คำถามเกี่ยวกับการนอนสมาธิของผม

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Bengyx, 5 กุมภาพันธ์ 2019.

  1. Bengyx

    Bengyx สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2017
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +3
    ผมพยายามนั่งสมาธิ ก่อนนอนเป็นประจำ ในระหว่างนอน ผมก็จะภาวนาไปด้วย ในบางครั้งระหว่างการนอนภาวนา ร่างกายมันจะรู้สึก ชา ชา เหมือนมีแมลงเล็ก ๆ ไต่ทั่งร่างกาย หูก็จะ อื้อ ๆ วี้ ๆ และ มันก็สว่างมาก ถึงแม้ว่าผมจะหลับตาปิดไฟ คำถามของผมคือ มันเป็นสถาวะที่มีความสุขกว่าการนั่งสมาธิมาก แต่ คือ มันไม่นอน นอนไม่หลับ เหมือน มันค้างอยู่อย่างนั้น เคยค้างนาน เป็น ครึ่งชม ปัญหาคือ ผมต้องตื่นไปทำงานผมเลยถอนออกไม่งั้นไม่หลับ คำถามคือ มันมาถูกทางหรือไม่ แล้วควรทำอย่างไรต่อ? ขอบคุณล่วงหน้านะครับ
     
  2. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ถูกทาง ทำเหมือนเดิม แต่ไม่ต้องไปถอนสมาธิออก คับ

    ทำอย่างไรต่อ ก็ทรงสมาธิไปจนถึงเช้าให้เป็นปรกติ ในชีวิตประจำวันอย่าหายใจทิ้ง รักษาใจ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กุมภาพันธ์ 2019
  3. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
  4. Bengyx

    Bengyx สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2017
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +3
    ขอบคุณมากครับ แต่สิ่งที่เป็นห่วง คือ ถ้าผมทำได้นาน ๆ แบบ 7-8 ชม เท่าเวลานอน แล้วเวลาที่ผมตื่นไปทำงาน กลัวจะง่วง ทำงานได้ไม่เต็มที่ แต่ผมจะลองดูในวันหยุดครับ ขอบคุณครับ
     
  5. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1684

    ลองดูคับ ถ้ามีความสามารถ ไม่ต้องนอน เข้าสมาธิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กุมภาพันธ์ 2019
  6. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,628
    ทำถูกแล้วครับ
    เป็นอาการของสมาธิอย่างหนึ่ง จิตกำลังรวมตัวเท่านั้นครับ
    พอจิตเริ่มเป็นสมาธิ จิตกับร่างกายก็จะเริ่มแยกจากกันทีละนิด ๆ
    เราก็จะรู้สึกว่าขี้เกียจขยับร่างกาย อยู่แบบนี้จิตมีความสุขดี
    ถ้าจิตกับประสาทแยกจากกันสมบูรณ์ก็คือ จิตเป็นฌาน 4 ครับ
    ตอนนี้ก็ช่วงที่จิตกำลังรวมตัวเป็นฌานขั้นต้นอยู่ครับ
     
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    เล่าให้ฟังแบบทั่วๆไป...
    การฝึกสมาธิในช่วงแรกควรมีเป้าหมายตั้งไว้ในใจก่อน
    เพื่อเป็นแนวทางเดินให้จิตในเบื้องต้น
    เพื่อป้องกันการแวะเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาแวะพักซึ่งทำให้เสียเวลาครับ

    ส่วนการทำอะไรก็ตามด้วยความตั้งมั่น หรือจดจ่อนั้น มันเป็นสมาธิทั้งหมดครับ
    เช่น ตั้งใจทำงาน ก็เป็นสมาธิอย่างหนึ่ง ที่ไปจดจ่ออยู่กับงานที่ทำพวกนี้เป็นภายนอก
    หรือการเข้าสมาธิได้ถึงระดับฌานโน้นนี่นั้น พวกนี้เป็นแบบภายใน

    นอกจากว่ามันจะเป็นไปได้ในทางกุศลหรืออกุศแล้วนั้น
    ยังประกอบด้วยสมาธิที่เป็นไปตามรูปแบบดังต่อไปนี้

    ๑. แบบที่ยังตัวเข้าไปกระทำให้สมาธิเกิด
    พวกนี้ต่อให้ระดับสมาธิจะอยู่ในขั้นที่ใช้งานได้แล้ว
    หรือมีความชำนาญแค่ไหนในการเข้าก็ตาม จะด้วย
    ด้วยตบะ กำลังจิต เทคนิคต่างๆ
    ก็ยังถือว่าเป็นมิจฉาสมาธิได้ทั้งนั้น
    เหตุเพราะว่ายังมีโมหะนำในการเข้าอยู่
    แม้ว่าจะมีเจตนาใช้งาน
    ในทางกุศลก็ตามและก็ยังถือว่าเป็น มิจฉาสมาธิ
    เราจะไม่มองเพียงการใช้งานในทางไม่ดีว่า เป็นมิจฉา
    แต่ฝ่ายเดียวครับ ตรงนี้ต้องพึ่งระวังให้ดีๆครับ...
    เพราะมันงั้น ตัวสมาธินั้น มันจะกลายเป็นที่จะดลให้จิตเรา
    ต้องเป็นไป ตามจริต อนุสัย วิบาก อย่างใดอย่างหนึ่งครับ...
    ยกตัวอย่าง..เช่น ทำสมาธิได้เลยสัมผัสนามธรรมอย่างหนึ่ง
    แล้วก็ไปยึด พอเวลาปัจจุบัน มันก็จะดลให้เรามีพฤติกรรม
    ไปตามนามธรรมที่เรายึดนั้นๆ...


    ๒.สมาธิแบบที่เป็นไปตามธรรมชาติของมัน หมายถึง
    เกิดขึ้นได้ของมันเอง โดยที่ไม่มีการไปข่ม ไปกด ไปบังคับ
    หรือใช้ความชำนาญใดๆให้มันเกิด แบบนี้ถือว่า สัมมาสมาธิครับ
    เพราะว่า มันมีเหตุมาจากการ ละ คลาย การไปดึงเอาสิ่งๆต่างๆที่มี
    อยู่แล้วภายนอกเข้ามาเป็นอัตตาตัวตน
    และไม่ได้ไปปรุงร่วมกับภายนอกต่างๆเหล่านั้น
    จะกลายเป็น วิบาก จริต อนุสัย แม้ว่าจะอยู่ในระดับ
    ที่ใช้งานได้ ก็จะเป็นไปตาม ธรรมชาติของจิต
    เป็นไปตามเนื้อหาเดิมแท้ของจิตที่เคยสะสมมา
    พวกนี้ จะเกิดได้ในเวลาใช้ชีวิตหรือลืมตาปกตินั่นเองครับ
    เป็นสมาธิที่ส่งผลให้จิต คลายการยึดมั่นถือมั่นสิ่งต่างๆที่เข้ามา
    ทำให้จิตเกิดได้นั่นเองครับ...

    ส่วนกิริยาของ จขกท. มันอยู่ในระหว่าง
    แต่เป็นสภาวะทางกิริยาที่ไม่ควรไปยึด
    เพราะในระหว่างของสมาธิจนกว่าจะถึง
    ระดับที่ใช้งาน หรือแม้ว่า ใช้งานได้แล้ว
    จากผลของสมาธินั้น หากเราไปยึดในกิริยา
    อย่างหนึ่งอย่างใดของมันแล้ว....


    มันจะส่งผลให้ตัวจิต เข้าสู่สภาวะจมหรือแช่
    ซึ่งในทางปฏิบัติ มันจะส่งผลให้จิตไม่ฉลาด
    หรือซื่อบื้อนั่นเองครับ(คือ ไม่เกิดผลทางด้านปัญญาทางธรรม
    ที่จะเป็นไปเพื่อ ละ คลาย ความยึดมั่นถือมั่นต่างๆ
    ไม่ใช่ว่า โง่ หรือ ไม่เก่งนะครับ)
    เพราะมัวไปติดกิริยาทาง
    นามธรรมต่างๆเหล่านั้นเองครับ....

    วิธีไปต่อ ของ จขกท ไม่ยาก เพราะกำลัง
    ระดับนั้น หากเข้าสภาวะนั้นอีก แล้วให้ทำการ
    ระลึกตัดทิ้ง คือ คล้ายๆ ตอนระลึกถอนออก
    แต่ว่า ให้ถอยจากกิริยานั้นออกมา แต่อย่าลืมตา
    แล้วก็เข้าไปอีก ถ้ามันเกิดอีก ก็ระลึกถอยออกมาอีก
    ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ การที่เราถอยๆเข้าๆออกๆ
    มันจะกลายมาเป็น กำลังสมาธิสะสม
    ที่จะทำให้เราก้าวข้ามสภาวะนั้นๆได้เองครับ........แต่??????


    เป้าหมาย คือ อะไรตอนนี้ จะเอาผลทาง ๑.ด้านสมาธิ หรือ ๒.ไปด้านปัญญา
    เพราะ ท่านอนนั้น หากเราจะพัฒนาต่อ
    ไม่ให้มันเป็นสภาวะกิริยา นอนสมาหลับ หรือ คร๊อกฟี้สมาหลับสญาน
    หรือ คร๊อกฟี้ท่องเที่ยวสญาน หรือ คร๊อกฟี้บันเทิงสญาน หรือ คร๊อกฟี้ชื่นชมนิมิตสญาน
    หรือ คร๊อกฟี้พบประภพภุูมิสญานนั้น.....

    ทริคก็คือ จะต้อง มีจุดกระทบจุดใดจุดหนึ่ง
    ให้ลมหายใจที่ออกจากร่างกาย ไปโดนครับ
    ไม่งั้น ถ้าใช้ท่านอน ประกันได้ว่า
    จะไม่พ้นสภาวะ นอนสมาหลับ
    คร๊อกฟี้สญานต่างๆที่เล่าให้ฟังมาครับ
    ซึ่ง บอกไว้ก่อนเลยว่า มันยากครับ
    ที่ทำกันได้ ก็จะประมาณ ปฐมฌาน
    คือ ประมาณสภาวะที่ จขกท. ทำได้
    สังเกตุง่ายๆ สภาวะนี้ เหมือนเราพอคิดได้
    แต่ว่า กิริยาทางด้านนามธรรม ยังคงอยู่นั่นหละ...
    ตัวอย่างการใช้ท่านอนเช่น ท่าปางนอนตะแครง
    ลมหายใจก็จะต้องกระทบหน้าอกไม่งั้นหลับ
    ถ้านอนหงาย ถ้าไม่เอานิ้ว มาวางไว้ให้ลมไปกระทบ ประกันได้ว่าหลับ
    นี่หละเลยบอกว่า ยาก กิริยาที่นอนๆอยู่ แล้วเห็นตัวเอง
    เห็นผี เห็นดวงดาวอวกาศ ไปท่องเที่ยวได้
    พวกนี้ แม้ไม่เคยฝึกอะไรมาก็เกิดได้ แต่ไม่มีประโยชน์อะไรครับ



    ถ้า จขกท จะมาทางด้านปัญญา ควรฝึกเจริญสติ
    ในชีวิตประจำวันเพิ่ม เช่น เดินนับก้าว ถ้านิ่งๆระลึกรู้ลม
    เข้าออกหยุดที่ปลายจมูก หายใจเข้าออกให้ลึกถึงท้อง
    แต่ห้ามตามลมหายใจนะครับ เพราะจะแป๊กที่ปฐมฌาน
    เพื่อสร้าง เครื่องมือตัวหนึ่ง ที่จะคอยควบคุมความ
    คิดและพฤติกรรมของจิต เราเรียกว่า สติทางธรรมครับ

    ในระหว่างวันนี้ จขกท จะพบเจอเรื่องราวที่ตัวเองพลาดได้เอง
    เช่น พบว่า ได้รับปากว่า จะทำเรื่องนี้ไว้แล้ว แต่พบว่าลืมทำ
    หรือวันนี้ เกิดความโลภอยากได้นั่นได้นี้ วันนี้โกรธคนนั้นคนนี้
    วันนี้เผลอนินทา คนนั้นคนนี้....เราจะเห็นได้ แล้วก็ทำลืมๆไว้นะครับ
    เพียงแต่ต้องรู้ก่อนว่า พลาดอะไรในระหว่างวัน ถ้าทำได้ !!!


    พอเข้าถึง สภาวะที่มีแสงสว่างได้นั้น แล้วระลึกออกมาแบบไม่ลืมตาตื่น

    (หมายถึงใช้ท่านอนนะ) ไอ้พวกเรื่องราวต่างๆ ที่เคยระลึกได้ในระหว่างวัน
    มันจะผุดขึ้นมาได้ของมันเอง ตามลำดับทีระเรื่อง ให้เราพิจารณาโดยที่
    จะไม่เป็นวิปัสสนึก(เพราะถ้าไประลึกคิดเอาเอง มันจะกลายเป็นวิปัสสนึกทันทีครับ)
    พอพิจาณา แล้วมันวางได้ ออกมา จิตจะยังฟูอยู่ (มันเป็นเรื่องปกติของกำลังระดับนี้)
    แต่ถ้าพิจารณาวางได้ ๓ ถึง ๔ ครั้ง ในเรื่องนั้น มันจะถึงระดับละเอียดได้เอง
    ผลก็คือ เช่น ในระหว่างวันเคยระลึกโลภอยากได้
    โทรศัพท์ใหม่มากๆ ตั้งก็ไม่มีจะซื้อ
    พอพิจาณาได้ ในท่านอนแบบที่บอก เด่วพอในระหว่างวัน
    จิตจะไม่สนใจเอง จะได้หรือไม่ได้ก็ช่างประมาณนี้ พูดพอให้เห็นภาพ

    ส่วนถ้าจะไปทางด้านสมาธิต่อไป ให้ใช้ท่าเดิน สลับท่านั่ง
    แต่ต้องปรับระบบลมหายใจเข้าใหม่
    และพอเจอกริยาอะไร ก็ให้ระลึกถอยออกมา
    และอย่าลืมตา เรียกง่ายๆว่า พบ เจอ เห็น อะไร
    ก็ตาม จะพิศดารอลังการสร้างสรัาง The End Game (Marvel 4)
    ให้เฉยๆทุกๆกรณีครับ สมาธิมันถึงจะก้าวข้าม
    ระดับปัจจุบันได้ของมันเองครับ.....


    ผ่านช่วงนี้ไปได้ ค่อยมาว่ากันต่อครับ.....

    ท้ายนี้

    ปล. ให้เข้าใจปลายทางไว้เล็กน้อยว่า

    ๑.สมาธิที่แท้จริง จะต้องเป็นสมาธิที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
    เป็นไปตามเนื้อหาเดิมแท้ของจิต นั่นคือ มันมีผลมาจาก
    สมาธิแบบพิธีการ+ เรื่องปัญญา มาก่อน มันถึงจะเกิดขึ้นได้.......
    ๒.คำว่า มิฉาหรือ สัมมานั้น ให้พึ่งระลึกว่า ถ้าจิตเรายังไม่สามารถ
    ใช้งานได้ในเวลาลืมตาปกติ ภายในเวลาวินาที จากผลของระดับ
    กำลังสมาธินั้นๆ ถือว่า เป็นมิจฉาสมาธิทั้งหมด
    หรือแม้แต่ใช้งานได้แล้ว แบบเข้าได้ภายในเสี้ยววินาที
    ก็ยังเป็น สมาธิที่มีโมหะนำอยู่ แม้ว่าจะสามารถใช้ให้เกิดประโยชน์ได้
    แต่ยังไม่ถือว่าเป็นสัมมาสมาธิครับ
    (ต้องมาทิ้งแล้วมาเน้นปัญญาครับ)
    ๓.คำว่า ได้ฌาน ไม่ใช่เคยเข้าได้ระดับไหนมาก่อน
    การเคยเข้าได้แล้วคิดว่า ตัวเองได้ฌานนั้น มันคือการยึดครับ....


    ได้คือ ในเวลาลืมตาปกติ สามารถเข้าถึงในระดับกำลังฌานนั้น
    ภายในลมหายใจเดียวและใช้งานได้หรือไม่.......
    (ย้ำว่าใช้งานได้หรือยัง)
    ถ้าทำได้ คือ ได้ฌานระดับนั้นๆ.......
    เช่น สมมุติ เคยนั้งสมาธิได้ ฌาน ๘๐ แต่ลืมตาใช้ได้
    ในกำลังระดับฌาน ๒๐ ความหมายคือ เราได้ฌาน ๒๐ พอเข้าใจนะครับ


    และถ้าใช้งานได้
    ก็ต้องดูว่า เข้าได้แบบธรรมชาติหรือความชำนาญ
    ถ้าแบบธรรมชาติ จะเป็นสัมมาสมาธิ
    ใช้ความชำนาญจะถือว่าเป็นมิฉาอยู่

    และก็ต้องดูอีกว่า การใช้ผลของสมาธินั้น
    มันมีพัฒนาขึ้นเรื่อยๆตามลำดับไหม(มาจากผลทางด้านปัญญา)
    นี่ก็เป็นสัมมา

    แต่ถ้าเคยใช้งานได้ แล้วทำไม่ได้อีก หรือ ติดๆขัดๆ ลืมๆหลงๆ
    นี่เป็นมิจฉาสมาธิอยู่ครับ


    ดังนั้น ไม่ต้องไปสนใจ ไปเน้นว่า สมาธิ
    มาถูกทางอะไรหรือไม่ ควรมีเป้าหมายไว้ก่อน
    แล้วปฏิบัติไป จนเกิดผล แล้วมาดู ส่วนท้ายนี้ประกอบ.....


    การติดอยู่ ในกริยาใดๆทางด้านนามธรรม
    ระหว่างทางของสมาธิ ไม่ว่ากรรมฐานใดๆ
    ถ้าไม่นำมาพิจารณาทางด้านปัญญา
    แล้วไปปรุงร่วมกับกิริยานั้นๆ
    เป็นมิจฉาสมาธิทั้งหมดครับ........

    พูดง่ายๆ คือ ตัวหลอกให้เราแวะพัก หลงอยู่กับ
    ธรรมชาติ ที่สร้างหลอกไว้ ไม่ให้เราไปยังปลายทางนั่นหละครับ


    อยากปลอดภัย ไปได้เร็ว..

    .
    ส่วนนี้แค่เล่าให้ฟังเฉยๆ

    อย่า ชื่นชมในกามคุณและยินดีในกามอารมย์....
    ไม่ว่า รูปธรรมก็ดี หรือ นามธรรมก็ดี..........
    จิตแบบนี้ คือ ลักษณะดวงจิตที่จะมีคุณวิเศษในตัวเองเป็นปกติครับ


    ปล. มีเยอะแยะ ณ ครับ การปฏิบัติ ถ้ายึดในกริยานามธรรมระหว่างทาง
    แม้ว่าในเวลาปกติ จิตจะไม่มีความสามารถใดๆเลย หรือเรื่องปัญญา
    ในการละคลายความยึดมั่น ถือมั่นตัวตนหรือ ลาภ ยศ สุข สรรเสริญยังไม่น้อยลง
    ก็จะยังหลงสภาวะ หลงตนได้ ว่าตนบรรลุ ว่าวิธีการตนเป็นที่สุด เก่งกว่าใครครับ

    ฟังดูไม่น่าเชื่อนะครับ ถ้าอ่านภาษาไทยแล้วเข้าใจได้ไม่ยาก
    ขนาดไม่มีความสามารถทำอะไรได้นะครับ ในเวลาใช้ชีวิตปกติประจำวัน
    ก็จะยังหลงตัวเองได้ คิดว่าตนเองเหนือใคร เป็นอะไรที่ไม่ใช่ธรรมดา
    คิดว่า วิธีการตนเองดีที่สุด ทั้งๆที่มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยในทางปฏิบัติ
    เป็นกันได้อย่างไม่น่าเชื่อครับ...... เล่าให้ฟัง ฝากไว้พิจารณา โชคดีครับ ^_^
    อนาคต ลองสังเกตุดูสภาพแวดล้อมของบุคคลดูนะครับ จะเข้าใจได้เอง
     
  8. Luenvyshine

    Luenvyshine ชีวิตที่ถูกคุมด้วยเวลา คือ วงจรชีวิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2018
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +41
    นั่งทำสมาธิด้วยการให้มีสติมากกว่าสมาธิ อยากควบรวมสมาธิกับสติให้ไปด้วยกันได้ ไม่ตัดหลับไปเลยอะ

    ทั้งนี้ก็รู้สึกว่า บางครั้งมันก็ก้าวข้ามอะไรบางอย่างไปโดยไม่รู้ตัว ก็มีคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...