ทำไมต้องเจริญกรรมฐาน...โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย เทพออระฤทธิ์, 14 มีนาคม 2008.

  1. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    [​IMG]
    ทำไมต้องเจริญกรรมฐาน<O:p</O:p

    ญาติโยมทั้งหลาย สำหรับวันนี้ก็จะขอแนะนำผลของการปฏิบัติ ก็มีอยู่ว่าทำไมเราต้องเจริญพระกรรมฐาน เป็นเพราะอะไร เพราะการทำบุญทำทานไปสวรรค์ ไปพรหมโลกก็ได้ ไปนิพพานก็ได้ จะมานั่งให้เมื่อยกันเพื่อประโยชน์อะไร ถ้าเขาถามแบบนี้จะจะตอบยังไง ต้องตอบว่าอยากจะทำให้หมดเรื่องหมดราว ความจริงการเจริญพระกรรมฐานมีอานุภาพมาก แต่ขอเว้นไว้ก่อน การทำบุญทุกอย่างก็มีผล<O:p</O:p

    สุปติฏฐิตเทพบุตร<O:p</O:p

    ตัวอย่างสุปติฏฐิตเทพบุตร เขาไม่เคยทำบุญเลยใช่ไหมตั้งแต่เกิดมาทำบาปอย่างเดียว ทำลายศีลทำลายทั้งธรรม ศีลก็ทำลายหมดทุกข้อ เรียบร้อยนะ ธรรมะก็ทำลาย
    อย่างคนที่จะฟังเทศน์หรือสนทนาเรื่องธรรมะก็แกล้งส่งเสียงกลบ เขาจะไปทำบุญเห็นแล้วแกล้งไม่เห็น ได้ยินก็แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน เขาดื่มสุราเมนรัยทุกอย่าง เรียกว่าศีลทั้งหมดไม่มีความดีไม่มี ทานไม่เคยให้
    แต่พอก่อนจะตายบังเอิญทุกขเวทนามันมาก ก็มองดูภรรยาบุตร ข้าทาสชายหญิง ทรัพย์สิน เพราะเป็นคนรวย ก็คิดในใจว่าทุกคนสงสารเราแต่ไม่มีใครเลยที่แบ่งเบาภาระของเราไปได้ทุกขเวทนาตกอยู่ที่เราคนเดียว
    เวลานั้นพระพุทธเจ้าเสด็จประทับอยู่ใกล้ๆ เคยไปเคยมา บ่อยๆ อยู่แถวนั้นนะ แต่ว่าแกไม่เคยแม้แต่จะยกมือไหว้เทศน์ก็ไม่เคยฟัง ทานก็ไม่เคยให้ ไม่ยอมรับนับถือพระทั้งหมด ทุกอย่าง ไม่นับถือ ถือว่าตายแล้วสูญ
    แต่ว่าพอทุกขเวทนามันมากหนักเข้าทนไม่ไหว จิตใจเลยนึกถึงพระพุทธเจ้า แต่การนึกถึงไม่ใช่นึกถึงให้ได้ธัมมะธัมโมอย่างนั้น ตั้งใจเขาลือกันว่าพระสมณโคดมใจดีมีเมตตาจิตขอมาช่วยให้หายทุกเวทนา ขณะที่แกคิดอยู่อย่างนั้นก็บังเอิญขอให้มาช่วยให้หายทุกขเวทนา ขณะที่แกคิดอยู่อย่างนั้นก็บังเอิญตายพอดี อาศัยที่นึกถึงพระพุทธเจ้าหน่อยเดียว แต่ก็ไม่ได้นึกด้วยความเคารพนัก ต้องการแต่เพียงว่าท่านมีเมตตา ขอให้มารักษาโรคนี้ให้หาย อาศัยบุญล็กน้อยเท่านี้ ตายจากความเป็นคนไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีนางฟ้าหนึ่งพันเป็นบริวารมีวิมานทองคำ
    ความจริงแค่นี้ก็พอแล้วละมั้ง แต่อย่าลืมนะนั้นเป็นการบังเอิญ บังเอิญว่านึกถึงพระพุทธเจ้าขึ้นมา ถ้าหากว่าถ้าเราจะปล่อยอย่างนั้นบ้าง ถ้าบังเอิญเวลาเราจะตายไม่ถึงว่ายังไงบ้างลงไป

    พระนางมัลลิกาเทวี<O:p</O:p

    ทีนี้มาพูดถึงคนทำบุญมาก คนทำบุญมากนี่ก็ตกนรกเหมือนกัน ถ้าไม่เจริญกรรมฐาน มีตัวอย่าง<O:p</O:p
    ตัวอย่างพระนางมัลลิกาเทวี มเหสีพระเจ้าปเสนโกศลปเสนทิโกศลท่านเป็นนักบุญหนักมาก แม้แต่นางวิสาขาก็สู้ไม่ได้ คือพระพุทธเจ้าปเสนทิโกสนท่านก็เป็นนักบุญ ในเมื่อพระพุทธเจ้าเสร็จไปท่านก็ถวายทาน ก่อนที่จะถวายทานก็ให้บรรดาข้าราชบริพารประกาศให้ชาวบ้านมาดูการถวายสังฆทาน<O:p</O:p
    ชาวบ้านเห็นพระราชาทำได้พวกเราก็ทำได้ รวมตัวกันถวายยิ่งกว่าพระราชา<O:p</O:p
    พระราชาก็ไม่ยอมแพ้ รุ่งขึ้นเอาใหม่ เอาให้หนักกว่านั้นอีก พระราชาแพ้ไม่ได้ใช่ไหม ยันกันไปยันกันมาในที่สุดพระราชาหงายท้อง ชาวบ้านเค้ามากกว่าก็เลยทรงนอน ไม่พูดไม่จากับใครทั้งหมด พระนางมัลลิกาเทวีถามถึงทุกข์ ในที่สุดพระเจ้าปเสนทิโกสลก็บอกว่า ในฐานะที่เราเป็นพระราชา แต่การถวายทานแพ้ประชาชนนี่มันไม่น่าจะเป็นคน ไม่น่าจะอยู่ พระนางมัลลิกาก็บอกว่าสิ่งที่เหนือประชาชนยังมีอยู่คือ อสทิสทาน<O:p</O:p
    อสทิสทานน่ะมีอะไรบ้างบ้างถามพระดูก็แล้วกัน ถ้าขืนเล่าให้ฟังวันนี้ก็ไม่จบ
    อสทิสทาน<O:p</O:p
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระพุทธเจ้าองค์หนึ่งตรัสมาในโลกคนที่จะถวายอสทิสทานได้มีคนเดียว แล้วคนก็คนที่ถวายทานต้องเป็นผู้หญิง ไม่ใช่ผู้ชาย พระนางมัลลิกาจึงขออนุญาตถวายอสทิสทานพระเจ้าปเสนทิโกศลฟังแล้วชอบใจ แต่ท่านมีความดีทุกอย่างไม่เคยทำบาปแม้แต่น้อย<O:p</O:p
    แต่ว่ามีอยู่คืนหนึ่งตอนเดือนมืดแล้ว ดับไฟแล้วนะ ท่านอยากจะไปส้วม บังเอิญเท้าไปสะดุดเท้าพระสวามีเข้า ท่านตกใจคิดว่าเป็นบาปเป็นความชั่ว เสียใจ ในที่สุดพระสวามีปลอบ บอกตามความจริงว่าจะไม่ถือโทษ พระนางไม่เคยทำแบบนี้นะ ก็มีอารมณ์เศร้าหมอง <O:p</O:p
    ถึงเวลาตายจิตไปนึกถึงอารมณ์เศร้าหมองตัวนี้เขามานิดเดียว ออกจากร่างแต่งตัวเป็นนางฟ้าเต็มอัตรา แต่ก็ต้องไปที่นรก เอาเท้าที่สะดุดเท้าพระสวามีน่ะแหย่ลงไปในนรกแค่ตาตุ่มเป็นเวลา 7 วันของโลกมนุษย์ <O:p</O:p
    เห็นไม แล้วที่ด่าล่ะเขามีขุมไหม (หัวเราะ) ระวังให้ดีนะ ไม่ต้องเย็บปากแต่พวกเราไม่ด่าก็แล้วกันนะ เอาบ้างหรือเปล่าก็เป็นอันว่าอยู่แค่นั้น 7 วัน<O:p</O:p
    ที่นี้มาถึงกล่าวถึงพระเจ้าปเสนทิโกศล ก็มีความรู้สึกว่าพระพุทธเจ้าเป็นสัพพัญญู นี่รู้ทุกอย่าง อะไรที่พระพุทธเจ้าไม่รู้ไม่มี ฉะนั้นเมื่อภรรยาของเราเป็นนักบุญหนักขนาดนี้ตายไปแล้วจะไปอยู่ที่ไหน จะต้องไปถามพระพุทธเจ้า <O:p</O:p
    พระพุทธเจ้าทรงทราบว่า พระเจ้าปเสนทิโกสนถ้าหากถามเวลานี้ เราก็ต้องตอบตามความจริงว่าพระนางมัลลิกาเทวีนี่อยู่ที่นรก ถ้าเป็นอย่างนั้นพระเจ้าปเสนทิโกศล จะเลิกทำบุญโดยทันที เพราะว่าคนดีอย่างพระนางมัลลิกาทำบุญยังตกนรก พระพุทธเจ้าทรงบันดาลให้ลืมเสีย ตั้งท่าไปถามแบบนั้นนะ 7 วัน พระพุทธเจ้าก็ทรงให้ลืมทั้ง 7 วัน<O:p</O:p
    พอถึงวันที่ 7 ผ่านไปถึงวันที่ 8 พระนางมัลลิกาก็พ้นโทษ เห็นไหมเศร้ามองนิดเดียว ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก วันที่ 8 พระพุทธเจ้าก็คลายฤทธิ์ให้พระพุทธเจ้าปเสนทิโกศล นึกออก พอฟังเทศน์จบชาวบ้านเขากลับแล้วนึกขึ้นมาได้ว่า โอโฮ....ตั้ง 7 วันเรานึกว่าจะมาถามพระพุทธเจ้าแต่บังเอิญลืมทุกวัน มีอยู่วันนี้นึกออกต้องถามว่า ก็ถามว่า<O:p</O:p
    ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ มัลลิกาเทวีมเหสีของข้าพระพุทธเจ้า ตายจากความเป็นคนเวลานี้อยู่ที่ไหน นี่เสียท่าพระ ใช่ไหม ถามว่าเวลานี้อยู่ที่ไหน พระพุทธเจ้าบอกอยู่ดาวดึงส์ ถามว่าเวลานี้นี่นะ ไม่ได้ถามว่าตายแล้วเค้าไปไหน โง่ดันไปถามพระพุทธเจ้าด้วย<O:p</O:p
    ก็เป็นอันว่า คนแม้จะบุญหนักใหญ่ แต่ว่าเวลาจะตายบังเอิญจิตไปนึกถึง<O:p</O:p
    อกุศลเข้าอย่างใดอย่างหนึ่ง อกุศลก็จะพาลงไปอบายภูก่อน ฉะนั้นจึงจะมีความจำเป็นจะเจริญสมาธิ คำว่าสมาธิแปลว่าตั้งใจ อย่างที่ท่านทั้งหลายทำบุญกันอยู่นี่จะบอกว่าอุ้ย....หลวงพ่อมาทีไรฉันถวายสังฆทานทุกที การถวายสังฆทานแต่ละครั้งมีสิทธิ์ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นที่ 5 เรียกว่า นิมานรดี นะ หรือถ้าจะไม่ไปก็ได้ <O:p</O:p
    <O:p

    <O:pฝึกจิตให้มีอารมณ์ทรงตัว<O:p</O:p

    แต่ถึงอย่านั้นก็ดีบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท เราอาจจะเผลอได้ ตามบาลีว่า เอกะ จะรัง จิตตัง จิตดวงเดียวเที่ยวไปจิตน่ะมันรับอารมณ์ เวลาที่เรารัก คนที่เรารัก สัตว์ที่เรารัก เขาจะทำเลวขนาดไหนก็ตามเราก็ยังรัก ถึงเวลาโกรธขึ้นมาทำดีขนาดไหนก็เกลียดใช่ไหม ไม่นึกถึงความดีของเขา ก็รวมความว่าจิตมันรับอารมณ์เฉพาะ ฉะนั้นถ้าหากว่าถ้าจิตออกจากร่าง ถ้าบังเอิญไปพบอกุศลเข้าก็ไปอบายภูมิได้ ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงสอนให้ให้ฝึกจิตให้มีอารมณ์ทรงตัว
    ถ้าเราจะตั้งใจนึกถึงบุญทุกวันก็นึกได้ แต่มันนึกไม่ไหวหรอก แม้แต่วัดที่ไปทำบุญก็จำไม่ได้หมดเลย ใช่ไหมไหม พระที่รับบุญจากเรา ที่เราทำบุญด้วยเราก็จำได้ไม่หมดเลย ถ้าเกาะหลักใหญ่คือพระพุทธเจ้า เริ่มเจริญสมาธิ คิดว่าชาตินี้ทั้งชาติเป็นมนุษย์ไม่มีสำหรับเรา เราจะต้องเป็นนางฟ้าเป็นเทวดา หรือเป็นพรหม หรือไปนิพพาน
    อันดับแรก ก็กำหนดรู้กำหนดลมหายใจเข้าออก หายใจนึกว่า พุท หายใจออกนึกว่า โธ
    แต่ว่าคำถาวนานี่ญาติโยมพุทธบริษัท ไม่จำกัดนะ นะนึกพุทโธก็ได้ สัมมาอรหังก็ได้ ยุบหนองพองหนอ ก็ได้อะไรก็ได้หมด แต่ก่อนที่ภาวนานึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน นึกถึงพระพุทธเจ้าแล้วก็ภาวนานาเป็นเครื่องโยงใจให้จิตมีงานเสีย จิตมีงานบุญในด้านบุญ ละบาป
    ขณะใดที่จิตรู้ลมหายใจเข้าออก จิตไม่คิดถึงเรื่องอื่น เวลานั้นจิตเป็นสมาธิ จิตว่างจากกิเลส ขณะใดจิตรู้คำภาวนาอยู่อารมณ์อื่นเข้ามาแทรก เวลานั้นจิตว่างจากกิเลส มีความดี
    ทีนี้ด้านความของสมาธิก็มีหลายขั้น บางทีญาติโยมทั้งหลายจะบอกว่าจิตมันไม่สงบ มันจะคอยจะคิดโน่นคิดนี่เข้ามาแทรก ไอ้นั้นถือเป็นเรื่องธรรมดา ต้องถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เราตั้งใจทำความดีนึกถึงความดี แต่จิตไปนึกถึงความชั่วมันเป็นเรื่องของมัน ถ้ามันนึกหนักๆ เข้าบังคับไม่ไหวก็เลิก
    อ่านหนังสือบ้าง ดูโทรทัศน์บาง ร้องรำทำเพลงบ้าง แต่ห้ามไปด่าเขานะ จำให้ดีนะ ปล่อยไปตามสบายๆ ประเดี๋ยวนี้หนึ่งจิตก็สงบ พออารมณ์เริ่มสงบก็จับลมหายใจเข้าออกใหม่แล้วภาวนาใหม่ สักประเดี๋ยวก็หายอีก ไม่นานทีสองทีก็หายไป คิดซ่านใหม่ อย่างนี้ท่านเรียกว่า ขณิกสมาธิ<O:p</O:p
    อย่าลืมว่าความดีที่เราทำ เราทำมาแล้ว จะน้อยก็ตามจะมากก็ตาม มันจะสะสมตัวอยู่ในใจของเรา มันไม่สลายตัว วันหนึ่งทำได้ 1 นาทีฝึกจิตไม่คิดถึงเรื่องอื่น วันพรุ่งนี้ได้ 2 นาทีก็รวมเป็น 3 นาที อีกวันหนึ่งทำได้ 8 นาที บุญมันจะรวมตัวแบบนี้ทีละน้อย
    ทีนี้เมื่อจิตเข้าถึงขณิกสมาธิเรียกว่าสมาธิเล็กน้อย ไม่ได้มาก ตายแล้วไปไหน ก่อนที่จะตายบังเอิญจิตของเราจับนึกถึงภาพพระพุทธเจ้าก็ดี พระพุทธรูปก็ดี พอจับได้มันจะเกาะติดแล้วก็ตายจากความเป็นคน ออกจากร่างจะเป็นเทวดาเป็นนางฟ้าหรือเป็นพรหมทันที ใช่ไหม ของไม่ยาก
    บุญรวมตัว<O:p</O:p
    ทีนี้ต่อไปสำหรับสมาธิ สมาธิขั้นที่ 2 คือ อุปจารสมาธิ อุปจารสมาธินี่มีความสุขกับปิติ มีความเอิบอิ่มใจเป็นพื้นฐาน พอเริ่มทำปุ๊บจิตจะเริ่มเป็นสุข มีความเอิบอิ่ม
    แต่ตอนนี้ต้องระวังนะ ถ้าจิตเข้าถึงอุปจารสมาธินี่ต้องระวังว่าเราเคยพักเวลาเท่าไร เราเคยนอนเวลาไหน ตื่นเวลาไหน ให้ทำเป็นไปตามนั้น อย่าฝืน เพราะความอิ่มเอิบของจิตก็ดี จะเป็นเหตุให้เราให้เราไม่เลิกจาการสมาธิ ไม่พักผ่อนตามเวลา ถ้าขืนฝืนร่างการแบบนี้ไม่ช้าก็เป็นโรคเส้นประสาท นี่ต้องจำเวลาพักผ่อนไว้
    ถ้าจิตเข้าถึงสมาธิมีปิติ คือความอิ่มใจและก็มีความสุข มีความสุขด้วยความอิ่มใจด้วยเข้ามาประสานกัน
    ท่านบอกว่าสมาธิขนาดนี้ ถ้าตายจากความเป็นคนไปเกิดบนสวรรค์ชั้นยามารู้จักไหม ก็เป็นอันว่าเกิดบนสวรรค์ชั้นยามา<O:p</O:p
    แต่ว่าบุญของเราไม่ได้มีเฉพาะแต่สมาธิอย่างเดียว คนทุกคนรู้ไหว้พระ รู้จักมีความเคารพพระพุทธเจ้า เคารพธรรม เคารพพระอริยสงฆ์ ถ้าทุกคนเจริญภาวนา เมื่อออกไปแล้วปั๊บบุญทุกอย่างจะเข้ามารวมกัน จึงจะถือว่าว่าเกิดชั้นยามาเสอมไปนั้นก็ไม่ได้ บุญตัวไหนที่มีกำลังแรงกว่าจะพาไปที่นั้น<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งเคยมีสมาธิเล็กน้อยไม่ถึงณาน ก็ทำให้เลือกสวรรค์เกิดตามชอบใจ ชอบชั้นไหนก็เกิดตามชั้นนั้น วันนี้คงไม่จบละนะ พูดมากหรือพูดคนเดียว คงไม่จบนะ เอาตอนต้นก็แล้วกันนะ ขอไปต่องวดหน้า ไม่งั้นจะหากินได้ยังไง
    <O:p
    <O:p</O:p

    </O:p

    พระเจ้าพิมพิสาร<O:p</O:p


    ดูตัวอย่างคนที่มีบุญมาก มีสิทธิ์ที่จะเกิดเป็นพรหมได้แต่ไม่ไป คือพระเจ้าพิมพิสาร <O:p</O:p
    พระเจ้าพิมพิสารนั่นท่านเป็นพระโสดาบันด้วย และเวลาตายก็ตายในฌาน เป็นฌาน 4 ถ้าตายในฌานเป็นฌาน 4 จะ 1 2 3 4 ก็ตาม ทั้งหมดจะต้องเป็นพรหม<O:p</O:p
    แต่เมื่อออกจากร่างไปแล้วร่างกายเป็นพรหม แต่ก็มีความรู้นึกว่าชาติก่อนที่เราจะเกิดเป็นมนุษย์ เรามาจากจตุมหาราช งั้นเราไม่ไปพรหมหรอกเราจะอยู่ที่เดิม ก็เลยลงมาชั้นจตุมหาราช<O:p</O:p
    เห็นไม่มีสิทธิ์ไปสูงแต่ไม่อยากไปก็ได้<O:p</O:p
    ในฐานนะที่เป็นพระอริยเจ้าอยู่ก่อน และตายในฌาน เมื่ออยากอยุ่ชั้นจตุมหาราช เขาก็เลยเป็นอินทกะ คำว่า อินทกะ นี่หมายความ รองจากท้าวจตุมหาราช พร้อมที่จะเป็นท้าวมหาราชจริงๆ เมื่อท้าวมหาราชองค์นั้นคือ ท้าวมหาชมภู ท่านไปเป็นพรหม พระเจ้าพิมพิสาร ไปเป็นเวสสุวัณแทน แต่ไม่มีเขี้ยวนะ ท้าวเวสสุวัณองค์นี้ไม่มีเขี้ยว ก็รวมความว่าถ้าจิตเราเข้าถึงฌานคำว่าฌานนี่ก็มีอารมณ์ไม่หนัก จะพูดถึงอาการญาติโยมก็ฟังยากบอกเฉพาะอารมณ์ที่กระทบก็แล้วกัน<O:p</O:p
    ขณะใดที่เราเจริญสมาธิอยู่เวลานั้น ใครจะส่งเสียงเอะอะโวยวายก็ตาม จะเป็นเสียงร้องรำทำเพลง เสียงทะเลาะกัน เสียงด่ากัน เสียงพูดก็ตาม ทั้งหมดเราไม่รำคาญในเสียง เราสามารถเจริญภาวนาพิจารณาได้ตามอัธยาศัย อย่างนี้ท่านเรียกว่า ปฐมฌาน เป็นฌานที่1 <O:p</O:p
    ถ้าคนที่ได้ฌานที่ 1 ไอ้คำว่า ฌาน น่ะ จะทรงทั้งวันน่ะมันเป็นไปไม่ได้ แต่ว่าพระอริยเจ้าได้ก็นะ ถ้ายังไม่ใช่พระอริยเจ้านี่นะไม่ได้ เวลานี้กำลังนั่งภาวนาอยู่สามารถทรงฌานได้ พอเลิกแล้วฌานก็พลาดไปเสียแล้วใช่ไหม ฌานหนีไป ก็คิดโน่นคิดนี่ตามเรื่องตามราวเป็นของธรรมดา<O:p
    ในเมื่อเราทำทุกวัน วันหนึ่งถึงแม้จะใช้เวลาไม่มากได้สัก 2-3นาที เป็นฌานก็ตาม ถ้าพูดตามภาษาพระก็บัญชีนรกเขาจดเฉพาะอารมณ์สูงสุด บัญชีที่เขาจดนะ วันนี้มีอารมณ์ถึงฌาน 4 เขาก็จดทันทีเลย วันพรุ่งนี้ได้ฌาน 3 เขาจดฌาน 3 แต่ว่าเขาจะมาบวกกับไอ้สิ่งที่มันสูงสุด เขารู้ทุกอย่างไอ้เมืองนรกไม่ต้องไปแจ้งเขาหรอก เขารู้หมดแม้แต่นึกก็รู้ นี่ใครนึกว่าจะด่าใครบ้างนี่เขาจดแล้วนะ เงียบๆ ซะ กลับเป็นนึกสรรเสริญซะ<O:p</O:p
    ก็เป็นอันว่าในเมื่อถึงฌาน 4 ก็จงอย่าคิดว่า จิตจะไม่วอกแวกจิตจะไม่กระสับส่าย ฌาน 4 ถ้ามันยังไม่ค่อยจะทรงตัวเฉพาะเวลาที่นั่ง เวลาเรานั่งอยู่ก็ไม่ตลอดเวลา บางทีนั่งครึ่งชั่วโมง ภาวนาครึ่งชั่วโมงมันจะได้ฌาน 4 จริงสัก 2
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • lp095.jpg
      lp095.jpg
      ขนาดไฟล์:
      52.3 KB
      เปิดดู:
      2,637
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มิถุนายน 2008
  2. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
  3. seahero

    seahero เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    335
    ค่าพลัง:
    +602
    ขอบคุณมากครับ ที่หามาให้ได้อ่านกัน ผมชอบคำสอนของหลวงพ่อนะครับ น่ารักดีเหมือนพ่อสอนลูกเลย นี่คงเป็นอานิสงค์จากเมตตาบารมีของหลวงพ่อหล่ะมั้งครับ ผมก็จะพยายามทำให้ได้อย่างนี้บ้างครับ ขอบคุณครับ
    ปล. ขอเก็บหน้านี้ไว้อ่านเวลาฟุ้งซ่านนะครับ อ่านแล้วอารมณ์ใจมันเย็นดี รู้สึกยังไงบอกไม่ถูก แบบว่าสบายๆ
     
  4. oomsin2515

    oomsin2515 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    2,934
    ค่าพลัง:
    +3,393
    กุศลผลบุญใด ๆ ก็ตามที่ข้าพเจ้าได้ทำมาแล้ว ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันนี้ ข้าพเจ้าขออุทิศให้<O:p</O:p


     
  5. Mr.Kim

    Mr.Kim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2007
    โพสต์:
    3,036
    ค่าพลัง:
    +7,028
    คำสอนของหลวงพ่อดีแล้ว ชอบแล้ว สาธุ สาธุ อนุโมทามิ<!-- / message -->
     
  6. slamb

    slamb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,021
    ค่าพลัง:
    +538
    คําสอนหลวงพ่อฯอ่านแล้วเข้าใจง่าย
    กราบขอบพระคุณหลวงพ่อฯ ด้วยความสํานึกที่ท่านมีเมตตาต่อลูกหลาน
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของกระทู้ที่นําเสนอ
    ขออนุโมทนาครับ
    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  7. ปรินิพาน

    ปรินิพาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2010
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +176
    อนุโมทนาบุญ ค่ะ บุญกุศลทั้งหลายที่ข้าพเจ้าทำ ทั้งกาย วาจา ใจ ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขอให้ผลบุญที่ข้าพเจ้าทำตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน จงแผ่ผลบุญไปให้ย่าของข้าพเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายตลอดทั้งเจ้ากรรมนายเวร สรรพสัตว์ทั้งหลายขอให้ท่านได้รับส่วนบุญส่วนกุศลของข้าพเจ้า เทอญ..
     
  8. พยัคฆ์หลับ

    พยัคฆ์หลับ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    206
    ค่าพลัง:
    +83
    สาธุ อนุโมทนาครับ คำสอนของหลวงพ่อท่านอ่านเข้าใจง่ายดี
    ให้ธรรมะเป็นเรื่องใกล้ตัว
     

แชร์หน้านี้

Loading...