รวมเรื่องพระปัจเจกพุทธเจ้า ตอนที่ 18 พระศรีอาริยเมตไตรย

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย เทพออระฤทธิ์, 10 เมษายน 2008.

  1. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    ต่อจากนี้ไปผมจะขอรวมรวบร่วมเรื่องเกี่ยวพระปัจเจกพระพุทธเจ้าและองนิสงค์เกี่ยวกับการทำการบุญกับพระปัจเจกและเพื่อรวบรวมเป็นความรู้ต่อไป


    <O:p</O:p
    [​IMG]


    บัดนี้ จะได้วิสัชนาในเรื่อง " พระอนาคตวงศ์ "โดยพุทธภาษิตปริยาย มีเนื้อความตามพระบาลีว่า

    เอกัง สะมะยัง..
    ครั้งหนึ่งสมเด็จพระสรรเพชรพุทธเจ้า เสด็จยับยั้งอาศัยใกล้กรุงสาวัตถีมหานครวะสันโต ..
    เมื่อสมเด็จพระชินวรผู้ทรงญาณสำราญพระอิริยาบถ เข้าพระพรรษาอยู่ในบุพพาราม
    อัน นางวิสาขา สร้างถวายสิ้นทรัพย์ ๒๗ โกฏิฯ
    ครั้งนั้นพระองค์ทรงปรารภซึ่ง พระอชิตเถระ ผู้เป็นหน่อบรมพุทธางกูร " อาริยเมตไตรยเจ้า "ให้เป็นเหตุ องค์สมเด็จพระบรม โลกเชฏฐ์จึงตรัสพระธรรมเทศนาแสดงซึ่งพระโพธิสัตว์ทั้ง๑๐ องค์ อันจะมาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล ครั้งนั้นพระธรรมเทศนาสารีบุตรเถรเจ้า จึงกราบทูลอาราธนา พระองค์ก็นำมาซึ่ง " อดีตนิทาน "แห่งองค์สมเด็จพระพิชิตมารทั้ง ๑๐ พระองค์ที่จะมาตรัสรู้ในอนาคตกาลเบื้องหน้าต่อไปเป็นใจความว่า

    " เมื่อศาสนาพระตถาคตครบ ๕๐๐๐ ปีแล้วฝูงสัตว์ก็มีอายุถอยลงคงอยู่ ๑๐ ปีเป็นอายุขัย ครั้งนั้นแล..จะบังเกิดมหาภัยเป็นอันมาก มี " สัตถันตรกัป " คือ เป็นกัปที่มนุษย์ทั้งหลายจะวุ่นวายเป็นโกลาหล เกิดรบพุ่งฆ่าฟันซึ่งกันและกันจะจับไม้และใบหญ้าก็กลายกลับเป็นหอกดาบแหลนหลาว อาวุธน้อยใหญ่ไล่ทิ่มแทงกันฝูงมนุษย์ทั้งหลายที่มีปัญญา ก็หนีไปซุกซ่อนตัวอยู่ใน ซอกห้วยหุบเขาจะเหลืออยู่ก็แต่มนุษย์ที่มีปัญญา นอกกว่านั้นแล้วก็ถึงซึ่งพินาศฉิบหายเป็นอันมาก
    เมื่อพ้น ๗ วันล่วงไปแล้ว มนุษย์ทั้งหลายที่ซ่อนเร้นอยู่นั้นเห็นสงบสงัดเสียงคนก็ออกมาจากที่ซ่อนเร้น ครั้นเห็นซึ่งกันและกันก็มีความสงสารรักใคร่กันเป็นอันมาก เข้าสวดสอดกอดรัดร้องไห้กันไปมา บังเกิดมีความเมตตากรุณากันมากขึ้นไป ครั้งตั้งอยู่ใน " เมตตาพรหมวิหาร " แล้วก็อุตสาหะรักษาศีล ๕ จำเริญกรรมฐานภาวนาว่า
    อะยัง อัตตะภาโร อันว่ากายของอาตมานี้ อนิจจัง หาจริงมิได้ ทุกขัง .. เป็นกองแห่งทุกข์ ฝ่ายเดียวหาสัญญาสำคัญมั่นหมายมิได้ ด้วยกายอาตมาไม่มีแก่นสาร.. "
    เมื่อมนุษย์ทั้งหลายปลงปัญญาเห็นในกระแสพระกรรมฐานภาวนาดังนี้เนือง ๆอายุของมนุษย์ทั้งหลายก็วัฒนาจำเริญขึ้นไป ที่มีอายุ ๑๐ ปีเป็นอายุขัยนั้นค่อยทวีขึ้นไปถึง ๒๐ ปีเป็นอายุขัย ค่อยทวีขึ้นไปทุกชั้นทุกชั้น จน อายุได้ร้อย พันหมื่น แสน โกฏิ จนถึงอสงไขยหนึ่ง
    ครั้นนานไปเห็นว่าไม่รู้จักความตายแล้วก็มีความประมาทมิได้ปลงใจลงในกอง ทุกขัง อนิจจัง อนัตตาอายุก็ถอยน้อยลงมาทุกทีจนถึง ๘ หมื่นปี ฝนก็ตกเป็นฤดู คือ ๕ วันตก ๑๐ วันตก ใน "ชมพูทวีป " ทั้งปวงมีพื้นแผ่นดินราบคาบสม่ำเสมอเป็นอันดี
    เกตุมดีราชธานี
    ครั้งนั้น กรุงพาราณสี เปลี่ยนนาม ชื่อว่า เกตุมดี โดยยาวได้ ๑๖ โยชน์โดยกว้างได้ ๑ โยชน์ มีไม้กัลปพฤกษ์เกิดทั้ง ๔ ประตูเมือง มีแก้ว ๗ ประการประกอบเป็นกำแพงแก้ว ๗ ชั้นโดยรอบพระนคร
    ครั้งนั้น มหานฬการเทพบุตรก็จุติลงมาเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช ทรงพระนามว่า พระเจ้าสังขจักรพรรดิเสวยศิริราชสมบัติ ในเกตุมดีราชธานี เป้นพระราชาที่ทรงธรรมครอบครองแผ่นดินมีมหาสมุทรทั้ง ๔ เป็นขอบเขต และในท่ามกลางพระนครนั้น มี " ปราสาท "อันสำเร็จไปด้วยแก้ว ๗ ประการ ผุดขึ้นมาจากมหาคงคา ลอยขึ้นมายังนภากาศมาตั้งอยู่ในท่ามกลางพระนคร ปราสาทแก้วนี้ ในสมัยพุทธกาลเป็นปราสาทแห่ง "พระเจ้ามหาปนาท " ( ในตอนนี้ จะขอแทรกประวัติไว้ด้วยดังนี้ )
    ประวัติพระเจ้ามหาปนาท
    อันว่า ปราสาทของพระเจ้ามหาปนาทนั้น เป็นปราสาทที่ท้าวสักกเทวราช ตรัสสั่ง วิษณุกรรมเทพบุตร ลงมาสร้างถวายพระราชา กล่าวคือ ..สมัยก่อนที่พระพุทธเจ้าจะทรงอุบัติขึ้นนั้น ยังมี ช่างเสื่อลำแพน ๒ คนพ่อลูกได้พากันสร้างบรรณศาลาแล้วด้วยไม้อ้อและไม้มะเดื่อเพือถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วทั้ง ๒คนก็ช่วยกันอุปถัมภ์บำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นด้วยปัจจัย ๔
    ครั้นพ่อลูก ๒คนนั้นตายแล้ว จึงได้ไปบังเกิดในเทวโลก ส่วนบิดายังอยู่ในเทวโลกฝ่ายบุตรได้จุติจากเทวโลก ลงมาเกิดเป็นพระราชโอรถของ พระเจ้าสุรุจิ และพระนางffice:smarttags" /> มหาปนาทกุมาร เวลาได้เสวยราชย์แล้ว จึงมีพระนามว่าพระเจ้ามหาปนาท ต่อมาท้าวสักกเทวราชได้ตรัสสั่งให้วิษณุกรรมเทพบุตรลงมาสร้างปราสาทถวายแก่พระเจ้ามหาปนาทนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2008
  2. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    ทั้งนี้ด้วยอำนาจแห่งบุญญาธิการที่ได้เคยสร้างบรรณศาลาถวายแด่ พระปัจเจกพุทธเจ้าปราสาทแก้ว ๗ ประการนี้ สูง ๒๕ โยชน์ จำนวน ๗ ชั้น ยาว ๙ โยชน์ กว้าง ๘ โยชน์
    ครั้นพระเจ้ามหาปนาทสวรรคตแล้ว ปราสาทนั้นก็ได้เลื่อนลงไปสู่กระแสมหาคงคาในที่ตั้งบันไดปราสาทนั้นได้กลายเป็นบ้านเมืองขึ้นเมืองหนึ่ง ชื่อว่า ปยาคปติฎฐนครที่ตรงยอดปราสาทนั้นได้กลายเป็นหมู่บ้านชื่อว่า โกฏิคาม
    ในเวลาต่อมาเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระสมณโคดม อุบัติขึ้นในโลกแล้วเทพบุตรองค์นี้ ซึ่งมีนามว่า นฬการเทพบุตรจึงได้จุติลงมาเกิดเป็นบุตรเศรษฐีมีนามว่าภัททชิ เป็นผู้มีทรัพย์ ๘๐ โกฏิ มีปราสาทถึง ๓ หลังเป็นที่ยับยั้งอยู่ในฤดูทั้ง ๓
    หลังจากได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์เมื่อกราบทูลขอบรรพชาแล้วจึงเข้าไปนั่งเข้าฌาณอยู่ที่โคนต้นไม้แห่งหนึ่งริมแม่น้ำคงคาฝ่ายชาวบ้านโกฏิคามได้ยกเรือทานถวายพระภิกษุ สงฆ์เวลาสมเด็จพระพุทธองค์เสด็จลงประทับในเรือแล้วโปรดให้พระภัททชิไปในเรือลำเดียวกันด้วย พอไปถึงกลางแม่น้ำคงคาสมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสถามว่า
    " ดูก่อน .. ภัททชิ !ปราสาทแก้วที่เธอเคยอยู่ในเมื่อครั้งเป็นพระเจ้ามหาปนาทนั้นอยู่ที่ไหน? "
    พระภัททชิกราบทูลว่า "จมอยู่ตรงนี้.. พระเจ้าข้า"
    บรรดาภิกษุทั้งหลายที่เป็นปุถุชนก็พากันร้องกล่าวโทษว่า พระภัททชิอวดมรรคผลองค์สมเด็จพระทศพลจึงตรัสบอกพระภัททชิให้แก้ความสงสัยของภิกษุทั้งหลายพระเถระถวายบังคมแล้วก็บันดาลปลายนิ้วเท้า ลงไปคีบยอดปราสาทอันสูงได้ ๒๕โยชน์นั้นขึ้นมาจากแม่น้ำคงคาไปปรากฏอยู่บนอากาศสูงจากพื้นน้ำได้ถึง ๓ โยชน์แล้วปล่อยไปในแม่น้ำคงคา มหาชนทั้งหลายก็หมดความสงสัย องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงตรัสว่า ปราสาทหลังนี้ พระภัททชิ เคยอยู่มาตั้งแต่ครั้งเป็นพระเจ้ามหาปนาท
    มีคำถามว่า เพราะเหตุใด ปราสาทหลังนั้นจึงยังไม่อันตรธาน
    มีคำแก้ว่าเป็นเพราะอานุภาพแห่งช่างเสื่อลำแพน ซึ่งเป็นบิดาในชาติก่อน อันมีนามกรว่ามหานฬการเทพบุตร จะจุติลงมาเป็นพระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลก ทรงพระนามว่าพระเจ้าสังขจักร แล้วพระพุทธองค์จึงทรงตรัสต่อไปว่า
    " ดูก่อน ภิกษุทั้งหลายพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า พระเมตไตรย แล้วจักออกจากหมู่อยู่แต่ผู้เดียวจักไม่ประมาท จะมีความเพียร จะมีใจตั้งมั่น แล้วจะสำเร็จที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันเป็นสิ่งยอดเยี่ยมและปรารถนาของกุลบุตรทั้งหลายผู้บรรพชาในไม่ช้า "
    สมัยต่อมา พระเจ้าสังขจักรได้เสวยราชสมบัติในเกตุมดีนั้นปราสาทแก้วก็ผุดขึ้นมาแต่แม่น้ำคงคา ด้วยอานุภาพแห่งผลบุญที่เคยร่วมกันกับลูกชายถวายภัตตาหาร ผ้าไตรจีวร และสร้างบรรณศาลาถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าให้มีความสุขสบาย ด้วยอานิสงส์มหาศาลนี้จึงได้เกิดมาเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ประดับไปด้วยหมู่พระสนมแสนสาวสุรางค์ทั้งหลายประมาณ ๘ หมื่น ๔ พันองค์ มีพระราชโอรถมากกว่า ๑ พันพระองค์ซึ่งล้วนแล้วแต่แกล้วกล้า สามารถย่ำยีเสียซึ่งเสนาของผู้อื่น
    แก้ว ๗ ประการ
    พระราชโอรสองค์ใหญ่ทรงพระนามว่า อชิตราชกุมาร เจ้าอชิตราชกุมารนั้นดำรงตำแหน่งเป็น ปรินายกแก้ว แห่ง สมเด็จพระราชบิดา ผู้เป็นพระยาบรมสังขจักรอันบริบูรณ์ไปด้วยแก้ว ๗ ประการ คือ จักรแก้ว ๑ นางแก้ว ๑ แก้วมณีโชติ ๑ ช้างแก้ว ๑ม้าแก้ว ๑ คหบดีแก้ว ๑ ปรินายกแก้ว ๑ อันว่าสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดินั้นย่อมมีทุกสิ่งทุกประการ เป็นที่เกษมสานต์ยิ่งนักเหลือที่จะพรรณนาได้ในกาลนั้น
    ฝ่ายว่า มหาปุโรหิตผู้ใหญ่ ของสมเด็จพระเจ้าสังขจักรนั้นเป็นมหาพราหมณ์ประกอบไปด้วยอิสริยยศเป็นอันมาก หาผู้จะเปรียบเสมอมิได้มีนามปรากฏว่า สุตพราหมณ์ นางพราหมณี ผู้เป็นภรรยานั้นมีนามว่า นางพราหมณวดี
    ในกาลนั้น สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ พระศรีอาริยเมตไตรยรับอาราธนาจากบรรดาเทพเจ้าทั้งหลายแล้ว ก็จุติลงมาจากสวรรค์ชั้นดุสิตลงมาถือกำเนิดในครรภ์แห่งนางพราหมณวดี ภรรยาแห่งมหาปุโรหิต พราหมณ์ผู้ใหญ่ในวันเพ็ญเดือน ๘ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เวลาปัจจุสมัยใกล้รุ่ง พร้อมด้วยอัศจรรย์ทั้งหลาย ๑๒ประการ
    คือ เหล่าเทพยดาพากันกระทำสักการบูชา ดังห่าฝนตกลงในกลางอากาศแล้วมีปรางค์ปราสาททั้ง ๓ ผุดขึ้นมา เพื่อจะให้เป็นที่สำราญแห่งพระบรมโพธิสัตว์เจ้าปราสาทหลังที่ ๑ ชื่อว่า ศิริวัฒนะ ปราสาทหลังที่ ๒ ชื่อว่า สิทธัตถะ ปราสาทหลังที่๓ ชื่อว่า จันทกะ ปรางค์ปราสาททั้ง ๓ นี้เป็นที่จำเริญพระศิริสวัสดิมงคลควรจะให้สำเร็จประโยชน์ทุกประการ ปรากฏงามดังดวงพระจันทร์แล้วหอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นอันหอมมิรู้ขาด เดียรดาษไปด้วยนางffice:smarttags" />ส่วนสมเด็จพระอัครมเหสีแห่งสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์เจ้านั้นทรงพระนามว่า พระนางจันทมุขี เป็นประธานแห่งนางบริวารทั้งหลาย ๗ แสน มีพระราชโอรสองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พราหมณ์วัฒนกุมาร
    เมื่อพระมหาบุรุษผู้ประเสริฐทรงพระเกษมสำราญอยู่ในปราสาททั้ง ๓ควรแก่ฤดูโดยนิยมดังนี้ จนพระองค์มีพระชนม์ได้ ๘ หมื่นปีแล้วจึงเสด็จขึ้นสู่รถแก้วอันเป็นทิพย์วิมานมีศิริหาเสมอมิได้ เสด็จไปประพาสอุทยานทอดพระเนตร เห็นนิมิตรทั้ง ๔ ประการนี้เป็น " เทวฑูต "ยังธรรมสังเวชให้เกิดขึ้น ก็มีพระทัยน้อมไปในบรรพชาพิจารณาเห็นเพศสมณะนั้นเป็นอารมณ์
    ในขณะนั้น อันว่าปรางค์ปราสาทแก้วซึ่งทรงพระสำราญยับยั้งอยู่นั้นก็ลอยไปในอากาศพร้อมทั้งพระราชโอรสและหมู่นางกัลยาทั้งหลายไปกับปรางค์ปราสาทครั้งนั้นเปรียบประดุจดังว่า พญาหงส์ทองบิน ไปในเวหาฝ่ายฝูงเทวดาทั้งหลายในหมื่นจักรวาล ก็ชวนกันถือเครื่องสักการบูชาต่างเหาะตามมากระทำสักการบูชาในอากาศ เนืองแน่นกันมากเป็นอเนกอนันต์บรรดาท้าวพระยามหากษัตริย์ทั้งหลาย ๘ หมื่น ๔ พันพระนครก็ดีและชาวนิคมชนบททั้งหลายก็ดี ก็ชวนมากระทำสักการบูชาด้วยดอกไม้และของหอมมีประการต่างๆ เต็มเดียรดาษกลาดเกลื่อนไปทั้งชมพูทวีป เหล่าพวกอสูรทั้งหลายก็เช้าแวดล้อมพิทักษ์รักษาปรางค์ปราสาท
    ฝ่ายพญานาคราชนั้นกระทำสักการบูชาด้วยแก้วมณีพญาสุวรรณราชปักษีกระทำสักการบูชาด้วยแก้วมณี อันเป็นเครื่องประดับตนเหล่าคนธรรพ์ทั้งหลายนั้นกระทำสักการบูชาด้วยเครื่องทิพย์ดุริยางค์ฟ้อนรำมีประการต่างๆ
    เมื่อองค์สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตรยเจ้า เสด็จออกบรรพชานั้นฝูงเทพยดา อินทร์พรหม ยมยักษ์ และ มนุษย์ นาค ครุฑ คนธรรพ์ทั้งหลาย กระทำสักการบูชาฝ่ายพระเจ้าสังขจักรพร้อมด้วยข้าราชบริพาร ทั้งหลายก็ได้เสด็จไปที่ใกล้แห่งสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ ครั้งนั้นมหาชนทั้งหลายทั้งปวงมีความปรารถนาจะบรรพชา แล้วก็พากันลอยไปในอากาศพร้อมด้วยพระบรมโพธิสัตว์เจ้าด้วยเดชานุภาพแห่งบรมจักร และอานุภาพแห่งพระศรีอาริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์นั้น
    ครั้นเสด็จถึงควงไม้พระศรีรัตนมหาโพธิ คือ ไม้กากะทิงแล้วปราสาทแก้วก็เลื่อนลอยลงจากอากาศใกล้ในที่ปริมณฑล ไม้มหาโพธินั้นฝ่ายท้าวมหาพรหมก็เชิญซึ่งพานผ้ากาสาวพัตร์ กับเครื่องบริขารทั้ง ๘น้อมเข้าไปถวายสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์แล้วพระองค์จึงชักเอาพระแสงดาบแก้วตัดพระเกศาให้ขาดแล้วก็โยนขึ้นไปในอากาศก็ถือเครื่องบริขารทั้ง ๘ ประการ ทรงเพศบรรพชาเสร็จแล้ว ส่วนว่าบริวารทั้งหลายนั้นก็ชวนกันบวชตามสมเด็จพระโพธิสัตว์เจ้าเป็นอันมาก
    ฝ่ายพระมหาบุรุษราชองค์พระศรีอาริยเมตไตรยเจ้านั้นกระทำความเพียรอยู่ที่ใกล้พระมหาโพธิสิ้นประมาณ ๗ วันในเมื่อเวลาเย็นพระองค์ก็เสด็จเข้าไปสู่ควงไม้พระมหาโพธิขึ้นทรงนั่งเหนือรัตนบัลลังก์คือ พระที่นั่งแก้ว แล้วทรงระลึกชาติของพระองค์ด้วย ปุพเพนิวาสานุสติญาณได้ทรงเห็นโดยลำดับกัน ประจักษ์แจ้งในปฐมยาม
    ครั้งล่วงเข้ามัชฌิมยามทรงเห็นซึ่งการเกิดและตายแห่งสัตว์ทั้งหลายด้วย ทิพจักขุญาณครั้นล่วงไปในปัจฉิมยามที่สุดนั้น พระองค์ได้ทรงตรัสรู้อริยสัจจธรรม ที่เรียกว่าอาสวักขยญาณ คือ บรรลุอภิเษกสัมโพธิญาณ เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าปรากฏเป็นพระพุทธคุณทั่วโลกธาตุ แล้วพระองค์ก็ยังมนุษย์ทั้งหลายประมาณ แสนโกฏิให้ดื่มกินซึ่งน้ำอมฤตรส คือ พระสัทธรรม เห็นพระนิพพานอันมิได้รู้แก่รู้ตายเป็นธรรมาภิสมัยให้บังเกิดแก่ฝูงเทพยดาและมนุษย์ทั้งหลายได้ตรัสรู้มรรคและผลหาประมาณมิได้
    พระพุทธลักษณะ
    สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยมีพระรูปพระโฉมงดงามตามพระพุทธักษณะครบถ้วนทุกประการคือ พระองค์มีพระวรกายสูงได้ ๘๘ ศอก พระองค์ใหญ่กว้างได้ ๒๕ ศอกตั้งแต่ฝ่าพระบาทถึงพระชานุ ( เข่า ) มีประมาณ ๒๒ ศอก ตั้งแต่พระชานุขึ้นไปพระนาภี ( ท้อง ) ประมาณ ๒๒ ศอก ตั้งแต่พระนาภีขึ้นไปถึงพระรากขวัญ ( ไหปากร้า ) ทั้ง ๒ประมาณ ๒๒ ศอก ตั้งแต่พระรากขวัญขึ้นไปถึงพระเศียรเกล้าที่สุดยอดพระอุณหิตเปลวพระพุทธรัศมีนั้น ประมาณ ๒๒ ศอก เสมอกันทั้ง ๔ ส่วน พระรากขวัญทั้ง ๒แต่ละอันนั้นยาวได้ ๕ ศอก
    อันว่าพระหัตถ์ทั้ง ๒ ซ้ายขวานั้น ยาวได้ ๔๐ ศอกในระหว่างภายในแห่งพระพาหา ( แขน ) ทั้ง ๒ ซ้ายขวานั้น มีประมาณ ๒๕ ศอก พระอังคุลี ( นิ้ว ) แต่ละอันยาวได้ ๕ ศอก ฝ่าพระหัตถ์แต่ละข้างกว้างได้ ๕ ศอก พระศอ ( คอ )โดยกลมรอบมีประมาณ ๕ ศอก โดยยาวก็ ๕ ศอก
    พระโอษฐ์ ( ปาก )เบื้องบนเบื้องล่างกว้าง ๑๐ ศอก เสมอกันเป็นอันดี พระชิวหา ( ลิ้น )อยู่ภายในพระโอษฐ์ยาว ๑๐ ศอก พระนาสิก ( จมูก ) สูงยาวลงมาได้ ๗ ศอก ดวงพระเนตรทั้ง๒ โดยกว้างได้ ๗ ศอก แววพระเนตรทั้ง ๒ ข้าง ที่ดำกลมเป็นปริมณฑลอยู่นั้นมีประมาณ ๕ศอก พระขนง ( คิ้ว ) แต่ละข้างยาวได้ ๕ ศอก ในระหว่างพระขนงทั้ง ๒ กว้างได้ ๔ ศอกพระกรรณ ( หู ) ทั้ง ๒ แต่ละข้างยาวได้ ๗ ศอกดวงพระพักตร์นั้นเป็นปริมณฑลกลมดังดวงจันทร์เมื่อวันเพ็ญมีประมาณกลมได้ ๒๕ศอก
    ต้นไม้ที่จะตรัสรู้
    ลำดับนี้.. จะพรรณนาไม้พระศรีรัตนมหาโพธิต่อไป อันว่าต้นไม้กากะทิง ที่เป็นไม้ศรีมหาโพธินั้น มีปริมณฑลไปได้ ๑๒๐ ศอกแต่ต้นขึ้นไปสุดปลายกิ่งนั้นได้ ๒๔๐ ศอก โดยสูงสะกัดเป็นปริมณฑลเหมือนกันมีใบสดเขียวอยู่เป็นนิจกาล ทรงดอกและเกสรหมอฟุ้งขจรมิรู้ขาดเปรียบประดุจดอกปาริชาติในดาวดึงส์สวรรค์ฉะนั้น
    สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยทรงมีลักษณะมหาบุรุษครบถ้วนทั้ง ๓๒ ประการประกอบไปด้วยพระฉัพพรรณรังสี พระพุทธรัศมี ๖ ประการสว่างออกจากพระวรกายเป็นอันงามประดุจดังว่าท่อสุวรรณธารา น้ำทองอันไหลหลั่งออกมาเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ไปด้วยสุขทุกเมื่อ มีสติระลึกถึงพระพุทธคุณเป็นอารมณ์เนือง ๆ
    ด้วยเดชานุภาพแห่งพระพุทธคุณนั้นมนุษย์ทั้งหลายก็ได้บริโภคซึ่งโภชนาหารแต่เนื้อแห่งข้าวสารสาลีอันบังเกิดมีมาเองได้ประดับประดาร่างกายและผ้านุ่งผ้าห่ม เครื่องอาภรณ์ต่าง ๆ แต่ต้นไม้กัลปพฤกษ์ประพฤติเลี้ยงชีวิตเป็นบรมสุข
    ปางเมื่อพระพุทธองค์ผู้ทรงสวัสดิโสภาคเป็นอันงามทรงพระนามว่า " พระศรีอาริยเมตไตรยเจ้า " ตรัสแสดงพระสัทธรรมเทศนา "พระธรรมจักกัปปวัฒนสูตร " นั้น มนุษย์และเทพยดาทั้งหลายได้ซึ่งบรรลุมรรคผลธรรมวิเศษ ประมาณ ๓ แสนโกฏิ
    อันว่าองค์พระศรีอาริยเมตไตรยทรงสร้างพระบารมีมาสิ้นกาลช้านานถึง ๑๖ อสงไขยกำไรแสนกัปมีศีลบารมี ทานบารมี เป็นต้น เต็มบริบูรณ์



     
  3. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    พระเจ้าสังขจักร
    การบำเพ็ญบารมีของพระองค์ครั้งหนึ่งปรากฏชัดเจนเป็นปรมัตถบารมีอันยิ่งยอดกว่าพระบารมีทั้งปวง ฉะนั้นสมเด็จองค์ปัจจุบันจึงนำมาซึ่งอดีตนิทานแห่งการสร้างพระบารมีของพระศรีอาริยเมตไตรยมาตรัสแสดงแก่ พระสารีบุตร มีใจความว่า
    อตีเต กาเล.. ในกาลล่วงมาช้านานได้มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลกพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าพระสิริมิตร ครั้งนั้น พระศรีอาริยเมตไตรยได้เสวยศิริราชสมบัติในเมืองอินทปัตรมหานคร ทรงพระนามว่า บรมสังขจักร มีแก้ว ๗ประการ อยู่มาในกาลวันหนึ่ง พระเจ้าสังขจักรเสด็จนั่งอยู่ภายใต้เศวตฉัตรมีพระทัยปรารถนาว่า ผู้ใดมาบอกข่าวว่า พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะบังเกิดมีแล้ว พระองค์จะสละราชสมบัติบรมจักร พระราชทานให้แก่ บุคคลผุ้นั้นแล้วพระองค์ก็จะเสด็จพระราชดำเนินไปยังองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า
    ในกาลนั้นยังมีกุลบุตรเข็ญใจผู้หนึ่ง ไปบรรพชาเป็นสามเณรอยู่ในพระพุทธศาสนาด้วยมารดาของสามเณรเป็นทาสีอยู่ในตระกูลหนึ่งสามเณรนั้นคิดแสวงหาทรัพย์จะไปให้แก่มารดาเพื่อให้พ้นจากการเป็น ทาสรับใช้จึงเที่ยวไปโดยลำดับจนถึงกรุงอินทปัตรฝูงมหาชนชาวพระนครไม่รู้จักว่าสามเณรเป็นอย่างไรครั้นเห็นเข้าก็สงสัยว่าเป็นมหายักษ์ ต่างก็พากันจับไม้ไล่ทุบตีสามเณรฝ่ายสามเณรมีความกลัวก็วิ่ง หนีมหาชนเข้าไปจนถึงพระราชวังไปยืนอยู่ตรงพระพักตร์ของพระราชา พระองค์จึงตรัสถามว่า มานพนี้มีนามว่าอย่างไร?
    เจ้าสามเณรจึงกราบทูลว่า อาตมภาพมีนามว่า "สามเณร" จึงตรัสถามว่าสามเณรนั้นด้วยเหตุใด สามเณรจึงทูลว่า ข้าพเจ้ามีนามว่าสามเณรนั้นด้วยเหตุว่าข้าพเจ้ามิได้กระทำบาปในกายนอก แล้วตั้งอยู่ภายใน แห่งกุศลเหตุดังนั้นจึงมีนามว่า "สามเณร" พระองค์ก็ทรงตรัสถามต่อไปว่า นามกรของท่านนั้นบุคคลผู้ใดตั้งให้แก่ท่าน สามเณรจึงทูลว่า พระอาจารย์ของข้าพเจ้าตั้งให้
    พระองค์จึงตรัสถามอีกว่า อาจารย์ของท่านนั้นชื่อใด สามเณรจึงถวายพระพรว่าอาจารย์ของอาตมาท่านมีนามว่า "ภิกษุ" จึงตรัสถามต่อไปว่าพระอาจารย์ของท่านนั้นมีนามว่า "ภิกษุ" ด้วยเหตุอะไร สามเณรจึงทูลว่าอาจารย์ของข้าพเจ้านั้นชื่อ "รัตนะ" เป็นแก้วอันหาค่ามิได้
    ครั้นพระราชาได้ทรงสดับว่า "พระสังฆรัตนะ"ในพระพุทธศาสนาหาได้เป็นอันยากยิ่งนัก พระองค์ก็มีความชื่นชมยินดีหาที่จะอุปมามิได้คำนึงอยู่ในพระราชหฤทัยว่า จะเสด็จลงจากพระราชอาสน์ไปทรง นมัสการเจ้าสามเณร
    ในทันใดนั้นเอง ..พระวรกายของพระองค์ก็ลอยไปตกลงตรงหน้าเจ้าสามเณรด้วยอำนาจแห่งธรรมปีติด้วยเดชะที่พระองค์มีความเลื่อมใสในคุณffice:smarttags" />ของท่านนั้น บุคคลใจให้นามกร
    เจ้าสามเณรก็ทูลว่า อาจารย์<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]พระสังฆรัตนะ ดอกปทุมชาติ</st1:personName> คือดอกบัวก็บังเกิดผุด ขึ้นรองรับพระองค์ไว้มิได้เป็นอันตรายจึงถวายนมัสการเจ้าสามเณรโดยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วจึงตรัสถามต่อไปว่า " /><st1:personName w:st="on" ProductID="ของข้าพเจ้านั้น คือ">ของข้าพเจ้านั้นคือ</st1:personName> องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงพระนามว่า " พระสิริมิตร "พระองค์โปรดประทานให้นามว่า "พระสังฆรัตนะ" แก่พระอาจารย์ของข้าพเจ้าพระเจ้าสังขจักรบรมโพธิสัตว์เจ้า ผู้ทรงพระอุตสาหะรอการสดับข่าวว่าเมื่อใดพระพุทธเจ้าจะทรงอุบัติขึ้นในโลก ครั้นได้ทรงฟังสามเณรออกวาจาว่า องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระองค์ก็ถึงกับทรงวิสัญญีภาพ คือสลบลงอยู่ตรงนั้นเอง
    ครั้นพระองค์ได้พระสติขึ้นมา จึงตรัสถามสามเณรอีกว่าดูก่อน .. เจ้าสามเณรผู้เจริญ บัดนี้ องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าเสด็จประทับอยู่ที่ไหนสามเณรจึงทูลว่า สมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จยับยั้งอาศัยอยู่ใน บุพพารามวิหารอันมีอยู่ในทิศอุดร คือ ทางเหนือของกรุงอินทปัตรนี้ไปไกลกันมีประมาณ ๑๖ โยชน์ครั้นได้ทรงสดับข่าวจากสามเณรว่า สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า บังเกิดแล้วในโลกจึงตรัสว่า ดูก่อน .. สามเณร! หากว่าองค์สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าเสด็จอยู่ในทางทิศใดเราก็จะไปในประเทศทิศนั้น
    สมเด็จพระเจ้าสังขจักรบรมบพิตรผู้ประเสริฐหาความห่วงใยในศิริราชสมบัติบรมจักรของพระองค์ไม่ด้วยมีพระทัยนั้นผูกพันอยู่ในการที่จะได้พบเห็นองค์สมเด็จพระศรีสรรเพชรเป็นที่ยิ่งอย่างอุกฤษฏ์ก็ กระทำการราชาภิเษกเจ้าสามเณรนั้นให้สึกออกมาเสวยราชสมบัติแทนพระองค์เป็นพระราชาอันประเสริฐ
    ครั้นกระทำการราชาภิเษกเจ้าสามเณรแล้ว เสด็จลำพังแต่เพียงพระองค์เดียวมีพระทัยเฉพาะต่อทิศอุดร ตั้งพระทัยไปสู่บุพพารามวิหารอันเป็นที่ประทับแห่งองค์สมเด็จพระสิริมิตรสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่พระเจ้าสังขจักรเป็นสุขุมาลชาติ พระสรีรกายนนั้นละเอียดอ่อนเป็นอันดีเมื่อเสด็จพระราชดำเนินไปตามหนทางแต่พระบาทเปล่า เพียงเวลาวันเดียวเท่านั้นพระบาททั้งสองข้างก็แตกจนพระโลหิตไหลไปตามฝ่าพระบาท ทั้งสอง
    เมื่อพระบาททั้งสองบาดเจ็บจนเดินไปมิได้แล้วในกาลนั้นพระองค์ก็ลงนั่งคุกเข่าคลานไปทีละน้อย ไปตามหนทางที่เจ้าสามเณรบอกมานั้นไม่ยอมละเสียซึ่งความเพียร ครั้นล่วงไปถึง ๔ วัน พระหัตถ์ซ้ายขวา และพระชงฆ์ ( แข้ง ) ทั้งสองข้างนั้นก็แตกช้ำ โลหิตไหลออกมา จะคุกคลานไปก็มิได้ให้เจ็บปวดแสนสาหัสเห็นขัดสนพระทัยนักแล้ว ถึงกระนั้นพระองค์จะได้คิดท้อถอยย้อนรอยกลับคืนมาหามิได้ทรงมุ่งมั่นในพระทัยว่า จะต้องไปให้ถึงสำนักขององค์สมเด็จพระจอมไตรให้จงได้
    ครั้นพระองค์คุกคลานมิได้แล้ว ก็ทรุดลงพังพาบไถลไปแต่ทีละน้อย ด้วยพระอุระ ( อก ) ของพระองค์ ประกอบไปด้วยทุกขเวทนาเหลือที่จะอดกลั้นพระองค์ยึดหน่วงเอาพระพุทธคุณของสมเด็จพระพุทธองค์ เป็นอารมณ์ด้วยเจตนาใคร่จะทรงพบเห็นพระองค์ผู้ทรงประเสริฐยิ่งกว่าใครในโลกแล้วก็ทรงอดกลั้นซึ่งทุกขเวทนานั้นเสีย หาได้ทรงอาลัยในพระวรกายของพระองค์ไม่
    ครั้งนั้น สมเด็จะพรสิริมิตรสัพพัญญูผู้ประเสริฐพระองค์ทรงพระมหากรุณาเล็งแลดูสัตวโลกทั้งหลายด้วยพระสัพพัญญุตญาณก็รู้แจ้งเห็นด้วยกำลังความเพียรของพระเจ้าสังขจักรนั้นเป็นอุกฤษฏ์ยิ่งโดยวิเศษแล้ว ก็มิใช่อื่นมิใช่ไกลเป็นหน่อพระพุทธางกูรพุทธพงศ์วงศ์เดียวกันกับพระตถาคตนั่นเองสมควรที่ตถาคตจักเสด็จไปสู่ที่ใกล้แห่งบรมสังขจักร
    เมื่อพระพุทธองค์ทรงพระดำริแล้วก็เสด็จพระพุทธดำเนินมาด้วยพระศิริวิลาสเป็นอันงามแล้วพระองค์กระทำอิทธิฤทธิ์เนรมิตพระวรกายของพระองค์ให้อันตรธานหายกลับกลายเป็นมานพน้อย ขึ้นขับรถ ทวนมรรคามาเฉพาะหน้าแห่งสมเด็จพระบรมสังขจักรนั้นแล้วมเด็จพระพุทธสัพพัญญูเจ้าจึงร้องถามไปว่า ผู้ใดมานอนอยู่กลางทางขวางหน้ารถเราจงหลีกไปเสีย เราจะขับรถไป.. !
    ฝ่ายพระบรมโพธิสัตว์เจ้าจึงตรัสตอบว่า ดูก่อน..นายสารถีผู้ขับรถ ท่านจะมาขับเราไปให้พ้นจากหนทางนั้นด้วยเหตุใดตัวเราผู้รู้จักคุณสมเด็จพระจอมไตรเป็นอารมณ์ยิ่งนักหากแต่นายสารถีจะยั้งรถของท่านให้ หลีกเราไปเสียจึงจะสมควรถ้าท่านไม่หลีกก็ให้ท่านขับรถไปเหนือหลังเราเถิด ซึ่งจะให้เราหลีกนั้นเราหาหลีกไม่แล้วจึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า ถ้าท่านจะไปยังสำนักพระพุทธเจ้าแล้วจงมาขึ้นรถไปกับเราเถิด เราจะพาท่านไปให้ถึงสำนักพระประทีปแก้วให้สมดังความปรารถนา
    สมเด็จพระราชาธิบดีจึงตรัสตอบว่า ถ้าท่านเอ็นดูกรุณาแก่เราเราก็มีความยินดีสาธุอนุโมทนาด้วยแล้วก็อุตสาหะดำรงทรงพระวรกายขึ้นสู่รถแห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพระพุทธองค์ก็ทรงหันหน้ารถไป ตามถนนหนทาง ในระหว่างทางนั้นสมเด็จอมรินทราธิราชกับนางสุชาดาผู้เป็นอัครมเหสีจึงได้นำเอาโภชนาหารอันเป็นทิพย์กับทั้งน้ำทิพย์ลงมาจำแลงเพศเป็นบุรษยืนอยู่ตรงหน้ารถแล้วร้องว่า
    ดูก่อน.. นายสารถีผู้เจริญ!ท่านต้องการข้าวน้ำโภชนาหารหรือ... เราจะให้เมื่อท้าวโกสีย์สักกเทวราชกับนางสุชาดากล่าวดังนั้นองค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาซึ่งแปลงเพศเป็นายสารถีขับรถจึงกล่าวว่า มานพผู้เจริญ!บุรุษทุพพลภาพผู้หนึ่งมาในรถด้วยกับเรา มีความลำบากเวทนานักท่านจะให้ข้าวน้ำโภชนาหารแก่เราก็ให้เถิด เราจะได้ให้แก่บุรุษผู้นี้บริโภคองค์อัมรินทร์ปิ่นธานีกับนางสุชาดาก็ให้ข้าวน้ำ โภชนาหารอันเป็นทิพย์แด่องค์สมเด็จพระธรรมสามิสตร์แล้วพระองค์ก็ทรงประทานให้แก่พระบรมโพธิสัตว์สังขจักรเสวยข้าวน้ำอันเป็นทิพย์นั้น
    ครั้นพระองค์เสวยอิ่มหนำสำเร็จแล้ว ด้วยอานุภาพแห่งข้าวน้ำอันเป็นทิพย์นั้นทำให้ทุกขเวทนาในพระสรีรกายอันตรธานหาย มีพระวรกายเป็นสุขสมบูรณ์เสมอเหมือนแต่ก่อนองค์สมเด็จพระชินวรเจ้า จึงพาพระยาสังขจักรไปใกล้ "บุพพารามวิหาร"แล้วพระองค์ก็ประทับนั่งบนพระพุทธอาสน์ในพระวิหารส่วนหน่อเนื้อพระบรมพงศ์โพธิสัตว์ก็เสด็จลงจากรถเข้าไปสู่บุพพารามทอดพระเนตรไปเห็นองค์สมเด็จ พระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประกอบไปด้วยลักษณะมหาบุรุษ ๓๒ ประการ และอนุพยัญชนะอีก ๘๐ทั้งประดับด้วยพระพุทธรัศมีอันโอภาสสว่างรุ่งเรืองออกจากพระวรกาย อันเสด็จประทับนั่งอยู่ในที่นั้นพระองค์ก็ทรงสลบลงตรงพระพักตร์แห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยความโสมนัสเกิดความปีติยินดีหาที่สุดมิได้

    ส่วนสมเด็จพระบรมศาสดาจึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า ดูก่อนมหาบุรุษราชผู้ประเสริฐพระตถาคตเสด็จอยู่ในที่นี้แล้ว ครั้งนั้นสมเด็จพระบรมสังขจักรก็ได้พระสติฟื้นขึ้นมาเกิดความเลื่อมใสศรัทธา น้อมเศียรเกล้าคลานเข้าไป แล้วเสด็จนั่งยังที่อันสมควรจึงยกพระกรขึ้นประนมถวายบังคมเหนือเศียรเกล้า กระทำการอภิวาทนมัสการกราบทูลว่า
    " ภันเต ภควา .. ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ พระพุทธเจ้าข้าบัดนี้ ข้าพระบาทได้ถึงสำนักของพระองค์แล้วขอจงทรงพระกรุณาเป็นที่พึ่งแก่ข้าพระพุทธเจ้า โปรดตัสแสดงพระสัทธรรมเทศนาให้ข้าพระบาทฟังเถิด.. พระพุทธเจ้าข้า "
    สมเด็จพระศาสดาจารย์จึงมีพระพุทธบรรหารว่า "ดูก่อน.. มหาบพิตรผู้ประเสริฐ ! จงตั้งโสตประสาทสดับรสพระพุทธพจน์เทศนาของพระตถาคตแล้วพิจารณาธรรมกถาอันกล่าวในคุณพระนิพพานนี้เถิด"
    ปางนั้นองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์จึงตรัสพระสัทธรรมเทศนาโปรดแก่พระยาสังขจักรเมื่อพระองค์ได้ทรงสดับพระสัทธรรมเทศนาบทหนึ่งสิ้นเนื้อความลงแล้วก็กราบทูลห้ามสมเด็จพระประทีปแก้วว่า ขอพระองค์จงหยุดการแสดงธรรมเสียเถิด
    มีคำถามว่า.. เหตุไฉนพระเจ้าสังขจักรจึงทูลห้ามเช่นนี้เพราะเดิมทีมีพระทัยผูกพันในพระพุทธศาสดา ระลึกถึงซึ่งคุณ<st1:personName w:st="on" ProductID="พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า">พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า</st1:personName>พระสังฆเจ้า เป็นอันมาก สู้ทรงสละราชสมบัติบรมจักรเสด็จมาด้วยความลำบากแทบถึงซึ่งชีวิต ครั้นมาประสบพบองค์พระสัพพัญญูเจ้าพระองค์ประทานธรรมเทศนาแล้ว กลับห้ามเสียด้วยเหตุประการใด..?
    มีคำตอบว่า..สมเด็จพระบรมสังขจักรทรงพระดำริว่าถ้าสมเด็จพระบรมศาสดาโปรดประทานพระสัทธรรมเทศนาเป็นอันมากแล้วพระองค์ก็เสด็จมาแต่เพียงลำพังพระองค์เดียวเปลี่ยนพระทัยนักจะหาเครื่องไทยธรรมอันสมควรที่จะสักการบูชาให้สมควรแก่รสพระสัทธรรมนั้นหามีไม่บัดนี้ เราได้สดับรับรสแห่งอมตธรรมแต่บทเดียว เครื่องสักการบูชาของเรานี้มิพอสมควรกันกับพระสัทธรรม พระองค์ดำริ ดังนี้แล้วจึงกราบทูลห้ามองค์สมเด็จพระประทีปแก้วเสีย แล้วพระองค์จึงกราบทูลว่า
     
  4. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    "ข้าพระพุทธเจ้าได้สดับพระสัทธรรมของพระองค์ในกาลครั้งนี้พระองค์ทรงพระมหากรุณาตรัสพระธรรมเทศนาแสดงพระนิพพานอันเดียวเป็นที่สุดพระสัทธรรมอยู่แล้วข้าพระพุทธเจ้าจะตัดเศียรเกล้าอันเป็นที่สุดสรีระกายแห่งข้าพระพุทธเจ้าออกกระทำการสักการบูชาพระสัทธรรมเทศนาของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก่อน"
    ตัดพระเศียรบูชาพระธรรม
    ครั้นตรัสดังนั้นแล้วพระเจ้าสังขจักรผู้มีอัธยาศัยในพระโพธิญาณจึงทรงอธิษฐานขอให้เล็บของพระองค์คมดังพระแสงดาบ เด็ดซึ่งพระศอให้ขาดแล้ววางไว้บนฝ่าพระหัตถ์ พร้อมตั้งมโนปณิธานความปรารถนา ออกพระโอษฐ์ตรัสด้วยวาจาว่า
    " ภันเต ภควา .. ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงศิริขอเชิญพระองค์เสด็จเข้าสู่เมืองแก้วอันเกษมสานต์ คือ พระอมตมหานิพพานอันสำราญก่อนข้าพระบาทเถิด ข้าพระบาทจะขอตามเสด็จไปสู่พระนิพพานอันสำราญ ต่อภายหลังด้วยข้าพระพุทธเจ้าได้ถวายเศียรเกล้าบูชาพระสัทธรรมเทศนาของพระองค์ในกาลบัดนี้ด้วยมิได้หวังสมบัติใดในโลกนี้ มีความปรารถนาเพียงอย่างเดียวคือการบรรลุพระโพธิญาณเป็นพระศาสดา จารย์พระองค์หนึ่งในอนาคตกาลนั้นเทอญ .. "
    ในที่สุดแห่งพระวาจาที่ได้ตั้งความปรารถนาขาดลงพระบรมโพธิสัตว์ก็สิ้นพระทัยไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
    ดูก่อน.. สารีบุตร!ครั้นเมื่อพระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์ได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณเป็นองค์สมเด็จพิชิตมารบรมศาสดาจารย์แล้วจึงมีพระองค์สูงได้ ๘๘ ศอก ด้วยผลทานที่เด็ดพระเศียรกระทำสักการบูชาแห่งพระสัทธรรมเทศนาพระองค์ทรงพระรัศมีสิ้นทั้งกลางวันกลางคืนมิได้ขาดนั้นด้วยอานิสงส์ที่พระองค์ทรงอุตสาหะไปในหนทางปรารถนาจะพบเห็นสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า จนพระ โลหิตไหลออกจากพระบาท พระชงค์พระหัตถ์ และพระอุระ ของพระองค์ ในคราวเสวยพระชาติเป็นพระเจ้าสังขจักรนั้น
    อนึ่ง พระพุทธรัศมีของพระองค์แผ่ซ่านตลอดไปเบื้องบนจนถึงพรหมโลกเบื้องต่ำตลอดลงไปจนถึงอเวจีมหานรกด้วยผลอานิสงส์ที่พระองค์เด็ดพระเศียรออกกระทำสักการบูชาพระสัทธรรมโลหิตไกลออกจากพระเศียร
    อีกประการหนึ่งในพระศาสนาแห่งพระศรีอาริยเมตไตรยบังเกิดมีต้นไม้กัลปพฤกษ์นึกได้สำเร็จสมความปรารถนา นั้นด้วยผลานิสงส์ที่พระองค์เสด็จไปตามถนนหนทางใคร่จะพบองค์สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้า มีกำหนดถึง ๗ วันจึงได้ประสพพบพระพุทธองค์สมพระราชหฤทัย
    ดูก่อน. สารีบุตร!ผู้เป็นธรรมเสนาบดีของตถาคต ฝูงชนทั้งหลายที่มิได้เห็นรูปกายของพระตถาคตนี้แม้ได้พบเห็นแต่พระพุทธศาสนาของพระตถาคต แล้วได้กระทำ ทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนาด้วยเดชะผลานิสงส์นี้ บรรดาปวงชนทั้งหลายเห่านั้นจักได้บังเกิดทันพระพุทธศาสนาแห่งองค์สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยอันจะมาอุบัติบังเกิดเป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต แสดงมาด้วยเรื่อง "พระศรีอาริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์ " ก็ยุติไว้แต่เพียงเท่านี้เอวัง..ก็มีด้วยประการฉะนี้ ฯ


    ที่มาจากธรรมเทศนา from http://putthawutt.tripod.com/html/mettraihis04.html



    คาถาเงินล้าน<O:p</O:p



    ตั้ง นะโม ๓ จบ


    นาสังสิโม พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ (คาถาปัดอุปสรรค)
    พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุ เม (คาถาเงินแสน)
    มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม (คาถาลาภไม่ขาดสาย)
    มิเตพาหุหะติ (คาถาเงินล้าน)
    พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง
    วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ
    มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม (คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า)
    สัมปะติจฉามิ (คาถาเร่งลาภให้ได้เร็วขึ้น)
    เพ็ง เพ็ง พา พา หา หา ฤา ฤา

    <O:p</O:p


    (บูชา 30 จบ ตัวคาถาต้องว่าทั้งหมด)


    พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)<O:p</O:p




    วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี




    บทสวดคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าหรือคาถาเงินล้าน
    นำสวดโดยหลวงพ่อและวิธีสวด
    รวมเรื่องพระปัจเจกพุทธเจ้า ตอนที่ 20 หลวงพ่อเล่าเรื่องประวัติคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2008
  5. wara43

    wara43 ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2006
    โพสต์:
    9,108
    ค่าพลัง:
    +16,130
    [​IMG]ขอกราบโมทนาสาธุครับ สาธุ...
     

แชร์หน้านี้

Loading...