"พระคาถา" และ "พิธีกรรม" (สมบัติพ่อให้)

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย gatsby_ut, 10 กันยายน 2010.

  1. gatsby_ut

    gatsby_ut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +14,291
    ประมวลพระคาถาและพิธีกรรม

    [​IMG]


    คาถาต่างๆ ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อบอกแก่ศิษย์นั้น ส่วนใหญ่เป็นคาถาที่ท่านได้จากกรรมฐาน และท่านเจ้าของคาถาให้บอกต่อได้ ท่านบันทึกไว้ว่า

    “นักเจริญสมาธิถึงอารมณ์ฌานและทรงฌานได้ มีประเพณีที่ทราบกันว่า จะต้องเห็นและรับการศึกษาจากท่านที่เป็นอทิสมานกายเสมอ จนมีระเบียบว่า เมื่อก่อนจะทำกรรมฐานต้องเตรียมกระดาษดินสอไว้ เมื่อท่านบอกอะไรต้องรีบจด อย่าให้ค้างคืนถึงสว่างจะลืมคาถาบางตอน ถ้านักทรงฌานไม่พบเรื่องอย่างนี้ จะเป็นเรื่องทรงฌานที่แปลกมาก อาจจะเป็นฌานเก๊ก็ได้”

    พิธีกรรมต่างๆที่เนื่องในชีวิตประจำวัน และเป็นประเพณีไทยแต่เดิมมา รวมทั้งพิธีที่เนื่องด้วยพระพุทธศาสนามีอยู่มาก พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้นำมาอธิบายให้ศิษย์ได้เข้าใจถึงวัตถุประสงค์ และที่มาของพิธีกรรมเหล่านั้น ทำให้ได้เห็นความฉลาดของคนไทยในอดีต

    นอกจากนี้พระเดชพระคุณท่านยังได้สอนวิธีใช้หรือวิธีทำโดยละเอียด และให้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการดำรงชีวิตต่อตนเอง ญาติมิตรและเพื่อนฝูง พิธีกรรมเหล่านี้ยังมีเรื่องปลีกย่อย และการสงเคราะห์เฉพาะเป็นบางครั้งบางคราวที่หลวงพ่อทำให้อีกมาก เช่น การแก้โรคไหลตาย, การป้องกันไฟไหม้บ้าน, การแก้กรรมต่างๆ ฯลฯ เป็นต้น

    คาถาต่างๆที่โบราณาจารย์ทั้งหลาย ท่านถ่ายทอดให้ศิษย์โดย "มุขปาฐะ" (เป็นการบอกเล่า) ทั้งนี้เนื่องจากเหตุผลหลัก ๓ ประการคือ

    ๑. คาถาที่ถ่ายทอดให้เป็นคาถาเฉพาะสำหรับหมู่คณะหรือเฉพาะกลุ่ม เช่น คาถาประจำตระกูล เป็นต้น ซึ่งผู้อื่นนำไปใช้จะไม่บังเกิดผล (เพราะท่านเจ้าของคาถาท่านตั้งเจตนาไว้เฉพาะเช่นนั้น)

    ๒. การใช้คาถาให้บังเกิดผลนั้น จะต้องมีศรัทธาความเชื่อมั่นและคารวะ ความเคารพเป็นพื้นฐาน ดังนั้นถึงแม้คาถานั้นๆจะเป็นสาธารณประโยชน์ แต่ถ้าผู้นำไปใช้ไม่มีศรัทธาคารวะ คาถานั้นๆก็ไม่อำนวยผล

    ๓. คาถาจำนวนมากมีที่มาจากองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตรง หรือมาจากพระอรหันต์เจ้าและพระอริยบุคคลทั้งหลาย พรหม และเทพยดาทั้งหลาย ดังนั้นถ้าบอกกล่าวกันไปเป็นสาธารณะ ก็จะมีผู้ได้ยินได้ฟังที่ไม่มีศรัทธาเลื่อมใสอยู่บ้าง ถ้าเขาเหล่านั้นเป็นคนใจพาล ตำหนิติเตียนคาถา หรือที่มาของคาถาเหล่านี้ ว่าทำให้ผู้คนงมงายฯลฯ ก็เท่ากับเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยโดยตรง มีโทษหนัก

    ดังนั้นการพิมพ์เผยแพร่หรือบอกกล่าวคาถาเป็นสาธารณะนั้น จึงเป็นดาบสองคม อำนวยประโยชน์ก็ได้ ให้โทษก็ได้ โบราณาจารย์ทั้งหลายจึงไม่เผยแพร่คาถาเป็นสาธารณะ บอกให้เฉพาะหมู่ศิษย์เท่านั้น พระเดชพระคุณหลวงพ่อของเรา เมื่อท่านจะบอกคาถาให้ใคร ท่านจะกำชับเสมอว่า

    "..อย่าพูดมากไป อาจจะเป็นโทษแก่ผู้อื่นได้.."

    คำเตือนสำหรับท่านผู้อ่าน

    การนำคาถาและพิธีกรรมต่างๆมาประมวลไว้ ณ ที่นี้ ก็เพื่อประโยชน์ของบรรดาศิษยานุศิษย์ และสาธุชนทั้งหลายที่มีศรัทธาเลื่อมใสในพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเจ้าคุณพระ ราชพรหมยาน (วีระ ถาวโรมหาเถระ) โดยเฉพาะ ถ้า ท่านไม่มีความเชื่อในเรื่องเหล่านี้ และบังเอิญมาอ่านพบเข้า ขอให้ทำใจเป็นอุเบกขา หรือให้ข้ามไปเสีย อย่าอ่าน ถ้าท่านอยากอ่านและเมื่อได้อ่านแล้วก็ไม่เชื่อไม่เลื่อมใส ก็ขอให้วางใจเป็นกลางอย่าได้ประมาทปรามาสล่วงเกินเข้าจะเป็นโทษ

    ***********************************


    ประมวล "พระคาถา" และ "พิธีกรรม" ของวัดท่าซุง (สมบัติพ่อให้)

    [MUSIC]http://audio.palungjit.org/attachment.php?attachmentid=375[/MUSIC]​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 กันยายน 2010
  2. gatsby_ut

    gatsby_ut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +14,291
    [​IMG]

    คาถาคงกระพันชาตรี

    พุทธังคงหนัง ธัมมังคงเนื้อ สังฆังคงกระดูก

    หลวงพ่อให้แก่ทหารนาวิกโยธิน อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี คราวไปเยี่ยมเยียนเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙

    ***********************************
    พระคาถาของสมเด็จพระพุทธกัสสป

    หลวงพ่อบอกคาถาบทนี้ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๒๐ คาถาบทนี้ ท้าว เวสสุวัณ มาให้ ท่านบอกว่าให้สวดมนต์ไว้ทุกคืน ก่อนอื่นให้ระลึกถึงบารมีของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ อันมี สมเด็จ พระพุทธกัสสป ทรงเป็นประธาน เพราะท่านเป็นเจ้าของพระคาถานี้

    พุทธัง มัดจิต ธัมมัง มัดใจ ศัตรูทั้งหลาย จงวินาศสันติ
    พุทธัง มัดจิต ธัมมัง มัดใจ โรคภัยทั้งหลาย จงวินาศสันติ

    บทในบรรทัดที่ ๒ นี้รักษาโรค ท่านบอกว่าเสกน้ำให้กิน เสกอะไรให้กิน เสกข้าวให้กินก็ได้นะ แม้แต่ยาพิษมันก็สลายตัว

    ***********************************

    อีกบทหนึ่งของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน

    ฆะเตสิ ฆะเตสิ กิงกะระณัง ฆะเตสิ อะหังปิตัง ชานามิ ชานามิ

    ทั้ง ๓ บทนี้ ท่านให้สวดพร้อมกันเลย เวลาฉันข้าวก็เสก กลางคืนก็ให้ภาวนาไว้นะ ภาวนาไว้สักครู่ เช้าเย็นอะไรนี่นะ ท่านบอกว่าศัตรูจะพินาศไปเอง
    สำหรับบทหลังศัตรูทำอะไรไม่ได้ จะทำอะไรแล้วเราจะต้องรู้อยู่เสมอ
    บทกลางนะทำลายโรค ไอ้ทำลายโรคนี่ดีใช่ไหม เสกข้าวนะ ข้าวที่เราจะฉัน เสกซะหมด และคนอื่นกินก็เป็นยาไปหมด ให้เป็นยาสำหรับคนอื่นด้วยนะ ดีไหม ถ้าเห็นว่าดี ถ้าคุณจะให้ศึกษานี่นะ ถ้าจะใช้รักษาโรค คุณจะต้องหาดอกบัวมา ๓ ดอก ธูป ๕ ดอก เทียน ๑ เล่ม บูชาขอท่านต่อพระพุทธรูป

    ถ้าใครต้องการจะให้เรารักษา ต้องบังคับให้เขาเอาดอกบัวมา ๓ ดอกนะ ธูป ๕ เทียน ๑ เล่ม เสกน้ำมนต์ เสกอะไรๆ ให้กินได้ นั่งทำก็ได้ นอนก็ได้ ภาวนาให้เป็นฌาน เป็นฌานในกรรมฐานภายในตัวเสร็จ อย่าลืมนะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เกาะก็ได้ผลเท่ากันเป็นฌาน

    ***********************************
    คาถาเสกน้ำล้างหน้าเพื่อเห็นอมนุษย์

    ตั้งนะโม ๓ จบ แล้วว่า "พุทธาโมยะ นะ"

    เมื่อเสกน้ำล้างหน้าแล้ว ท่านให้นั่งภาวนาคาถาว่า ดังนี้
    อะสูญ มะสูญ สูญทิพย์สูญ อะพุทธัง ปัจจักขามิ เตติปิภาวัง อุทาสะ โกติมัง ทาเรจะ
    อะสูญ มะสูญ สูญทิพย์สูญ อะธัมมัง ปัจจักขามิ เตติปิภาวัง อุทาสะ โกติมัง ทาเรจะ
    อะสูญ มะสูญ สูญทิพย์สูญ อะสังฆัง ปัจจักขามิ เตติปิภาวัง อุทาสะ โกติมัง ทาเรจะ
    ต้องอธิษฐานขอเห็นก่อนว่าจะพบใคร แล้วจึงจะภาวนา จนจิตถึงอุปจารสมาธิ จึงจะเห็นภาพได้ ท่านให้ไว้เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๘ (ท่านให้ก่อนที่จะมีการฝึกสอนวิชามโนมยิทธิ ปัจจุบันได้มโนมยิทธิกันแล้ว จึงไม่ได้ใช้คาถากันอีกเลย)

    ***********************************
    คาถาของหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค
    คาถากันฟ้าผ่า

    อากาเสจะ พุทธทีปังกะโร นะโมพุทธายะ

    คาถากันไฟไหม้ และคาถากันฟ้าผ่านี้ ท่านพิมพ์เป็นใบปลิวแจกในขณะที่อยู่วัดสะพาน ท่านพิมพ์ไว้ว่า คาถานี้ของหลวงพ่อปาน ท่านให้บูชาไว้ทุกวันๆ ละ ๓-๕-๗-๙ จบ ท่องทุกเช้าค่ำ จะปลอดภัยจากไฟไหม้และฟ้าผ่า

    ต่อมาเมื่อหลวงพ่อมาอยู่ที่วัดท่าซุงแล้ว ท่านให้ใช้เฉพาะ “โส นามะ ยักโข” เท่านั้น โดยกล่าวว่า “ให้เขียนเป็นภาษาไทยไว้บนหัวนอน สวดมนต์กราบไหว้อยู่เสมอ ไฟไม่ไหม้ ฟ้าไม่ผ่า และกันนิวเคลียร์นิวตรอนได้ด้วย”

    ***********************************

    คาถากันไฟไหม้

    พะระโส นามะยักโข เมตตะทันตะ ปะริวาสะโก อสุนีหะเต โหตุ เต ชะยะมังคะลานิ


    ***********************************

    คาถามหาอำนาจ

    (ใช้เสกน้ำล้างหน้าทุกวันตอนเช้า แล้วจะมีอำนาจเป็นที่ยำเกรงของคนทั้งปวง)

    เอวัง ราชะสีงโห มะหานาทัง สีหะนาทะกัง
    สีหะนะ เม สีละเตเชนะ นามะ ราชะสีงโห
    อิทธิฤทธิ พระพุทธังรักษา สารพัดศัตรู อะปะราชะยัง
    อิทธิฤทธิ พระธัมมังรักษา สารพัดศัตรู อะปะราชะยัง
    อิทธิฤทธิ พระสังฆังรักษา สารพัดศัตรู อะปะราชะยัง

    ***********************************
    คาถาเสกผ้าเช็ดหน้า

    คาถาสำหรับเสกผ้าเช็ดหน้า เสกเช้ามืด ๓ เที่ยว ๗ เที่ยว ๓ คืน อธิษฐานใช้ได้ต่างๆ ผู้ที่เอาไปใช้ห้ามไม่ให้ลัก ไม่ให้ปล้น ไม่ให้กินเหล้า จึงจะมีคุณต่างๆ

    ๑. "วิวีพุทโธอิติ" ภาวนาเวลาหลงทาง เอาหลังพิงต้นไม้ จะเห็นหนทางโดยเทวดานำทางให้
    ๒. "เจจะตัง" ทำไส้เทียนจุดกลางฝนไม่ดับ (เป็นคาถาแคล้วคลาด)

    ***********************************

    คาถามหาประสานใหญ่ (ของครูผึ้ง อายุ ๑๐๐ ปี)

    วะโรวะรัญญู วาระโท วะราหะโร อะนุตตะโร ธัมมะวะรัง อะเทสะยิ

    (ว่า ๓ เที่ยว ๗ เที่ยว)
    เมื่อจะประสานให้เอาใบตองปิดบนแผลเสียก่อน แล้วจึงว่าคาถาหลับตาเป่าลงไปในใบตอง (เวลาว่าให้กลั้นใจ) แก้กลิ่นตัวไม่มีอีกด้วย ให้สวดมนต์ไว้ทุกวัน

    ***********************************

    คาถาทำน้ำมนต์แก้เวทมนต์คาถา

    นะ คังคัง ปัญจะมัง มะหาสมุททัง สัพพะสิทธัง ภะวันตุ เม
    โม คังคัง ปัญจะมัง มะหาสมุททัง สัพพะสิทธัง ภะวันตุ เม
    พุท คังคัง ปัญจะมัง มะหาสมุททัง สัพพะสิทธัง ภะวันตุ เม
    ธา คังคัง ปัญจะมัง มะหาสมุททัง สัพพะสิทธัง ภะวันตุ เม
    ยะ คังคัง ปัญจะมัง มะหาสมุททัง สัพพะสิทธัง ภะวันตุ เม

    สำหรับทำน้ำมันต์แก้เวทมนต์คาถาที่ร้อนรุ่ม ถ้าจะทำให้สำหรับตัวของเราเองให้ว่า "เม" เป็น "เต"

    ***********************************
    คาถาอาราธนาพระเครื่องของหลวงพ่อวัดท่าซุง

    อิทธิฤทธิ พุทธะนิมิตตัง ขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะ จงมาเป็นที่พึ่งของ มะอะอุ ณ กาลบัดนี้เถิด
    (ว่า ๓ จบ)

    (ก่อนจะว่าคาถาให้ ตั้งนะโม ๓ จบก่อน แล้วยกพระเครื่องขึ้นพนมมือ อาราธนาคาถาตามที่กล่าวแล้ว ก่อนจะออกจากบ้านทุกครั้ง)

    ***********************************

    คาถาอาราธนาผ้าธงมหาพิชัยสงคราม

    พุทธะ สังมิ (ว่า ๓ จบ)

    (เป็นคาถาที่ท่านพิมพ์แจกมานานแล้ว ภายหลังท่านให้ใช้ "อิทธิฤทธิ" แทน แต่ผู้เขียนยังใช้ "พุทธะ สังมิ" ทุกครั้งก่อนเดินทาง โดยเสกน้ำลายกลืนทุกครั้งที่ภาวนาคาถานี้)

    ***********************************

    คาถาโรยทรายเสก (ของวัดท่าซุง)

    นะโมพุทธายะ

    (ขณะโรย "ทรายเสก" รอบบริเวณบ้าน ให้ภาวนาคาถานี้ไปตลอด โดยก่อนที่จะโรยให้อธิษฐานก่อนว่า "ขอให้ผู้มีคุณทั้งหลายที่อยู่ในเขตนี้ จงอยู่เป็นสุขปราศจากทุกข์ภัย ส่วนผู้ที่มีภัยก็ขอให้จงออกไปจากบริเวณนี้เถิด")
    (มีคาถาเพิ่มมาจากหนังสือ "สมบัติพ่อให้" โดยนำมาจากหนังสือประวัติของวัดบางนมโค ปี ๒๕๒๓)

    ******************************
    คาถาป้องกันอันตราย

    รูปพระพุทโธ โหหิ

    คาถาบทนี้ หลวงพ่อให้พระในพระอุโบสถ หลังจากทำพิธีพุทธาภิเษกแล้ว วิธีใช้คือให้ภาวนาคาถานี้ เสกน้ำลายกลืนลงไปก่อนออกจากบ้าน ท่านกล่าวว่า แม้แต่ปืนก็ยิงไม่ออก

    ***********************************
    คาถานวด

    อิมัสมิง มาเล อิมังเต มาสัง วัสสัง อุเปมิ

    หลวงพ่อให้ที่บ้านสายลม (ห้ามแปล) ให้ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยก่อนว่าคาถา แล้วให้ภาวนาเรื่อยไปขณะนวด

    ******************************
    คาถาป้องกันคุณไสย

    เมสัมมุขา สัพพาหะระติ เตสัมมุขา

    ท่านให้เสกของทุกอย่างก่อนที่จะกิน ท่านบอกไว้ในขณะที่วัดกำลังมีภัย ถ้าศัตรูทำคุณไสย เราว่าคาถานี้ คุณไสยนั้นจะย้อนกลับเข้าตัวผู้ทำ ถ้าทำเป็นตะกรุด ห้ามนำตะกรุดเข้าห้องคนคลอดบุตร ท่านห้ามทำแจกเด็ก ด้วยจะเป็นอันตรายกับเด็ก

    ******************************
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 กันยายน 2010
  3. gatsby_ut

    gatsby_ut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +14,291
    [​IMG]

    คาถาเรียกจิตคน

    จิตตะ มหาจิตตัง ปิยัง มะมะ

    เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๐๖ พระขีณาสพ หมายถึงพระอรหันต์ คือเป็นผู้มีกิเลสสิ้นไปแล้ว หมดไปแล้ว ได้มาบอกคาถาเรียกจิตคนสำหรับเทศน์ สำหรับอบรม สำหรับสนทนา ทำให้ใจคนน้อมมาหา คาถาว่าอย่างนี้ จิต ตะ มหาจิตตัง ปิยัง มะมะ ท่านว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาตแล้ว นี่ท่านอนุญาตแล้วก็ใช้ได้


    ******************************
    คาถารวมอภิญญา

    โสตัตตะภิญญา

    ที่มาของพระคาถานี้ พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯท่านเล่าว่า ได้พบองค์สมเด็จพระจอมไตรที่พระจุฬามุนีเจดีย์สถาน องค์สมเด็จพระพิชิตมารตรัสว่า
    “สัมพเกสี ..สำหรับอภิญญาที่เธอได้ เวลาที่เธอจะใช้ก็ต้องจับกสิณนั้นกสิณนี้ ใช้จิตอย่างนี้ช้าไปหน่อย ความจริงเขาใช้อภิญญากันจริงๆ เขาใช้จับอภิญญารวม คำว่า "อภิญญารวม" นี่นึกถึงอภิญญาสมาบัติ คือนึกถึงอารมณ์กสิณทั้งหมดว่าเราต้องการอะไร แล้วก็ใช้บทภาวนา ภาวนาย่อๆ ว่า "โสตัตตะภิญญา"ให้ทำเพียงเท่านี้
    เวลาภาวนาให้กำหนดลมหายใจเข้าออก แล้วก็ทิ้งนิมิตเสีย ไม่ต้องไปใช้นิมิตในกสิณ ใช้ "โสตัตตะภิญญา" อย่างเดียว คือกำหนดลมหายใจเข้าออกให้ถึงที่สุดเป็นฌานสี่เท่านี้ อภิญญาทุกอย่างก็จะรวมตัว เราจะใช้ได้ทันทีทันใดโดยไม่ต้องเลือกกสิณอะไรทั้งหมด” ก็มาทำๆ แล้วก็สบายใจ อภิญญาทุกอย่างมันก็รวมตัว เวลาจะใช้อภิญญาก็ใช้ โสตัตตะ ภิญญาเป็นคำภาวนาเท่านี้ ทุกคนก็สามารถจะทำได้

    ******************************
    คาถาเรียกจิตตนเอง

    อิติ สัมมา สัมพุทธัสสะ มะมะ จิตตัง

    เวลาที่เจริญพระกรรมฐานในคืนวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๐๖ เวลา ๒๐.๓๐ น. องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้มาโปรดเมตตาบอก ท่านบอกว่าให้ทำให้แจ้งด้วย ทำทุกขณะจิตที่จิตพล่าน หมายความว่า ถ้าเวลาใดที่จิตเกิดอาการฟุ้งซ่านขึ้นมา ให้ทิ้งคำภาวนาอย่างอื่นเสียให้หมด กำหนดลมหายใจเข้าออก ว่าคาถานี้ตามสบายๆ กำลังของสมาธิจะรวมตัวได้รวดเร็ว จำเข้าไว้ให้ดีก็แล้วกันนะ
    คาถามีว่า "อิติ สัมมาสัมพุทธัสสะ มะมะ จิตตัง" แล้วอย่าย่องเอาคาถานี้ไปเรียกผู้หญิงเรียกผู้ชายเข้านะ เขาไม่มาหรอก เรียกจิตของเรา ท่านบอกว่าที่จิตมันพล่านนี่ไม่ใช่เพราะผู้หญิงเข้ามายั่ว มันพล่านเพราะโรคทางกระเพาะมันกำเริบ ร่างกายถ้าหากว่ามีโรคเบียดเบียน ประสาทมันก็ไม่ทรงตัว จิตมันก็พล่านได้ จงอย่าสงสัยในตัวเอง คิดว่าไปหลงใหลใฝ่ฝันในบรรดาสตรีทั้งหลายเหล่านั้น เธอมายั่วมาเย้าเป็นจริยาของมาร
    แต่คำว่ามารในที่นี้ จงอย่าคิดว่าพวกนั้นเป็นพวกมาร ความจริงพวกนั้นเขามาตามหน้าที่ แต่ถ้าอารมณ์ของเราไม่ทรงตัว ก็จงคิดว่าจิตของเรานี่แหละเป็นมาร มันมีสันดานหยาบ รู้อะไรไม่ดี ทำไมจึงไปหลงใหลใฝ่ฝัน นี่ท่านว่าอย่างนั้น

    ******************************

    คาถา "ปราโมทย์"

    องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ให้คาถาปราโมทย์โดยตรง ทรงปรารภว่าต่อไปเมื่อเธอภาวนา "คาถาปราโมทย์" นี่แล้ว อะไรทุกอย่างจะเห็นชัดเจนแจ่มใส ทั้งนี้เพราะว่าเธอเวลานี้เห็นนิมิตอะไรก็ตามมันคลุมเครือไปหมด ถ้าใช้คาถาบทนี้แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างจะสว่างแจ่มใสเหมือนกับพระอาทิตย์ในเวลาเที่ยง แต่ความจริงอารมณ์แจ่มใสประเภทนี้ ตามแบบจะต้องมีแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น
    แต่ทว่าในตอนนี้พระพุทธเจ้าท่านสอนมาอย่างนั้น ถ้าใครทำได้ก็ได้ ไม่ได้ก็แล้วไป ใครได้มโนมยิทธิก็ลองสอบเอา เพราะมโนมยิทธิเป็นเครื่องทดสอบความรู้ทางพระพุทธศาสนา การปฏิบัติความจริงนี่ก็เรื่องของใครของมันเหมือนกัน จะทำให้เหมือนกันทุกอย่างไม่ได้
    คาถาปราโมทย์ที่ทำให้สมาธิจิตมีทิพจักขุญาณแจ่มใส จะจำภาพเห็นภาพ นิมิตทุกสิ่งทุกอย่างได้โดยชัดเจนแจ่มใสเหมือนกลางวัน คือพระอาทิตย์เวลาเที่ยง ท่านว่าโดยสร้างนิมิตเปรียบเทียบ ปรากฏผลว่าภาพนิมิตและตรวจสอบใดๆจะชัดเจนขึ้น และมีภาพแจ่มใส ท่านว่าอย่างนั้น สำหรับคาถาภาวนาให้ภาวนาว่า "ปราโมทย์" เฉยๆ จับลมหายใจเข้าออกเหมือนกัน แล้วก็ภาวนาว่า

    "ปราโมทย์ ๆ"

    ******************************
    คาถาพระนิพพานนิมิต

    นิมิตจิตติ นิมิตจิตตา นิพพานะจิตติ นิพพานะจิตตา

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ท่านเล่าถึงที่มาของพระคาถานี้ว่า เมื่อเข้าไปในพระจุฬามณีเจดีย์สถาน พบองค์สมเด็จพระพิชิตมารตรัสว่า

    “เธอนี่ควรจะเอา จิตจับพระนิพพานได้แล้ว และควรจะถือนิพพานนิมิตเป็นสำคัญ” ท่านบอกว่าใช้นิพพานนิมิต ท่านให้ภาวนาอย่างนี้ "นิมิตจิตติ นิมิตจิตตา นิพพานจิตติ นิพพานจิตตา" (นิ-มิต-จิต-ติ นิ-มิต-จิต-ตา นิพ-พา-นะ-จิต-ติ นิพ-พา-นะ-จิต-ตา) ให้ภาวนาถือพระนิพพานเป็นอารมณ์

    อย่างนี้จิตจะมีความผูกพันพระนิพพาน เป็นอารมณ์มากขึ้น แล้วก็กำลังใจของเธอจะไม่คลาดจากนิพพานเมื่อกำลังใจของเธอไม่คลาดจากนิพพาน เมื่อเธอตัดพุทธภูมิมาแล้วต้องการเป็นพระสาวก ความสำเร็จของเธอจะไม่ก้าวล่วงปีนี้ไป จงกลับไปจับเอาอารมณ์นี้ให้เป็นฌานสมาบัติ”

    เมื่อจำคาถามาแล้ว ในขณะนั้นก็ตั้งจิตภาวนา คือทำอารมณ์ไว้ตั้งแต่ยังไม่เอาจิตเข้าร่าง เมื่ออทิสมานกายมันยังลอยไปสู่ภพต่างๆ ก็ใช้อารมณ์นี้เรื่อยไป จิตใจก็จับพระนิพพานเห็นภาพพระนิพพานใสแจ๋ว มีความมั่นใจว่านั่นแล้วคือพระนิพพาน อย่างไรๆเราตายชาตินี้เราต้องไปนิพพานให้ได้ เรื่องร่างกายเรื่องทรัพย์สินไม่มีความหมายกับเรา นี่เป็นอารมณ์

    ******************************
    *
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 กันยายน 2010
  4. พรเทวราช

    พรเทวราช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +426
    คาถาเงินล้าน

    ตั้ง นะโม ๓ จบ

    สัมปจิตฉามิ
    นาสังสิโม
    "พรหมมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ"
    "พรมหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุเม"
    "มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม"
    "มิเตพาหุหะติ"
    "พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ มามีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม"
    "สัมปติฉามิ"
    "เพ็ง ๆ พา ๆ หา ๆ ฤา ๆ"


    --------------------​

    สัมปจิตฉามิ คาถาสนองกลับ
    นาสังสิโม คาถาพระพุทธกัสสป

    บทแรก "พรหมมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ" อันนี้ตัดอุปสรรคที่ลาภจะมาแต่เขามาบอก ว่ามีผลแน่นอน คือว่า แกจะไม่ยอมให้ลูกแกจน พูดง่าย ๆ ก็แล้วกัน พระพุทธเจ้า ก็ทรงยืนยันบอกว่า ให้ หมด

    บทที่สอง "พรมหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุเม" คาถาบทนี้เป็นคาถาเงินแสนของท่าน

    บทที่สาม "มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม" บทนี้เป็นคาถาปลุกพระวัดพนัญเชิง
    บทที่สี่ "มิเตพาหุหะติ" เป็นคาถาเงินล้าน

    บทที่ห้า "พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ มามีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม" เป็นคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า

    บทที่หก "สัมปติฉามิ" บทนี้เป็นบทเร่งรัดบทสุดท้าย

    บทที่เจ็ด "เพ็ง ๆ พา ๆ หา ๆ ฤา ๆ" พระปัจเจกพุทธเจ้า มาบอกหลวงพ่อเมื่อ พ.ย. 33 เป็นภาษาโบ ราณ แต่เทียบกับภาษาไทยอ่านได้อย่างนี้ เป็นคาถามหาลาภ มีผลยิ่งใหญ่มาก ทั้งหมดนี้ต้องสวดเป็นบท เดียวกัน บูชาเรื่อย ๆ ไป การบูชาถ้าบูชาเฉย ๆ มันเป็นเบี้ยต่อไส้

    คาถา ว่า 9 จบ หลวงพ่อบอกว่า ถ้าว่า 9 จบเป็นเบี้ยต่อไส้ จะว่ามากกว่านั้นก็ได้ แต่ถ้าท่องจนเป็นสมาธิหรือได้ญาณจะได้ผลดีมาก อย่าลืมถ้าอยากจะให้ได้ผลต้องท่องจนเป็นสมาธิและใส่บาตรทุกวัน ถ้าไม่ว่างก็ใส่บาตร วิระทะโย ที่วัดแจก แล้วถ้าว่างจะนําไปถวายก็สุดแล้วแต่ท่านหรือสิ้นเดือนก็นําไปถวายที่บ้านสายลมก็ได้ อันนึ้ลูกศิษย์หลวงพ่อ ที่เคยปฏิบัติจนสําเร็จ กล่าวให้ผู้เขียนฟังนานแล้ว
     
  5. ทองอยู่

    ทองอยู่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    346
    ค่าพลัง:
    +1,493
    โมทนา สาธุ สาธุ

    ขอบคุนทั้งคุนลุง<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->อริยบุตร<!-- google_ad_section_end --> <SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_3772571", true); </SCRIPT>และคุนน้า<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->พรเทวราช<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_3772875", true); </SCRIPT> <SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_3772571", true); </SCRIPT>มากนะคะ ที่รวบรวมคาถาอันศักดิ์สิทธิ์ มาไว้ในกระทู้เดียวกัน ดีจังไม่ต้องไปตามหาให้เหนื่อย [​IMG]
     
  6. Tanunchapat

    Tanunchapat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    631
    ค่าพลัง:
    +3,191
    [​IMG]

    โมทนา สาธุค่ะ
     
  7. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    คาถาเรียกจิตตน ใช้ประจำก่อนจะนั่งสมาธิ เพื่อให้รวมตัวได้เร็วค่ะ ขอบคุณคาถาอื่นๆที่นำมาแนะนำกันค่ะ สาธุค่ะ
     
  8. gatsby_ut

    gatsby_ut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +14,291

    การบวงสรวง

    "...การบวงสรวงเป็นการเชิญเทวดาทั้งหมด อาราธนาพระ แม้แต่บารมีของพระพุทธเจ้าลงมาทั้งหมด และพรหมทั้งหมด การบวงสรวงแบบนี้ถ้าลูกหลานยังไม่สามารถจะเห็นบุคคลผู้มาได้ ก่อนที่จะฟังเสียงของฉัน จุดธูป จุดเทียน แล้วก็เปิดเครื่องได้ยินเสียงบวงสรวงหรือชุมนุมเทวดาแล้ว ก็จงคิดว่า พระก็ดี พรหมก็ดี เทวดาก็ดี ทั้งหมดที่ฉันเชิญมาเวลาบันทึกเสียงนี้ มีกี่องค์ก็ตาม พวกเธอทั้งหลายแสดงความนอบน้อมว่า ข้าพเจ้าขอแสดงความเคารพในทุกท่าน แล้วก็ขอ ทุกท่านจงสงเคราะห์ให้จิตใจของพวกเราทั้งหมดตกอยู่ในสัมมาทิฏฐิ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระก็ดี พรหมก็ดี เทวดาก็ดี มีธรรมใดที่ท่านเห็นแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าเห็นธรรมนั้นด้วยเถิด แล้วขอให้คุ้มครองอะไรบ้างก็ว่ากันไปตามใจนึก แต่ว่าอย่าไปเกณฑ์ให้ท่านเล่นหวยเล่นการพนันหรือไปลักไปปล้นกัน ท่านไม่เอาด้วย เท่านี้ก็เกิดความสุข ท่านจะช่วยได้ตามความสามารถหรือที่เรียกว่า ไม่เกินอำนาจของกรรม นี้ว่ากันถึงเรื่องบวงสรวงนะว่ามันดียังไง"


    เครื่องบวงสรวง

    เครื่องบวงสรวงแบบครบถ้วน ซึ่งใช้กับ วัด สถานที่ราชการ บริษัท ห้างร้าน โรงงาน หรือบ้านที่มีฐานะพอทำได้ หลวงพ่อท่านแนะนำไว้ดังนี้

    1. บายศรี (ทำเป็นชั้นๆ ต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งชั้น)
    2. ไก่ 1 ตัว (วางไว้ทิศเหนือของโต๊ะ)
    3. หมู 3 หัว (วางทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศใต้ อย่าวางผิดทิศนะ ถ้าวางผิดทิศต้องมีเรื่องแน่)
    4. ขนมต้มแดง และขนมต้มขาว
    5. ข้าวปากหม้อ ไข่ลูกยอด (ไข่ใส่ยอดบายศรี)
    6. กล้วยน้ำว้าสุก 1 หวี
    7. มะพร้าวอ่อน
    8. ถั่วราชมาส (ถั่วเขียวคั่ว)
    9. ถ้าเป็นบ้านก็ควรจะมี ปลาแป๊ะซะอีก 1 ตัว เพื่อพระภูมิเจ้าที่

    ถ้าชาวบ้านธรรมดา มีฐานะพอสมควรตั้งแต่จนถึงปานกลางนะ ใช้หมูชิ้นหนึ่ง แต่ชิ้นหนึ่งต้องไม่น้อยกว่าครึ่งกิโล อย่าลืมนะต้องมีปลาแป๊ะซะอีกตัวนะ เพื่อพระภูมิเจ้าที่ เพราะพิธีตั้งเป็นเรื่องท่านท้าวมหาราชท่าน

    คัดจาก หนังสือ "สมบัติพ่อให้ ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน" หน้า 237 - 242
     
  9. gatsby_ut

    gatsby_ut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +14,291
    เหรียญของขวัญวันเกิด
    ลูกศิษย์ควรมี ไว้ติดตัว

    [​IMG]

    เป็นเหรียญโลหะสีทอง มีทั้งหมด ๔ รุ่น

    รุ่นที่ ๑ อัดกรอบเรียบร้อย พร้อมธงชาติ สร้างปี ๒๕๒๓ <O:p
    รุ่นที่ ๒ อัดกรอบเรียบร้อบ ติดโบว์ผูกยันต์บารมีสามสิบทัศ สร้าง ปี ๒๕๒๔ <O:p
    รุ่นที่ ๓ ไม่ได้อัดกรอบ<O:p
    รุ่นที่ ๔ ไม่ได้อัดกรอบ ติดโบว์ ผูกยันต์บารมีสามสิบทัศ คนละพิมพ์กับรุ่นที่ ๓
    <O:p
    ทั้ง ๔ รุ่น ด้านหน้าเป็นรูปหลวงพ่อ มีข้อความว่า ของขวัญวันเกิด ฤาษีลิงดำ ด้านหลังเป็นรูปพระเจ้าพรหม ทรงช้างประกายแก้ว มีข้อความว่า พระเจ้าพรหมมหาราช ปราบริปูพ่าย
    <O:p
    หลวงพ่อพูดถึงอานุภาพ ใว้ดังนี้
    <O:p
    ๑. ป้องกันอันตราย<O:p
    ๒. ผู้ทำคุณไสยมาจะย้อนกลับไปหาเจ้าของ<O:p
    ๓. ศัตรูทำอันตรายยาก<O:p
    ๔. เมื่อปลุกเสกเสมอ อย่าแช่งคนอื่น เพราะจะเป็นไปตามนั้น <O:p
    ๕. ทำน้ำมนต์ กินคลอดบุตรง่าย และรักษาโรค<O:p
    ๖. ติดตัวไว้จะไม่มีอันตรายจากยาพิษ เมื่อบังเอิญกินยาพิษเข้าไป จะมีอาการมึนงงราว 1 ชั่วโมง แล้วจะหายไปเองเมตตามหานิยม<O:p
    ๗. กันรังสีต่าง ๆ <O:p
    ๘. กันโรคระบาดถ้ามีโรคระบาดเกิดขึ้นให้ใส่บาตรอุทิศกุศลให้ท่านท้าวมหาชมภูแล้วจะพ้นภัย
    <O:p
    วิธีทำน้ำมนต์

    ให้เอาเหรียญวางไว้ใกล้ขันน้ำ แล้วอาราธนาบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และพระอิรยสงฆ์ ทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย สืบ ๆ กันมา มีหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค และหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เป็นที่สุด แล้วอธิษฐานตามต้องการ เสร็จแล้วเอาพระจุ่มน้ำแล้วเอาขึ้น

    เหรียญนี้ ๑ องค์ .. คุ้มกันได้ทั้งบ้าน (ไม่แน่ใจที่วัดหมดหรือยัง ..)

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 กันยายน 2010
  10. GROLY

    GROLY เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    2,019
    ค่าพลัง:
    +8,001
    เหรียญนี้ที่วัดน่าจะหมดแล้วครับพี่อริยบุตร
     
  11. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    [​IMG]

    ยันต์กระทู้เจ็ดแบกหรือพระคาถายันต์เกราะเพชร
    <?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p>สาธุ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ
    เว็บทางนิพพาน เว็บไซด์ เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น<O:p

    ที่รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน<O:p
    ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่
    www.tangnipparn.com
    <O:p>ขอเชิญแวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญเว็บศูนย์พุทธศรัทธา </O:p>
    *
    [​IMG]</O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2010
  12. เลิกตาย

    เลิกตาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2010
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +416
    ขออนุโมทนาสาธุครับ...
    สำหรับเหรียญของขวัญวันเกิด ที่บ้านสายลมผมเห็นยังมีให้บูชาอยู่ครับ(คิดว่าน่าจะเป็นรุ่นที่ 4ครับ)
     
  13. gatsby_ut

    gatsby_ut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +14,291
    "สัมปจิตฉามิ"<O:p

    คาถาบทนี้ พระ องค์ที่ ๑๐ มาบอกหลวงพ่อในขณะที่หลวงพ่อพักอยู่ที่เมืองควีนทาวน์ ประเทศนิวซีแลนด์ เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๒๙ เวลา ๐๕.๐๐ น.
    <O:p
    ก่อนนอนหลวงพ่อนอนภาวนาเป็นปกติ ตื่นขึ้นมามีอาการปากขยับไม่ได้ มือขยับไม่ได้ รู้สึกอึดอัด คล้ายเป็นอัมพาต แต่ใจสบาย พระ องค์ที่ ๑๐ มาบอกว่า



    [​IMG]

    <O:p
    "เวลานี้มีคนคิดทำให้เธอเป็นแบบนี้"
    <O:p
    และท่านให้เห็นตัวผู้ทำชัดเจน พระ องค์ที่ ๑๐ ให้ภาวนาว่า "สัมปจิตฉามิ" จึงคลายตัว คาถาบทนี้ไม่ได้ให้ใช้เฉพาะหลวงพ่อเท่านั้น อนุญาตให้พุทธบริษัทศิษยานุศิษย์และลูกหลานหลวงพ่อใช้ได้ด้วย
    <O:p
    ก่อนนอนภาวนา ให้ตั้ง นะโม ๓ จบ และต่อด้วย
    พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
    ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
    สังฆัง สรณัง คัจฉามิ<O:p
    และสวด อิติปิ โส ฯ ๓ จบ จึงภาวนาเรื่อย ๆ ในขณะที่ภาวนาให้ทำใจสบาย ๆ ผลของคาถาบทนี้ จะมีผลต่อผู้สั่ง ผู้รับคำสั่ง ผู้ร่วมมือ และผู้กระทำไสยศาสตร์มายังเราโดยฉับพลัน<O:p
    ผลพิเศษ ถ้าตั้งใจรักษาศีล ๕ บริสุทธิ์ หรือ ตั้งใจรักษากรรมบถ ๑๐ ได้ครบถ้วน สามารถระงับนิวรณ์ได้ ภาวนาวันละ ๑ ชั่วโมงเป็นเวลา ๓ เดือนติดต่อกัน จะมีผลคล้าย "อภิญญา"
    <O:p
    หมายเหตุ "สัมปจิตฉามิ" อ่านว่า สัม - ปะ - จิต - ฉา - มิ คาถาบทนี้ใช้ได้เฉพาะผู้ที่เป็นสัมมาทิฏฐิเท่านั้น ไม่มีผลสำหรับผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ พระโมคคัลลาน์ท่านมายืนยันว่า คาถาบทนี้เป็นคาถาอภิญญา บอกว่าคนที่ได้อภิญญามาในชาติก่อน ถ้าใช้คาถาบทนี้ของเก่าจะรวมตัว คือว่า ทำไป ๆ ถ้าเข้าถึงผรณาปีติจะรู้สึกว่าตัวไม่มีเหลือแต่หน้า ต่อไปก็ไม่มีอะไรเหลือเลย หน้าก็ไม่มี ถ้าทำได้เช่นนี้บ่อย ๆ ไม่ช้าก็รวมตัวจะไปไหนก็ได้ เที่ยวต่างประเทศเรื่องเล็ก ฆราวาสทำได้ทุกอย่าง แต่พระห้ามแสดงต่อหน้าคน
    <O:p
    อย่างท่านปิณโฑลภารทวาชะ เป็นต้นบัญญัติ ถูกห้ามเพราะอะไร เพราะถ้าไปทำอย่างนั้น คนก็ไม่ต้องการธรรมะ ต้องการพระแสดงปาฏิหาริย์ ถ้าขอให้พระแสดงปาฏิหาริย์ พระทำให้ คนนั้นตายแล้วเกิดใหม่ต้องไปเป็นทาสเขา ๕๐๐ ชาติ ถ้าพระไม่ทำให้แล้วโกรธก็เลยลงนรก
    <O:p
    พระพุทธเจ้าจึงทรงห้าม แต่ว่าพระที่อยู่ในป่าท่านมีความจำเป็นก็ใช้ได้ แต่ต้องไม่ให้คนเห็น อย่างพระที่เข้านิโรธสมาบัติ ออกมาแล้วปั๊บร่างกายต้องการอาหารก็ต้องดู เราจะไปหาที่ไหน เห็นหน้าคนที่จะให้ปั๊บก็เหาะไปทันที แต่ต้องไม่ให้คนเห็น พอเห็นว่าคนจะเห็นก็ต้องลงเดิน ถ้าเหาะจริง ๆ แล้วไวมาก ตามบาลีว่าที่พระโมคคัลลาน์ขึ้นไปดาวดึงส์ในคราวนั้น บอกว่า "แค่ลัดนิ้วมือเดียว"ความจริงไวกว่านั้น แต่ศัพท์ภาษาไทยไม่รู้จะใช้อะไร ความจริงนึกก็ถึงเลย .. สวัสดี

    **********************
    จร้า น้องพี เช็คดูแล้ว นะ หมดจริง ๆ ด้วย .. อนุโมทนา ครับผม

    โมทนา สา.. ธุ ครับผม.. ควรมีเก็บไว้ นะ วัตถุของหลวงพ่อรุ่นใหน ก็ดีเหมือนกัน ที่เน้นรุ่นนี้ เพราะ อานุภาพคล้าย เหรียญทำน้ำมนต์ ซึ่งราคาเช่าบูชา ค่อนข้างสูง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 กันยายน 2010
  14. สน2550

    สน2550 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2007
    โพสต์:
    369
    ค่าพลัง:
    +280
    อนุโมทนาสาธุ ขอเป็นธรรมทานบันทึกเก็บของดีนี้ไว้ครับ
     
  15. gatsby_ut

    gatsby_ut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +14,291
    ประสบการณ์ พระคำข้าว

    [​IMG]

    พระคำข้าว รุ่น ๑
    สังเกตุ ท่อนแขนซ้าย พระพุทธ ฯ ไกล้ข้อมือ มีรอยบุ๋ม ( ใช้ราชาศัพท์ไม่เป็น )

    มีเรื่องยืนยันจากเจ้าหน้าที่ศูนย์ศิลปาชีพท่านหนึ่ง ซึ่งเดินทางมาร่วมอุปสมบทหมู่ถวายพระราชกุศลฯ ที่วัดท่าซุง ในเดือนสิงหาคม พศ.2547 เจ้าหน้าที่ท่านนี้ปฏิบัติภารกิจอยู่ภาคใต้ ญาติได้มอบพระให้พกติดตัว 1 องค์ เพราะความเป็นห่วง ที่สถานการณ์ไม่ค่อยปกติ ปรากฎว่าก่อนเดินทางมาบวชที่วัดท่าซุง 3 วัน ได้ถูกผู้ร้ายดักยิงจนมอเตอร์ไซล้มลง เจ้าหน้าที่ท่านนี้คิดว่าตัวเองคงต้องตายแน่ เพราะผู้ร้ายได้ตามมายืนจ่อยิงอีกหลายนัด แต่ไม่เข้าเลยสักนัดเดียว ทำให้เกิดความมั่นใจและได้นึกด่าผู้ร้าย ปรากฎภายหลังจากการนึกด่า ถูกผู้ร้ายยิงซ้ำอีกหนึ่งนัด ลูกปืนทะลุเข้าไปฝังอยู่ใต้ผิวหนัง ภายหลังแพทย์ ได้ลงความเห็นว่าสามารถเดินทางมาบวชได้เพราะไม่เป็นอันตราย หากผ่าตัดเอาลูกปืนออกจะต้องรักษาแผลหลายวัน เจ้าหน้าที่ท่านนี้เมื่อมาอุปสมบทที่วัดท่าซุง ได้เล่าเหตุการณ์ ให้พระพี่เลี้ยงฟัง และได้นำพระที่ตนห่อกระดาษทิชชูพกอยู่เพียงองค์เดียวมาให้ดู จึงทราบว่าเป็นพระคำข้าวของหลวงพ่อพระราชพรมยาน วัดท่าซุงนี่เอง
    หลวงพ่อท่านเคยเล่าเหตุการต่างๆในระหว่างพิธีพุทธาพิเษกให้ลูกหลานฟัง เช่นครั้งหนึ่งในระหว่างทำพิธี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาเป็นประธาน พระอรหันต์ พรหม เทวดามาร่วมในพิธีมากมาย ทำให้รุกขเทวดาในวัดต้องไปอยู่ไกลถึงขอบจักวาล เพราะเทวดาที่มีบารมีมากกว่ามาห้อมล้อมบริเวณพิธีอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งนี้วัตถุมงคลของท่านทุกชิ้น นอกจากมีพุทธานุภาพแล้ว ยังมีเทวดารักษาอยู่อีก 1 องค์<O:p


    จากหนังสือ ประวัติวัดท่าซุงและหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    เกร็ดความรู้บางอย่างที่หลวงพ่อพูดถึงเกี่ยวกับพระคำข้าว

    อันดับแรกที่เราจะทำอะไรทั้งหมด ตื่นขึ้นมาใหม่ ๆ นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน นึกถึงด้วยความเคารพ เพื่อหวังพระนิพพานก็ตาม นึกถึงเพื่อขอลาภสักการะก็ตาม ก็ถือว่าเป็นการนึกถึงพระพุทธเจ้าเหมือนกัน อันดับแรกนะ อย่างมี พระคำข้าว- พระคำข้าวน่ะ หนักไปในทางลาภสักการะ อย่างอื่นก็มีหมด แต่ลาภน่ะหนักมาก และก็หยิบขึ้นมาพนมมือ สาธุ ว่า นะโม ตัสสะ ใช่ไหม ว่านะโมตัสสะ ด้วยความเคารพ และอธิฐานว่า วันนี้ต้องการ...(ลาภอย่างไร) <O:p
    เป็นอันว่า เราอยากจะให้ค้าขายดี ทำราชการดี เมตตาปราณี อะไรก็ตามเถอะ ก็อย่าลืมว่าเวลานั้นเรานึกถึงพระพุทธเจ้า เราขอบารมีจากท่าน อย่างนี้ถือว่าเป็น ฌาน ในพุทธานุสติกรรมฐาน ถ้านึกถึงทุกวันน่ะ ถ้าถึงเวลาแล้วต้องทำอย่างนั้นทุกวัน ถ้าไม่ทำแล้วไม่สบายใจ นั่นเป็นฌานในพุทธานุสติ เป็นของง่าย ๆ เพราะวันนี้ท่านบอกให้พูดง่าย ๆ ใช้วิธีง่าย ๆ นะ ก็ว่าตามท่าน <O:p
    ...ทีนี้เมื่อเมื่อบรรดาท่านพุทธบริษัท นึกถึงพระพุทธเจ้าแล้ว อย่าลืมพระที่ คอ นี่คือพระพุทธเจ้า อย่าง พระคำข้าว เป็นพระพุทธชินราช อย่าลืมน่ะ คือก็เหมือนกับพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งนั่นแหละ เป็นองค์แทนพระพุทธเจ้าท่าน และเวลาทำจริง ๆ พระพุทธเจ้าท่านก็มาทำ อันนี้ไม่ได้โฆษณานะ พูดให้ฟัง คือเวลาทำจริง ๆ พระพุทธเจ้าทุกองค์เสด็จมาหมด องค์ปฐมเป็นประธาน อยู่ข้างบนใช่ไหม และ องค์ปัจจุบันคุมฉัน ท่านปล่อยกระแสจิตพุ่งสว่างเป็นลำพุ่งมาที่ใจฉัน แล้วบอกเธอนั่งนิ่งๆ อย่าคิดถึงเรื่องอะไรทั้งหมด ห้ามดูอะไรทั้งหมด ให้ทรงอารมณ์เฉยๆ ๑๐ นาที ก็ทำตามท่าน แล้วท่านก็สั่งว่า ให้ว่าอิติปิโสฯ หลัง ๑๐ นาทีแล้ว ท่านบอกดูได้พุ่งใจไปที่ของได้ พอพุ่งใจไปที่ของ ที่เห็นเป็นลำ ไม่เห็นของที่ปลุกเลย แสงพระพุทธเจ้ากลบหมด หนามาก พระคำข้าว เด่นทางมหาลาภ มีรูปพระพุทธชินราช (พระพุทธกัสสป) ด้านหน้า และด้านหลังเป็นรูปหลวงพ่อ <O:p
    หลวงพ่อเคยบอกว่า สมเด็จเด็จองค์ปฐม ได้ให้พระพุทธกัสสป-พระพุทธทีปังกร คุมเรื่องลาภ (คัดลอกจากหนังสือธัมมวิโมกข์ฉบับที่ ๑๔๕ หน้า ๖๓) <O:p
    ..."องค์ปฐมก็มา และพระพุทธกัสสปก็มา สมเด็จพระพุทธทีปังกรก็มา...องค์ปฐมท่านบอกว่า เรื่องลาภนะ สมเด็จพระพุทธกัสสป หนักที่สุด และรองลงมาคล้ายคลึงกันคือ สมเด็จพระพุทธทีปังกร ก็เลยถามท่านว่า "พระพุทธเจ้ามีบารมีเต็มเหมือนกัน ทำไมแตกต่างกันเรื่องลาภ" ท่านบอกว่า "สุดแล้วแต่การเริ่มต้น คู่อันไหนแรงกว่ากัน"...ท่านบอก "ให้พระพุทธกัสสปคุมเพราะลาภมาก" องค์ปฐมบอกว่า..."ลีลาต่างกันนิดหนึ่ง...<O:p
    ...สมเด็จพระพุทธทีปังกร : มีกำลังแข็งมากสู้แรงมาก
    <O:p...พระพุทธกัสสป : ท่านนิ่มนวลในทางลาภมหาศาล <O:p
    ...แต่ลาภมหาศาลทั้งคู่ : ท่านก็เลยบอกว่าเป็นหน้าที่ของทั้ง ๒ องค์ <O:p

    (คัดลอกจากหนังสือ ธรรมปฏิบัติ เล่ม ๙ โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน)
    <O:p

    หลวงพ่อเคยบอกเกี่ยวกับราคาพระคำข้าวในอนาคต (ท่านพูดไว้เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๔ ในหนังสือธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๑๒๓ ประจำเดือนพฤษภาคม หน้า ๑๕)<O:p
    อีก ๓๐ ปี พระคำข้าวจะมีค่าบูชาหลายหมื่น นี่ก็ผ่านมาแล้ว ๑๖ ปีครับ ก็ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ครับ...ท่านพูดไว้ดังนี้ครับ
    <O:p-หลวงพ่อ: ...."ก็ก่อนจะทำ (ทำพระคำข้าว) พระพุทธเจ้าท่านบอกแล้วให้ทำ บอกให้มันรวยทั้งวัดทั้งบ้าน คือว่าเอาไปขึ้นราคานิดหน่อยใชไหม ๑๐๐, ๒๐๐ ไม่หนักนัก อีก ๓๐ ปีหลายหมื่น <O:p
    - ผู้ถาม: เฉพาะพระคำข้าวนี่หรือครับ? <O:p- หลวงพ่อ: ใช่ขอยืนยัน<O:p
    อานุภาพพระคำข้าวมหาลาภ (คัดลอกบางตอนจาก หนังสือ ประวัติวัดท่าซุง และหลวงพ่อพระราชหรหมยาน หน้า ๔๗ โดย พระบุญมา ปภาธโร เจ้าหน้าที่ธัมวิโมกข์ พิมพ์ สิงหาคม ๒๕๔๙) <O:p
    ..ฯลฯ...ผลในเรื่องความสะอาดของจิตนี้ มีเรื่องยืนยันจากเจ้าหน้าที่ศูนย์ศิปาชีพท่านหนึ่ง ซึ่งเดินทางมาร่วมอุปสมบทหมู่ถวายพระราชกุศลฯ ที่วัดท่าซุง ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ เจ้าหน้าที่ท่านนี้ปฏิบัติภารกิจอยู่ภาคใต้ ญาติให้พระมาพกติดตัว ๑ องค์ เพราะความเป็นห่วงที่สถานการณ์ไม่ค่อยปกติ ปรากฏว่าก่อนเดินทางมาบวชประมาณ ๓ วัน ได้ถูกผู้ร้ายดักยิงจนรถมอเตอร์ไซด์ล้มลง เจ้าหน้าที่ท่านนี้คิดว่าตนเองคงต้องตายแน่ เพราะผู้ร้ายได้มายืนจ่อยิงอีกหลายนัด แต่ไม่เข้าเลยสักนัดเดียว ทำให้เกิดความมั่นใจและนึกด่าผู้ร้าย ปรากฏว่าหลังจากนึกด่า ถูกผู้ร้ายยิงซ้ำอีก ๑ นัด ลูกปืนทะลุเข้าฝังอยู่ใต้ผิวหนัง ภายหลังแพทย์ได้ลงความเห็นว่าสามมารถเดินทางมาบวชก่อนได้เพราะไม่เป็นอันตราย หากผ่าตัดเอาลูกปืนออกจะต้องรักษาแผลหลายวัน เจ้าหน้าที่ท่านนี้เมื่อมาบวชที่วัดท่าซุง ได้เล่าเหตุการณ์ให้พระพี่เลี้ยงฟัง และได้นำพระที่ห่อกระดาศทิชชูพกอยู่เพียงองค์เดียวมาให้ดู จึงทราบว่าพระที่พกอยู่นั้นเป็นพระคำข้าวของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุงนี้เอง


    <O:p
    [​IMG]

    พระคำข้าว รุ่น ๒ (ทันหลวงพ่อ)

    ๖๙. พระคำข้าวมหาลาภ

    “ข้าว” มีคุณอนันต์กับคนเรามาตั้งแต่ยุคพระเจ้าสร้างโลก ความจริงโลกเราก็คงอยู่ของมันอย่างนี้แหละ แต่หลังจากไฟบัลลัยกัลป์ล้างโลกแล้ว “อาภัสราพรหม” ที่ท่องเที่ยวผ่านมา ได้กลิ่นหอมของดินเผาไฟ อดใจไว้ไม่ได้ก็แวะมาชิมดู...
    ท่านผู้อ่านคงจะพอจำกันได้ เมื่อหลายปีก่อนมีโฆษณาชิ้นหนึ่ง ขึ้นต้นด้วย “มีทุกข์ในเรือนกาย มีความตายในดวงตา น้ำนมแห่งมารดา ในสายเลือดยังเหือดหาย...” ลงท้ายด้วย “ดินเอ๋ยโอ้ดินนี้ ยังพอมีให้แบ่งปัน...” แล้วมีภาพเด็กกินดินกันอยู่...
    โฆษณาชุดนี้ฮือฮามาก ถึงขนาดผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองยุคนั้น ออกมาปฏิเสธเป็นพัลวัน ว่าประชาชนใต้การปกครองของท่าน อยู่ดีกินดีกันทั่วหน้า ไม่มีทางอดอยากขนาดกินดินกันหรอก โถ...ท่านไม่รู้อะไรน่ะ...!
    เด็ก ๆ เหล่านั้นรักษาสายเลือดบรรพบุรุษกันต่างหาก พออาภัสราพรหมกินดินเข้าไป ของหยาบก็ทำให้กายทิพย์หยาบ เหาะกลับพรหมโลกไม่ได้ พอนานไปก็ปรากฏเพศชัด ว่า ใครเป็นหญิงใครเป็นชาย เลยช่วยกันผลิตบรรพบุรุษให้เราไงเล่า...!
    พอจำนวนมากเข้าดินไม่พอกิน อาศัยบุญเก่าก็เกิดมีต้นข้าวเกิดขึ้น ข้าวสมัยนั้นเป็นข้าวสารเลย ไม่มีเปลือก ใครหิวก็ไปเก็บมาหุงกินกัน นานไปมีคนโลภกักตุนข้าวกันขึ้น ข้าวคงหมั่นไส้ เลยเกิดเปลือกหุ้มเมล็ดอย่างทุกวันนี้...
    เห็นมั้ยล่ะ...ว่าคนเรากินดินมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ และข้าวก็มีมาตั้งแต่สมัยนั้นแล้ว ดังนั้น...การที่เด็กกินดินก็ไม่ใช่ของแปลก ทุกวันนี้เขาก็ยังกินดินกันทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ และบรรดาคุณแม่ทั้งหลาย ใครแพ้ท้องอยากกินดินขึ้นมา คนแก่คนเฒ่าเขาว่าเด็กเป็นพรหมมาเกิดเชียวนะจะบอกให้...
    ข้าวเป็นสัญลักษณ์แทนความมั่งคั่งบริบูรณ์ สมัยพุทธกาลเขานับข้าวเป็นทรัพย์ประเภทเดียวกับเงินทองเลยเชียว มาสมัยนี้ ข้าวยังคงใช้เป็นเคล็ดของความสมบูรณ์พูนสุขเช่นเดิม พิธีกรรมต่าง ๆ มักมีข้าวเปลือก ข้าวสาร ข้าวสุก เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเสมอ...
    ในเมื่อถือกันว่าข้าวเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งบริบูรณ์ โบราณท่านจึงมีการนำข้าวมาใช้ในพิธีต่าง ๆ เสมอ ทางพระก็มีการสร้างรูปแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยการใช้ข้าวมาเป็นส่วนผสมเช่นกัน...
    รูปแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เกิดจากข้าวเป็นส่วนผสม ที่โด่งดังที่สุดคือ “สมเด็จวัดระฆัง” นั่นเอง ซึ่ง สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ท่านใช้ข้าวคำที่รู้สึกว่าอร่อย คายออกมาตากแห้งบดเป็นผงผสมทำพระ จนเกิดสมเด็จวัดระฆังออกมา...
    ในสมัยต่อมามีหลายท่านที่เจริญรอยตาม ด้วยการทำพระจากส่วนผสมของคำข้าวบ้าง แต่จะหาใครที่โด่งดังเทียมเท่าต้นตำราไม่ได้เลย ของต้นฉบับกลายเป็นที่ต้องการมาก จนเกิดการทำเลียนแบบขึ้น ของปลอมเลยเต็มตลาด...
    “หลวงพ่อ” เล่าให้ฟังว่า หลวงปู่ปานก็สร้างพระจากคำข้าวเช่นกัน แต่หลวงปู่ทำแค่องค์เดียวเท่านั้น เวลาหลวงปู่ฉันข้าว ถ้ารู้สึกว่าคำไหนอร่อย ก็จะคายเก็บไว้ ตากจนแห้ง ทำอย่างนี้ตลอดสามเดือน แล้วเอาข้าวตากมาตำเป็นผง...
    จ้างช่างมาปั้นผงเป็นพระพุทธรูป ได้องค์เล็กหน้าตักประมาณ ๕ นิ้ว จากนั้นหลวงปู่ก็ทำพิธีบวงสรวง ขอบารมีพระและเทวดาช่วยรักษา แล้วสั่งว่า เวลาท่านไม่อยู่ ถ้าอาหารในโรงครัวไม่พอฉัน ให้จุดธูปขอกับหลวงพ่อคำข้าวนี้ จะได้อย่างใจทุกอย่าง...
    สมัยนั้นหลวงปู่ไปช่วยสร้างวัดสร้างโบสถ์ต่างจังหวัดไกล ๆ ไปทีหลายเดือนกว่าจะกลับ พอหลวงปู่ไม่อยู่ก็เกิดลาภผลน้อย ไม่พอจะเลี้ยงพระในวัด ท่านจึงเมตตาทำหลวงพ่อคำข้าวขึ้นมา หวังจะให้สงเคราะห์เวลาท่านไม่อยู่...
    “หลวงพ่อ” ท่านชอบพิสูจน์ ดังนั้น อาหารยังไม่ทันจะขาด ท่านก็จุดธูปขอซะแล้ว จะเอากับข้าวชนิดไหน จากบ้านเหนือบ้านใต้ ได้อย่างใจทุกครั้ง ขอเพลินจนถูกหลวงปู่ซัดด้วยไม้เท้า ไหนว่าไปนานทำไมแค่สี่วันมาซะแล้ว...!
    หลวงปู่บอกว่าเทวดาไปฟ้อง ว่าทำตัวไม่สมกับเป็นพระ ติดในรสอาหารจนเกินพอดี แล้วเทศน์กัณฑ์มหาราชซะหูอื้อไปตาม ๆ กัน ขามาจากเขาวงพระจันทร์มาอย่างไรก็ไม่รู้เร็วจัง พอเทศน์เสร็จต้องประคองไปส่งกุฏิ หลวงปู่ขาไม่ค่อยดีเดินไม่ค่อยไหว...!
    พอฟังประวัติอาตมาก็อยากได้หลวงพ่อคำข้าวขึ้นมาทันที ถ้าได้มาจะขอยำหัวปลีกับผักบุ้งต้มจิ้มพริกน้ำปลามะนาว อยากฉันมานานแล้ว แต่หลวงพ่อคำข้าวอยู่วัดบางนมโค อาตมาเลยฝันค้างไปคนเดียว...ฮิ...ฮิ...
    ปลายปี ๒๕๓๒ อยู่ ๆ “พระ” ท่านก็มาบอกให้หลวงพ่อทำพระคำข้าวขึ้นมาบ้าง เวลาฉันท่านจะมาชึ้เอาคำข้าวคำนี้กับข้าวอย่างนี้ เสกด้วยคาถาบทนี้ แล้วเก็บตากแห้งไว้ ให้ช่างออกแบบพระมาให้เลือก ดูว่าจะเอาแบบไหนดี...
    ในที่สุดก็ได้แบบพระสี่เหลี่ยมองค์ขนาดหัวแม่มือ ด้านหน้าเป็นพระพุทธชินราช ด้านหลังเป็นภาพหลวงพ่อนั่งอยู่ในกระจังรูปคล้ายพัดยศ จำนวนพระ ๑๐๐,๐๐๐ องค์ กะว่าจะแจกกันให้หนวดหงอกไปเลย ดูซิว่าเมื่อไรจะหมด...!
    พิธีพุทธาภิเษกทำที่วิหารร้อยเมตรในวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๓๓ เวลา ๑๘.๐๐ น. มีพระครูองค์หนึ่งจากจังหวัดนนทบุรี ขออนุญาตนำวัตถุมงคลของวัดท่าน จำนวน ๑ คันรถ มาเข้าพิธีด้วย ซึ่งหลวงพ่อก็อนุญาตด้วยดี...
    เช่นเดียวกับทุกครั้ง อาตมาจะนำวัตถุมงคลส่วนตัวไปร่วมเข้าพิธีด้วย ในวิหารร้อยเมตรแบ่งวัตถุมงคลเป็นสองที่ คือ ของท่านพระครูและบุคคลภายนอก ๑ ที่ ของวัดอีก ๑ ที่ แต่ก็อยู่ชิดติดกันนั่นเอง...
    อาตมาแบกลังวัตถุมงคลส่วนตัว เข้าทางด้านหลังพระประธาน มองไปเห็นพระพุทธรูปปางต่าง ๆ เหลืองอร่ามไปหมด ก็ตั้งใจว่า จะวางลังไว้ใกล้ ๆ พระพุทธรูป พอเดินไปถึงอาตมาก็วางลังลง แล้วก็ยืนเซ่ออยู่ตรงนั้นเอง...?!?
    จะไม่ให้งงเป็นไก่ตาแตกได้อย่างไร...? ในเมื่อวางลังวัตถุมงคลลงในกองแล้ว อาตมาไม่เห็นมีพระพุทธรูปแม้แต่องค์เดียว...! เหลียวไปดู...อ้าว...มาอยู่ข้างหลังนี่เอง แล้วอาตมาเดินผ่านไปตั้งแต่เมื่อไร...ของตั้ง ๑ คันรถเชียวนะ...!
    ประหลาดดีแท้...ของก็วางเต็มล็อค ไม่มีทางหลบหลีกไปทางไหน อาตมาเดินมาตรง ๆ กลับฝ่าของกองมหึมาไปโดยไม่รู้สึกว่ามีอะไรเลย ดังนั้น...แทนที่จะวางรวมกับของท่านพระครู ก็กลายเป็นวางกับกองของวัดจนได้ ถูกบังคับนี่นา...!
    พอพุทธาภิเษกเสร็จ คราวนี้เกิดสงครามย่อย ๆ ขึ้นทันที ต่างคนต่างต้องการพระ เธอถุงฉันถุง ฉันยังไม่ได้นะ ขอฉันสองถุงซิ...แบงค์ห้าร้อยปลิวให้ว่อน อย่างกับเกิดการรบระหว่างอิรักกับคูเวตขึ้นกลางวิหาร ๑๐๐ เมตรก็ไม่ปาน...!
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อ เมตตาศิษย์อย่างหาที่เปรียบมิได้ ของดีของขลังของท่าน จึงมักตั้งราคาต่ำสุดไว้ก่อน เพื่อจะได้มีกันโดยทั่วถึง คราวนี้ก็เช่นกัน พระคำข้าวชุดนี้ตั้งราคาไว้องค์ละ ๑๐ บาทเหมือนเดิม (มาตรฐานวัดท่าซุง)
    พระหนึ่งแสนองค์หมดเกลี้ยงภายในเวลาไม่ถึงสองเดือน...! คิดว่าจะได้แจกจ่ายซักหลายปี กลับหมดลงแทบจะทันทีที่ปลุกเสกเสร็จ ราคาแพงขึ้นทันทีอย่างน่ากลัว ทันทีที่หมดก็มีคนให้องค์ละ ๑,๐๐๐ บาท เข้าไปแล้ว...! “หลวงพ่อ”ทราบดังนั้น จึงมีเมตตาเตือนว่า “อย่าไปซื้อเขาแพง ๆ เลยลูก มันหมดเปลืองโดยใช่เหตุ เอาไว้ในพรรษาหลวงพ่อจะทำให้ใหม่ อดใจรอหน่อยนะลูกนะ...” สาธุ...พระเดชพระคุณท่าน ช่างเมตตาเหลือประมาณ...
    อาตมาพอได้พระคำข้าวมา ก็ฝากแม่เบ็ญ(คุณเบ็ญจา วิบูลย์พันธุ์) ให้ไปทำกรอบทองให้ ผลออกมาคือช่างฝีมือห่วยชะมัดเลย อาตมาแค่บ่นว่า “ไม่สวยเลยแม่...” เท่านั้นเอง พระที่พกไม่ถึงครึ่งวันปาฏิหาริย์อันตรธานไปเมื่อไรก็ไม่รู้...หาเท่าไรก็ไม่เจอ...!
    ตั้งใจกราบขอขมา บนหลวงพ่อสี่พระองค์ขอให้ได้พระคืน ก็ได้ดังใจไม่ทันข้ามวัน เพราะน้าเล็กเห็นอาตมานั่งหน้าเหี่ยวแล้วสงสาร เอาของตัวเองถวายอาตมาซะเลย องค์นี้ไม่หายแน่ ๆ เพราะสวยถูกใจ...แฮ่...แฮ่...
    พระคำข้าวรุ่นนี้ มีอานุภาพคือ “ให้ลาภ ปลอดโรค ศัตรูพินาศ” คือถ้าเราเชื่อถือมั่นคงจริง ๆ หมั่นบูชาด้วยความเคารพ ลาภผลเงินทองจะไหลมาเทมา โดยเฉพาะขอจากงานที่ทำ มีหลายรายต้องขอให้เบาลง เพราะทำไม่ไหว...!
    ส่วนด้านโรคภัยไข้เจ็บ อาราธนาบารมีท่านคุ้มครองป้องกันได้ หรือถ้าป่วยอธิษฐานทำน้ำมนต์กินก็หาย ศัตรูคิดร้ายจะแพ้ภัยไปเอง ของแบบนี้พิสูจน์ซะก่อนแหละเป็นดี จะได้ไม่ว่าอาตมาโฆษณาชวนเชื่อสิ่งเหลวไหล...
    ด้านลาภผลเงินทอง อาตมาเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะตั้งแต่ได้พระมา รับเงินเกินหมื่นหลายวาระด้วยกัน รายที่หนักที่สุด ช่วยใช้หนี้แทนทีหนึ่งห้าหมื่นบาท ที่ถวายเป็นทองรูปพรรณก็มี รวยไม่รู้เรื่องละคุณเอ๋ย...!
    ยังดีที่อาตมาใช้เงินเป็น พอรับมาก็หายวับไปกับตา ไม่ชอบให้คั่งค้าง ตอนนี้ก็กำลังมองงานใหญ่เอาไว้ ปลายปีนี้ได้ลุยแน่ และหลวงพ่อกำลังทำผลพระรุ่นใหม่อยู่ ได้ยินว่าปลายปีคงได้เช่นกัน เอาเถอะ...ญาติโยมรวย พระก็สบายไปด้วย...
    “หลวงพ่อ”บอกว่า “พวกคุณถ้าจะขอเรียนวิชานี้ ผมก็ไม่รู้ว่าจะถ่ายทอดอย่างไร เพราะตอนเสกคำข้าว “พระ” ท่านจะมาชี้เองว่าเอาข้าวตรงนี้ กับอย่างนี้ เสกด้วยคาถาบทนี้ รุ่งขึ้นเปลี่ยนอีกแล้ว บางทีเหมือนกันสิบกว่าวัน อ้าว...เปลี่ยนบทใหม่อีกแล้ว...”
    “ไม่เป็นไรครับหลวงพ่อ...หลวงพ่อทำพระไว้เยอะ ๆ แล้วกัน ญาติโยมเขาคงกักตุนไว้เผื่อลูกเผื่อหลานของเขาเอง ในเมื่อต่างคนต่างมี ถึงสิ้นหลวงพ่อแล้ว ก็คงไม่เดือดร้อนถึงพวกผมที่จะต้องมาสร้างเองหรอกครับ...”
    “หลวงพ่อ” หัวเราะชอบใจบอกกับพระปลัดวิรัชว่างวดนี้ให้ทยอยทำไปเรื่อย ๆ “เอาซักห้าล้านองค์ดีไหมหว่า...?” หลวงพ่อถามแบบนี้ พระปลัดท่านถือว่าอนุญาตเลย มีหวังร้านรับพิมพ์พระหากินกับวัดท่าซุงวัดเดียวก็พอแล้ว...!
    ความปรารถนาของหลวงพ่อ คือ ต้องการให้ญาติโยมีความเป็นอยู่คล่องตัว คนเราพอไม่หนักใจในการดำรงชีวิต เขาก็มีแก่ใจให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาเอง เงื่อนไขการใช้พระก็ต้องหมั่นสวดมนต์ – ไหว้พระ เท่ากับบังคับกันอยู่แล้ว...
    ใครจะโจมตีว่าเครื่องรางของขลัง การเสกน้ำมนต์ พ่นน้ำหมากเป็นเดรัจฉานวิชา ก็โปรดดูอุบายแฝงที่ทำให้คนปฏิบัติความดีด้วย ถ้าท่านยังไม่ยอมเข้าใจ ก็เชิญท่านตามสบาย เพราะการหลับหูหลับตากัดเขาท่าเดียว ก็ไม่ต่างกับสัตว์เดรัจฉานเท่าไรนัก...! หรือท่านผู้อ่านมีความเห็นว่าอย่างไร...? <O:p

    ๑๔ สิงหาคม ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ<O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 กันยายน 2010
  16. gatsby_ut

    gatsby_ut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +14,291
    [​IMG]



    ๗๒. พระสมเด็จหางหมาก
    <O:p
    “จะไหวหรือหลวงพี่...?” หัวหน้าชาติชายป่าไม้จอมเฮี้ยบ (ปัจจุบันคือพระชาติชาย สุธมฺมธนปาโล) ถามขึ้นทั้งที่อ้าปากพะงาบ ๆ อย่างกับปลาติดแห้ง อาตมาเองก็มีสภาพไม่ต่างกันเท่าใดนัก...
    “สิบเอ็ดลูกเขาของบึงลับแลยังไม่เหนื่อยแทบขาดใจเหมือน ๓๐๐ เมตรของที่นี่...” แดง (มงคล จอมผา) ที่นอนแผ่หราทับเป้หลัง พูดพลางตอบพลาง อากาศแทบทุกอณูของที่นี่ แฝงไว้ด้วยแรงกดดันมหาศาล...
    พระและฆราวาสเดนตายทั้งสาม เดินทางมาเพื่อจะพิสูจน์ว่า แร่ยูเรเนียมที่ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน เมตตาบอกไว้นั้น มันจะมีมากมายขนาดไหน แล้วก็สมใจนึกบางลำภู แค่ปากประตูก็แทบเอาชีวิตไม่รอดซะแล้ว...!
    ดูจากสภาพทั่วไปก็เป็นป่าธรรมดานี่เอง จะผิดจากที่อื่นก็ตรงแห้งแล้งกรอบเกรียมไปหมดเท่านั้น เนินเขาที่ต้องปีนก็เตี้ยนิดเดียว คะเนด้วยสายตาแล้วสูงไม่เกิน ๔๐๐ เมตร แบบนี้ก็หมูตายชัก...
    ใช่...เกือบจะตายชักจริง ๆ อากาศมันทั้งแน่นทั้งหนัก เดินเข้าไปคล้ายกับเดินสวนน้ำตกก็ไม่ปาน แต่ละคืบแต่ละศอกเหมือนทวนกระแสคลื่น ต้องทุ่มเทกำลังทั้งหมดถึงตะเกียกตะกายเข้าไปได้ทีละนิด...
    ที่ร้ายกาจที่สุดคือ เหมือนกับว่าอ๊อกซิเย่นในอากาศไม่มีเหลืออยู่เลย หายใจแทบสุดชีวิตได้อากาศไม่ถึงครึ่งปอด หน้ามืดวูบวาบ ไม่ทราบว่าจะหมดสติลงไปในวินาทีไหน จะหวังพึ่งใครก็ไม่ได้ ปางตายด้วยกันทั้งนั้น...!
    หลังพิธีพุทธาภิเษกที่วิหารแก้ว ๑๐๐ เมตร “หลวงพ่อ” เมตตาเล่าให้ฟังว่า “สมเด็จองค์ปัจจุบัน เสด็จมาเป็นประธานเอง ระหว่างปลุกเสกมองไปเห็นสมเด็จหางหมากแต่ละองค์ เปล่งแสงสว่างจ้า ยิ่งกว่าดวงไฟ ๑๐๐ แรงเทียนซะอีก...”
    “สมเด็จท่านตรัสว่า อานุภาพของสมเด็จหางหมากนั้น รอบรัศมี ๔ เมตร กัมมัตภาพรังสีจะเข้าไม่ได้เลย ถ้าใช้ในการรบเพื่อประเทศชาติ คำว่าตายรับรองว่าไม่มี แต่ถ้าใครนำไปใช้ในทางที่ผิด จะถูกปืนที่แสกหน้าตาย...!”
    นี่ขนาดกัมมันตภาพรังสีเข้าไม่ได้แล้วนะ ไม่ถึงครึ่งทางยังแทบตายเลย ถ้ามันเข้าได้ จะมีสภาพอย่างไรหนอ...? กัดฟันโซซัดโซเซต่อไป ตายก็ตายซิวะ...มาถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าถอยหลังก็เสียชื่อลูกหลวงพ่อหมด...!
    “หลวงปู่...มีพระสมเด็จหางหมากเหลือบ้างมั้ยครับ...?” ผู้กองพงษ์เทพ (พ.ต.พงษ์เทพ พุ่มนิคม) ถามอาตมาที่เพิ่งกลับจากทำวัตรเย็น “โดนปล้นหมดตัวไปตั้งนานแล้ว ใจคอเอ็งจะปล้นซ้ำอีกเรอะ...?”
    “ผมเพิ่งกลับจากฝึกภาคสนาม เลยเอาพระของหลวงพ่อไปลองด้วย...” น่าน...เจริญล่ะเอ็ง... “แล้วผลเป็นอย่างไร...?” “ผมเอาพระผูกปากกระบอกเครื่องยิงลูกระเบิด ทั้ง ค.๖๐ ทั้ง ค.๘๑ ยิงไม่ออกทั้งนั้น...!” “ฮื้อ...ปืน ค.มันด้านออกจะบ่อยไป...”
    “มันคงไม่ด้านทุกนัดหรอกครับ พอปืนค.ยิงไม่ออก เพื่อนผมใช้ปืนพกยิงเสียงดังเชียะ...ลูกปืนหล่นอยู่แค่ปากกระบอกนั่นแหละ...!” ผลก็คือพระสมเด็จรุ่นนี้ที่มีแค่หนึ่งแสนองค์ หมดเกลี้ยงในพริบตา และขึ้นราคาหูดับไปเลย...!
    “ไอ้ก้องไปลองมาแล้วหลวงพี่...” แดงมารายงานให้ทราบ “ก้องมันยิงออกครับ แต่ยิงเท่าไรไม่ถูก ห่างองค์พระเป็นศอกทุกที...” อือม์...แบบนี้ค่อยน่าเชื่อถือหน่อย ไอ้เสือก้อง (ศุภฤกษ์ รัชฎาวงศ์) เชื่อมือได้ มันยิงตอกหัวตะปูได้เลย...!
    ในงานเป่ายันต์เกราะเพชร ครั้งที่ ๑๖ คุณธนาวุธ เลิศศิริจินดา เอาภาพ พระสมเด็จหางหมาก และ สมเด็จคำข้าว ที่ขึ้นพระธาตุทั้งองค์มาโชว์ให้ดู เป็นที่ฮือฮากันมากเพราะไม่ใช่ของที่จะเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ...
    เป็นว่า สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้เป็นพระธาตุ เพื่อรับรองมรรคผลของหลวงพ่อ ปรากฏครบ ๓ สิ่งแล้ว คือ
    ๑. ชานหมากของหลวงพ่อ
    ๒. เกศาของหลวงพ่อ
    ๓. วัตถุมงคลของหลวงพ่อ


    “สุปฏิปันโน ภควโต สาวกสังโฆ สังฆัง นมามิ” <O:p
    ๓๐ กันยายน ๒๕๓๕
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
     
  17. นาย สมพล

    นาย สมพล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2007
    โพสต์:
    866
    ค่าพลัง:
    +905
    จะหาพระคำข้าวที่ทันหลวงพ่อฤาษีได้จากที่ไหนบ้างครับ
     
  18. gatsby_ut

    gatsby_ut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +14,291
    [​IMG]


    จุดมุ่งหมายของการปฏิบัติ คือ การพ้นทุกข์

    ทุกข์ หมายถึงสิ่งที่ทนได้ยาก

    ทุกข์เกิดจาก เครื่องเศร้าหมองของจิต อันได้แก่ ความโลภ ความโกรธ ความหลง คือ กิเลส<O:p
    กิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง เกิดจาก ความทะยานอยาก คือ ตัณหา<O:p
    ตัณหา ความทะยานอยาก เกิดจาก ความยึดมั่นถือมั่น คือ อุปทาน<O:p
    อุปทาน ความยึดมั่นถือมั่น เกิดจาก ความไม่รู้ คือ อวิชชา
    <O:pก็ อวิชชา ความไม่รู้ นี้แล เป็นสาเหตุให้มี ร่างกาย คือ ขันธ์ ๕
    <O:p
    ขันธ์ ๕ ร่างกายนี้ เกิดจาก กิเลส ตัณหา อุปทาน และ อกุศลกรรม<O:p
    ถ้าเราจะหน่ายทุกข์ ก็จงหน่ายที่ ร่างกาย เถิด
    <O:p
    การหน่ายร่างกาย คือ ละสักกายทิฐิ องค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง ชี้ไว้ ๔๑ เส้นทาง แต่ละเส้นทาง ก็สามารถ ถึงที่สุดของความพ้นทุกข์ได้ คือ

    มหาสติปัฏฐานสูตร ๑ (ทุกจริต ปฏิบัติได้) เป็นแนวทางของ สุกกวิปัสสโก

    กรรมฐาน ๔๐ (ปฏิบัติตามจริต ๖ มี ๓๐ กอง จริตกลาง มี ๑๐ กอง) เป็น แนวทางของ สุกขวิปัสโก ถ้าจับ กสิน ด้วย ก็เป็นแนวทางของ เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฎิสัมภิทัปปัตโต ถ้าทำได้นะ

    ถ้าเราละ สักกายทิฐิ ได้แค่ตัวเดียว ครูบาอาจารย์ ท่านว่า ความเป็นพระอริยะ เหมือนหญ้าปากคอก
    <O:p
    ฉะนั้น ในเมื่อทาง มีถึง ๔๑ ทาง เธอจง ฉลาด เลือกทาง ซึ่งมีอยู่ ในการปฏิบัติ<O:p
    ตาม ระดับ สติ ปัญญา เหมือนคนไข้ เลือกยาที่จะรักษา ตัวเอง

    คงต้องดูจากห้องพระเครื่อง เรื่องราคานี่ไม่แน่ใจ รู้แต่เพียงว่า ปี ๓๔ - ๓๕ นี่ ตอนออกจากวัด ถ้าไปบูชา ที่ศาลา องค์ละ ๑๐ บาท ถ้ารับจากมือหลวงพ่อ องค์ละ ๑๐๐ บาท
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 กันยายน 2010
  19. ทองอยู่

    ทองอยู่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    346
    ค่าพลัง:
    +1,493
    ใครที่กลัวผี หรือโดนคุนไสยมนต์ดำ เข้ามากระทู้นี้ รับรองไม่ผิดหวัง ของขลัง "เพียบ" :VO
     
  20. วิชา ละ

    วิชา ละ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    338
    ค่าพลัง:
    +2,416
    ขออนุโมทนาสาธุ ด้วยครับ อุสาห์ตั้งเขียนและเชิญชวน

    ขออนุโมทนาสาธุ กับทุกท่านด้วยครับ

    สงสัยเจ้าของกระทู้เก่งเรื่องคาถาอาคมแน่เลย แต่มาชาตินี้ก็ต้องเอาไว้รบกับกิเลสในตัวนะ

    เจ้าของกระทู้มีพระไว้สะสมมากมายด้วยนะ จะพาเพื่อนไปออกศึกไหนดีล่ะ ที่บ้านเราก็มีพระเต็มไปหมดในถาด
    แต่หน้าเสียดายเจ้าของยังไม่พระในใจให้มั่นคงเลย ทำอย่างไรล่ะคุณเพื่อนแนะนำอีกนะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...