้อะไรจะเกิดขึ้นก็ทำวันนี้ให้ดีที่สุด”

    ดังนั้น “ทุกวันจึงเป็นวันที่ดีที่สุดเสมอ” ของพระอาวุโสวัย ๘๗ ปี

    พ่อท่านผอม ถาวโร ท่านเป็นพระที่ไม่สะสมทรัพย์สมบัติใดๆ ท่านเมตตาปลุกเสกวัตถุมงคลบ้างตามสมควรแต่ก็ไม่บ่อยนัก ท่านไม่แสดงปาฏิหาริย์ ด้วยเห็นว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ช่วยให้คนพ้นทุกข์ได้ หากแต่ “ธรรมะ” ต่างหากที่จะช่วยให้พ้นทุกข์ได้จริง

    ทุกวัน พ่อท่านผอมยังคงนั่งอยู่บนแคร่เล็กๆ ในศาลาปลายทาง ผมเองก็ปากหนักลืมถามว่าแคร่ที่ท่านนั่งอยู่นั้น แต่เดิมมันถูกใช้ให้ทำงานอะไร แต่ในทุกวันนี้แคร่เล็กๆ เปรียบเสมือนเขตแดนของท่านที่ไม่มีใครกล้าเข้าไปล่วงล้ำ

    คำสอนของท่านล้วนเกิดจากการปฏิบัติและการประพฤติด้วยตัวของท่านเอง ไม่มีสิ่งใดที่ผิดเพี้ยนหรือบิดเบือนไปจากคำสอนขององค์พระศาสดา ท่านว่าคนเราเกิดมาแล้วมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ได้ไม่นานนัก น่าจะทำอะไรที่เราทำแล้วมีความสุข

    ไม่ใช่ความสุขที่เราได้เป็น

    แต่เป็นความสุขที่เราได้ทำ

    “นิพพานอยู่ในตัว ทำได้ไม่ยาก ที่ชอบพูดว่ายาก เพราะเราไม่ทำ”

    พ่อท่านผอม ถาวโร สมณะผู้สมถะแห่งเมืองนคร...สวัสดีครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 200097cb9.jpg
      200097cb9.jpg
      ขนาดไฟล์:
      84.7 KB
      เปิดดู:
      2,666
  7. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    ได้รับยอดโอนจากทั้งสองท่านแล้วครับผม
     
  8. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
  9. โอ๊ตครับ

    โอ๊ตครับ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2017
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    ยังมีเหลืออยู่มั้ยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...