ปัญหาการบริโภคเนื้อสัตว์

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย paang, 1 กุมภาพันธ์ 2006.

  1. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    <TABLE cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD align=right width=68>ผู้ถาม :

    <TD>" เรื่องการถวายอาหารพระนะครับหลวงพ่อ เวลาอุบาสิกานำอาหารไปถวายพระ แล้วก็เอาอาหารพวกเนื้อสัตว์ไปถวาย จะบาปไหมครับ...? "

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right width=68>หลวงพ่อ : <TD>" ถามไม่ละเอียดนี่ อาตมาตอบไม่บาปเลยก็ได้ คือ เนื้อสัตว์ที่เขาฆ่าแล้วและไปซื้อมา เราไปบังคับให้เขาฆ่าเมื่อไรละ ใช่ไหม...? "

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right width=68>ผู้ถาม : <TD>" ถ้าเราไม่กินเขาก็ไม่ฆ่า "

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right width=68>หลวงพ่อ : <TD>" ถ้าเขาไม่ฆ่าเราก็ไม่ซื้อ เราไม่ซื้อเขาก็ฆ่า เราไม่ซื้อคนอื่นซื้อ เขาก็ฆ่า ถ้าเราสั่งให้เขาฆ่าซิ "วันนี้ไก่ ๓ ตัวนะ" "วันนี้ขอหมูให้ฉัน ๑ ขานะ" "พรุ่งนี้จะแต่งลูกสาว เอาวัว ๓ ตัว หมู๓ ตัวนะ" อย่างนี้บาป ตั้งแต่เริ่มสั่ง พระยายมบันทึกแล้ว บันทึกตั้งแต่สั่งแล้ว ถ้าตายไปก่อน รับวัวรับหมูนะ ลงเลย "

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right width=68>ผู้ถาม : <TD>" ก็หมายความว่าบาปเฉพาะ คนสั่งฆ่า กับ คนฆ่า...! "

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right width=68>หลวงพ่อ : <TD>" คนไหนฆ่าสัตว์คนนั้นก็บาป คนไหนสั่งคนนั้นก็บาป เราซื้อที่เขาฆ่ามาขาย กินเท่าไรเราก็ไม่บาป เพราะไม่เป็นบาปพระพุทธเจ้าจึงไม่ห้าม ที่ไม่ห้ามเพราะว่าเขาฆ่าเป็นปกติอยู่แล้ว


    คำว่า บาป นี้แปลว่า ชั่ว บุญ แปลว่า ดี ทำชั่วแปลว่าบาป ทำดีเรียกว่าบุญ ทีนี้ชีวิตเขามีอยู่เราไปฆ่าเขา ชีวิตของเรา เราก็ไม่ต้องการให้คนอื่นเขาฆ่า ถ้าเราไปฆ่าเขาเราก็เป็นคนชั่ว ฉะนั้นถ้าเขาไปฆ่ามาแล้ว เราไปซื้อกิน อันนี้ไม่ชั่วเพราะไม่ได้สั่งให้เขาฆ่า แต่ว่าถ้าเอาเนื้อมาแล้วบอก "เฮ้ย พรุ่งนี้เพิ่มหน่อยซีเว้ย" ทีนี้เอาแน่ ต้องว่ากันอย่างนี้นะ "

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right width=68>ผู้ถาม : <TD>" มีคนเขาบอกว่า การฆ่าสัตว์ คนฆ่าไม่บาปเท่าไรแต่คนกินบาป และเขายังบอกอีกว่า ถ้าไม่กินแล้วใครจะฆ่า "

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right width=68>หลวงพ่อ : <TD>" คิดเอาเองมากกว่า คนกินเขาไม่ได้สั่งให้ฆ่า นี่เขาฆ่าขาย ถ้ามีขายเขาก็ซื้อกิน จะไปโทษคนกินเขาไม่ได้หรอก ถ้าคนกินสั่งให้เขาฆ่าอันนี้จึงบาป ไม่งั้นพระพุทธเจ้าคงจะห้ามพระฉันเนึ้อสัตว์ นี่เขาว่ากันเอาเอง ไม่ถูกหลักเกณฑ์อะไรหรอก พระพุทธเจ้าตรัสว่า



    <CENTER>"เจตนาหัง ภิกขเว กัมมัง วทามิ"
    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราถือเจตนาเป็นตัวกรรม"

    </CENTER>เจตนา แปลว่า ตั้งใจ ถ้าตั้งใจคิดจะฆ่าแล้วลงมือฆ่าอันนี้บาปแน่ "

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right width=68>ผู้ถาม : <TD>" ถ้ารับประทาน อาหารมังสวิรัติ จะตัดกิเลสได้ หรือเปล่าคะ...? "

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right width=68>หลวงพ่อ : <TD>" ถ้าตัดได้จริง พระพุทธเจ้าคงยอมตามที่พระเทวทัตขอพรแล้ว ฉันลองมา ๓ ปี เมื่อบวชใหม่ ๆ ฉันไม่กินเนื้อ
    สัตว์ด้วย แล้วฉันหนเดียวด้วย และฉันไม่บอกชาวบ้านด้วย ถ้าบอก ชาวบ้านก็ต้องทำอาหารลำบาก ก็ไปบิณฑบาตธรรมดา แต่เนื้อสัตว์เราไม่กิน บางวันไม่มีอะไรมาให้เลย ก็กินเกลือกับหัวหอมกินผักเป็นอาหาร ลองมา ๓ ปี ไม่เห็นกิเลสมันลดเลย แต่ว่าถ้าไม่กินได้นี่ดีนะ ฉันสรรเสริญ ถ้าเป็นฆราวาสนะ เพราะว่าจะได้ไม่กังวลเรื่องเนื้อสัตว์ จิตของเราก็ตัดบาปไปจุดหนึ่ง ใช่ไหม ...


    ในปฐมบัญญัติของสิกขาบท สังฆาทิเสส ข้อที่ ๑๐ มีเรื่องเล่าว่า พระเทวทัตเข้าไปหาพระโกกาลิกะ โอ้โฮ ... นี่อยู่อเวจีทั้งคู่ ใครไปอเวจี ไปมอง ๆ ดูนะ พระเทวทัตยีนกางแขนกางขา โกกาลิกะนั่งชันเข่า หอกเสียบสบาย ๆ แล้วก็พระกฏโมรกติสสกสะ พระที่เป็นบุตรของนางขัณฑเทวี และ พระสมุทททัต ชักชวนให้พระสงฆ์แตกกัน ใครบ้างล่ะ ... พระเทวทัต เป็นหัวหน้าโจก โกกาลิกะ รองประธาน พระกฏโมรกติสสกสะ และ พระสมุทททัตชักชวนให้สงฆ์แตกกัน พร้อมทั้งบอกแผนการที่จะเสนอแผนการให้เคร่งครัดยิ่งขึ้น มี ๕ ข้อ ซึ่งเข้าใจว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงไม่อนุญาต และตนจะนำข้อเสนอขึ้นประกาศแก่มหาชน

    ข้อเสนอ ๕ ข้อนั้น คือ อันนี้ฟังให้ดีนะ ข้อนี้ดีมาก เวลานี้คนที่ปฎิบัติผิดมีเยอะ ไปหลงผิดว่าไอ้ที่เราทำนี่ดีนี่หว่า ข้อเสนอของพระเทวทัต ๕ ข้อ</B> เวลานี้พระสาวกของพระเทวทัตก็มีเยอะเหมือนกัน ถือว่า ๕ ข้อ ที่พระเทวทัตขออนุญาตนี้ นึกว่าเป็นของดีกันนัก สงสารชาวบ้าน ข้อเสนอของเทวทัต ๕ ข้อ คือ

    ๑. ภิกษุพึงอยู่ป่าตลอดชีวิต เข้าละแวกบ้าน ต้องมีโทษ หมายความว่า พระทุกองค์ที่บวชแล้ว ห้ามเข้าหมู่บ้านโดยเด็ดขาด ต้องอยู่เฉพาะในป่า ห้ามโผล่หน้าเข้ามาในบ้าน

    ๒. ภิกษุถือบิณฑบาตเป็นวัตรตลอดชีวิต เป็นวัตร หมายถึง ปฎิบัติ ต้องบิณฑบาตตลอดชีวิต ผู้ใดรับนิมนต์ไปฉันตามบ้านต้องมีโทษ นี้เป็นความต้องการของพระเทวทัต รู้แล้วว่าทำไม่ได้ แต่แกล้งขอ

    ๓. ภิกษุพึงใช้ผ้าบังสุกุล หมายความว่าผ้าเปื้อนฝุ่น ผ้าเศษผ้าที่เขาทิ้งตามกองขยะบ้าง ตามที่ต่าง ๆ บ้าง ตามที่เขาพันผีไว้บ้าง นำมาซัก นำมาย้อม มาปะติดปะต่อเป็นจีวรจนตลอดชีวิต ผู้ใดรับจีวรที่ชาวบ้านถวายต้องมีโทษ

    ๔. ภิกษุพึงอยู่โคนไม้ตลอดชีวิต ผู้ใดเข้าที่มุงที่บังที่มีหลังคาต้องมีโทษ

    ๕. ภิกษุไม่พึงฉันเนึ้อสัตว์ ผู้ใดฉันต้องมีโทษ

    เห็นไหม ... การขอนี่เขาขอเพื่อเป็นการลบล้างไม่ใช่ทำได้ ภิกษุเหล่านั้นเห็นมีทางชนะร่วมด้วยว่า พระพุทธเจ้าแพ้แหง ๆ พระเทวทัตต้องชนะการเสนอญัตติแบบนี้ พระเทวทัตจึงได้เข้าไปเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลข้อเสนอ ๕ ประการนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

    "ดูก่อน เทวทัต ผู้ใดปรารถนาจะอยู่ป่า ก็จงอยู่ป่า
    ผู้ใดปรารถนาจะอยู่ในละแวกบ้าน ก็จงอยู่ในละแวกบ้าน
    ผู้ใดปรารถนาจะเที่ยวบิณฑบาต ก็จงเที่ยวบิณฑบาต
    ผู้ใดปรารถนาจะใช้ผ้าบังสุกุล ก็จงใช้ผ้าบังสุกุล
    ผู้ใดปรารถนาจะใช้ผ้าไตวจีวรจากฆราวาสถวาย ก็จงรับได้
    เราอนุญูาตที่นอนที่นั่ง ณ โคนไม้ตลอด ๘ เดือน หมายความว่าที่ไม่ใช่ฤดูฝน เป็นฤดูหนาว หรือฤดูแล้ง ถ้าจะไปยังงั้นก็ได้

    เราอนุญาตเนื้อสัตว์ที่บริสุทธิ์โดย ๓ ส่วน คือ
    ๑. ไม่ได้เห็นเขาฆ่า
    ๒. ไม่ได้ยินเขาฆ่าเพื่อถวายพระ
    ๓. ไม่ได้รังเกียจคิดว่า เนื้อสัตว์นึ้น่ากลัวเขาฆ่าเพื่อเรา เช่น เขาฆ่าเจาะจงเพื่อจะให้ภิกษุบริโภค

    พระเทวทัตดีใจที่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ยอมรับสมเจตนาจึงได้เที่ยวประกาศให้เห็นว่า พระพุทธเจ้าไม่ยอมอนุญาตข้อเสนอที่ดีของตน ทำให้คนที่มีปัญญาทราม คนไร้ปัญญูาบางคนเห็นว่า พระสมณโคดมเป็นผู้มักมาก

    โอ้โฮ ... ดีจริง ๆ นะ พระผู้มีพระภาคเจ้ามักมากแล้วใครจะมักน้อยอีก แต่คนที่เข้าใจเรื่องดี กลับติเตียนพระเทวทัตเอาแล้วซิ ... นี่พระไม่ดีทำให้ชาวบ้านแตกกัน ความทราบถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้เรียกประชุมสงฆ์ ไต่สวนพระเทวทัตเป็นสัตย์แล้ว จึงได้ทรงติเตียนและทรงบัญญัติสิกขาบทว่า

    "ห้ามภิกษุพากเพียรเพื่อทำลายสงฆ์ให้แตกกัน เมื่อภิกษุอื่นห้ามไม่ฟัง ภิกษุทั้งหลายพึงสวดประกาศเป็นการสงฆ์เพื่อเลิกข้อประพฤตินั้นเสีย ถ้าสวดถึง ๓ วาระยังไม่เลิก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส"

    จำไว้ให้ดีนะ นี่บท ๕ ข้อนี้ ทวนเสียอีกทีนะ

    ๑. ภิกษุพึงอยู่ป่าตลอดชีวิต เข้าละแวกบ้านต้องมีโทษใครเขาจะทำ
    ๒. ภิกษุพึงถือบิณฑบาตเป็นวัตรตลอดชีวิต ถูกรับนิมนต์ฉันตามบ้านต้องมีโทษ
    ๓. ภิกษุพึงใช้ผ้าบังสุกุล คือ ผ้าเปื้อนฝุ่น ผ้าเศษผ้าที่เขากองทิ้งไว้ หรือผ้าห่อผีห่อคนตายตลอดชีวิต ถ้ารับผ้าที่เขาถวายต้องมีโทษ
    ๔. ภิกษุต้องอยู่โคนไม้ตลอดชีวิต ตลอดฤดูน้ำฤดูฝนไม่รู้ ถ้าเข้าบ้านที่มีหลังคาต้องมีโทษ
    ๕. ภิกษุไม่ฉันเนื้อสัตว์ ผู้ใดฉันมีโทษ

    ทั้ง ๕ ข้อนี้พระพุทธเจ้าไม่อนุญาตนะ
    เมื่อเห็นคนด้วยเมื่อเจอะพระเขาทำอย่างนี้นะละก็ญาติโยม อย่าถือว่าเขาเป็นคนเคร่งครัดนะ ต้องถือว่าเขาเป็นคนละเมิดพระดำรัสสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็แล้วกัน ... "

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right width=68>ผู้ถาม : <TD>" กระผมเป็นฆราวาสกินอาหารมื้อเดียว ทำอย่างนี้โดยตลอด ไม่ทราบว่าจะมีอานิสงส์เป็นไปข้างหน้าอย่างไรครับ ... ? "

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right width=68>หลวงพ่อ : <TD>" อานิสงส์ปัจจุบัน คือ

    ๑. เปลืองอาหารน้อย เพราะกินเวลาเดียว
    ๒. มีเวลาทำงานมากขึ้น ข้างหน้าต่อไปอานิสงส์ใหญ่ คือตาย
    ... ก็แค่กินเวลาเดียวยังวัดฐานะอะไรไม่ได้เลย อย่าไปนึกว่ามันดีเด่นกับใครเขานะ กินเวลาเดียว กิน ๒ เวลา กิน ๓ เวลา มีความหมายเสมอกัน สำคัญว่า "ใจตัดกิเลสได้หรือเปล่า" เขาเอากันตรงนั้น ถ้าถือแค่กินนี่มันเป็นมานะทิฏฐิ เป็นกิเลสหยาบมาก อีกอย่างหนึ่งตายเร็วมาก อย่าไปนึกว่าดีนะ และถ้านั่งคุยว่านี่ฉันกินเวลาเดียว เสร็จเลย โอ้อวด นี่เป็นมานะกิเลสพังเลย "

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right width=68>ผู้ถาม : <TD>" อย่างนี้แทนที่จะไปดี ก็เลยไป... "

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right width=68>หลวงพ่อ : <TD>" ก็ไปดี หมายความว่าก่อนจะไปก็เปลืองน้อย เพราะฉะนั้นอย่าถือเป็นเรื่องสำคัญนะ ไอ้กินเวลาเดียว ๒ เวลา กินเนื้อสัตว์ ไม่กินเนื้อสัตว์ นี่ อย่านะ อย่าถือเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าคนที่ไม่กินเนื้อสัตว์ต้องตอบอย่าง หลวงปู่แหวน เคยมีคนมาเล่าให้ฟัง มีคนหนึ่งแกบอกหลวงปู่แหวนว่า
    "เวลานี้ผมถือมังสวิรัติครับ ไม่กินเนื้อสัตว์"
    หลวงปู่แหวนท่านบอก
    "ไอ้วัวควายกินหญู้าตั้งนาน ไม่เห็นเป็นพระอรหันต์ซักตัว"

    ตอบนำสมัย ไม่ไช่ทันสมัย ถ้าเรื่องเป็นความจริงตามนั้น แต่การกินไม่มีความหมายในการปฎิบัติ แต่ปฎิบัติจริง ๆ มันขึ้นอยู่กับ

    ๑. เข้าถึงสะเก็ดพระศาสนาแล้วหรือยัง
    ๒. เข้าถึงเปลือก เข้าถึงกระพี้ เข้าถึงแก่นแล้วหรือยัง
    เข้าถึงแก่นนี่ยังใช้ไม่ได้นะ ยังเป็นเหยื่อของอบายภูมิ จะต้องเข้าถึงพระโสดาบันเป็นอย่างต่ำ เขาวัดกันตรงนี้ อย่าไปวัตกันแค่กิน "

    <TR vAlign=top><TD align=right width=68>ผู้ถาม : <TD>" คนทำบุญให้ทานที่กินเนื้อสัตว์ กับคนทำบุญให้ทานที่ไม่กินเนื้อสัตว์ อันไหนจะได้อานิสงส์มากกว่ากันคะ ... ? "

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right width=68>หลวงพ่อ : <TD>" อานิสงส์แบบไหนล่ะ อานิสงส์ไปนรก หรืออานิสงส์ไปสวรรค์ อานิสงส์มันมี ๒ อย่าง ทำบาปก็มีอานิสงส์จะลงขุมไหนแน่ ถ้าทำบุญก็มีอานิสงส์ อย่างเลวก็ไปสวรรค์ อย่างกลางไปพรหม อย่างดีที่สุดไปนิพพาน คนที่ไม่ทำบุญเลยแม้ไม่กินเนื้อสัตว์ก็มีสิทธิ์ไปอยู่กับเทวทัตได้ มีไหมคนไม่ทำบุญเลย คนที่ทำบุญไม่กินเนื้อสัตว์ อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์นะ พระที่ฉันเนื้อสัตว์ไปนิพพานนับไม่ถ้วน เขาไม่ได้กินสัตว์เป็น เขาซื้อมากินไม่มีบาป "

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right width=68>ผู้ถาม : <TD>" ที่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็เพราะว่าไปมองเห็นเนื้อสัตว์แล้วมีเลือดมีคาว เลยกินไม่ได้เจ้าค่ะ "

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right width=68>หลวงพ่อ : <TD>" อย่างนี้ไม่เป็นไร ถ้าเห็นว่าสกปรกเป็น อาหาเรปฏิกูลสัญญาอันนี้เป็นปัจจัยให้บรรลุพระอนาคามีหรือพระ อรหันต์ นี่เป็นพื้นฐานใหญู่นะ ถ้าเห็นแบบนั้นเกิดนิพพิทาญาณแล้ว นิพพิทาญาณเป็นปัจจัยให้ได้พระอนาคามี ต่อไปถ้าเว้นจริงเป็นสังขารุเปกขาญูาณ เป็นอรหันต์ คนที่จะเป็นอรหันต์ได้ ถ้าไม่คล่องในบทนี้เป็นไม่ได้ มี กายคตานุสสติ กับ อสุภกรรมฐานเป็นพื้นฐาน


    พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ในสมัยพุทธกาล ไม่เสวยและฉันเนื้อสัตว์ เป็นต้น

    ๑. ต้องไม่ฉันเนื้อสัตว์ ๑๐ ประการ มีเนื้อมนุษย์ เป็นต้น

    ๒. เนื้อนั้นจะต้องเป็นปวัตตมังสะ คือ ที่เขาขายแกงกินกันตามปกติของเขา โดยพระไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้รังเกียจสงสัยว่าเขาฆ่าเนื้อเจาะจงถวายตน
    ๓. ก่อนการฉันอาหารเนื้อทุกคราว จะต้องพิจารณาเสียก่อนเพื่อป้องกันไม่ไห้ฉันเนื้อต้องห้ามข้างต้น "



    ที่มาhttp://www.putthawutt.com/html/menu.html

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. oat_thai

    oat_thai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2006
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +106
    ในการรับประทานอาหารแต่ละมื้อย่อมมีเนื้อสัตว์ หรือส่วนประกอบต่างๆของสัตว์เจือปนอยู่แล้ว ถ้าในช่วงจะรับประทานนั้น เราอธิฐานในใจ(คิดในใจ)ว่า เราไม่ได้ทานอาหารอย่างนี้เพื่อความอร่อย ไม่ได้ทานเพื่อความสนุก แต่เราทานเพื่อความการดำรงชีพ และเพื่อให้มีแรงกาย แรงใจในการบำเพ็ญธรรม เจริญกรรมฐาน อย่างนี้จะได้มั้ยครับ
     
  3. sonthya

    sonthya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,489
    ค่าพลัง:
    +8,797
    ใกล้จะกินเจแล้วครับ
     
  4. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    ถ้ากินเป็นและทำให้ถูกต้อง คือไม่ไปสั่งให้เขาฆ่าสัตว์เพื่อเรา ก็ไม่เป็นบาป
    กินแล้วควรแผ่เมตตาให้สัตว์ที่เรากินเนื้อเขาและพิจารณาเป็นอาหาเรปฏิกูลสัญญา
    เป็นการกินที่ได้บุญได้กุศลจากการพิจารณา แต่ถ้าไม่กินเนื้อสัตว์หรือกินมื้อเดียว
    แล้วจิตมีมานะทิฏฐิ โอ้อวดว่าดีกว่าคนอื่น หลวงพ่อว่าเป็นมานะกิเลส

    สาธุ ขออนุโมทนากับทุกท่านที่กินเป็นครับ
     
  5. หงษ์

    หงษ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +821
    ขอร่วมอนุโมทนากระทู้ที่อย่างสูงเจ้าค่ะิ สาธุ พอกินอิ่มแล้วจะขอบคุณพระแม่โพธิ์สพ และโอนบุญออกให้สรรพสัตว์ทั้งหลายที่เรากิน ไม่ว่าจะอยู่ในผักหรืออาหารที่กินเข้าไปทุกๆตัว :boo:ด้วยทุกครั้งเจ้าค่ะ
     
  6. ร่ายไร้พัก

    ร่ายไร้พัก สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +4
    "วัวควายมันก็กินแต่หญ้า ยังไม่เห็นบรรลุอรหันต์ซักตัว"...
    โดนเลย อนุโมทนาขอรับ
     
  7. andente

    andente เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +101
    อนุโมทนาครับ ทานพวกเขาแล้วอย่าลืมแผ่ส่วนบุญให้พวกเขาด้วยละ
     
  8. anoldman

    anoldman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    1,950
    ค่าพลัง:
    +4,558
    สาธุๆ

    ลูกหลานขอกราบพ่อแม่ครูอาจารย์ที่เคารพ ขอรับ

    ขออนุโมทนาครับ


    ______________________________
    hello9
    กลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ สายอีสาน
    กลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ สายอีสาน มารายงานตัวกันหน่อยครับ<!-- google_ad_section_end -->
     
  9. cmhadtong

    cmhadtong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2008
    โพสต์:
    429
    ค่าพลัง:
    +2,040
    สำคัญว่า "ใจตัดกิเลสได้หรือเปล่า"
    ชัดเจนดีมากเลยครับกับคำนี้
    อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ
     
  10. Jeerachai_BK

    Jeerachai_BK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    318
    ค่าพลัง:
    +821
    ขอบคุณครับ สำหรับบทความที่ดีๆ

    [​IMG]
     
  11. แว๊ด

    แว๊ด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    982
    ค่าพลัง:
    +509
    <TABLE cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD align=right width=68>หลวงพ่อ : <TD>" อย่างนี้ไม่เป็นไร ถ้าเห็นว่าสกปรกเป็น อาหาเรปฏิกูลสัญญาอันนี้เป็นปัจจัยให้บรรลุพระอนาคามีหรือพระ อรหันต์ นี่เป็นพื้นฐานใหญู่นะ ถ้าเห็นแบบนั้นเกิดนิพพิทาญาณแล้ว นิพพิทาญาณเป็นปัจจัยให้ได้พระอนาคามี ต่อไปถ้าเว้นจริงเป็นสังขารุเปกขาญูาณ เป็นอรหันต์ คนที่จะเป็นอรหันต์ได้ ถ้าไม่คล่องในบทนี้เป็นไม่ได้ มี กายคตานุสสติ กับ อสุภกรรมฐานเป็นพื้นฐาน

    .................................


    อนุโมทนาค่ะ .....
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. ศุภผลธนภัทร

    ศุภผลธนภัทร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    265
    ค่าพลัง:
    +548
    วัวควายกินหญ้า นั้น ถูกต้อง ตามหลักสรีระ ของเขาแล้วถูกต้องครับ

    แต่ตามที่นักวิทยาศาสตร์ ได้วิเคราะห์มา คน คือ สัตว์ ที่ไม่บริโภคเนื้อ นะครับ

    เพราะ สัตว์ที่บริโภคเนื้อ จะมีลำไส้สั้น มีเขี้ยวเล็บแหลมคม มีน้ำย่อย ที่มีฤทธิ์ เป็น กรด มาก ที่สามารถ ย่อย เนื้อได้ และ อีกหลายๆ ประเด็น ที่ คน ไม่ได้ มีคุณสมบัติ เป็น สัตว์กินเนื้อเลย

    ตรงกันข้าม คนมีคุณสมบัติ ที่เป็นสัตว์ กินพืช อย่างแท้จริง

    แต่ความเคยชิน ที่ เคยชินกันมาตั้งแต่อดีต ทำให้ คนเลี้ยง เด็กที่โตมาด้วย

    เนื้อสัตว์ คนจึงเคยชิน ว่า คนคือ สัตว์ กินเนื้อ อย่างแท้จริง คนที่กินเนื้อ

    อย่างประจำ จึงมักจะ กล่าวถึงคนบางคนที่ไม่บริโภคเนื้อ กิน เจตลอด

    คือ พวกนอกรีต บ้าง พวก เทวทัต บ้าง

    อันนี้ไม่ทราบเพราะ เกิดไม่ทันยุคนั้น เข้าใจว่า คนที่กล่าว ก็คงเกิดไม่ทันเช่นกัน

    แล้ว หลาย คนทราบได้อย่างไรว่า พระสมนะโคดม เป็น พระที่ฉันเนื้อ

    ท่านเกิดกันทันเหรอ พระพุทธเจ้า บอกเองว่้า อย่าเชื่อ สิ่งที่เขาเล่ากันมา

    อย่าเชื่อเพราะ คนเล่า คนบอก เป็นครูเรา

    ให้เชื่อ ตนเอง ท่านกินเนื้อ ก็ ส่งเสริมให้เกิดการฆ่า กันมากขึ้น ท่านเอาชีวิต คนอื่น มาต่อชีวิตท่าน หากกลับกันละ สัตว์ เข้ามาในเมือง แล้วมาเอาชีวิต คนในครอบครัวท่าน หรือ

    ตัวท่านเองไปเป็นอาหารเพื่อต่อชีวิตมันละ ท่านจะเห็นเป็นเรื่องปกติไหม

    คิดดูเอง แล้วกัน ว่า กิน แบบไหน ที่เบียดเบียนน้อยที่สุด อย่าเพิ่งไปคิดถึง บาปบุญคุณโทษเลย

    เพราะคนอื่นฆ่าสัตว์เพื่อนำมาให้ท่านกิน ท่านก็มีส่วนในความผิด ศีลข้อ 1 แล้วละ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ตุลาคม 2009
  13. nanodent

    nanodent เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,730
    ค่าพลัง:
    +943
    "เจตนาหัง ภิกขเว กัมมัง วทามิ"
    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราถือเจตนาเป็นตัวกรรม"

    บาป/บุญอยู่ที่เจตนา

    ขออนุโมทนาด้วยคนครับ
     
  14. jake009

    jake009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +285
    คิดว่า สำหรับฆราวาสแล้ว การไม่กินเนื้อ นั้น เป็นสิ่งที่ดีมากที่เดียว แต่หากเป็นพระสาวกของพระผู้มีพระภาคแล้ว นั้น หากบัญญัติเป็นข้อห้าม ป่านนี้จะเหลือ พระสาวก สักกี่รูป เพราะจะลำบากในเรื่องฉันมาก แต่ใช่ว่า พระที่ตั้งใจจะฉันเจนั้นจะไม่ดีนะ ดีมากด้วย ดีสองต่อ คือพอดีรู้จักกับพระที่ฉันเจ ที่นี่เรานับถือท่านต้องการจะถวายอาหารท่าน เราก็ต้องทำอาหารเจ ที่นี้ทำครั้งเดียว ได้ถวายด้วย ส่วนที่เหลือจากการถวายก็ไว้กินเอง ก็อานิสงส์ของท่านก็สองต่อ คือไม่ฉันเอง และยังเป็นเหตุให้ผู้อื่นไม่กินด้วย
    แต่ก็นั่นแหละ เรื่องกินเป็นเรื่องเล็กมาก แต่หากตั้งใจที่จะกินเจ เพื่อเจริญเมตตาแก่สัตว์ทั้งหลายนั้น ถือว่า บุญที่ได้จริงๆ คือ ความเมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายมากกว่า การติดอยู่แต่เรื่องกิน
     
  15. jake009

    jake009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +285
    ที่นี่ การกินเนื้อนั้น ถ้าเรากินโดยพิจารณาว่า กินเพื่ออะไร ถ้ากินเพื่ออยู่สร้างความดี
    เราก็สามารถ อุทิศส่วนแห่งความดีที่เราได้สร้าง ให้แก่เนื้อสัตว์ที่เราได้กิน( สัตว์ที่ไม่ได้ฆ่าเอง ไม่ใช้ให้คนอื่นฆ่า ) บางที่บุญที่เราอุทิศให้ ผลยังให้สัตว์เหล่านั้นพ้นจากการที่ต้องเกิดเป็นสัตว์เร็วขึ้นก็ได้ และบุญที่เขาจะได้รับนั้น ก็เป็นบุญที่เขา(สัตว์เหล่านั้น) ก็มีส่วน เพราะเขามาเป็นอาหารให้เรายังชีพอยู่ได้เพื่อสร้างความดี
     
  16. อนันตา.

    อนันตา. ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +105
    เรื่องนี้ ช่วยไขความกระจ่างเรื่องทานกินมังสวิรัติที่ผมได้ทดลองปฎิบัติมาสักพักหนึ่ง (ประมาณครึ่งปี) ด้วยการที่วันหนึ่งเพื่อนชวน ผมเห็นว่าดี ถึงยังไม่รู้ที่มาที่ไปนักเถอะ เห็นว่าไม่ต้องกินสัตว์อื่น ก็น่าจะสบายใจดี ก็เลยทานมาตั้งแต่นั้นโดยไม่คิดถึงเหตุ และผลอะไรเท่าไหร่

    กระทู้นี้ ทำให้ผมได้เข้าใจในสิ่งที่ทำอยู่ ดีจริงๆ เลยครับ ถึงแม้ว่าจะยังคงกินมังสวิรัติต่อไปอยู่ จนกว่าจะเข้าใจอีกซักหน่อย และรู้สึกพอ... เพราะตั้งใจไปแล้วครับ

    อนุโมทนา สาธุครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...