การเจริญภาวนากรรมฐานตามแนวทางคำสอนของหลวงปู่มั่น

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย visutto, 14 ตุลาคม 2009.

  1. visutto

    visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    การเจริญภาวนากรรมฐานตามแนวทางคำสอนของหลวงปู่มั่น

    พิจารณาคำสอนของพระพุทธเจ้า ทรงสอนในการเจริญสติปัฏฐานว่า...
    อาตาปี สัมปชาโน สติมาวิเนยย โลเกอภิชฌา โทมนัสสัง
    แปลว่า จงทำความเพียรเผากิเลสให้เร่าร้อนด้วยสัมปชัญญะ ด้วยสติ ยังความยินดียินร้ายในโลกให้พินาศ
    กำหนดทำความเข้าใจว่า ตัวความเพียร คือ อาตาปีเป็นตัวสัมมัปธาน 4 ชึ้เข้ามาที่ตัวเรา คือ กายและใจ

    กำหนดรู้ตัวด้วยรู้ทั่วตัว และระลึกได้ไม่ลืมตัว แล้วทำความรู้สึกตัวว่า ที่นั่งอยู่นี้ คือ ตัวเรา
    เป็นตัวประธานพร้อมกระทำความเพียรในทุกอริยาบถ ขณะนี้เรากำลังทำความเพียรในอริยาบถนั่งคือ ตัวฐานที่ตั้ง ทำความเพียรเจริญสติโดยมีใจเป็นผู้กระทำ กระทำตามคำสอนของงพระพุทธเจ้าที่ชี้ว่า….
    จงทำความเพียรเป็นอาตาปีที่ตัวด้วยสัมปชาโน มีสัมปชัญญะเป็นวิป้สสนา รู้ทั่วตัวเราทั้งหมด
    สติมา มีสติระลึกรู้ทั่วตัวเป็นสมถะ กำหนดไม่ลืมตัวให้ตัวตั้งอยู่โดยสงบเป็นปกติกาย
    ขณะนี้เรากำลังกระทำความเพียรให้กิเลสเร่าร้อน เพราะตัวเราหมายถึงกายและใจที่มีอวิชชาครอบงำที่จิต
    พระพุทธเจ้าจึงสอนอาตาปีชี้ลงที่ตัวเรา เมื่อทำความเพียรแผดเผากิเลสที่หัวใจเรา
    กิเลสตัวเร่าร้อนมันกลัวความเพียรความเอาจริงเอาจัง ไม่กลัวความขี้เกียจขี้คร้านในสันดานเรา
    ตัวไหนร้อนรุ่มในใจ พึงรู้ว่าตัวนั้นแหละเป็นตัวกิเลส ตัวไหนสงบไม่ร้อนเร่าตัวนั้นเป็นธรรม
    เพราะกิเลสมันเป็นตัวอวิชชา สังขารปรุงแต่งปิดของจริงอยู่เปลือกนอกเป็นตัวหลอกให้เกิดความหลง เกิดเป็นอุปทานให้หลงยึดมั่นถือมั่น เป็นต้นเหตุสมุทัยให้เกิดยินดียินร้าย
    กิเลสนี้มันห่อหุ้มจิตมันไม่ได้เข้าไปในลึกถึงแก่นกลางที่เป็นกลางเป็นตัวปกติ ตัวมัชฌิมา
    กิเลสเข้าไปไม่ได้ เพราะเป็นธรรมฐิติ ที่เรียกว่า ฐีติภูตัง

    1.กำหนดรู้ตัวด้วยรู้ทั่วตัวตลอดตัว
    2.กำหนดสติระลึกได้ไม่ลืมตัวตลอดเวลา


    พร้อมกำหนดคำบริกรรม พุทโธ ร่วมกับการรู้ตัวไม่ลืมตัว เพียรเผากิเลสให้รุ่มร้อน
    ตัวไหนร้อนตัวนั้นมันจะแสดงออกมา เช่น นิวรณ์ 5
    กิเลสตัวง่วงเหงาหาวนอนมันร้อนมันจะชวนให้เลิกนั่งภาวนาไปนอนได้แล้ว
    ถ้ากิเลสตัวนี้มันร้อนแสดงตัวออกมาก็ให้ใช้ความรู้ทั่วตัวเป็น วิปัสสนา
    พิจารณาเป็นสังวรปธานขึ้นที่ตัวประธาน
    คือพิจารณาให้รู้ทั่วตัวว่าตัวไหนในส่วนร่างกายและจิตใจได้เกิดเป็นตัวขัดข้องขึ้นในขณะนั่งภาวนา ถ้าเกิดขึ้นที่ร่างกาย เช่น แข้งขา มันนั่งนานเจ็บปวดเมื่อย
    พิจารณาให้เห็นชัด เพราะว่า มันเป็นทุกขเวทนาทางกายที่เกิดจากการไม่ได้เปลี่ยนอริยาบถ
    ย้อนมาพิจารณาที่จิต จิตเกิดทุกขเวทนาอันเกิดจากทุกขเวทนาทางกายหรือไม่
    พิจารณาด้วยสติปัญญาแยกเวทนากาย เวทนาจิต จนเห็นด้วยเหตุผลแห่งความเป็นจริงของเวทนา
    กำหนดพิจารณาด้วยความรู้ตัวเป็นสัมปชัญญญะ มีสติสังวรทั่วตัว
    พร้อมกำหนดกายและใจให้ความเพียรเกิดขึ้นทั่วตัวจนเกิดเป็นปหานปธาน
    เพียรดับความเร่าร้อนของกิเลสให้ดับลง

    เมื่อทำความเพียรจนสติเกิดต่อเนื่องตามลำดับ จนสติเกิดเป็นสติปัฏฐาน
    เป็นการภาวนาปธาน เพียรเห็นแจ้งสภาวะกายและจิตแจ้งชัดจนเกิดเป็น อนุรักขนาปธาน
    คุ้มครองรักษาความเพียรและสติสัมปชัญญะที่เกิดขึ้นในกายและจิตเรา
    ความเพียรประเภทนี้จึงเป็นตัวหยุด กายและใจให้เกิดความสงบ เป็นกายปกติใจปกติ
    กายสงบเป็นปกติกาย ปกติศีล ใจสงบเป็นปกติใจ ปกติสมาธิ
    ตัวใจสงบลงไปรู้ไปเห็น ปกติกายปกติศีล และปกติใจเป็นปกติสมาธิ
    นี่แหละ เรียกว่า ใจเกิด ภาวนาปธาน การทำความเพียรที่เป็นการเห็นแจ้งสภาวะ
    รู้แจ้งชัด เป็นปัญญารู้ทั่วตัวและรู้รักษาตัวเป็นอนุรักขนาปธาน
    รู้รักษาตัว ที่เป็นตัวศีล สมาธิ และปัญญาขั้นต้น ที่เกิดมาจากสัมปชาโน สติมา รู้ทั่วตัวระลึกได้ไม่ลืมตัว ตัวเป็นสัมปชาโนจึงเปลี่ยนจากวิปัสสนากัมมัฏฐานเป็นวิปัสสนาภาวนา
    กระทำพิจารณาสติให้เป็นสติปัฏฐาน เพราะสติมาที่เคยเป็นสมถะกัมมัฏฐาน
    เป็นตัวสติก่อฐานได้เกิดเป็นสติปัฏฐาน เป็นสมถะภาวนาเป็นตัวสงบกาย สงบใจ เป็นตัวศีล สมาธิ เกิดร่วมสติปัฏฐาน

    รวมความว่า ตัวสัมปชาโน ได้เป็นวิปัสสนาภาวนา ตัวสติมาได้มาเป็นสติปัฏฐาน
    เป็นสมถะภาวนาเป็นตัวปกติกายปกติใจ เป็นตัวศีล สมาธิ ตัววิปัสสนาเป็นตัวปัญญาขั้นต้น
    กายปกติจึงเป็นปกติศีลเป็นกายวิเวก ใจปกติเกิดสมาธิและเกิดปัญญาเป็นจิตวิเวก
    น้อมตรึกนำสู่ความสงบตามภาวะสงบกายสงบใจ เกิดวิเวกส่งต่อให้ใจเกิดวิปัสสนา
    พิจารณาหยั่งลงเห็นภาวะกายสงบ ใจสงบ รู้เห็นด้วยใจเกิดปิติซาบซ่านอิมกายอิ่มใจด้วยจิตวิเวก
    เกิดปิติสุขที่เป็นสุขเหนือสุขเป็นฉันทาธิปติอิทธิบาท
    เป็นบาทของจิตที่ก้าวลงสู่ความสำเร็จสุขที่ไม่เคยพบเห็นในโลก เพราะเป็นสุขใหม่ที่เหนือสุขในกาม ใจจึงเพียรพยายามน้อมเข้าสู่สุขเหนือกามเป็นวิริยาธิปติอิทธิบาท
    เป็นบาทก้าวลงสู่ความสำเร็จเหนือสุขเป็นจิตสงบวางนิวรณ์ 5
    เข้าสู่ภวังค์ เป็นภวังคบาท สงบเงียบจวนจะสุดภวังค์
    สติปัฏฐานที่เป็นตัวนำทางจึงเกิดขึ้นตัดกระแสภวังค์
    เป็นตื่นในภวังค์ย้อนถอยคืนมาตั้งสงบเป็นเอกัคคตาจิตที่ศูนย์กลางภวังค์ พร้อมครบองค์ปฐมฌาน มีองค์ 5 คือ

    เกิดกับกายและใจที่เป็นปกติเป็นปิติสุขได้จากกระแสสุขเชื่อมต่อจากธรรมเดิม
    ผ่านจิตเดิมสู่เวทนาเดิมที่กายเดิม เป็นสุขเกิดร่วมกายวิเวกจนจิตสงบเข้าสู่ความเป็นเอกัคคตาจิต
    เป็นจิตเข้าสู่ปฐมฌานครบองค์ 5

    ผู้ปฏิบัติได้ฌานนี้แล้วจะต้องเจริญสติปัฏฐานต่อให้สติปัฏฐานเจริญขึ้นในที่เดิมที่เดียว
    ฌานนี้เป็นฌานพุทธเกิดในสติปัฏฐานเป็นทางเดียวไม่เข้าต่อทุติยฌาน ตติยฌาน จนถึงจตุตถฌานหรืออรูปฌาน
    พิจารณากายในกาย พอกายในดับ กายเดิมจะชัดแจ้ง ตามเห็นเวทนาในเวทนา พอเวทนาในดับ
    จิตจะวางภายในกายและเวทนาในเวทนา เป็นจิตสงบเข้าสู่ภวังค์เข้าสู่รูปฌานเป็นปฐมฌาน
    ยืนอยู่ที่เวทนาเดิมเป้นเอกัคคตาจิต เป็นการตามเห็นจิตในจิต
    ตลอดครบถ้วนแล้วจิตในจิตก็ดับเป็นจิตรวมใหญ่เข้าถึงจิตเดิม เข้าถึงฐีติภูตัง เป็นจิตตาธิปติอิทธิบาท เป็นบาทเข้าสู่จิตเดิม
    ฌานนี้เป็นฌานพุทธที่พระพุทธเจ้าค้นพบในวันตรัสรู้เป็นฌานโลกุตระ
    ฌานนี้เมื่อเข้าถึงแล้ว จะไม่มีคำว่าเข้า คำว่าออก เช่นกับฌานโลก
    เพราะเป็นอกาลิโกไม่มีกาลถอย เพราะเข้าแล้วจะมีขั้นตอนต่อเนื่องทันที
    จิตเป็นเอกัคคตาจิต จิตเป็นหนึ่งที่ฐีติจิต จิตตามเห็นธรรมในธรรม คือ อินทรีย์ 5พละ5
    ในขณะที่เข้าถึงนั้น อินทรีย์ 5 และพละ5 ที่เป็นอินทรีย์เกิดในของเดิมจะปรากฏออกมาให้เห็นเป็นธรรมในธรรมทันที

    เมื่อตามเห็นธรรมในธรรมแล้ว นิวรณ์5 ขันธ์5 อายตนะ12 โพชฌงค์7 และมรรคมีองค์8 เป็นโลกีย์มรรคดับสิ้น เข้าถึงธรรมฐีติ เป็นโลกุตระมรรค เป็นอริยมรรค4 ผล4
    จบทางเดินสติปัฐฐานซึ่งเป็นทางตรงทางสายเอกอริยมรรคตรงนี้
    พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า เอกายโนภิกฺขเว อยํ มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา
    ภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นทางเอกเป็นหนึ่งในทางทั้งหลาย

    ทางเดินแห่งมรรคนั้น หมายเอา ปัญญาสัมมาทิฏฐิ เป็นการเกิดปัญญาเห็นชอบ
    สัมมาทิฐิ เป็นตัวเอกะมรรค มาจากสติปัฐฐานทางเดียวทางอื่นไม่มี
    สัมมาทิฏฐิเจริญขึ้นที่ธรรมเป็นกลาง คือ อัพยากตาธรรม เจริญขึ้นเป็นมัชฌิมาปฏิปทาได้เกิดขึ้นในสภาวะธรรมที่เป็นกลาง

    แต่ญาณตัวเห็นชอบเป็นญาณ วิปัสสนาญานเกิดขึ้นหลังจากเข้าสู่ฐีติญาน ผู้ปฏิบัติยังไม่เข้าสู่ฐีติญานเป็นเพียงวิปัสสนากรรมฐาน
    วิปัสสนาญาน๙ กิริยา จากญาณหนึ่งเดียว เป็นสัจจานุโลมิกญาณ ที่เห็นอริยสัจจ์๔ ดับความยินดียินร้ายในโลก
    เห็นธรรมในธรรม เป็นธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน เกิดโพชฌงค์๗ อริยสัจจ์๔
    คือ กุศลธรรมเป็นมรรค คือ ศีล สมาธิ ปัญญาเป็นนิโรธดับอกุศลธรรม คือ สมุทัย ทุกข์

    ปัญญาตัวนิโรธนี้จะส่องสว่างขึ้นที่กายเดิม ให้เห็นกายในกายสว่าง
    ขึ้นที่เวทนาเดิม ให้เห็นเวทนาในเวทนาสว่าง ขึ้นในจิตเดิม ให้เห็นจิตในจิตสว่าง
    ขึ้นที่ธรรมเดิมเห็นธรรมในธรรม แสงสว่างดับธรรมในธรรมคือ อกุศลธรรม คือ ทุกข์ สมุทัย

    เมื่อมรรคเจริญขึ้น ตัวปัญญาสัมมาทิฏฐิ เป็นอาโลโก อุทปาทิ
    คือ เป็นแสงสว่างของปัญญาที่สว่างครอบทั้งสามโลก และสว่างไปถึงพระนิพพานด้วย
    เป็นวิชชาอุทปาทิ ที่เป็นแสงสว่างที่เป็นวิชาดับอวิชชา จึงเกิดปัญญาอุทปาทิ
    ปัญญาความรู้รอบกองสังขารทั้งปวงเกิดขึ้นที่จิต เป็นจิตสังขาร เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    สังขารทั้งหลายดับ เกิดโคตรภูญาณน้อมจับอารมณ์พระนิพพาน
    เป็นอาโลโกอุทปาทิ วิชชาอุทปาทิ ปัญญาอุทปาทิ คือ แสงสว่างเกิดแล้วในอารมณ์พระนิพพาน
    โคตรภูญาณดับสงบรวมใหญ่ครั้งสุดท้าย เป็น ภวังคุปัจเฉทะ
    เกิดอริยมรรคญาณ เป็นญานัง อุปปาทิ เป็นอริยะ ได้เกิดขึ้นแล้ว เป็น โสดาปัตติมรรค

    เมื่อญาณอริยมรรคญาณสว่างแจ้งในขณะจิตนั้น พร้อมกับสังโยชน์สามดับ
    ดับสักกายะทิฏฐิ ดับพร้อมโคตรภูญานในกระแสอริยมรรค
    จึงไม่มีคำว่า สังขาร ไม่มีคำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ดับหมดในกระแสอริยมรรค
    ในกระแสอริยมรรคมีแต่แต่ของเที่ยงของจริง ทุกขังไม่มีอนัตตาของสังขารก็ไม่มี มีแต่ธัมมาอนัตตา
    ดังนั้นสักกายะทิฏฐิเห็นมีกาย จึงไม่มีในกระแสอริยมรรค แก่ ตาย ก็ไม่มี
    ไม่มีวิจิกิจฉา สิ้นสงสัยในทางโลกและทางพระนิพพาน
    สีลัพพตปรามาส ไม่ลูบคลำศีล เพราะเป็นอริยกันตศีล ไม่ต้องรักษา ไม่ต้องลูบคลำ
    สีเลนะ โภคะสัมปะทา ไม่ถือศีลเพื่อให้ได้โภคสมบัติมุ่งเป็นข้าศึกของใจ ทำให้ไม่พ้นโลก
    สีเลนะ สุคติง ยันติ ไม่ถือศีลเพื่อมุ่งปรารถนาสวรรค์สมบัติ
    สีเลนะ นิพฺพุติง ยันติ รักษาศีลเพื่อดับกิเลสถึงพระนิพพาน
    เข้าสู่แดนอริยะ เป็นโสดาปัตติผล
     
  2. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    น่าชื่นใจที่ยังมีของแท้ให้ศึกษาอยู่บ้าง

    ขออนุโมทนาครับ...
     
  3. visutto

    visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    ของแท้กับของเทียม...แตกต่างกันสุดขั้ว..

    กาลเวลาจะพิสูจน์เอง....ของแท้ไม่กลัวการพิสูจน์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ตุลาคม 2009
  4. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ธรรมของหลวงปู่เป็นของจริงแท้อยู่แล้ว ไม่ต้องพิสูจน์หรอกครับแต่ที่ต้อง
    พิสูจน์คือ ผู้ที่ชอบเอาชื่อหลวงปู่ หลวงตามาอ้าง มาฟาดฟันผู้อื่น

    .....อ้างตัวว่าเป็นนักปฏิบัติธรรม ก็อย่าทำตัวเหมือนนักการเมืองซิครับ
    ใครอยากพิสูจน์ใคร ไม่มีใครว่าหรอก ถ้าเป็นเรื่องของการปฏิบัติเฉพาะตัว
    บุคคลเป็นรายๆไป การกระทำของท่านดูไปดูมา เหมือนเด็กนักเรียน
    อนุบาลทะเลาะกัน พอสู้ไม่ได้ก็บอกว่าจะฟ้องครู พอเห็นอีกฝ่ายเงียบทีนี้ละก็
    เอาใหญ่เลย หาว่าอีกฝ่ายไม่กล้า เชิญมาพิสูจน์

    .....พวกท่านก็รู้ก็บอกเองว่ากาลเวลาจะพิสูจน์เอง แต่ทำไมไม่ปล่อยให้กาล
    เวลาทำงานเอง เหตุใดท่านต้องร้องแล่แห่กะเช่อ ลงทุนทำเวบให้พระมาว่าพระ
    แถมเอามาโฆษณาในเวบนี้อีก ท่านว่าการกระทำของ
    พวกท่านมันเหมาะแล้วหรือ ผมขอแนะให้สักนิดนะครับว่า การกระทำ
    ของพวกท่านไม่มีผลต่อครูบาอาจารย์ของพวกผมเลย ยังเคารพครูอาจารย์
    อย่างไรก็ยังเหมือนเดิม ตรงกันข้ามท่านเคยคิดไหมว่า การกระทำของท่าน
    มันจะมีผลสะท้อนกลับ ไปยังครูอาจารย์ของพวกท่าน ลองสมมุติดูนะครับ ถ้า
    พวกผมไม่มีสติยั้งคิดแล้วอะไรจะเกิดขึ้นครับ

    .....ถามจริงพวกท่านเคารพครูบาอาจารย์จริงหรือเปล่า
    หรือเพียงเพื่อเอาท่านมาเป็นเครื่องมือ เพื่อผลแพ้ชนะใน
    การถกเถียงกัน ในฐานะชาวพุทธ ผมขอร้องอย่าทำเลย
    มันบาปและสะเทือนใจชาวพุทธส่วนใหญ่
     
  5. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    อนุโมทนา สาธุฯครับท่านvisutto
    ที่นำธรรมดีๆของพ่อแม่ครูบาอาจารย์มาให้อ่านกันครับ
    ของแท้ ย่อมเป็นของแท้ไม่มีวันแปรเปลี่ยน
    ของเทียมนั้น ถึงจะเลียนแบบของแท้ให้เหมือนอย่างไร ก็เป็นของเทียมอยู่ดี

    คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล(มรรคผลนิพาน)

    ;aa24
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ตุลาคม 2009
  6. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    อนุโมทนา ท่าน visutto
    อนุโมทนา ผู้หักสงสารวัฎ
     
  7. visutto

    visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    ภาษาธรรม

    ภาษาธรรม

    เรื่องการแปลธรรมของพระพุทธเจ้านั้น
    ถ้าเรารู้แต่ภาษาคนไม่รู้จริงในภาษาธรรม
    ก็อาจจะแปลธรรมลงสู่ภาษาคน
    ผิดจากความหมายเดิมของพระพุทธเจ้า
    ทรงแสดงเป็นภาษาตรงสู่ธรรมเป็นภาษาธรรมเป็นสัมมาวาจา
    กล่าวออกมาจากพุทธญาณ เป็นสัพพัญญู ญาณรู้สารพัดอย่าง
    ภาษาคนนั้นเป็นภาษาพูดออกมาจากใจ เกิดจากอวิชชา
    จึงแปลภาษาธรรมของพระพุทธเจ้าลงสู่ภาษาคน
    ตามภาษากิเลสของแต่ละคน กลายเป็นธรรมเพื่อกิเลสคน เป็นธรรมตามใจคน
    แล้วใช้ธรรมในกิเลสคนสอนธรรมผิดจากคำสอนขององค์พระศาสดา
    การแปลธรรมลงสู่ภาษาคนจึงเป็นเหตุหนึ่ง
    ควรระมัดระวังด้วยสติ สมาธิ ปัญญา

    ถ้าแปลความหมายเดิมผิด ก็จะทำให้ผู้ศึกษาปฏิบัติตามเกิดเห็นผิดเป็นมิจฉา
    กลายเป็นทำลายพระศาสนาไปโดยไม่รู้ตัว
    การแปลผิดจากความหมายที่พระพุทธเจ้าแสดงธรรมลงสู่ใจคนตรงเฉพาะกิเลสนั้นๆ
    หากแปลให้เป็นความหมายอื่น แทนที่คำแปลนั้นจะเป็นคำพูดแก้กิเลสคนกลับเป็นช่วยส่งเสริมกิเลสคน

    การแปลธรรมที่ไม่รู้ความหมายเดิมที่เป็นภาษาธรรมแล้วมาแปลลงสู่ภาษาคน
    ชนิดเดาหรือคาดคะเน แทนที่การแปลนั้นจะเกิดประโยชน์กลับเกิดเป็นโทษ
    ในเมื่อคนอ่านไม่เข้าใจความหมาย อ่านตีความหมายให้ผิดจากความเป็นจริง
    ที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศแสดงพระธรรมคำสอนทั้ง ๘๔๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั้นมุ่งสู่ความเป็นจริงที่ใจคน
    ธรรมทุกขั้นตอนจึงเป็นเรื่องของจิตใจคน
    พระองค์ทรงแสดงเพิ่อให้ปฏิบัติตามให้เกิดรู้จริงเห็นจริงที่ใจคนได้
    ธรรมนี้จึงเป็น สวากขาธรรม ที่ชำระสะสางสิ่งสกปรกกิเลสจากใจคน
    เป็นแสงแห่งธรรมที่สว่างครอบโลกธาตุ
     
  8. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านครับ ท่านเคยว่าอกุศลจิตยังห้ามไม่ได้เลย
    แล้วกลับมาบอกว่า ปล่อยวาง...แค่นั้นเอง...แค่นั้นเอง...แค่นั้นเอง

    สมาธิยังไม่รู้จักเลย แล้วจะทำใจ ทำจิตให้ไม่ไปยึดเกาะกับสิ่งต่างๆได้ ยังไง???

    ถ้าเราทำใจ ทำจิต...เรานี้ คือใครครับท่าน???

    ;aa24
     
  9. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    คำสอนของครูบาอาจารย์สายพระอาจารย์มั่น ไม่เคยบกพร่อง และ ขัดกับพระไตรปิฎก ลงรอยกันได้ทุกวรรคทุกตอน
    เพราะว่า ถอดออกจากใจที่ปฏิบัติจริง เหมือนกันทุกคน เห็นสิ่งเดียวกัน พูดเหมือนกัน จะแตกต่างกันบ้างก็สำบัดสำนวน แต่เนื้อความแล้ว เหมือนกัน
    เมื่อเห็นธรรมละเอียดแล้ว เรียกว่า ธรรมในธรรม เห็น จิตละเอียด ก็เรียกว่า เห็น จิตในจิต เวทนาในเวทนา กายในกาย เห็นเหมือนกันหมด แล้ว รวบลงเป็น สังขารุเบกขาญาณ สังขารธรรมแม้เป็นอนัตตา แต่ไม่มีสภาพทุกข์ ไม่มีสภาพแปรปรวน
    เป็นหลักได้ ส่วน สังขารในอวิชชาเป็น สังขารที่แปรปรวน มีสภาพทุกข์
    ธรรมทั้งหลายจะเป็นคู่ปรับกับกิเลส เมื่อมีกิเลสก็มีธรรม ก็เอาธรรมนั้นดับกิเลสเป็นส่วนๆ ไปจนถึงทันกันหมด กิเลสโผล่ขึ้นมา ด้วยเหตุใดก็ตาม ธรรมนี้จะตามไปจับ กิเลสดับไปเป็นส่วนๆ จนถอนรากแห่งกิเลสในส่วนนั้นๆ ได้ เรียกว่า ถอนสังโยชน์ หรือความโง่ในส่วนนั้นๆ ด้วยการขัดเกลา ทวน เพียร
    ทีนี้ กำลัง ที่จะทวนกระแสให้เห็น สภาพความจริง อันมี กุศล และ อกุศล ที่ถูกต้อง ใจที่จะเป็นผู้สังเกตุนั้นต้อง สะอาดสว่าง เป็น อาจิณ ก่อน เมื่อสะอาด สว่างเป็นอาจิณ ด้วยการ ทำสมาธิ มีศีล แล้ว ใช้ มหาสติ มหาปัญญา นี้ จับกิเลส ไล่กิเลส ว่า ต้นสายปลายเหตุของมันเป็นอย่างไร แล้วเราจะเห็นความโง่ของเราเอง คือ ความไม่รู้เท่านั้น ผลักดันไปในทิศทางต่างๆ

    พระศาสดา วางแนวทางไว้ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา คือ จะต้องพัฒนา ตามแนวทางนี้ จะถึงพระนิพพานแน่นอน
     
  10. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ถามมามีคนตอบแทนครับ
     
  11. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    อนุโมทนาท่านขันธ์ครับ
     
  12. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านบุญพิชิต ผมถามท่านๆก็ตอบสิครับ
    ไม่ต้องเอาของคนอื่น ที่เค้ารู้จักการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนามาหรอก...

    ของปลอมย้อมยังไงก็ไม่เหมือนของจริงหรอกครับท่าน
    ถ้าหมดมุขจะตอบ ก็กลับไปหัดสมาธิกรรมฐานภาวนาซะ จะได้รู้จักจิตที่แท้จริงเสียว่าบังคับได้....
    อย่ามัวแต่นั่งนึกเดาเอาเลยครับ วันเวลาล่วงไปมัวทำอะไรอยู่
    อย่าปล่อยธรรมดีๆของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ผ่านไปโดยไม่เคยลองลิ้มรสดูเลย...

    ของแท้เมื่อสัมผัสแล้ว จะมีแต่ปิติ สุข เกิดความเชื่อในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    จะได้เลิกหลงเชื่อของเทียมเสียที เพราะรู้จักเปรียบเทียบด้วยตนเอง โดยไม่ต้องมีใครชี้นำ...

    ;aa24
     
  13. เทพอาถรรพ์

    เทพอาถรรพ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +96
    โฮะๆๆๆ

    วันนี้Visuttoฟิวส์ขาดแล้วเฟ้ย
     
  14. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    คุณวิเศษ ไม่เกิดขึ้นกับผู้ที่คอยจับผิดคนอื่น

    ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท มลวรรคที่ ๑๘
    ๑๑. เรื่องพระอุชฌานสัญญีเถระ [๑๙๒]


    ข้อความเบื้องต้น

    พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระเถระรูปหนึ่ง ชื่ออุชฌานสัญญี ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "ปรวชฺชานุปสฺสิสฺส" เป็นต้น.


    คุณวิเศษไม่เกิดแก่ผู้เพ่งโทษผู้อื่น

    ได้ยินว่า พระเถระรูปนั้นเที่ยวแส่หาความผิด ของภิกษุทั้งหลายเท่านั้นว่า "ภิกษุนี้ก็นุ่งผิดอย่างนี้ ภิกษุนีก็ห่มผิดอย่างนี้." พวกภิกษุกราบทูลแด่พระศาสดาว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเถระชื่อโน้น ชอบทำแบบนี้."


    พระศาสดาตรัสว่า

    "ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ตั้งอยู่ในข้อปฏิบัติแล้วกล่าวสอนอยู่อย่างนี้ ใครๆ ก็ไม่ควรติเตียน, ส่วนภิกษุใดแสวงหาโทษของชนเหล่าอื่น เพราะความมุ่งหมายที่จะจับผิด พูดแบบนี้ไปอยู่, บรรดาคุณวิเศษมีฌานเป็นต้น คุณวิเศษแม้อย่างหนึ่ง ย่อมไม่เกิดขึ้นแก่ภิกษุนั้น, อาสวะทั้งหลายเท่านั้น ย่อมเจริญอย่างเดียว"



    ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-

    ๑๑.
    ปรวชฺชานุปสฺสิสฺส นิจฺจํ อุชฺฌานสญฺญิโน
    อาสวา ตสฺส วฑฺฒนฺติ อารา โส อาสวกฺขยา.


    อาสวะทั้งหลายย่อมเจริญแก่บุคคลนั้น ผู้คอยดูความผิด
    ของบุคคลอื่น ผู้มีความมุ่งหมายในอันจับผิดเป็นนิตย์,
    บุคคลนั้น เป็นผู้ไกลจากความสิ้นไปแห่งอาสวะ.



    แก้อรรถ

    บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุชฺฌานสญฺญิโน ความว่า บรรดาธรรมทั้งหลายมีฌานเป็นต้น ธรรมแม้อย่างหนึ่งย่อมไม่เจริญแก่บุคคลผู้ชื่อว่ามากไปด้วยการยกโทษ เพราะความเป็นผู้แส่หาโทษของชนเหล่าอื่นว่า "ควรนุ่งอย่างนี้ ควรห่มอย่างนี้ (ทำไมไม่ทำแบบนี้ๆ)" เป็นต้น

    โดยที่แท้อาสวะทั้งหลายย่อมเจริญ เพราะเหตุนั้น บุคคลนั้นจึงชื่อว่าเป็นผู้อยู่ไกล คือแสนไกลจากความสิ้นไปแห่งอาสวะ กล่าวคือพระอรหัต.


    ในเวลาจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.

    เรื่องพระอุชฌานสัญญีเถระ จบ.


    *****************

    เรื่องพระอุชฌานสัญญีเถระ
    http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=28&p=11

    คัดลอกจาก rinnn บอร์ดพลังจิต
    http://palungjit.org/threads/คุณวิเศษ-ไม่เกิดขึ้นกับผู้ที่คอยจับผิดคนอื่น.67098/
     
  15. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ไม่ควรด่า กันด้วยการใช้อารมณ์ หรือ ใช้คำหยาบปะทะกัน
    เพราะว่า คำหยาบด้วยกิเลส กับ ความแรงด้วยธรรม นั้นต่างกัน
    ความแรงด้วยธรรมนั้นจะมีเหตุผลกำกับ แรงไปเพราะเห็นกิเลส แล้วใช้ธรรมอันแรงนั้น ดับกิเลส
    ไม่ใช่แรงด้วย คำด่า นั่นคือ กิเลสปะทะกิเลส มันก็ร้อนตัวเราเอง
    แรงด้วยธรรมยกตัวอย่าง เช่นว่า อย่าไปโง่ให้เขาเสี้ยม อย่าไปบ้าน้ำลาย อย่าเป็นควายให้เขาสนตะพาย แบบนี้เรียกว่า ธรรมอันมีเหตุผลในตัว แม้จะใช้คำสมมติที่แรง แต่ใจนี้วางได้
    พิจารณาด้วยเมตตาธรรม คือ ทำไปเพื่อให้เขาได้เข้าใจ ให้เขาได้มีธรรม หรือ แง่คิด
    แต่ไม่ใช่ด้วยการสาดโคลน จะดีที่สุด
     
  16. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,648
    ไม่เจอกันนานนะท่าน วิสุทโธ...สบายดีไม...

    อย่าไปสนใจอะไรที่เกินใจไปมากเลยท่าน....
     
  17. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านครับ การติดเป็นสิ่งไม่ดี แม้ติดดีในดี ก็ยังไม่ดีอยู่ดี
    การติดทัณฑ์บนนั้นก็แย่อยู่แล้ว
    ยังจะติดทัณฑ์ทรมานใจที่จะแอบไปมีตติ้งกันสองคนอีกเหรอ
    ยังไงก็อย่าลืมชวนผมไปด้วยนะครับ ผมจะไปถอนทัณฑ์บนให้ด้วยความเต็มใจ
    ในฐานะเป็นผู้อาวุโสโอเค ผมย่อมตัดสินใจได้อยู่แล้วครับ......

    ;aa24
     
  18. วีระชัยมณี

    วีระชัยมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,128
    ค่าพลัง:
    +2,548
    5555...อนุโมทนา สาธุ กับทุกท่านที่ ฝักใฝ่ในธรรมครับ..ผมไม่ทราบว่า ที่ว่าจริงหรือ ปลอมนั้นคืออะไรกันครับ..ไม่เห็นว่า อะไรจริงหรือ ปลอมซักอย่างเลยครับ....กราบ บา พระอาจารย์ใหญ่มั่นครับ
     
  19. วีระชัยมณี

    วีระชัยมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,128
    ค่าพลัง:
    +2,548
    สิ่ง สุดยอด ของ จักรวาลนี้....กราบ บาท ครูบาอาจารย์ใหญ่.....สาธุๆๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...